เมืองชาละวัน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อนั่งแท็กซี่ไปทับคล้อ
ผมเป็นคน อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร มาทำงานขับรถในกรุงเทพฯ ได้สิบกว่าปีแล้วครับ แต่ผมมีญาติพี่น้องมาก พ่อแม่ก็อายุมากแล้ว ผมเองยังไม่มีครอบครัว ทำให้กลับไปเยี่ยมบ้านได้บ่อยๆ
ส่วนมากก็ปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ เข้าพรรษานั่นแหละครับ ที่คนตจว.อย่างพวกผมนับแสนๆ คนได้โอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเสียที ตอนสงกรานต์หรือวันครอบครัวได้หยุดหลายวันเราก็ได้อยู่กับญาติมิตรนานหน่อย
ฉายา "เมืองชาละวัน" ก็น่าภูมิใจไม่ใช่เล่นนะครับ จะบอกให้
ไกรทอง ตะเภาแก้ว ตะเภาทอง เลื่อมลาวัณย์ มีทั้งรูปหล่อและเก่งกาจ ทั้งสาวสวยเซ็กซี่ไม่ว่าคนหรือจระเข้ (อยู่ในถ้ำเป็นคนสวยอึ๋มเชียว) ขนาดชาละวันยังหล่อเข้มเลย ผมเคยดูหนังแผ่นกับเพื่อนๆ แล้วอดเคลิบเคลิ้มไม่ได้ ทั้งบทบาทเข้าพระเข้านาง หรือที่เขาเรียกว่าเลิฟซีน กับคิดว่าชาติก่อนอาจจะเคยเป็นไกรทองก็ได้
เพื่อนฮาตึมเลย มันอำว่าอย่างเก่งก็เป็นได้แค่ตัวโกง ผมเลยบอกว่าถ้าเป็นตัวโกงอย่างชาละวันก็โอเค. เพราะมีเมียสวย ไหนจะคาบนางตะเภาทองมาเป็นเมียอีกคน...ดูไม่จืดจริงๆ
แหม! พูดแล้วเปรี้ยวปาก อยากชิมไวน์ชาละวันของเสธ.หนั่นคนดังบ้านผมมั่ง แต่เบี้ยน้อยหอยเล็กก็ซดเบียร์ช้างสามขวดร้อยไปก่อนละกัน
พิจิตรเป็นเมืองประวัติศาสตร์และมีแหล่งท่องเที่ยวงดงามมากนะครับ วัดโพธิ์ประทับช้างที่พระเจ้าเสือสร้าง เขาลือกันว่าผีดุสะเด็ดนัก ขนาดอาจารย์มี-นักขุดกรุชื่อดังบ้านผม ฉายา "ตามีเจดีย์ไหว" คิดดูละกันว่าขุดกรุขุดเจดีย์มาขนาดไหนแล้ว ยังเคยบอกกับพวกลูกศิษย์ว่า
"อยากขุดกรุไหนมึงขุดไป แต่อย่ายุ่งกับวัดโพธิ์ประทับช้างเด็ดขาด เดี๋ยวโดนผีหักคอตายโหง"
อ้าว? ผมก็ฝอยเพลิน ขอข้ามบึงสีไฟ วัดท่าหลวง ผาฝ่ามือแดง กับหลวงพ่อโตที่ตะพานหิน ฯลฯ เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องนำเที่ยว ไม่ใช่เรื่องขนหัวลุก จริงมั้ยครับ?
เมื่อสงกรานต์ผมกลับบ้านไปเจอเหตุการณ์น่าขนลุกขนพองเป็นครั้งแรกในชีวิต เลยขอนำมาเล่าให้ฟังเพื่อพิจารณาดูว่าสิ่งที่ผมเห็นเป็นผีหรือคนกันแน่?
เวลากลับบ้านผมมักจะไปกับเพื่อนๆ ที่มีรถปิกอัพบ้าง ถ้าไปคนเดียวก็นั่งรถไฟบ้าง เที่ยวนั้นผมนั่งรถไฟสปินเตอร์จากหัวลำโพง เที่ยวสี่โมงเย็นเศษๆ กว่าจะถึงตะพานหินก็ราวสองทุ่ม ก่อนจะหารถต่อไปทับคล้อ
ผมนั่งรถพิเศษที่ว่ามาเกือบสิบปีแล้ว ตอนแรกค่ารถยังสองร้อยต้นๆ ขึ้นพรวดเดียวเป็นสามร้อยเศษแต่อาศัยว่าสะดวกสบายและรวดเร็ว มีอาหารกล่องแจกด้วย
ตะพานหินถือว่าเจริญมาก ขนาดมีโรงแรมโรสอินน์สูงลิบหรูหรา คุณบุญเสริมสร้างมาราว 20 ปีเห็นจะได้ มีบาร์ คาเฟ่ คาราโอเกะเพียบ ผมก็หารถต่อไปทับคล้อตามสะดวก มีทั้งมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ รถเมล์ ค่ารถเมล์ก็ขยับจาก 2-3 บาทมาเป็น 5 บาทเพราะน้ำมันแพง อยากสบายก็นั่งแท็กซี่ คิดเป็นรายหัวคนละ 15 บาท
ส่วนมากผมจะนั่งแท็กซี่ไปครับ ระยะทางก็แค่สิบกิโลเศษๆ เท่านั้นเอง
คืนนั้น ลงรถไฟที่ตะพานหิน พอดีเจอเพื่อนจะเข้ากรุงเทพฯ แต่อีกนานกว่ารถไฟจากพิษณุโลกจะมา เลยชวนกันเข้าไปเที่ยวคาเฟ่ อาหารกล่องบนรถไฟย่อยหมดไปนานแล้ว เลยสั่งเบียร์กับแกล้ม 2-3 อย่างมานั่งกินกัน ดูนักร้องสาวๆ สวยๆ ร้องเพลงโชว์ขาอ่อนขาวๆ เป็นของแกล้มอีกอย่าง
เราแยกกันตอนสี่ทุ่มเศษๆ ผมชักมึนๆ พอสมควร หิ้วกระเป๋าขึ้นแท็กซี่เป็นคนที่สี่ สักพักก็มีผู้โดยสารมาขึ้นตอนหน้า...ได้เวลารถออกซะที
ผ่านความเปล่าเปลี่ยวสองข้างทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็เห็นทับคล้อปรากฏอยู่เบื้องหน้า...
น่าแปลกที่ไม่มีใครพูดคุยกันเลย อาจจะเหนื่อยหรือง่วง คิดถึงที่นอนแบบผมก็เป็นได้ ผู้โดยสารตอนหลังลงไปสามคน เหลือผมกับคนนั่งหน้าคู่กับคนขับเท่านั้น...บ้านผมอยู่ใกล้ตลาดพอดี
คว้ากระเป๋าเปิดประตูลง ยังมีคนเดินผ่านไปมาพอสมควร คนขับอายุรุ่นเดียวกับผมคือ 35-36 ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เราเพิ่งจะพูดคุยกันตอนนั้นเอง
"เที่ยวสงกรานต์ให้สนุกนะ พวก...อั๊วเองก็จะรีบกลับไปนอนตะพานหินแล้วว่ะ คืนนี้ไม่รู้เป็นไง ช่วงฉิบ...เลย"
ผมชะงักกึก ว่าจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก เพราะเขาบึ่งรถย้อนกลับไปทางเก่าแล้ว...ผู้โดยสารที่นั่งตัวตรง ดูแข็งทื่อเหมือนรูปปั้นอยู่ข้างๆ นั่นล่ะ ทำไมไม่ลงที่ทับคล้อ? ท่าทางเหมือนจะนั่งรถเล่นจากตะพานหินมาที่นี่แล้วนั่งกลับไปด้วย ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นี่นา
วันรุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าแท็กซี่คันนั้นพุ่งชนต้นไม้ข้างทาง ตอนที่ออกจากทับคล้อไปได้หน่อยเดียว...คนขับตายคาที่ ไม่มีผู้โดยสารในรถคันนั้นแม้แต่คนเดียว! สาบานว่าผมไม่ได้ตาฝาดแน่ เพราะมีคนโดยสารทั้งหมดห้าคน แต่มีคนลงสี่คนเท่านั้นเอง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 11 สิงหาคม 2547
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น