30 กันยายน 2556

วิญญาณหลอน ขนหัวลุกจากประชานิเวศน์

"พนัส" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากประชานิเวศน์เขาว่าคนเรากลัวความมืดใช่ไหมครับ เพราะมองอะไรไม่เห็น ถึงจะเห็นได้บ้างก็เพียงสลัวๆ เท่านั้น ทำให้ไม่รู้แน่ว่าจะมีอะไรซุ่มซ่อน และจ้องมองอย่างประสงค์ร้ายหรือเปล่า? โดยเฉพาะผี!

เรื่องนี้ก็มีความเชื่อถือคล้ายๆ กันอีกอย่าง คือกลางคืนเป็นเวลาของภูตผีปีศาจ ที่คอยจ้องจะหลอกหลอนมนุษย์ แต่คนเราไม่มีใครอยากเห็นผีหรือโดนผีหลอกกันทั้งนั้นละน่า จึงพยายามไม่ไปไหนมาไหนในตอนกลางคืนที่ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว

แต่ผมโดนผีหลอกตอนกลางวันครับ!

กลางวันแสกๆ นี่แหละที่ผมโดนผีหลอกจังๆ น่ะ มิหนำซ้ำยังไม่ใช่กลางดงกลางป่า แต่เป็นในกรุงเทพฯ เมืองสวรรค์นี่เอง แถมมีผู้คนหนาตาตั้งพะเรอแน่ะ

เหตุการณ์สยองขวัญนี่เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ตอนที่เกิดอุทกภัยใหญ่โตสุดๆ ของเมืองไทย

ไม่ต้องพูดถึงความสูญเสียสารพัดอย่างให้ช้ำใจกันเปล่าๆ ถ้าจะพูดก็เอาแง่ตลกขบขัน แปลกประ หลาดพิสดารให้อีตาริปเลย์ เจ้าตำรับ "เชื่อหรือไม่" อันโด่งดังไปทั้งโลกตะแกเกิดอาการกระบอกตาร้อนผ่าวด้วยความริษยากันดีกว่า

คิดดูซีครับ ใครจะนึกฝันว่าคนกรุงเทพฯ จะได้ลอยกระทงที่รัชโยธิน ได้พายเรือไปฟิวเจอร์ พาร์ค ได้เห็นน้ำท่วมแม้แต่สนามบินดอนเมืองที่กว้างขวางตั้ง 3 พันไร่ แถมยังมีน้ำท่วมถนนวิภาวดีรังสิตอีกด้วยเอ้า

มองในแง่นี้แล้วสุขภาพจิตจะดีขึ้นเยอะเลย เชื่อผม!

แหม...ไม่ลืมเรื่องที่โดนผีหลอกกลางวันแสกๆ หรอกครับ

บ้านผมอยู่หลังตลาดประชานิเวศน์ ริมถนนที่เชื่อมระหว่างประชาชื่นกับวิภาวดีฯ แถวๆ หลังวัดเสมียน นารีนั่นแหละ แต่ค่อนไปทาง สน.ประชาชื่นที่กลายเป็นประโยชน์ในตอนน้ำท่วมอย่างนึกไม่ถึง

ถนนสายนั้นค่อนข้างแปลกอยู่อย่าง ตรงที่เชิงสะพานข้ามคลองประปากับเชิงสะพานข้ามคลองเปรมประชากรค่อนข้างสูง เลยรอดน้ำท่วมไปได้ แต่ตรงช่วงกลางที่มีตลาดน่ะน้ำสูงเลยเข่าเลยละครับ...ถ้าน้ำท่วมคลองประปาก็เอวังน่ะซี! เฮ้อ...

คนที่จำเป็นต้องไปทำงานก็ต้องลุยน้ำ ไม่ว่าจะไปทางวัดเสมียนฯ หรือถนนเลียบคลองประปา แต่โชคดีที่ตำรวจประชาชื่นมีน้ำใจช่วยเหลือประชาชน น่ารักไม่แพ้ทหารที่ได้คะแนนเกินร้อยซะด้วยซ้ำ

ถือโอกาสขอบคุณทั้งดาบทั้งหมู่ และผู้บังคับบัญชามา ณ ที่นี้ซะเลย!

รถสิบล้อคันโตตระเวนรับผู้คนทั้งขาออกและขาเข้า ไม่ว่าจะไปรอรถที่หน้าวัดเสมียนฯ หรือประชา ชื่น ก็ไม่ต้องลุยน้ำให้เปรอะเปื้อน เสี่ยงกับโรคภัยสารพัด แต่ว่าขึ้นทางท้ายรถที่ตำรวจมีม้าปูต่างบันได ช่วยเหลือทั้งตอนขึ้นและตอนลง ไปส่งจนถึงที่แห้งๆ เรียบร้อย

รอรับคนไปส่งบ้านแล้วก็วนเวียนกลับมาส่งมารับที่จุดเดิมอีกครั้ง

ผมได้อาศัยบริการน่าซาบซึ้งของคุณตำรวจสน.ประชาชื่น นี่แหละครับ ทั้งไปทำงานและกลับบ้าน ทุกสิ่งผ่านไปอย่างราบรื่นชื่นบานจนกระทั่งน้ำที่หน้าตลาดดูเอ่อๆ ทำท่าว่าจะเหือดหายไปในเวลาไม่ช้าไม่นาน

การยืนบนรถวันละสองเวลา แม้จะดูสั้นๆ แต่ก็ทำ ให้พวกเราเริ่มคุ้นหน้ากันขึ้น เห็นจะจริงอย่างที่เขาว่าคนกรุงเทพฯ บ้านติดกันยังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำไป!

นั่นป้านั่นลุง นั่นน้านั่นอา นั่นพี่นี่น้อง และบ้างก็อยู่ในวัยสามสิบต้นๆ ด้วยกัน

ที่สะดุดตาก็คือคุณป้าสองคนวัยเลยหกสิบด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งผอมเพรียว ส่วนอีกคนเจ้าเนื้อ ผมมักเห็นแกทั้งเช้าและเย็น ยืนเกาะรถด้านในๆ ส่วนมือข้างที่ว่างก็จับกันไว้แน่น...อายุป่านนี้แล้วยังจะไปทำงานที่ไหนก็ไม่รู้ จะไต่ถามก็ใช่ที่ ได้แต่สะท้อนถอนใจว่าคนกรุง เทพฯ ส่วนใหญ่ก็ต้องทำงานไปจนตาย หรือทำไม่ไหวนั่นแหละถึงจะได้พักผ่อนเสียที

วันเกิดเหตุ ผมลงรถเมล์ราวห้าโมงกว่าๆ เดินมาข้ามสะพานเพื่อปักหลักรอรถที่อีกไม่ช้าก็คงมา มีคนรอกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณป้าผอมสูงเดินนำหน้าคนอ้วนมายืนรอใกล้ๆ จนกระทั่งรถมา...ผมหลีกทางให้คุณป้าทั้งสองไปทางท้ายรถก่อน แต่เห็นคนผอมขึ้นรถคนเดียว

"อ้าว?" ผมร้องกับตัวเอง หันไปมองก็ไม่เห็นใครเลย...รีบโดดขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย ขณะรถตำรวจตีวงเลี้ยวกลับผมมองไปจุดเดิมก็เห็นคุณป้าอ้วนยืนแหงนหน้ามองเศร้าๆ โบกมือคล้ายจะอำลา

...และแล้วภาพนั้นก็เลือนรางไปในอากาศธาตุเหมือนภาพมายา

ผมขนลุกซ่า...ได้ยินเสียงคุณป้าบนรถบอกคนรู้จักว่าป้าอ้วนหัวใจวายเมื่อตอนค่ำวานนี้เอง...ตอนนี้ศพตั้งอยู่วัดเสมียนนารีอีก 3 คืน....ผมไม่ช็อกคาที่ก็บุญเหลือหลายแล้วครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 26 มกราคม 2555

27 กันยายน 2556

ถนนคร่าวิญญาณ

สุเมธ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากต้นโพธิ์อาถรรพณ์

ผมเป็นคนหนึ่งที่ต้องอาศัยแท็กซี่ไปทำงานและกลับบ้าน ระหว่างขาไปจากซอยคลังมนตรี ประชาชื่น มุ่งหน้าไปสู่ถนนรัชดาภิเษก ปลายทางคือบริษัทหลักทรัพย์แห่งหนึ่งที่ถนนอโศก

ถนนสายหลักดังกล่าวนั้น เป็นที่ร่ำลือกันมาช้านานว่าผีดุที่สุด!

ดูเผินๆ อาจจะคิดว่าเหลือเชื่อไปหน่อย

แหม! ถนนรัชดาฯ น่ะแสนจะคึกคักซู่ซ่าไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เพราะมีทั้งโรงแรม โรงนวด ผับ เธค บาร์ คาราโอเกะ รวมทั้งสปา และนวดแผนไทย นวดเท้า ที่กำลังได้รับความนิยมแพร่หลายอีกล่ะ นับแล้วเป็นร้อยๆ แห่งสองฟากถนน

ตอนเย็นรถราติดขัดเป็นประจำ ยิ่งต้นเดือนแล้วต้องบอกว่ารถติดวินาศสันตะโร!

แสงสีสว่างปานนั้น แล้วจะมีผีดุได้ยังไง?

เป็นที่ถกเถียงกันไม่หยุด ตั้งแต่ต้นทางแถวอโศก-ดินแดงไปยันศาลอาญา มีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นนับครั้งไม่ถ้วน ชนกันตูมตามตะละครั้งถ้าไม่ตายก็สาหัสแหละคุณเอ๋ย...เคยถกเถียงกันว่าตายหลายร้อยหรือหลายพัน? ตั้งแต่สร้างถนนมาราว 30 ปีก่อนน่ะ? ปรากฏว่าคนเชื่อฝ่ายหลังครับ

ไม่นับคนเจ็บมากน้อย เชื่อว่ามีคนตายหลายพัน...โดนผีหลอกกันมานับไม่ถ้วน!

เรื่องที่ดังมากก็คือ ผีสาวเรียกแท็กซี่ไปส่งวัดเสมียนนารีนั่นไงครับ เชื่อว่าใครๆ ก็คงเคยได้ยินกันมาบ้างล่ะ เพราะเป็นข่าวทั้งหนังสือพิมพ์และวิทยุ ขนาดทีวียังแพร่ภาพหลายช่อง อีกทั้งสัมภาษณ์แท็กซี่หลายคนที่โดนผีหลอก...น่าขนลุกขนพองจริงๆ เอ้า!

นอกจากนั้นยังมีแหล่งอาถรรพณ์ หรือผีดุบรรลัยอีกแห่งหนึ่ง คือแถวหน้าศาลอาญานั่นไงครับ

ลือกันว่าต้นโพธิ์บนเกาะกลางถนนนั่นแหละเฮี้ยนนัก! ผ่านไปเห็นผ้าเหลืองผ้าแดงติดพราวก็น่าเชื่อถือไม่หยอก แถมมีม้าลายแก้บนอีกหลายสิบตัว ตอนดึกๆ รถน้อย ห้อตะบึงกันจนแทบจะลืมทางโค้งตรงนั้น...มีคนขับรถโดนผีหลอกหลายรูปแบบแทบไม่น่าเชื่อ

นั่นคือ จู่ๆ ก็มีผู้หญิงวิ่งตัดหน้า เล่นเอาต้องกระทืบเบรกกันตัวโก่ง ใครมาช้าก็รอดตัวไป แต่ถ้าใครมาเร็วมีหวังรถพุ่งออกนอกทาง ขนาดข้ามเกาะไปชนกับรถฝั่งตรงข้ามก็ยังมี...ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตล่ะครับ งานนี้!

บางทีขับมาเพลินๆ ไม่ถึงกับรีบร้อนอะไรนักหนา แต่พอผ่านหน้าศาลอาญาเท่านั้นแหละ จู่ๆ ก็มีผู้หญิงมานั่งปร๋ออยู่ข้างๆ ใครไม่ตกใจแทบจะช็อกตายก็นับว่าเลือดเย็นเต็มที

เฮ้อ...เรื่องนี้ผมหายห่วงได้ เพราะอาศัยแท็กซี่อย่างที่ว่า

อ้าว? คนเราบทจะเคราะห์หามยามซวย ต้องประสบพบเห็นภาพสยองขวัญ หรือโดนผีหลอกน่ะ...ทำยังไงมันก็หนีไม่พ้นหรอกครับ!

คืนนั้นตรงกับวันศุกร์สิ้นเดือนพอดี มนุษย์เงินเดือนอย่างผมก็ย่อมมีหน้าตาแช่มชื่นพอสมควร เพราะกดเอทีเอ็มกระเป๋าตุงไปตามๆ กัน...อีกไม่กี่วันก็กลับแฟบตามเดิม เพราะต้องจ่ายค่าบัตรเครดิตคนละ 2-3 ใบ!

แต่ไม่เป็นไร...จ่ายเสร็จก็ไปกดเงินมาใช้ใหม่ วนเวียนแบบนี้แหละคุณ

เพื่อนฝูงสนิทๆ กันชวนเข้าผับ อ้างว่าแก้เหนื่อยบ้าง ให้รางวัลกับตัวเองบ้าง ทั้งๆ ที่หลายคนงานเลิกก็แวะผับกันเป็นประจำอยู่แล้ว

กว่าจะแยกย้ายกันกลับได้ก็ห้าทุ่มกว่า พอรถเข้า รัชดาฯ ก็ติดกันเป็นแพเพราะคนเที่ยวคึ่กๆ ผมเจอคนขับแท็กซี่หนุ่มใหญ่ หน้าตาเอาเรื่องถึงกับบ่นดังๆ ว่ารถติดจริงโว้ย...อะไรกันนักกันหนา!

จนกระทั่งเลยสุทธิสารกับลาดพร้าวมาแล้วรถรากลับบางตา แล่นกันลิ่วๆ ผมเอนหลังหลับตาได้ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงคนขับด่าขรม เบรกรถเอี๊ยด...กระทั่งจอดสนิทข้างทาง

ผมผงกหัวลืมตามอง ได้ความว่ามีผู้หญิงวิ่งตัดหน้า ดีที่เขาไม่ได้ขับเร็วจึงพอจะเบรกทัน ผมถามว่าผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่ไหน? เขาเหลียวซ้ายแลขวาก่อนจะเกาหัว แกรกๆ เพราะมองไม่เห็นเสียแล้ว...ได้แต่บ่นอะไรพึมพำก่อนจะเข้าเกียร์ออกรถ แต่เครื่องยนต์ดันดับสนิท!

เสียงบ่นพึมพำด้วยความหัวเสียดังขึ้นอีก พยายาม สตาร์ตเครื่องใหม่แต่ก็ติดๆ ดับๆ จนผมถอนใจเฮือก...หันมองทางขวามือเหมือนมีอะไรดลใจ

คุณพระคุณเจ้าทรงโปรด! ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้าทำให้หน้าเย็นวาบ เลือดลดตัวลงจนเย็นวูบ อ้าปากค้าง ปากคอแห้งผากในฉับพลันทันใด

นั่นคือต้นโพธิ์บนเกาะกลางถนนยืนทะมึนอยู่ใต้แสงดาว ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็น...อุบัติเหตุสยองหวิดจะเกิดขึ้นตรงนี้เอง ขณะที่คนขับแท็กซี่เพิ่งจะหันมายกมือไหว้ ทำท่าขนลุกขนพอง...ก่อนจะสตาร์ตเครื่องดังกระหึ่มในบัดดล

เรื่องนี้คงจะเข้าตำรา "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" จริงมั้ยครับ?!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 21 มีนาคม 2556

19 กันยายน 2556

5 ศพบนเตียง

แฟนวิทย์ เล่าเรื่องขนหัวลุกจากบ้านใกล้เรือนเคียง

บ้านผมอยู่ซอยลาดพร้าว 101 เราอยู่ด้วยกัน 4 คน มีผมเองเป็นพ่อบ้าน ทำงานธนาคาร ภรรยาของผมเป็นนักบัญชี แต่ทุกวันนี้เธอลาออกมาเลี้ยงลิง เอ๊ย! ลูกชาย 2 คนของเรา กำลังซนกันมากๆ เลยละครับ

คนโต 10 ขวบ คนเล็ก 7 ขวบ เรียนโรงเรียนใกล้บ้าน ตอนเช้าไปส่งตอนเย็นไปรับ

ทีแรกเราไม่มีคนใช้หรอกครับ ช่วยกันทำงานบ้านเองได้ ผมกวาดบ้านถูบ้านตอนกลับจากงาน บางที 2-3 วันกวาดถูที ลูกๆ ผมช่วยกันล้างจานบ้าง ไม่ยอมล้างบ้าง ก็ยังนะ..ภรรยาผมซักรีดจนแขนโตไปข้างหนึ่ง

มาถึงทุกวันนี้ต้องจ้างสาวใช้ เพราะภรรยาผมเกิดทำขนมเปี๊ยะไปให้เพื่อบ้านลองชิม ปรากฏว่าติดอกติดใจกันเป็นแถว บ้านผมเลยกลายเป็นบ้านขนมเปี๊ยะ สร้างรายได้ดีมากๆ โชคดีจริงๆ ครับ

ข้างบ้านผมถัดไป 3 หลัง เป็นบ้านของนายพันโท หล่อ หนุ่ม มีภรรยาสวยและลูกสาว 2 คน กำลังย่างเข้าสู่วัยรุ่นทั้งคู่

ทุกวันนี้ผู้พันลาออกจากราชการเพราะปัญหาสุขภาพ สองผัวเมียเลยช่วยกันทำมาหากินโดยขายประกัน รายได้ไม่เลวเลย พวกเขาอัธยาศัยดีมาก และสนิทสนมกับบ้านผมมากกว่าใครๆ ในละแวกนี้ทั้งหมด

ผู้พันมีสาวใช้คนหนึ่งชื่อหนูพิม เป็นชาวอีสาน เดิมชื่อนังหอม แต่เจ้าตัวไม่ชอบชื่อที่พ่อแม่ตั้งให้ ตั้งชื่อตัวเองใหม่ว่า พิม

สาวพิมอายุ 18 ปีพอดิบพอดี เจ้าหล่อนตัวเล็กบอบบาง น่าเอ็นดูเหมือนตุ๊กตา ผู้ชายติดเกรียวทั้งบาง หนูพิมมักจะได้ทั้งเงินทั้งทอง และของใช้จากหนุ่มๆ ที่มาก้อร่อก้อติกอยู่เสมอ เป็นที่อิจฉาของน้องอ๋อ-สาวใช้วัย 20 ปีของเรา

อ๋อกับพิมสนิทกันมากเหมือนพี่เหมือนน้อง คุยกันได้ทั้งวัน

เมื่อเดือนก่อน ผู้พันกับคุณนายพาลูกๆ ไปเที่ยวต่างประเทศ นัยว่าเป็นรางวัลของบริษัทประกันน่ะครับ หนูพิมดูระริกระรี้เป็นพิเศษเชียว

น้องอ๋อบอกว่า มันต้องมีอะไรเด็ดๆ แน่เลย มีอย่างที่ไหน โดนอยู่โยงเฝ้าบ้านคนเดียวยังมีความสุข ระรื่นเกินเหตุถึงปานนี้ น้องอ๋ออาสาจะไปนอนเป็นเพื่อนมันก็ไม่ยอม บอกว่านอนคนเดียวได้ มันชอบ

เรื่องสยองขวัญเกิดขึ้นในคืนแรกที่ผู้พันพาลูกเมียเหาะไปเมืองจีนนั่นเลยละครับ!

ราวตีสอง นังหนูพิมมันวิ่งลนลานมากดออดบ้านผม มันกดซะถี่ยิบ ดีนะตอนนั้นภรรยาผมอบขนมเปี๊ยะไป แอบดูน้องน้ำตาล น้องจุ้มจิ้ม น้องซีแนมนอนหลับปุ๋ยอยู่ทางช่อง 34 รายการแอ็คคาเดมี่ แฟนเตเซีย และมีน้องอ๋อตาแป๋วร่วมดูอยู่ด้วย

ส่วนผมกำลังสบายอยู่กับลูกๆ ถึงกับผวา หวิดตกเตียง

หนูพิมร้องไห้โฮๆ ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า บอกให้รีบแจ้งตำรวจด่วนจี๋ เพราะเธอเจอศพ 5 ศพนอนสงบเรียงเคียงกันอยู่บนเตียงในห้องนอนท่านผู้พัน!

พวกเราตาหูเหลือก โทร. แจ้ง191 แป๊บเดียวตำรวจก็มาเลยครับ เรายกขบวนไปบ้านผู้พัน ผมละใจคอหายหมด พยายามนับนิ้วว่ามีผู้พัน ภรรยา ลูก 2 คน รวมเป็น 4 อีกคน..ใครล่ะ?

หนูพิมกลัวจนสั่น และให้ปากคำกับตำรวจว่าเธอขึ้นไปเจอศพนอนอยู่ เธอเห็นเต็มตา เพราะเปิดไฟสว่างจ้าก็เห็นเลยละ..เป็นศพคนแก่ผู้ชาย 1 ผู้หญิง 3 และเด็กผู้หญิงใส่ชุดสีชมพูอีกคน นอนตายอยู่อย่างเรียบร้อย

คุณตำรวจ 2 คนเดินขึ้นไปดู แล้วกลับลงมาบอกว่าไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างเป็นปกติ เตียงนอนขนาดคิงไซซ์ก็ยังมีผ้าคลุมอยู่อย่างดี

สรุปว่า หลังจากปลอบหนูพิมแล้ว ตำรวจก็อำลาไป โดยสงสัยว่านังนี่ท่าจะบ้า!!

หนูพิมอยู่บ้านนั้นไม่ได้ ต้องมานอนกับน้องอ๋อ ความจึงแตกว่า..คืนนั้นน้องหนูดันพาผู้ชายเข้าบ้าน หลังจากไปคาราโอเกะกันและดื่มเบียร์นิดหน่อย เธอกะจะใช้ห้องนอนของเจ้านายเป็นวิมานสีชมพู แต่พอเปิดเข้าไปกดสวิตช์ไฟ เธอก็แผดเสียงกรี๊ดๆ ขนาดตัวเองยังตกใจ..ส่วนไอ้หนุ่มไม่รู้อีโหน่อีเหน่ได้ยินเข้าก็เผ่นหายไปป่านนี้ยังไม่กลับ!

4 วันต่อมา ผู้พันกับครอบครัวกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ หนูพิมขอลาออก..ก็ดีแล้วละครับ ทั้งที่มันน่าจะถูกไล่ออกมากกว่านะ

ผู้พันฟังเรื่อง 5 ศพบนเตียงแล้วไม่มีท่าแปลกใจเลยครับ เขายกมือไหว้แล้วบอกถึงความเชื่อว่า พวกนั้นคือ คุณปู่ คุณย่า คุณป้า คุณยาย และลูกสาวคนแรกที่เป็นไข้เลือดออก 4 ขวบ..ลงโลงด้วยชุดสีชมพู

ฟังแล้วเป็นยังไงล่ะครับ?

คือผู้พันดีใจมากกว่ากลัว เขาชื่นใจด้วยซ้ำว่าวิญญาณของผู้เป็นที่รักยังอยู่และคอยคุ้มครอง ที่สำคัญ หวงเตียงนอนของเขาไม่ให้ใครมาทำอุบาทว์จัญไรบนนั้นได้

สำหรับนังหนูพิมนี่ผมไม่รู้ว่าจะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี..ที่แน่ๆ คือหัวไม่โกร๋นก็บุญแล้ว คงเข็ดไปเลยละชาตินี้น่ะ จริงไหมครับ?

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 30 สิงหาคม 2547

18 กันยายน 2556

เสื้อผ้าคนตาย

ข้าวเม่า เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของเสื้อผ้าคนตาย

หนูชื่อข้าวเม่า อยู่อำเภอโพนทอง จังหวัดร้อยเอ็ด หนูเรียนชั้น ม.3 วันนี้มีเรื่องผีมาเล่า เป็นเรื่องที่เจอมากับตัวเอง หนูขอเรียกตัวเองว่า เม่า นะคะ

น้าของเม่าชื่อน้าหมู เพิ่งกลับจากเกณฑ์ทหาร น้าหมูเป็นน้องคนสุดท้องของแม่นิดค่ะ แม่นิดของเม่ามีพี่น้องตั้ง 6 คนแน่ะ แต่ตอนนี้เหลือแค่ 3 คน คือ แม่นิด น้าไก่และน้าหมู

บ้านเราทำนา แต่รายได้ไม่พอ ยังเป็นหนี้อยู่เยอะ แม่นิดต้องไปทำงานเป็นผู้ช่วยแม่บ้านที่กรุงเทพฯ อยู่ทางนี้พ่อกับน้าหมูไปเป็นลูกจ้างไร่ผลไม้ที่อีกอำเภอหนึ่ง

เมื่อตอนดำนาเดือนกรกฎาคม แม่นิดและป้าแมวคนข้างบ้าน ขอลานายที่กรุงเทพฯ กลับมาทำนา

ป้าแมวมีเสื้อผ้าที่นายให้มาแจกลูกๆ หลานๆ มากมายเป็นลังๆ เลยละค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสื้อผ้าผู้ชายสีสดๆ ทั้งเสื้อเชิ้ตแขนสั้น แขนยาว เสื้อยืด เสื้อวอร์ม กางเกงยีน เป็นขนาดตัวที่มีแต่น้าหมูเท่านั้นที่ใส่ได้ เพราะมันเป็นไซซ์เอสค่ะ ตัวเล็กแบบเด็กวัยรุ่นผอมๆ น้าหมูผอมค่ะเลยใส่ได้ ชอบใจใหญ่ เพราะมันดูใหม่เอี่ยมมากเลย

พอถึงเทศกาลเข้าพรรษาเรามีงานบวช งานบุญ ไม่ใช่ที่หมู่บ้านเรานะคะแต่เป็นหมู่บ้านอื่น ตำบลอื่น งานใหญ่ที่สุดคืองานบวชลูกเจ้าของโรงสี เราไปร่วมงานกัน พ่อแม่ทำนาเสร็จเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมพอดี

คืนต่อมาเราออกไปงานบวช ต้องเดินไปขึ้นรถไกลออกไปพอสมควร

น้าหมูใส่เสื้อใหม่สีเขียว กางเกงยีน พ่อแม่เดินนำหน้าไปก่อน แล้วก็น้าหมู ส่วนเม่าตามหลังค่ะ ทีแรกก็ก้มหน้าก้มตาเดิน มีอยู่ตอนหนึ่งเงยหน้าขึ้นมองก็ร้องอยู่ในใจว่า เอ๊ะ! คนที่เดินอยู่ข้างหน้าเราไม่ใช่น้าหมูนี่นา!

น้าหมูผมสั้นเกรียน แต่ผู้ชายที่ใส่เสื้อสีเขียว กางเกงยีน ผมดกหนามาก...ยาวเกือบระบ่าแน่ะค่ะ

ตอนที่เห็น เม่าตกใจแต่ยังไม่ได้คิดเรื่องผี นึกแค่ว่า อยู่ดีๆ ใครมาเดินกับเรา แต่เม่าเผลอตัวเรียกว่า น้าหมู ผู้ชายคนนั้นก็หันมาค่ะ

เขาหันมาทั้งๆ ที่ยังเดิน และหันมาแต่หัว...ไม่ใช่เหลียวมานะคะ!

มันเหมือนกับหัวของเขาค่อยๆ หมุนกลับมา หน้าตานั้นไม่ใช่น้าหมูแน่นอน เม่ายังจำได้...คิ้วของเขาหนามากเหมือนชินจัง ตาคมเหมือนแขก จมูกโด่ง เม่าหยุดเดินแล้วตะเรียกแม่เสียงดังมาก...หน้านั้นหันกลับไปตามเดิม

แม่ดุเม่าว่าตะโกนอะไรตกใจหมด เม่าเดินไม่ออก ก้าวขาไม่ได้ ร้องเรียกแม่อีกที คราวนี้ร้องไห้โฮเลย

พ่อกับแม่ตกใจใหญ่ น้าหมูก็ทำหน้าเหลอหลา เม่ากลัวมาก มันหนาวจับใจ หนาวจนตัวสั่น เม่าบอกแม่ว่าน้าหมูไม่ใช่น้าหมู!

เม่าร้องซ้ำๆ ซากๆ กลัวมาก สั่นมาก จนพวกเราทุกคนกลับบ้าน ไม่ไปงานบวชแล้ว

เมื่อถึงบ้าน เปิดไฟสว่างหมดทุกๆ ห้อง เม่าก็เล่าว่าเห็นอะไร พ่อบอกว่านึกแล้วเชียว สังหรณ์อยู่เหมือนกัน เพราะวันก่อนพ่อก็เห็นน้าหมูกลายเป็นผู้ชายคนนั้นลักษณะเดียวกับที่เม่าเห็น

พอน้าหมูได้ยินก็หน้าซีด รีบเปลี่ยนเสื้อออกแล้วเอาผ้าทั้งหมดไปคืนป้าแมวทันที บ้านป้าแมวอยู่ติดบ้านเราค่ะ

พ่อแม่ เม่าและน้าหมูไปหาป้าแมวที่กำลังดูเกมโชว์ทางทีวีอยู่ ป้าแมวทำท่างง แต่ก็เชื่อค่ะ ทำท่าขนลุกพลางร้องว่า ต๊าย! ฉันไม่น่าเอามาเลย!

แม่นิดถามว่า เสื้อผ้านี้ของใคร?

ป้าแมวบอกว่าเป็นของหลานชายนายป้าแมวเองแหละ เขาเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย แต่เอาแต่เที่ยวเลยถูกรีไทร์ ไล่ออกน่ะค่ะ คงจะติดยาเสพติดอะไรสักอย่างด้วย ป้าแมวได้ยินมาอย่างนั้น

ข้อสำคัญคือเขาฆ่าตัวตายด้วยการกินยานอนหลับกับเหล้าในห้องนอนของตัวเอง เสื้อผ้าพวกนี้พ่อแม่คนตายเขาบริจาคเป็นทานค่ะ ป้าแมวเห็นว่ามันยังใหม่ก็เลยเอามาฝากกันนี่แหละ

นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าผีเจ้าของเสื้อผ้าจะตามมาถึงร้อยเอ็ดด้วย แถมยังดุขนาดหนักอีกต่างหาก

เขาหวงของเขาละมังคะ?

ตกลงพอวันรุ่งขึ้น เราเผาเสื้อผ้าทั้งหมด เพราะไม่มีใครกล้ารับไปใส่ มีแต่ทำท่าขนลุกขนพอง ถอยหนีกรูดๆ กันทั้งนั้น ต่อให้เป็นเสื้อผ้าใหม่ๆ สวยๆ ก็ไม่มีใครใจถึงกล้าลองของหรอกค่ะ

กลัวโดนผีหลอกกันทุกคนเลย!

เสร็จแล้วก็ทำบุญ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าของเสื้อผ้า หวังว่าเขาจะไปสู่สุคตินะคะ

อยากขอร้องท่านที่ใจบุญทุกๆ ท่านว่า กรุณาอย่านำเสื้อผ้าของผู้ตายมาบริจาคให้คนอื่นเลยค่ะ เพราะถ้าเจ้าของเขาไม่หวงก็แล้วไป แต่ถ้าเจ้าของเขาหวงมากๆ แบบรายนี้ ติดตามมาปรากฏกายให้เห็น ดีไม่ดีคนขวัญอ่อนอาจจะตกใจจนหัวใจวายตายเอาง่ายๆ ก็ได้

คิดจะทำบุญทำทาน กลับกลายเป็นทำบาปโดยไม่เจตนาเลยค่ะ

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 1 กันยายน 2547

17 กันยายน 2556

ประสบการณ์ ขนหัวลุกจาก บ้านเช่า หลังวัดญวน บางโพ

ศรุตาเล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านเช่าหลังวัดญวน บางโพ

เมื่อเด็กๆ ดิฉันอยู่กับแม่เพียงสองคนเพราะพ่อเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ แม่เป็นครูโรงเรียนราษฎร์แห่งหนึ่งแถวบางซ่อน ได้เงินเดือน 750 บาทเพราะมีวุฒิครู สมัยนั้นถือว่ามากแล้ว เพราะครูที่จบม.6 จะได้เงินเดือน 450 บาทเท่านั้นเอง

เราเช่าบ้านอยู่ในซอยหลังวัดบางโพโอมาวาส แต่ชาวบ้านนิยมเรียกว่าวัดญวนบางโพ เป็นซอยแคบๆ สำหรับคนเดินเท่านั้น รถยนต์เข้าไม่ได้ ที่ปากซอยใกล้ๆ กับตึกแถวมีเพิงขายขนมและผลไม้ เช่น ขนมกล้วย ขนมใส่ไส้ ส้ม เงาะ กล้วยน้ำว้าและกล้วยหอม ขณะนั้นยังหวีละ 2-3 บาทเท่านั้น ขากลับจากโรงเรียนแม่มักจะแวะซื้อขนมให้ดิฉันบ่อยๆ กล้วยน้ำว้าหวีเดียวก็กินกันไปได้หลายวัน

บางวันเขาก็ทำข้าวต้มมัดขาย เพิ่งยกมาจากลังถึงในบ้านใหม่ๆ มีทั้งไส้กล้วยและไส้ถั่วดำ ราคากลีบละ 50 สตางค์ ตอนปลายเดือนเราก็ได้อาศัยข้าวต้มมัดนี่แหละค่ะที่ช่วยให้อิ่มท้อง

ค่าเช่าบ้านสองชั้นที่อยู่สุดซอยเดือนละ 300 บาท มีเพื่อนแม่ที่เป็นครูอยู่โรงเรียนเดียวกันมาอยู่ด้วย ออกค่าเช่าคนละครึ่ง บ้านนั้นชั้นบนมีสองห้องนอนกับระเบียงใหญ่ ชั้นล่างโล่งตลอด ต้องซื้อน้ำจากเจ้าของบ้านเช่าที่อยู่ริมคูข้างโรงเลื่อยตุ่มละ 1 บาท โดยใช้วิธีต่อสายยางมาที่ตุ่มข้างบันไดเตี้ยๆ สามขั้น ใช้ระเบียงเป็นครัว เวลาอาบน้ำก็ยืนตักอาบข้างๆ ตุ่มนั่นแหละค่ะ ส่วนค่าไฟฟ้าคิดเหมาเดือนละ 10 บาท

ประตูห้องน้าแต๋วเพื่อนแม่อยู่หัวบันได ส่วนห้องเราถัดไปเข้าทางระเบียงที่มีลูกกรงล้อมรอบ มีเก้าอี้ 2-3 ตัวสำหรับนั่งรับลมหันไปทางบ้านที่มีอาชีพทำขนมผิงขายส่ง ติดๆ กับเรือนไม้สองชั้นที่เป็นห้องเช่า

ตอนเย็นๆ ดิฉันชอบไปนั่งแกว่งขาเล่นที่เก้าอี้นั่น มองดูเด็กสาวๆ หลายคนที่เป็นลูกจ้างทำขนมผิงทำงานกันขวักไขว่ บางทีก็หยอกล้อทุบตีกันน่าสนุก เสียงหัวเราะร่าเริงดูมีความสุข บางคนเงยหน้าขึ้นมามองดิฉันแล้วกวักมือเรียก บางคนก็ตะโกนเรียกลงไปกินขนม แต่แม่ห้ามดิฉันออกไปเล่นนอกบ้านเด็ดขาด

มีผัวเมียคู่หนึ่งเช่าอยู่ห้องชั้นล่าง ผัวชื่อทวน เป็นช่างตัดผมอยู่บางกระบือ รูปร่างสูงใหญ่ หน้าตมคมสันแบบแขกขาว เมียชื่อดาหวัน ร่างเล็กแต่อวบอัดสมส่วน เวลาผัวไปทำงานก็แต่งตัวฉุยฉายออกไปคุยบ้านนั้นบ้านนี้ บางทีก็เข้าวงไพ่ผสมสิบใกล้ๆ บ้านตกเย็นก็รีบเลิก ที่ดิฉันรู้เพราะตอนปิดเทอมได้เห็นพวกเขาทำกันแบบนี้แทบทุกวันค่ะ

พี่ดาหวันเดินผ่านบ้านดิฉันเป็นประจำ ไปซื้อของกินของใช้ที่ปากซอยบ้าง ไปคุยกับเพื่อนบ้านบ้าง แต่ส่วนมากมักจะเดินผ่านทางตุ่มน้ำไปเข้าวงผสมสิบมากกว่า

ดิฉันชอบมองพี่ดาหวันคนสวยที่ชอบนุ่งโสร่งดอกโตรัดสะโพก สวมเสื้อสีสดใสเนื้อผ้าบางๆ จนเห็นยกทรง เวลาเดินจะบิดสะโพกยักขึ้นยักลง หน้าอกก็กระเพื่อมๆ จนพวกผู้ชายจ้องมองตาเป็นมัน

เราถูกชะตากันอย่างประหลาด เวลาผ่านมาเธอจะหยุดยิ้มหวาน ทักทายว่าทำอะไรจ๊ะ คนสวย? หรือไม่ก็โตขึ้นหนูต้องเป็นคนสวยมากแน่ๆ เลย ดิฉันทั้งอายทั้งพอใจค่ะ

บางทีพี่ดาหวันก็จะเข้ามาจับแก้ม เชยคางดิฉัน ชวนไปเที่ยวด้วยกัน ดิฉันได้แต่ส่ายหน้า เธอก็หัวเราะเสียงหวาน กลิ่นแป้งน้ำมองเล่ย์หอมกรุ่น...น่าแปลกอย่างที่แม่ไม่ชอบพี่ดาหวันขนาดห้ามดิฉันคลุกคลีด้วย ถามคำตอบคำก็พอ

วันหนึ่งก็เกิดเหตุสยองขวัญขึ้นกะทันหัน! ขาไพ่ไปตามพี่ดาหวันที่ห้องเช่าในตอนสาย พอผลักประตูเข้าไปก็ร้องกรี๊ดๆๆ จนคนอื่นๆ ตกใจพากันวิ่งไปดู ภาพที่เห็นคือพี่ดาหวันนอนหงายอยู่บนฟูกบางๆ นัยน์ตาเหลือกลานแน่นิ่ง ขาดใจตายไปแล้ว

เพื่อนข้างห้องเล่าว่าได้ยินเสียงทะเลาะกันตอนดึก เกี่ยวกับเรื่องหึงหวง แต่ไม่มีใครสนใจ...ตำรวจสันนิษฐานว่าผัวคงบันดาลโทสะบีบคอเมียจนตายแล้วหลบหนีไป

พี่ดาหวันไม่มีญาติที่นั่น ตำรวจก็นำศพไป ได้ข่าวว่าติดตามหาคนร้ายแต่ไม่ได้วี่แววเลย...ชาวบ้านล้วนแต่มีหน้าตาหวาดๆ บรรยากาศยามค่ำคืนก็เยือกเย็นน่าวังเวงใจชอบกล เสียงหมาเห่าหอนโหยหวนยิ่งทำให้ขวัญเสีย ต่างรีบปิดประตูเข้านอนกันทั้งนั้น

คืนหนึ่ง ดิฉันกำลังนอนหลับอยู่กับแม่ในมุ้ง เปิดหน้าต่างสับขอทุกบานเพื่อรับอากาศ จู่ๆ ก็ต้องสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อดังวู่หวิวมาตามสายลม

ตอนแรกว่าจะปลุกแม่ แต่เกิดรู้สึกเคลิบเคลิ้มเหมือนถูกสะกด ทำให้เปิดมุ้งออกไปยืนเกาะหน้าต่างด้านระเบียง สรรพสิ่งตกอยู่ในความมืดสลัว เสียงเรียกชื่อดิฉันดังขึ้นใกล้ๆ หู พร้อมกับกลิ่นแป้งน้ำมองเล่ย์อวลกรุ่นมาเข้าจมูก จนขนลุกซู่ไปทั้งตัว

พี่ดาหวัน... หลุดปากอุทานเบาๆ ขณะนั้นเองก็มองเห็นร่างตะคุ่มๆ นั่งตัวตรงที่เก้าอี้ข้างลูกกรง ดิฉันตัวแข็งทื่อ เบิกตาโพลง รู้สึกมีก้อนแข็งๆ แล่นขึ้นมาจุกลำคอ ขณะที่ใบหน้านั่นค่อยๆ หันมามองอย่างเชื่องช้า...หันมา...หันมาจนเห็นเสี้ยวหน้าที่ดิฉันจำได้อย่างแม่นยำ

พี่ดาหวันนั้นเอง...ใบหน้าสะสวยเหมือนเดิม ปากแดงสดก็เผยอยิ้มอย่างที่เคยเห็น แต่มันฉีกกว้างขึ้น กว้างขึ้นจนเป็นรอยยิ้มเต็มหน้า

โลกทั้งโลกเหมือนกำลังแตกสลายไป ความทรงจำครั้งสุดท้ายคือปากแดงสดคล้ายสีเลือดกำลังยิ้มกว้าง กับกลิ่นแป้งน้ำฉุนเฉียวเต็มจมูก...ดิฉันได้ยินเสียงตัวเองร้องกรี๊ดแสบแก้วหูก่อนจะสิ้นสติไป

อีก 2-3 วันต่อมาก็ได้ข่าวว่าตำรวจตามจับสามีพี่ดาหวันได้ที่สวนฝั่งธน เขาสารภาพว่าฆ่าเพราะฤทธิ์หึง...วิญญาณพี่ดาหวันคงจะสงบสุข หายเงียบตั้งแต่นั้นมาค่ะ 

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 29 กรกฎาคม 2547

16 กันยายน 2556

คืนผีสิง ประสบการณ์ขนหัวลุกจากเตียงคนไข้

จุ้มจิ้ม เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเตียงคนไข้

เมื่อปลายเดือนเมษายนนี้เอง ดิฉันล้มป่วยด้วยโรคภายใน อาการหนักจนถึงกับร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส สามีรีบพาส่งโรงพยาบาลใกล้ๆ บ้านแถวสุขุมวิทกลางดึก รุ่งขึ้นก็ต้องเข้าห้องผ่าตัดทันที

แพทย์บอกว่าเนื้องอกในมดลูก นอนรักษาตัวไม่กี่วันก็กลับไปพักผ่อนที่บ้านได้แล้ว

บอกตรงๆ ว่ากลัวมะเร็งค่ะ พอจะทราบมาบ้างว่าถึงจะตัดเนื้อร้ายทิ้งแล้วแต่ก็อาจหลงเหลือจนลุกลามต่อไปได้...กลัวแต่ไม่กล้าถามหมอ สามีก็ปลอบใจแบบรู้ทันว่า ไม่เป็นอะไรมากหรอก ขอให้สบายใจได้...อยากเชื่อนะคะ แต่อดกังวลใจไม่ได้จริงๆ

ลูกๆ ก็ยังเล็กอยู่ เคยไปเยี่ยมเพื่อนที่เป็นมะเร็งในมดลูก 2 คน ต้องวนเวียนเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ ทำเคโมจนผมร่วง ต้องโกนผมหมด คนหนึ่งไม่มีลูกอยู่ได้เกือบปี อีกคนหนึ่งมีลูกสิบกว่าขวบ บอกว่ามีกำลังใจเพราะห่วงลูก...เธอเล่าว่าทำเคมีบำบัดทรมานมาก กินอะไรไม่ลงจนน้ำหนักลดไปสิบกว่ากิโลกรัม

เพื่อนคนนี้ใจแข็งมาก เธอทนสู้กับโรคร้าย ยื้อชีวิตเพื่ออยู่ดูหน้าลูกที่กำลังเติบโตได้เกือบสองปี ในที่สุดร่างกายบอบช้ำเต็มทีจนทนทานอีกต่อไปไม่ไหวแล้ว

ดิฉันเสียน้ำตาทั้งสองครั้งที่ไปเผาศพเพื่อน แม้ว่าพระภิกษุที่ดิฉันเคารพนับถือจะเคยสอนว่า น้ำตามีแต่จะเพิ่มความโศกเศร้าให้ญาติมิตรของผู้วายชนม์ แต่น้ำตาก็ไม่ได้ช่วยให้ผู้ตายกลับฟื้นขึ้นมาได้เลย

ปุถุชนนะคะ ถึงจะรู้ทั้งรู้แต่ก็ยังตัดอารมณ์สุข-เศร้าไม่สำเร็จหรอกค่ะ

เมื่อมานอนโรงพยาบาลด้วยใจกังวลแบบนี้ ใจคอยิ่งสับสนฟุ้งซ่านไปร้อยแปด...ตอนกลางคืนป้าอิ่มมานอนเฝ้าไข้หลับอยู่ที่โซฟาริมผนังห้องน้ำ ส่วนดิฉันนอนลืมตาโพลง ปวดแผลตุบๆ อดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีเชื้อร้ายก่อตัวลุกลาม คงจะเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่านี้มากนัก...ก่อนจะพบจุดจบน่าสลดใจเหมือนเพื่อนทั้งสองคนที่ไปสู่ปรโลกก่อนหน้านั้น

เพื่อนก็มานอนโรงพยาบาลแบบนี้ เจ็บปวดมากกว่านี้ ทุรนทุรายแล้วแน่นิ่งจนกระทั่งสิ้นลม!

มีคนป่วยไข้อีกมากมายเท่าไหร่หนอที่เคยนอนบนเตียงนี้ เจ็บปวด ทนทุกข์ทรมาน ร้องร่ำคร่ำครวญจนน้ำตาอาบหน้า จนกระทั่งสิ้นแรง สิ้นใจ ทิ้งร่างกายให้แข็งทื่อก่อนจะเน่าเปื่อยอยู่ในโลงคับแคบ รอการเผาหรือฝังอยู่ใต้ดินให้เป็นเหยื่อหนอนและสัตว์เลื้อยคลานที่จะมากัดกินจนเหลือแต่กระดูก

วิญญาณที่ออกจากร่างจะเศร้าโศก อาลัยอาวรณ์คนที่ตนรักใคร่และห่วงใยขนาดไหนหนอ?

จะร่อนเร่ระเหระหนไปตามยถากรรม หรือสิงสู่อยู่ในห้องนี้...บนเตียงนี้?

เสียงคล้ายใครถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยความเหน็ดเหนื่อยดังขึ้นข้างๆ หูราวจะเป็นคำตอบ ทำให้ดิฉันนอนตัวแข็งทื่ออยู่ในความสลัว กลั้นลมหายใจอย่างลืมตัวก่อนจะหันไปทางป้าอิ่มที่นอนตะแคงหลับสนิทจนน่าอิจฉา

สรรพสิ่งเงียบกริบอยู่ในอากาศเย็นฉ่ำ ดิฉันระบายลมหายใจยาวเมื่อไม่พบว่ามีสิ่งใดผิดปกติ...ลืมอาการปวดแผลไปได้ชั่วขณะ

มาคิดว่าปกติเราไม่ใช่คนกลัวผี แต่เพราะความไม่สบายใจว่าจะเป็นโรคร้ายแรง กับบรรยากาศของโรงพยาบาล ที่แม้ว่าจะสะอาดสะอ้าน อุปาทานก็ยังทำให้ได้กลิ่นยา กลิ่นเลือด กลิ่นของความเจ็บปวดทรมาน...โดยเฉพาะกลิ่นอายของความตาย!

ตายแล้วไปไหน...วิญญาณมีจริงหรือ?

ถ้าวิญญาณมีจริงก็คงจะทับถมซับซ้อนกันอยู่บนเตียงนี้ นั่งๆ นอนๆ อยู่ข้างเรา จ้องมองเราอย่างเงียบเชียบ เยือกเย็น เหมือนจ้องมองคนแปลกหน้า หรือไม่ก็จะตกเป็นเหยื่อในเร็วๆ นี้แน่นอน!

ปากคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลาย หนาวสะท้านไปถึงหัวใจเมื่อนึกว่า...ถ้าเกิดมีใครมานอนแน่นิ่งอยู่ข้างๆ ยามนี้จะทำให้ช็อกแค่ไหน? ชักผ้าห่มขึ้นมาเกือบจมูกพลางเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความหวาดระแวง

โล่งอกไปทีที่ไม่เห็นใครเลย...

แต่ไม่แน่หรอก วิญญาณที่สิงสู่อยู่ในห้องนี้ เตียงนี้ อาจจะปรากฏขึ้นเมื่อไหร่ก็ได้...โลกนี้ไม่มีผีน่ะหรือ ไปหลอกเด็กเถอะ! คนทั้งโลกเชื่อเรื่องผีกันทั้งนั้นแหละ

ถ้าใครเปิดประตูเดินทื่อเข้ามาหา หรือต่อให้ยิ้มหวานหยดก็เถอะนะ

ประตูเปิดผาง...กรี๊ดดดดด!!

ลุกพรวดขึ้นนั่ง แก้วหูลั่นเปรี๊ยะ...แผดร้องออกมาบ้างคล้ายคนสติแตกในบัดดล

ป้าอิ่มลุกพรวด ร่างขาวโพลนปราดเข้ามาหา ดิฉันยกมืออุดหูทั้งสองข้างแผดเสียงกรี๊ดๆ ลั่นห้อง ไฟสว่างพรึบ พยาบาลสาวสองคนยืนอยู่ข้างเตียง ช่วยกันกุมมือดิฉันไว้พลางพูดปลอบโยนต่างๆ แต่ดิฉันหูอื้อ ตาลายพร่าไปหมด

ต่อมาจึงทราบว่า ญาติคนไข้ห้องตรงข้ามออกมาร้องกรี๊ดๆ ด้วยความตกใจที่คนไข้ลุกพรวดพราดจากเตียงจะเข้าห้องน้ำ เธอแผดเสียงอยู่หน้าประตูจนทำให้ดิฉันแทบเสียสติไปเลย

นอนอยู่ได้ 2-3 วันก็ขอไปพักรักษาตัวที่บ้านเพราะไม่อยากช็อกตายค่ะ

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 27 กรกฎาคม 2547

14 กันยายน 2556

ปีศาจสุรา ประสบการณ์ขนหัวลุกของ ขี้เมา ท่ามะกา

ชายธง เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของลุงขี้เมาที่ท่ามะกา

ผมมีอาชีพค้าขายอยู่ในกรุงเทพฯ ส่วนภรรยาเป็นพยาบาลอยู่ที่ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ตอนเย็นวันศุกร์เธอจะขับรถมาช่วยงานที่ร้านจนถึงเช้ามืดวันจันทร์จึงจะขับรถกลับไป บางทีงานที่ร้านไม่ค่อยยุ่งนัก กับโชคดีที่มีลูกจ้างไว้ใจได้ ผมก็จะเป็นฝ่ายขับรถไปหาเธอเอง ถือโอกาสพักผ่อนด้วยครับ

เมื่อประมาณ 4-5 ปีก่อน ผมเกิดไปติดใจที่ดินริมแม่น้ำแถวนั้นเข้า เห็นแล้วดูสงบร่มรื่นน่าเย็นตาเย็นใจดี เลยไปติดต่อเขาเช่าที่ปลูกกระท่อมน้อยไว้พักร้อน ถือว่าเป็นรีสอร์ตคนเบี้ยน้อยหอยเล็กก็แล้วกัน

แถวๆ นั้นมีบ้านเล็กเรือนน้อยปลูกอยู่คับคั่ง บางคนเรียกสลัม แต่ใจผมอยากเรียกชุมชนมากกว่า ผู้คนก็อัธยาศัยดี เรื่องลักเล็กขโมยนี้มีบ้างตามแบบชุมชนทั่วไป

แม่น้ำสายนั้นเท่าที่รู้จากภรรยาคือ แควใหญ่มาบรรจบกับแควน้อยที่ท่าม่วง แล้วมีเขื่อนวชิราลงกรณ์ แม่น้ำไหลผ่านวัดหวายเหนียว วัดดงสัก เรียกกันว่าแม่กลองบ้าง แควใหญ่บ้าง แต่พอเข้า อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรีก็คือแม่น้ำแม่กลองไปถึง จ.สมุทรสงคราม จนกระทั่งออกอ่าวไทย

ผมรู้จักกับขี้เมาประจำตำบลคนหนึ่งชื่อลุงฉิ่ง อายุ 50 เศษ ผอมสูง ผิวดำ ผมขาวโพลน ดูเผินๆ เหมือนคนอายุเกือบ 70 ภรรยาบอกว่าแกเป็นมะเร็งปอดขั้นที่ 3 ไม่รู้ว่าจะกระจายไปตามต่อมน้ำเหลืองหรือยัง บอกให้มารักษาตัวตามโครงการบัตรทอง 30 บาท ก็ไม่ยอมมา เพราะห้ามกินเหล้าในโรงพยาบาล

ลุงฉิ่งอาศัยอยู่กับลูกสาวสองคนพ่อลูก ลูกสาวชื่อชบา เป็นสาวโรงงานในละแวกนั้น ทำงานเป็นกะไม่แน่นอน เคยปรับทุกข์ว่าอยากให้พ่อเลิกเหล้าไปรักษาตัวเสียที แต่พูดยังไงพ่อก็ไม่ฟัง

ผมเลยบอกตรงๆ ว่าไม้แก่ดัดยาก ปล่อยให้แก่หาความสุขก่อนตายเถอะ!

ลุงฉิ่งเคยทำงานรับจ้างสารพัด แต่เมื่อเจ็บไข้นานเข้าก็หมดแรง มาอาสาดูแลกระท่อมกับดายหญ้าบ้าง ได้เงินก็เอาไปซื้อเหล้าที่ร้านชำมากิน เมามายเข้าก็ร้องเพลงจนหลับใหลอยู่ในบ้าน

นับวันอาการก็ทรุดลงทุกที แต่อารามอยากสุราทำให้แข็งใจมาทำงาน โดยเฉพาะวันที่รู้ว่าเราจะไปนอนค้างที่กระท่อมริมน้ำ

บางครั้งนึกสงสารก็ซื้อเหล้าขาวให้แกทั้งขวด จะได้ไม่ต้องพยุงสังขารไปที่ร้าน ปรากฏว่าลุงฉิ่งเล่นยกขวดขึ้นกรอกใส่ปากพลั่กๆ เหมือนดื่มน้ำ ภรรยาก็ตำหนิผมว่าทำแบบนี้เหมือนเร่งวันตายให้แก่แท้ๆ

คิดแล้วก็เห็นจริง ผมเลยไปซื้อเหล้าฝากไว้ที่ร้านทั้งขวด กำชับเจ้าของร้านว่าถ้าลุงฉิ่งมาขอให้รินไม่เกิน 2 แก้วเล็กเท่านั้น อาเฮียก็รับคำ

เมื่อลุงฉิ่งกะลิ้มกะเหลี่ยเข้ามาหา ผมก็บอกว่าซื้อเหล้าไว้ให้แล้ว ภรรยาก็ให้มันทอดถั่วทอดไป ก่อนนั้นเคยซื้อข้าวราดหน้าบ้าง ก๋วยเตี๋ยวผัดบ้าง แต่ลุงฉิ่งได้เหล้าแล้วก็แทบจะไม่แเตะต้องอาหารเลย

ตอนแรกๆ เจ้าของร้านก็รักษาสัญญาดีหรอก รินให้แกไม่เกิน 2 แก้ว ลุงฉิ่งซดรวดเคียวหมด อ้อนวอนขอเพิ่มอีกอาเฮียก็ไม่ให้ จนแกบ่นด่างึมงำแทบไม่ขาดปาก..บางวันได้เงินจากลูกสาวก็มาซื้อเหล้ากินเอง ไม่ง้อเหล้าที่ผมซื้อฝากไว้..เมาแล้วก็พูดคุยอะไรพึมพำกับตัวเอง ถือว่าเป็นขี้เมาที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร

ต่อมา เมื่อขาดเงินก็ไปขอตื๊อจนเจ้าของร้านใจอ่อนรินเพิ่มเป็น 3-4 แก้ว ผมรู้ว่าเหล้าหมดก็ซื้อฝากไว้ให้ตามเคย

วันเกิดเหตุ ผมบึ่งรถไปรับภรรยากินข้าวตอนค่ำวันศุกร์ ขากลับผ่านร้านนั้นก็ถามถึงเหล้าที่ฝากไว้ว่าเกือบหมดหรือยัง? ได้รับคำตอบว่าลุงฉิ่งเพิ่งมาขอยกไปทั้งขวดเมื่อตอนบ่าย พอไม่ให้ก็โวยวายว่าเป็นเหล้าของแก เพราะผมจ่ายเงินให้แล้ว อาเฮียไม่มีสิทธิ์จะเก็บเหล้าเอาไว้ ไม่งั้นถือว่าโกงลูกค้า..เลยต้องให้ไปเพื่อตัดรำคาญ

เมื่อไปถึงบ้านพักราว 3 ทุ่มเศษ ปรากฏว่าลุงฉิ่งนุ่งโสร่งเก่าๆ ตัวเดียวยืนยิ้มระรื่นอยู่ใต้ต้นสัก เอ่ยปากขอเงินกินเหล้า! ภรรยาผมจึงดุเอาว่าไปเอามาดื่มจนหมดขวดแล้วยังไม่พออีกหรือ? อยากตายเร็วๆ หรือไง?

แกก้มหน้านิ่งเหมือนสำนึกตัวได้ กลิ่นเหล้าโรงโชยกรุ่น ผมเลยไล่ให้แกไปนอน พรุ่งนี้ค่อยมาพูดกัน ลุงฉิ่งก็หมุนตัวกลับเดินหงอยๆ ลับไปในความมืด

สักพักใหญ่ๆ ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงหวีดร้องโหยหวนดังมาจากบ้านลุงฉิ่ง..ผมกับภรรยารีบวิ่งไปดูก็ตกตะลึง แทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง

ชบากำลังนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ พ่อที่นอนอยู่บนเสื้อน้ำมันขาดๆ มีทั้งกลิ่นเหล้าระคนกลิ่นอับๆ ในห้องคับแคบนั้น เธอเล่าว่าเพิ่งเลิกงานกลับมาก็เห็นพ่อนอนตายอยู่ที่นี่แล้ว

แสงไฟจากเพดานส่องให้เห็นร่างผู้ตายนอนลืมตาโพลง มีมดดำไต่ยั้วเยี้ยอยู่ตามปากจมูกและนัยน์ตา..ภรรยาผมพึมพำว่าสภาพศพคงจะตายมาตั้งแต่ตอนเย็นแล้วอย่างน้อยก็ไม่ต่ำกว่า 2-3 ชั่วโมง!

จะว่าผมตาฝาดเพราะดื่มเบียร์ก่อนอาหาร แต่ภรรยาผมก็เป็นคนดุแกแท้ๆ จนแกเดินก้มหน้าจากไป..ผมเลยต้องให้เธอเป็นฝ่ายขับรถเข้ากรุงเทพฯ อยู่เดือนเศษ เพราะกลัวว่าจะเห็นลุงฉิ่งมาขอเหล้าอีกน่ะซีครับ คราวนี้มีหวังช็อกตายกันทั้งสองคนแน่ๆ เลย

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 28 กรกฎาคม 2547

13 กันยายน 2556

ยมทูตในรถ เหตุการณ์ขนหัวลุก ทับคล้อ เมืองชาละวัน (พิจิตร)

เมืองชาละวัน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อนั่งแท็กซี่ไปทับคล้อ

ผมเป็นคน อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร มาทำงานขับรถในกรุงเทพฯ ได้สิบกว่าปีแล้วครับ แต่ผมมีญาติพี่น้องมาก พ่อแม่ก็อายุมากแล้ว ผมเองยังไม่มีครอบครัว ทำให้กลับไปเยี่ยมบ้านได้บ่อยๆ

ส่วนมากก็ปีใหม่ ตรุษจีน สงกรานต์ เข้าพรรษานั่นแหละครับ ที่คนตจว.อย่างพวกผมนับแสนๆ คนได้โอกาสกลับไปเยี่ยมบ้านเสียที ตอนสงกรานต์หรือวันครอบครัวได้หยุดหลายวันเราก็ได้อยู่กับญาติมิตรนานหน่อย

ฉายา "เมืองชาละวัน" ก็น่าภูมิใจไม่ใช่เล่นนะครับ จะบอกให้

ไกรทอง ตะเภาแก้ว ตะเภาทอง เลื่อมลาวัณย์ มีทั้งรูปหล่อและเก่งกาจ ทั้งสาวสวยเซ็กซี่ไม่ว่าคนหรือจระเข้ (อยู่ในถ้ำเป็นคนสวยอึ๋มเชียว) ขนาดชาละวันยังหล่อเข้มเลย ผมเคยดูหนังแผ่นกับเพื่อนๆ แล้วอดเคลิบเคลิ้มไม่ได้ ทั้งบทบาทเข้าพระเข้านาง หรือที่เขาเรียกว่าเลิฟซีน กับคิดว่าชาติก่อนอาจจะเคยเป็นไกรทองก็ได้

เพื่อนฮาตึมเลย มันอำว่าอย่างเก่งก็เป็นได้แค่ตัวโกง ผมเลยบอกว่าถ้าเป็นตัวโกงอย่างชาละวันก็โอเค. เพราะมีเมียสวย ไหนจะคาบนางตะเภาทองมาเป็นเมียอีกคน...ดูไม่จืดจริงๆ

แหม! พูดแล้วเปรี้ยวปาก อยากชิมไวน์ชาละวันของเสธ.หนั่นคนดังบ้านผมมั่ง แต่เบี้ยน้อยหอยเล็กก็ซดเบียร์ช้างสามขวดร้อยไปก่อนละกัน

พิจิตรเป็นเมืองประวัติศาสตร์และมีแหล่งท่องเที่ยวงดงามมากนะครับ วัดโพธิ์ประทับช้างที่พระเจ้าเสือสร้าง เขาลือกันว่าผีดุสะเด็ดนัก ขนาดอาจารย์มี-นักขุดกรุชื่อดังบ้านผม ฉายา "ตามีเจดีย์ไหว" คิดดูละกันว่าขุดกรุขุดเจดีย์มาขนาดไหนแล้ว ยังเคยบอกกับพวกลูกศิษย์ว่า

"อยากขุดกรุไหนมึงขุดไป แต่อย่ายุ่งกับวัดโพธิ์ประทับช้างเด็ดขาด เดี๋ยวโดนผีหักคอตายโหง"

อ้าว? ผมก็ฝอยเพลิน ขอข้ามบึงสีไฟ วัดท่าหลวง ผาฝ่ามือแดง กับหลวงพ่อโตที่ตะพานหิน ฯลฯ เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องนำเที่ยว ไม่ใช่เรื่องขนหัวลุก จริงมั้ยครับ?

เมื่อสงกรานต์ผมกลับบ้านไปเจอเหตุการณ์น่าขนลุกขนพองเป็นครั้งแรกในชีวิต เลยขอนำมาเล่าให้ฟังเพื่อพิจารณาดูว่าสิ่งที่ผมเห็นเป็นผีหรือคนกันแน่?

เวลากลับบ้านผมมักจะไปกับเพื่อนๆ ที่มีรถปิกอัพบ้าง ถ้าไปคนเดียวก็นั่งรถไฟบ้าง เที่ยวนั้นผมนั่งรถไฟสปินเตอร์จากหัวลำโพง เที่ยวสี่โมงเย็นเศษๆ กว่าจะถึงตะพานหินก็ราวสองทุ่ม ก่อนจะหารถต่อไปทับคล้อ

ผมนั่งรถพิเศษที่ว่ามาเกือบสิบปีแล้ว ตอนแรกค่ารถยังสองร้อยต้นๆ ขึ้นพรวดเดียวเป็นสามร้อยเศษแต่อาศัยว่าสะดวกสบายและรวดเร็ว มีอาหารกล่องแจกด้วย

ตะพานหินถือว่าเจริญมาก ขนาดมีโรงแรมโรสอินน์สูงลิบหรูหรา คุณบุญเสริมสร้างมาราว 20 ปีเห็นจะได้ มีบาร์ คาเฟ่ คาราโอเกะเพียบ ผมก็หารถต่อไปทับคล้อตามสะดวก มีทั้งมอเตอร์ไซค์ แท็กซี่ รถเมล์ ค่ารถเมล์ก็ขยับจาก 2-3 บาทมาเป็น 5 บาทเพราะน้ำมันแพง อยากสบายก็นั่งแท็กซี่ คิดเป็นรายหัวคนละ 15 บาท

ส่วนมากผมจะนั่งแท็กซี่ไปครับ ระยะทางก็แค่สิบกิโลเศษๆ เท่านั้นเอง

คืนนั้น ลงรถไฟที่ตะพานหิน พอดีเจอเพื่อนจะเข้ากรุงเทพฯ แต่อีกนานกว่ารถไฟจากพิษณุโลกจะมา เลยชวนกันเข้าไปเที่ยวคาเฟ่ อาหารกล่องบนรถไฟย่อยหมดไปนานแล้ว เลยสั่งเบียร์กับแกล้ม 2-3 อย่างมานั่งกินกัน ดูนักร้องสาวๆ สวยๆ ร้องเพลงโชว์ขาอ่อนขาวๆ เป็นของแกล้มอีกอย่าง

เราแยกกันตอนสี่ทุ่มเศษๆ ผมชักมึนๆ พอสมควร หิ้วกระเป๋าขึ้นแท็กซี่เป็นคนที่สี่ สักพักก็มีผู้โดยสารมาขึ้นตอนหน้า...ได้เวลารถออกซะที

ผ่านความเปล่าเปลี่ยวสองข้างทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ก็เห็นทับคล้อปรากฏอยู่เบื้องหน้า...

น่าแปลกที่ไม่มีใครพูดคุยกันเลย อาจจะเหนื่อยหรือง่วง คิดถึงที่นอนแบบผมก็เป็นได้ ผู้โดยสารตอนหลังลงไปสามคน เหลือผมกับคนนั่งหน้าคู่กับคนขับเท่านั้น...บ้านผมอยู่ใกล้ตลาดพอดี

คว้ากระเป๋าเปิดประตูลง ยังมีคนเดินผ่านไปมาพอสมควร คนขับอายุรุ่นเดียวกับผมคือ 35-36 ก็คุ้นหน้าคุ้นตากันดี เราเพิ่งจะพูดคุยกันตอนนั้นเอง

"เที่ยวสงกรานต์ให้สนุกนะ พวก...อั๊วเองก็จะรีบกลับไปนอนตะพานหินแล้วว่ะ คืนนี้ไม่รู้เป็นไง ช่วงฉิบ...เลย"

ผมชะงักกึก ว่าจะพูดอะไรก็พูดไม่ออก เพราะเขาบึ่งรถย้อนกลับไปทางเก่าแล้ว...ผู้โดยสารที่นั่งตัวตรง ดูแข็งทื่อเหมือนรูปปั้นอยู่ข้างๆ นั่นล่ะ ทำไมไม่ลงที่ทับคล้อ? ท่าทางเหมือนจะนั่งรถเล่นจากตะพานหินมาที่นี่แล้วนั่งกลับไปด้วย ก็ไม่น่าจะเป็นไปได้นี่นา

วันรุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าแท็กซี่คันนั้นพุ่งชนต้นไม้ข้างทาง ตอนที่ออกจากทับคล้อไปได้หน่อยเดียว...คนขับตายคาที่ ไม่มีผู้โดยสารในรถคันนั้นแม้แต่คนเดียว! สาบานว่าผมไม่ได้ตาฝาดแน่ เพราะมีคนโดยสารทั้งหมดห้าคน แต่มีคนลงสี่คนเท่านั้นเอง!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 11 สิงหาคม 2547

12 กันยายน 2556

ผีในห้องพระ

"บุษบง" เล่าเรื่องขนหัวลุกแสนจะน่าอัศจรรย์ของวิญญาณสุดเฮี้ยน

วันนี้ดิฉันมีเรื่องแปลกประหลาดมาเล่าให้ฟังค่ะ มันทั้งน่าแปลกและน่ากลัวสุดๆ ที่ยังไม่เคยได้ยินได้ฟัง หรือแม้แต่เคยอ่านพบมาก่อนเลยสักครั้งเดียว!

เมื่อตอนเปิดเทอมที่ผ่านมานี่เอง สาวใช้ขอลาไปเยี่ยมแม่ป่วยหนักที่ต่างจังหวัด คิดว่าคงจะต้องอยู่ดูแลค่อนข้างนาน ไม่มีกำหนดกลับแน่นอน แต่เธอมีน้ำใจเป็นห่วงว่าดิฉันคงจะเหนื่อยมากขึ้นเพราะมีแม่ครัวอยู่คนเดียว ไหนจะสามีและลูกๆ ที่ไปทำงานและไปโรงเรียนกันทุกคน

ด้วยเหตุนี้เอง เธอจึงพาหลานสาวมาช่วยงานบ้าน ชื่อหนูอ๋อย กำลังเป็นสาววัยรุ่น เคยมาทำงานในกรุงเทพฯ ได้เดือนเศษแล้ว แต่มีปัญหากับเจ้าของบ้านเกี่ยวกับเรื่องผีๆ สางๆ อะไรนี่เอง แต่ดิฉันไม่ได้ซักไซ้ให้ยาวความ

อ๋อยเป็นเด็กน่ารัก ผิวขาวสวย ผมยาวประบ่าหน้าตาจิ้มลิ้มน่าเอ็นดู รูปร่างเล็กๆ บางๆ ไปไหนมาไหนคนก็มอง ดิฉันอดยิ้มไม่ได้...พวกนั้นคิดว่าเธอคงเป็นลูกๆ หลานๆ ของดิฉันแน่เลย ส่วนอ๋อยก็รู้จักวางตัวดี สุภาพเรียบร้อย กิริยาวาจาอ่อนโยนนิ่มนวล ทำให้ดิฉันยิ่งเอ็นดูเธอมากยิ่งขึ้น

สิ่งที่น่าแปลกอยู่อย่างก็คือ อ๋อยเป็นเด็กว่านอนสอนง่าย สั่งอะไรก็รีบกุลีกุจอทำให้ทันที ไม่มีทีท่าอิดออดหรือเลี่ยงงาน แต่ดิฉันสังเกตได้ว่าเมื่อสั่งให้เธอไปปัดกวาดห้องพระของสามีที่อยู่ใกล้ห้องนอน เธอจะหายขึ้นไปสักครู่แล้วกลับลงมา ก้มหน้าก้มตาหยิบฉวยการงานอื่นๆ จนทำให้ดิฉันเอะใจว่าเธอทำงานเร็วผิดปกติ

วันหนึ่ง หลังจากอ๋อยลงมาแล้วรีบหลบไปหลังบ้าน ดิฉันจึงขึ้นไปดูห้องพระทันที!

ตอนแรกอดระแวงไม่ได้ว่าเธอจะมือไวใจเร็ว เห็นหน้าซื่อๆ แต่มีคติว่า "รู้หน้าไม่รู้ใจ" ห้องพระก็มีพระเครื่องของสามีที่ใส่ถาดเอาไว้มากพอสมควร ไหนจะพวกเครื่องรางของขลังอีกล่ะ? ถ้าอ๋อยเกิดสะดุดตาหรือมีความรู้เรื่องนี้พอสมควร อาจจะฉกฉวยติดมือไปก็เป็นได้

ยอมรับว่าดิฉันดูไม่ออกหรอกค่ะ ว่ามีอะไรหายไปหรือเปล่า? แต่ที่แน่ๆ ก็คืออ๋อยยังไม่ได้ทำความสะอาดห้องพระตามที่สั่งไว้หยกๆ แน่นอน เพราะข้าวของวางอยู่ตามเดิมทุกอย่าง....ดิฉันลงมาดุอ๋อยว่ารังเกียจห้องพระหรือไงจึงไม่ยอมทำความสะอาดเสียที?

เท่านั้นแหละค่ะ ยัยอ๋อยร้องไห้โฮ ทรุดลงยกมือไหว้ดิฉันพลางบอกเสียงสั่นเครือว่า หนูกลัวค่ะคุณ...หนูไม่กล้าเข้าห้องพระจริงๆ ค่ะ!!

"อะไรนะ?" ดิฉันแทบผงะหน้าด้วยความตกใจ

"เธอไม่กล้าเข้าห้องพระ! กลัวอะไร? เธอเป็นผีเหรอถึงได้กลัวพระน่ะ?"

"เปล่าค่ะ สาบานได้!" อ๋อยสะอื้นไห้จนน้ำตาอาบหน้า "หนูไม่ได้เป็นผี แต่เคยโดนผีหลอกในห้องพระเมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง... ทีนี้หนูเลยไม่กล้าเข้าห้องพระอีกเลย คุณใช้อะไรหนูเต็มใจทำให้ทุกอย่าง ขออย่างเดียวอย่าให้เข้าห้องพระก็แล้วกันค่ะ"

และแล้ว อ๋อยก็เล่าเรื่องน่าขนหัวลุกให้ดิฉันฟัง!

เมื่อเข้าไปทำงานในบ้านใหญ่โตค่อนข้างเก่าแก่แห่งหนึ่งที่คลองตัน อ๋อยก็ทำงานมาด้วยความราบรื่นทุกประการ จนกระทั่งวันหนึ่ง คุณนายสั่งให้ไปปัดกวาดห้องพระชั้นบน เธอก็รีบคว้าไม้กวาดกับที่ตักผงขึ้นไปทำตามคำสั่งทันที

ห้องพระที่นั่นค่อนข้างกว้างขวาง มีโต๊ะหมู่บูชากับกระถางธูปตั้งเด่น ที่สะดุดตาก็คือ ภาพถ่ายในกรอบขนาดใหญ่ของชายชรากับสตรีที่แต่งกายเต็มยศ เหรียญตราแพรวพราวเต็มอก อ๋อยรีบก้มหน้าก้มตาปัดกวาดฝุ่นละอองค่อนข้างหนา เพราะรู้สึกบรรยากาศในห้องนั้นเงียบเชียบเยือกเย็นน่าวังเวงพิกล

"ฮะแอ้ม!!" เสียงกระแอมดังมาจากข้างฝา ทำให้เด็กสาวสะดุ้งโหยง หันขวับไปมองที่ภาพถ่ายก็เห็นหญิงชายในภาพนั้นกำลังหลิ่วตาให้เธออย่างล้อเลียน เล่นเอาอ๋อยถึงกับขนลุกซ่า ขยี้ตาให้แน่ใจแล้วมองดูอีกครั้ง

คราวนี้ภาพนั้นเป็นปกติตามเดิม ทำให้เด็กสาวถอนใจอย่างโล่งอก คว้าไม้กวาดจะออกจากห้องอยู่แล้วแต่มีเสียงกระแอมดังขึ้นอีกครั้ง...คราวนี้อ๋อยถึงกับเผ่นอ้าวออกมาด้วยหัวใจเต้นโครมคราม เหน็ดเหนื่อยประหนึ่งจะขาดใจตาย!

อีก 2-3 วันต่อมาก็ได้รับคำสั่งให้ขึ้นไปทำความสะอาดห้องพระอีกแล้ว เด็กสาวใจเต้นระทึก แข็งใจเข้าไปยกมือไหว้พระ ปลอบตัวเองว่าพระท่านต้องคุ้มครองแน่ๆ ก็ผีกลัวพระนี่นา

ขณะง่วนอยู่กับการปัดกวาดพื้น เสียงโครมสนั่นก็ดังลั่นในความเงียบ อ๋อยหวีดร้องสุดเสียงด้วยความตกใจ หันขวับไปมองก็เห็นกรอบรูปขนาดใหญ่หล่นเปรี้ยงลงมาแตกกระจายที่พื้นห้อง เสียงหัวเราะดังกระหึ่มจนเด็กสาวล้มแผละลงก้นจ้ำเบ้า ปล่อยโฮออกมาสุดเสียงในพริบตา

เรื่องของอ๋อยจบลงตรงที่เธอขอลาออกจากงานมาอยู่กับญาติ แล้วสาวใช้ของดิฉันก็นำมาฝากให้อยู่กับเรา...ดิฉันฟังแล้วคิดตามไปด้วย ผีมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ดิฉันขนหัวลุกค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 ฉบับวันที่ 17 พฤษภาคม 2556

11 กันยายน 2556

ปีศาจหนองเสือ

"ลุงจอน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อขี้ยาโดดน้ำหนีตำรวจ

ย่านหนองเสือ ธัญบุรี บ้านผมที่อยู่ใกล้กับกรุงเทพฯ แค่ปากกับจมูกนี่เอง ทำไปทำมาดูเหมือนจะกลายเป็นชุมชนของเพื่อนบ้านคนละประเทศอย่างพี่น้องลาวไปแล้ว พอๆ กับที่มหาชัยซึ่งเกือบจะกลายเป็นจังหวัดหนึ่งในพม่าไปเรียบร้อยหงสาวดี

ใครอยากไปเที่ยวพม่า แต่โผล่ไปมหาชัยก็พอ เผลอๆ ผู้ชายก็นุ่งโสร่ง ผู้หญิงทาแป้งทานาคาสวยสะเด๊ะไปเลย

ช่วงสงกรานต์นี่พี่หม่องกลับไปเยี่ยมบ้านตามประเพณี ไม่ใช่หนีค่าแรงถูกๆ หรอกครับ อย่าเข้าใจผิด ค่าแรงในเมืองไทยน่ะสูงกว่าพม่าตั้งสิบกว่าเท่า ใครจะทิ้งไปให้โง่ล่ะ?

หลังสงกรานต์ก็ขี้คร้านจะเลเล้ฮุยกลับมามากกว่าเก่านะนา ผมว่า!

อ้าว? มัวแต่ฝอยเรื่องนี้ เดี๋ยวก็ลืมเล่าเรื่องขนหัวลุกแสนจะพิลึกกึกกือที่หนองเสือบ้านผมไปจนได้...แหม! นึกถึงแล้วขนลุกโด่เด่ บอกไม่เชื่อ

ราวสิบปีมาแล้วครับที่พวกอาเสี่ยปลูกหญ้าขายมายึดทำเลแถวนั้น หลังจากหนองเสือเคยขึ้นชื่อเรื่องส้มบางมดที่ย้ายมาปลูกอยู่นานโข จนกระทั่งดินเปรี้ยวดินเค็ม หรือพูดตรงๆ ก็คือดินจืด เพราะไม่ได้ทำนุบำรุงตามสมควร มุ่งหน้าค้ากำไร หวังกอบโกยทรัพย์ในดินสินในน้ำลูกเดียวจนเจ๊งกันระเนระนาด

ย้ายไปหาทำเลใหม่ อย่างสิงห์บุรี ชัยนาท พิจิตร อะไรโน่นแน่ะ...ผมน่ะไม่ได้เห็นเองหรอกครับเพราะไม่ได้ตามแห่ไปดู ฟังแต่เขาเล่าว่าเท่านั้นแหละ

จากสวนส้มกลายเป็นบ้านจัดสรรมั่ง ปลูกหญ้าขายสำหรับใช้ปูสนามมั่ง

ค่าแรงพี่น้องชาวลาวยังไม่แพงนี่ครับ ทางนั้นก็ทยอยมาทำมาหากิน หรือเผชิญโชคในเมืองไทย ปรากฏว่าถูกหวยเลยบอกกล่าวกันปากต่อปาก ทอยกันมาเป็นขบวนใหญ่ ลูกเล็กเด็กแดงขนมาหมด เถ้าแก่ออกเงินให้ปลูกกระท่อมอยู่ก่อนแล้วค่อยหักค่าจ้างกันทีหลัง

จากไม่กี่สิบคนกลายเป็นร้อยกว่าเข้าไปแล้ว ทั้งมีใบอนุญาตกับแรงงานเถื่อน!

ตำรวจหนองเสือไม่ค่อยสนใจไยดีหรอกครับ ถือว่าไม่ได้มาสร้างความเดือดร้อนอะไรให้ คอยจ้องจับแต่ยาบ้าก็เหนื่อยไม่เสร็จแล้ว

พี่น้องคนลาวอยู่ๆ ไปก็ชักรู้ทันเถ้าแก่ ไม่ยอมรับทำงานรดน้ำ ลงปุ๋ย แซะหญ้าเป็นงานเหมาอีกต่อไป แต่คิดเป็นตารางเมตร มีรายได้เป็นกอบเป็นกำ ตกเย็นตั้งวงซดเหล้าขาวกันตรึม ไอ้ที่ยังหนุ่มแน่นหรือเงินหนาก็ล่อเบียร์ลีโอ กันซะเลย

"วรนุช" หรือเหี้ย คือกับแกล้มแซบหลายๆ ทุบหัวโยนใส่กองไฟเดี๋ยวก็ดำเกรียม ช่วยกันถลกหนังดำปี๋ออกเห็นเนื้อขาวจั๊วะยังกะปุยฝ้าย ทำแจ่วชามโตๆ ทั้งหญิงและชาย ลูกเล็กเด็กแดงมาล้อมวงจิ้มกันหนุบๆ หนับๆ ปั้นข้าวเหนียวใส่ปากเคี้ยวตุ้ยๆ เดี๋ยวก็อิ่มพุงซื่อไปแล้ว

คุณวรนุชชะตาขาดเหลือน้อยลงทุกที แต่กุ้งหอยปูปลาก็ยังมีถมเถ!

ทำข่าย วางแร้วดักเหยื่อกันสนุก ริมคลองหายากก็ไปล่าเอาตามบึงตามหนอง หน้าแล้งน้ำน้อยยังงี้หาปลาไม่ยาก ไม่ว่าไอ้ดุก ไอ้ช่อน ปลาหมอ...ได้มาก็สับๆ ทำลาบแกล้มเหล้ากันเพลินไป

หลายๆ คนคิดสั้น หันไปเล่นยาบ้าก็มีครับ!

พวกนี้ต้องซุกๆ ซ่อนๆ หน่อยเพราะตำรวจเอาจริง มันเอามาบดใส่ซองตะกั่วพับเป็นรูปเรือ จุดเทียนลนไต้แล้วใช้หลอดกาแฟดูดควันนรกเพลิดเพลิน ทำหน้าตาผาสุกหยั่งได้ขึ้นสวรรค์...จนกระทั่งตำรวจโขยงใหญ่กรูเกรียวเข้ามา

แหม! มันวิ่งกันให้พล่านเหมือนหนูในกระทะร้อนๆ มีอยู่รายชื่อไอ้คำถึงกับพุ่งโครมลงหนองน้ำไปเลย...แม้น้ำจะน้อยแต่ก็มีผักตบลอยฟ่อง ทั้งผักตบชวากับผักตบไทย

ผักตบไทยปลายใบแหลม กินได้ทั้งใบทั้งดอก จะต้มจิ้มน้ำพริกหรือแกงส้มก็ได้ บ้านผมเรียก "ผักโป่ง" ไอ้คำดอดเข้าไปลอยคออยู่ในกอผักโป่ง ไม่มีใครมองเห็น ตำรวจยกขบวนมาเกือบหมดโรงพักได้มั้ง แต่ไม่มีใครยอมลุยน้ำไปจับไอ้คำ ตะโกนให้มันขึ้นมามอบตัวโดยดีก็ไร้ผล

อ๋อ! เขามีวิธีแยบยลกว่านั้นครับ

ตำรวจซุบซิบกันแล้วขว้างอะไรไปที่กอผักโป่ง ไทยมุงสะดุ้งโหยงไปตามๆ กันเพราะเสียงมันดังเหลือหลาย ผมเพิ่งเห็นต้นตอของเสียงว่ามันมีทั้งคล้ายๆ กลักไม้ขีด สีเหลืองกับคล้ายมะเขือกลมๆ สารพัดสี ลอยละลิ่วไปดังเปรี้ยงปร้าง ควันโขมงเชียว

"ยอมแล้วโว้ย! ยอมแล้ว..." ไอ้คำชูมือว่อน ตะเกียกตะกายเข้าหาฝั่ง หน้าตาซีดเซียวดูม่อลอกม่อแลกจนอดขำไม่ได้ ตำรวจช่วยกันดึงแขนมันขึ้นมา "โอย...ผีมันจับกู! ช่วยด้วย..."

คราวนี้ทุกคนอ้าปากค้างไปตามๆ กันเมื่อเห็นมือคนที่มีแต่กระดูกกำรอบขาซ้ายไอ้คำไว้แน่น...ไม่รู้ใครถูกฆ่าหรือจมน้ำตายตั้งแต่เมื่อไหร่? กระดูกมือมาจับขาไอ้คำได้ยังไง? บรื๋อออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 ฉบับวันที่ 16 พฤษภาคม 2556

10 กันยายน 2556

เสียงสยองขวัญ

"น้องมายด์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเสียงสยองในราตรี

หนูอยู่กับคุณตาคุณยายมาตั้งแต่เกิด บ้านหลังนี้คุณตาสร้างขึ้นเมื่อแม่ของหนูยังเล็กๆ อยู่เลย หนูรักบ้านสองชั้นของหนูมาก หนูเป็นลูกคนเดียวค่ะ และนอนกับพ่อแม่ในห้องบนชั้นสองติดกับห้องนอนของคุณตาคุณยาย

ชั้นล่างของเราเป็นห้องรับแขก ห้องกินข้าว ครัวและห้องนอนของคนรับใช้ ซึ่งบ้านเรามีตั้งสามคนแน่ะ คือพี่อึ่ง พี่อ้อย และพี่ดาว

เมื่อปีที่แล้วหนูอายุครบ 16 ปีพอดี!

คุณตาฉลองวันเกิดของคุณตาอายุครบ 75 ปี และหลังจากนั้นราว 2-3 เดือนเราก็รู้ข่าวร้ายว่าคุณตาเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย ท่านจากพวกเราไปตอนปลายปี เหลือแต่คุณยายซึ่งท่านเศร้าอยู่ไม่เท่าไหร่ก็ทำใจได้ค่ะ

ท่านยังอยู่ในห้องที่เคยนอนกับคุณตา แต่พี่ดาวขึ้นไปนอนเป็นเพื่อนนะคะ

คุณยายไม่ค่อยแข็งแรงทั้งๆ ที่ท่านอายุราว 68 คุณหมอบอกว่าเป็นโรคสมองเสื่อม ชอบเห็นภาพหลอน และมีความจำสั้นมากถึงมากที่สุด!

เราต่อออดสำหรับกดเรียกให้คุณยายบนห้อง

ออดนี้จะต่อสายลงมาที่ห้องกินข้าว ซึ่งพวกเรามักจะใช้เวลาตอนกลางคืนอยู่กันที่นี่เพราะมีทีวีไงคะ คุณแม่และคนรับใช้ชอบดูละครจนดึกจนดื่น ส่วนหนูก็เล่นเน็ตและเฟซบุ๊กอยู่ในห้องกินข้าว หรือนัยหนึ่งห้องนั่งเล่นนี่เหมือนกัน

จะพูดไปแล้วหนูก็สงสารพี่ดาวค่ะ!

เธอเป็นคนดูแลคุณยาย และคุณยายก็กดออดเรียกเธอถี่มาก

บ่อยครั้งเชียวล่ะที่กำลังดูละครสนุกๆ อยู่ดีๆ ก็มีเสียงออดเรียก พี่ดาวต้องรีบกระโจนขึ้นบันไดไปหา คุณยายจะให้หยิบน้ำดื่มบ้าง เรียกถามเรื่องโน้นเรื่องนี้บ้าง พอเสร็จแล้วพี่ดาวก็ลงมาข้างล่าง ถอนใจเฮือก...

ยังไม่ถึงพื้นเลยค่ะ ออดอีกแล้ว...!!

พอวิ่งขึ้นไปคุณยายก็ถามเรื่องเดิมเพราะลืมไปว่าเมื่อตะกี๊ถามไปแล้วค่ะ

วันทั้งวันจะมีแต่เสียงออด! ออด และออด...พี่ดาวของหนูผอมเลยค่ะ เพราะวิ่งขึ้นวิ่งลงบันไดทั้งวัน

ในที่สุดเมื่อสามเดือนก่อนนี้เอง คุณยายก็ป่วยหนักต้องไปโรงพยาบาล และสิ้นใจด้วยการติดเชื้อในกระแสโลหิต!

บ้านของเราเหงาและเงียบไปเลยค่ะ...ห้องนอนของคุณตาคุณยายอยู่ในสภาพเดิม ไม่มีการเคลื่อนย้ายข้าวของใดๆ ออก ทุกอย่างอยู่เหมือนเก่าครั้งที่คุณตาคุณยายยังมีชีวิตอยู่

ตอนค่ำๆ ชั้นสองของบ้านมืดตึ๊ดตื๋อ มีแต่ดวงไฟเล็กๆ เหนือบันไดเท่านั้นเอง หนูมองขึ้นไปแล้ววังเวงมาก ในใจรู้สึกเหมือนคุณตาคุณยายยังอยู่บนนั้น...

จะว่าไปแล้วหนูก็กลัวนะคะ!

วันหนึ่งหลังจากคุณยายตายไปได้สิบวัน พวกเรารวมตัวกันอยู่ชั้นล่างในห้องนั่งเล่น คุณพ่อยังไม่กลับจากทำงาน ตอนนั้นเพิ่งสองทุ่มกว่าๆ ข่าวทีวีเพิ่งจบ...และละครก็กำลังจะมา

ทันใดนั้นมีเสียงออด...!

คุณพระคุณเจ้าช่วย! เสียงนั้นมาจากห้อง คุณยาย!!

พี่ดาวขยับตัวลุกขึ้นด้วยความเคยชิน แต่แล้วก็กลับทรุดตัว เข่าอ่อนยวบ หน้าขาวซีด พี่อึ่งกับพี่อ้อยหันมามองคุณแม่หนูเป็นตาเดียวกัน...ขณะที่กำลังตะลึง เสียงออดก็ดังอีกครั้ง พวกเราถึงกับสะดุ้งเฮือก พี่ดาวน้ำตาร่วงเลยค่ะ

อากาศที่ร้อนอบอ้าวกลับหนาวยะเยือก เราทำอะไรไม่ถูก พี่อึ่งกับพี่อ้อยยกมือขึ้นลูบท่อนแขนตัวเองไปมา...คุณแม่บอกว่าไฟอาจจะลัดวงจร แม่จะขึ้นไปดูเอง! หนูห่วงแม่มากเลยขอตามขึ้นไปด้วย

เสียงเปิดสวิตช์ไฟดังแชะทำให้หนูแทบสะดุ้ง! ในห้องคุณยายนั้นว่างเปล่า แต่รู้สึกว่ามันเหมือนมีอะไรบางอย่างที่บอกไม่ถูกแผ่ซ่านอยู่ในบรรยากาศของห้องนั้นด้วย...

คืนนั้นคุณแม่ตัดสินใจเปิดไฟในห้องนั้นทิ้งไว้ และพอคุณพ่อกลับมา คุณแม่ก็เล่าเรื่องออดให้ฟัง...มันสยองขวัญจริงๆ ค่ะ

รุ่งขึ้นพ่อให้ช่างมารื้อเอาออดออก แต่ความเสียวสยองยังอยู่ในใจเราทุกคน...ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่ได้เกิดเรื่องประหลาดๆ ที่ชวนให้ขนหัวลุกอีกเลยค่ะ

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 ฉบับวันที่ 15 พฤษภาคม 2556

09 กันยายน 2556

บ้านผีสิง

"อ๊อด" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากผีอำ

ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่ชอบฟังเรื่องผีมาก ฟังแล้วก็กลัวจนอยู่คนเดียวไม่ได้ จนตอนนี้อายุ 20 ปีแล้วก็ยังเหมือนเดิมครับ แต่ผมไม่เชื่อเรื่องผีอำ นอกจากจะคิดไปเองเท่านั้น

พูดถึง "ผีอำ" นี่ผมว่าทุกคนคงเคยโดนมาแล้วทั้งนั้น อธิบายตามหลักวิทยาศาสตร์ว่าเรานอนทับเส้น เลือดลมเดินไม่สะดวกเลยเกิดอาการคล้ายอัมพาตชั่วคราว บวกกับอาการสะลึมสะลือ อยากตื่นแต่ขยับตัวไม่ได้ ลุกไม่ขึ้น และตกอยู่ในภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น คราวนี้พอมองเห็นอะไรอย่าง เงา หรือเสื้อผ้าที่แขวนอยู่มืดๆ จิตก็เอาไปจินตนาการเห็นเป็นผีเป็นสางไป...พูดง่ายๆ ว่าประสาทหลอนนั่นเอง

น่ากลัวอยู่เหมือนกัน แต่มันไม่ใช่ผี! เวลาใครมาเล่าเรื่องผีอำ ผมก็ฟังไปงั้นๆ เพราะไม่คิดว่าเป็นผีเป็นสางซักนิดเดียว

จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์หนึ่งขึ้นกับตัวผมเมื่อต้นปีนี้เอง!

ผมไปค้างบ้านคุณป้าที่นครสวรรค์ ตอนนั้นเราไปทำบุญกัน มีผม แม่ พี่สาวและน้องชาย เรานอนรวมกันในห้องของคุณป้า ส่วนลุงเขยซึ่งเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เสียสละย้ายไปนอนห้องรับแขก

จริงๆ แล้วบ้านนี้เป็นบ้านเช่าครับ คุณป้ากับคุณลุงเป็นคนกรุงเทพฯ แต่เมื่อมาทำงานที่นี่ก็เลยหาบ้านที่อยู่สะดวกสบายอยู่กันสองคนตายาย เพราะลูกสาวยังเรียนอยู่อเมริกา

คืนนั้นผมปูที่นอนลงกับพื้นข้างเตียง วางเรียงไปสามที่คือผมกับพี่สาวและน้องชาย ส่วนคุณป้ากับแม่นอนบนเตียง

ดึกมากแล้วครับ..สองยามกว่าเห็นจะได้ แม่ยังคุยกับคุณป้าโดยมีพี่เอ้และน้องอั๋นนั่งร่วมวงด้วย ส่วนผมนอนฟังเขาคุยกัน รู้สึกเหมือนจะไม่สบายยังไงไม่รู้ อาจเป็นเพราะนั่งรถไฟมาตั้งห้าชั่วโมงกว่า แล้วยังมาช่วยคุณป้าซื้อของทำบุญสำหรับพรุ่งนี้อีก

ผมรู้สึกง่วงงุนอย่างประหลาด จำได้ว่าตัวเองนอนหงาย มือขวาวางบนอก และทันทีที่หลับตาก็รู้สึกเหมือนมีแรงแม่เหล็กดึงจิตใจผมให้ดิ่งลง...ดิ่งลง...

ผมไม่เคยเป็นแบบนี้เลยครับ ก็เลยพยายามดิ้นรนและลืมตาขึ้น ทุกอย่างในห้องยังปกติ...เสียงแม่กับคุณป้าคุยกัน สลับกับเสียงหัวเราะของพี่เอ้กับน้องอั๋น ผมถอนใจแล้วหลับตาลงอีก...ความรู้สึกเดิมก็กลับมา! มันน่ากลัวจริงๆ เหมือนมีอะไรฉุดดึงให้เราดิ่งลิ่วๆ ลงไปในหุบเหวที่มืดมน...

คราวนี้ผมไม่สามารถช่วยให้ตัวเองหลุดพ้นจากมัน ได้เลย!

สยองยิ่งกว่านั้น คือความหนาวเหน็บจับใจ แทงเข้าไปถึงกระดูกดำทั้งร่าง หนาวอย่างบอกไม่ถูก คล้ายกับความอบอุ่นแห่งชีวิตทั้งหมดถูกสูบออกไปอย่างฉับพลัน

ทันใดนั้น ผมมองเห็นร่างที่น่ากลัวที่สุดร่างหนึ่งนั่งอยู่บนเตียง ที่แม่กับป้ากำลังคุยกันอยู่...มันก้มลงมองผม ใบหน้ามีแต่เนื้อแห้งๆ ติดกระดูกเป็นหย่อมๆ ตากลวงโบ๋ จมูกโหว่ และปากก็น่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน...

มันมีปากครับ แต่แห้งและร่นขึ้นไปจนฟันยื่นออกมา ผมเผ้าของมันเกรอะกรังรุงรัง และนั่น...รอบคอของมันมีเชือกเปื้อนเลือดเปื้อนน้ำเหลืองรัดอยู่แน่น มันครางเสียงแหบๆ และก้มลงมาเรื่อยๆ จนห่างจากหน้าผมแค่คืบ กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งแทบสำลัก มือสองข้างของมันยืดออกมายึดแขนผมไว้แน่นจนผมเจ็บ....

รู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ทั้งๆ ที่ทุกสิ่งทุกอย่างในห้องยังชัดเจนราวกับผมไม่ได้หลับ...แม่กับป้าคุยกัน พี่เอ้กับอั๋นทำท่าง่วง แล้วลงมานอนข้างผม

ด้วยเรี่ยวแรงที่เหลือเพียงน้อยนิด ผมร้องออกมาและเห็นพี่เอ้ชะงักจากการปัดหมอนปัดที่นอน เธอมองผมแล้วหัวเราะ คล้ายขำว่าผมนอนกัดฟัน นอนละเมอ! โธ่เอ๋ย...ผมกำลังจะขาดใจตายอยู่แล้ว!

ขอนิดเดียว...ขอให้เธอจับตัวผมเขย่า...

คำภาวนาของผมได้ผล!

พี่เอ้จับแขนผมเขย่าเบาๆ เท่านั้นละครับ ผมตื่นขึ้นมาเต็มที่ ผีร้ายหายไป แต่ผมยังเจ็บแขนไม่หายเลย...เจ็บทั้งสองข้าง! ผมร้องว่าถูกผีอำ ผีหลอกเกือบตาย...

ปรากฏว่าบ้านที่คุณป้ามาเช่านี้ ชาวบ้านเขาลือกันว่าเป็นบ้านผีสิง เพราะเจ้าของบ้านผูกคอตายอยู่เดียวดาย กว่าจะมีคนมาพบศพก็เป็นเดือนแน่ะครับ

คุณลุงคุณป้าไม่กลัวผี ส่วนผีตนนั้นก็ไม่มาหลอกท่าน เพิ่งจะมาโดนแจ๊กพอตที่ผมนี่แหละ ผู้ใหญ่บอกว่าเขาคงมาขอส่วนบุญน่ะ

ผมเชื่อว่างานนี้ผีมาจริงๆ ก็เพราะผมไม่เคย รู้เรื่องคนผูกคอตายมาก่อนเลย แต่สิ่งที่ผม เจอน่ะมันตรงกับข้อมูลประวัติของบ้านนี้อย่างน่าขนลุกครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 ฉบับวันที่ 14 พฤษภาคม 2556

06 กันยายน 2556

พบกันที่สนธยา

"แก้วตา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากภาพสยองขวัญ

ดิฉันอยู่แถวดินแดง กรุงเทพฯ นี่เองค่ะ ระหว่างถนนรัชดาฯ กับวิภาวดีฯ มีถนนและซอยต่างๆ แผ่กระจายเหมือนใยแมงมุม...เหตุการณ์สยองขวัญอุบัติขึ้นที่หน้าบ้านดิฉันเอง!

ฝั่งข้ามเป็นตึกแถวเรียงราย มีซอยคั่นทุกหลังขนาดรถแล่นเข้าได้ก็มี เป็นทางเดินแคบๆ ก็มี ตึกแถวมีทั้งเรียงรายราว 5-6 ห้อง กับมีแค่ 2 ห้องที่ทะลุถึงกัน แต่ทุกวันนี้เป็นตึกร้างไปแล้ว

มองจากระเบียงบ้านดิฉันไป คือตึกแถว 5 ห้องที่เปิดเป็นร้านอาหาร ร้านขายของชำ อีก 2 ห้องริมซอยเล็กๆ เป็นที่อยู่อาศัย มีรถราขวักไขว่ตอนกลางวัน ผู้คนก็เดินเข้าออกหนาตา บางคนเงยขึ้นมาร้องทักทาย บางคนดิฉันก็ทักลงไป ล้วนแต่คุ้นๆ หน้ากันทั้งนั้นค่ะ

มอเตอร์ไซค์ทั้งส่วนตัวและรับจ้างแล่นกระหึ่ม ส่วนมากมักจะระมัดระวังอันตรายกันพอสมควร...เสียแต่ไม่ค่อยชอบสวมหมวกนิรภัยกันเสียเลย!

ขนาดออกถนนใหญ่ยังไม่สวมเลยค่ะ เห็นแล้ว เสียวไส้แทน ตำรวจก็ไม่สนใจจับกุม หรือว่ากล่าว ตักเตือนหรอก รู้ทั้งรู้ว่าอันตรายเหลือเกิน ถ้าสวม หมวกกันน็อกจะช่วยได้มากเชียว

เพราะเหตุนี้เอง เรื่องสยองขวัญจึงอุบัติขึ้นต่อหน้าต่อตาดิฉันเอง!

วันเกิดเหตุเป็นบ่ายวันอาทิตย์ ดิฉันไปนั่งที่ม้ายาวริมระเบียงกับหลานชาย มองดูรถรา และผู้คนที่เดินเข้าออกไม่ขาดระยะ ร้านเสริมสวยมีลูกค้าหนาตาเป็นพิเศษ เพราะมาสระผม ไดร์ผมสำหรับไปทำงานในวันรุ่งขึ้น

เสียงมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มจนไม่น่าใส่ใจ แต่แล้วคล้ายมีลางสังหรณ์บางอย่าง ทำให้ดิฉันหันไปมองทางก้นซอยโดยไม่ได้ตั้งใจ

รถเครื่องสีแดงเลือดนกกำลังแล่นลิ่วออกมา คนขับไม่ได้สวมหมวกนิรภัยตามเคย! เสื้อวินสีเขียวทำให้รู้ว่าเป็นมอเตอร์ไซค์รับจ้าง...มีการเคลื่อนไหวทางขวามือ ดิฉันหันขวับไปมองก็ต้องชาวาบไปทั้งตัวบัดดล

เด็กชายวัยสิบขวบกำลังวิ่งออกมาจากซอยเล็กพอดี!

ตาอั้น...แม่ของแกกำลังรอคิวทำผมอยู่ในร้าน...มอเตอร์ไซค์กับเด็กชายกำลังจะพบกันตรงหัวมุมตึกแถว แต่ต่างฝ่ายต่างก็มองไม่เห็นกันหรอกค่ะ...เหมือนภาพ สโลว์โมชั่นน่าสยดสยองสิ้นดี

รถสีแดงพุ่งเข้าชนเด็กชายเสียงโครม!

ทั้งรถทั้งคนกระเด็นลงไปกลิ้งบนถนน ตามด้วยเสียงกรีดร้องโหยหวนเข้าไปถึงหัวใจ ผู้คนวิ่งถลาออกมามุงดู ดิฉันเองก็ลุกพรวดพราดขึ้นไปเกาะลูกกรงระเบียงมอง ลงไป เห็นแต่หัวดำๆ กับเสียงพูดเซ็งแซ่...เลือดแดงฉานไหลนองอยู่บนพื้นถนนจนดิฉันรู้สึกปวดมวนในช่องท้อง ภาพต่างๆ พร่าเลือนไปชั่วขณะ

ตั้งแต่เกิดมา ดิฉันไม่เคยเห็นภาพสุดสยองแบบนี้มาก่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว!

ทรุดร่างลงนั่งแปะตามเดิม เสียงหลานชายซักถามอะไรดังแว่วๆ รู้สึกหัวใจเต้นแรง แทบกระทบโพรงอก มือเท้าเย็นชืดไปหมด...ได้ข่าวว่าเด็กชายสลบคาที่ คนขับมอเตอร์ไซค์ศีรษะแตก ดูเหมือนแหลกยับเยิน เพราะไม่ได้สวมหมวกนิรภัย

ไปตายที่โรงพยาบาลทั้งคู่เลยค่ะ!!

เวลาผ่านไปเกือบเดือน มีอุบัติเหตุเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นหลายราย ชาวบ้านแทบจะลืมเหตุการณ์สยองขวัญนั้นไปเกือบหมด แต่ดิฉันยังจำได้ว่าคนขับมอเตอร์ไซค์คันนั้นชื่อนายชิต บ้านอยู่แถวตลาดใกล้ๆ กันกับตาอั้น-เด็กน้อยที่ต้องมาตายก่อนวัยอันสมควร

ดิฉันยังออกไปนั่งเล่นกับหลานชายที่ระเบียงบ้านเสมอ ไม่ทราบมีอะไรมาดลใจให้นึกถึงนายชิตกับตาอั้นผู้ล่วงลับไปแล้ว วันเกิดเหตุ กำลังนั่งคุยกันเพลินๆ เสียงมอเตอร์ไซค์พลันดังกระหึ่มมาจากก้นซอย...

ดิฉันหันไปมองก็เห็นเสื้อกั๊กสีเขียวของรถรับจ้าง แต่เมื่อหันไปทางขวาก็ต้องอ้าปากค้าง เมื่อเห็นเด็กชายคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาวิ่งออกมาจากซอยเล็กเร็วจี๋...

คุณพระช่วย! ภาพสโลว์โมชั่นแสนสยองอุบัติขึ้นมาอีกแล้วค่ะ!

มอเตอร์ไซค์คันนั้น...นรกเป็นพยาน! คนขับคือนายชิต...ส่วนเด็กชายก็คือตาอั้น! ทั้งสองคล้ายจะนัดพบกันตรงจุดเดิม

ดิฉันได้ยินเสียงโครมสนั่น ร่างตาอั้นกระเด็นไปพร้อมๆ กับรถนายชิตล้มคว่ำ ดิฉันลุกพรวดพราดขึ้นไปคุกเข่าเกาะลูกกรงระเบียง จ้องมองด้วยหัวใจเต้นระทึกแทบจะแตกสลายไป

ไม่มีเสียงหวีดร้อง...ไม่มีใครมามุงดูเหมือนคราวนั้น! รถราและผู้คนยังขวักไขว่ไปมาตามปกติ ดิฉันขยี้ตาแล้วจ้องมองอีกครั้งก็ไม่เห็นภาพสยองอะไรเลย ชั่วขณะหนึ่ง ดิฉันคิดว่าตัวเองคงหมกมุ่นจนตาฝาดไปเองแน่ๆ

หรือไม่ก็พลัดหลงเข้าไปในแดนสนธยาไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ก็เล่นเอาขนหัวลุกไปเลยค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 ฉบับวันที่ 13 พฤษภาคม 2556

05 กันยายน 2556

ผีเด็กพเนจร แถวสะพานควาย

"กอล์ฟ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อผีเด็กมา เล่นด้วย

ผมไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นมาจากไหน? ตามผมมาได้ ยังไง? แถมมาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวผมทำไม? รู้แต่แกไม่ใช่มนุษย์มนาอย่างเรา แน่นอน...แกเป็นผีครับ! บางคืนแกยังคึกนึกสนุกพาเพื่อนมาอีกเป็นฝูง...ผีล้วนๆ เลย!

ผมชื่อกอล์ฟ อยู่มหาวิทยาลัยปี 4 จบปีนี้ล่ะครับ อาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่ประดิพัทธ์ใกล้ๆ สะพานควายนี่เอง บ้านผมไม่เคยมีผีสิงเลย เราอยู่กันแสนสบาย ผมมีน้องสาวอีกคนกำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย

คืนหนึ่ง ผมดูหนังสือสอบอยู่ในห้องนอน เปิดไฟกลางห้องสว่างจ้า ทันใดนั้นผมเห็นหัวเด็กโผล่แวบๆ อยู่ปลายเตียง คือตอนนั้นผมนั่งพิงหัวเตียงไงครับ ตามองหนังสือ แต่หางตาเห็นสิ่งประหลาดสิ่งนั้น ผมเหลือบมอง หัวนั้นก็ผลุบลงไป

เอ๊ะ! มันอะไรกันเนี่ย? ทีแรกคิดว่าตัวเองคงตาลาย หรือไม่ก็อาจเป็นหนูที่ไต่ลงมาตามท่อแอร์ ถ้าเป็นหนูล่ะก็มันจะต้องตัวใหญ่เกือบเท่าแมวเชียว ใจนึกถึงกาวดักหนูทันที แต่ตอนนี้ผมคว้านิตยสารม้วนเป็นท่อน กลมๆ ขณะคลานไปชะโงกมองตรงปลายเตียง

ไม่มีอะไรเลยครับ มันว่างเปล่า สงสัยสมองจะเล่นกลกับสายตาซะล่ะมั้ง?

พอคิดได้ดังนั้น ผมก็ถือโอกาสพักสายตาทั้งที่ยังอยู่ในท่านั่ง เอนศีรษะพิงหัวเตียงแล้วหลับตาลง...แต่แล้วก็ต้องลืมตาตื่นทันที เพราะเตียงไหวยวบเหมือนมีอะไรบางอย่างโดดขึ้นมา...แผ่นดินไหวรึเปล่าหว่า?

ปรากฏว่าตรงปลายเตียงเป็นรอยบุ๋มลงไปจริงๆ

ท่าจะไม่ได้การล่ะ ผมนึกถึงคำว่า "ผี" ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นั่งจ้องอย่างใจระทึกว่า จะมีการสำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรอีกเป็นรายการต่อไป? ผลุนผลันจวนตัวเข้าจะเผ่นอีท่าไหน? เอ...นั่งรออยู่นานก็ไม่มี

นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับผีเด็กตนนี้! สรุปว่าคืนนั้นกว่าจะหลับได้ก็นานเชียวล่ะ มันระแวงนี่ครับ ถึงยังไงตอนเช้าก็ไปมหาวิทยาลัยและสอบได้ไม่ติดขัด นี่คือผลของการได้เรียนวิชาที่ชอบมาก...วิชาจิตวิทยาครับ ผมได้คะแนนเต็มทุกที!

คืนต่อมา ผมเดินลงมาชั้นล่างเพื่อดื่มน้ำในตู้เย็น ตอนนั้นห้าทุ่มกว่า เจ้ากล้วยน้องผมคงหลับฝันหวานไปนานแล้ว พ่อกับแม่ยังดูทีวีอยู่ในห้องนอน ผมได้ยินเสียงลอดลงมา

ส่วน "สาวมอน" สาวใช้จอมแก่นก็คงดูรายการภาคดึกอยู่ในห้อง ไอ้เจ้านี่นอนดึกครับ มันติดทีวีหนับเชียวล่ะ แต่ทำงานบ้านได้ดีมาก...เรื่องนี้เลยต้องยอมปล่อยมันมั่ง

เอาอีกแล้ว! ผมกำลังเปิดสวิตช์ไฟในห้องรับแขก จังหวะที่ไฟสว่างพรึ่บ ผมหวิดสะดุ้ง เมื่อเห็นเด็กผู้ชายอายุราว 5-6 ขวบ วิ่งหายแวบไปทางประตูด้านหลัง ที่จะเปิดไปห้องของมอน...แต่ภาพที่เห็นมันผิดธรรมชาติครับ!

นั่นคือ ร่างนั้นผลุบหายทะลุผ่านฝาบ้านออกไป เล่นเอาผมหน้าชาเห่อ ขนลุกเกรียวไปหมด ยืนยันเลยว่าคราวนี้ผมไม่ได้ตาฝาด! ร่างนั้นแต่งชุดคล้ายๆ นักเรียนอนุบาล หัวก็กลมทุย ท่าทางซน...เอ! พูดอีกทีก็เฮี้ยนน่าดู

ผมขนลุกไม่เสร็จ รีบหยิบขวดน้ำในตู้เย็นเดินกลับขึ้นห้อง ไฟก็ทิ้งให้สว่างไว้อย่างนั้น ไม่ต้องปิดแล้ว เสียวสันหลังอย่าบอกใครเชียว

รุ่งเช้า....ตามฟอร์ม พ่อบ่นเรื่องไฟชั้นล่างที่เปิดทิ้งไว้ ผมเลยได้จังหวะเล่าให้ฟังว่า เห็นเด็กลึกลับวิ่งหายวับไปทางกำแพง พ่อบอกว่าผมดูหนังสยองขวัญมากเกินไป แม่ถือแก้วน้ำส้มค้าง ส่วนเจ้ากล้วยทำท่ากระตือรือร้นเต็มที

อ้อ! มันชอบฟังเรื่องผีครับ ฟังแล้วเอาไปเล่นต่อให้คนอื่นขนหัวลุกเล่นๆ ไง!

ผีเด็กตนนี้มาให้ผมเห็นทุกวัน แกสามารถโผล่ขึ้นมาได้ทุกที่ในบ้าน แม้แต่ตอนผมไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมยังเห็นเด็กอนุบาลตัวเล็กๆ ตอนนี้เลยครับ...

ไม่ได้เห็นเต็มตา แต่แวบไปแวบมาให้รู้ว่า...หนูอยู่ที่นี่นะจ๊ะ อิ อิ อิ!

ไปๆ มาๆ ผมก็ชักชินซะแล้วซี ความรู้สึกที่แท้จริงนั้นไม่ถึงกับกลัวจนสยดสยองอะไร แค่แปลกใจ รู้สึกประหลาดดี เดี๋ยวๆ ก็มาอีกแล้ว แกมาให้เห็น แต่ไม่ได้มาหลอกหลอน...ผมแน่ใจว่าเป็นอย่างนั้นนะครับ

กระทั่งคืนหนึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้เอง ผมรู้สึกถูกผีอำ เป็นผีเด็กมานั่งบนพุงผม ขณะที่เด็กอีกเป็นสิบวิ่งเล่นเอะอะเจี๊ยวจ๊าวรอบๆ เตียงผม เหมือนกลายเป็นสนามเด็กเล่นงั้นแหละเอ้า!

ไม่ไหวล่ะครับ งานนี้...ผมเกิดกลัวแล้วล่ะซี เพราะผีเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับผมได้ แม่เลยพาผมไปทำสังฆทาน เออ...จริงซี ผีอาจมาขอส่วนบุญ! แต่จนป่านนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าผีเด็กนี้เป็นใคร? ตามผมมาทำไม?

ตั้งแต่ทำบุญให้ แกก็หายจ้อยไปเลย อาจจะสำนึกผิดหรืออิ่มบุญแล้วก็ได้ครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 ฉบับวันที่ 23 สิงหาคม 2556

04 กันยายน 2556

เฮี้ยนสุดขีด

"จอม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อถูกวิญญาณติดตาม

ผมเพิ่งเล่าเรื่องไปเที่ยวหัวหินแล้วเจอผีมาหยกๆ ที่ไหนได้ล่ะ เรื่องที่ทำท่าว่าจะจบน่ะมันยังไม่จบ...ผีที่ผมเจอในโรงแรมนั้นตามมาถึงกรุงเทพฯ พวกเราเจอกันทุกคน!

ขอย้อนเหตุการณ์สักนิดว่าผมกับเพื่อนๆ ทั้งชายและหญิงเก้าคน นึกสนุกนั่งรถไฟฟรีไปเที่ยวหัวหินเมื่อวันเสาร์ และได้เข้าพักในโรงแรมที่มีราคาย่อมเยาแต่บรรยากาศแปลกๆ เราได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง แต่เปิดไปไม่มีใคร พอจะเข้านอนก็ปรากฏว่าน้ำหวานเพื่อนผมมองเห็นผีผู้หญิงผมยาวชุดขาว มานั่งอยู่ที่เตียงตรงข้ามที่เพื่อนๆ อีกสี่คนนอนอยู่

พอเธอหวีดร้อง เพื่อนๆ กรูเข้ามาหา ผีก็ตามมาด้วย และเอาเล็บจิกแขนไว้ไม่ให้เธอบอกเพื่อนๆ ว่าเห็นผี!

เช้าวันรุ่งขึ้น เราทำบุญอุทิศส่วนกุศลแล้วก็ขึ้นรถไฟกลับกรุงเทพฯ เหตุการณ์ดูเป็นปกติดี แต่พี่สาวกับแม่ของผมบ่นว่ารู้สึกพิกลๆ เหมือนมีคนที่ไม่รู้ว่าเป็นใครมาอยู่ในบ้านด้วยทั้งคืน

คืนนั้นเอง เจ้าต้น-เพื่อนคนหนึ่งที่ไปด้วยกัน โทร.มาเล่าว่าตอนจะเข้าบ้านน่ะ คนข้างบ้านที่เขาเรียกว่า "ป้าแขก" แกเป็นคนทรง อยู่ดีๆ ก็ทักว่า "ไปเที่ยวมาสนุกมั้ย? เขาตามมาส่งนะ"

ป้าแขกพูดขึ้นลอยๆ ทำเอาต้นขนลุกซู่...ป้าแขก ไม่เคยรู้เรื่องผีที่เพิ่งเจอมาสักหน่อย แล้วแกมาพูดแบบนั้นได้ไง?

ฝ่ายน้ำหวาน สาวผู้โชคดีที่เห็นผีแล้วยังโดนผีหยิกอีกนั้น นึกว่าเรื่องมันจะจบแล้ว แต่เธอเห็นผีผู้หญิง ตนเดิมมายืนอยู่นอกประตูกระจก ที่จะเปิดออกสู่ระเบียง...น้ำหวานร้องไม่ออก แต่เข่าอ่อนยวบ ทรุดลงไปกองกับพื้น ก่อนจะคลานไปเคาะประตูห้องแม่ ขอนอนด้วย

ส้มโอ เพื่อนซี้ของหวานเล่าเสียงสั่นเครือคล้ายสะอื้นว่า เธออาบน้ำเตรียมตัวนอน พอออกจากห้องน้ำก็มานั่งหวีผมที่โต๊ะเครื่องแป้งในห้องนอน...เธอเหลือบเห็นเงาสะท้อนในกระจกอย่างชัดเจนว่ามีผู้หญิงผมยาวมาก หน้าซีด แต่งชุดขาว มานั่งยิ้มอยู่บนเตียงของเธอ!

เจ้าปั๊มเพื่อนของผมนั่งดูทีวียามดึกอยู่กับแม่ ได้ยินเสียงกดออดหน้าประตูรั้ว มันก็เลยลุกขึ้นไปดูว่าใคร มา และ...ใช่เลยครับ! ผู้หญิงผมยาวใส่ชุดขาวยืนตัวตรงแหนว...ยิ้มให้อย่างสวยงามอยู่ที่หน้าประตูนั่น

แป้ง เพื่อนสาวร่วมทีมของเราบอกว่าเธอเข้านอน ปิดไฟ ห่มผ้า ตั้งท่าจะหลับอยู่แล้ว ก็พอดีได้ยินเสียงก๊อกแก๊กแบบคนมาค้นของในห้อง พอลืมตามองไปก็เห็นชัดเลยว่าผีผู้หญิงผมยาวกำลังหยิบเครื่องสำอางของเธอมาดูเล่น...

ไฟที่ถนนส่องผ่านหน้าต่างเข้ามา แป้งขยี้ตาแล้วก็ต้องแผดเสียงลั่นจนตัวเองแสบแก้วหู เมื่อแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้ตาฝาดหรือฝันไป

เพื่อนอีกสามคนก็ได้กลิ่นธูปบ้าง กลิ่นศพและกลิ่นดอกไม้แห้งบ้าง ตามไปไหนต่อไหนด้วยตลอด!

เย็นวันจันทร์ เราได้ฟังเรื่องจากทุกคนแล้ว ก็เลยไปหาป้าแขก-เพื่อนบ้านของต้น เพราะแกเป็นที่พึ่งเดียวของพวกเรา ป้าแขกบอกว่าผีผู้หญิงยังอยู่ในกลุ่มของเรา นี่แหละ เพราะเธอชอบพวกเรามาก อีกอย่างเธอได้ พลังความเป็นวัยรุ่นของเราไปเพิ่มให้ตัวเอง ทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น

ผมกับเพื่อนๆ คุยกันว่า ใช่แล้ว! ผีได้ซึมซับเอาพลังชีวิตของพวกเราไป เหมือนได้ชาร์จแบตเตอรี่น่ะครับ ก็เลยปรากฏตัวให้เราเห็นได้

ป้าแขกบอกว่าเธอไม่ได้ตั้งใจมาหลอกหลอน เธอเพียงแต่ติดใจพวกเราเท่านั้น...เนี่ย! ยังนั่งยิ้มอยู่เลย! ป้าแขกเห็นแบบนั้นจริงๆ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอ เป็นใคร? มาจากไหน? เราขอให้ป้าแขกเจรจาให้หน่อย ให้เธอไปๆ ซะ ไม่งั้นพวกเราแย่แน่ กลัวจนไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว

คำแนะนำจากป้าแขกคือ ทำสังฆทานและให้พระท่านสวดมนต์ รดน้ำมนต์ให้! เราก็ไปวัดราชาฯ ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย ไปเล่าเรื่องนี้ให้พระท่านฟัง ท่านก็เมตตาช่วยสวดมนต์และพรมน้ำมนต์ให้เรา

ผมบอกจริงๆ ครับ ว่าเราไม่มีทางรู้เลยว่าผีสาวตนนั้นกลับไปหัวหินรึยัง? หรือว่าอยากเที่ยวกรุงเทพฯ ต่อ รู้แต่ว่าเสียวสยองกันสุดฤทธิ์ พวกเรากลายเป็นคนขวัญอ่อน สะดุ้งง่าย และกลายเป็นเด็กติดแม่ คือตามแม่แจกันทุกคน!

แม่เราบางคนหาพระให้คล้องคอให้เรารู้สึกมั่นใจและปลอดภัย ซึ่งก็ช่วยได้ระดับหนึ่งครับ

บอกตรงๆ ขณะเขียนถึงเขาอยู่นี่ผมยังหวาดๆ เสียวสันหลังชะมัด มันรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีใครมานั่งดู ผมเขียนหนังสืออยู่ตรงนี้ อุปาทานหรือเปล่าก็ไม่รู้สิ...ผมไม่อยากหันไปมองเลยครับ! บรื๋ออออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 ฉบับวันที่ 26 สิงหาคม 2556

03 กันยายน 2556

บ้านกลางป่าช้า โดย DJ ป๋อง กพล ทองพลับ

คอลัมน์ ชั่วโมงพิศวง ตอน บ้านกลางป่าช้า
ดีเจ.ผี ป๋อง กพล ทองพลับ 152 เรียก เดอะช็อค

เรื่องราวที่จะนำเสนอให้คุณผู้อ่านได้รับทราบวันนี้เป็นเรื่องที่คุณผู้ฟังท่านหนึ่งโทร.มาเล่าให้เราฟังที่รายการเดอะช็อคทาง F.M.102 ขส.ทบ.

ซึ่งทำให้ผมงงกับการไปปลูกบ้านพักอาศัยในป่าช้าหลังเดียวโดดๆ ไม่มีบ้านใกล้เคียงให้พูดคุย ไม่มีสังคมหรือกิจกรรมร่วมกับใครมากมายนัก แต่ก็อยู่ได้ทั้งที่ที่แห่งนั้นเป็นเขตของผี

ที่มากไปกว่านั้นก็น่านับถือตรงที่เออ...อยู่คนเดียวครับคุณผู้อ่าน

รอบๆ บ้านก็เป็นป่าช้าทำไมถึงกล้าอย่างนั้น

มาครับจะพาไปรับฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ดู

คือดิฉันมักจะกลับบ้านไปเยี่ยมคุณแม่อยู่เป็นประจำ จนวันหนึ่งดิฉันก็ชวนแฟนที่คบหากันไปเยี่ยมแม่ด้วยกัน ซึ่งแฟนดิฉันไม่เคยไปบ้านแม่ดิฉันเลย ดิฉันก็บอกเขาว่าต้องรีบไปหน่อยนะเพราะว่าถ้าไปเย็นมากมันจะลำบากเพราะทางเข้าบ้านมันมืดไม่มีไฟ และบ้านก็อยู่ห่างไกลชุมชน

แฟนดิฉันเขาก็บอกว่าต้องรีบไปแต่วันเลยหรือไปช่วงเย็นดีกว่ารถไม่ติด ลพบุรีแค่นี้เอง

ดิฉันก็ไม่กล้าพูดว่าบ้านแม่ดิฉันนั้นอยู่ที่ป่าช้าเพราะเขาเป็นคนกลัวผีเอามากๆ กว่าดิฉันจะตกลงกับเขาได้ก็เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกันจนเขาเชื่อดิฉัน

เราออกเดินทางกันไปตั้งแต่ช่วงบ่ายพอไปถึงบริเวณที่จะใกล้บ้านเขาก็พยายามมองหาบ้านที่แม่ดิฉันอยู่ ดิฉันจึงบอกเขาให้จอดรถเอาไว้ที่วัดแล้วต้องเดินไปทางหลังวัดโน่น เขาทำหน้าตางง แล้วถามดิฉันว่ามีผีหรือเปล่า ซึ่งดิฉันก็อดหัวเราะไม่ได้

เขาเดินไปหลังวัดกับดิฉันช่วงนั้นเป็นเวลาก็ 5 โมงเย็นเศษๆ เขาถามว่า...? นี่มันป่าช้านี่แล้วบ้านแม่คุณอยู่ในนี้เหรอ ใช่บ้านแม่อยู่กลางป่าช้านี่แหละ

ดิฉันเห็นเขาขนลุกสะบัดตัวอยู่ครู่หนึ่งจนดิฉันพาเขาถึงบ้านก็เจอแม่รอเราอยู่ พอพูดคุยแนะนำให้รู้จักเสร็จก็ทานข้าวอาบน้ำก็นั่งเล่นสักพักก็ชวนกันนอนเพราะต่างจังหวัดเขานอนกันแต่หัวค่ำ

แต่ด้วยเขาเป็นคนกรุงเทพฯ และค่อนข้างที่จะนอนดึกก็บ่นกับดิฉันว่านอนไม่หลับ ที่นี่แปลกๆ ยังไงไม่รู้

ดิฉันกับเขานั่งๆ อยู่หมามันก็หอนเสียงโหยหวนลั่นป่าช้าไปหมด แฟนดิฉันนั่งขนลุกแล้วนอนหลับตาอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่ๆ

จนดิฉันเผลอหลับไปตอนไหนก็ไม่ทราบในช่วงเวลาที่หลับนั้น ดิฉันไม่รู้เรื่องอะไร เพียงรู้สึกว่าเขาคอยเรียกดิฉันอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับเอามือมาโยกไหล่

ด้วยความง่วงดิฉันก็บอกเขาว่านอนเถอะ เขาก็เงียบไป

จนรุ่งเช้าประมาณสัก 7 โมงดิฉันเห็นเขานอนคลุมโปงก็พยายามปลุกให้เขาตื่นแต่เขาก็บ่นอะไรก็ไม่ทราบจนดิฉันปล่อยให้เขานอน จนเขาตื่นมาอาบน้ำกินข้าวแล้วก็เอ่ยปากบอกว่ากลับเถอะพรุ่งนี้มีงาน

ซึ่งดิฉันก็งงเพราะช่วงนั้นเป็นวันหยุดติดกัน เขาก็เอ่ยปากบอกว่าเมื่อคืนเขาได้ยินเสียงมีคนมาเรียก และก็ได้ยินเสียงคนเดินเหยียบไม้กระดานบนบ้านตลอดทั้งคืนเล่นเอานอนไม่หลับ ไม่กล้าเปิดผ้าห่มออกมาดู

ดิฉันก็รู้ว่าเขากลัวมาก แม่ดิฉันก็เดินมาแล้วบอกว่ากลับกรุงเทพฯ กันก็ได้นะที่นี่ผีมันดุ

เท่านั้นเองแฟนดิฉันก็หน้าซีดเหมือนมีแป้งมาทาที่หน้าทั้งกระป๋อง ดิฉันกับแฟนจึงลาแม่กลับกรุงเทพฯ เรื่องก็มีแค่นี้แหละค่ะ

เรื่องของคุณผู้ฟังท่านนี้ถ้าฟังเรื่องราวทั้งหมดอาจจะไม่น่ากลัวแต่สำหรับเราเดอะช็อคแล้วมันบ่งบอกถึงความกล้าของคุณแม่ที่ท่านกล้าอยู่คนเดียว เราจึงตัดสินใจที่จะส่งทีมงานอย่างคุณโก้พริ้ว ณ ราชบุรี กับคุณเก่ง ประตูผีไปนอนพักที่บ้านหลังนี้หนึ่งคืน ก็คงจะเป็นต้นเดือนสิงหาคมนี้โดยไปกันแค่ 2 คนเท่านั้น

พร้อมอุปกรณ์ที่เรามีอยู่ไม่ว่าจะเป็นกล้องวิดีโอ กล้องภาพนิ่ง แต่เราจะสามารถบันทึกวิญญาณที่มีอยู่ที่นั่นได้มาหรือไม่อย่างไรยังไม่รู้

เพราะการทำงานทุกๆ ครั้งเราก็ไม่ได้ที่จะท้าทายแต่อย่างไร แต่ด้วยจุดประสงค์จะพิสูจน์ความจริงเพียงอย่างเดียวเท่านั้นครับ

ได้ผลอย่างไรคงมาเขียนบอกกล่าวให้คุณผู้อ่านได้รับทราบกันต่อไป เจอกันพรุ่งนี้อีกหนึ่งวันสวัสดีครับ

ที่มา : คอลัมน์ ชั่วโมงพิศวง - ข่าวสด หน้า 27 - ฉบับวันที่ 17 กรกฏาคม 2547

02 กันยายน 2556

สุ่มหัวผี

"ครูสงค์" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากแม่น้ำน้อย

เส้นเลือดแห่งการยังชีพของชาวจังหวัดอ่างทอง ที่นอกเหนือจากแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว ยังมีแม่น้ำน้อยอีกสายหนึ่งที่ชาวโพธิ์ทองและชาววิเศษชัยชาญ ได้อาศัยลำน้ำน้อยหล่อเลี้ยงการยังชีพตลอดมา

อาม้าไน้ (อาม้าชื่อไน้) เล่าว่า ถ้าเริ่มเดือนอ้าย น้ำเริ่มถอยลง จากลำแม่น้ำที่เคยกว้างใหญ่ก็จะแคบลงมา คงทิ้งร่องรอยแห่งดินตะกอนให้เห็น ชายฝั่งแถบใดเป็นที่เนินลาดชาวบ้านจะปลูกพืชผักสวนครัว อาทิ มะเขือ แตงกวา บวบ แฟง ฯลฯ ไว้กินกันแทบทุกบ้าน

สาเหตุเพราะต้นไม้ล้มลุกเหล่านี้อายุสั้น ใช้พื้นที่ไม่มากนัก และก็ชอบดินตะกอนทำให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์ดีมาก

ถ้าบริเวณใดเป็นหาดลาดเทก็จะมีหญ้าขึ้นงอกงาม...

โดยเฉพาะชายหาดหน้าบ้านอาม้าจะมีหญ้าขึ้นพอสมควร ไม่ถึงกับรกรุงรังอะไรนัก ต้นหญ้าเหล่านี้พอถึงฤดูหัวน้ำขึ้น น้ำจะท่วมยอดหญ้า...ลักษณะน้ำท่วมเช่นนี้เองเป็นเหตุให้ปลาสร้อย ปลาซ่า เข้ามาหาหินและผสมพันธุ์กัน

...ที่นั่นเองจะมีปลาขึ้นเป็นคู่ๆ จนกลายเป็นฝูงขนาดใหญ่ ชาวบ้านจะแอบมาสุ่มปลากันตอนกลางคืนเป็นประจำ!

ถ้าอาม้าดับตะเกียงเมื่อไหร่ สักครู่ใหญ่ๆ เท่านั้น จะมีมือสุ่มค่อยๆ ดุ่มออกจากดงโสน โคนกอไผ่ กอลำเจียก กันเป็นทิวแถว...ลงไปล่าเหยื่ออย่างเงียบเชียบ รับรองว่าครอบสุ่มลงไปต้องได้ปลาสร้อยปลาซ่าไม่ต่ำกว่า 20 ตัว ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นเครื่องล่อใจใครต่อใครหลายคน ต่างมุ่งดิ่งตรงมายังชายน้ำหน้าบ้านอาม้าเหมือนนัดแนะกันไว้

จนกระทั่งถึงคืนเกิดเหตุสยองขวัญ!

ขณะที่ทุกคนกำลังสนุกสนานกับการสุ่มปลาซ่าอย่างลืมตัว ยิ่งได้ปลามากยิ่งสนุกมาก ทันใดนั้นเองก็มีเสียงมือสุ่มคนหนึ่ง คือ ทิดยม ร้องอุทานอย่างตระหนกตกใจสุดขีด พร้อมกับเหวี่ยงสิ่งหนึ่งที่ติดมือ แต่ยังอยู่ในสุ่ม ซึ่งไม่สามารถลอดหัวสุ่มออกมาได้... คนอื่นๆ หันไปมองเหมือนนัดกันไว้

อารามตกใจบวกกับความหวาดกลัว ทำให้ทิดยมวิ่งไปทั้งๆ ที่สุ่มยังติดมือ!

นักสุ่มคนอื่นๆ ที่เห็นเหตุการณ์พลอยตระหนกตกใจไปตามๆ กัน ต่างคนต่างวิ่งตามเพื่อนไปเป็นกลุ่มจนน้ำกระจาย จนกระทั่งไปทันกันที่ชายตลิ่ง...ทิดยมหอบฮั่กๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยแทบจะขาดใจตาย

"เป็นอะไรวะ? หนีอะไร?" เสียงถามแซ่แซ่ด ทิดยมทำหน้าสยองเต็มที ก่อนจะตอบเสียงขาดเป็นห้วงๆ ทั้งเหนื่อยและตกใจแทบเสียสติ

"ข้า...ข้าสุ่มเอาหัวผีเข้าน่ะซีวะ! โอย..."

"ฮ้า?" คนอื่นๆ ผงะหน้า "เอ็งสุ่มหัวผีเข้าหรือวะ?"

"เออ...ไม่รู้ใครตัดหัวผีมาทิ้งไว้ ยังมีผมเผ้าติดอยู่เลย! โอย...พูดแล้วขนลุก..."

คนที่ได้ยินคำยืนยันล้วนหวาดผวาไปตามๆ กัน...ปากต่อปาก ข่าวแพร่สะพัดราวกับจุดไฟเผาทุ่งปานนั้น!

วันพรุ่งรุ่งขึ้น เป็นที่โจษขานกันทั่วคุ้งคลอง ต่างวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานาไม่เป็นที่ยุติเสียที...มีอยู่คนเดียวที่หัวเราะร่าเหมือนมีอารมณ์ขันทั้งวันทั้งคืน เป็นที่สงสัยใคร่รู้กันว่ามีสาเหตุจากอะไรแน่?

อาม้านั่นเอง...ที่หัวเราะอย่างมีสุข เพราะไม่มีใครมารบกวนการหลับนอนของแกในยามค่ำคืน...ไม่มีเสียงหมาเห่ากระโชกให้หนวกหูอีกต่อไป! ข้อสำคัญที่สุด อาม้าก็เอาลอบดักปลาไปวาง จะได้ปลาสร้อย ปลาซ่ามากมาย แทนที่จะเป็นเหยื่อของชาวบ้าน

ว่าแต่ต้นตอของเรื่องนี้มาจากอะไรกันแน่?

เมื่ออาม้าไน้อารมณ์ดี ว่างจากการพายเรือขายของ ผมลองถามดูว่าอาม้าเชื่อหรือไม่ว่าเป็นหัวผีที่ทิดยมแกสุ่มเจอเข้า เล่นเอาขนลุกขนพองไปตามๆ กัน จนไม่มีใครกล้ามาลักลอบสุ่มปลาที่นั่นอีกต่อไป อาม้าได้ฟังคำถามถึงกับหัวเราะปากกว้าง น้ำหมากกระเซ็นทีเดียว ก่อนจะเล่าให้ฟังว่า...

"เรื่องมันบังเอิญน่ะ อั๊วไม่ได้ตั้งใจหรอกว่ะ ว่าแต่ลื้อฟังแล้วต้องเงียบๆ ไว้ อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครรู้นะ...ขอร้อง"

เรื่องของเรื่องก็คือ อาม้าเอามะพร้าวกล้อนทิ้งไว้ชายตลิ่ง นานๆ เข้าขุยมะพร้าวมันก็ชักหายไป เหลือแต่ใยมะพร้าวติดกับลูก...เมื่อหญ้าขึ้นปกคลุมทำให้มองไม่เห็นลูกมะพร้าว พอคนมาสุ่มปลาครอบลงไป เจอะเจอมะพร้าวเจ้ากรรมก็ตกใจสุดขีดแทบสติแตกทันที

นั่นคือ คิดว่าเป็นหัวคนที่มีเส้นผมติดอยู่ ไม่ว่า จะนึกว่าผีหลอกหรือเป็นผีหัวขาดจริงๆ ก็เกือบ ช็อกตายทั้งนั้นแหละ...แค่นึกถึงภาพก็น่าขนหัวลุกแล้ว จริงไหมครับ?

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 21 สิงหาคม 2556

01 กันยายน 2556

ผีกระสือมลายู

"นายนุ้ย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเรื่องผีกระสือในมลายู

เมื่อเด็กๆ ผมอยู่ในมลายู(ปัจจุบันคือมาเลเซีย) ได้ฟังผู้ใหญ่เล่าเรื่อง

ผีๆ สางๆ หลายเรื่อง กระทั่งย้ายมาอยู่ในเมืองไทยแล้วจึงได้รู้ว่า คนในย่านนี้มีความเชื่อเรื่องผีคล้ายๆ กันแทบไม่น่าเชื่อ

คนไทยเชื่อว่าเสือสมิงมีจริง สาเหตุมาจากกินคนเข้าไปแล้วเกิดติดใจในเนื้อมนุษย์ คงจะติดใจจนจับกินหลายคน วิญญาณผู้ตายสิงอยู่นานๆ ก็แก่กล้าถึงขนาดทำให้เสือแปลงร่างเป็นคนได้ตามใจชอบ

ไม่ว่าผู้ใหญ่หรือผู้ชาย เด็กหรือคนแก่ (ที่เคยตกเป็นเหยื่อมาก่อน) เพื่อล่อหลอกให้เหยื่อรายใหม่ตายใจ ได้โอกาสก็ตะครุบกินอย่างง่ายดาย

ที่มลายูก็เชื่อเรื่องเสือสมิงแบบเดียวกับเมืองไทยนั่นแหละครับ มีพวกนายพรานกับพวกหาของป่า รวมทั้งพวกลูกหาบที่รอดตายกลับมาเล่าตรงกันว่าเคยพบเสือสมิงมาขบหัวคนไปกิน เห็นเป็นคนอยู่ดีๆ ก็กลายเป็นเสือโคร่งตัวใหญ่ คำรามโฮก ขย้ำคอหอยคนชะตาขาดตายคาที่

คนอื่นๆ ก็ตกใจแทบเสียสติ ทั้งร้องทั้งวิ่งหนีจนป่าราบไปตามๆ กัน

"ผีกระสือ" ก็เชื่อตรงครับ

ไทยเราเชื่อว่าผีกระสือจะออกหากินตอนกลางคืน อาหารคืออาจมและของสดๆ คาวๆ คล้ายผีปอบ บางแห่งก็เชื่อว่าผู้หญิงที่คลอดลูก

ใหม่ๆ มีน้ำคาวปลา เลือดสดๆ ด้วย ผีกระสือได้กลิ่นเลือดก็จะมาหากิน ที่หนักกว่านั้นก็คือกินเด็กทารกแรกเกิดนั่นเสียด้วย

เมื่อกินแล้วก็จะเช็ดผ้าที่ใครตากค้างคืนไว้ รุ่งเช้ามาเห็นเข้าก็รู้แน่ว่าในย่านนั้นมีผีกระสือ

สิ่งที่ตรงกันอีก 2-3 อย่างก็คือ ผีกระสือจะเป็นผู้หญิง มีทั้งสาวและแก่ ข้อสำคัญคือมีแต่หัวกับตับไตไส้พุง ล่องลอยไปในอากาศพลางส่องแสงวูบวาบไปด้วย จะมีแตกต่างกันนิดหน่อยก็ตรงที่กระสือไทยมีแสงสีเขียว ส่วนกระสือที่มลายูมีแสงสีเหลือง

ผีกระสือทั้งสองชาตินี้มีความกลัวหนามแหลมๆ จะเกี่ยวไส้มันตรงกัน!

วิธีป้องกันผีกระสือของไทยกับมลายูก็เหมือนกันด้วยครับ

เมื่อรู้ว่ากระสือกลัวหนาม เพราะสังเกตจากการลอยตัวสูงๆ ของมัน คนไทยจึงใช้หนามไผ่มาสะรั้วสูงๆ เพื่อป้องกันมันเข้าเขตบ้าน เพื่อความรอบคอบยังปลูกกอไผ่และมะขามเทศเอาไว้รอบๆ อีกด้วย

สมัยโบราณ ตามชนบทที่เชื่อว่ามีผีกระสือมาป้วนเปี้ยน ก่อความเดือดร้อนในหมู่บ้าน ก็เอาหนามพุทรามาสะไว้ตรงใต้ถุนตรงร่องถ่าย

หนัก-เบา เพื่อป้องกันภัยกับช่วยให้สบายใจขึ้น

มีคำพูดเก่าๆ ว่า "กันกระสือล้วงก้น"

มลายูเรียกผีกระสือว่า ฮันตู ปินังกาลัน มีรสนิยมเรื่องอาหารคล้ายคลึงกับผีปอบไทย คือชอบกินของสดๆ คาวๆ มากที่สุด โดยเฉพาะเด็กแรกเกิดต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ หาไม่จะตกเป็นเหยื่อกระสือโดยง่าย

เขาใช้ไม้มีหนามป้องกันแบบไทยเรา ผมลืมชื่อเสียแล้ว แต่จำได้ว่ากิ่งและใบของมันมีลักษณะเหมือนลำเจียก โดยนำมาแขวนไว้ตามประตูหน้าต่างที่หญิงคลอดลูกใหม่ๆ หลับนอนอยู่ เชื่อว่าผีกระสือจะกลัวไม้ชนิดนี้เกี่ยวไส้มันจนเจ็บปวดทรมานและหลบหนีมนุษย์ไม่พ้น

ชาวมลายูอาจจะกลัวผีกระสือมากกว่าไทย หรือไม่กระสือมลายูก็ดุร้ายกว่าเรา เพราะเมื่อมีเด็กแรกเกิดเขาจะใช้แป้งเจิมหน้าผากเด็ก โดยเด็กชายเจิมเป็นรูปคล้ายสามง่าม ส่วนเด็กผู้หญิงเจิมเป็นรูปกากบาท

ผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่าเป็นความเชื่อมาแต่โบร่ำโบราณ ว่าผีกระสือเห็นแล้วจะหวาดกลัวจนรีบหนี (หมายถึงมันเล็ดลอดไม้หนามเข้าไปได้) อาจจะเข้าทำนองผีไทยกลัวผ้ายันต์ที่ลงคาถาอาคมศักดิ์สิทธิ์ ปิดไว้ตามประตูหน้าต่างก็เป็นได้

ถ้าใครประมาทหรือดูหมิ่นก็มักจะพบเคราะห์กรรมโดยไม่นึกฝัน!

ก่อนที่ครอบครัวผมจะอพยพมาอยู่เมืองไทย มีผู้หญิงคนหนึ่งเพิ่งคลอดลูกได้ไม่กี่วัน ญาติผู้ใหญ่ก็ไปเจิมหน้าเด็กและหาไม้หนามมาสะไว้รอบๆ ห้อง แต่เมื่อคล้อยหลังญาติผู้ใหญ่ที่อยู่คนละบ้าน ผัวของเธอเป็นคนมีการศึกษามาจากปีนังเห็นว่าเป็นเรื่องเหลวไหลและงมงายงมงายสิ้นดี จึงลบแป้งที่เจิมหน้าลูกออก กระชากไม้หนามกันผีขว้างออกไปนอกบ้านจนหมดสิ้น

ตอนดึกคืนนั้นเอง ชาวบ้านก็ได้ยินเสียงหวีดร้องโหยหวนของผู้หญิงที่เพิ่งคลอดลูกใหม่ ต่างก็ชวนกันถือไต้ถือไฟออกไปดู

ทุกคนล้วนตกตะลึงไปตามๆ กัน ออกนามพระเป็นเจ้าปากคอสั่น เมื่อเห็นทารกโดนกัดทึ้งเหวอะหวะ ไส้พุงขาดกระจุยกระจาย เหม็นคาวเลือดคละคลุ้ง แม่ของเด็กร้องไห้ปิ่มว่าจะขาดใจตาย ส่วนพ่อเด็กคนต้นเรื่องก็ฟุบหน้าลงร่ำไห้กับฝ่ามือทั้งสองข้างสะอึกสะอื้นจนตัวโยน

เมื่อเขาดูหมิ่นความเชื่อของบรรพบุรุษ จึงถูกลงโทษทันตาเห็นเช่นนี้เอง

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 19 กรกฎาคม 2547