"พ่อนก" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของวิญญาณหลงทาง
ผมมีญาติสนิทผู้หนึ่งสร้างอพาร์ตเม้นต์อยู่แถวราชวัตร ได้มอบหมายให้ผมดูแลและเก็บค่าเช่ามาหลายปีแล้ว ภรรยาผมมีฝีมือทางทำกับข้าวต่างๆ ได้หลายอย่าง เราจึงเปิดร้านอาหารเล็กๆ เพื่อเสริมรายได้ที่ชั้นล่าง
คนเช่าห้องส่วนมากฐานะปานกลาง มีทั้งคนทำงานกลางวันและกลางคืน อยู่กันเป็นครอบครัวก็มี เป็นโสดอยู่กับเพื่อนก็มี สาวสวยบางคนก็มีเสี่ยเลี้ยง พากันออกไปกินไปเที่ยวเกือบทุกวันจนน่าอิจฉา
มีอยู่ห้องหนึ่งอยู่ชั้นล่างทางด้านหลัง หมายเลข 106 คนเช่าเป็นสองผัวเมียทำงานบริษัท ดูรักใคร่ปรองดองกันดี...จนเหตุการณ์ไม่คาดฝันอุบัติขึ้น
"ป้าวารี" แม่ของฝ่ายหญิงเดินทางจากลำปางมาเยี่ยมลูกสาวกับลูกเขย ไม่กี่วันก็รู้จักคนเกือบทุกห้อง เพราะป้าวารีช่างพูดช่างคุย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ผมเองก็ถูกชะตาแกไม่น้อยครับ
เมื่อมาอยู่เที่ยวกรุงเทพฯ ได้ราวอาทิตย์เศษ ตอนค่ำวันหนึ่งมากินอาหารที่ร้านพร้อมกันทั้งสามคน ผมได้ยินป้าวารีพูดเปรยๆ ว่าอยากกลับบ้านเสียที แต่ลูกสาวขอร้องให้อยู่ไปก่อน บอกว่าอยากจะอยู่กับแม่นานๆ ไม่ต้องเป็นห่วงลูกหลานทางโน้นก็ได้เพราะโตๆ กันหมดแล้ว
เธอบอกแม่ว่าไม่มีลูกเต้าเหมือนพี่น้องคนอื่น แม่มาอยู่ก็หายเหงาไปได้...ป้าวารีหัวเราะอารมณ์ดีตามเคย รับปากว่าจะอยู่ไปอีกพักหนึ่ง จะได้กินทุเรียนหมอนทองให้จุใจ! ลูกสาวหัวเราะออกมาได้ บอกว่าจะไปซื้อหมอนทองที่ตลาดมาให้แม่กินทุกวัน
ป้าวารีอายุหกสิบต้นๆ ผิวขาว ร่างอ้วนท้วน ผมสีดอกเลาเกล้ามวยไว้ที่ท้ายทอย เคยเล่าให้ผมฟังว่าเป็นทั้งเบาหวานกับความดันเลือดสูง ปกติต้องคุมอาหาร แต่มากรุงเทพฯ ทั้งทีก็ขอตามใจปากลิ้นสักพัก กลับลำปางถึงค่อยอดอยากปากแห้งกันต่อไปใหม่
วันเกิดเหตุ เห็นป้าวารีหิ้วทุเรียนหมอนทองหอมฟุ้งมาจากตลาด บอกว่า อีกสองวันจะกลับบ้านแล้ว ขอกินสั่งลาให้หนำใจสักวัน
คืนนั้นเอง ผมกำลังจะปิดร้านก็พอดีได้ยินเสียงร้องเอะอะโวยวายมาจากห้องด้านหลัง ครั้นวิ่งออกไปดูก็เห็นป้าวารีนอนดิ้นตูมตามอยู่บนพื้น นัยน์ตาเหลือกขึ้นลงน่ากลัว ลูกสาวก็เอาแต่ร้องไห้เขย่าตัว ถามว่า...แม่เป็นอะไร?
ทุเรียนทำพิษแน่ๆ งานนี้!!
ปรากฏว่าป้าวารีกินหมอนทองเข้าไปจนหมด คิดว่าคงไม่ต่ำกว่า 2-3 กิโลกรัม (คิดทั้งเม็ด) ผมวิ่งไปตามแท็กซี่ ช่วยกันหอบหิ้วขึ้นรถเพื่อไปหาหมอ แต่ความที่แกเป็นคนอ้วนใหญ่จึงผลักไม่เข้า ผมต้องเข้าไปในรถก่อนแล้วคอยดึงร่างแกจากข้างใน
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หมอก็บอกว่าแก่สิ้นลมหายใจก่อนจะมาถึงแล้ว
หลังจากงานศพป้าวารี พวกลูกหลานก็กลับลำปางไปแล้ว ผมรู้สึกว่าบรรยากาศในอพาร์ตเม้นต์ดูเงียบเหงา น่าวังเวงใจชอบกล ลูกสาวลูกเขยแกที่เคยอยู่กันดีๆ มาตลอดก็กลับมีเรื่องระหองระแหง ทะเลาะเบาะแว้งกันตลอด
ผมเองยอมรับว่าเป็นคนกลัวผี นึกถึงป้าวารีที่เคยพูดคุยกันบ่อยๆ มิหนำซ้ำแกยังมาตายในอ้อมแขนเสียอีก ทำให้อดนึกหวาดๆ ไม่ได้หรอกครับ
อีกราว 2 อาทิตย์ต่อมา ผมก็เจอดีเข้าอย่างจัง!
คืนนั้นใกล้จะปิดร้านแล้ว ฝนตกพรำมาตั้งแต่หัวค่ำทำให้ดูเงียบเหงาเยือกเย็นกว่าทุกคืน ผมเก็บกวาดเศษขยะลงถังแล้วหิ้วไปทิ้งทางด้านหลัง...ผ่านห้อง 106 ก็เห็นปิดไฟมืด ขากลับเห็นร่างตะคุ่มๆ ขนาดใหญ่ยืนพิงฝาอยู่หน้าห้องก็เดินผ่านมาโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก
พอนึกได้ว่าเป็นใครคุ้นๆ ก็หันขวับไปมอบ เย็นวาบตั้งแต่ท้ายทอยไปถึงแผ่นหลังทันที...ป้าวารีนั่นเอง!
ขณะที่ยืนตะลึงพรึงเพริดอยู่นั่นเอง ใบหน้ากลมอูมของหญิงชราก็ค่อยๆ หันมามองผมอย่างเชื่องช้า ยิ่งเห็นมวยผมจากแสงไฟสลัวยิ่งแน่ใจว่าเป็นป้าวารีแน่นอน
รีบเดินขาสั่นมาบอกภรรยา เมื่อเราออกไปดูด้วยกันอีกครั้งก็ไม่เห็นภาพน่ากลัวนั่นเสียแล้ว...ตลอดทางเดินมีแต่ความว่างเปล่าสิ้นเชิง
ผมไม่ได้ดื่มเหล้าหรือง่วงนอน จึงมั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาดไปเองแน่ๆ วันรุ่งขึ้นจึงนำอาหารไปถวายท่านสมภารวัดอัมพวัน ข้างเขตดุสิต ท่านชอบฉันอาหารภาคอีสานเช่นส้มตำปลาร้า ลาบและซุบหน่อไม้ เป็นต้น
เมื่อท่านฉันเสร็จผมก็กราบเรียนเรื่องที่พบเห็นมาเมื่อคืนให้ฟัง
ท่านหลับตาเพ่งจิตอยู่ครู่หนึ่งจึงอธิบายว่า วิญญาณดวงนั้นประสงค์จะกลับบ้าน ขอให้ช่วยอนุเคราะห์โดยการเผาแบงก์กงเต๊กไปให้ บอกกล่าวว่าได้ซื้อตั๋วรถไฟให้แล้ว ขอให้เดินทางกลับไปเถิด
หลวงตาท่านบอกว่า เมื่อทำได้ดังนี้โยมก็จะได้ลาภเพราะผลบุญ
กราบลาท่านออกจากวัด ผมแวะซื้อแบงก์กงเต๊กที่ตลาดไป 120 บาท ได้มาหลายล้านบาท ผมก็จัดการเผาแบงก์กงเต๊กพลางนึกบอกกล่าวตามคำแนะนำของหลวงพ่อ วิญญาณป้าวารีคงจะได้กลับบ้านเรียบร้อยแล้ว จึงได้สงบเงียบไปแต่นั้นมา
ดวงผมคงจะยังไม่มีลาภแน่ๆ ครับ เพราะแบงก์กงเต๊กเป็นเลข 9 ทั้งหมด ล็อตเตอรี่งวดต่อมาเลขท้ายออก 99 แต่ผมก็ไม่ได้ซื้อเอาไว้เลยแม้แต่บาทเดียว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 23 กค 2547
ใบหนาด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น