นำศพเวียน ๓ รอบก่อนนำขึ้นเมรุ
หากตั้งศพสวดบำเพ็ญกุศลที่วัดในตอนเช้าของกำหนดทำพิธีเผาลูกหลานก็จะช่วยกันหามโลงศพเวียนรอบเมรุ ๓ รอบ แล้วจึงนำขึ้นไปตั้งไว้บนเมรุหากตั้งศพบำเพ็ญกุศลที่บ้าน ครั้นเคลื่อนศพมาถึงวัดแล้วก็ให้ทำการเวียนรอบเมรุก่อน๓ รอบเช่นกัน จึงจะนำไปตั้งบนเมรุ บางแห่งมีการนำโลงกระแทกเมรุก่อน ๓ ครั้งจึงนำขึ้นไปตั้ง นิยมหันหัวศพไปทางทิศตะวันตก
การเวียนศพต้องเวียนซ้ายต่างกับการเวียนเทียนหรือแห่นาคซึ่งเป็นงานมงคลจะทำการเวียนขวาเรียกว่า ทักษิณาวรรต การเวียนศพ ๓รอบเป็นการเวียนเพื่อไว้อาลัยแก่ผู้ตาย และเป็นปริศนาธรรมเกี่ยวกับพระไตรลักษณ์ คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือเกี่ยวกับการเวียนว่ายตายเกิดของสัตว์ในสามภพ คือ ในโลกนรก และสวรรค์
การทิ้งเบี้ยให้ตากลียายกลา
สมัยโบราณ เมื่อนำศพขึ้นตั้งบนเมรุ หรือเชิงตะกอนแล้ว ต้องทิ้งเบี้ย ๓๓ เบี้ยให้ตากลียายกลา ซึ่งเป็นเจ้าของป่าช้าเพื่อซื้อที่ให้ผีอยู่และเป็นค่าจ้างเผา เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีใครทำกันแล้ว แต่จะใช้วิธีโปรยทาน
สาเหตุที่โยน ๓๓ เบี้ย มีคติเป็นหลายนัย บ้างว่าเป็นการแสดงคุณบิดา ๒๐ เบี้ย มารดา ๑๒ เบี้ย (รวมได้ ๓๒ เบี้ย อีก ๑ เบี้ยไม่ทราบว่าหายไปไหน) บางทีก็ว่า ๓๒ เบี้ยนั้นหมายถึงอาการ ๓๒ นั่นเอง
การจุดพลุสัญญาณ
ในสมัยโบราณ บ้านเรือนแต่ละหลังอยู่ห่างกัน จึงใช้เสียงพลุเป็นสัญญาณอาจจะจุดเมื่อเริ่มเคลื่อนศพไปวัดลูกหนึ่ง เมื่อถึงวัดแล้วลูกหนึ่งเมื่อพระสวดมาติกาลูกหนึ่ง และยิงลูกสุดท้ายเมื่อทำพิธีเผาไม่มีข้อจำกัดอันใดจะให้มีการจุดพลุหรือไม่ก็ได้แต่ตามต่างจังหวัดยังนิยมจุดกันอยู่
พิธีในวันเผา
เมื่อตั้งศพไว้บนเมรุเป็นที่เรียบร้อยแล้วเจ้าภาพจะนิมนต์พระมาเลี้ยงอาหารเพลที่ศาลาสวดอภิธรรม เสร็จแล้วทำการถวายจตุปัจจัยทอดผ้าบังสุกุล กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย ตอนบ่ายมีการเทศนา ๑ กัณฑ์ซึ่งส่วนใหญ่พระท่านจะเทศน์ เกี่ยวกับเรื่องการ เกิด แก่ เจ็บ ตายความไม่เที่ยงของสังขาร ต่อจากนั้นก็มีการสวดมาติกา กล่าวชีวประวัติของผู้ตายการทอดผ้าบังสุกุลหน้าศพ และทำการเผาหรือประชุมเพลิง
การกล่าวถึงชีวประวัติของผู้ตาย
เมื่อผู้ร่วมพิธีเผาและไว้อาลัยแด่ผู้ตายมาพร้อมกันแล้วก่อนทำพิธีวางดอกไม้จันทน์อาจมีการกล่าวถึงชีวประวัติของผู้ตายอย่างย่อๆส่วนใหญ่จะบอกถึงวันเดือนปีเกิด ชื่อบิดามารดาบุตรธิดา หน้าที่การงานและคุณความดีของผู้ตาย สุดท้ายเป็นการกล่าวขอบคุณผู้มาร่วมไว้อาลัย
การชักผ้าบังสุกุล
เมื่อใกล้เวลาเผาเจ้าภาพจะเชิญแขกผู้มีเกียรติหรือผู้ที่เคารพนับถือร่วมทอดผ้าบังสุกุลโดยเรียกชื่อทีละคน ผู้ที่ได้รับเชิญก็เดินไปที่หน้าเมรุหยิบผ้าบังสุกุลซึ่งลูกหลานของผู้ตายวางไว้บนพาน หยิบไปเฉพาะผ้าบังสุกุลเท่านั้นนำไปวางไว้ในพานหน้าโลงศพบนเมรุ
เจ้าภาพหรือผู้มีหน้าที่ในการทำพิธีจะเชิญพระสงฆ์องค์หนึ่งให้ขึ้นไปพิจารณาผ้าบังสุกุลหรือซักผ้าบังสุกุลทำเช่นนี้ไปจนกว่าจะครบแขกที่เชิญหากมีแขกคนสำคัญอาจให้ทอดเป็นคนสุดท้าย เรียกว่าทอดผ้ามหาบังสุกุล วิธีการนั้นก็เช่นเดียวกัน เมื่อขึ้นบันไดไปบนเมรุเพื่อทอดผ้าให้เดินลงทางด้านข้างของเมรุไม่ควรเดินย้อนกลับตรงทางขึ้น
การโปรยทาน
การโปรยทาน เป็นการอุทิศส่วนกุศลแทนผู้ตาย คล้ายเป็นการแจกหรืออุทิศทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่มี ให้กับคนที่อยู่เบื้องหลังเป็นปริศนาธรรมทำนองตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้เช่นเดียวกัน เงินโปรยทานนี้ชาวบ้านนิยมเก็บไว้เป็นขวัญถุง
การวางดอกไม้จันทน์
เมื่อชักผ้ามหาบังสุกุลเสร็จแล้วเจ้าภาพก็จะนำดอกไม้จันทน์มาแจกให้กับผู้มาร่วมไว้อาลัยคนละ ๑ ช่อหรือนำใส่ถาดไปวางไว้หน้าเมรุ ครั้นได้เวลาเผา พระก็จะสวดพระอภิธรรมผู้มาร่วมพิธีจึงทยอยขึ้นบันไดเมรุ นำช่อดอกไม้จันทน์ไปวางไว้ในพานหน้าศพแล้วเดินลงทางบันไดด้านข้าง ไม่ควรย้อนกลับลงไปทางที่ขึ้นมาเพราะจะทำให้ชนหรือเกะกะขวางทางคนอื่นๆ ที่กำลังจะขึ้น
การวางดอกไม้จันทน์นี้หากเป็นสมัยโบราณที่มีการเผาบนเชิงตะกอนกลางแจ้งผู้มาร่วมพิธีก็จะถือฟืนติดมือกันมาคนละท่อน นำมาวางรวมกันซึ่งถ้าได้ไม้จันทน์ก็จะเป็นการดีเพราะเวลาเผามีกลิ่นหอมเมื่อพร้อมกันแล้วสัปเหร่อจึงทำการจุดไฟ
มอญร้องไห้
หากเจ้าภาพมีฐานะดีจัดให้มีวงปี่พาทย์มอญมาบรรเลงในงานตลอดงาน หรือเฉพาะในวันเผาเมื่อเริ่มพิธีเผาคือผู้มาร่วมไว้อาลัยทำการวางดอกไม้จันทน์ ก็จะมีพิธีมอญร้องไห้โดยคนในคณะปี่พาทย์เป็นผู้ร้องคร่ำครวญพรรณนาถึงคุณงามความดีของผู้ตายด้วยความอาลัยรักผู้ร้องจะร้องอย่างโหยหวนเข้ากับบรรยากาศพลอยทำให้ลูกหลานของผู้ตายเกิดความเศร้าโศกพากันร้องไห้
การขอบคุณผู้มาร่วมพิธีและการมอบของที่ระลึก
เมื่อถึงตอนทำพิธีเผาศพ เจ้าภาพและลูกหลานของผู้ตายจะไปยืนอยู่ที่บันไดทางลงของเมรุ ซึ่งมักทำไว้ ๒ ฟาก เมื่อผู้มาร่วมพิธีวางช่อไม้จันทน์เสร็จและเดินลงมา เจ้าภาพก็กล่าวขอบคุณ หากจะมอบของที่ระลึกก็มอบให้ในตอนนี้เลย ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ร่วมพิธีก็จะมอบซองใส่เงินช่วยงานให้เจ้าภาพเช่นกัน พร้อมกล่าวขอบคุณและกล่าวคำอำลา
การเผาศพในปัจจุบัน
เมื่อแขกทยอยกลับกันไปบ้างแล้ว เหลือแต่ผู้ที่สนิทสนมกับเจ้าภาพซึ่งรออยู่รอบๆ เมรุ สัปเหร่อจะทำการเปิดโลงศพเพื่อให้ลูกหลานได้ดูหน้าผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย แล้วจึงต่อยผลมะพร้าวให้แตกเอาน้ำมะพร้าวซึ่งถือกันว่าเป็นน้ำสะอาดบริสุทธิ์ล้างหน้าศพแล้วจึงนำเข้าเตาเผา
หากเป็นผู้มีฐานะดี จะจัดสร้างเมรุเผาศพขึ้นมาต่างหากมีการประดับตกแต่งอย่างสวยงาม เวลาเผาก็ใช้วิธีจุดลูกหนูเป็นชนวนให้วิ่งตามเส้นเชือกไปสู่โลงศพ
การเอาผ้าโยนข้ามศพ
ประเพณีบางแห่งจะมีการนำผ้าขาวหรือเสื้อผ้าของผู้ตายตัวหนึ่งโยนไปมาข้ามกองไฟที่กำลังลุกไหม้ ๓ ครั้ง เป็นปริศนาธรรมหมายถึงว่าผู้ตายได้ข้ามพ้นของร้อนทั้ง ๓ อย่างไปพ้นแล้วของร้อนนั้นได้แก่ โลภะ คือความโลภ โทสะ คือ ความโกรธ และ โมหะ คือ ความหลง
ผ้านั้นบางทีก็ใช้ผ้าขาวที่คลุมโลงเมื่อโยนแล้วให้นำไปถวายพระหรือให้เป็นทานแก่คนยากจน
การชักฟืน ๓ ดุ้น
ในสมัยโบราณ ทำการเผาศพกันที่เชิงตะกอนเรียกว่าเผาสด คือนำกองฟืนมาสุมกันแล้วนำศพไปวางไว้ข้างบน เมื่อจุดไฟเผาแล้วผู้มาร่วมพิธีต้องรอสัปเหร่อชักฟืนออกมา ๓ ดุ้นก่อนจึงจะกลับบ้านได้เป็นอุบายให้เห็นถึงความไม่เที่ยงของสังขารเมื่อตายแล้วร่างย่อมถูกเผามอดไหม้ทิ้งไว้แต่คุณงามความดี หรือเป็นปริศนาธรรมว่าฟืนติดไฟทั้ง ๓ นั้นคือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือ ราคะ โทสะ โมหะเป็นกองไฟที่แผดเผาให้เร่าร้อนอยู่ในวัฏสงสารเมื่อชักออกหรือหลุดพ้นได้แล้วย่อมพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด
เมื่อกลับจากงานศพ
สำหรับผู้ไปร่วมพิธีเผาศพ หรือไว้อาลัยผู้ตายก่อนทำการเผา หรือเมื่อไปฟังพระสวดอภิธรรมศพ เมื่อกลับถึงบ้านแล้ว ให้ล้างหน้าล้างตาก่อนเข้าบ้าน บางทีนำใบทับทิมใส่ในขัน แล้ววักน้ำในขันนั้นล้างหน้าเพื่อความเป็นสิริมงคล บางทีมีคติความเชื่อว่าเมื่อกลับจากงานศพต้องเดินวกวนอ้อมไปอ้อมมา เพื่อไม่ให้ผีตามมาถึงบ้านได้ สำหรับเจ้าภาพและลูกหลาน หลังจากทำพิธีเผาแล้ว เมื่อจะเดินทางกลับบ้าน ต้องกลับลวดเดียวให้ถึงบ้านเลย ห้ามไปแวะที่อื่น ผู้ที่ถือรูปของผู้ตายก็เช่นเดียวกันให้นำรูปกลับมารวดเดียวให้ถึงบ้าน อย่าแวะกลางทางแล้วนำรูปไปติดไว้ในที่อันสมควร
อ้างอิง : ประเพณี พิธีมงคล และวันสำคัญของไทย เรียบเรียงโดย ธนากิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น