การบวชหน้าศพ (บวชหน้าไฟ)
ลูกหลานผู้ชายของผู้ตายที่อายุน้อยยังไม่ได้อุปสมบท ก็จะทำการบวชเณรหน้าศพ ส่วนใหญ่นิยมบวชก่อนวันเผา ๑ วัน หรือ ๓ วัน เมื่อทำพิธีเผาเสร็จแล้ว จึงลาสึกการบวช ก็เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย และเพื่อให้ผู้ตายได้เห็นชายผ้าเหลืองของลุกหลาน ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นธงชัยสามารถช่วยฉุดดึงให้พ้นจากขุมนรกได้ ดังนั้นผู้ใดมีลูกชายหลานชายก็อยากจะได้บวชให้ แต่มาจบชีวิตลงเสียก่อน ลูกหลานจึงบวชหน้าศพหรือบวชหน้าไฟให้ และเมื่ออายุครบอุปสมบทหรือบวชพระ ก่อนบวชลูกหลานก็จะทำการจุดธูปบอกกล่าวให้ญาติผู้ล่วงลับร่วมอนุโมทนาอีกครั้งหนึ่ง
วันห้ามเผาศพ
มีคติความเชื่อเกี่ยวกับการเผาศพอยู่หลายนัย คือ ห้ามเผาวันคี่วันข้ามแรม ต้องเผาวันคู่ และยังห้ามเผาในวันพระ และวันศุกร์
ส่วนใหญ่ยังคงนิยมถือกันในเรื่องห้ามเผาวันศุกร์เพราะถือกันว่าวันนี้เป็นวันดี เหมาะแก่การทำงานมงคลอันเนื่องมาจากคำว่าศุกร์ไปคล้ายกับคำว่าสุข และคำว่าศุกร์นี้ยังมีความหมายคล้ายกับคำว่าสุก คือ เผาไม่ไหม้ อะไรทำนองนี้
สำหรับวันห้ามเผาวันพระนั้นเพราะในวันนี้พระท่านอาจมีกิจธุระมากถ้าในช่วงเข้าพรรษาอาจต้องเข้าโบสถ์ฟังสวดปาฎิโมกข์ หรือมีคนมาทำบุญกันที่วัดมากแต่ในปัจจุบันการเผาวันพระก็ค่อนข้างสะดวก เพราะวัดส่วนใหญ่อยู่ใกล้ชุมชน
การเก็บกระดูก
เมื่อทำการเผาเสร็จแล้วสัปเหร่อจะทำการแยกธาตุเก็บกระดูกใส่โกศที่ญาตินำไปให้ไว้ส่วนเถ้าก็ใช้ผ้าขาวห่อในวันรุ่งขึ้นหลังจากวันเผา ญาติจะมารับโกศเพื่อนำไปไว้ที่บ้านหรือมีการทำบุญเลี้ยงอาหารพระที่วัด เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย
โกศใส่กระดูกผู้ตายนั้นบางทีก็เอาไปไว้บนหิ้งบูชาที่บ้านบางคนก็นำไปใส่ไว้ในเจดีย์ประจำตระกูลซึ่งส่วนใหญ่สร้างไว้ที่วัดหรือบรรจุตามช่องซุ้มของประตูกำแพงวัด
เมื่อถึงวันสงกรานต์ญาติและลูกหลานของผู้ตายก็จะนำผ้าบังสุกุลมาทอดเพื่อให้พระมาชัก หรือพิจารณาผ้า เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายส่วนใหญ่นิยมทำกันในช่วงเทศกาลเช่น วันตรุษ วันสารทหรือวันสงกรานต์และหากคิดถึงผู้ตายที่ล่วงลับไปแล้ว จะทำวันไหนอีกก็ได้ตามแต่สะดวก หรือทำบุญตักบาตรกรวดน้ำไปให้ผู้ตาย
สำหรับเถ้านั้นบางทีก็นำไปบรรจุรวมกับโกศในเจดีย์ หรือนำเฉพาะเถ้าไปลอยน้ำส่วนเสื้อผ้ามุ้งหมอนข้าวของเครื่องใช้ของผู้ตายส่วนใหญ่นิยมถวายวัดหรือมอบเป็นทานให้แก่คนยากจนผู้ที่รับก็จะกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตาย
การทำบุญร้อยวัน
หลังจากเก็บกระดูกแล้ว เมื่อครบวันตาย ๗ วัน ๕๐ วัน และ ๑๐๐ วันจะมีการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตาย แต่มักนิยมรวมไปทำ ๑๐๐ วันเลยทีเดียวในวันนี้ญาติพี่น้องและลูกหลานของผู้ตายจะมาพร้อมกันที่วัดไม่ต้องใส่ชุดไว้ทุกข์หรือขาวดำอีก หากแต่งชุดขาวดำไว้ทุกข์ให้ผู้ตายร้อยวันในวันนี้ก็สามารถออกทุกข์ คือ กลับไปนุ่งห่มเสื้อผ้ามีสีสันได้เหมือนเดิม
สิ่งของที่ต้องเตรียมก็คือ รูปภาพของผู้ตายส่วนใหญ่จะใช้ภาพที่ตั้งหน้าโลง ในช่วงที่ทำพิธีสวดพระอภิธรรรมนั่นเองพร้อมโกศใส่กระดูก นำมาใส่พาน พันสายสิญจน์ที่โกศและรูป ไปวางไว้ในพานข้างพระสงฆ์รูปที่เป็นประธาน
เมื่อได้เวลาซึ่งส่วนใหญ่จะก่อนเพลพระที่นิมนต์ไว้ ๙ รูปจะมาสวดพุทธมนต์ เสร็จแล้วเจ้าภาพจึงถวายจตุปัจจัยพระสวดอนุโมทนา และให้พร เจ้าภาพกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย ต่อจากนั้นจึงเลี้ยงอาหารเพลพระ ซึ่งมักนิยมเลี้ยงหมดวัด เสร็จแล้วจึงมีการสวดอนุโมทนา และกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล อีกครั้งหนึ่ง ขั้นตอนเหล่านี้ไม่มีกำหนดตายตัว บางแห่งอาจผิดแผกแตกต่างกันไป แล้วแต่ประเพณีท้องถิ่นนิยม
อ้างอิง : ประเพณี พิธีมงคล และวันสำคัญของไทย เรียบเรียงโดย ธนากิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น