"น้าชื่น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในตลาดศรีไทย สะพานควาย
สมัยก่อน ตลาดศรีไทยแถวสี่แยกสะพานควายถือว่าเป็นตลาดสดที่คึกคัก ผู้คนพลุกพล่าน ทั้งคนขายและคนซื้อ เพราะเป็นตลาดใหญ่อยู่ริมถนนใกล้ๆ กับโรงพยาบาลเปาโลฯ ที่เพิ่งก่อตั้งได้ไม่นาน
ดิฉันเป็นช่างตัดเสื้ออยู่ในซอยสุทธิสาร แต่ลูกค้าน้อย จนมีเพื่อนชักชวนให้ไปเช่าแผงในตลาดศรีไทย เปิดตัดเย็บเสื้อผ้าสตรี รับซ่อมแซมทั้งเสื้อ กระโปรงและกางเกงด้วย ลูกค้ามีทั้งแม่บ้านที่มาจ่ายตลาด กับญาติมิตรแนะนำมาเพราะชอบฝีมือกับราคาย่อมเยา ในที่สุดก็มีลูกค้าขาประจำเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ
แผงตัดเย็บเสื้อผ้ามีมากกว่าสิบแผง ตั้งอยู่ติดๆ กันเป็นรูปสี่เหลี่ยม เดินวนเวียนไปมาก็เห็นกันหมด...พวกเราอยู่ทางด้านหลังของตลาดทางซ้ายมือ ตอนเย็นๆ ก็ซื้อกับข้าวไปทำเองบ้าง ซื้ออาหารสำเร็จรูปบ้าง อยู่ไปนานๆ ก็รู้จักกันทั้งตลาด
เราไปซื้อของเขาก็คิดถูกๆ ซื้ออย่างแถมอย่าง ชั่งของให้เกินกิโลเสมอ ถ้าเขามาจ้างตัดเสื้อผ้าเราก็คิดราคาพิเศษ บางทีเอากางเกงสามีมาขยายเอว หรือซ่อมแซมอะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็จะไม่คิดเงิน...มิตรจิต-มิตรใจนะคะ
การเล่นแชร์ในตลาดคือเรื่องหนีไม่พ้นจริงๆ ค่ะ!
มีทั้งแชร์เดือน แชร์อาทิตย์ จนถึงแชร์วัน ตอนแรกดิฉันไม่ได้เล่น แต่เมื่อถูกคะยั้นคะยอบ่อยๆ ก็เกรงใจ ตัดสินใจเล่นแชร์ในกลุ่มช่างเสื้อด้วยกัน เดือนละ 1,500 บาท ทั้งหมด 12 มือ พูดกันว่าเปียแชร์จะได้เงินก้อน ดีว่าเล่นรายวันหรืออาทิตย์
เขามีสำนวนว่า "เปียแล้วเห็นเงิน" หมายถึงเงินก้อนใหญ่ เพราะเป็นดอกตาม แม้แต่คนเปียมือแรกยังได้เงินเกือบสองหมื่นบาท ทองคำยังบาทละ 2,500 บาทนะคะ
ได้ข่าวเรื่องโกงแชร์มามาก ทั้งเปียแล้วหนี ทั้งเปียวงนั้นส่งวงนี้...ทั้งเท้าแชร์ตั้งแชร์หลายวง เก็บเงินได้เป็นแสนแล้วย้ายบ้านหนีไปเลยก็มี
ที่ตลาดศรีไทยก็มีบ้างเหมือนกัน แต่น้อย เพราะค้าขายได้กำไรทุกวันคุ้มกว่าหนีแชร์ แถมได้เครดิตด้วย ยกเว้นแต่พวกเล่นการพนันก็ต้องหมุนเงินทางอื่น เช่นกู้ยืมเพื่อเอามาส่งแชร์จนได้ มีความหวังว่าเมื่อตั้งแชร์ใหม่จะได้เปียเอาเงินก้อนไปใช้
ดิฉันเล่นแชร์กับเขามาราว 2-3 ปีก็ไม่เคยมีปัญหาอะไร นอกจากดอกสูงตอนมือต้นๆ พอเลยกลางไปแล้วก็ดอกถูกลงกว่าครึ่งเพราะไม่ร้อนเงินกัน
ขณะนั้นมีลูกแชร์คนหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มช่างเสื้อ และไม่ใช่แม่ค้าในตลาดศรีไทยด้วย ชื่อป้าละออง อายุราว 60 เศษ แกมาซื้อกับข้าวเกือบทุกวัน บางวันก็แวะเอาเสื้อผ้ามาให้พวกเราซ่อม ส่วนมากเป็นเสื้อกางเกงของลูกชายที่แกเล่าว่าทำงานอยู่ออมสินใกล้ๆ กันนั่นเอง
ป้าละอองมีสร้อยทองหนักราวสองบาท แต่งตัวสะอาดเรียบร้อย พูดจาสุภาพอ่อนโยนจนใครๆ ก็นับถือรักใคร่ทั้งนั้นค่ะ
จำได้ว่ามีเพื่อนที่เล่นแชร์ด้วยกันเคยเล่น 2 มือ แต่ก่อนจะตั้งแชร์ใหม่ก็บอกล่วงหน้าว่ามีรายจ่ายมาก ขอเล่นแค่มือเดียว...ชวนใครเล่นเพิ่มก็ไม่มี คนนอกวงที่อยากเล่นด้วยหลายคนแต่เราบอกปัดไปว่าเต็มแล้ว ไม่อยากให้เกิดปัญหาทีหลังค่ะ
ปรึกษากันว่าจะลองชวนป้าละอองดู ทุกคนก็เห็นตรงกัน ตอนแรกแกก็อิดเอื้อน พูดทีเล่นทีจริงว่าไว้ใจแกได้หรือ? บ้านช่องอยู่ไหนก็ไม่รู้ เดี๋ยวแก่เปียแชร์ได้แล้วหายไปจะทำยังไงกัน?
พวกเราหัวเราะและไว้ใจแกมากขึ้น ในที่สุดป้าละอองก็ตกลงเล่นแชร์ด้วย
ต้องยอมรับว่าแรกๆ ก็นึกหวาด ป้าละอองเคยบอกว่าบ้านอยู่ในซอยวัดไผ่ตันนี่เอง แล้วชวนเราไปบ้านแก...แหม! ถ้าไปก็ถือว่าไม่ไว้ใจกันน่ะซีคะ เมื่อไม่ไว้ใจแล้วไปชวนแกเล่นแชร์ด้วยทำไมล่ะ?
ป้าละอองจะส่งแชร์ล่วงหน้าราว 3-4 วันทุกเดือน เวลาเปียก็เขียนดอกแบบไม่เอาแชร์ จนกระทั่งผ่านไป 8-9 เดือนป้าละอองถึงเปียแชร์ไป บอกว่าลูกชายจะเปลี่ยนรถใหม่ก็เลยเปียแชร์ไปช่วยอีกแรงหนึ่ง
พวกเราไม่ได้ติดใจอะไรเลย เพราะแบบนี้แสดงว่าไม่ใช่พวกที่หาทางมาโกงแชร์แน่ๆ เปียแล้วก็มาส่งแชร์ทั้งต้นทั้งดอกล่วงหน้าเหมือนที่เคยทำมาเป็นประจำ
จนกระทั่ง 2 เดือนผ่านไป เหลือแชร์มือบ๊วยแล้ว...ป้าละอองเกิดมาหายไปในวันส่งแชร์พอดี!
เรานึกขึ้นได้ว่าป้าละอองหายไปหลายวันแล้ว ถามเท้าแชร์ว่าแกมาส่งล่วงหน้าเหมือนเดิมหรือเปล่า? ก็ได้รับคำตอบว่าไม่ได้ส่ง...ตอนบ่ายเราก็ส่งแชร์มือบ๊วยกัน
เท้าแชร์นับเงินที่ยังขาดอยู่มือเดียว ป้าละอองก็กระหืดกระหอบเข้ามา ขอโทษขอโพยว่าโดนรถเฉี่ยวเอาเมื่อ 2 วันก่อน คอยยังชั่วก็รีบมาส่งแชร์...ก่อนจะขอตัวไปหาหมอที่เปาโลฯ
เรามารู้ทีหลังว่าป้าละอองโดนรถชนที่หน้าบ้าน วันที่จะมาส่งแชร์ล่วงหน้า คนพาส่งโรงพยาบาลก็นอนหมดสติ...มาสิ้นใจเอาตอนที่เราเปียแชร์กันพอดี!
เดี๋ยวนี้ตลาดศรีไทยกลายเป็นห้างบิ๊กซีไปแล้ว พวกเราก็แก่ตัวลง แยกย้ายกันไป มีโอกาสได้พบกันเมื่อไรก็อดพูดถึงป้าละอองส่งแชร์ไม่ได้...พูดแล้วขนลุกทุกทีค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 20 กค 47
30 สิงหาคม 2556
29 สิงหาคม 2556
บ่อน้ำคร่าวิญญาณ แถวนนทบุรี
"หนูจุ๋ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเห็นเด็กโดดบ่อน้ำที่นนทบุรี
"หนูเป็นเด็กตจว.กำพร้าพ่อแม่มาหลายปีแล้ว แม่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ส่งเงินให้หนูกับยาย ตอนสงกรานต์แม่มาเยี่ยมแต่อยู่ได้ไม่กี่วัน หนูคิดถึงแม่ อยากอยู่กับแม่นานๆเลยขอแม่ไปเที่ยวกรุงเทพฯ ด้วย แม่ก็ตกลงค่ะเพราะเป็นตอนปิดเทอมใหญ่พอดี
แม่ทำงานเป็นผู้ช่วยแม่บ้านแห่งหนึ่ง เห็นเขาเรียกเมืองนนท์ แต่ทำไมแม่เรียกกรุงเทพฯ ทุกคำก็ไม่ทราบเหมือนกันนะคะ
บ้านนั้นเป็นตึกสองชั้นในหมู่บ้านจัดสรร เข้าไปในซอยค่อนข้างลึก มีที่ว่างๆอยู่หลายแปลง บางแปลงก็เริ่มปลูกสร้าง แต่ข้างๆบ้านที่แม่อยู่ยังว่างอยู่ค่ะ มีทั้งดงหญ้า บ่อน้ำและลานกว้าง ตอนเย็นเห็นเด็กๆแถวนั้นมาวิ่งเล่นกันเกรียวกราวน่าสนุก
แม่ห้ามหนูไปเล่นที่นั่น บอกว่าเมื่อ 3-4 เดือนก่อนเคยมีเด็กผู้หญิงเข้าไปเล่น แล้วพลัดตกบ่อตาย
บ้านที่แม่ทำงานก็น่าสบายค่ะ เพราะมีพ่อแม่กับลูกชายรุ่นเดียวกับหนู 2 คน ตอนเช้าก็ขับรถพากันออกไปหมด บอกให้หนูดูทีวีไ ด้ อยากกินน้ำส้มน้ำหวานหรือขนมในตู้เย็นก็ตามใจ
สงสัยรู้ทันว่าถึงไม่บอกหนูก็คงทำแน่ๆเลยบอกเสียก่อนดีกว่า จริงมั้ยค่ะ?
บอกตรงๆว่าหนูไม่ค่อยตื่นเต้นทีวีกับขนม เพราะที่บ้านหนูก็มี แต่สนใจเรื่องบ่อน้ำที่แม่เล่ามากกว่า เนื่องจากแถวบ้านหนูมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ตกน้ำตายกันหลายคน ทั้งตกบ่อและตกแม่น้ำใกล้ๆ บ้าน เพราะลงไปเล่นน้ำบ้าง ไปหาปลาจนเรือล่มเป็นตะคริวตายบ้าง
ทางบ้านหนูเชื่อว่ามีผีน้ำมาเอาวิญญาณไปค่ะ!
ผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่าคนตกน้ำตาย ฆ่าตัวตาย หรือโดนฆ่าทิ้งน้ำ วิญญาณจะสิงสู่วนเวียนอยู่ที่นั่น เรียกว่า "ผีน้ำ" คอยปรากฏตัวหลอกหลอนผู้คนบ้าง ชักชวนให้คนไปอยู่ด้วยบ้าง ใครชะตาขาดก็ตกน้ำตาย กลายเป็นผีน้ำไปด้วย
บางคนก็เชื่อว่า ถ้าผีน้ำมาเอาชีวิตใครไปได้ วิญญาณดวงใหม่ก็จะมาทดแทนวิญญาณของตน จะได้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม มีโอกาสไปผุดไปเกิดเสียที
มีข้อแม้ว่า คนใหม่ต้องชะตาขาดหรือถึงฆาตจริงๆ ถึงจะแตกเป็นเหยื่อผีน้ำค่ะ ถ้าดวงแข็งก็ไม่เป็นไร
หนูถามแม่เรื่องนี้ ก็ได้รับคำตอบว่าที่นี่ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ตอนแรกๆ ผมคนอื่นก็กลัวกัน พ่อแม่คงจะห้ามด้วย แต่ไม่นานก็ลืมเลือนไป เด็กๆก็มาวิ่งเล่นกัน เตะฟุตบอลกันหนาตาตามเดิม
เย็นหนึ่ง แม่ทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน หนูออกไปยืนเกาะรั้วโปร่งๆ ข้างบ้านดูเขาวิ่งเล่นกัน หัวเราะกันน่าสนุก บางคนก็ขี่จักรยานมาเล่น เพื่อนบ้านก็ซิ่งไปซ้อนท้ายคนอื่นๆ ก็วิ่งตามกันวนเวียนไปมาใกล้ๆ กันบ่อน้ำนั้น
คนที่เตะฟุตบอลก็เตะกันไป ที่เล่นก็ไล่จับก็วิ่งกันไป จักรยานคันนั้นก็แล่นต่อไปน่าเพลิดเพลิน
จนกระทั่งดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบไม้ แต่แสงสว่างก็ยังอยู่เพราะเป็นฤดูร้อน สายลมพัดมาวูบใหญ่จนเย็นซ่านไปทั้งตัว
จู่ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงอายุราว 6-7 ขวบ นุ่งกางเกงขาสั้น สวมเสื้อยืดสีแดงไว้ผมม้า หน้ากลมแป้น ตาดำโต เดินเข้ามาหาหนูพลางชวนยิ้มๆ ว่า ไปวิ่งเล่นด้วยกันมั้ย?
หนูส่ายหน้า บอกว่าอยากจะออกไปเล่นด้วยเหมือนกัน แต่แม่ห้ามไว้แล้วกลัวจะตกบ่อตาย! เธอก็ยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก เดินเข้ามาเกือบถึงรั้ว นัยน์ตาดำโตราวจะขยายใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
"ไม่ต้องกลัวไปหลอกน่า ฉันมาเล่นกับเพื่อนทุกวันยังไม่เป็นไรเลย ไม่เชื่อก็ดูนี่ซี่...."
ขณะนั้นเอง เสียงแตรรถก็ดังขึ้นที่หน้าประตู หนูหันขวับไปมองก็เห็นรถคุณผู้ชายกับลูกเมียกลับมาถึงพอดี รีบวิ่งไปเปิดประตูรั้วให้รถเข้า แล้วคอยปิดลงกลอนจนเรียบร้อย ก่อนจะหันไปที่ข้างรั้วอีกครั้ง
แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยค่ะ เด็กผมม้าวิ่งไปที่บ่อแล้วกระโดดหายลงไปหน้าตาเฉย พริบตาเดียวก็ลอยขึ้นมายืนบนปากบ่อ ยิ้มกว้างพลางหัวเราะคิกคัก ขณะที่ความมืดเริ่มหว่านโปรยลงมาทุกที
หนูวิ่งตื๋อเข้าบ้านเล่าให้แม่ฟัง แม่รีบจูงมือหนูออกมาที่ข้างรั้ว...พวกเด็กๆทยอยกันกลับไปแล้ว แม่บอกว่าไม่เห็นมีใครซักคนเดียว
สายลมพัดวูบ หนูแว่วเสียงหัวเราะมาจากบ่อน้ำที่เริ่มมืดสลัว ก่อนจะเห็นเด็กหญิงคนนั้นยืนโบกมืออยู่ที่ขอบบ่อ หนูรีบชี้มือให้แม่ดู ร้องว่า นั่นไงแม่ เขาโบกมือให้หนูด้วย !
เสียงแม่อุทานอะไรเบาๆจับมือหนูด้วยมือเย็นเฉียบ ...ไม่รู้ว่าแม่เห็นอย่างที่หนูเห็นหรือเปล่า?
"เขาโดดลงบ่อไปแล้ว แม่จ๋า ....นั่น ! เขาโดดขึ้นมายืนที่ขอบบ่ออีกแล้ว"
แม่ไม่พูดอะไรสักคำเดียว รีบจูงมือหนูเข้าบ้าน รุ่งขึ้นก็ขอลางานไปส่งหนูกลับเลยค่ะ เลยอดดูเด็กกระโดดบ่อขึ้นๆ ลง ตั้งแต่นั้นมา
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 22 กค 2547
ใบหนาด
"หนูเป็นเด็กตจว.กำพร้าพ่อแม่มาหลายปีแล้ว แม่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ส่งเงินให้หนูกับยาย ตอนสงกรานต์แม่มาเยี่ยมแต่อยู่ได้ไม่กี่วัน หนูคิดถึงแม่ อยากอยู่กับแม่นานๆเลยขอแม่ไปเที่ยวกรุงเทพฯ ด้วย แม่ก็ตกลงค่ะเพราะเป็นตอนปิดเทอมใหญ่พอดี
แม่ทำงานเป็นผู้ช่วยแม่บ้านแห่งหนึ่ง เห็นเขาเรียกเมืองนนท์ แต่ทำไมแม่เรียกกรุงเทพฯ ทุกคำก็ไม่ทราบเหมือนกันนะคะ
บ้านนั้นเป็นตึกสองชั้นในหมู่บ้านจัดสรร เข้าไปในซอยค่อนข้างลึก มีที่ว่างๆอยู่หลายแปลง บางแปลงก็เริ่มปลูกสร้าง แต่ข้างๆบ้านที่แม่อยู่ยังว่างอยู่ค่ะ มีทั้งดงหญ้า บ่อน้ำและลานกว้าง ตอนเย็นเห็นเด็กๆแถวนั้นมาวิ่งเล่นกันเกรียวกราวน่าสนุก
แม่ห้ามหนูไปเล่นที่นั่น บอกว่าเมื่อ 3-4 เดือนก่อนเคยมีเด็กผู้หญิงเข้าไปเล่น แล้วพลัดตกบ่อตาย
บ้านที่แม่ทำงานก็น่าสบายค่ะ เพราะมีพ่อแม่กับลูกชายรุ่นเดียวกับหนู 2 คน ตอนเช้าก็ขับรถพากันออกไปหมด บอกให้หนูดูทีวีไ ด้ อยากกินน้ำส้มน้ำหวานหรือขนมในตู้เย็นก็ตามใจ
สงสัยรู้ทันว่าถึงไม่บอกหนูก็คงทำแน่ๆเลยบอกเสียก่อนดีกว่า จริงมั้ยค่ะ?
บอกตรงๆว่าหนูไม่ค่อยตื่นเต้นทีวีกับขนม เพราะที่บ้านหนูก็มี แต่สนใจเรื่องบ่อน้ำที่แม่เล่ามากกว่า เนื่องจากแถวบ้านหนูมีทั้งเด็กและผู้ใหญ่ตกน้ำตายกันหลายคน ทั้งตกบ่อและตกแม่น้ำใกล้ๆ บ้าน เพราะลงไปเล่นน้ำบ้าง ไปหาปลาจนเรือล่มเป็นตะคริวตายบ้าง
ทางบ้านหนูเชื่อว่ามีผีน้ำมาเอาวิญญาณไปค่ะ!
ผู้เฒ่าผู้แก่บอกว่าคนตกน้ำตาย ฆ่าตัวตาย หรือโดนฆ่าทิ้งน้ำ วิญญาณจะสิงสู่วนเวียนอยู่ที่นั่น เรียกว่า "ผีน้ำ" คอยปรากฏตัวหลอกหลอนผู้คนบ้าง ชักชวนให้คนไปอยู่ด้วยบ้าง ใครชะตาขาดก็ตกน้ำตาย กลายเป็นผีน้ำไปด้วย
บางคนก็เชื่อว่า ถ้าผีน้ำมาเอาชีวิตใครไปได้ วิญญาณดวงใหม่ก็จะมาทดแทนวิญญาณของตน จะได้หลุดพ้นจากบ่วงกรรม มีโอกาสไปผุดไปเกิดเสียที
มีข้อแม้ว่า คนใหม่ต้องชะตาขาดหรือถึงฆาตจริงๆ ถึงจะแตกเป็นเหยื่อผีน้ำค่ะ ถ้าดวงแข็งก็ไม่เป็นไร
หนูถามแม่เรื่องนี้ ก็ได้รับคำตอบว่าที่นี่ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ ตอนแรกๆ ผมคนอื่นก็กลัวกัน พ่อแม่คงจะห้ามด้วย แต่ไม่นานก็ลืมเลือนไป เด็กๆก็มาวิ่งเล่นกัน เตะฟุตบอลกันหนาตาตามเดิม
เย็นหนึ่ง แม่ทำกับข้าวอยู่หลังบ้าน หนูออกไปยืนเกาะรั้วโปร่งๆ ข้างบ้านดูเขาวิ่งเล่นกัน หัวเราะกันน่าสนุก บางคนก็ขี่จักรยานมาเล่น เพื่อนบ้านก็ซิ่งไปซ้อนท้ายคนอื่นๆ ก็วิ่งตามกันวนเวียนไปมาใกล้ๆ กันบ่อน้ำนั้น
คนที่เตะฟุตบอลก็เตะกันไป ที่เล่นก็ไล่จับก็วิ่งกันไป จักรยานคันนั้นก็แล่นต่อไปน่าเพลิดเพลิน
จนกระทั่งดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบไม้ แต่แสงสว่างก็ยังอยู่เพราะเป็นฤดูร้อน สายลมพัดมาวูบใหญ่จนเย็นซ่านไปทั้งตัว
จู่ๆ ก็มีเด็กผู้หญิงอายุราว 6-7 ขวบ นุ่งกางเกงขาสั้น สวมเสื้อยืดสีแดงไว้ผมม้า หน้ากลมแป้น ตาดำโต เดินเข้ามาหาหนูพลางชวนยิ้มๆ ว่า ไปวิ่งเล่นด้วยกันมั้ย?
หนูส่ายหน้า บอกว่าอยากจะออกไปเล่นด้วยเหมือนกัน แต่แม่ห้ามไว้แล้วกลัวจะตกบ่อตาย! เธอก็ยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก เดินเข้ามาเกือบถึงรั้ว นัยน์ตาดำโตราวจะขยายใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
"ไม่ต้องกลัวไปหลอกน่า ฉันมาเล่นกับเพื่อนทุกวันยังไม่เป็นไรเลย ไม่เชื่อก็ดูนี่ซี่...."
ขณะนั้นเอง เสียงแตรรถก็ดังขึ้นที่หน้าประตู หนูหันขวับไปมองก็เห็นรถคุณผู้ชายกับลูกเมียกลับมาถึงพอดี รีบวิ่งไปเปิดประตูรั้วให้รถเข้า แล้วคอยปิดลงกลอนจนเรียบร้อย ก่อนจะหันไปที่ข้างรั้วอีกครั้ง
แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองเลยค่ะ เด็กผมม้าวิ่งไปที่บ่อแล้วกระโดดหายลงไปหน้าตาเฉย พริบตาเดียวก็ลอยขึ้นมายืนบนปากบ่อ ยิ้มกว้างพลางหัวเราะคิกคัก ขณะที่ความมืดเริ่มหว่านโปรยลงมาทุกที
หนูวิ่งตื๋อเข้าบ้านเล่าให้แม่ฟัง แม่รีบจูงมือหนูออกมาที่ข้างรั้ว...พวกเด็กๆทยอยกันกลับไปแล้ว แม่บอกว่าไม่เห็นมีใครซักคนเดียว
สายลมพัดวูบ หนูแว่วเสียงหัวเราะมาจากบ่อน้ำที่เริ่มมืดสลัว ก่อนจะเห็นเด็กหญิงคนนั้นยืนโบกมืออยู่ที่ขอบบ่อ หนูรีบชี้มือให้แม่ดู ร้องว่า นั่นไงแม่ เขาโบกมือให้หนูด้วย !
เสียงแม่อุทานอะไรเบาๆจับมือหนูด้วยมือเย็นเฉียบ ...ไม่รู้ว่าแม่เห็นอย่างที่หนูเห็นหรือเปล่า?
"เขาโดดลงบ่อไปแล้ว แม่จ๋า ....นั่น ! เขาโดดขึ้นมายืนที่ขอบบ่ออีกแล้ว"
แม่ไม่พูดอะไรสักคำเดียว รีบจูงมือหนูเข้าบ้าน รุ่งขึ้นก็ขอลางานไปส่งหนูกลับเลยค่ะ เลยอดดูเด็กกระโดดบ่อขึ้นๆ ลง ตั้งแต่นั้นมา
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 22 กค 2547
ใบหนาด
28 สิงหาคม 2556
หอพักแถวรังสิต สุดหลอน
"บุ๋ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรังสิต
ถึงแม้จะเคยอ่านหนังสือและดูหนังเกี่ยวกับผีๆ สางๆ มานับไม่ถ้วน มีทั้งน่ากลัวมากและน้อย ไหนจะฟังพวกเพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยเล่าเรื่องผีอื้อซ่า แต่หนูมั่นใจว่าทั้งหมดนั่นยังไม่น่ากลัวเท่ากับที่หนูเจอะเจอมาสดๆ ร้อนๆ หรอกค่ะ
เพื่อนๆ อยู่หอแถวรังสิตหลายคน ทั้งมาจากต่างจังหวัดก็มี ทั้งบ้านอยู่ไกลๆ ก็มี
หลิน-เป็นคนหนึ่งที่เช่าห้องอยู่คนเดียว เธอเป็นลูกจีนหุ่นสูงโปร่ง หน้าตาเรียบๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น ค่อนข้างพูดน้อย นัยน์ตาแคบดูดำขลับเยือกเย็น ไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรแรงๆ เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไป
นอกจากจะไม่สนใจเรื่องเที่ยวเตร่ ชอบหมกมุ่นอยู่กับการเรียนจนน่านับถือ หลินยังเล่าว่าเธอชอบทำสมาธิและวิปัสสนาอีกต่างหาก!
โห...ผิดกับเพื่อนๆ ส่วนมากที่ชอบเที่ยวเตร่ ดื่มเหล้าดื่มเบียร์ อีกคนก็ริเล่นยา เคยชวนหนูทดลองแต่หนูไม่เล่นด้วย....นานๆ มีเบียร์มีไวน์คูลเลอร์เล็กน้อยหนูก็ว่าแย่เต็มทีแล้ว ผิดกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งซึ่งทำตัวเหมือนไม่ใช่นักศึกษา ทั้งที่ยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้อยู่แท้ๆ
"ช็อปไว ใช้แหลก แดกด่วน" คือคติประจำใจของพวกเธอค่ะ!
คิดอีกทีก็เรื่องใครเรื่องมัน...ว่าแต่เรื่องผีนี่ซีคะ หนูเจอะเจอเรื่องสุดหลอนในห้องของหลินนี่เอง...ไม่ช็อกตายก็นับว่าเป็นบุญแล้ว
ได้ข่าวว่าที่นั่นผีดุ แต่หนูเฉยๆ ค่ะ เพราะไม่ได้อยู่หอ...เขาเล่ากันนะคะ ว่ามีเพื่อนคนหนึ่งจะแวะไปหาเพื่อน แต่เพื่อให้แน่ใจว่าเพื่อนอยู่ก็เลยใช้มือถือกดไปถามก่อน ปรากฏว่าเพื่อนบอกว่าอยู่ในห้อง...แต่เมื่อไปถึงกลับไม่มีใครอยู่เลย ห้องใส่กุญแจ เล่นเอาโมโหจัดที่โดนหลอก เลยโทร.ไปด่าให้สมแค้น
อ้าว? เพื่อนยืนยันว่าไม่ได้รับโทรศัพท์เลยค่ะ!
ใครรับสายล่ะ...ก็ผีน่ะซี!!
เรื่องนี้จะอำกันเล่นหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะ เพราะเพื่อนอาจจะอยู่ที่อื่นแล้วอำว่าอยู่ในห้องก็เป็นได้ แต่หลายๆ คนก็เชื่อกันเป็นตุเป็นตะว่าเรื่องจริงๆ โดนผีหลอกวิญญาณหลอนแน่แล้วหล่อน! บรื๋ออออ...
คราวนี้เล่นเอาใครๆ ขนลุกขนพอง ไม่กล้าโทร.ไปถามเพื่อนก่อนอีกแล้ว อยากไปหาก็ไปเลย... ต่อมาไม่นานก็ชักเลือนๆ กันไป มีการโทร.ไปหาก่อนตามเคย ถ้าอยู่ก็จะได้แวะไปหา ไม่อยู่ก็แล้วไป...ยกเว้นอยู่ไหนใกล้ๆ ก็ไปพบกันได้ และยังไม่เคยเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้นอีก
ในที่สุดเรื่องสุดหลอนก็เกิดขึ้นกับหนูจนได้ เมื่อมีธุระและคิดถึงหลินก็เลยขึ้นรถไปที่หอพักเธอ...
ทีแรกว่าใช้มือถือถามก่อนว่าอยู่หรือเปล่า? แต่อย่าดีกว่า...ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน จนกระทั่งไปถึงห้องเจ้าหน้าที่ของหอกำลังจะเดินไปขึ้นลิฟต์อยู่แล้ว แต่มีเสียงเรียกให้หยุด หนูหันไปมองก็เห็นสาวสวยรุ่นพี่ในชุดสีเทา ถามยิ้มๆ ว่าจะไปหาใครคะ?
แหม! จำหน้าเก่ง คนอยู่เป็นร้อยได้มั้ง? ทุกทีไม่เคยมีใครถาม แต่หนูก็บอกไปโดยดีว่ามาหาเพื่อนชื่อหลิน อยู่ห้อง 508 เธอก็พยักหน้าให้...หนูนึกยังไงไม่รู้บอกว่าพี่ช่วยบอกขึ้นไปหน่อยได้ไหมคะ ว่าเพื่อนชื่อบุ๋มมาหา
ไม่ทราบว่ารู้ทันหรือเปล่าที่หนูออกลูกประชด เธอจัดการติดต่อไปหาหลิน พูดไปยิ้มไป...ค่ะๆๆ เพื่อนกำลังขึ้นไปหานะคะ
คนอะไรอารมณ์ดีจริงๆ น่าจะชื่อคุณแฉล้มแจ่มใสนะ!
เมื่อขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นห้า หนูรู้สึกมีลมพัดวูบมา กระทบหน้า เอ๊ะ! มีแต่ห้องเช่าเรียงรายทั้งซ้ายและขวา แล้วลมบ้านี่พัดมาจากไหน? แต่ไม่อยากคิดอะไรมากจนไปถึงห้องหลิน
คุณพระคุณเจ้า! ห้องนั้นใส่กุญแจค่ะ!
โลกมืดไปชั่วครู่ ม่านตาพร่าพรายไปหมด...คิดในแง่ดีว่าหลินอาจจะเพิ่งลงจากลิฟต์แล้วสวนกัน! รีบเผ่นอ้าวลงมา แต่พี่คนสวยหันมองยิ้มๆ ถามว่าเพื่อนไม่เปิดประตูหรือคะ?
โอ๊ย! อยากเป็นบ้าตาย! ยังไม่ทันจะพูดจาอะไรเพราะใจเต้นโครมๆ เหมือนจะกระเด้งออกมานอกอก รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็แล่นมาจอด...หลินโดดลงมาจ่ายเงินแล้วเดินผลักกระจกเข้ามาหน้าตาเฉย หนูหันขวับไปทางพี่คนสวย...จะว่าให้เจ็บเชียวที่เล่นตลกร้ายแกล้งกัน
ตายจริง! พี่เขาทำตาโต อ้าปากค้าง หน้าตาซีด เซียว...ก่อนจะเป็นลมไปดื้อๆ แสดงว่าเขาไม่ได้หลอกหนูน่ะซีคะ...แต่พี่เขากลับโดนผีหลอกซะเอง!
แหม...ไม่ใช่เป็นคนเดียว แต่ทำให้หนูพลอยขนหัวลุกไปด้วยน่ะซีคะ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 22 สิงหาคม 2556
ใบหนาด
ถึงแม้จะเคยอ่านหนังสือและดูหนังเกี่ยวกับผีๆ สางๆ มานับไม่ถ้วน มีทั้งน่ากลัวมากและน้อย ไหนจะฟังพวกเพื่อนๆ ในมหาวิทยาลัยเล่าเรื่องผีอื้อซ่า แต่หนูมั่นใจว่าทั้งหมดนั่นยังไม่น่ากลัวเท่ากับที่หนูเจอะเจอมาสดๆ ร้อนๆ หรอกค่ะ
เพื่อนๆ อยู่หอแถวรังสิตหลายคน ทั้งมาจากต่างจังหวัดก็มี ทั้งบ้านอยู่ไกลๆ ก็มี
หลิน-เป็นคนหนึ่งที่เช่าห้องอยู่คนเดียว เธอเป็นลูกจีนหุ่นสูงโปร่ง หน้าตาเรียบๆ ไม่มีอะไรโดดเด่น ค่อนข้างพูดน้อย นัยน์ตาแคบดูดำขลับเยือกเย็น ไม่ค่อยแสดงอารมณ์อะไรแรงๆ เหมือนกับวัยรุ่นทั่วไป
นอกจากจะไม่สนใจเรื่องเที่ยวเตร่ ชอบหมกมุ่นอยู่กับการเรียนจนน่านับถือ หลินยังเล่าว่าเธอชอบทำสมาธิและวิปัสสนาอีกต่างหาก!
โห...ผิดกับเพื่อนๆ ส่วนมากที่ชอบเที่ยวเตร่ ดื่มเหล้าดื่มเบียร์ อีกคนก็ริเล่นยา เคยชวนหนูทดลองแต่หนูไม่เล่นด้วย....นานๆ มีเบียร์มีไวน์คูลเลอร์เล็กน้อยหนูก็ว่าแย่เต็มทีแล้ว ผิดกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งซึ่งทำตัวเหมือนไม่ใช่นักศึกษา ทั้งที่ยังต้องแบมือขอเงินพ่อแม่ใช้อยู่แท้ๆ
"ช็อปไว ใช้แหลก แดกด่วน" คือคติประจำใจของพวกเธอค่ะ!
คิดอีกทีก็เรื่องใครเรื่องมัน...ว่าแต่เรื่องผีนี่ซีคะ หนูเจอะเจอเรื่องสุดหลอนในห้องของหลินนี่เอง...ไม่ช็อกตายก็นับว่าเป็นบุญแล้ว
ได้ข่าวว่าที่นั่นผีดุ แต่หนูเฉยๆ ค่ะ เพราะไม่ได้อยู่หอ...เขาเล่ากันนะคะ ว่ามีเพื่อนคนหนึ่งจะแวะไปหาเพื่อน แต่เพื่อให้แน่ใจว่าเพื่อนอยู่ก็เลยใช้มือถือกดไปถามก่อน ปรากฏว่าเพื่อนบอกว่าอยู่ในห้อง...แต่เมื่อไปถึงกลับไม่มีใครอยู่เลย ห้องใส่กุญแจ เล่นเอาโมโหจัดที่โดนหลอก เลยโทร.ไปด่าให้สมแค้น
อ้าว? เพื่อนยืนยันว่าไม่ได้รับโทรศัพท์เลยค่ะ!
ใครรับสายล่ะ...ก็ผีน่ะซี!!
เรื่องนี้จะอำกันเล่นหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะ เพราะเพื่อนอาจจะอยู่ที่อื่นแล้วอำว่าอยู่ในห้องก็เป็นได้ แต่หลายๆ คนก็เชื่อกันเป็นตุเป็นตะว่าเรื่องจริงๆ โดนผีหลอกวิญญาณหลอนแน่แล้วหล่อน! บรื๋ออออ...
คราวนี้เล่นเอาใครๆ ขนลุกขนพอง ไม่กล้าโทร.ไปถามเพื่อนก่อนอีกแล้ว อยากไปหาก็ไปเลย... ต่อมาไม่นานก็ชักเลือนๆ กันไป มีการโทร.ไปหาก่อนตามเคย ถ้าอยู่ก็จะได้แวะไปหา ไม่อยู่ก็แล้วไป...ยกเว้นอยู่ไหนใกล้ๆ ก็ไปพบกันได้ และยังไม่เคยเกิดเรื่องน่ากลัวขึ้นอีก
ในที่สุดเรื่องสุดหลอนก็เกิดขึ้นกับหนูจนได้ เมื่อมีธุระและคิดถึงหลินก็เลยขึ้นรถไปที่หอพักเธอ...
ทีแรกว่าใช้มือถือถามก่อนว่าอยู่หรือเปล่า? แต่อย่าดีกว่า...ไม่รู้เพราะอะไรเหมือนกัน จนกระทั่งไปถึงห้องเจ้าหน้าที่ของหอกำลังจะเดินไปขึ้นลิฟต์อยู่แล้ว แต่มีเสียงเรียกให้หยุด หนูหันไปมองก็เห็นสาวสวยรุ่นพี่ในชุดสีเทา ถามยิ้มๆ ว่าจะไปหาใครคะ?
แหม! จำหน้าเก่ง คนอยู่เป็นร้อยได้มั้ง? ทุกทีไม่เคยมีใครถาม แต่หนูก็บอกไปโดยดีว่ามาหาเพื่อนชื่อหลิน อยู่ห้อง 508 เธอก็พยักหน้าให้...หนูนึกยังไงไม่รู้บอกว่าพี่ช่วยบอกขึ้นไปหน่อยได้ไหมคะ ว่าเพื่อนชื่อบุ๋มมาหา
ไม่ทราบว่ารู้ทันหรือเปล่าที่หนูออกลูกประชด เธอจัดการติดต่อไปหาหลิน พูดไปยิ้มไป...ค่ะๆๆ เพื่อนกำลังขึ้นไปหานะคะ
คนอะไรอารมณ์ดีจริงๆ น่าจะชื่อคุณแฉล้มแจ่มใสนะ!
เมื่อขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นห้า หนูรู้สึกมีลมพัดวูบมา กระทบหน้า เอ๊ะ! มีแต่ห้องเช่าเรียงรายทั้งซ้ายและขวา แล้วลมบ้านี่พัดมาจากไหน? แต่ไม่อยากคิดอะไรมากจนไปถึงห้องหลิน
คุณพระคุณเจ้า! ห้องนั้นใส่กุญแจค่ะ!
โลกมืดไปชั่วครู่ ม่านตาพร่าพรายไปหมด...คิดในแง่ดีว่าหลินอาจจะเพิ่งลงจากลิฟต์แล้วสวนกัน! รีบเผ่นอ้าวลงมา แต่พี่คนสวยหันมองยิ้มๆ ถามว่าเพื่อนไม่เปิดประตูหรือคะ?
โอ๊ย! อยากเป็นบ้าตาย! ยังไม่ทันจะพูดจาอะไรเพราะใจเต้นโครมๆ เหมือนจะกระเด้งออกมานอกอก รถมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งก็แล่นมาจอด...หลินโดดลงมาจ่ายเงินแล้วเดินผลักกระจกเข้ามาหน้าตาเฉย หนูหันขวับไปทางพี่คนสวย...จะว่าให้เจ็บเชียวที่เล่นตลกร้ายแกล้งกัน
ตายจริง! พี่เขาทำตาโต อ้าปากค้าง หน้าตาซีด เซียว...ก่อนจะเป็นลมไปดื้อๆ แสดงว่าเขาไม่ได้หลอกหนูน่ะซีคะ...แต่พี่เขากลับโดนผีหลอกซะเอง!
แหม...ไม่ใช่เป็นคนเดียว แต่ทำให้หนูพลอยขนหัวลุกไปด้วยน่ะซีคะ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 22 สิงหาคม 2556
ใบหนาด
27 สิงหาคม 2556
ส่งวิญญาณหลงทาง แถวราชวัตร
"พ่อนก" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของวิญญาณหลงทาง
ผมมีญาติสนิทผู้หนึ่งสร้างอพาร์ตเม้นต์อยู่แถวราชวัตร ได้มอบหมายให้ผมดูแลและเก็บค่าเช่ามาหลายปีแล้ว ภรรยาผมมีฝีมือทางทำกับข้าวต่างๆ ได้หลายอย่าง เราจึงเปิดร้านอาหารเล็กๆ เพื่อเสริมรายได้ที่ชั้นล่าง
คนเช่าห้องส่วนมากฐานะปานกลาง มีทั้งคนทำงานกลางวันและกลางคืน อยู่กันเป็นครอบครัวก็มี เป็นโสดอยู่กับเพื่อนก็มี สาวสวยบางคนก็มีเสี่ยเลี้ยง พากันออกไปกินไปเที่ยวเกือบทุกวันจนน่าอิจฉา
มีอยู่ห้องหนึ่งอยู่ชั้นล่างทางด้านหลัง หมายเลข 106 คนเช่าเป็นสองผัวเมียทำงานบริษัท ดูรักใคร่ปรองดองกันดี...จนเหตุการณ์ไม่คาดฝันอุบัติขึ้น
"ป้าวารี" แม่ของฝ่ายหญิงเดินทางจากลำปางมาเยี่ยมลูกสาวกับลูกเขย ไม่กี่วันก็รู้จักคนเกือบทุกห้อง เพราะป้าวารีช่างพูดช่างคุย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ผมเองก็ถูกชะตาแกไม่น้อยครับ
เมื่อมาอยู่เที่ยวกรุงเทพฯ ได้ราวอาทิตย์เศษ ตอนค่ำวันหนึ่งมากินอาหารที่ร้านพร้อมกันทั้งสามคน ผมได้ยินป้าวารีพูดเปรยๆ ว่าอยากกลับบ้านเสียที แต่ลูกสาวขอร้องให้อยู่ไปก่อน บอกว่าอยากจะอยู่กับแม่นานๆ ไม่ต้องเป็นห่วงลูกหลานทางโน้นก็ได้เพราะโตๆ กันหมดแล้ว
เธอบอกแม่ว่าไม่มีลูกเต้าเหมือนพี่น้องคนอื่น แม่มาอยู่ก็หายเหงาไปได้...ป้าวารีหัวเราะอารมณ์ดีตามเคย รับปากว่าจะอยู่ไปอีกพักหนึ่ง จะได้กินทุเรียนหมอนทองให้จุใจ! ลูกสาวหัวเราะออกมาได้ บอกว่าจะไปซื้อหมอนทองที่ตลาดมาให้แม่กินทุกวัน
ป้าวารีอายุหกสิบต้นๆ ผิวขาว ร่างอ้วนท้วน ผมสีดอกเลาเกล้ามวยไว้ที่ท้ายทอย เคยเล่าให้ผมฟังว่าเป็นทั้งเบาหวานกับความดันเลือดสูง ปกติต้องคุมอาหาร แต่มากรุงเทพฯ ทั้งทีก็ขอตามใจปากลิ้นสักพัก กลับลำปางถึงค่อยอดอยากปากแห้งกันต่อไปใหม่
วันเกิดเหตุ เห็นป้าวารีหิ้วทุเรียนหมอนทองหอมฟุ้งมาจากตลาด บอกว่า อีกสองวันจะกลับบ้านแล้ว ขอกินสั่งลาให้หนำใจสักวัน
คืนนั้นเอง ผมกำลังจะปิดร้านก็พอดีได้ยินเสียงร้องเอะอะโวยวายมาจากห้องด้านหลัง ครั้นวิ่งออกไปดูก็เห็นป้าวารีนอนดิ้นตูมตามอยู่บนพื้น นัยน์ตาเหลือกขึ้นลงน่ากลัว ลูกสาวก็เอาแต่ร้องไห้เขย่าตัว ถามว่า...แม่เป็นอะไร?
ทุเรียนทำพิษแน่ๆ งานนี้!!
ปรากฏว่าป้าวารีกินหมอนทองเข้าไปจนหมด คิดว่าคงไม่ต่ำกว่า 2-3 กิโลกรัม (คิดทั้งเม็ด) ผมวิ่งไปตามแท็กซี่ ช่วยกันหอบหิ้วขึ้นรถเพื่อไปหาหมอ แต่ความที่แกเป็นคนอ้วนใหญ่จึงผลักไม่เข้า ผมต้องเข้าไปในรถก่อนแล้วคอยดึงร่างแกจากข้างใน
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หมอก็บอกว่าแก่สิ้นลมหายใจก่อนจะมาถึงแล้ว
หลังจากงานศพป้าวารี พวกลูกหลานก็กลับลำปางไปแล้ว ผมรู้สึกว่าบรรยากาศในอพาร์ตเม้นต์ดูเงียบเหงา น่าวังเวงใจชอบกล ลูกสาวลูกเขยแกที่เคยอยู่กันดีๆ มาตลอดก็กลับมีเรื่องระหองระแหง ทะเลาะเบาะแว้งกันตลอด
ผมเองยอมรับว่าเป็นคนกลัวผี นึกถึงป้าวารีที่เคยพูดคุยกันบ่อยๆ มิหนำซ้ำแกยังมาตายในอ้อมแขนเสียอีก ทำให้อดนึกหวาดๆ ไม่ได้หรอกครับ
อีกราว 2 อาทิตย์ต่อมา ผมก็เจอดีเข้าอย่างจัง!
คืนนั้นใกล้จะปิดร้านแล้ว ฝนตกพรำมาตั้งแต่หัวค่ำทำให้ดูเงียบเหงาเยือกเย็นกว่าทุกคืน ผมเก็บกวาดเศษขยะลงถังแล้วหิ้วไปทิ้งทางด้านหลัง...ผ่านห้อง 106 ก็เห็นปิดไฟมืด ขากลับเห็นร่างตะคุ่มๆ ขนาดใหญ่ยืนพิงฝาอยู่หน้าห้องก็เดินผ่านมาโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก
พอนึกได้ว่าเป็นใครคุ้นๆ ก็หันขวับไปมอบ เย็นวาบตั้งแต่ท้ายทอยไปถึงแผ่นหลังทันที...ป้าวารีนั่นเอง!
ขณะที่ยืนตะลึงพรึงเพริดอยู่นั่นเอง ใบหน้ากลมอูมของหญิงชราก็ค่อยๆ หันมามองผมอย่างเชื่องช้า ยิ่งเห็นมวยผมจากแสงไฟสลัวยิ่งแน่ใจว่าเป็นป้าวารีแน่นอน
รีบเดินขาสั่นมาบอกภรรยา เมื่อเราออกไปดูด้วยกันอีกครั้งก็ไม่เห็นภาพน่ากลัวนั่นเสียแล้ว...ตลอดทางเดินมีแต่ความว่างเปล่าสิ้นเชิง
ผมไม่ได้ดื่มเหล้าหรือง่วงนอน จึงมั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาดไปเองแน่ๆ วันรุ่งขึ้นจึงนำอาหารไปถวายท่านสมภารวัดอัมพวัน ข้างเขตดุสิต ท่านชอบฉันอาหารภาคอีสานเช่นส้มตำปลาร้า ลาบและซุบหน่อไม้ เป็นต้น
เมื่อท่านฉันเสร็จผมก็กราบเรียนเรื่องที่พบเห็นมาเมื่อคืนให้ฟัง
ท่านหลับตาเพ่งจิตอยู่ครู่หนึ่งจึงอธิบายว่า วิญญาณดวงนั้นประสงค์จะกลับบ้าน ขอให้ช่วยอนุเคราะห์โดยการเผาแบงก์กงเต๊กไปให้ บอกกล่าวว่าได้ซื้อตั๋วรถไฟให้แล้ว ขอให้เดินทางกลับไปเถิด
หลวงตาท่านบอกว่า เมื่อทำได้ดังนี้โยมก็จะได้ลาภเพราะผลบุญ
กราบลาท่านออกจากวัด ผมแวะซื้อแบงก์กงเต๊กที่ตลาดไป 120 บาท ได้มาหลายล้านบาท ผมก็จัดการเผาแบงก์กงเต๊กพลางนึกบอกกล่าวตามคำแนะนำของหลวงพ่อ วิญญาณป้าวารีคงจะได้กลับบ้านเรียบร้อยแล้ว จึงได้สงบเงียบไปแต่นั้นมา
ดวงผมคงจะยังไม่มีลาภแน่ๆ ครับ เพราะแบงก์กงเต๊กเป็นเลข 9 ทั้งหมด ล็อตเตอรี่งวดต่อมาเลขท้ายออก 99 แต่ผมก็ไม่ได้ซื้อเอาไว้เลยแม้แต่บาทเดียว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 23 กค 2547
ใบหนาด
ผมมีญาติสนิทผู้หนึ่งสร้างอพาร์ตเม้นต์อยู่แถวราชวัตร ได้มอบหมายให้ผมดูแลและเก็บค่าเช่ามาหลายปีแล้ว ภรรยาผมมีฝีมือทางทำกับข้าวต่างๆ ได้หลายอย่าง เราจึงเปิดร้านอาหารเล็กๆ เพื่อเสริมรายได้ที่ชั้นล่าง
คนเช่าห้องส่วนมากฐานะปานกลาง มีทั้งคนทำงานกลางวันและกลางคืน อยู่กันเป็นครอบครัวก็มี เป็นโสดอยู่กับเพื่อนก็มี สาวสวยบางคนก็มีเสี่ยเลี้ยง พากันออกไปกินไปเที่ยวเกือบทุกวันจนน่าอิจฉา
มีอยู่ห้องหนึ่งอยู่ชั้นล่างทางด้านหลัง หมายเลข 106 คนเช่าเป็นสองผัวเมียทำงานบริษัท ดูรักใคร่ปรองดองกันดี...จนเหตุการณ์ไม่คาดฝันอุบัติขึ้น
"ป้าวารี" แม่ของฝ่ายหญิงเดินทางจากลำปางมาเยี่ยมลูกสาวกับลูกเขย ไม่กี่วันก็รู้จักคนเกือบทุกห้อง เพราะป้าวารีช่างพูดช่างคุย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ผมเองก็ถูกชะตาแกไม่น้อยครับ
เมื่อมาอยู่เที่ยวกรุงเทพฯ ได้ราวอาทิตย์เศษ ตอนค่ำวันหนึ่งมากินอาหารที่ร้านพร้อมกันทั้งสามคน ผมได้ยินป้าวารีพูดเปรยๆ ว่าอยากกลับบ้านเสียที แต่ลูกสาวขอร้องให้อยู่ไปก่อน บอกว่าอยากจะอยู่กับแม่นานๆ ไม่ต้องเป็นห่วงลูกหลานทางโน้นก็ได้เพราะโตๆ กันหมดแล้ว
เธอบอกแม่ว่าไม่มีลูกเต้าเหมือนพี่น้องคนอื่น แม่มาอยู่ก็หายเหงาไปได้...ป้าวารีหัวเราะอารมณ์ดีตามเคย รับปากว่าจะอยู่ไปอีกพักหนึ่ง จะได้กินทุเรียนหมอนทองให้จุใจ! ลูกสาวหัวเราะออกมาได้ บอกว่าจะไปซื้อหมอนทองที่ตลาดมาให้แม่กินทุกวัน
ป้าวารีอายุหกสิบต้นๆ ผิวขาว ร่างอ้วนท้วน ผมสีดอกเลาเกล้ามวยไว้ที่ท้ายทอย เคยเล่าให้ผมฟังว่าเป็นทั้งเบาหวานกับความดันเลือดสูง ปกติต้องคุมอาหาร แต่มากรุงเทพฯ ทั้งทีก็ขอตามใจปากลิ้นสักพัก กลับลำปางถึงค่อยอดอยากปากแห้งกันต่อไปใหม่
วันเกิดเหตุ เห็นป้าวารีหิ้วทุเรียนหมอนทองหอมฟุ้งมาจากตลาด บอกว่า อีกสองวันจะกลับบ้านแล้ว ขอกินสั่งลาให้หนำใจสักวัน
คืนนั้นเอง ผมกำลังจะปิดร้านก็พอดีได้ยินเสียงร้องเอะอะโวยวายมาจากห้องด้านหลัง ครั้นวิ่งออกไปดูก็เห็นป้าวารีนอนดิ้นตูมตามอยู่บนพื้น นัยน์ตาเหลือกขึ้นลงน่ากลัว ลูกสาวก็เอาแต่ร้องไห้เขย่าตัว ถามว่า...แม่เป็นอะไร?
ทุเรียนทำพิษแน่ๆ งานนี้!!
ปรากฏว่าป้าวารีกินหมอนทองเข้าไปจนหมด คิดว่าคงไม่ต่ำกว่า 2-3 กิโลกรัม (คิดทั้งเม็ด) ผมวิ่งไปตามแท็กซี่ ช่วยกันหอบหิ้วขึ้นรถเพื่อไปหาหมอ แต่ความที่แกเป็นคนอ้วนใหญ่จึงผลักไม่เข้า ผมต้องเข้าไปในรถก่อนแล้วคอยดึงร่างแกจากข้างใน
เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หมอก็บอกว่าแก่สิ้นลมหายใจก่อนจะมาถึงแล้ว
หลังจากงานศพป้าวารี พวกลูกหลานก็กลับลำปางไปแล้ว ผมรู้สึกว่าบรรยากาศในอพาร์ตเม้นต์ดูเงียบเหงา น่าวังเวงใจชอบกล ลูกสาวลูกเขยแกที่เคยอยู่กันดีๆ มาตลอดก็กลับมีเรื่องระหองระแหง ทะเลาะเบาะแว้งกันตลอด
ผมเองยอมรับว่าเป็นคนกลัวผี นึกถึงป้าวารีที่เคยพูดคุยกันบ่อยๆ มิหนำซ้ำแกยังมาตายในอ้อมแขนเสียอีก ทำให้อดนึกหวาดๆ ไม่ได้หรอกครับ
อีกราว 2 อาทิตย์ต่อมา ผมก็เจอดีเข้าอย่างจัง!
คืนนั้นใกล้จะปิดร้านแล้ว ฝนตกพรำมาตั้งแต่หัวค่ำทำให้ดูเงียบเหงาเยือกเย็นกว่าทุกคืน ผมเก็บกวาดเศษขยะลงถังแล้วหิ้วไปทิ้งทางด้านหลัง...ผ่านห้อง 106 ก็เห็นปิดไฟมืด ขากลับเห็นร่างตะคุ่มๆ ขนาดใหญ่ยืนพิงฝาอยู่หน้าห้องก็เดินผ่านมาโดยที่ไม่ได้คิดอะไรมาก
พอนึกได้ว่าเป็นใครคุ้นๆ ก็หันขวับไปมอบ เย็นวาบตั้งแต่ท้ายทอยไปถึงแผ่นหลังทันที...ป้าวารีนั่นเอง!
ขณะที่ยืนตะลึงพรึงเพริดอยู่นั่นเอง ใบหน้ากลมอูมของหญิงชราก็ค่อยๆ หันมามองผมอย่างเชื่องช้า ยิ่งเห็นมวยผมจากแสงไฟสลัวยิ่งแน่ใจว่าเป็นป้าวารีแน่นอน
รีบเดินขาสั่นมาบอกภรรยา เมื่อเราออกไปดูด้วยกันอีกครั้งก็ไม่เห็นภาพน่ากลัวนั่นเสียแล้ว...ตลอดทางเดินมีแต่ความว่างเปล่าสิ้นเชิง
ผมไม่ได้ดื่มเหล้าหรือง่วงนอน จึงมั่นใจว่าไม่ได้ตาฝาดไปเองแน่ๆ วันรุ่งขึ้นจึงนำอาหารไปถวายท่านสมภารวัดอัมพวัน ข้างเขตดุสิต ท่านชอบฉันอาหารภาคอีสานเช่นส้มตำปลาร้า ลาบและซุบหน่อไม้ เป็นต้น
เมื่อท่านฉันเสร็จผมก็กราบเรียนเรื่องที่พบเห็นมาเมื่อคืนให้ฟัง
ท่านหลับตาเพ่งจิตอยู่ครู่หนึ่งจึงอธิบายว่า วิญญาณดวงนั้นประสงค์จะกลับบ้าน ขอให้ช่วยอนุเคราะห์โดยการเผาแบงก์กงเต๊กไปให้ บอกกล่าวว่าได้ซื้อตั๋วรถไฟให้แล้ว ขอให้เดินทางกลับไปเถิด
หลวงตาท่านบอกว่า เมื่อทำได้ดังนี้โยมก็จะได้ลาภเพราะผลบุญ
กราบลาท่านออกจากวัด ผมแวะซื้อแบงก์กงเต๊กที่ตลาดไป 120 บาท ได้มาหลายล้านบาท ผมก็จัดการเผาแบงก์กงเต๊กพลางนึกบอกกล่าวตามคำแนะนำของหลวงพ่อ วิญญาณป้าวารีคงจะได้กลับบ้านเรียบร้อยแล้ว จึงได้สงบเงียบไปแต่นั้นมา
ดวงผมคงจะยังไม่มีลาภแน่ๆ ครับ เพราะแบงก์กงเต๊กเป็นเลข 9 ทั้งหมด ล็อตเตอรี่งวดต่อมาเลขท้ายออก 99 แต่ผมก็ไม่ได้ซื้อเอาไว้เลยแม้แต่บาทเดียว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 23 กค 2547
ใบหนาด
26 สิงหาคม 2556
การลองของในห้องผีสิง บรื่อๆๆๆ
"ธมกร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อลองของกับห้องผีสิง
ดิฉันไม่เคยเล่าเรื่องสยองขวัญนี้ให้ใครฟังมาก่อนเลย ถึงแม้มันจะไม่ใช่ความลับก็จริง แต่เราก็รู้ๆ กันอยู่แค่ 5 คนเท่านั้นเอง ใครจะเชื่อเราล่ะคะ?
ปัจจุบันดิฉันอายุ 40 ปี มีครอบครัวและลูกๆ ที่กำลังน่ารักน่าเอ็นดู แต่เหตุการณ์แปลกประหลาดครั้งนั้น ดิฉันกับเพื่อนๆ ไม่เคยลืม และไม่มีวันลืมได้เด็ดขาด.. มันทั้งคาใจ ทั้งเป็นบาดแผลที่แม้ไม่มีใครไปสะกิดสะเกา มันก็เจ็บแปลบได้เสมอ
ตอนเรียน ม.ปลายอยู่โรงเรียนชื่อดัง ดิฉันซ่าน่าดู และเป็น 1 ในกลุ่มแก๊ง 6 สาวที่ร่ำลือกันว่า สวย เท่ และสุดแสบ ชอบทำอะไรบ้าๆ พิเรนทร์ๆ ตามประสาเด็กวัยรุ่น โดยเลียนแบบพฤติกรรมจากหนังฝรั่ง บางครั้งก็เกินเลยจนดูใจร้าย อย่างการชอบเอาคนที่จ๋องๆ อ่อนแอกว่ามาล้อเป็นตัวตลก
แหม! นึกย้อนไปแล้วก็อายตัวเองบอกไม่ถูกค่ะ เวลาเจอเพื่อนคนนั้นในงานเลี้ยงรุ่น ดิฉันยังเคยไปสารภาพบาปและขอโทษเธอ แต่เธอผู้นั้นกลับหัวเราะไม่ถือสาและรักดิฉันในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง น่าละอายจริงๆ เลย
ความแผลงทำให้กลุ่มดิฉันเจอเรื่องราวร้ายกาจ กลายเป็นตราบาป เพราะคราวนี้ไม่มีใครมาให้อภัยอย่างเพื่อนคนนั้น
คุณพ่อคุณแม่ดิฉันเป็นนักธุรกิจระดับเศรษฐี ต้องติดต่อและเดินทางไปต่างประเทศเสมอๆ บ้านหรือคฤหาสน์ของเราอยู่สุขุมวิทช่วงต้นๆ มีบ่าวไพร่เพียบพร้อม ทั้งคนรถ คนสวน คนรับใช้ แม่ครัวและผู้ช่วย รวมแล้ว 5-6 คนได้ค่ะ
ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีเรือนคนใช้อยู่ภายในบริเวณบ้าน แยกต่างหากจากตึกใหญ่ โดยปลูกเป็นลักษณะบังกะโล 3 หลัง โดยหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ของครอบครัวคนรถ อีกหลังเป็นของคนสวนกับแม่ครัวซึ่งเป็นสามีภรรยากัน ส่วนสาวใช้อยู่ที่เรือนไม้สีขาวหลังเล็ก มีแค่ห้องนอนและห้องน้ำ แถมยังอยู่ห่างออกไปชิดรั้วหลังบ้าน
เมื่อพ.ศ. 2524 เรามีสาวใช้อายุ 17 ปี เท่าๆ ดิฉันตอนนั้น เธอชื่ออ้อย เป็นสาวเมืองเหนือ มีจริตจะก้านที่ดิฉันค่อนขอดอย่างหมั่นไส้เงียบๆ แค่ในใจ แต่ภายนอกก็เสแสร้งทำดีกับเธอ
ดิฉันบาปจริงๆ ค่ะ ความหมั่นไส้ทำให้หลอกล่อเธอไปในทางตกต่ำลงทุกทีๆ เช่น สอนให้เธอดื่มเบียร์ผสมน้ำผึ้งกับมะนาว หรือผสมเข้ากับโค้ก
เมื่อมีช่างก่อสร้างข้างบ้านมาติดพันเธอ ดิฉันนี่แหละเป็นคนยุยงส่งเสริม แอบเอากุญแจรั้วให้เธอยืมไขประตู ลอบไปเที่ยวกับผู้ชายยามดึกดื่นค่อนคืน..ไม่นานอ้อยก็ท้องป่องขึ้นมา
แทนที่จะสงสาร ดิฉันกลับกระหน่ำซ้ำเติมความเสียขวัญของเธอด้วยคำพูด เช่น เธอต้องแย่แน่! พ่อแม่ต้องเล่นงานเธอแน่! ชาวบ้านต้องนินทาว่าร้ายให้พ่อแม่เธออับอายจนแทบจะเอาปี๊บคลุมหัว..สารพัดสารพัน
ในที่สุด อ้อยก็ผูกคอตายในห้องนอนที่เรือนไม้สีขาวริมรั้วนั่นเอง!
ดิฉันใจหาย พยายามแก้ตัวให้ตัวเองฟังว่า อ้อยมันไม่รักดีเองต่างหาก ไม่ใช่เพราะคำพูดของเราสักหน่อย
3-4 เดือนหลังจากอ้อยตาย เรือนไม้ซึ่งถูกใช้เป็นห้องเก็บสัมภาระก็กลายเป็นที่ลองของของดิฉันและกลุ่มแก๊งอีก 5 คน เพราะปิดเทอมใหญ่พอดี และคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องไปเมืองนอก
ดิฉันชวนเพื่อนร่วมแก๊งทั้งหมดมาค้างที่บ้าน เราสนุกกันมากๆ จนคนรถ คนสวน และแม่ครัวต่างเอือมระอาไปตามๆ กัน
สุดท้าย ดิฉันท้าให้ใครก็ตามที่ใจกล้า ใจถึง ไปนอนห้องที่อ้อยผูกคอตาย โดยมีเงื่อนไขว่า..ต้องถูกขังล็อกกุญแจด้านนอกไว้ตลอดคืน ปรากฏว่า แอน-สาวห้าวที่สุดในกลุ่มรับคำท้าค่ะ
ป้าสายที่เป็นแม่ครัวแกโมโหและห้ามปราม แต่เราก็ไม่ยอมฟัง กลับหัวเราะกรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่
รุ้งเช้าเราไขประตู ปล่อยแอนออกมา..
ดูเธอเปลี่ยนไปค่ะ ถามอะไรก็ไม่ตอบ ไม่ยอมบอกว่าเจออะไรบ้าง เราเลยคิดว่าไม่มีอะไร..แต่แอนไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เธอกลับมีบางสิ่งบางอย่างในกิริยาท่าทางเหมือนกับอ้อยขึ้นทุกที ทั้งๆ ที่แอนไม่เคยรู้จักอ้อยเลย
ดิฉันยอมรับว่ากลัวแววตาของเธอมากจริงๆ ค่ะ เพราะชอบแอบจ้อง พอหันไปสบตาเธอแล้วขนลุกซ่าไปทั้งตัว ต้นคอเย็นวาบไปถึงไขสันหลัง..
ให้ตายเถอะ! มันเป็นแววตาของอ้อยชัดๆ
และแล้ว ก่อนที่เราจะเรียนจบเทอมสุดท้ายของ ม.6 นั่นเอง แอนก็ท้อง! พวกเราช็อกสุดขีด เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายหนักขึ้น เมื่อแอนหาทางออกด้วยการผูกคอตายเหมือนอ้อยไม่มีผิด
พวกเราทั้ง 5 คน แทบสติแตกไปตามๆ กันเมื่อทราบข่าว
ดิฉันแทบช็อก ทั้งตกใจและหวาดกลัว สำนึกตัวว่าเป็นผู้ผิดตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว..ก๊วนเราสลายไปตั้งแต่นั้น ดิฉันทำบุญใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลให้แก่อ้อยและแอนตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 23 สิงหาคม 2547
ใบหนาด
ดิฉันไม่เคยเล่าเรื่องสยองขวัญนี้ให้ใครฟังมาก่อนเลย ถึงแม้มันจะไม่ใช่ความลับก็จริง แต่เราก็รู้ๆ กันอยู่แค่ 5 คนเท่านั้นเอง ใครจะเชื่อเราล่ะคะ?
ปัจจุบันดิฉันอายุ 40 ปี มีครอบครัวและลูกๆ ที่กำลังน่ารักน่าเอ็นดู แต่เหตุการณ์แปลกประหลาดครั้งนั้น ดิฉันกับเพื่อนๆ ไม่เคยลืม และไม่มีวันลืมได้เด็ดขาด.. มันทั้งคาใจ ทั้งเป็นบาดแผลที่แม้ไม่มีใครไปสะกิดสะเกา มันก็เจ็บแปลบได้เสมอ
ตอนเรียน ม.ปลายอยู่โรงเรียนชื่อดัง ดิฉันซ่าน่าดู และเป็น 1 ในกลุ่มแก๊ง 6 สาวที่ร่ำลือกันว่า สวย เท่ และสุดแสบ ชอบทำอะไรบ้าๆ พิเรนทร์ๆ ตามประสาเด็กวัยรุ่น โดยเลียนแบบพฤติกรรมจากหนังฝรั่ง บางครั้งก็เกินเลยจนดูใจร้าย อย่างการชอบเอาคนที่จ๋องๆ อ่อนแอกว่ามาล้อเป็นตัวตลก
แหม! นึกย้อนไปแล้วก็อายตัวเองบอกไม่ถูกค่ะ เวลาเจอเพื่อนคนนั้นในงานเลี้ยงรุ่น ดิฉันยังเคยไปสารภาพบาปและขอโทษเธอ แต่เธอผู้นั้นกลับหัวเราะไม่ถือสาและรักดิฉันในฐานะเพื่อนคนหนึ่ง น่าละอายจริงๆ เลย
ความแผลงทำให้กลุ่มดิฉันเจอเรื่องราวร้ายกาจ กลายเป็นตราบาป เพราะคราวนี้ไม่มีใครมาให้อภัยอย่างเพื่อนคนนั้น
คุณพ่อคุณแม่ดิฉันเป็นนักธุรกิจระดับเศรษฐี ต้องติดต่อและเดินทางไปต่างประเทศเสมอๆ บ้านหรือคฤหาสน์ของเราอยู่สุขุมวิทช่วงต้นๆ มีบ่าวไพร่เพียบพร้อม ทั้งคนรถ คนสวน คนรับใช้ แม่ครัวและผู้ช่วย รวมแล้ว 5-6 คนได้ค่ะ
ด้วยเหตุนี้จึงจำเป็นต้องมีเรือนคนใช้อยู่ภายในบริเวณบ้าน แยกต่างหากจากตึกใหญ่ โดยปลูกเป็นลักษณะบังกะโล 3 หลัง โดยหลังหนึ่งเป็นที่อยู่ของครอบครัวคนรถ อีกหลังเป็นของคนสวนกับแม่ครัวซึ่งเป็นสามีภรรยากัน ส่วนสาวใช้อยู่ที่เรือนไม้สีขาวหลังเล็ก มีแค่ห้องนอนและห้องน้ำ แถมยังอยู่ห่างออกไปชิดรั้วหลังบ้าน
เมื่อพ.ศ. 2524 เรามีสาวใช้อายุ 17 ปี เท่าๆ ดิฉันตอนนั้น เธอชื่ออ้อย เป็นสาวเมืองเหนือ มีจริตจะก้านที่ดิฉันค่อนขอดอย่างหมั่นไส้เงียบๆ แค่ในใจ แต่ภายนอกก็เสแสร้งทำดีกับเธอ
ดิฉันบาปจริงๆ ค่ะ ความหมั่นไส้ทำให้หลอกล่อเธอไปในทางตกต่ำลงทุกทีๆ เช่น สอนให้เธอดื่มเบียร์ผสมน้ำผึ้งกับมะนาว หรือผสมเข้ากับโค้ก
เมื่อมีช่างก่อสร้างข้างบ้านมาติดพันเธอ ดิฉันนี่แหละเป็นคนยุยงส่งเสริม แอบเอากุญแจรั้วให้เธอยืมไขประตู ลอบไปเที่ยวกับผู้ชายยามดึกดื่นค่อนคืน..ไม่นานอ้อยก็ท้องป่องขึ้นมา
แทนที่จะสงสาร ดิฉันกลับกระหน่ำซ้ำเติมความเสียขวัญของเธอด้วยคำพูด เช่น เธอต้องแย่แน่! พ่อแม่ต้องเล่นงานเธอแน่! ชาวบ้านต้องนินทาว่าร้ายให้พ่อแม่เธออับอายจนแทบจะเอาปี๊บคลุมหัว..สารพัดสารพัน
ในที่สุด อ้อยก็ผูกคอตายในห้องนอนที่เรือนไม้สีขาวริมรั้วนั่นเอง!
ดิฉันใจหาย พยายามแก้ตัวให้ตัวเองฟังว่า อ้อยมันไม่รักดีเองต่างหาก ไม่ใช่เพราะคำพูดของเราสักหน่อย
3-4 เดือนหลังจากอ้อยตาย เรือนไม้ซึ่งถูกใช้เป็นห้องเก็บสัมภาระก็กลายเป็นที่ลองของของดิฉันและกลุ่มแก๊งอีก 5 คน เพราะปิดเทอมใหญ่พอดี และคุณพ่อคุณแม่ก็ต้องไปเมืองนอก
ดิฉันชวนเพื่อนร่วมแก๊งทั้งหมดมาค้างที่บ้าน เราสนุกกันมากๆ จนคนรถ คนสวน และแม่ครัวต่างเอือมระอาไปตามๆ กัน
สุดท้าย ดิฉันท้าให้ใครก็ตามที่ใจกล้า ใจถึง ไปนอนห้องที่อ้อยผูกคอตาย โดยมีเงื่อนไขว่า..ต้องถูกขังล็อกกุญแจด้านนอกไว้ตลอดคืน ปรากฏว่า แอน-สาวห้าวที่สุดในกลุ่มรับคำท้าค่ะ
ป้าสายที่เป็นแม่ครัวแกโมโหและห้ามปราม แต่เราก็ไม่ยอมฟัง กลับหัวเราะกรี๊ดกร๊าดกันยกใหญ่
รุ้งเช้าเราไขประตู ปล่อยแอนออกมา..
ดูเธอเปลี่ยนไปค่ะ ถามอะไรก็ไม่ตอบ ไม่ยอมบอกว่าเจออะไรบ้าง เราเลยคิดว่าไม่มีอะไร..แต่แอนไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว เธอกลับมีบางสิ่งบางอย่างในกิริยาท่าทางเหมือนกับอ้อยขึ้นทุกที ทั้งๆ ที่แอนไม่เคยรู้จักอ้อยเลย
ดิฉันยอมรับว่ากลัวแววตาของเธอมากจริงๆ ค่ะ เพราะชอบแอบจ้อง พอหันไปสบตาเธอแล้วขนลุกซ่าไปทั้งตัว ต้นคอเย็นวาบไปถึงไขสันหลัง..
ให้ตายเถอะ! มันเป็นแววตาของอ้อยชัดๆ
และแล้ว ก่อนที่เราจะเรียนจบเทอมสุดท้ายของ ม.6 นั่นเอง แอนก็ท้อง! พวกเราช็อกสุดขีด เหตุการณ์ยิ่งเลวร้ายหนักขึ้น เมื่อแอนหาทางออกด้วยการผูกคอตายเหมือนอ้อยไม่มีผิด
พวกเราทั้ง 5 คน แทบสติแตกไปตามๆ กันเมื่อทราบข่าว
ดิฉันแทบช็อก ทั้งตกใจและหวาดกลัว สำนึกตัวว่าเป็นผู้ผิดตั้งแต่แรก แต่ก็ไม่อาจแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว..ก๊วนเราสลายไปตั้งแต่นั้น ดิฉันทำบุญใส่บาตร อุทิศส่วนกุศลให้แก่อ้อยและแอนตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 23 สิงหาคม 2547
ใบหนาด
25 สิงหาคม 2556
ตายทั้งกลม : ตุ๊กตุ๊กสยอง
"เพิ่มบุญ" เล่าเรื่องขนหัวลุกของสามล้อผีสิง เมื่อเด็กๆ ดิฉันอยู่กับพ่อแม่ในซอยสินทรัพย์ ใกล้กับซอยระนอง 2 ถนนพระราม 5 ในซอยนี้มีรถตุ๊กตุ๊ก ให้เช่ามากค่ะ ตอนกลางคืนจะมีรถว่างๆจอดเรียงกันตามข้างทางเกือบสิบคัน
ซอยนี้ตอนกลางวันกับตอนหัวค่ำค่อนข้างคึกคัก ผู้คนขวักไขว่ รถราแล่นเข้าออกหนาตา แต่ตกดึกค่อนข้างเปลี่ยวเอาการ
มีร้านอาหารและร้านกาแฟที่พวกคนขับรถแวะมากิน ทั้งคนมาส่งรถและรับรถ มีการตั้งวงเหล้ากันเกือบทุกวัน คุยกันเรื่องหากินดีหรือไม่ดีบ้าง เรื่องผู้โดยสารบ้าง รวมทั้งเรื่องอื่นๆ จิปาถะ
คนในซอยสะดวกอย่างตรงที่ไปไหนใกล้ๆ ก็เรียกรถได้เลย ไม่ต้องเดินไปถึงถนนใหญ่ บางคนก็จ้างให้ไปรับ-ส่งลูกหลานที่เรียนหนังสือเป็นประจำทุกวัน
พวกเขาเชื่อเรื่องโชคลางกันมากค่ะ ถ้าได้ผู้โดยสารเที่ยวแรกดีๆ หมายถึงไม่ต่อราคา บางคนอาจจะแถมพิเศษถ้ารถติด ก็เชื่อว่าจะหากินคล่องตลอดวัน เรียกว่า "ประเดิมดี" คนขับตุ๊กตุ๊กรุ่นเก่าจะสอนรุ่นใหม่ให้บอกผู้โดยสารว่าเป็นเที่ยวแรก ก็จะรู้กันนัยๆ ว่าขอให้ช่วยประเดิมเขาดีๆหน่อยจะได้มีโชคเป็นพิเศษ
ตรงกันข้าม ถ้าเที่ยวแรกโดนต่อรองมากๆ หรือตกลงกันไม่สำเร็จ ก็แทบจะหมดกำลังใจหาเงินไปทั้งวัน
อีกเรื่องหนึ่งคือการคลอดลูกในรถระหว่างไปโรงพยาบาล ทั้งคนขับรถแท็กซี่และสามล้อจะเชื่อตรงกันหมดว่าเป็นโชคลาภ อาจจะถูกล็อตเตอรี่หรือหวยใต้ดินได้ง่ายๆเพราะมีคนโชคดีหลายรายแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็หากินคล่อง หักค่าเช่าค่าน้ำมันแล้วยังมีเงินเหลือเป็นกอบเป็นกำ
แต่ถ้าเกิดมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยอาการหนัก แล้วไปขาดใจตายคารถก่อนถึงโรงพยาบาล จะทำให้เคราะห์ร้ายไปนาน!
วันหนึ่ง คนในซอยชื่อน้าองุ่นเกิดเจ็บท้องใกล้คลอด สามีรีบเรียกรถตุ๊กตุ๊กไปโรงพยาบาลวชิระ น้าองุ่นร้องครวญครางโอดโอยจนแน่นิ่งไปก่อนจะถึงมือแพทย์
แกขาดใจตายในรถตุ๊กตุ๊กคันนั้นเอง!
หลังจากงานศพผ่านไปไม่นาน ชาวบ้านในซอยสินทรัพย์ก็รู้สึกเยือกเย็นวังเวงใจชอบกล หมาจะเห่าหอนตั้งแต่ตอนเย็นๆ แล้ว ยิ่งกลางค่ำกลางคืนพวกมันจะโก่งคอหอนโหยหวนน่าขนลุก.....
หลายๆ คนยืนยันว่าหมาจะเห่าหอนอยู่แถวๆ ข้างถนนที่รถตุ๊กตุ๊กจอดเรียงรายกันนั่นเอง
คนขับรถเจ้ากรรมคันนั้นชื่อลุงผิน แกบอกว่าไม่อยากคิดอะไรมากเพราะถือว่าได้ช่วยเหลือเต็มที่แล้ว แต่ก็น่าแปลกที่ตั้งแต่น้าองุ่นตายในรถ การหากินก็เริ่มฝืดเคืองลงทุกที เวลาขับรถเปล่าๆ หาผู้โดยสาร มักจะรู้สึกว่ามีใครนั่งอยู่หลังเสมอ พอหันไปมองก็ไม่เห็นอะไรชัดเจน นอกจากรูปเงาวูบๆ วาบๆ น่าขนลุก
สังเกตว่าคนที่รอรถก็ไม่โบกเรียก จะว่ารอแท็กซี่ก็เปล่า เพราะเรียกสามล้อคันหลังขึ้นนั่งแทน
บางครั้งเห็นคนยืนรอรถจ้องมองมาแต่ไกลแล้วกลับเมิน จนกระทั่งแกชะลอรถเข้าไปใกล้นั่นแหละ เขาถึงได้โบกมือเรียก พอขึ้นไปนั่งก็บ่นกับแกว่าตาฝาด ...เมื่อกี้เห็นมีผู้หญิงนั่งอยู่บนรถ จนกระทั่งเข้ามาใกล้ๆ ถึงได้เห็นชัดว่ารถว่าง
ลุงอินเล่าว่าขนหัวลุกซู่ แน่ใจว่าวิญญาณน้าองุ่นยังสิงสู่อยู่ในรถที่เธอหมดลมหายใจอย่างแน่นอน!
จะขอเปลี่ยนรถก็ไม่มีใครยอมเปลี่ยน เพราะหวาดกลัวผีแม่ลูกอ่อนกันทั้งนั้น ด้วยความเชื่อว่าผีตายทั้งกลมเฮี้ยนนัก วิญญาณดุร้ายน่ากลัวจนเกินกว่าจะไปวัดดวงหรือล้อเล่นกันง่ายๆ
เสียงเล่าลือเรื่องวิญญาณน้าองุ่นสิงรถตุ๊กตุ๊ก เริ่มจะซาลง สองผัวเมียคู่หนึ่งก็เจอดีเข้าอย่างจัง
ลุงเสิดกับป้าเม่าเป็นขาไพ่ตองที่เล่นกันตั้งแต่เที่ยงวันอาทิตย์ กว่าจะเลิกก็สองยาม -ตีหนึ่ง บ่อนเลิกขาไพ่ก็แยกย้ายกันกลับบ้านที่อยู่ใกล้ๆ แต่สองผัวเมียวัยชราต้องเดินผ่านแถวรถสามล้อเพื่อกลับบ้านที่อยู่ถัดเข้าไปทางก้นซอย
ระยะแรกๆ ก็นึกหวาดเหมือนกัน แต่เมื่อไม่เห็นอะไรน่าหวาดเสียวก็ค่อยคลายใจลงทุกที
คืนเกิดเหตุ สองผัวเมียเดินผ่านแถวสามล้อไปเงียบๆ แม้ว่าจะอยู่คนละฝั่งถนน แต่ป้าเม่าแว่วเสียงครวญครางเบาๆมาจากฝั่งตรงข้าม ก็สะกิดบอกลุงเสิด ...ทั้งสองหันไปดูโดยไม่ได้ตั้งใจ
ท่ามกลางแสงไฟเยือกเย็น หมาหอนโจ๋วมากับสายลมยามดึก สรรพสิ่งดูเงียบงันเหมือนโลกร้าง ...ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในรถตุ๊กตุ๊กคันท้าย พลางหันมามองอย่างเชื่องช้า ...น้าองุ่นนั่นเอง!
เสียงแผดร้องดังลั่นในความเงียบ ชาวบ้านแตกตื่นเข้ามาดู สองตายายวิ่งอ้าวไม่คิดชีวิตไปถึงบ้าน ...ลุงอินรู้ข่าวก็เลิกเช่ารถที่นั่นอีกต่อไป เจ้าของต้องขายทิ้งในราคาถูกๆ ป่านนี้วิญญาณน้าองุ่นยังจะนั่งรถเล่นหรือไปผุดไปเกิดแล้วก็ไม่ทราบค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 20 กรกฎาคม 2547
ใบหนาด
ซอยนี้ตอนกลางวันกับตอนหัวค่ำค่อนข้างคึกคัก ผู้คนขวักไขว่ รถราแล่นเข้าออกหนาตา แต่ตกดึกค่อนข้างเปลี่ยวเอาการ
มีร้านอาหารและร้านกาแฟที่พวกคนขับรถแวะมากิน ทั้งคนมาส่งรถและรับรถ มีการตั้งวงเหล้ากันเกือบทุกวัน คุยกันเรื่องหากินดีหรือไม่ดีบ้าง เรื่องผู้โดยสารบ้าง รวมทั้งเรื่องอื่นๆ จิปาถะ
คนในซอยสะดวกอย่างตรงที่ไปไหนใกล้ๆ ก็เรียกรถได้เลย ไม่ต้องเดินไปถึงถนนใหญ่ บางคนก็จ้างให้ไปรับ-ส่งลูกหลานที่เรียนหนังสือเป็นประจำทุกวัน
พวกเขาเชื่อเรื่องโชคลางกันมากค่ะ ถ้าได้ผู้โดยสารเที่ยวแรกดีๆ หมายถึงไม่ต่อราคา บางคนอาจจะแถมพิเศษถ้ารถติด ก็เชื่อว่าจะหากินคล่องตลอดวัน เรียกว่า "ประเดิมดี" คนขับตุ๊กตุ๊กรุ่นเก่าจะสอนรุ่นใหม่ให้บอกผู้โดยสารว่าเป็นเที่ยวแรก ก็จะรู้กันนัยๆ ว่าขอให้ช่วยประเดิมเขาดีๆหน่อยจะได้มีโชคเป็นพิเศษ
ตรงกันข้าม ถ้าเที่ยวแรกโดนต่อรองมากๆ หรือตกลงกันไม่สำเร็จ ก็แทบจะหมดกำลังใจหาเงินไปทั้งวัน
อีกเรื่องหนึ่งคือการคลอดลูกในรถระหว่างไปโรงพยาบาล ทั้งคนขับรถแท็กซี่และสามล้อจะเชื่อตรงกันหมดว่าเป็นโชคลาภ อาจจะถูกล็อตเตอรี่หรือหวยใต้ดินได้ง่ายๆเพราะมีคนโชคดีหลายรายแล้ว อย่างน้อยที่สุดก็หากินคล่อง หักค่าเช่าค่าน้ำมันแล้วยังมีเงินเหลือเป็นกอบเป็นกำ
แต่ถ้าเกิดมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยอาการหนัก แล้วไปขาดใจตายคารถก่อนถึงโรงพยาบาล จะทำให้เคราะห์ร้ายไปนาน!
วันหนึ่ง คนในซอยชื่อน้าองุ่นเกิดเจ็บท้องใกล้คลอด สามีรีบเรียกรถตุ๊กตุ๊กไปโรงพยาบาลวชิระ น้าองุ่นร้องครวญครางโอดโอยจนแน่นิ่งไปก่อนจะถึงมือแพทย์
แกขาดใจตายในรถตุ๊กตุ๊กคันนั้นเอง!
หลังจากงานศพผ่านไปไม่นาน ชาวบ้านในซอยสินทรัพย์ก็รู้สึกเยือกเย็นวังเวงใจชอบกล หมาจะเห่าหอนตั้งแต่ตอนเย็นๆ แล้ว ยิ่งกลางค่ำกลางคืนพวกมันจะโก่งคอหอนโหยหวนน่าขนลุก.....
หลายๆ คนยืนยันว่าหมาจะเห่าหอนอยู่แถวๆ ข้างถนนที่รถตุ๊กตุ๊กจอดเรียงรายกันนั่นเอง
คนขับรถเจ้ากรรมคันนั้นชื่อลุงผิน แกบอกว่าไม่อยากคิดอะไรมากเพราะถือว่าได้ช่วยเหลือเต็มที่แล้ว แต่ก็น่าแปลกที่ตั้งแต่น้าองุ่นตายในรถ การหากินก็เริ่มฝืดเคืองลงทุกที เวลาขับรถเปล่าๆ หาผู้โดยสาร มักจะรู้สึกว่ามีใครนั่งอยู่หลังเสมอ พอหันไปมองก็ไม่เห็นอะไรชัดเจน นอกจากรูปเงาวูบๆ วาบๆ น่าขนลุก
สังเกตว่าคนที่รอรถก็ไม่โบกเรียก จะว่ารอแท็กซี่ก็เปล่า เพราะเรียกสามล้อคันหลังขึ้นนั่งแทน
บางครั้งเห็นคนยืนรอรถจ้องมองมาแต่ไกลแล้วกลับเมิน จนกระทั่งแกชะลอรถเข้าไปใกล้นั่นแหละ เขาถึงได้โบกมือเรียก พอขึ้นไปนั่งก็บ่นกับแกว่าตาฝาด ...เมื่อกี้เห็นมีผู้หญิงนั่งอยู่บนรถ จนกระทั่งเข้ามาใกล้ๆ ถึงได้เห็นชัดว่ารถว่าง
ลุงอินเล่าว่าขนหัวลุกซู่ แน่ใจว่าวิญญาณน้าองุ่นยังสิงสู่อยู่ในรถที่เธอหมดลมหายใจอย่างแน่นอน!
จะขอเปลี่ยนรถก็ไม่มีใครยอมเปลี่ยน เพราะหวาดกลัวผีแม่ลูกอ่อนกันทั้งนั้น ด้วยความเชื่อว่าผีตายทั้งกลมเฮี้ยนนัก วิญญาณดุร้ายน่ากลัวจนเกินกว่าจะไปวัดดวงหรือล้อเล่นกันง่ายๆ
เสียงเล่าลือเรื่องวิญญาณน้าองุ่นสิงรถตุ๊กตุ๊ก เริ่มจะซาลง สองผัวเมียคู่หนึ่งก็เจอดีเข้าอย่างจัง
ลุงเสิดกับป้าเม่าเป็นขาไพ่ตองที่เล่นกันตั้งแต่เที่ยงวันอาทิตย์ กว่าจะเลิกก็สองยาม -ตีหนึ่ง บ่อนเลิกขาไพ่ก็แยกย้ายกันกลับบ้านที่อยู่ใกล้ๆ แต่สองผัวเมียวัยชราต้องเดินผ่านแถวรถสามล้อเพื่อกลับบ้านที่อยู่ถัดเข้าไปทางก้นซอย
ระยะแรกๆ ก็นึกหวาดเหมือนกัน แต่เมื่อไม่เห็นอะไรน่าหวาดเสียวก็ค่อยคลายใจลงทุกที
คืนเกิดเหตุ สองผัวเมียเดินผ่านแถวสามล้อไปเงียบๆ แม้ว่าจะอยู่คนละฝั่งถนน แต่ป้าเม่าแว่วเสียงครวญครางเบาๆมาจากฝั่งตรงข้าม ก็สะกิดบอกลุงเสิด ...ทั้งสองหันไปดูโดยไม่ได้ตั้งใจ
ท่ามกลางแสงไฟเยือกเย็น หมาหอนโจ๋วมากับสายลมยามดึก สรรพสิ่งดูเงียบงันเหมือนโลกร้าง ...ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในรถตุ๊กตุ๊กคันท้าย พลางหันมามองอย่างเชื่องช้า ...น้าองุ่นนั่นเอง!
เสียงแผดร้องดังลั่นในความเงียบ ชาวบ้านแตกตื่นเข้ามาดู สองตายายวิ่งอ้าวไม่คิดชีวิตไปถึงบ้าน ...ลุงอินรู้ข่าวก็เลิกเช่ารถที่นั่นอีกต่อไป เจ้าของต้องขายทิ้งในราคาถูกๆ ป่านนี้วิญญาณน้าองุ่นยังจะนั่งรถเล่นหรือไปผุดไปเกิดแล้วก็ไม่ทราบค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 20 กรกฎาคม 2547
ใบหนาด
24 สิงหาคม 2556
ทารกนรก ในหอพักสยองขวัญ
"ธนีย์" เล่าเรื่องหอพักสยองขวัญ
ผมเป็นเด็ก ตจว. ที่เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เช่าหอพักอยู่ใกล้ๆ แถวรังสิต ค่าเช่าไม่ใช่ถูกๆ แต่ก็แสนสบาย มีทุกสิ่งทุกอย่างเพียบพร้อม นักศึกษาที่มาเช่าส่วนมากเป็นลูกคนมีกะตังค์ทั้งนั้น
หอพักนี้ไม่ใช่ของมหาวิทยาลัยนะครับ เป็นของเอกชน จึงหรูหราและสะดวกเกือบไม่ต่างจากรีสอร์ตระดับ 5 ดาว! ต้องพูดอย่างนั้นเลยล่ะ
คนที่มาเช่าเป็นนักศึกษาก็จริงครับ แต่ทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่มีระเบียบบังคับของหอพักว่าจะต้องกลับหอกี่โมงกี่ยาม เรามีอิสระเต็มที่ ขอแต่เพียงมียามและมาตรการรักษาความปลอดภัยเท่านั้นเอง
ดูๆ ไปเหมือนชีวิตในคอนโดฯ หรืออพาร์ตเม้นต์มากกว่าหอพักนักศึกษาทั่วๆ ไป ความที่ชอบทำให้ผมไม่คิดย้ายไปไหน ยังปักฐานอยู่จนปีนี้เรียนปีสุดท้ายแล้วครับ
เมื่ออยู่นานก็ย่อมมีความสนิทสนามกับเพื่อนข้างห้อง เขาเป็นรุ่นน้องผมหนึ่งปี อยู่คนละคณะ แต่เพราะความที่เป็นเพื่อนข้างห้องเราจึงรู้จักและชอบพออัธยาศัยกันมากว่าสองปีแล้ว บางทีก็มาดูซีดีกัน เล่นกีตาร์กัน จัดปาร์ตี้เล็กๆ กันก็เคย
เขาชื่อธเนศครับ หล่อเหลาและไฮโซฯไม่ใช่เบา
วันหนึ่ง ธเนศก็มาปรึกษาอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ว่าไปทำผู้หญิงคนหนึ่งท้องป่องขึ้น!
ผมขอเล่าอย่างรวบรัดเลยดีกว่านะครับ ว่าถ้าพ่อแม่ทั้งฝ่ายรู้ต้องตายแน่ๆ
สรุปแล้ว ธเนศแอบพาแฟนมาที่ห้อง แล้วจ้างผู้หญิงวัยกลางคนร่างอ้วน ผิวดำ อ้างว่าเป็นพยาบาลมาจัดการรีดลูกให้ถึงในห้อง ส่วนผมช่วยดูต้นทาง ไม่ให้ใครมาระแคะระคายเป็นอันขาด
เหตุการณ์ที่ว่ามันสุดบรรยายจริงๆ แฟนของธเนศท้อง 4 เดือน ทุลักทุเลและนองเลือดน่าดู ไม่รู้เขาทำยังไง ในที่สุดก็ดึงเอาเดด็กและรกออกมาจนได้ แฟนธเนศตัวซีดจนผมกลัวว่าเธอจะตายแต่ก็รอด ไม่รู้ว่าบุญหรือกรรมแน่
ที่น่าสยองที่สุดคือวิธีกำจัดซากทารก!
ผมว่าถ้าเป็นผม ก็แค่ห่อใส่กล่องหรือถุงขยะเอาไปทิ้งซะให้สิ้นเรื่องสิ้นราวแค่นั้นเอง เพราะแม่ทารกก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย รับรองว่าต้องไม่มีใครมารู้เห็น หรือยืนยันได้ว่ามาจากห้องพวกเราแน่ๆ
แต่นี่สงสัยยัยพยาบาลเถื่อนคนนี้คงจะมาจากนรก! หรือไม่ก็เป็นประเภทน้องๆ ฆาตกรโรคจิต เพราะแกเล่นเอามีดแล่เนื้อเล่มใหญ่ที่พกมาด้วย ตัด หั่น และสับทั้งรกทั้งเด็กเสียละเอียดคล้ายหมูบะฉ่อ ก่อนจะทิ้งชักโครกไปทีละน้อย กดน้ำหลายๆ ครั้งจนไม่เหลือร่องรอย
***มเหลือเกิน ไม่อยากจะเชื่อเลย!
ไอ้ผมมันเด็กอยากรู้อยากเห็นก็เลยยืนดูไปสยองไป เล่นเอากินข้าวไม่ลงไปหลายวัน กลิ่นคาวเลือดและภาพที่น่าคลื่นไส้ ระคนกับน่าเวทนา มันติดหูติดตามจนพานเก็บเอาไปฝันร้ายแน่ะ
และก็นี่ล่ะครับ ที่ผมไม่แน่ใจว่าไอ้ที่เคยได้ยินเสียงทารกร้องแง้วๆ อยู่ข้างหูน่ะ หูฝาดหรือผีหลอกกันแน่!?
สงสัยต้องไปหาจิตแพทย์ แต่ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอก ธเนศก็ต้องไปด้วย เพราะที่ห้องเขาเริ่มมีอะไรแปลกๆ เช่นเสียงเหมือนลุกแมวร้องแผ่วๆ โหยๆ แบบใกล้ตาย หรือมีเงาอะไรบางอย่างตัวเล็กๆ วูบๆ วาบๆ บ่อยครั้ง
ในห้องนั้นก็มีแต่กลิ่นคาวเลือด บางคืนก็เหม็นเหมือนปลาเค็มเน่า แต่หาเท่าไหร่ก็หาที่มาของกลิ่นนั้นไม่พบ
น่ากลัวกว่านั้น เมื่อเพื่อนร่วมหอบางคนชมว่าหลานสาวของธเนศน่ารัก...ตอนแรกเราเป็นงง ตอนหลังก็ขนลุก เพราะคนที่ชมเขาว่า เห็นเด็กผู้หญิง 3-4 ขวบ นุ่งกระโปรงสีแดง เดินตามธเนศเข้าลิฟต์ต้อยๆ อยู่เป็นประจำ!
หอพักที่เคยเป็นสวรรค์ กลับกลายเป็นนรกที่เราก่อกรรมทำเข็ญขึ้นมาเอง!
ถึงผมจะไม่ใช่ผู้กระทำ แต่ก็มีส่วนร่วมรู้เห็น ผมเลยชวนกึ่งบังคับให้ธเนศไปทำบุญด้วยกัน...อย่างน้อยก็ช่วยให้สบายใจขึ้น
ธเนศขนพระมาตั้งไว้ แถมมียันต์สารพัดชนิดมาปิดไว้ทุกฝาผนัง...เกือบทุกซอกทุกมุมของห้อง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยู่ไม่ได้ ต้องมานอนกับผม ส่วนห้องเขาใช้เป็นที่เก็บของไป...เวลาจะไปเอาของก็ต้องชวนกันไป สมน้ำหน้า!
ทุกวันนี้เรายังได้ยินเสียงเหมือนแมวไม่สบายดังแผ่วๆ อยู่ตลอด บางคืนก็ถูกผีอำและฝันร้าย เห็นแต่ทารกผีมายืนหัวเราะ อ้าปากแดงๆ มีเลือดสดๆ ไหลย้อย นัยน์ตาดำโตลุกวาวจ้องมอง
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือของจริง?
อีกไม่นานเราคงต้องย้ายออกจากหอพักเมื่อเรียนจบ แยกย้ายกันไปตามวิถีทางของใครของมันแล้ว
ผมเขียนมาเล่าเพื่อเป็นตัวอย่าง อย่าทำอย่างพวกผมเลยครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเวรกรรมจะตามจิกเจ้าธเนศต่อไปในรูปแบบไหน? ผมเองก็ยอมรับว่ายังเสียวสันหลังอยู่เหมือนกันครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 24 สิงหาคม 2547
ใบหนาด
ผมเป็นเด็ก ตจว. ที่เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ เช่าหอพักอยู่ใกล้ๆ แถวรังสิต ค่าเช่าไม่ใช่ถูกๆ แต่ก็แสนสบาย มีทุกสิ่งทุกอย่างเพียบพร้อม นักศึกษาที่มาเช่าส่วนมากเป็นลูกคนมีกะตังค์ทั้งนั้น
หอพักนี้ไม่ใช่ของมหาวิทยาลัยนะครับ เป็นของเอกชน จึงหรูหราและสะดวกเกือบไม่ต่างจากรีสอร์ตระดับ 5 ดาว! ต้องพูดอย่างนั้นเลยล่ะ
คนที่มาเช่าเป็นนักศึกษาก็จริงครับ แต่ทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเอง ไม่มีระเบียบบังคับของหอพักว่าจะต้องกลับหอกี่โมงกี่ยาม เรามีอิสระเต็มที่ ขอแต่เพียงมียามและมาตรการรักษาความปลอดภัยเท่านั้นเอง
ดูๆ ไปเหมือนชีวิตในคอนโดฯ หรืออพาร์ตเม้นต์มากกว่าหอพักนักศึกษาทั่วๆ ไป ความที่ชอบทำให้ผมไม่คิดย้ายไปไหน ยังปักฐานอยู่จนปีนี้เรียนปีสุดท้ายแล้วครับ
เมื่ออยู่นานก็ย่อมมีความสนิทสนามกับเพื่อนข้างห้อง เขาเป็นรุ่นน้องผมหนึ่งปี อยู่คนละคณะ แต่เพราะความที่เป็นเพื่อนข้างห้องเราจึงรู้จักและชอบพออัธยาศัยกันมากว่าสองปีแล้ว บางทีก็มาดูซีดีกัน เล่นกีตาร์กัน จัดปาร์ตี้เล็กๆ กันก็เคย
เขาชื่อธเนศครับ หล่อเหลาและไฮโซฯไม่ใช่เบา
วันหนึ่ง ธเนศก็มาปรึกษาอย่างหน้าดำคร่ำเครียด ว่าไปทำผู้หญิงคนหนึ่งท้องป่องขึ้น!
ผมขอเล่าอย่างรวบรัดเลยดีกว่านะครับ ว่าถ้าพ่อแม่ทั้งฝ่ายรู้ต้องตายแน่ๆ
สรุปแล้ว ธเนศแอบพาแฟนมาที่ห้อง แล้วจ้างผู้หญิงวัยกลางคนร่างอ้วน ผิวดำ อ้างว่าเป็นพยาบาลมาจัดการรีดลูกให้ถึงในห้อง ส่วนผมช่วยดูต้นทาง ไม่ให้ใครมาระแคะระคายเป็นอันขาด
เหตุการณ์ที่ว่ามันสุดบรรยายจริงๆ แฟนของธเนศท้อง 4 เดือน ทุลักทุเลและนองเลือดน่าดู ไม่รู้เขาทำยังไง ในที่สุดก็ดึงเอาเดด็กและรกออกมาจนได้ แฟนธเนศตัวซีดจนผมกลัวว่าเธอจะตายแต่ก็รอด ไม่รู้ว่าบุญหรือกรรมแน่
ที่น่าสยองที่สุดคือวิธีกำจัดซากทารก!
ผมว่าถ้าเป็นผม ก็แค่ห่อใส่กล่องหรือถุงขยะเอาไปทิ้งซะให้สิ้นเรื่องสิ้นราวแค่นั้นเอง เพราะแม่ทารกก็ไม่ได้อยู่ที่นั่นด้วย รับรองว่าต้องไม่มีใครมารู้เห็น หรือยืนยันได้ว่ามาจากห้องพวกเราแน่ๆ
แต่นี่สงสัยยัยพยาบาลเถื่อนคนนี้คงจะมาจากนรก! หรือไม่ก็เป็นประเภทน้องๆ ฆาตกรโรคจิต เพราะแกเล่นเอามีดแล่เนื้อเล่มใหญ่ที่พกมาด้วย ตัด หั่น และสับทั้งรกทั้งเด็กเสียละเอียดคล้ายหมูบะฉ่อ ก่อนจะทิ้งชักโครกไปทีละน้อย กดน้ำหลายๆ ครั้งจนไม่เหลือร่องรอย
***มเหลือเกิน ไม่อยากจะเชื่อเลย!
ไอ้ผมมันเด็กอยากรู้อยากเห็นก็เลยยืนดูไปสยองไป เล่นเอากินข้าวไม่ลงไปหลายวัน กลิ่นคาวเลือดและภาพที่น่าคลื่นไส้ ระคนกับน่าเวทนา มันติดหูติดตามจนพานเก็บเอาไปฝันร้ายแน่ะ
และก็นี่ล่ะครับ ที่ผมไม่แน่ใจว่าไอ้ที่เคยได้ยินเสียงทารกร้องแง้วๆ อยู่ข้างหูน่ะ หูฝาดหรือผีหลอกกันแน่!?
สงสัยต้องไปหาจิตแพทย์ แต่ไม่ใช่ผมคนเดียวหรอก ธเนศก็ต้องไปด้วย เพราะที่ห้องเขาเริ่มมีอะไรแปลกๆ เช่นเสียงเหมือนลุกแมวร้องแผ่วๆ โหยๆ แบบใกล้ตาย หรือมีเงาอะไรบางอย่างตัวเล็กๆ วูบๆ วาบๆ บ่อยครั้ง
ในห้องนั้นก็มีแต่กลิ่นคาวเลือด บางคืนก็เหม็นเหมือนปลาเค็มเน่า แต่หาเท่าไหร่ก็หาที่มาของกลิ่นนั้นไม่พบ
น่ากลัวกว่านั้น เมื่อเพื่อนร่วมหอบางคนชมว่าหลานสาวของธเนศน่ารัก...ตอนแรกเราเป็นงง ตอนหลังก็ขนลุก เพราะคนที่ชมเขาว่า เห็นเด็กผู้หญิง 3-4 ขวบ นุ่งกระโปรงสีแดง เดินตามธเนศเข้าลิฟต์ต้อยๆ อยู่เป็นประจำ!
หอพักที่เคยเป็นสวรรค์ กลับกลายเป็นนรกที่เราก่อกรรมทำเข็ญขึ้นมาเอง!
ถึงผมจะไม่ใช่ผู้กระทำ แต่ก็มีส่วนร่วมรู้เห็น ผมเลยชวนกึ่งบังคับให้ธเนศไปทำบุญด้วยกัน...อย่างน้อยก็ช่วยให้สบายใจขึ้น
ธเนศขนพระมาตั้งไว้ แถมมียันต์สารพัดชนิดมาปิดไว้ทุกฝาผนัง...เกือบทุกซอกทุกมุมของห้อง แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังอยู่ไม่ได้ ต้องมานอนกับผม ส่วนห้องเขาใช้เป็นที่เก็บของไป...เวลาจะไปเอาของก็ต้องชวนกันไป สมน้ำหน้า!
ทุกวันนี้เรายังได้ยินเสียงเหมือนแมวไม่สบายดังแผ่วๆ อยู่ตลอด บางคืนก็ถูกผีอำและฝันร้าย เห็นแต่ทารกผีมายืนหัวเราะ อ้าปากแดงๆ มีเลือดสดๆ ไหลย้อย นัยน์ตาดำโตลุกวาวจ้องมอง
ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือของจริง?
อีกไม่นานเราคงต้องย้ายออกจากหอพักเมื่อเรียนจบ แยกย้ายกันไปตามวิถีทางของใครของมันแล้ว
ผมเขียนมาเล่าเพื่อเป็นตัวอย่าง อย่าทำอย่างพวกผมเลยครับ ไม่รู้เหมือนกันว่าเวรกรรมจะตามจิกเจ้าธเนศต่อไปในรูปแบบไหน? ผมเองก็ยอมรับว่ายังเสียวสันหลังอยู่เหมือนกันครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 24 สิงหาคม 2547
ใบหนาด
23 สิงหาคม 2556
ประสบการณ์ขนหัวลุก โรงพยาบาล ย่านสาทร
เพื่อนตาย !! ... "คนบ้านใหม่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในโรงพยาบาลที่สาทร
สมัยเด็กๆ ผมอยู่แถววัดยานนาวา เคยสงสัยชื่อนี้ก็ได้รับคำตอบจากย่าซึ่งเป็นคนพื้นเพนั้นเล่าให้ฟังว่า รัชกาลที่ 3 ท่านโปรดการค้าขาย ถึงกับต่อสำเภาไปเมืองจีน ขากลับก็ขนรูปปั้นขนาดใหญ่มาเป็นอับเฉาเรือ จนปรากฏอยู่ที่หน้าวัดโพธิ์มาถึงทุกวันนี้
นอกจากนั้นยังทรงสร้างเจดีย์ไว้บนปูนปั้นรูปเรือสำเภา เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้จักเรือชนิดนี้ และเป็นที่มาของชื่อวัดยานนาวานี่เอง
วันหนึ่งผมเกิดอุบัติเหตุเพราะความซุกซน ปีนป่ายต้นไม้เล่นกับเพื่อนๆ จนตกลงมาสลบคาที่ พ่อผมทำงานอยู่โรงงานยาสูบบ้านใหม่ใกล้ๆ บ้านรีบพาผมส่งโรงพยาบาลยาสูบที่สาทรทันที ที่นั่นรับคนไข้เฉพาะพนักงานและครอบครัวเท่านั้น
ปรากฏว่าผมกะโหลกร้าว ซี่โครงหัก ต้องนอนรักษาตัวหลายวัน ผมก็อดกลัวไม่ได้ตามประสาเด็ก เพราะเป็นเตียงเรียงกันเป็นแถว หันหัวเข้าฝา หันปลายเท้าหากัน ตรงกลางเป็นทางเดินกว้างขวางพอสมควร
ตอนกลางวันยังดีที่มีพ่อแม่กับญาติๆ มาเยี่ยม แต่ตอนกลางคืนบรรยากาศเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจพิลึก
ตึกชั้นล่างสีน้ำตาลทึบค่อนข้างเก่า เปิดประตูโล่งๆ แสงไฟสีเหลืองส่องให้เห็นมุ้งสีขาวทุกเตียงที่มีคนป่วยนอนอยู่ ทั้งหนุ่ม แก่และเด็ก เป็นกันสารพันโรค ตั้งแต่โรคกระเพาะ วัณโรค เป็นแผลเรื้อรังที่ศีรษะ เรียกว่าโรคเชื้อรา เห็นพยาบาลทำแผลตอนกลางวันดูเน่าเฟอะน่ากลัวมาก บางคนเรียกว่าโรคหัวเน่า
ที่ประสบอุบัติเหตุโดนรถชนก็มี ขับรถชนกันก็มี บางคืนมีเสียงร้องครวญครางโอดโอยน่าขนลุก กลางคืนไม่มีแพทย์นอกจากบุรุษพยาบาลที่เข้าเวรกันคืนละคนเดียว
บางคืนได้ยินเสียงคนไข้ร้องเรียกหมอๆ ทั้งคืน บุรุษพยาบาลก็จะลุกจากโต๊ะด้านในใกล้ทางเดินเข้ามาดู แล้วให้ยากิน...รุ่งเช้าคนที่เรียกหาหมอก็หมดลมหายใจไป
ค่ำหนึ่ง เพิ่งกินอาหารเย็นไปไม่นาน ก็มีคนไข้ถูกเข็นเข้ามานอนเตียงฝั่งตรงข้ามกับผม ได้ข่าวว่าเจ็บหนักมาจากอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันแถวตกตอนเย็น หมอผ่าตัดแล้วส่งมานอนที่นั่น
คืนนั้นเอง ผมนอนหลับๆ ตื่นๆ เพราะเกิดหวาดกลัวอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้
ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือกลัวผี แต่เรื่องนี้แปลกอยู่อย่างที่บางครั้งก็กลัว แต่บางครั้งก็ไม่กลัว...อาจจะเป็นเพราะมีเสียงหมาหอนโจ๋วมาจากสนามหญ้าหน้าโรงพยาบาลก็ได้ หรือไม่ก็เพราะบรรยากาศที่มีแต่กลิ่นเลือด กลิ่นยา กลิ่นอายของความเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสของคนป่วยที่นอนเรียงกันเป็นทิวแถว
โดยเฉพาะกลิ่นอายของความตาย!
เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นคนขาดใจตายต่อหน้าต่อตาซักที แต่ก็เห็นคนไข้ในห้องนั้นตายไปราว 3-4 คนแล้วครับ
ยิ่งคิดว่าเตียงที่นอนนี่มีคนตายไปกี่สิบกี่ร้อยคนแล้ว? พวกเขายังสิงสู่อยู่ที่เตียงนี้หรือเปล่านะ? ผสมกับเสียงหมอหอนเยือกเย็น เสียงลมพัดวู่หวิวเหมือนเสียงใครสะอึกสะอื้นคร่ำครวญมาจากข้างนอก ยิ่งทำให้ปากคอแห้งผาก เนื้อตัวเย็นเฉียบไปได้ง่ายๆ
"โอย...ปวดเหลือเกิน! หมอ...หมอครับ ช่วยด้วย ผมปวด! โอย..."
ผมนอนตัวแข็งฟังเสียงร้องเบาๆ ดังแว่วมาจากคนเจ็บรายใหม่ มองผ่านผ้ามุ้งไปเห็นบุรุษพยาบาลในชุดขาวเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างๆ เตียง ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะตามเดิม...เขาคงเพ้อแน่ๆ ไม่งั้นบุรุษพยาบาลคงจะให้ยาแก้ปวดแล้ว
กำลังจะเคลิ้มหลับก็ได้ยินเสียงครางน่ากลัวดังขึ้นอีก
"ช่วยด้วย! โอย...กลัวแล้ว..."
ผมหูตาสว่างเพราะไม่เคยได้ยินเสียงร้องแบบนี้มาก่อน...กลัว? กลัวอะไรกัน? และนั่นทำให้ผมผงกหัวขึ้นมองอย่างสนใจ
ในแสงไฟสีเหลืองนั้น ผมเห็นร่างตะคุ่มๆ ของชายผู้หนึ่งยืนอยู่ปลายเตียงของคนไข้รายใหม่ เขาเองก็ดูเหมือนจะผงกหัวอยู่ในมุ้ง ครางฮือๆๆ เหมือนคนที่หนาวจัดเพราะพิษไข้...ว่าแต่ร่างตะคุ่มสีดำนั้นเป็นใครกัน?
"โอ๊ย! กลัวแล้ว อย่าเข้ามา...ไป! ไปให้พ้น โอ๊ย..." เสียงแผดร้องดังอื้ออึงอยู่เต็มสองหูผม ดังซ้ำๆ ซากๆ เหมือนจะไม่มีวันจบสิ้นลงเลย ได้ยินเสียงฝีเท้าจากโต๊ะขณะที่บุรุษพยาบาลเดินบ่นอะไรพึมพำเข้ามา
ผมหันหน้ามาที่เตียงเดิมก็ไม่เห็นร่างทึบๆ นั่นอีกแล้ว เสียงร้องก็เงียบไป ได้ยินแต่เสียงบ่นของบุรุษพยาบาลร่างผอมสูง ทำนองว่า...สงสัยจะนอนเพ้อไปทั้งคืนแน่ๆ
คราวนี้ผมหลับผล็อยไป...ฝันเห็นร่างตะคุ่มๆ ยืนอยู่ที่เดิม แล้วเดินผ่านปลายเตียงเข้าไปหาคนเจ็บที่แผดร้องโหยหวนน่าขนลุกขนพอง...จนกระทั่งถึงตอนเช้าถึงได้เห็นว่าชายเคราะห์ร้ายผู้นั้นขาดใจตายไปแล้วเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
เย็นนั้น ผมเล่าคนไข้ที่มาผ่าไส้ติ่งเตียงข้างๆ ฟังว่าเห็นชายตัวดำๆ มายืนอยู่ปลายเตียงคนตายเกือบทั้งคืน ก็ได้รับคำตอบว่า...ไม่แน่ใจว่าจะเป็นยมทูตตามที่พวกเราเชื่อกันหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือเพื่อนเขาที่นั่งรถไปด้วยกันบาดเจ็บสาหัส เพิ่งขาดใจตายเมื่อคืนนี้เอง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 9 สิงหาคม 2547
ใบหนาด
สมัยเด็กๆ ผมอยู่แถววัดยานนาวา เคยสงสัยชื่อนี้ก็ได้รับคำตอบจากย่าซึ่งเป็นคนพื้นเพนั้นเล่าให้ฟังว่า รัชกาลที่ 3 ท่านโปรดการค้าขาย ถึงกับต่อสำเภาไปเมืองจีน ขากลับก็ขนรูปปั้นขนาดใหญ่มาเป็นอับเฉาเรือ จนปรากฏอยู่ที่หน้าวัดโพธิ์มาถึงทุกวันนี้
นอกจากนั้นยังทรงสร้างเจดีย์ไว้บนปูนปั้นรูปเรือสำเภา เพื่อให้คนรุ่นหลังได้รู้จักเรือชนิดนี้ และเป็นที่มาของชื่อวัดยานนาวานี่เอง
วันหนึ่งผมเกิดอุบัติเหตุเพราะความซุกซน ปีนป่ายต้นไม้เล่นกับเพื่อนๆ จนตกลงมาสลบคาที่ พ่อผมทำงานอยู่โรงงานยาสูบบ้านใหม่ใกล้ๆ บ้านรีบพาผมส่งโรงพยาบาลยาสูบที่สาทรทันที ที่นั่นรับคนไข้เฉพาะพนักงานและครอบครัวเท่านั้น
ปรากฏว่าผมกะโหลกร้าว ซี่โครงหัก ต้องนอนรักษาตัวหลายวัน ผมก็อดกลัวไม่ได้ตามประสาเด็ก เพราะเป็นเตียงเรียงกันเป็นแถว หันหัวเข้าฝา หันปลายเท้าหากัน ตรงกลางเป็นทางเดินกว้างขวางพอสมควร
ตอนกลางวันยังดีที่มีพ่อแม่กับญาติๆ มาเยี่ยม แต่ตอนกลางคืนบรรยากาศเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจพิลึก
ตึกชั้นล่างสีน้ำตาลทึบค่อนข้างเก่า เปิดประตูโล่งๆ แสงไฟสีเหลืองส่องให้เห็นมุ้งสีขาวทุกเตียงที่มีคนป่วยนอนอยู่ ทั้งหนุ่ม แก่และเด็ก เป็นกันสารพันโรค ตั้งแต่โรคกระเพาะ วัณโรค เป็นแผลเรื้อรังที่ศีรษะ เรียกว่าโรคเชื้อรา เห็นพยาบาลทำแผลตอนกลางวันดูเน่าเฟอะน่ากลัวมาก บางคนเรียกว่าโรคหัวเน่า
ที่ประสบอุบัติเหตุโดนรถชนก็มี ขับรถชนกันก็มี บางคืนมีเสียงร้องครวญครางโอดโอยน่าขนลุก กลางคืนไม่มีแพทย์นอกจากบุรุษพยาบาลที่เข้าเวรกันคืนละคนเดียว
บางคืนได้ยินเสียงคนไข้ร้องเรียกหมอๆ ทั้งคืน บุรุษพยาบาลก็จะลุกจากโต๊ะด้านในใกล้ทางเดินเข้ามาดู แล้วให้ยากิน...รุ่งเช้าคนที่เรียกหาหมอก็หมดลมหายใจไป
ค่ำหนึ่ง เพิ่งกินอาหารเย็นไปไม่นาน ก็มีคนไข้ถูกเข็นเข้ามานอนเตียงฝั่งตรงข้ามกับผม ได้ข่าวว่าเจ็บหนักมาจากอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันแถวตกตอนเย็น หมอผ่าตัดแล้วส่งมานอนที่นั่น
คืนนั้นเอง ผมนอนหลับๆ ตื่นๆ เพราะเกิดหวาดกลัวอะไรขึ้นมาก็ไม่รู้
ถ้าจะพูดตรงๆ ก็คือกลัวผี แต่เรื่องนี้แปลกอยู่อย่างที่บางครั้งก็กลัว แต่บางครั้งก็ไม่กลัว...อาจจะเป็นเพราะมีเสียงหมาหอนโจ๋วมาจากสนามหญ้าหน้าโรงพยาบาลก็ได้ หรือไม่ก็เพราะบรรยากาศที่มีแต่กลิ่นเลือด กลิ่นยา กลิ่นอายของความเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสของคนป่วยที่นอนเรียงกันเป็นทิวแถว
โดยเฉพาะกลิ่นอายของความตาย!
เกิดมาผมยังไม่เคยเห็นคนขาดใจตายต่อหน้าต่อตาซักที แต่ก็เห็นคนไข้ในห้องนั้นตายไปราว 3-4 คนแล้วครับ
ยิ่งคิดว่าเตียงที่นอนนี่มีคนตายไปกี่สิบกี่ร้อยคนแล้ว? พวกเขายังสิงสู่อยู่ที่เตียงนี้หรือเปล่านะ? ผสมกับเสียงหมอหอนเยือกเย็น เสียงลมพัดวู่หวิวเหมือนเสียงใครสะอึกสะอื้นคร่ำครวญมาจากข้างนอก ยิ่งทำให้ปากคอแห้งผาก เนื้อตัวเย็นเฉียบไปได้ง่ายๆ
"โอย...ปวดเหลือเกิน! หมอ...หมอครับ ช่วยด้วย ผมปวด! โอย..."
ผมนอนตัวแข็งฟังเสียงร้องเบาๆ ดังแว่วมาจากคนเจ็บรายใหม่ มองผ่านผ้ามุ้งไปเห็นบุรุษพยาบาลในชุดขาวเดินเข้ามาหยุดอยู่ข้างๆ เตียง ก่อนจะเดินกลับไปที่โต๊ะตามเดิม...เขาคงเพ้อแน่ๆ ไม่งั้นบุรุษพยาบาลคงจะให้ยาแก้ปวดแล้ว
กำลังจะเคลิ้มหลับก็ได้ยินเสียงครางน่ากลัวดังขึ้นอีก
"ช่วยด้วย! โอย...กลัวแล้ว..."
ผมหูตาสว่างเพราะไม่เคยได้ยินเสียงร้องแบบนี้มาก่อน...กลัว? กลัวอะไรกัน? และนั่นทำให้ผมผงกหัวขึ้นมองอย่างสนใจ
ในแสงไฟสีเหลืองนั้น ผมเห็นร่างตะคุ่มๆ ของชายผู้หนึ่งยืนอยู่ปลายเตียงของคนไข้รายใหม่ เขาเองก็ดูเหมือนจะผงกหัวอยู่ในมุ้ง ครางฮือๆๆ เหมือนคนที่หนาวจัดเพราะพิษไข้...ว่าแต่ร่างตะคุ่มสีดำนั้นเป็นใครกัน?
"โอ๊ย! กลัวแล้ว อย่าเข้ามา...ไป! ไปให้พ้น โอ๊ย..." เสียงแผดร้องดังอื้ออึงอยู่เต็มสองหูผม ดังซ้ำๆ ซากๆ เหมือนจะไม่มีวันจบสิ้นลงเลย ได้ยินเสียงฝีเท้าจากโต๊ะขณะที่บุรุษพยาบาลเดินบ่นอะไรพึมพำเข้ามา
ผมหันหน้ามาที่เตียงเดิมก็ไม่เห็นร่างทึบๆ นั่นอีกแล้ว เสียงร้องก็เงียบไป ได้ยินแต่เสียงบ่นของบุรุษพยาบาลร่างผอมสูง ทำนองว่า...สงสัยจะนอนเพ้อไปทั้งคืนแน่ๆ
คราวนี้ผมหลับผล็อยไป...ฝันเห็นร่างตะคุ่มๆ ยืนอยู่ที่เดิม แล้วเดินผ่านปลายเตียงเข้าไปหาคนเจ็บที่แผดร้องโหยหวนน่าขนลุกขนพอง...จนกระทั่งถึงตอนเช้าถึงได้เห็นว่าชายเคราะห์ร้ายผู้นั้นขาดใจตายไปแล้วเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหว
เย็นนั้น ผมเล่าคนไข้ที่มาผ่าไส้ติ่งเตียงข้างๆ ฟังว่าเห็นชายตัวดำๆ มายืนอยู่ปลายเตียงคนตายเกือบทั้งคืน ก็ได้รับคำตอบว่า...ไม่แน่ใจว่าจะเป็นยมทูตตามที่พวกเราเชื่อกันหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือเพื่อนเขาที่นั่งรถไปด้วยกันบาดเจ็บสาหัส เพิ่งขาดใจตายเมื่อคืนนี้เอง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 9 สิงหาคม 2547
ใบหนาด
22 สิงหาคม 2556
ตุ๊กตาผี
"นิศานาถ" เล่าประสบการณ์น่าขนหัวลุกเมื่อเยาว์วัย
เด็กผู้หญิงกับตุ๊กตาเป็นของคู่กันใช่ไหมคะ? ตั้งแต่สมัยโบราณที่มีตุ๊กตาดินเผารูปต่างๆ จนสมัยต่อมามีตุ๊กตาพลาสติกทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ใส่เสื้อผ้าเป็นผู้หญิงผู้ชายดูคล้ายคน กระทั่งมาถึงตุ๊กตาบาร์บี้สำหรับเด็กผู้หญิง และตุ๊กตาจีไอโจสำหรับเด็กผู้ชาย
แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีตุ๊กตาตัวละเป็นพันๆ บาท ทั้งทหารและหุ่นยนต์ ในกล่องมีอุปกรณ์ครบครัน ทั้งเครื่องแต่งตัวและอาวุธ เด็กวัยรุ่นนิยมแพร่หลาย ขนาดซื้อขายกันในอินเตอร์เน็ตมาหลายปีแล้ว
สมัยเด็กๆ ดิฉันอยู่แถวสถานีรถไฟบางซื่อ บริเวณที่เรียกกันว่า "หัวรถจักร" มีบ้านเล็กๆ หลายสิบหลังคาเรือน ส่วนมากทำงานรถไฟ ค้าขายและรับจ้างทั่วไป บางคนก็ไปทำงานโรงทอผ้าบางซ่อน โดยขึ้นไปเดินตามทางรถไฟจนถึงโรงงาน
พวกเด็กๆ ก็เล่นกันอยู่แถวใกล้ๆ บ้าน มีทั้งพงหญ้า คูเล็กๆ ตอนเช้ามีคนลงไปเก็บผักบุ้งผักกระเฉด บ้างก็งมหอยขม บางคนก็สอยดอกแค เด็ดยอดกระถิน เก็บดอกโสน เอาไปกินไปขายที่ตลาดสะพานสูง
เด็กผู้ชายจะเล่นไล่จับ ทอยกอง ซ่อนหา ส่วนเด็กผู้หญิงจะเล่นตบแผละบ้าง เล่นอีตัก หรือมอญซ่อนผ้า แบ่งกลุ่มกันเป็นรุ่นเล็กกับรุ่นโตด้วยค่ะ
ดิฉันรุ่นเล็กราว 6-7 ขวบ ส่วนมากจะเล่นตุ๊กตากันแทบทุกคน!
ตุ๊กตาผ้าก็มี ตุ๊กตาพลาสติกก็มี เป็นเด็กผู้หญิงยิ้มแป้น แก้มยุ้ย ตาโต มักจะเก่าๆ ขาดๆ เพราะเล่นมานาน จากพี่ถึงน้องก็มี เขาเล่นจนเบื่อแล้ว หรือได้ตัวใหม่ก็ทิ้งตัวเก่า พ่อแม่เก็บได้จากข้างถนนเลยหยิบมาฝากลูกก็มี
ถึงจะเก่าขาด ซีดจาง ปากแหว่ง หูวิ่น ขาหลุดแขนขาด แต่ตุ๊กตาของใครก็แสนสวยเหมือนนางฟ้าสำหรับคนนั้นเสมอ ทั้งรักทั้งหวง อุ้มติดมือตลอด ขนาดจะนอนก็เอาไปนอนกอดด้วย
เราชอบเล่นติ๊งต่างอยู่แล้ว...ติ๊งต่างว่าตุ๊กตาเป็นเพื่อนหรือเป็นน้องไงคะ!
ตอนเย็นๆ เราก็อุ้มตุ๊กตามาเดินอวดกันแทบทุกวัน โดยเฉพาะกลุ่มดิฉันมีเพื่อนสนิทสองคนชื่อเกสรกับน้ำค้าง...เราเป็นลูกคนสุดท้องเหมือนกันทั้งสามคน
เกสรเล่าว่าก่อนนอนจะบอกตุ๊กตาว่า...ติ๊งต่างเธอเป็นน้องนะ! คืนนี้พี่จะกอดน้องแล้วเล่านิทานให้ฟังจนหลับไปเลย แต่บางคืนง่วงนอนมากๆ หนังตาใกล้จะปิดก็จะได้ยิน "น้อง" เล่านิทานให้ฟัง
มีเจ้าหญิงแสนสวย พบเจ้าชายรูปหล่อ แม่มดใจร้าย หรือแม่เลี้ยงใจยักษ์ใจมารจ้องข่มเหงรังแก แต่เพราะเป็นนางเอกจึงต้องมีนางฟ้าใจดีมาช่วย ได้ครองรักกับเจ้าชายในตอนจบ
ดิฉันกับน้ำค้างจะหัวเราะคิกคักชอบใจ แย่งกันเล่าว่าน้องของเราก็เก่งไม่แพ้กันเท่าไหร่หรอกค่ะ
น้ำค้างเล่าว่า พอพ่อแม่หลับแล้ว ตุ๊กตาหรือน้องสาวของเธอจะลุกขึ้นมาเต้นระบำอย่างสนุกสนาน หัวเราะคิกคักไปด้วยน่าเพลิดเพลิน และจะลงเอ่ยด้วยการกอดกันหลับผาสุก ฝันดีทุกๆ คืน...รุ่งเช้า น้องสาวของเธอจะปลุกให้ตื่น รีบอาบน้ำกินข้าวแต่งตัวไปโรงเรียน ก่อนกลับเป็นตุ๊กตายิ้มแป้นแก้มยิ้ย นั่งกางแขนกางขาอยู่ที่หัวนอนตามเดิม!
ดิฉันอดไม่ได้ก็เล่าอวดบ้าง ว่าน้องสาวจะขอให้ดิฉันล้างหน้า ทาแป้ง หวีผมแล้วเปลี่ยนเสื้อกระโปรงชุดใหม่ทุกคืน เวลาจะเล่านิทานก็ชอบปีนขึ้นมานั่งเล่าบนอกดิฉันทุกครั้ง บางคืนง่วงมากๆ ก็ฟุบหน้าลงมาหลับกับอกเลย
ตอนเช้าแม่ยังเคยถามว่าคุยกับใครคนเดียว...แม่ไม่รู้หรอกว่าเราเล่านิทานแสนสนุกสู่กันฟัง!
เมื่อใครเล่าจบก็จะชูตุ๊กตาของตัวขึ้นอวด หรือเอียงแก้มแนบกับสิ่งที่ติ๊งต่างว่าเป็นน้อง พูดเองเออเอง...แต่คนอื่นๆ มองดูก็เห็นเป็นเพียงตุ๊กตาเก่าๆ ขาดๆ สีซีดจางเท่านั้นเอง
วันหนึ่ง เราออกไปเล่นกันที่ริมคูน้ำ มีต้นก้ามปูแผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่น เด็กผู้ชายก็วิ่งไล่จับกันเกรียวกราวไปแถวรางรถไฟ ดิฉันกับน้ำค้างอุ้มตุ๊กตาแนบอกมาตามเคย แต่เกสรยกมือสองข้างขึ้นพลิกไปมา ถาม
ว่า...ใครรู้มั่ง น้องสาวฉันหายไปไหน?
เราส่ายหน้า เกสรทำเป็นรีๆ รอๆ อมยิ้ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นชี้มือไปที่ต้นก้ามปู บอกว่าน้องสาวฉันนั่งอยู่บนกิ่งนั้นไงล่ะ! แต่เรามองตามกลับไม่เห็นอะไร เกสรก็ชี้นิ้วเร่าๆ ร้องว่า...ใส่เสื้อกระโปรงแดงแจ๋ไม่เห็นเหรอ?
น้ำค้างสั่นหน้า...ตุ๊กตาอะไรขึ้นต้นไม้ได้ มีแต่ผีน่ะซี!!
แทบไม่ขาดคำ อะไรบางอย่างก็ลอยละลิ่วลงมา...ตุ๊กตาในชุดแดงของเกสรนั่นเอง...มันลอยคว้างอยู่ตรงหน้าเรา แผดเสียงว่านี่แน่ะผี! หมุนช้าลงจนเห็นใบหน้าเป็นหัวกะโหลกตาโบ๋ จนเราขำกลิ้งกันทั้งคู่ น้ำค้างถามว่าได้ตุ๊กตาตัวใหม่มาเหรอ? แหม! นึกว่าผีหลอกซะอีกแน่ะ!
ร่างเล็กๆ ในชุดแดงลอยวืดขึ้นไปบนกิ่งไม้ ตุ๊กตาผ้าชุดสีชมพูของน้ำค้างก็ร้องวี้ดๆ ก่อนจะปลิวหวือตามขึ้นไปติดๆ เจ้าของตบมือกันใหญ่ แหงนหน้าร้องตะโกนให้น้องของตัวสู้ตาย อย่ายอมแพ้
เล่นติ๊งต่างอะไรก็ไม่รู้ค่ะ น่าขนหัวลุกออกจะตายไปแล้ว
ใกล้ค่ำ ดิฉันอุ้มตุ๊กตากลับบ้าน อาบน้ำกินข้าวแล้วเข้ามุ้งนอน...หันไปกอดน้องสาวที่แสนรักไว้พลางปลอบโยนว่า อย่ากลัวนะจ๊ะ น้องรัก...เราเล่นติ๊งต่างกันแค่นั้นเอง!
ตุ๊กตาในชุดเหลืองก็ปีนขึ้นมาบนอกตามเคย พึมพำเสียงสั่นเครือ
ว่า...หนูกลัวจริงๆ สองตัวนั่นน่ะเป็นตุ๊กตาผีแน่ๆ เลย...ก่อนจะซบหน้าลงมาสะอึกสะอื้นจนดิฉันต้องกอดและปลอบโยนจนกระทั่งหลับผล็อยไปด้วยกัน...แล้วฝันร้ายถึงตุ๊กตาผีด้วยค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 6 กันยายน 2547
ใบหนาด
เด็กผู้หญิงกับตุ๊กตาเป็นของคู่กันใช่ไหมคะ? ตั้งแต่สมัยโบราณที่มีตุ๊กตาดินเผารูปต่างๆ จนสมัยต่อมามีตุ๊กตาพลาสติกทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ ใส่เสื้อผ้าเป็นผู้หญิงผู้ชายดูคล้ายคน กระทั่งมาถึงตุ๊กตาบาร์บี้สำหรับเด็กผู้หญิง และตุ๊กตาจีไอโจสำหรับเด็กผู้ชาย
แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมีตุ๊กตาตัวละเป็นพันๆ บาท ทั้งทหารและหุ่นยนต์ ในกล่องมีอุปกรณ์ครบครัน ทั้งเครื่องแต่งตัวและอาวุธ เด็กวัยรุ่นนิยมแพร่หลาย ขนาดซื้อขายกันในอินเตอร์เน็ตมาหลายปีแล้ว
สมัยเด็กๆ ดิฉันอยู่แถวสถานีรถไฟบางซื่อ บริเวณที่เรียกกันว่า "หัวรถจักร" มีบ้านเล็กๆ หลายสิบหลังคาเรือน ส่วนมากทำงานรถไฟ ค้าขายและรับจ้างทั่วไป บางคนก็ไปทำงานโรงทอผ้าบางซ่อน โดยขึ้นไปเดินตามทางรถไฟจนถึงโรงงาน
พวกเด็กๆ ก็เล่นกันอยู่แถวใกล้ๆ บ้าน มีทั้งพงหญ้า คูเล็กๆ ตอนเช้ามีคนลงไปเก็บผักบุ้งผักกระเฉด บ้างก็งมหอยขม บางคนก็สอยดอกแค เด็ดยอดกระถิน เก็บดอกโสน เอาไปกินไปขายที่ตลาดสะพานสูง
เด็กผู้ชายจะเล่นไล่จับ ทอยกอง ซ่อนหา ส่วนเด็กผู้หญิงจะเล่นตบแผละบ้าง เล่นอีตัก หรือมอญซ่อนผ้า แบ่งกลุ่มกันเป็นรุ่นเล็กกับรุ่นโตด้วยค่ะ
ดิฉันรุ่นเล็กราว 6-7 ขวบ ส่วนมากจะเล่นตุ๊กตากันแทบทุกคน!
ตุ๊กตาผ้าก็มี ตุ๊กตาพลาสติกก็มี เป็นเด็กผู้หญิงยิ้มแป้น แก้มยุ้ย ตาโต มักจะเก่าๆ ขาดๆ เพราะเล่นมานาน จากพี่ถึงน้องก็มี เขาเล่นจนเบื่อแล้ว หรือได้ตัวใหม่ก็ทิ้งตัวเก่า พ่อแม่เก็บได้จากข้างถนนเลยหยิบมาฝากลูกก็มี
ถึงจะเก่าขาด ซีดจาง ปากแหว่ง หูวิ่น ขาหลุดแขนขาด แต่ตุ๊กตาของใครก็แสนสวยเหมือนนางฟ้าสำหรับคนนั้นเสมอ ทั้งรักทั้งหวง อุ้มติดมือตลอด ขนาดจะนอนก็เอาไปนอนกอดด้วย
เราชอบเล่นติ๊งต่างอยู่แล้ว...ติ๊งต่างว่าตุ๊กตาเป็นเพื่อนหรือเป็นน้องไงคะ!
ตอนเย็นๆ เราก็อุ้มตุ๊กตามาเดินอวดกันแทบทุกวัน โดยเฉพาะกลุ่มดิฉันมีเพื่อนสนิทสองคนชื่อเกสรกับน้ำค้าง...เราเป็นลูกคนสุดท้องเหมือนกันทั้งสามคน
เกสรเล่าว่าก่อนนอนจะบอกตุ๊กตาว่า...ติ๊งต่างเธอเป็นน้องนะ! คืนนี้พี่จะกอดน้องแล้วเล่านิทานให้ฟังจนหลับไปเลย แต่บางคืนง่วงนอนมากๆ หนังตาใกล้จะปิดก็จะได้ยิน "น้อง" เล่านิทานให้ฟัง
มีเจ้าหญิงแสนสวย พบเจ้าชายรูปหล่อ แม่มดใจร้าย หรือแม่เลี้ยงใจยักษ์ใจมารจ้องข่มเหงรังแก แต่เพราะเป็นนางเอกจึงต้องมีนางฟ้าใจดีมาช่วย ได้ครองรักกับเจ้าชายในตอนจบ
ดิฉันกับน้ำค้างจะหัวเราะคิกคักชอบใจ แย่งกันเล่าว่าน้องของเราก็เก่งไม่แพ้กันเท่าไหร่หรอกค่ะ
น้ำค้างเล่าว่า พอพ่อแม่หลับแล้ว ตุ๊กตาหรือน้องสาวของเธอจะลุกขึ้นมาเต้นระบำอย่างสนุกสนาน หัวเราะคิกคักไปด้วยน่าเพลิดเพลิน และจะลงเอ่ยด้วยการกอดกันหลับผาสุก ฝันดีทุกๆ คืน...รุ่งเช้า น้องสาวของเธอจะปลุกให้ตื่น รีบอาบน้ำกินข้าวแต่งตัวไปโรงเรียน ก่อนกลับเป็นตุ๊กตายิ้มแป้นแก้มยิ้ย นั่งกางแขนกางขาอยู่ที่หัวนอนตามเดิม!
ดิฉันอดไม่ได้ก็เล่าอวดบ้าง ว่าน้องสาวจะขอให้ดิฉันล้างหน้า ทาแป้ง หวีผมแล้วเปลี่ยนเสื้อกระโปรงชุดใหม่ทุกคืน เวลาจะเล่านิทานก็ชอบปีนขึ้นมานั่งเล่าบนอกดิฉันทุกครั้ง บางคืนง่วงมากๆ ก็ฟุบหน้าลงมาหลับกับอกเลย
ตอนเช้าแม่ยังเคยถามว่าคุยกับใครคนเดียว...แม่ไม่รู้หรอกว่าเราเล่านิทานแสนสนุกสู่กันฟัง!
เมื่อใครเล่าจบก็จะชูตุ๊กตาของตัวขึ้นอวด หรือเอียงแก้มแนบกับสิ่งที่ติ๊งต่างว่าเป็นน้อง พูดเองเออเอง...แต่คนอื่นๆ มองดูก็เห็นเป็นเพียงตุ๊กตาเก่าๆ ขาดๆ สีซีดจางเท่านั้นเอง
วันหนึ่ง เราออกไปเล่นกันที่ริมคูน้ำ มีต้นก้ามปูแผ่กิ่งก้านสาขาร่มรื่น เด็กผู้ชายก็วิ่งไล่จับกันเกรียวกราวไปแถวรางรถไฟ ดิฉันกับน้ำค้างอุ้มตุ๊กตาแนบอกมาตามเคย แต่เกสรยกมือสองข้างขึ้นพลิกไปมา ถาม
ว่า...ใครรู้มั่ง น้องสาวฉันหายไปไหน?
เราส่ายหน้า เกสรทำเป็นรีๆ รอๆ อมยิ้ม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นชี้มือไปที่ต้นก้ามปู บอกว่าน้องสาวฉันนั่งอยู่บนกิ่งนั้นไงล่ะ! แต่เรามองตามกลับไม่เห็นอะไร เกสรก็ชี้นิ้วเร่าๆ ร้องว่า...ใส่เสื้อกระโปรงแดงแจ๋ไม่เห็นเหรอ?
น้ำค้างสั่นหน้า...ตุ๊กตาอะไรขึ้นต้นไม้ได้ มีแต่ผีน่ะซี!!
แทบไม่ขาดคำ อะไรบางอย่างก็ลอยละลิ่วลงมา...ตุ๊กตาในชุดแดงของเกสรนั่นเอง...มันลอยคว้างอยู่ตรงหน้าเรา แผดเสียงว่านี่แน่ะผี! หมุนช้าลงจนเห็นใบหน้าเป็นหัวกะโหลกตาโบ๋ จนเราขำกลิ้งกันทั้งคู่ น้ำค้างถามว่าได้ตุ๊กตาตัวใหม่มาเหรอ? แหม! นึกว่าผีหลอกซะอีกแน่ะ!
ร่างเล็กๆ ในชุดแดงลอยวืดขึ้นไปบนกิ่งไม้ ตุ๊กตาผ้าชุดสีชมพูของน้ำค้างก็ร้องวี้ดๆ ก่อนจะปลิวหวือตามขึ้นไปติดๆ เจ้าของตบมือกันใหญ่ แหงนหน้าร้องตะโกนให้น้องของตัวสู้ตาย อย่ายอมแพ้
เล่นติ๊งต่างอะไรก็ไม่รู้ค่ะ น่าขนหัวลุกออกจะตายไปแล้ว
ใกล้ค่ำ ดิฉันอุ้มตุ๊กตากลับบ้าน อาบน้ำกินข้าวแล้วเข้ามุ้งนอน...หันไปกอดน้องสาวที่แสนรักไว้พลางปลอบโยนว่า อย่ากลัวนะจ๊ะ น้องรัก...เราเล่นติ๊งต่างกันแค่นั้นเอง!
ตุ๊กตาในชุดเหลืองก็ปีนขึ้นมาบนอกตามเคย พึมพำเสียงสั่นเครือ
ว่า...หนูกลัวจริงๆ สองตัวนั่นน่ะเป็นตุ๊กตาผีแน่ๆ เลย...ก่อนจะซบหน้าลงมาสะอึกสะอื้นจนดิฉันต้องกอดและปลอบโยนจนกระทั่งหลับผล็อยไปด้วยกัน...แล้วฝันร้ายถึงตุ๊กตาผีด้วยค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 6 กันยายน 2547
ใบหนาด
21 สิงหาคม 2556
ศพสยองกลางซอยเปลี่ยว
"ภาวิต" เล่าเรื่องน่าขนหัวลุกเมื่อมีคนร้ายนำศพมาทิ้งในซอย
ตอนที่เขียนอยู่นี่ผมยังขนลุกเกรียวอยู่เลยครับ เพราะนั่งเขียนอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ ผมอยู่คนเดียวเสียด้วย แล้วหมามันก็เริ่มหอนกันอีกแล้วละซิ พอได้เวลาตีหนึ่งครึ่งทีไรมันก็เป็นต้องโก่งคอหอน บรรเลงเสียงโหยหวนรับกันเป็นทอดๆ ทุกคืนเลย
เมื่อก่อนไม่มีหรอกนะครับ ไอ้เสียงอุบาทว์นี่น่ะ
มันเริ่มตั้งแต่เมื่อ 4-5 เดือนก่อน หลังวันที่มีผู้ร้ายใจชั่วมันเอาศพผู้หญิงคนหนึ่งมาทิ้งในพงหญ้ากลางซอย ห่างบ้านที่ผมอาศัยไปแค่ 50 เมตรเท่านั้นเองครับ...คิดแล้วสยองจริงๆ
ซอยนี้อยู่ที่พุทธมณฑลสาย 4 ดูไปก็ไม่ค่อยเปลี่ยนหรอก มีบ้านปลูกติดๆ กันไป ตอนหัวค่ำก็สว่างดี ตรงที่มันเอาศพมาทิ้งเป็นทางโค้ง และที่ดินรกร้างว่างเปล่า มีต้นโพธิ์ใหญ่ ที่ชาวบ้านชอบนำศาลเจ้าหรือศาลพระภูมิที่เขารื้อถอนแล้วมากองสุมไว้เต็ม หลังต้นโพธิ์มีพงหญ้าขึ้นสูงเกือบท่วมหัว
ที่ตรงนี้เป็นผืนเดียวแหละครับที่รกร้าง ยังไม่มีเจ้าของมาถากถางเพื่อสร้างบ้าน บริเวณโดยรอบน่ะมีบ้านเรือนขึ้นหมดแล้ว
น่าแปลกที่คืนนั้นไม่มีใครรู้เลยว่ามันเอาศพมาทิ้ง!
มีแต่พวกวัยรุ่นประจำซอยเห็นว่า เวลาราวตีหนึ่งครึ่งมีรถเก๋งคันหนึ่งมาจอด แล้วผู้ชายสองคนช่วยกันยกอะไรไปโยนในป่าหญ้าก็ไม่รู้ ประสาวัยรุ่นก็ไม่ได้สนใจอะไร ไฟถนนตรงนั้นก็ดับ มันเลยมืดมากด้วย
คืนถัดมา พวกเราคือ ผม เมียผมและลูกชายที่โตเป็นหนุ่มกำลังจะเข้านอน เรานอนดึกทุกคืนครับ ลูกชายเรียนภาคค่ำที่ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า แต่พอจวนๆ ตีสองเราก็ง่วงหงุบหงับแล้วล่ะ
ทันใดนั้น มีเสียงเสียดอากาศยามวิกาลมาเข้าหูพวกเรา
มันคล้ายเสียงผู้หญิงร้องหวีดโหยหวน ลากยาว ผมตาเหลือกเลย แต่อึดใจต่อมาก็รู้ว่านั่นเป็นเสียงหมาหอน เมียผมยังบ่นว่าใครทำอะไรหมาน่ะ มันถึงแผดเสียงน่ากลัวอย่างนั้น
พักใหญ่ต่อมามันก็ร้องอีก คราวนี้ตัวอื่นผสมโรงด้วย เป็นสิบๆ ตัวเลย
จากนั้นมาก็เป็นแบบนี้ทุกคืน เวลาเดิม เตรียมอุดหูได้
เล่าย้อนกลับไป 4 เดือนก่อนนะครับ คืนแรกๆ ที่หมาหอนเราไม่ได้คิดอะไรมาก เรื่องของหมามัน! แต่กลิ่นนี่ซิครับ...หลังจากที่เด็กวัยรุ่นเห็นรถเก๋งเอาของมาทิ้งได้ 3-4 วัน เราก็ได้กลิ่นตลบอบอวล ถึงได้เจอศพที่น่าสงสาร
ศพนั้นเป็นผู้หญิงเปล่าเปลือย รูปร่างสูงโปร่ง ก่อนอืดเธอคงสวยน่าดู ผิวขาวเป็นหยวก ผมสีออกน้ำตาลหยาบๆ ยาวถึงเอว
น่าสยองที่สุดคือใบหน้าถูกทุบจนเละ จำไม่ได้ นิ้วมือนิ้วเท้าก็ถูกทุบเละจนเลือดเปรอะกรัง ตำรวจบอกว่าท่าจะถูกทรมานอะไรสักอย่าง ตามหน้าแข้งและท้องน่องมีรอยเหมือนถูกเหล็กแหลมทิ่มแทง
สรุปว่า จนป่านนี้เราก็ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร? ถูกฆ่าเพราะอะไร? แต่เข้าใจว่าเธอไม่ใช่คนไทย ลักษณะเหมือนพวกจีนฮ่อ สาเหตุที่โดนฆาตกรรมอาจเพราะชู้สาว หรือไปขัดผลประโยชน์ใครเขาเข้า
ชาวบ้านบอกว่าเสียงโหยหวนทุกคืนตอนตีหนึ่ง อาจเป็นเสียงร้องของผีผู้หญิงคนนี้ก็ได้ ฟังแล้วอดเชื่อไม่ได้...อยากให้ได้ยินกันจริงๆ
น่าสงสารเธอเหลือเกิน แต่ซอยเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี...การไฟฟ้ามาติดไฟให้แทนดวงที่ดับ พวกวัยรุ่นเคยกร่างกวนประสาทชาวบ้านก็หายซ่ากันหมด รีบกลับเข้าบ้านไปหาแม่แต่หัวค่ำ ลูกชายผมก็กลับเร็วกว่าปกติ เลิกเรียนสามทุ่ม พอสี่ทุ่มก็มานั่งหน้าแหลมดูทีวีอยู่กับพ่อกับแม่แล้วครับ
เขาลือกันว่ามีคนเห็นผู้หญิงผมยาวมาก ยืนขาวโพลนอยู่ในพงหญ้า เป็นผีไม่มีหน้า ร้องโหยหวนอย่างที่เราได้ยินกันประจำนั่นแหละ!
คนที่เห็นน่ะย้ายบ้านหนีไปแล้ว ผมเลยไม่มีโอกาสถามว่าเห็นจริงๆ หรือเปล่าๆ หรือแค่ตาฝาดไปเอง
นี่ก็เลยตีหนึ่งไปแล้ว...
หมามันบรรเลงเพลงสยองราว 5 นาทีก็เงียบกริบ เหลือแต่เสียงจิ้งหรีด...แมลงกลางคืนมันกรีดปีกกันระงม เงียบไปราวกับกลางดึกในป่าช้า แล้วกลับเซ็งแซ่ขึ้นมาใหม่จนน่าสะดุ้งผวา บรรยากาศมันชวนให้เสียวสันหลังจริงๆ ครับ
ลูกกับเมียผมไปพัทยา พรุ่งนี้กลับ ผมอยู่คนเดียว ตอนแรกก็ว่าจะไม่กลัวหรอก ตอนนี้เริ่มหนาวๆ พิกล ฝนก็ตกพรำๆ ทั้งเศร้ากับชวนให้เยือกเย็นหัวใจบอกไม่ถูก
เป็นบรรยากาศของความตาย ของป่าช้า ของผู้ที่หมดลมหายใจ ถูกฝังให้ทอดร่างรอการเน่าเปื่อย หรือตกเป็นเหยื่อของสัตว์เลื้อยคลาน ที่จะรุมกันกัดกินจนเหลือแต่กระดูกผุพังในบั้นปลาย
แต่ผู้ที่อยู่ในหลุมศพก็อาจจะพลิกฟื้น แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้าราวกับมีชีวิตอีกครั้ง
ผมปิดหน้าต่างที่เปิดไปทางถนนในซอยเสียสนิท ไม่กล้ามองออกไปทางนั้น กลัวเห็นร่างขาวๆ มาเดินหรือลอยผ่านไปช้าๆ ต่อหน้าต่อตาจนอาจช็อกตายได้ง่ายๆ
โอ๊ย! ไม่เอาละครับ หลอกตัวเองอยู่ได้! ผมจบแค่นี้ดีกว่า...ขอลาไปคลุมโปงก่อนละครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 14 กันยายน 2547
ใบหนาด
ตอนที่เขียนอยู่นี่ผมยังขนลุกเกรียวอยู่เลยครับ เพราะนั่งเขียนอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุ ผมอยู่คนเดียวเสียด้วย แล้วหมามันก็เริ่มหอนกันอีกแล้วละซิ พอได้เวลาตีหนึ่งครึ่งทีไรมันก็เป็นต้องโก่งคอหอน บรรเลงเสียงโหยหวนรับกันเป็นทอดๆ ทุกคืนเลย
เมื่อก่อนไม่มีหรอกนะครับ ไอ้เสียงอุบาทว์นี่น่ะ
มันเริ่มตั้งแต่เมื่อ 4-5 เดือนก่อน หลังวันที่มีผู้ร้ายใจชั่วมันเอาศพผู้หญิงคนหนึ่งมาทิ้งในพงหญ้ากลางซอย ห่างบ้านที่ผมอาศัยไปแค่ 50 เมตรเท่านั้นเองครับ...คิดแล้วสยองจริงๆ
ซอยนี้อยู่ที่พุทธมณฑลสาย 4 ดูไปก็ไม่ค่อยเปลี่ยนหรอก มีบ้านปลูกติดๆ กันไป ตอนหัวค่ำก็สว่างดี ตรงที่มันเอาศพมาทิ้งเป็นทางโค้ง และที่ดินรกร้างว่างเปล่า มีต้นโพธิ์ใหญ่ ที่ชาวบ้านชอบนำศาลเจ้าหรือศาลพระภูมิที่เขารื้อถอนแล้วมากองสุมไว้เต็ม หลังต้นโพธิ์มีพงหญ้าขึ้นสูงเกือบท่วมหัว
ที่ตรงนี้เป็นผืนเดียวแหละครับที่รกร้าง ยังไม่มีเจ้าของมาถากถางเพื่อสร้างบ้าน บริเวณโดยรอบน่ะมีบ้านเรือนขึ้นหมดแล้ว
น่าแปลกที่คืนนั้นไม่มีใครรู้เลยว่ามันเอาศพมาทิ้ง!
มีแต่พวกวัยรุ่นประจำซอยเห็นว่า เวลาราวตีหนึ่งครึ่งมีรถเก๋งคันหนึ่งมาจอด แล้วผู้ชายสองคนช่วยกันยกอะไรไปโยนในป่าหญ้าก็ไม่รู้ ประสาวัยรุ่นก็ไม่ได้สนใจอะไร ไฟถนนตรงนั้นก็ดับ มันเลยมืดมากด้วย
คืนถัดมา พวกเราคือ ผม เมียผมและลูกชายที่โตเป็นหนุ่มกำลังจะเข้านอน เรานอนดึกทุกคืนครับ ลูกชายเรียนภาคค่ำที่ไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า แต่พอจวนๆ ตีสองเราก็ง่วงหงุบหงับแล้วล่ะ
ทันใดนั้น มีเสียงเสียดอากาศยามวิกาลมาเข้าหูพวกเรา
มันคล้ายเสียงผู้หญิงร้องหวีดโหยหวน ลากยาว ผมตาเหลือกเลย แต่อึดใจต่อมาก็รู้ว่านั่นเป็นเสียงหมาหอน เมียผมยังบ่นว่าใครทำอะไรหมาน่ะ มันถึงแผดเสียงน่ากลัวอย่างนั้น
พักใหญ่ต่อมามันก็ร้องอีก คราวนี้ตัวอื่นผสมโรงด้วย เป็นสิบๆ ตัวเลย
จากนั้นมาก็เป็นแบบนี้ทุกคืน เวลาเดิม เตรียมอุดหูได้
เล่าย้อนกลับไป 4 เดือนก่อนนะครับ คืนแรกๆ ที่หมาหอนเราไม่ได้คิดอะไรมาก เรื่องของหมามัน! แต่กลิ่นนี่ซิครับ...หลังจากที่เด็กวัยรุ่นเห็นรถเก๋งเอาของมาทิ้งได้ 3-4 วัน เราก็ได้กลิ่นตลบอบอวล ถึงได้เจอศพที่น่าสงสาร
ศพนั้นเป็นผู้หญิงเปล่าเปลือย รูปร่างสูงโปร่ง ก่อนอืดเธอคงสวยน่าดู ผิวขาวเป็นหยวก ผมสีออกน้ำตาลหยาบๆ ยาวถึงเอว
น่าสยองที่สุดคือใบหน้าถูกทุบจนเละ จำไม่ได้ นิ้วมือนิ้วเท้าก็ถูกทุบเละจนเลือดเปรอะกรัง ตำรวจบอกว่าท่าจะถูกทรมานอะไรสักอย่าง ตามหน้าแข้งและท้องน่องมีรอยเหมือนถูกเหล็กแหลมทิ่มแทง
สรุปว่า จนป่านนี้เราก็ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร? ถูกฆ่าเพราะอะไร? แต่เข้าใจว่าเธอไม่ใช่คนไทย ลักษณะเหมือนพวกจีนฮ่อ สาเหตุที่โดนฆาตกรรมอาจเพราะชู้สาว หรือไปขัดผลประโยชน์ใครเขาเข้า
ชาวบ้านบอกว่าเสียงโหยหวนทุกคืนตอนตีหนึ่ง อาจเป็นเสียงร้องของผีผู้หญิงคนนี้ก็ได้ ฟังแล้วอดเชื่อไม่ได้...อยากให้ได้ยินกันจริงๆ
น่าสงสารเธอเหลือเกิน แต่ซอยเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี...การไฟฟ้ามาติดไฟให้แทนดวงที่ดับ พวกวัยรุ่นเคยกร่างกวนประสาทชาวบ้านก็หายซ่ากันหมด รีบกลับเข้าบ้านไปหาแม่แต่หัวค่ำ ลูกชายผมก็กลับเร็วกว่าปกติ เลิกเรียนสามทุ่ม พอสี่ทุ่มก็มานั่งหน้าแหลมดูทีวีอยู่กับพ่อกับแม่แล้วครับ
เขาลือกันว่ามีคนเห็นผู้หญิงผมยาวมาก ยืนขาวโพลนอยู่ในพงหญ้า เป็นผีไม่มีหน้า ร้องโหยหวนอย่างที่เราได้ยินกันประจำนั่นแหละ!
คนที่เห็นน่ะย้ายบ้านหนีไปแล้ว ผมเลยไม่มีโอกาสถามว่าเห็นจริงๆ หรือเปล่าๆ หรือแค่ตาฝาดไปเอง
นี่ก็เลยตีหนึ่งไปแล้ว...
หมามันบรรเลงเพลงสยองราว 5 นาทีก็เงียบกริบ เหลือแต่เสียงจิ้งหรีด...แมลงกลางคืนมันกรีดปีกกันระงม เงียบไปราวกับกลางดึกในป่าช้า แล้วกลับเซ็งแซ่ขึ้นมาใหม่จนน่าสะดุ้งผวา บรรยากาศมันชวนให้เสียวสันหลังจริงๆ ครับ
ลูกกับเมียผมไปพัทยา พรุ่งนี้กลับ ผมอยู่คนเดียว ตอนแรกก็ว่าจะไม่กลัวหรอก ตอนนี้เริ่มหนาวๆ พิกล ฝนก็ตกพรำๆ ทั้งเศร้ากับชวนให้เยือกเย็นหัวใจบอกไม่ถูก
เป็นบรรยากาศของความตาย ของป่าช้า ของผู้ที่หมดลมหายใจ ถูกฝังให้ทอดร่างรอการเน่าเปื่อย หรือตกเป็นเหยื่อของสัตว์เลื้อยคลาน ที่จะรุมกันกัดกินจนเหลือแต่กระดูกผุพังในบั้นปลาย
แต่ผู้ที่อยู่ในหลุมศพก็อาจจะพลิกฟื้น แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นมาอย่างเชื่องช้าราวกับมีชีวิตอีกครั้ง
ผมปิดหน้าต่างที่เปิดไปทางถนนในซอยเสียสนิท ไม่กล้ามองออกไปทางนั้น กลัวเห็นร่างขาวๆ มาเดินหรือลอยผ่านไปช้าๆ ต่อหน้าต่อตาจนอาจช็อกตายได้ง่ายๆ
โอ๊ย! ไม่เอาละครับ หลอกตัวเองอยู่ได้! ผมจบแค่นี้ดีกว่า...ขอลาไปคลุมโปงก่อนละครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 14 กันยายน 2547
ใบหนาด
20 สิงหาคม 2556
ประสบการณ์ขนหัวลุก คอนโดฯริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา
"นงนภัส" เล่าประสบการณ์ ขนหัวลุก จาก คอนโดฯ ริมฝั่งเจ้าพระยา
ดิฉันเป็นชาวจังหวัดขอนแก่น เรียนจบมหาวิทยาลัยมาสามปีกว่าแล้วค่ะ ตอนจบใหม่ๆ ก็ช่วยงานในคลินิกของคุณพ่อซึ่งเป็นทันตแพทย์อยู่ที่บ้าน แต่เมื่อปีที่แล้วดิฉันโชคดีได้เป็นหนึ่งในทีมงานของบริษัทที่ผลิตรายการโทรทัศน์ ดีใจมากค่ะเพราะได้งานตรงกับที่เรียนมาเลย
น่าเสียดายที่ต้องจากบ้านมาอยู่กรุงเทพฯ ไกลจากคุณพ่อคุณแม่
คุณพ่อซื้อคอนโดมิเนียมให้ดิฉันอยู่แถวพระรามสาม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
โอ้โฮ! โก้มากจริงๆ ค่ะ ชั้นล่างมีร้านขายอาหารดีๆ ทั้งนั้น มีมินิมาร์ท มีร้านซักรีด ร้านเสริมสวย ครบทุกอย่างเชียวล่ะค่ะ ถึงจะแพงมากก็ไม่เป็นไร คุณพ่อบอกว่าอยู่สบายและปลอดภัยที่สุดก็ดีแล้ว
ห้องของดิฉันอยู่ชั้น 31 ชอบจังเลยเพราะยิ่งสูงก็ยิ่งเห็นวิวสวย ห้องนี้มี 3 ห้องนอน 1 ห้องครัว และห้องนั่งเล่นกว้างขวาง เผื่อเวลาคุณพ่อคุณแม่และน้องๆ มาเยี่ยมที่กรุงเทพฯ ซึ่งบ่อยมากค่ะ มากันเกือบทุกอาทิตย์เลย เราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน มีความสุขจริงๆ
ส่วนที่ดิฉันชอบมากที่สุดคือระเบียงเล็กๆ ซึ่งหันไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา มองเห็นส่วนหนึ่งของสะพานแขวน เห็นบางส่วนหนึ่งของเมืองหลวง และมองเบี่ยงมาทางซ้ายอีกหน่อยก็เวิ้งว้างสุดสายตา ได้บรรยากาศนอกเมือง
ดิฉันไม่ได้อยู่ที่นี่คนเดียวนะคะ แต่มี "น้องเอิง" ลูกสาวคนเก่งของคุณลุงมาอยู่เป็นเพื่อน
น้องเอิงเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง เราตางถือกุญแจไว้คนละชุด ส่วนมากน้องเอิงจะกลับมาถึงก่อนดิฉัน เธอเป็นเด็กดีมาก ไม่เที่ยวไม่เตร่ ขี้อาย เธอบอกว่าที่ห้องเรามีทุกอย่าง ทั้งทีวี อินเตอร์เน็ต แล้วจะให้เธอไปเที่ยวไหนอีกล่ะคะ?
อยู่กับบ้าน (ห้อง) ทำรายงาน ดูทีวีไปเพลินๆ ดีกว่า..ดีที่สุดด้วย
ดิฉันรักเธอมาก เพราะน้องเอิงช่วยซักผ้า รีดผ้า ล้างจาน ทำกับข้าว จัดห้อง ดูดฝุ่น สารพัดเท่าที่เธอจะทำได้
เราคงมีความสุขมากกว่านี้ ถ้าไม่เป็นเพราะเมื่อ 6 เดือนก่อน ดิฉันเริ่มรู้สึกว่าห้องเรามีอะไรแปลกๆ และสังหรณ์ว่าห้องนี้ไม่ได้มีแค่ดิฉันกับน้องเอิง แต่ยังมี "อะไร" หรือ "ใคร" มาอยู่กับเรา
เป็นผู้หญิงค่ะ! ดิฉันแน่ใจว่าอย่างนั้น เธออ้อยอิ่งอยู่ในบรรยากาศภายในห้องนี้แหละ แต่ดิฉันไม่ได้พูดกับน้องเอิงนะคะ เดี๋ยวเธอกลัว
เมื่อปลายเดือนสิงหาคมมานี้เอง น้องเอิงดูเงียบๆ เศร้าๆ พอถามเข้าก็บอกว่ากลุ้มใจเรื่องเรียน ดิฉันดูเกรดก็ไม่เห็นว่าต่ำหรือน่าเกลียดอะไรสักนิด เธอได้คะแนนสูงทีเดียว..แล้วกลุ้มอะไรล่ะ?
ลองสืบเสาะเอากับเพื่อนๆ ของเธอ พวกนั้นก็งง บอกว่าอยู่มหาวิทยาลัยเอิงก็สบายดีนี่นา
เอ..หรือว่าคิดถึงบ้าน ถึงได้เหม่อลอย ชอบยืนเกาะระเบียงอยู่คนเดียว?
คืนหนึ่งราวสี่ทุ่มดิฉันเพิ่งเสร็จงานก็รีบกลับบ้าน พอเปิดประตูห้องปรากฏว่ามีไฟเปิดสลัวๆ อยู่ดวงเดียว มองออกไปทางประตูกระจก เห็นผู้หญิงผมยาวยืนอยู่ที่ระเบียง แต่งชุดนอนขาวๆ ดิฉันก็เรียกว่า "น้องเอิง ไปตากน้ำค้างทำไม เดี๋ยวเป็นหวัด"
ทันใดนั้น น้องเอิงก็ออกมาจากห้องนอน เปิดประตูหน้ายู่ยี่เชียว ดิฉันใจหายหมด..รู้ว่าเจอเข้าแล้วเต็มๆ
วันต่อมา ดิฉันไปถามคนทำความสะอาดลิฟต์และทางเดินคอนโดฯ ว่าห้องนี้มีใครตายหรือเปล่า? คำตอบก็คือ จริงๆ แล้วไม่มีหรอกค่ะ ห้องของดิฉันเมื่อก่อนเป็นของผู้หญิงชาวเกาหลีมาอยู่กับสามี แต่ต่อมาสามีเธอตาย ลือกันว่าเป็นเอดส์ และเธอก็ติดโรคร้ายนี้ด้วย
ผลสุดท้าย สามีเธอก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ส่วนภรรยาก็ขายห้องคืนแล้วบินกลับบ้านเกิดเมืองนอนไปเรียบร้อย
ตามความคิดดิฉัน สาวเกาหลีคนนี้คงกลับไปตายที่บ้าน และวิญญาณของเธอยังผูกพันกับห้องนี้ เธอคงชอบมายืนที่ระเบียงเหม่อมองแม่น้ำกับขอบฟ้า และแสงสีของตัวเมือง อารมณ์คงเศร้ามากๆ นะคะ
ดิฉันกำหนดจิต แผ่ส่วนกุศลให้เธอ บอกว่าอยู่ด้วยกันก็ได้นะ ไม่ไล่หรอก! อยู่ให้สบาย ขอให้ได้พบสามีในภพหน้า
ข้อสำคัญอย่ามาทำให้น้องเอิงเกิดความหดหู่ หม่นหมองก็แล้วกัน
แล้วดิฉันก็ซื้อกล้วยไม้ ดอกไม้สวยๆ มาแขวนและมาปลูกลงกระถางเต็มระเบียง ให้บรรยากาศสดชื่น ความเศร้าก็หายไป
ตอนนี้น้องเอิงสดใสเหมือนเดิมแล้ว..
เธอบอกว่าไม่รู้ตอนนั้นเป็นอะไรถึงได้หดหู่ หม่นหมอง ท้อแท้หมดกำลังใจ ขนาดไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว คล้ายเป็นพวกซึมเศร้าที่หาสาเหตุจริงๆ ไม่พบ..ดิฉันรู้ค่ะ แต่ไม่บอกดีกว่านะคะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 15 กันยายน 2547
ใบหนาด
ดิฉันเป็นชาวจังหวัดขอนแก่น เรียนจบมหาวิทยาลัยมาสามปีกว่าแล้วค่ะ ตอนจบใหม่ๆ ก็ช่วยงานในคลินิกของคุณพ่อซึ่งเป็นทันตแพทย์อยู่ที่บ้าน แต่เมื่อปีที่แล้วดิฉันโชคดีได้เป็นหนึ่งในทีมงานของบริษัทที่ผลิตรายการโทรทัศน์ ดีใจมากค่ะเพราะได้งานตรงกับที่เรียนมาเลย
น่าเสียดายที่ต้องจากบ้านมาอยู่กรุงเทพฯ ไกลจากคุณพ่อคุณแม่
คุณพ่อซื้อคอนโดมิเนียมให้ดิฉันอยู่แถวพระรามสาม ริมแม่น้ำเจ้าพระยา
โอ้โฮ! โก้มากจริงๆ ค่ะ ชั้นล่างมีร้านขายอาหารดีๆ ทั้งนั้น มีมินิมาร์ท มีร้านซักรีด ร้านเสริมสวย ครบทุกอย่างเชียวล่ะค่ะ ถึงจะแพงมากก็ไม่เป็นไร คุณพ่อบอกว่าอยู่สบายและปลอดภัยที่สุดก็ดีแล้ว
ห้องของดิฉันอยู่ชั้น 31 ชอบจังเลยเพราะยิ่งสูงก็ยิ่งเห็นวิวสวย ห้องนี้มี 3 ห้องนอน 1 ห้องครัว และห้องนั่งเล่นกว้างขวาง เผื่อเวลาคุณพ่อคุณแม่และน้องๆ มาเยี่ยมที่กรุงเทพฯ ซึ่งบ่อยมากค่ะ มากันเกือบทุกอาทิตย์เลย เราจะได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน มีความสุขจริงๆ
ส่วนที่ดิฉันชอบมากที่สุดคือระเบียงเล็กๆ ซึ่งหันไปทางแม่น้ำเจ้าพระยา มองเห็นส่วนหนึ่งของสะพานแขวน เห็นบางส่วนหนึ่งของเมืองหลวง และมองเบี่ยงมาทางซ้ายอีกหน่อยก็เวิ้งว้างสุดสายตา ได้บรรยากาศนอกเมือง
ดิฉันไม่ได้อยู่ที่นี่คนเดียวนะคะ แต่มี "น้องเอิง" ลูกสาวคนเก่งของคุณลุงมาอยู่เป็นเพื่อน
น้องเอิงเรียนมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง เราตางถือกุญแจไว้คนละชุด ส่วนมากน้องเอิงจะกลับมาถึงก่อนดิฉัน เธอเป็นเด็กดีมาก ไม่เที่ยวไม่เตร่ ขี้อาย เธอบอกว่าที่ห้องเรามีทุกอย่าง ทั้งทีวี อินเตอร์เน็ต แล้วจะให้เธอไปเที่ยวไหนอีกล่ะคะ?
อยู่กับบ้าน (ห้อง) ทำรายงาน ดูทีวีไปเพลินๆ ดีกว่า..ดีที่สุดด้วย
ดิฉันรักเธอมาก เพราะน้องเอิงช่วยซักผ้า รีดผ้า ล้างจาน ทำกับข้าว จัดห้อง ดูดฝุ่น สารพัดเท่าที่เธอจะทำได้
เราคงมีความสุขมากกว่านี้ ถ้าไม่เป็นเพราะเมื่อ 6 เดือนก่อน ดิฉันเริ่มรู้สึกว่าห้องเรามีอะไรแปลกๆ และสังหรณ์ว่าห้องนี้ไม่ได้มีแค่ดิฉันกับน้องเอิง แต่ยังมี "อะไร" หรือ "ใคร" มาอยู่กับเรา
เป็นผู้หญิงค่ะ! ดิฉันแน่ใจว่าอย่างนั้น เธออ้อยอิ่งอยู่ในบรรยากาศภายในห้องนี้แหละ แต่ดิฉันไม่ได้พูดกับน้องเอิงนะคะ เดี๋ยวเธอกลัว
เมื่อปลายเดือนสิงหาคมมานี้เอง น้องเอิงดูเงียบๆ เศร้าๆ พอถามเข้าก็บอกว่ากลุ้มใจเรื่องเรียน ดิฉันดูเกรดก็ไม่เห็นว่าต่ำหรือน่าเกลียดอะไรสักนิด เธอได้คะแนนสูงทีเดียว..แล้วกลุ้มอะไรล่ะ?
ลองสืบเสาะเอากับเพื่อนๆ ของเธอ พวกนั้นก็งง บอกว่าอยู่มหาวิทยาลัยเอิงก็สบายดีนี่นา
เอ..หรือว่าคิดถึงบ้าน ถึงได้เหม่อลอย ชอบยืนเกาะระเบียงอยู่คนเดียว?
คืนหนึ่งราวสี่ทุ่มดิฉันเพิ่งเสร็จงานก็รีบกลับบ้าน พอเปิดประตูห้องปรากฏว่ามีไฟเปิดสลัวๆ อยู่ดวงเดียว มองออกไปทางประตูกระจก เห็นผู้หญิงผมยาวยืนอยู่ที่ระเบียง แต่งชุดนอนขาวๆ ดิฉันก็เรียกว่า "น้องเอิง ไปตากน้ำค้างทำไม เดี๋ยวเป็นหวัด"
ทันใดนั้น น้องเอิงก็ออกมาจากห้องนอน เปิดประตูหน้ายู่ยี่เชียว ดิฉันใจหายหมด..รู้ว่าเจอเข้าแล้วเต็มๆ
วันต่อมา ดิฉันไปถามคนทำความสะอาดลิฟต์และทางเดินคอนโดฯ ว่าห้องนี้มีใครตายหรือเปล่า? คำตอบก็คือ จริงๆ แล้วไม่มีหรอกค่ะ ห้องของดิฉันเมื่อก่อนเป็นของผู้หญิงชาวเกาหลีมาอยู่กับสามี แต่ต่อมาสามีเธอตาย ลือกันว่าเป็นเอดส์ และเธอก็ติดโรคร้ายนี้ด้วย
ผลสุดท้าย สามีเธอก็เสียชีวิตที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ส่วนภรรยาก็ขายห้องคืนแล้วบินกลับบ้านเกิดเมืองนอนไปเรียบร้อย
ตามความคิดดิฉัน สาวเกาหลีคนนี้คงกลับไปตายที่บ้าน และวิญญาณของเธอยังผูกพันกับห้องนี้ เธอคงชอบมายืนที่ระเบียงเหม่อมองแม่น้ำกับขอบฟ้า และแสงสีของตัวเมือง อารมณ์คงเศร้ามากๆ นะคะ
ดิฉันกำหนดจิต แผ่ส่วนกุศลให้เธอ บอกว่าอยู่ด้วยกันก็ได้นะ ไม่ไล่หรอก! อยู่ให้สบาย ขอให้ได้พบสามีในภพหน้า
ข้อสำคัญอย่ามาทำให้น้องเอิงเกิดความหดหู่ หม่นหมองก็แล้วกัน
แล้วดิฉันก็ซื้อกล้วยไม้ ดอกไม้สวยๆ มาแขวนและมาปลูกลงกระถางเต็มระเบียง ให้บรรยากาศสดชื่น ความเศร้าก็หายไป
ตอนนี้น้องเอิงสดใสเหมือนเดิมแล้ว..
เธอบอกว่าไม่รู้ตอนนั้นเป็นอะไรถึงได้หดหู่ หม่นหมอง ท้อแท้หมดกำลังใจ ขนาดไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว คล้ายเป็นพวกซึมเศร้าที่หาสาเหตุจริงๆ ไม่พบ..ดิฉันรู้ค่ะ แต่ไม่บอกดีกว่านะคะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 15 กันยายน 2547
ใบหนาด
19 สิงหาคม 2556
หอพักเกย์สยองขวัญ
"หนูสดใส" เล่าเรื่องสยองขวัญจากหอพักที่เกย์โดนฆ่าหมกห้อง
หนูเป็นคนเมืองชลบุรีค่ะ กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.3 แม่ไปทำงานเป็นแม่ครัวโรงแรมที่สัตหีบ ต้องเข้าทำงานแต่เช้า กว่าจะเสร็จภาระหน้าที่บางทีล่วงเข้าสองยามกว่าๆ ฉะนั้น แม่จึงเช่าห้องพักของหอที่อยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานนั่นเอง
เวลาวันหยุดศุกร์เสาร์หรือปิดเทอม หนูก็จะไปอยู่กับแม่เพราะรักและคิดถึงมากๆ เห็นห่วงด้วยค่ะ
พอพักที่แม่อยู่ดูกว้างขวาง สะอาดสะอ้านและน่าอยู่ไม่แพ้รีสอร์ต มันเป็นตึกสามชั้นมีดาดฟ้า มีระเบียงด้านหน้าเป็นทางเดินตลอดอาคาร ทุกๆ ห้องจะเรียงรายกันไป เปิดหน้าต่างด้านหน้ากับด้านหลังให้ลมพัดได้ตลอด ไม่อึดอัด หลังห้องมีราวตากผ้าด้วย
ห้องทั้งหมดมี 30 ห้อง คนที่มาเช่ามีทั้งฝรั่ง ไทย ญี่ปุ่น ผู้หญิง ผู้ชาย และเกย์ แม่อยู่ชั้นสาม ไม่มีลิฟต์ เราขึ้น-ลงบันไดได้สบายมาก ได้ออกกำลังดีค่ะ
ถัดจากแม่ไปสี่ห้อง บนชั้นสามนี้มีเกย์มาเช่าอยู่ ชื่อพี่หมู เขาสนิมสนมกับเราพอควร พี่หมูเป็นเกย์ที่ดูมีมาดแมน ทำงานธนาคาร ใส่เชิ้ต ผูกไท ร่างสูงใหญ่ ท้วมนิดๆ หน้าเหมือนลูกครึ่งฝรั่ง ตาโต จมูกโด่ง ผมหยักศก จัดว่าหล่อเหลาเอาการ
แต่ถ้ามองนานๆ เขาเป็นคนหน้าหวาน ปากหวาน อารมณ์ขัน น่ารักน่าคบมากเชียวค่ะ
แม่บอกว่าเสียอย่างเดียวที่พี่หมูเป็นนักเที่ยวกลางคืน และมักมีผู้ชายติดไม้ติดมือมาค้างด้วย แม่เคยเตือนให้ระวังพวกไม่มีหัวนอนปลายเท้าไว้หน่อย ไม่ใช่เห็นหน้าตาดีๆ คุยสนุกก็ถูกใจไว้ใจ พามาห้อง มันอันตรายรู้ไหม? พี่หมูฟังยิ้มๆ เพราะรู้ว่าแม่หวังดี แต่เขาไม่เชื่อหรอกค่ะ กระทั่งเกิดเรื่องร้ายกาจขึ้นมาจนได้!
พี่หมูหายหน้าไปสามสี่วัน ครั้งสุดท้าย แม่เห็นเขาตอนแม่กลับจากทำงานราวตีหนึ่ง พี่หมูพาผู้ชายหน้าตาตี๋ๆ ผอมๆ หน้าเสี้ยมมาด้วย แม่ยังมองอย่างเป็นห่วง แต่ก็ต่างคนต่างเข้าห้องของตัวไป
สี่วันต่อมา ถึงไม่เห็นหน้ากันก็ไม่นึกอะไร เพราะคิดว่าพี่หมูไป-กลับไม่ตรงกับเวลาของแม่ ซึ่งก็เป็นปกตินะคะ..แต่คนทั้งหอได้กลิ่นเหมือนปลาเค็มเน่าโชยออกมา
เมื่อช่วยกันค้นหาก็มาเจอว่า ต้นตออยู่ที่ห้องพี่หมูนี่เอง พองัดเข้าไปนะคะปรากฏว่าเห็นภาพสยดสยองมากเลย
แม่ไม่เห็นหรอกค่ะเพราะไปทำงาน แต่เพื่อนๆ ชาวหอเล่าว่าพี่หมูถูกแทงจนพรุน ขึ้นอืดตัวพอง ตาถลนเหมือนลูกปิงปองเละๆ ลิ้นจุกปาก น้ำเลือดกลายเป็นน้ำเน่าสีดำๆ ปนกับน้ำเหลืองไหลออกมาเต็มห้อง ที่นอนงี้เปียกชุ่มและกลายเป็นสีดำ กลิ่นเหม็นร้ายกาจที่สุด
วันรุ่งขึ้น ผู้เช่ากว่าครึ่งบอกอำลาเพราะกลัวผีค่ะ!
ชั้นสามแทบไม่มีคนอยู่ ห้องสิบห้องเปิดแน่บไปซะหก เหลือแม่กับฝรั่งและครูสอนเต้นรำ รวมสามห้องเท่านั้นเอง หนูกลัวบอกให้แม่ย้าย แม่ก็ทนอยู่เกือบเดือนจึงย้ายมาอยู่ห้องชั้นล่างสุด
หนูถามแม่ว่าเจอผีไหม? แม่บอกว่ามีอะไรแปลกๆ เหมือนกัน เช่น เสียงคนเดิน เสียงเปิดปิดประตูเหมือนพี่หมูยังอยู่ที่นี่ มีคนบอกว่าเห็นเขายืนเกาะระเบียง แต่แม่ไม่ค่อยกลัว..ความเวทนามีมากกว่าค่ะ
คนตายที่น้ำเลือดน้ำเหลืองไหลเยิ้มท่วมห้องนี่ทำความสะอาดยากมากเลย
แม่เล่าว่า เขาขนพรม ที่นอนและทุกอย่างออกไป เหม็นมากๆ ส่วนคราบเลือดกับน้ำเหลืองบนพื้นห้อง เขาต้องเอาชะแลงมาแซะ มันหลุดออกเป็นแผ่นๆ กรอบๆ บางๆ น่ากลัวจัง แต่น้ำเหลืองก็ซึมลงไปในเนื้อปูนใต้พรม เปิดเครื่องปรับอากาศมีแต่กลิ่นเน่ากระจายคลุ้งไปหมด
ยิ่งเจ้าของปิดห้องมันยิ่งเหม็น พอเปิดก็เหม็นอีก ไม่รู้จะทำยังไงนะคะ พวกญาติๆ มาขนของพี่หมู ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่กลิ่นศพ ทั้งน่ากลัว น่าขยะแขยง ข้อสำคัญคือน่าขนหัวลุก
คนที่น่าสงสารที่สุดคือเจ้าของหอพัก เป็นใครก็แทบร้องไห้ทั้งนั้นแหละ
ทุกวันนี้ เวลาหยุดเรียนสุดสัปดาห์หนูยังไปอยู่กับแม่ บอกตรงๆ ว่าหนูกลัวมากค่ะ
กลัวจะเห็นพี่หมูเดินผ่านไปขึ้นบันได กลัวเงยหน้าขึ้นไปเห็นพี่หมูเกาะระเบียง หนูไม่กล้านั่งเล่นนอนเล่นดูทีวีรอแม่อยู่คนเดียวในห้องหรอกค่ะ ติดแม่ไปทำงานไป-กลับด้วย ถ้าง่วงๆ มาต้องนอนรอ
หนูอยากให้แม่ย้ายห้องพักไปอยู่ที่อื่นจังเลย แต่แม่บอกว่าสงสารเจ้าของหอ ที่สำคัญ แม่สงสารพี่หมูอยู่เสมอ
แปลกนะคะ ที่คนอื่นๆ เขายังได้กลิ่นเน่านั้นอยู่ บางคนถึงกับย้ายหนีเพราะทนไม่ได้ คนที่มาเช่าห้องอยู่ใหม่ๆ ยังไม่เคยรู้เรื่องน่ากลัวมาก่อน ก็เคยบ่นกับใครๆ เหมือนกันว่าที่นี่มีกลิ่นเหม็นแปลกๆ น่าขนลุก คนที่อยู่มาก่อนก็อดเล่าไม่ได้ว่าเคยมีเรื่องสยองขวัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง
น่าแปลกใจอยู่อย่าง ตรงที่ใครๆ ก็ได้กลิ่นน้ำเลือดน้ำเหลืองน่ากลัวกันทุกคน แต่หนูกับแม่ไม่เคยได้กลิ่นนั้นมารบกวนเลยค่ะ
เพราะพี่หมูรักเราหรือเปล่าคะเนี่ย?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 10 กันยายน 2547
ใบหนาด
หนูเป็นคนเมืองชลบุรีค่ะ กำลังเรียนอยู่ชั้น ม.3 แม่ไปทำงานเป็นแม่ครัวโรงแรมที่สัตหีบ ต้องเข้าทำงานแต่เช้า กว่าจะเสร็จภาระหน้าที่บางทีล่วงเข้าสองยามกว่าๆ ฉะนั้น แม่จึงเช่าห้องพักของหอที่อยู่ใกล้ๆ ที่ทำงานนั่นเอง
เวลาวันหยุดศุกร์เสาร์หรือปิดเทอม หนูก็จะไปอยู่กับแม่เพราะรักและคิดถึงมากๆ เห็นห่วงด้วยค่ะ
พอพักที่แม่อยู่ดูกว้างขวาง สะอาดสะอ้านและน่าอยู่ไม่แพ้รีสอร์ต มันเป็นตึกสามชั้นมีดาดฟ้า มีระเบียงด้านหน้าเป็นทางเดินตลอดอาคาร ทุกๆ ห้องจะเรียงรายกันไป เปิดหน้าต่างด้านหน้ากับด้านหลังให้ลมพัดได้ตลอด ไม่อึดอัด หลังห้องมีราวตากผ้าด้วย
ห้องทั้งหมดมี 30 ห้อง คนที่มาเช่ามีทั้งฝรั่ง ไทย ญี่ปุ่น ผู้หญิง ผู้ชาย และเกย์ แม่อยู่ชั้นสาม ไม่มีลิฟต์ เราขึ้น-ลงบันไดได้สบายมาก ได้ออกกำลังดีค่ะ
ถัดจากแม่ไปสี่ห้อง บนชั้นสามนี้มีเกย์มาเช่าอยู่ ชื่อพี่หมู เขาสนิมสนมกับเราพอควร พี่หมูเป็นเกย์ที่ดูมีมาดแมน ทำงานธนาคาร ใส่เชิ้ต ผูกไท ร่างสูงใหญ่ ท้วมนิดๆ หน้าเหมือนลูกครึ่งฝรั่ง ตาโต จมูกโด่ง ผมหยักศก จัดว่าหล่อเหลาเอาการ
แต่ถ้ามองนานๆ เขาเป็นคนหน้าหวาน ปากหวาน อารมณ์ขัน น่ารักน่าคบมากเชียวค่ะ
แม่บอกว่าเสียอย่างเดียวที่พี่หมูเป็นนักเที่ยวกลางคืน และมักมีผู้ชายติดไม้ติดมือมาค้างด้วย แม่เคยเตือนให้ระวังพวกไม่มีหัวนอนปลายเท้าไว้หน่อย ไม่ใช่เห็นหน้าตาดีๆ คุยสนุกก็ถูกใจไว้ใจ พามาห้อง มันอันตรายรู้ไหม? พี่หมูฟังยิ้มๆ เพราะรู้ว่าแม่หวังดี แต่เขาไม่เชื่อหรอกค่ะ กระทั่งเกิดเรื่องร้ายกาจขึ้นมาจนได้!
พี่หมูหายหน้าไปสามสี่วัน ครั้งสุดท้าย แม่เห็นเขาตอนแม่กลับจากทำงานราวตีหนึ่ง พี่หมูพาผู้ชายหน้าตาตี๋ๆ ผอมๆ หน้าเสี้ยมมาด้วย แม่ยังมองอย่างเป็นห่วง แต่ก็ต่างคนต่างเข้าห้องของตัวไป
สี่วันต่อมา ถึงไม่เห็นหน้ากันก็ไม่นึกอะไร เพราะคิดว่าพี่หมูไป-กลับไม่ตรงกับเวลาของแม่ ซึ่งก็เป็นปกตินะคะ..แต่คนทั้งหอได้กลิ่นเหมือนปลาเค็มเน่าโชยออกมา
เมื่อช่วยกันค้นหาก็มาเจอว่า ต้นตออยู่ที่ห้องพี่หมูนี่เอง พองัดเข้าไปนะคะปรากฏว่าเห็นภาพสยดสยองมากเลย
แม่ไม่เห็นหรอกค่ะเพราะไปทำงาน แต่เพื่อนๆ ชาวหอเล่าว่าพี่หมูถูกแทงจนพรุน ขึ้นอืดตัวพอง ตาถลนเหมือนลูกปิงปองเละๆ ลิ้นจุกปาก น้ำเลือดกลายเป็นน้ำเน่าสีดำๆ ปนกับน้ำเหลืองไหลออกมาเต็มห้อง ที่นอนงี้เปียกชุ่มและกลายเป็นสีดำ กลิ่นเหม็นร้ายกาจที่สุด
วันรุ่งขึ้น ผู้เช่ากว่าครึ่งบอกอำลาเพราะกลัวผีค่ะ!
ชั้นสามแทบไม่มีคนอยู่ ห้องสิบห้องเปิดแน่บไปซะหก เหลือแม่กับฝรั่งและครูสอนเต้นรำ รวมสามห้องเท่านั้นเอง หนูกลัวบอกให้แม่ย้าย แม่ก็ทนอยู่เกือบเดือนจึงย้ายมาอยู่ห้องชั้นล่างสุด
หนูถามแม่ว่าเจอผีไหม? แม่บอกว่ามีอะไรแปลกๆ เหมือนกัน เช่น เสียงคนเดิน เสียงเปิดปิดประตูเหมือนพี่หมูยังอยู่ที่นี่ มีคนบอกว่าเห็นเขายืนเกาะระเบียง แต่แม่ไม่ค่อยกลัว..ความเวทนามีมากกว่าค่ะ
คนตายที่น้ำเลือดน้ำเหลืองไหลเยิ้มท่วมห้องนี่ทำความสะอาดยากมากเลย
แม่เล่าว่า เขาขนพรม ที่นอนและทุกอย่างออกไป เหม็นมากๆ ส่วนคราบเลือดกับน้ำเหลืองบนพื้นห้อง เขาต้องเอาชะแลงมาแซะ มันหลุดออกเป็นแผ่นๆ กรอบๆ บางๆ น่ากลัวจัง แต่น้ำเหลืองก็ซึมลงไปในเนื้อปูนใต้พรม เปิดเครื่องปรับอากาศมีแต่กลิ่นเน่ากระจายคลุ้งไปหมด
ยิ่งเจ้าของปิดห้องมันยิ่งเหม็น พอเปิดก็เหม็นอีก ไม่รู้จะทำยังไงนะคะ พวกญาติๆ มาขนของพี่หมู ทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่กลิ่นศพ ทั้งน่ากลัว น่าขยะแขยง ข้อสำคัญคือน่าขนหัวลุก
คนที่น่าสงสารที่สุดคือเจ้าของหอพัก เป็นใครก็แทบร้องไห้ทั้งนั้นแหละ
ทุกวันนี้ เวลาหยุดเรียนสุดสัปดาห์หนูยังไปอยู่กับแม่ บอกตรงๆ ว่าหนูกลัวมากค่ะ
กลัวจะเห็นพี่หมูเดินผ่านไปขึ้นบันได กลัวเงยหน้าขึ้นไปเห็นพี่หมูเกาะระเบียง หนูไม่กล้านั่งเล่นนอนเล่นดูทีวีรอแม่อยู่คนเดียวในห้องหรอกค่ะ ติดแม่ไปทำงานไป-กลับด้วย ถ้าง่วงๆ มาต้องนอนรอ
หนูอยากให้แม่ย้ายห้องพักไปอยู่ที่อื่นจังเลย แต่แม่บอกว่าสงสารเจ้าของหอ ที่สำคัญ แม่สงสารพี่หมูอยู่เสมอ
แปลกนะคะ ที่คนอื่นๆ เขายังได้กลิ่นเน่านั้นอยู่ บางคนถึงกับย้ายหนีเพราะทนไม่ได้ คนที่มาเช่าห้องอยู่ใหม่ๆ ยังไม่เคยรู้เรื่องน่ากลัวมาก่อน ก็เคยบ่นกับใครๆ เหมือนกันว่าที่นี่มีกลิ่นเหม็นแปลกๆ น่าขนลุก คนที่อยู่มาก่อนก็อดเล่าไม่ได้ว่าเคยมีเรื่องสยองขวัญอะไรเกิดขึ้นบ้าง
น่าแปลกใจอยู่อย่าง ตรงที่ใครๆ ก็ได้กลิ่นน้ำเลือดน้ำเหลืองน่ากลัวกันทุกคน แต่หนูกับแม่ไม่เคยได้กลิ่นนั้นมารบกวนเลยค่ะ
เพราะพี่หมูรักเราหรือเปล่าคะเนี่ย?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 10 กันยายน 2547
ใบหนาด
18 สิงหาคม 2556
เครื่องบินสยองขวัญ
"เอกยุทธ" เล่าเรื่องสยองขวัญบนเครื่องบินสาย กรุงเทพฯ-แอลเอ
เรื่องนี้เกิดมานานแล้วละครับ ตั้งแต่พ.ศ.2538 โน่น ผมไปเรียนเกี่ยวกับเทคนิคคอมพิวเตอร์ที่ ยู ซี อาร์ มหาวิทยาลัยของเมืองริเวอร์ไซด์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย คุณลุงผมเป็นแพทย์ที่ไปทำงานและมีบ้านหลังใหญ่อยู่ที่นั่น ผมก็เลยสบายแฮ
ที่ว่าสบายคือไม่ต้องเสียค่าที่พัก แถมอาหารก็ฟรี เพราะผมเป็นหลานคนโปรด แต่ผมก็ช่วยงานบ้านคุณลุงกับคุณป้าทุกอย่าง เพราะรักและอยากจะตอบแทนความเมตตาของท่าน
แม่ผมไปเยี่ยม อยู่ด้วยกันถึง 6 เดือน แม่ยังตะลึง บอกว่าอยู่เมืองไทยน่ะผมแสนจะเป็นคุณหนูเทวดา ไม่น่าเชื่อว่าจะดูดฝุ่น ล้างห้องน้ำ และรีดผ้าก็เป็นด้วย
ผมสนุกสนานกับการเรียนมากครับ
ที่อเมริกามีวิชาที่ผมชอบมาสนองความต้องการเพียบ เรียนจบ 4 ปีแล้วผมยังอยู่ต่อ สมัครเข้าเรียนคอร์สสั้นๆ เช่น กราฟิกดีไซน์ การวาดรูปด้วยคอมพิวเตอร์ และเทคนิคพิเศษต่างๆ
สรุปรวมแล้ว ผมเพลิดเพลินจำเจริญใจอยู่เกือบ 6 ปี และในช่วงนั้น ผมกลับมาเยี่ยมเมืองไทยแค่ครั้งเดียว
เป็นครั้งที่ผมโดนผีหลอกนี่ละครับ!
ผมกลับมาเป็นคุณหนูเทวดาอยู่กับแม่หนึ่งเดือนเต็มๆ จากนั้นก็ถึงเวลาเหินฟ้าด้วยสายการบินของเพื่อนบ้าน ขาประจำของผม...ตรงกลับแอลเอ
การบินเที่ยวนี้ผมฉายเดี่ยว ที่นั่งในเครื่องบินเต็มทุกที่ยังกะแจกตั๋วฟรี ดีนะที่เราจองล่วงหน้าไว้นานแล้ว ผมได้ที่นั่งฝั่งหน้าต่างด้านซ้าย แต่ไม่ได้นั่งชิดติดหน้าต่างนะครับ เก้าอี้แถวนี้จะมี 3 ตัว ผมนั่งริมทางเดิน นึกเสียดายเพราะผมชอบนั่งติดหน้าต่าง ดูเมฆดูดาวให้เพลิดเพลิน
ปรากฏว่าคนที่มานั่งตรงนั้นเป็นคุณตาแก่ๆ อายุสัก 70 เห็นจะได้ หน้าตาใจดี แต่เศร้าจัง แกมีอัธยาศัยไมตรีกับผมดีมาก แต่ก็ชอบนั่งเหม่อลอยมองออกไปทางหน้าต่างเงียบๆ
ที่ผมบอกว่าตะกี้ว่าที่นั่งเต็มทุกที่น่ะไม่จริงหรอกครับ เก้าอี้ระหว่างผมกับคุณตายังว่างอยู่ ก็แปลว่าทั้งเครื่องบินจัมโบ้ 747 ลำนี้มีว่างอยู่ที่เดียวจริงๆ
คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันนะครับ ผมโชคดีไม่ต้องนั่งเบียดกับคุณตา!
เครื่องบินแวะที่สิงคโปร์ แล้วบินต่อไปแวะที่ไทเป ก่อนจะบินยาวตรงดิ่งไปฮาวาย ผู้โดยสารกินอาหารค่ำตามเวลาท้องถิ่น แล้วก็แย่งกันไปต่อคิวเข้าห้องน้ำ แอร์โฮสเตสฉายหนังแล้วก็ปิดไฟมืด ยกเว้นบางคนอยากอ่านหนังสือก็เปิดไฟดวงเล็กๆ เหนือเก้าอี้ตัวเอง
คุณตาแกหลับไปแล้ว แหม! หลับง่ายดีจัง ส่วนตัวผมน่ะเป็นอะไรไม่รู้ซี ขึ้นเครื่องทีไรมักจะหลับๆ ตื่นๆ ตลอด ไม่มีวันหลับสนิทได้เลยซักครั้ง
คราวนี้ก็เช่นกัน! ผมหลับตานิ่งๆ เพราะอยากพักผ่อน ไม่รู้หลับหรือเปล่า แต่หนังที่ฉายก็จบไปแล้ว ไม่มีแสงวูบวาบกวนตา ทั่วทั้งลำเงียบสงบ มีแต่เสียงเครื่องยนต์กับแอร์ดังหึ่งๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้รำคาญอะไร
ทันใดนั้น ผมรู้สึกดิ่งเข้าภวังค์คล้ายจะเคลิ้มหลับ แต่เอ...ไม่เคยเป็นอย่างนี้นี่นา
ผมไม่ชอบความรู้สึกดิ่งเหมือนโดนแม่เหล็กดูดแบบนี้ ก็เลยลืมตา แต่หนังตามันหนักมาก...ได้แต่ปรือๆ คิดว่าเราคงนอนทับเส้นเลือดมั้ง เลือดลมเดินไม่สะดวกเลยเกิดอาการแบบผีอำ...ผมพยายามขยับร่างกายก็ทำไม่ได้
และแล้ว ตรงทางเดินระหว่างแถวเก้าอี้ ห่างจากผมไปราว 2-3 ก้าว ผมก็เห็นร่างหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นพรม...หัวมาก่อนเลยครับ!
เป็นผู้หญิงแก่ๆ ผมบางๆ สีเทาเงินนั้นรวบตึงเป็นมวยไว้ตรงท้ายทอย เธอลอยตรงๆ ขึ้นมาทั้งตัว
ในแสงสลัวๆ ผมเห็นว่าเธอสวมชุดกระโปรงสีอ่อนๆ ยาวครึ่งแข้ง ตอนสาวๆ เธอคงหุ่นดีน่าดู เพราะสูงเพรียว คอยังระหงอยู่เลยครับ ลักษณะท่าทางก็ผู้ดี๊ผู้ดี...เสียอย่างเดียวคือผมรู้แน่ๆ ชัวร์ๆ ว่า...เธอเป็นผี!!
ผมฝันไปรึเปล่าเนี่ย?
เธอลอยเข้ามาใกล้อย่างน่าตกใจ เห็นเลยครับว่าเท้าเธออยู่เหนือพื้นทางเดินขึ้นมาราวคืบหนึ่ง
ที่น่าสยองสุดๆ คือ เธอลอยผ่านที่นั่งผมโดยไม่ต้องขยับขาเบี่ยงหลบให้...ถึงอยากทำก็ทำไม่ได้เพราะมันขยับไม่ออก มิหนำซ้ำยังหนาวเข้ากระดูกดำ เหมือนทั้งตัวผมกลายเป็นไอติมแท่งไปแล้ว!
ผีผู้หญิงลอยลงนั่งเก้าอี้ตรงกลางระหว่างผมกับคุณตานั่นแหละ จากหางตาผมเห็นนั่งเอาแขนพาด โอบกอดร่างคุณตา ศีรษะเธอเอนซบลงช้าๆ
แล้วผมก็หลับสนิทวูบไปเลย หรือสิ้นสติเพราะความกลัวสุดขีดก็ไม่ทราบ
เครื่องลงแวะฮาวาย คุณตาบอกล่ำลาผม ถามว่าผมไม่สบายรึเปล่า เห็นหน้าเซียวๆ ผมไม่ได้เล่าอะไรให้แกฟัง แต่ก็อดพูดคุยลัดเลาะถามโน่นถามนี่ จนมาถึงคำถามว่า...คุณตามาเที่ยวหรือมีลูกหลานที่ฮาวาย?
ได้เรื่องเลยครับ...คุณตาบอกว่าบ้านแกอยู่ฮาวาย ทำธุรกิจที่นี่แล้วไปเที่ยวเมืองไทยกับคุณยาย แต่คุณยายหัวใจวาย น่าเศร้ามาก...คุณตานำคุณยายใส่โลงขึ้นเครื่องบินมาทำพิธีฝังที่นี่
นั่นไง...นึกแล้วเชียว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาดข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 20 กันยายน 2547
เรื่องนี้เกิดมานานแล้วละครับ ตั้งแต่พ.ศ.2538 โน่น ผมไปเรียนเกี่ยวกับเทคนิคคอมพิวเตอร์ที่ ยู ซี อาร์ มหาวิทยาลัยของเมืองริเวอร์ไซด์ ในรัฐแคลิฟอร์เนีย คุณลุงผมเป็นแพทย์ที่ไปทำงานและมีบ้านหลังใหญ่อยู่ที่นั่น ผมก็เลยสบายแฮ
ที่ว่าสบายคือไม่ต้องเสียค่าที่พัก แถมอาหารก็ฟรี เพราะผมเป็นหลานคนโปรด แต่ผมก็ช่วยงานบ้านคุณลุงกับคุณป้าทุกอย่าง เพราะรักและอยากจะตอบแทนความเมตตาของท่าน
แม่ผมไปเยี่ยม อยู่ด้วยกันถึง 6 เดือน แม่ยังตะลึง บอกว่าอยู่เมืองไทยน่ะผมแสนจะเป็นคุณหนูเทวดา ไม่น่าเชื่อว่าจะดูดฝุ่น ล้างห้องน้ำ และรีดผ้าก็เป็นด้วย
ผมสนุกสนานกับการเรียนมากครับ
ที่อเมริกามีวิชาที่ผมชอบมาสนองความต้องการเพียบ เรียนจบ 4 ปีแล้วผมยังอยู่ต่อ สมัครเข้าเรียนคอร์สสั้นๆ เช่น กราฟิกดีไซน์ การวาดรูปด้วยคอมพิวเตอร์ และเทคนิคพิเศษต่างๆ
สรุปรวมแล้ว ผมเพลิดเพลินจำเจริญใจอยู่เกือบ 6 ปี และในช่วงนั้น ผมกลับมาเยี่ยมเมืองไทยแค่ครั้งเดียว
เป็นครั้งที่ผมโดนผีหลอกนี่ละครับ!
ผมกลับมาเป็นคุณหนูเทวดาอยู่กับแม่หนึ่งเดือนเต็มๆ จากนั้นก็ถึงเวลาเหินฟ้าด้วยสายการบินของเพื่อนบ้าน ขาประจำของผม...ตรงกลับแอลเอ
การบินเที่ยวนี้ผมฉายเดี่ยว ที่นั่งในเครื่องบินเต็มทุกที่ยังกะแจกตั๋วฟรี ดีนะที่เราจองล่วงหน้าไว้นานแล้ว ผมได้ที่นั่งฝั่งหน้าต่างด้านซ้าย แต่ไม่ได้นั่งชิดติดหน้าต่างนะครับ เก้าอี้แถวนี้จะมี 3 ตัว ผมนั่งริมทางเดิน นึกเสียดายเพราะผมชอบนั่งติดหน้าต่าง ดูเมฆดูดาวให้เพลิดเพลิน
ปรากฏว่าคนที่มานั่งตรงนั้นเป็นคุณตาแก่ๆ อายุสัก 70 เห็นจะได้ หน้าตาใจดี แต่เศร้าจัง แกมีอัธยาศัยไมตรีกับผมดีมาก แต่ก็ชอบนั่งเหม่อลอยมองออกไปทางหน้าต่างเงียบๆ
ที่ผมบอกว่าตะกี้ว่าที่นั่งเต็มทุกที่น่ะไม่จริงหรอกครับ เก้าอี้ระหว่างผมกับคุณตายังว่างอยู่ ก็แปลว่าทั้งเครื่องบินจัมโบ้ 747 ลำนี้มีว่างอยู่ที่เดียวจริงๆ
คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันนะครับ ผมโชคดีไม่ต้องนั่งเบียดกับคุณตา!
เครื่องบินแวะที่สิงคโปร์ แล้วบินต่อไปแวะที่ไทเป ก่อนจะบินยาวตรงดิ่งไปฮาวาย ผู้โดยสารกินอาหารค่ำตามเวลาท้องถิ่น แล้วก็แย่งกันไปต่อคิวเข้าห้องน้ำ แอร์โฮสเตสฉายหนังแล้วก็ปิดไฟมืด ยกเว้นบางคนอยากอ่านหนังสือก็เปิดไฟดวงเล็กๆ เหนือเก้าอี้ตัวเอง
คุณตาแกหลับไปแล้ว แหม! หลับง่ายดีจัง ส่วนตัวผมน่ะเป็นอะไรไม่รู้ซี ขึ้นเครื่องทีไรมักจะหลับๆ ตื่นๆ ตลอด ไม่มีวันหลับสนิทได้เลยซักครั้ง
คราวนี้ก็เช่นกัน! ผมหลับตานิ่งๆ เพราะอยากพักผ่อน ไม่รู้หลับหรือเปล่า แต่หนังที่ฉายก็จบไปแล้ว ไม่มีแสงวูบวาบกวนตา ทั่วทั้งลำเงียบสงบ มีแต่เสียงเครื่องยนต์กับแอร์ดังหึ่งๆ ซึ่งผมก็ไม่ได้รำคาญอะไร
ทันใดนั้น ผมรู้สึกดิ่งเข้าภวังค์คล้ายจะเคลิ้มหลับ แต่เอ...ไม่เคยเป็นอย่างนี้นี่นา
ผมไม่ชอบความรู้สึกดิ่งเหมือนโดนแม่เหล็กดูดแบบนี้ ก็เลยลืมตา แต่หนังตามันหนักมาก...ได้แต่ปรือๆ คิดว่าเราคงนอนทับเส้นเลือดมั้ง เลือดลมเดินไม่สะดวกเลยเกิดอาการแบบผีอำ...ผมพยายามขยับร่างกายก็ทำไม่ได้
และแล้ว ตรงทางเดินระหว่างแถวเก้าอี้ ห่างจากผมไปราว 2-3 ก้าว ผมก็เห็นร่างหนึ่งค่อยๆ ผุดขึ้นมาจากพื้นพรม...หัวมาก่อนเลยครับ!
เป็นผู้หญิงแก่ๆ ผมบางๆ สีเทาเงินนั้นรวบตึงเป็นมวยไว้ตรงท้ายทอย เธอลอยตรงๆ ขึ้นมาทั้งตัว
ในแสงสลัวๆ ผมเห็นว่าเธอสวมชุดกระโปรงสีอ่อนๆ ยาวครึ่งแข้ง ตอนสาวๆ เธอคงหุ่นดีน่าดู เพราะสูงเพรียว คอยังระหงอยู่เลยครับ ลักษณะท่าทางก็ผู้ดี๊ผู้ดี...เสียอย่างเดียวคือผมรู้แน่ๆ ชัวร์ๆ ว่า...เธอเป็นผี!!
ผมฝันไปรึเปล่าเนี่ย?
เธอลอยเข้ามาใกล้อย่างน่าตกใจ เห็นเลยครับว่าเท้าเธออยู่เหนือพื้นทางเดินขึ้นมาราวคืบหนึ่ง
ที่น่าสยองสุดๆ คือ เธอลอยผ่านที่นั่งผมโดยไม่ต้องขยับขาเบี่ยงหลบให้...ถึงอยากทำก็ทำไม่ได้เพราะมันขยับไม่ออก มิหนำซ้ำยังหนาวเข้ากระดูกดำ เหมือนทั้งตัวผมกลายเป็นไอติมแท่งไปแล้ว!
ผีผู้หญิงลอยลงนั่งเก้าอี้ตรงกลางระหว่างผมกับคุณตานั่นแหละ จากหางตาผมเห็นนั่งเอาแขนพาด โอบกอดร่างคุณตา ศีรษะเธอเอนซบลงช้าๆ
แล้วผมก็หลับสนิทวูบไปเลย หรือสิ้นสติเพราะความกลัวสุดขีดก็ไม่ทราบ
เครื่องลงแวะฮาวาย คุณตาบอกล่ำลาผม ถามว่าผมไม่สบายรึเปล่า เห็นหน้าเซียวๆ ผมไม่ได้เล่าอะไรให้แกฟัง แต่ก็อดพูดคุยลัดเลาะถามโน่นถามนี่ จนมาถึงคำถามว่า...คุณตามาเที่ยวหรือมีลูกหลานที่ฮาวาย?
ได้เรื่องเลยครับ...คุณตาบอกว่าบ้านแกอยู่ฮาวาย ทำธุรกิจที่นี่แล้วไปเที่ยวเมืองไทยกับคุณยาย แต่คุณยายหัวใจวาย น่าเศร้ามาก...คุณตานำคุณยายใส่โลงขึ้นเครื่องบินมาทำพิธีฝังที่นี่
นั่นไง...นึกแล้วเชียว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาดข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 20 กันยายน 2547
17 สิงหาคม 2556
เจ้าพ่อเขาหลัก (อุทยานแห่งชาติเขาหลัก-ลำรู่ จ.พังงา)
"นายพริ้ง" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากอุทยานแห่งชาติเขาหลัก-ลำรู่ จังหวัดพังงา
ผมเป็นคน อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา สมัยเด็กๆ พ่อเล่าให้ฟังว่าบนอุทยานเขาหลัก แหล่งท่องเที่ยววิวสวยงาม มีศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งที่ชาวบ้านเคารพนับถือมาก คือศาลเจ้าพ่อเขาหลัก ชาวพังงารู้จักกันดีทั้งนั้นครับ
เอ่ยถึง "ศาลพ่อตา" ตามภาษาถิ่นก็หมายถึง ศาลเจ้าพ่อเขาหลัก นั่นเอง ทางบ้านผมจะเรียกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือศาลสำคัญนี้ว่า "พ่อตา"
สมัยก่อน ศาลพ่อตายังอยู่แถวๆ ทางลงเขา มีรูปร่างเป็นหินทรงเจดีย์ สูงประมาณ 7 เมตรได้ ชาวบ้านจะไปกราบไหว้หรือบนบานศาลกล่าวก็ต้องเดินลงเขาไปหาเพราะศาลอยู่ต่ำลงไปค่อนข้างมาก
มีคนเคยเห็นชายร่างใหญ่ผิวดำนั่งตระหง่านอยู่บนยอดหินนั้น และยกมือซ้ายขึ้นทำท่าเหมือนจะกวักเรียกกันหลายคน!
ในที่สุด ชาวบ้านจึงช่วยกันสร้างศาลเจ้าพ่อเขาหลักขึ้นบนเขา หล่อรูปท่านและหินจำลองไว้ข้างๆ มีคนศรัทธาเลื่อมใสไปกราบไหว้และขอพรต่างๆ เช่น ขอให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ขอให้มีโชคลาภต่างๆ แม้แต่ไปขอให้มีบุตร ฯลฯ ส่วนมากมักจะสมปรารถนาทั้งนั้น
ยกเว้นใครมาขอบนไม่ให้เป็นทหาร รับรองว่าจับได้ใบแดงหมด เพราะเจ้าพ่อเขาหลักเคยเป็นทหารเอกมาก่อน
การแก้บนคือฉายหนังกลางแปลง การเล่นมโนราห์ ถวายไก่ต้ม ผลไม้ รวมทั้งหมากพลู บางทีมีหนังฉายบ่อยๆน่าสนุก เพราะชาวตะกั่วป่าล้วนแต่เคารพนับถือเจ้าพ่อกันทุกคน
แปลกกว่าที่อื่นก็คือห้ามบนด้วยสุราและอาหารคาวทุกชนิดเพราะท่านไม่ชอบ ส่วนการแก้บนก็จะทำกันในวันอังคารกับวันเสาร์ ถือว่าเป็นวันแรง อังคารหมายถึงดาวทหาร วันเสาร์ก็เด่นทางไสยศาสตร์ จนมีคำว่า "เสาร์ห้า" ซึ่งขลังนักในการทำเครืองรางของขลับต่างๆ
ที่น่ากลัวคือมีเสียงเล่าลือต่อๆ กันมาว่าใต้หินหลักเดิมเก็บอัฐิของท่านไว้
ข้อสำคัญที่ทำให้หลายๆ คนตาลุก ก็คือเชื่อว่ามีลายแทงขุมทรัพย์บ้าง จนถึงมีสมบัติล้ำค่าฝังอยู่นานแล้ว คนโลภหรืออยากรวยทางลัดก็ชวนกันไปขุดหาในตอนดึกๆ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครพบสมบัติอะไรเลย
น่าสยองกว่านั้นก็เพราะคนที่อุตริไปขุดหาเงินทอง ซึ่งเท่ากับไปลบหลู่เจ้าพ่อเขาหลักต้องประสบกับภัยพิบัติต่างๆ ทุกคนไป!
บางคนเพ้อคลั่ง เอะอะโวยวายว่าจะมีใครมาเอาชีวิต
บางคนก็จับไข้จับหนาว ไม่ช้าก็สิ้นใจตาย
หลายคนกลับถึงบ้านได้ไม่นานก็ร้องโอดโอยโหยหวน ก่อนจะกระอักเลือดตายอย่างน่ากลัว
ในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าไปรบกวน "ศาลพ่อตา" อีกต่อไป นอกจากจะไปกราบไหว้เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจ หรือไม่ก็ไปขอพรบ้าง บนบานศาลกล่าวด้วยความเคารพบ้าง แม้แต่นักท่องเที่ยวต่างถิ่น ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านก็จะแวะเข้าไปกราบไหว้ ขอให้เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
สาเหตุสำคัญคือ บริเวณอุทยานเขาหลักมีถนนคดเคี้ยว ขนาดหักเป็นข้อศอกก็มีหลายแหล่ง ใครประมาทพลาดพลั้งก็ประสบอุบัติเหตุหนักบ้างเบาบ้าง จนถึงกับพิกลพิการหรือเสียชีวิตไปเลยก็มี
คนที่ขับรถผ่านไปแถวนั้น ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน บ้างก็เห็นเสือ บ้างก็เห็นงูใหญ่ บ้างก็เห็นสัตว์ป่าชนิดต่างๆ ข้ามถนนตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิดจนต้องเบรกกันตัวโก่ง
เมื่อสร้างศาลเจ้าพ่อเขาหลักเสร็จใหม่ๆ (ราว 20 ปีมาแล้ว) ก็เกิดเรื่องน่าขนหัวลุกกับคนใกล้ๆ บ้านผมนั่นเอง
น้าอู๋เป็นเพื่อนรุ่นน้องของพ่อ อายุสามสิบเศษๆ นิสัยค่อนข้าวห้าวคล้ายนักเลง มีอาชีพขับรถรับจ้างอยู่หน้าตลาด วันหนึ่งมีคนเหมารถไปเที่ยวอุทยานเขาหลักใกล้ๆ กับศาลพ่อตา ...กว่าจะกลับก็ตกเย็นพอดี
ขณะที่ถึงทางเลี้ยวหักข้อศอกของถนนที่จะลงเขา จู่ๆ ก็มีงูเหลือมตัวมหึมายาวเกือบสองวา ใหญ่ขนาดโคนขา เลื้อยปราดๆ ออกจากพงหญ้ารกทึบตัดหน้ารถอย่างกะทันหัน
สายลมกระโชกวูบ เสียงร้องเอะอะตกใจดังลั่นรถ หน้าอู๋จะหักหลบก็คงตกเขาตายแน่ เลยตัดสินใจเร่งน้ำมันให้รถพ้นงูยักษ์ แต่ก็สายเกินไป เพราะรถแล่นทับงูอย่างจังๆ จนรถกระดอน
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดพลันดังลั่น...โอ๊ย!!
รถตั้งหลักได้ น้าอู๋ขนลุกเกรียว มือไม้สั่นไปหมดจนไม่กล้ามองกระจกหลัง แต่ได้ยินเสียงครางฮือมาเข้าหูว่า...ไม่มี! หันไปดูก็ไม่เห็นงูซักตัวเดียว
คืนนั้น น้าอู๋มานั่งดื่มเหล้ากับพ่อ เล่าเรื่องน่ากลัวให้ฟัง พ่อก็พูดปลอบอกปลอบใจไป...รุ่งเช้าได้ยินเสียงร้องเอะอะโวยวายมาจากบ้านน้าอู๋นั่นเอง เพื่อนบ้านต่างก็รีบไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น?
พ่อแม่น้าอู๋กำลังร้องไห้ ชี้ให้ดูภาพในห้อง...พ่อบอกว่าจำได้ติดหูติดตาเมื่อเห็นน้าอู๋นอนตัวแหลกเหลวอยู่บนเตียง กระดูกคงหักป่นจนร่างบิดเบี้ยวเหมือนตุ๊กตาผ้า นัยน์ตาลืมค้างเบิกโพลงราวกับจะหวาดกลัวและเจ็บปวดสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 22 กันยายน 2547
ผมเป็นคน อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา สมัยเด็กๆ พ่อเล่าให้ฟังว่าบนอุทยานเขาหลัก แหล่งท่องเที่ยววิวสวยงาม มีศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งที่ชาวบ้านเคารพนับถือมาก คือศาลเจ้าพ่อเขาหลัก ชาวพังงารู้จักกันดีทั้งนั้นครับ
เอ่ยถึง "ศาลพ่อตา" ตามภาษาถิ่นก็หมายถึง ศาลเจ้าพ่อเขาหลัก นั่นเอง ทางบ้านผมจะเรียกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ หรือศาลสำคัญนี้ว่า "พ่อตา"
สมัยก่อน ศาลพ่อตายังอยู่แถวๆ ทางลงเขา มีรูปร่างเป็นหินทรงเจดีย์ สูงประมาณ 7 เมตรได้ ชาวบ้านจะไปกราบไหว้หรือบนบานศาลกล่าวก็ต้องเดินลงเขาไปหาเพราะศาลอยู่ต่ำลงไปค่อนข้างมาก
มีคนเคยเห็นชายร่างใหญ่ผิวดำนั่งตระหง่านอยู่บนยอดหินนั้น และยกมือซ้ายขึ้นทำท่าเหมือนจะกวักเรียกกันหลายคน!
ในที่สุด ชาวบ้านจึงช่วยกันสร้างศาลเจ้าพ่อเขาหลักขึ้นบนเขา หล่อรูปท่านและหินจำลองไว้ข้างๆ มีคนศรัทธาเลื่อมใสไปกราบไหว้และขอพรต่างๆ เช่น ขอให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บ ขอให้มีโชคลาภต่างๆ แม้แต่ไปขอให้มีบุตร ฯลฯ ส่วนมากมักจะสมปรารถนาทั้งนั้น
ยกเว้นใครมาขอบนไม่ให้เป็นทหาร รับรองว่าจับได้ใบแดงหมด เพราะเจ้าพ่อเขาหลักเคยเป็นทหารเอกมาก่อน
การแก้บนคือฉายหนังกลางแปลง การเล่นมโนราห์ ถวายไก่ต้ม ผลไม้ รวมทั้งหมากพลู บางทีมีหนังฉายบ่อยๆน่าสนุก เพราะชาวตะกั่วป่าล้วนแต่เคารพนับถือเจ้าพ่อกันทุกคน
แปลกกว่าที่อื่นก็คือห้ามบนด้วยสุราและอาหารคาวทุกชนิดเพราะท่านไม่ชอบ ส่วนการแก้บนก็จะทำกันในวันอังคารกับวันเสาร์ ถือว่าเป็นวันแรง อังคารหมายถึงดาวทหาร วันเสาร์ก็เด่นทางไสยศาสตร์ จนมีคำว่า "เสาร์ห้า" ซึ่งขลังนักในการทำเครืองรางของขลับต่างๆ
ที่น่ากลัวคือมีเสียงเล่าลือต่อๆ กันมาว่าใต้หินหลักเดิมเก็บอัฐิของท่านไว้
ข้อสำคัญที่ทำให้หลายๆ คนตาลุก ก็คือเชื่อว่ามีลายแทงขุมทรัพย์บ้าง จนถึงมีสมบัติล้ำค่าฝังอยู่นานแล้ว คนโลภหรืออยากรวยทางลัดก็ชวนกันไปขุดหาในตอนดึกๆ แต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีใครพบสมบัติอะไรเลย
น่าสยองกว่านั้นก็เพราะคนที่อุตริไปขุดหาเงินทอง ซึ่งเท่ากับไปลบหลู่เจ้าพ่อเขาหลักต้องประสบกับภัยพิบัติต่างๆ ทุกคนไป!
บางคนเพ้อคลั่ง เอะอะโวยวายว่าจะมีใครมาเอาชีวิต
บางคนก็จับไข้จับหนาว ไม่ช้าก็สิ้นใจตาย
หลายคนกลับถึงบ้านได้ไม่นานก็ร้องโอดโอยโหยหวน ก่อนจะกระอักเลือดตายอย่างน่ากลัว
ในที่สุดก็ไม่มีใครกล้าไปรบกวน "ศาลพ่อตา" อีกต่อไป นอกจากจะไปกราบไหว้เพื่อเป็นที่พึ่งทางใจ หรือไม่ก็ไปขอพรบ้าง บนบานศาลกล่าวด้วยความเคารพบ้าง แม้แต่นักท่องเที่ยวต่างถิ่น ได้ยินกิตติศัพท์ของท่านก็จะแวะเข้าไปกราบไหว้ ขอให้เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ
สาเหตุสำคัญคือ บริเวณอุทยานเขาหลักมีถนนคดเคี้ยว ขนาดหักเป็นข้อศอกก็มีหลายแหล่ง ใครประมาทพลาดพลั้งก็ประสบอุบัติเหตุหนักบ้างเบาบ้าง จนถึงกับพิกลพิการหรือเสียชีวิตไปเลยก็มี
คนที่ขับรถผ่านไปแถวนั้น ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน บ้างก็เห็นเสือ บ้างก็เห็นงูใหญ่ บ้างก็เห็นสัตว์ป่าชนิดต่างๆ ข้ามถนนตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิดจนต้องเบรกกันตัวโก่ง
เมื่อสร้างศาลเจ้าพ่อเขาหลักเสร็จใหม่ๆ (ราว 20 ปีมาแล้ว) ก็เกิดเรื่องน่าขนหัวลุกกับคนใกล้ๆ บ้านผมนั่นเอง
น้าอู๋เป็นเพื่อนรุ่นน้องของพ่อ อายุสามสิบเศษๆ นิสัยค่อนข้าวห้าวคล้ายนักเลง มีอาชีพขับรถรับจ้างอยู่หน้าตลาด วันหนึ่งมีคนเหมารถไปเที่ยวอุทยานเขาหลักใกล้ๆ กับศาลพ่อตา ...กว่าจะกลับก็ตกเย็นพอดี
ขณะที่ถึงทางเลี้ยวหักข้อศอกของถนนที่จะลงเขา จู่ๆ ก็มีงูเหลือมตัวมหึมายาวเกือบสองวา ใหญ่ขนาดโคนขา เลื้อยปราดๆ ออกจากพงหญ้ารกทึบตัดหน้ารถอย่างกะทันหัน
สายลมกระโชกวูบ เสียงร้องเอะอะตกใจดังลั่นรถ หน้าอู๋จะหักหลบก็คงตกเขาตายแน่ เลยตัดสินใจเร่งน้ำมันให้รถพ้นงูยักษ์ แต่ก็สายเกินไป เพราะรถแล่นทับงูอย่างจังๆ จนรถกระดอน
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดพลันดังลั่น...โอ๊ย!!
รถตั้งหลักได้ น้าอู๋ขนลุกเกรียว มือไม้สั่นไปหมดจนไม่กล้ามองกระจกหลัง แต่ได้ยินเสียงครางฮือมาเข้าหูว่า...ไม่มี! หันไปดูก็ไม่เห็นงูซักตัวเดียว
คืนนั้น น้าอู๋มานั่งดื่มเหล้ากับพ่อ เล่าเรื่องน่ากลัวให้ฟัง พ่อก็พูดปลอบอกปลอบใจไป...รุ่งเช้าได้ยินเสียงร้องเอะอะโวยวายมาจากบ้านน้าอู๋นั่นเอง เพื่อนบ้านต่างก็รีบไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น?
พ่อแม่น้าอู๋กำลังร้องไห้ ชี้ให้ดูภาพในห้อง...พ่อบอกว่าจำได้ติดหูติดตาเมื่อเห็นน้าอู๋นอนตัวแหลกเหลวอยู่บนเตียง กระดูกคงหักป่นจนร่างบิดเบี้ยวเหมือนตุ๊กตาผ้า นัยน์ตาลืมค้างเบิกโพลงราวกับจะหวาดกลัวและเจ็บปวดสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก
ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 22 กันยายน 2547
15 สิงหาคม 2556
ผีพ่อแก่ที่บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา
เรื่องนี้ก็คล้ายกับเรื่องผีอื่นๆ ไม่มีอะไรมาก แต่ก็ต้องลงไว้เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์ ยังมีอีกหลายเรื่องที่ยังนึกไม่ออก ลืมไปก็เยอะ ที่เจอจากหลายๆที่ ผีบางแสน ผีภูเก็ต ผีโคราช ผีที่พระธาตุจอมกิตติ ผีคนตายแถวบ้าน ผีเพื่อนที่ตายไป ผีที่ถูกขังแล้วไปช่วยพาออกมา ผีมาลาไปเกิด อ่อ ผีที่รีสอร์ทตามต่างจังหวัดก็มี ฯลฯ ค่อยๆนึก ค่อยๆทยอยพิมพ์ทีลง บางเรื่องก็ข้ามไป ไม่อยากเล่าเพราะไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจ บางเรื่องก็นึกไม่ออกไม่รู้จะพิมพ์ลงยังไงดี จำได้แค่ว่าเจอมาแต่เรียบเรียงไม่ถูก มันลืมเลือนเรื่องราวไปเยอะ
บันทึกไดอารี่เล่มเก่าๆที่ลงเรื่องประสบการณ์ผี ฉีกทิ้งไปหมดแล้ว ไม่อยากให้ใครมาอ่าน ตอนนี้อายุเริ่มมากขึ้น(ปัจจุบันอายุ 29) เพิ่งมานึกเสียดาย อยากจะลงเรื่องของตัวเองไว้เป็นอนุสรณ์ประสบการณ์เก่าๆที่ผ่านมา อย่างน้อยก็เอาไว้ให้พวกหลานๆในบ้านอ่านเล่นสนุกๆ
เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยเราเรียน ป.ว.ช. ปี 2 เรียนสายบัญชี ช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้สอบ อ่านหนังสือบัญชีหามรุ่งหามค่ำ พ่อชวนไปนอนบ้านแม่ใหม่ที่ฉะเชิงเทรา ความจริงไม่อยากไปเลย เพราะอีกไม่กี่วันต้องสอบ แต่ไม่อยากขัดใจพ่อก็เลยต้องไป
ตอนดึกประมาณเที่ยงคืนได้ พ่อกับยายหลับไปแล้ว แม่กับญาติคนอื่นๆไปดูลิเกกันที่วัดแถวบ้าน เราเปิดไฟนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว อ่านหนังสือไปได้พักใหญ่มีเสียงเดินมาใกล้ เดินมาจากทางหิ้งพระ ได้ยินเสียงเดินชัด เดินลากเท้ามาแต่ไกลเลย ตอนแรกนึกว่ายายคงลุกเดินหยิบของ ปรากฏว่าไม่ใช่ เสียงเดินมันลากยานเกินไป แถบเดินตรงมาทางเราเรื่อยๆ ดังครืดคราด กว่าจะเดินได้แต่ละก้าวแทบขาดใจ
เราก็อ่านหนังสือไปเรื่อย อีกไม่กี่วันก็ต้องไปสอบบัญชีแล้ว หัววุ่นรวนตีกันไปหมด คิดในใจว่าเอาอีกแล้ว ไปไหนไม่เจอผีไม่ได้รึไง(ว่ะ) ผีก็อยากจะหลอก หนังสือสอบก็ต้องอ่าน เดินลากเท้ามาเรื่อยมาหยุดตรงหน้าเรานี่แหละ เราก็เงยหน้ามอง ไม่เห็นมีอะไร ไม่แน่จริงนี่ หายตัวทำไม อยากหลอกจริงต้องมาให้เห็นตัวด้วยสิ ไม่ยอมให้เห็นตัว แต่รู้สึกว่าเป็นคนแก่ผมงอกถือไม้เท้าค้ำเดิน ตามองไม่เห็นหรอกแต่รู้สึกแบบนั้น
แล้วก็เดินวนแถวหน้าเราอยู่พักใหญ่ไม่ยอมไปไหน ทำเสียงเดินให้หลอนเล่น เราก็นั่งอ่านหนังสือต่อ อ่านไปได้ไม่นานหรอกเริ่มรำคาญ มาลากเท้าครืดคราดๆ พูดดังๆเลย "เงียบๆได้ไหม! ไม่เห็นรึไง! คนกำลังอ่านหนังสือสอบ!" เท่านั้นแหละ เสียงเดินครืดคราดๆ เิดินกลับหิ้งพระไปเลย โอเคไม่มีเสียงรบกวนแล้ว ก็อ่านหนังสือสอบต่อ
จนพวกญาติๆ ดูลิเกที่วัดจบเวลานั้นมันก็เกือบตีสองได้ เราก็บอกไปว่าผีมากวนตอนอ่านหนังสือ พวกญาติก็แตกตื่นคิดว่าเป็นกุมารทองไม่พอใจที่พาคนแปลกหน้าเข้าบ้าน รีบไปจุดธูปขอโทษขอโพยกันใหญ่ เราก็ไม่อยากจะบอกว่าที่จริงน่ะเป็นคนแก่ต่างหากไม่ใช่กุมารทองหรอก ขี้เกียจไปเถียงพวกญาติๆ เขาให้เราไปจุดธูปขอขมาฯกุมารทอง เราก็ทำตาม ไม่ขัดศรัทธา ว่าตามน้ำไปเรื่อย ชะโงกหน้ามองดูหิ้งพระก็เห็นรูปหุ่นพ่อแก่ผมงอกนั่งอยู่จริงๆ เป็นหุ่นเนื้อเรซิ่น ก็คิดว่าคงองค์นี้แหละใช่เลย ท่านคงมาทักทาย ใจก็ขอขมาฯท่านเมื่อกี้ที่อารมณ์ร้อนพูดกับท่านไม่ดี เป็นห่วงสุขภาพท่าน แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็เกรงว่าท่านจะไม่ยอมอยู่เดิน แล้วเราก็จะอ่านหนังสือสอบต่อไม่ได้
เรื่องนี้ก็จบลงไปอีกหนึ่งเรื่อง ตั้งแต่นั้นมาพ่อแก่ท่านนี้ก็ไม่มาหาเราอีกเลย ฮ่าๆๆ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี
ที่มา : http://www.dannipparn.com
บันทึกไดอารี่เล่มเก่าๆที่ลงเรื่องประสบการณ์ผี ฉีกทิ้งไปหมดแล้ว ไม่อยากให้ใครมาอ่าน ตอนนี้อายุเริ่มมากขึ้น(ปัจจุบันอายุ 29) เพิ่งมานึกเสียดาย อยากจะลงเรื่องของตัวเองไว้เป็นอนุสรณ์ประสบการณ์เก่าๆที่ผ่านมา อย่างน้อยก็เอาไว้ให้พวกหลานๆในบ้านอ่านเล่นสนุกๆ
เรื่องนี้เกิดขึ้นสมัยเราเรียน ป.ว.ช. ปี 2 เรียนสายบัญชี ช่วงนั้นเป็นช่วงใกล้สอบ อ่านหนังสือบัญชีหามรุ่งหามค่ำ พ่อชวนไปนอนบ้านแม่ใหม่ที่ฉะเชิงเทรา ความจริงไม่อยากไปเลย เพราะอีกไม่กี่วันต้องสอบ แต่ไม่อยากขัดใจพ่อก็เลยต้องไป
ตอนดึกประมาณเที่ยงคืนได้ พ่อกับยายหลับไปแล้ว แม่กับญาติคนอื่นๆไปดูลิเกกันที่วัดแถวบ้าน เราเปิดไฟนั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียว อ่านหนังสือไปได้พักใหญ่มีเสียงเดินมาใกล้ เดินมาจากทางหิ้งพระ ได้ยินเสียงเดินชัด เดินลากเท้ามาแต่ไกลเลย ตอนแรกนึกว่ายายคงลุกเดินหยิบของ ปรากฏว่าไม่ใช่ เสียงเดินมันลากยานเกินไป แถบเดินตรงมาทางเราเรื่อยๆ ดังครืดคราด กว่าจะเดินได้แต่ละก้าวแทบขาดใจ
เราก็อ่านหนังสือไปเรื่อย อีกไม่กี่วันก็ต้องไปสอบบัญชีแล้ว หัววุ่นรวนตีกันไปหมด คิดในใจว่าเอาอีกแล้ว ไปไหนไม่เจอผีไม่ได้รึไง(ว่ะ) ผีก็อยากจะหลอก หนังสือสอบก็ต้องอ่าน เดินลากเท้ามาเรื่อยมาหยุดตรงหน้าเรานี่แหละ เราก็เงยหน้ามอง ไม่เห็นมีอะไร ไม่แน่จริงนี่ หายตัวทำไม อยากหลอกจริงต้องมาให้เห็นตัวด้วยสิ ไม่ยอมให้เห็นตัว แต่รู้สึกว่าเป็นคนแก่ผมงอกถือไม้เท้าค้ำเดิน ตามองไม่เห็นหรอกแต่รู้สึกแบบนั้น
แล้วก็เดินวนแถวหน้าเราอยู่พักใหญ่ไม่ยอมไปไหน ทำเสียงเดินให้หลอนเล่น เราก็นั่งอ่านหนังสือต่อ อ่านไปได้ไม่นานหรอกเริ่มรำคาญ มาลากเท้าครืดคราดๆ พูดดังๆเลย "เงียบๆได้ไหม! ไม่เห็นรึไง! คนกำลังอ่านหนังสือสอบ!" เท่านั้นแหละ เสียงเดินครืดคราดๆ เิดินกลับหิ้งพระไปเลย โอเคไม่มีเสียงรบกวนแล้ว ก็อ่านหนังสือสอบต่อ
จนพวกญาติๆ ดูลิเกที่วัดจบเวลานั้นมันก็เกือบตีสองได้ เราก็บอกไปว่าผีมากวนตอนอ่านหนังสือ พวกญาติก็แตกตื่นคิดว่าเป็นกุมารทองไม่พอใจที่พาคนแปลกหน้าเข้าบ้าน รีบไปจุดธูปขอโทษขอโพยกันใหญ่ เราก็ไม่อยากจะบอกว่าที่จริงน่ะเป็นคนแก่ต่างหากไม่ใช่กุมารทองหรอก ขี้เกียจไปเถียงพวกญาติๆ เขาให้เราไปจุดธูปขอขมาฯกุมารทอง เราก็ทำตาม ไม่ขัดศรัทธา ว่าตามน้ำไปเรื่อย ชะโงกหน้ามองดูหิ้งพระก็เห็นรูปหุ่นพ่อแก่ผมงอกนั่งอยู่จริงๆ เป็นหุ่นเนื้อเรซิ่น ก็คิดว่าคงองค์นี้แหละใช่เลย ท่านคงมาทักทาย ใจก็ขอขมาฯท่านเมื่อกี้ที่อารมณ์ร้อนพูดกับท่านไม่ดี เป็นห่วงสุขภาพท่าน แต่ถ้าไม่ทำแบบนี้ก็เกรงว่าท่านจะไม่ยอมอยู่เดิน แล้วเราก็จะอ่านหนังสือสอบต่อไม่ได้
เรื่องนี้ก็จบลงไปอีกหนึ่งเรื่อง ตั้งแต่นั้นมาพ่อแก่ท่านนี้ก็ไม่มาหาเราอีกเลย ฮ่าๆๆ ไม่รู้จะดีใจหรือเสียใจดี
ที่มา : http://www.dannipparn.com
14 สิงหาคม 2556
ผีเด็กที่โรงแรม ภูเก็ต
เรื่องนี้ผ่านมาประมาณสามปีแล้ว ตอนนั้นฉันและพี่ที่ทำงานรวมกัน7คน ไปทำงานที่จ.ภูเก็ต และต้องไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ฉันนอนกับพี่ผู้หญิงอีกสองคน ส่วนผู้ชายก็นอนด้วยกันสามคนที่ห้องด้านขวา หัวหน้าอยู่ห้องด้านซ้าย การทำงานผ่านไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งคืนที่หนึ่งของการพักผ่อนผ่านพ้นไป พวกเราทั้งหมดไปรับประทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม แต่สีหน้าของพวกเขาดูหมองคล้ำ อ่อนเพลีย คล้ายคนอดนอน ฉันจึงเข้าใจว่าพวกเขาคงแอบไปเที่ยวกลางคืนกันเป็นแน่ จึงไม่ได้ถามไถ่อะไร และพวกเขาก็ไม่พูดอะไรด้วย
จากนั้นพวกเราก็ไปทำงานกัน จนกระทั่งใกล้จะเลิกงาน พวกผู้ชายเริ่มมีอาการไม่อยากกลับที่พัก ทั้งที่ดูง่วงหง่าวหาวนอนกันเป็นทิวแถวแท้ๆ ถามกันไปมาจนได้ความว่า พวกเขาเจอ "ผีเด็กมาเล่นด้วยทั้งคืน!!!" เมื่อเอาผ้าห่มคลุมโปง ผีเด็กก็ดึงผ้าห่มออกอยู่แบบนั้น และวิ่งไปมาภายในห้องอย่างสนุกสนาน (สนุกอยู่คนเดียว) ทำให้พวกเขาต้องอยู่ในอาการหวาดผวา แต่ก็มีคนกล้ากว่าเพื่อน พูดออกมาว่าไม่เล่น จะนอนแล้ว เท่านั้นแหละผีเด็กก็เริ่มลามือ และยอมให้พวกเขานอนแต่โดยดี พี่ๆ บอกว่าไม่อยากเล่าให้ฟังเพราะไม่อยากให้พวกเรากลัวกัน เพราะห้องก็อยู่ติดกันแค่นี้เอง
น่าแปลกที่ห้องของฉันกลับไม่มีใครเจอเลย แต่หัวหน้าที่นอนอยู่ห้องถัดไปกลับเจอเช่นเดียวกัน อาจเป็นเพราะก่อนนอนฉันสวดมนต์ แผ่เมตตา และขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่นั้นแล้วก็เป็นได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ได้แต่โล่งใจ
แต่แล้วในวันถัดมา ฉันต้องเอาข้อมูลของงานลงเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในห้องของผู้ชาย ฉันและพี่ๆ ที่ทำงานก็นั่งกันในห้องนั้น ทุกคนนั่งทางด้านซ้ายมือของฉันกันหมด ระหว่างที่ฉันนั่งเก็บข้อมูลอยู่นั้นก็รู้สึกเหมือนมีใครเอาหน้ามาเกยไว้บนไหล่ทางด้านขวาจนรู้สึกเหมือนแก้มแทบจะชนกันจึงหันขวับไปดูเพราะคิดว่าพี่ๆ แกล้ง แต่ปรากฎว่าทุกคนนั่งคุยกันอยู่ที่เดิม เมื่อฉันถามเขาก็ทำหน้างงกันหมด และยืนยันว่าไม่ได้เดินมาทางนี้กันเลย เท่านั้นแหละฉันรีบเรียกพี่อีกคนมานั่งเป็นเพื่อนทันที
เรื่องยังไม่จบแค่นี้ ในวันรุ่งขึ้นทุกคนก็เจอเรื่องเดิมอีกจนเขาบอกว่าเริ่มชินแล้ว คือ จากกลัวจนเลิกกลัวแล้วเพราะเหนื่อยจากการทำงานกันมาก วันนี้ฉันและพี่ที่อยู่ห้องเดียวกันอีกคนยังไม่ไปที่ทำงานเพราะต้องเคลียร์งานกันในห้อง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็จะไปยังสถานที่ทำงานจึงเดินออกมาปิดล็อกห้องอย่างดี แต่ห้องของพี่ผู้ชายกลับเปิดอ้าไว้ทั้งที่พวกเขาออกไปทำงานกันหมด ฉันกำลังจะไปปิดประตูให้แต่พี่ผู้ชายเดินออกมาจากลิฟท์พอดี ฉันจึงตำหนิเขาว่าเปิดประตูทิ้งไว้ทำไม เพราะมีของมีค่าอยู่เยอะมาก พวกเขาก็ยืนยันว่าปิดล็อกเรียบร้อยแล้ว พี่ผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่าน้องมาเปิดนะสิ เมื่อวานเขาก็เห็นว่าน้องเปิดประตูรอพวกเขากลับมา เท่านั้นแหละทุกคนก็รีบชวนกันลงมาข้างล่างทันที
สี่วันผ่านไปอย่างร้อนๆ หนาวๆ ในที่สุดก็ได้กรับกรุงเทพสักที รู้สึกดีใจมากๆ เพราะรู้สึกกลัว ไม่อยากเจอ แม้จะรู้สึกบ้างแต่ยังดีที่ไม่เคยเห็นแบบจะๆ ก่อนกลับก็ถามแม่บ้านที่โรงแรมจึงได้ความว่า เคยมีนักท่องเที่ยวที่เป็นเด็กเสียชีวิตที่นี่ และเขาก็ไม่ไปไหน ยังคงวนเวียนชวนให้แขกที่มาพักไปเล่นกับเขาอยู่แบบนี้มานานแล้วอยู่มานานแล้ว.......
คิดแล้วปวดใจ และคุยกันว่า ถ้ามาอีกทีไปหาที่อื่นพักกันเถอะ....
ที่มา : http://flash-mini.com/
จากนั้นพวกเราก็ไปทำงานกัน จนกระทั่งใกล้จะเลิกงาน พวกผู้ชายเริ่มมีอาการไม่อยากกลับที่พัก ทั้งที่ดูง่วงหง่าวหาวนอนกันเป็นทิวแถวแท้ๆ ถามกันไปมาจนได้ความว่า พวกเขาเจอ "ผีเด็กมาเล่นด้วยทั้งคืน!!!" เมื่อเอาผ้าห่มคลุมโปง ผีเด็กก็ดึงผ้าห่มออกอยู่แบบนั้น และวิ่งไปมาภายในห้องอย่างสนุกสนาน (สนุกอยู่คนเดียว) ทำให้พวกเขาต้องอยู่ในอาการหวาดผวา แต่ก็มีคนกล้ากว่าเพื่อน พูดออกมาว่าไม่เล่น จะนอนแล้ว เท่านั้นแหละผีเด็กก็เริ่มลามือ และยอมให้พวกเขานอนแต่โดยดี พี่ๆ บอกว่าไม่อยากเล่าให้ฟังเพราะไม่อยากให้พวกเรากลัวกัน เพราะห้องก็อยู่ติดกันแค่นี้เอง
น่าแปลกที่ห้องของฉันกลับไม่มีใครเจอเลย แต่หัวหน้าที่นอนอยู่ห้องถัดไปกลับเจอเช่นเดียวกัน อาจเป็นเพราะก่อนนอนฉันสวดมนต์ แผ่เมตตา และขออนุญาตสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่นั้นแล้วก็เป็นได้ เมื่อคิดได้ดังนั้นก็ได้แต่โล่งใจ
แต่แล้วในวันถัดมา ฉันต้องเอาข้อมูลของงานลงเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งอยู่ในห้องของผู้ชาย ฉันและพี่ๆ ที่ทำงานก็นั่งกันในห้องนั้น ทุกคนนั่งทางด้านซ้ายมือของฉันกันหมด ระหว่างที่ฉันนั่งเก็บข้อมูลอยู่นั้นก็รู้สึกเหมือนมีใครเอาหน้ามาเกยไว้บนไหล่ทางด้านขวาจนรู้สึกเหมือนแก้มแทบจะชนกันจึงหันขวับไปดูเพราะคิดว่าพี่ๆ แกล้ง แต่ปรากฎว่าทุกคนนั่งคุยกันอยู่ที่เดิม เมื่อฉันถามเขาก็ทำหน้างงกันหมด และยืนยันว่าไม่ได้เดินมาทางนี้กันเลย เท่านั้นแหละฉันรีบเรียกพี่อีกคนมานั่งเป็นเพื่อนทันที
เรื่องยังไม่จบแค่นี้ ในวันรุ่งขึ้นทุกคนก็เจอเรื่องเดิมอีกจนเขาบอกว่าเริ่มชินแล้ว คือ จากกลัวจนเลิกกลัวแล้วเพราะเหนื่อยจากการทำงานกันมาก วันนี้ฉันและพี่ที่อยู่ห้องเดียวกันอีกคนยังไม่ไปที่ทำงานเพราะต้องเคลียร์งานกันในห้อง เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยก็จะไปยังสถานที่ทำงานจึงเดินออกมาปิดล็อกห้องอย่างดี แต่ห้องของพี่ผู้ชายกลับเปิดอ้าไว้ทั้งที่พวกเขาออกไปทำงานกันหมด ฉันกำลังจะไปปิดประตูให้แต่พี่ผู้ชายเดินออกมาจากลิฟท์พอดี ฉันจึงตำหนิเขาว่าเปิดประตูทิ้งไว้ทำไม เพราะมีของมีค่าอยู่เยอะมาก พวกเขาก็ยืนยันว่าปิดล็อกเรียบร้อยแล้ว พี่ผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่าน้องมาเปิดนะสิ เมื่อวานเขาก็เห็นว่าน้องเปิดประตูรอพวกเขากลับมา เท่านั้นแหละทุกคนก็รีบชวนกันลงมาข้างล่างทันที
สี่วันผ่านไปอย่างร้อนๆ หนาวๆ ในที่สุดก็ได้กรับกรุงเทพสักที รู้สึกดีใจมากๆ เพราะรู้สึกกลัว ไม่อยากเจอ แม้จะรู้สึกบ้างแต่ยังดีที่ไม่เคยเห็นแบบจะๆ ก่อนกลับก็ถามแม่บ้านที่โรงแรมจึงได้ความว่า เคยมีนักท่องเที่ยวที่เป็นเด็กเสียชีวิตที่นี่ และเขาก็ไม่ไปไหน ยังคงวนเวียนชวนให้แขกที่มาพักไปเล่นกับเขาอยู่แบบนี้มานานแล้วอยู่มานานแล้ว.......
คิดแล้วปวดใจ และคุยกันว่า ถ้ามาอีกทีไปหาที่อื่นพักกันเถอะ....
ที่มา : http://flash-mini.com/
13 สิงหาคม 2556
อาถรรพ์ศาลเจ้าแม่ชายหาด ข้างสะพานสารสิน
ผมเป็นชาวสุราษฎร์ธานี ปัจจุบันอายุ 32 ปี เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อประมาณปี 2531
ตอนนั้นผมมีอายุ 11 ปี น้องสาวผมอายุ 7 ปี แม่ได้พาผมไปเที่ยวบ้านป้า ซื่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่ ที่จังหวัดภูเก็ต (ป้าเป็นลูกสาวของพี่สาวตาผม) ป้าผมบ้านเดิมอยู่ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช แต่ได้ย้ายมาอยู่ที่ จ.ภูเก็ต บ้านของป้าผมอยู่ที่ตอนเหนือของเกาะภูเก็ตใกล้กับสะพานสารสิน ป้าผมมีลูกหลายคน ลูกชายคนสุดท้องของป้าก็มีอายุเท่ากับผม และหลานสาวของป้าคนโตก็มีอายุเท่ากับน้องสาวผม ดังนั้นเราจึงเล่นกันอย่างสนุกสนาน
คืนวันหนึ่งพี่ชายลูกของป้าพาผมไปดูหนังกลางแปลงที่วัดท่าฉัตรชัย ใกล้สะพานสารสิน คืนนั้นจำได้ว่าเขาฉายหนังเรื่องคิงคอง แต่จำรายละเอียดของหนังไม่ได้ ตอนกลางวันก็ผมกับลูกชายของป้าก็ไปวิ่งไล่จับปูลมที่ชายหาดข้างสะพานสารสิน
ต่อมาวันหนึ่งป้าได้พาแม่ผม น้องสาว ลูกชายและหลานสาวของป้า รวม 6 คน ไปเดินเที่ยวชมชายหาดที่หาดทรายแก้ว ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของหัวเกาะภูเก็ต ใกล้กับสนามบินภูเก็ตซึ่งเครื่องบินบินผ่านสามารถมองเห็นได้ ป้าบอกว่าจะพาเดินเล่นริมชายหาดจากหาดทรายแก้วไปตามชายหาด ไปจนถึงสะพานสารสิน ระหว่างที่เดินเล่นกันและเก็บเปลือกหอยไปด้วย มองไปในทะเลก็มองเห็นเรือประมงกำลังออกหาปลา และมีเรือดูดแร่ดีบุกกำลังลอยอยู่ในทะเล
เราเดินเล่นริมชายหาดไปเรื่อยๆ จนได้ไปเจอกับศาลเจ้าแม่ศาลหนึ่ง ซึ่งคนแถวนั้นรวมถึงเรือประมงก่อนออกทะเลเขาจะเคารพศรัทธากันมาก มีการจุดประทัดบนเรือเมื่อเรือแล่นผ่านศาล เป็นการบอกกล่าวศาลเจ้าแม่แห่งนี้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจอีกด้วย และเมื่อเราเดินมาเจอศาลแห่งนี้ป้าของผมที่เป็นคนท้องถิ่น ได้เอ่ยชื่อเจ้าแม่ของศาลแห่งนี้ และบอกให้พวกเรายกมือไหว้ศาลเจ้าแม่แห่งนี้ และหลังจากนั้น ป้าก็นึกอะไรได้ไม่รู้ ป้าก็ได้นับจำนวนญาติๆ ลูกหลานป้าที่มาด้วยกัน ปรากฏว่านับได้ 5 คน ซึ่งขาดไป 1 คนคือน้องสาวของผมนั่นเอง หลังจากนั้นป้าก็ได้พาพวกเราเดินย้อนกลับไปในชายหาดที่เราเดินผ่านมา เมื่อเดินไปประมาณ 500 เมตร พบว่าน้องสาวของผมกำลังนั่งเก็บเปลือกหอยอยู่คนเดียวและน้องสาวกำลังนั่งพูดคุยอยู่คนเดียวอีกด้วย เหมือนกับน้องสาวยังไม่รู้ว่ากำลังนั่งเก็บเปลือกหอยอยู่คนเดียว คนอื่นๆเขาไปกันหมดแล้ว เหมือนกับมีอะไรที่บังน้องสาวผมไว้ ป้าบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงจะเป็นอาถรรค์ของศาลเจ้าแม่แห่งนี้นั่นเอง ที่ยังโชคดีที่ป้าผมได้เอ่ยชื่อเจ้าแม่ของศาลแห่งนี้ให้เราได้รู้ ไม่อย่างนั้นน้องสาวผมอาจถูกทิ้งไว้คนเดียวที่ชายหาดแห่งนี้ก็ได้
ป้าได้เล่าให้ฟังอีกว่าสมัยก่อนบริเวณแห่งนี้มีการฆ่ากันตายบ่อยมาก บางคนถูกฆ่าแล้วฝังแล้วโผล่มาแต่มือก็มี แต่ยังดีที่จังหวัดภูเก็ตยังมีอดีตพระสงฆ์ที่เป็นที่เคารพบูชาชองชาวภูเก็ตและคนทั่วไปคือ หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง นั่นเอง
ปัจจุบันบริเวณที่ป้าผมอยู่ จ.ภูเก็ต ได้ถูกเปลี่ยนเป็นถนนสี่เลน และมีป่าชายเลนปลูกขึ้นมาจนมองไม่เห็นสภาพเดิมเมื่อ 20 กว่าปีก่อน และผมได้ไปเที่ยว จ.ภูเก็ตครั้งล่าสุด เมื่อปี 2547 ก่อนซึนามิเข้าถล่มเกาะภูเก็ตประมาณ 5 เดือน แต่ไม่ได้แวะบ้านป้าผม ตอนนั้นผมไปที่ภูเก็ตแฟนตาซี ผ่านหาดกมลา และ ต.เชิงทะเล ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักที่สุดจากซึนามิอีกด้วย
ที่มา : เรื่องเล่าจากช็อกเอฟเอ็มออนไลน์
ตอนนั้นผมมีอายุ 11 ปี น้องสาวผมอายุ 7 ปี แม่ได้พาผมไปเที่ยวบ้านป้า ซื่งเป็นลูกพี่ลูกน้องกับแม่ ที่จังหวัดภูเก็ต (ป้าเป็นลูกสาวของพี่สาวตาผม) ป้าผมบ้านเดิมอยู่ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช แต่ได้ย้ายมาอยู่ที่ จ.ภูเก็ต บ้านของป้าผมอยู่ที่ตอนเหนือของเกาะภูเก็ตใกล้กับสะพานสารสิน ป้าผมมีลูกหลายคน ลูกชายคนสุดท้องของป้าก็มีอายุเท่ากับผม และหลานสาวของป้าคนโตก็มีอายุเท่ากับน้องสาวผม ดังนั้นเราจึงเล่นกันอย่างสนุกสนาน
คืนวันหนึ่งพี่ชายลูกของป้าพาผมไปดูหนังกลางแปลงที่วัดท่าฉัตรชัย ใกล้สะพานสารสิน คืนนั้นจำได้ว่าเขาฉายหนังเรื่องคิงคอง แต่จำรายละเอียดของหนังไม่ได้ ตอนกลางวันก็ผมกับลูกชายของป้าก็ไปวิ่งไล่จับปูลมที่ชายหาดข้างสะพานสารสิน
ต่อมาวันหนึ่งป้าได้พาแม่ผม น้องสาว ลูกชายและหลานสาวของป้า รวม 6 คน ไปเดินเที่ยวชมชายหาดที่หาดทรายแก้ว ซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของหัวเกาะภูเก็ต ใกล้กับสนามบินภูเก็ตซึ่งเครื่องบินบินผ่านสามารถมองเห็นได้ ป้าบอกว่าจะพาเดินเล่นริมชายหาดจากหาดทรายแก้วไปตามชายหาด ไปจนถึงสะพานสารสิน ระหว่างที่เดินเล่นกันและเก็บเปลือกหอยไปด้วย มองไปในทะเลก็มองเห็นเรือประมงกำลังออกหาปลา และมีเรือดูดแร่ดีบุกกำลังลอยอยู่ในทะเล
เราเดินเล่นริมชายหาดไปเรื่อยๆ จนได้ไปเจอกับศาลเจ้าแม่ศาลหนึ่ง ซึ่งคนแถวนั้นรวมถึงเรือประมงก่อนออกทะเลเขาจะเคารพศรัทธากันมาก มีการจุดประทัดบนเรือเมื่อเรือแล่นผ่านศาล เป็นการบอกกล่าวศาลเจ้าแม่แห่งนี้เพื่อเป็นขวัญกำลังใจอีกด้วย และเมื่อเราเดินมาเจอศาลแห่งนี้ป้าของผมที่เป็นคนท้องถิ่น ได้เอ่ยชื่อเจ้าแม่ของศาลแห่งนี้ และบอกให้พวกเรายกมือไหว้ศาลเจ้าแม่แห่งนี้ และหลังจากนั้น ป้าก็นึกอะไรได้ไม่รู้ ป้าก็ได้นับจำนวนญาติๆ ลูกหลานป้าที่มาด้วยกัน ปรากฏว่านับได้ 5 คน ซึ่งขาดไป 1 คนคือน้องสาวของผมนั่นเอง หลังจากนั้นป้าก็ได้พาพวกเราเดินย้อนกลับไปในชายหาดที่เราเดินผ่านมา เมื่อเดินไปประมาณ 500 เมตร พบว่าน้องสาวของผมกำลังนั่งเก็บเปลือกหอยอยู่คนเดียวและน้องสาวกำลังนั่งพูดคุยอยู่คนเดียวอีกด้วย เหมือนกับน้องสาวยังไม่รู้ว่ากำลังนั่งเก็บเปลือกหอยอยู่คนเดียว คนอื่นๆเขาไปกันหมดแล้ว เหมือนกับมีอะไรที่บังน้องสาวผมไว้ ป้าบอกว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคงจะเป็นอาถรรค์ของศาลเจ้าแม่แห่งนี้นั่นเอง ที่ยังโชคดีที่ป้าผมได้เอ่ยชื่อเจ้าแม่ของศาลแห่งนี้ให้เราได้รู้ ไม่อย่างนั้นน้องสาวผมอาจถูกทิ้งไว้คนเดียวที่ชายหาดแห่งนี้ก็ได้
ป้าได้เล่าให้ฟังอีกว่าสมัยก่อนบริเวณแห่งนี้มีการฆ่ากันตายบ่อยมาก บางคนถูกฆ่าแล้วฝังแล้วโผล่มาแต่มือก็มี แต่ยังดีที่จังหวัดภูเก็ตยังมีอดีตพระสงฆ์ที่เป็นที่เคารพบูชาชองชาวภูเก็ตและคนทั่วไปคือ หลวงพ่อแช่ม วัดฉลอง นั่นเอง
ปัจจุบันบริเวณที่ป้าผมอยู่ จ.ภูเก็ต ได้ถูกเปลี่ยนเป็นถนนสี่เลน และมีป่าชายเลนปลูกขึ้นมาจนมองไม่เห็นสภาพเดิมเมื่อ 20 กว่าปีก่อน และผมได้ไปเที่ยว จ.ภูเก็ตครั้งล่าสุด เมื่อปี 2547 ก่อนซึนามิเข้าถล่มเกาะภูเก็ตประมาณ 5 เดือน แต่ไม่ได้แวะบ้านป้าผม ตอนนั้นผมไปที่ภูเก็ตแฟนตาซี ผ่านหาดกมลา และ ต.เชิงทะเล ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักที่สุดจากซึนามิอีกด้วย
ที่มา : เรื่องเล่าจากช็อกเอฟเอ็มออนไลน์
12 สิงหาคม 2556
อาถรรพณ์ สุวรรณภูมิ - 12 พญายักษ์ส่งพลังร้าย
สุวรรณภูมิ....ท่าอากาศยานทันสมัยที่สุดแห่งภูมิภาค อดีตที่ผ่านโครงการ Airport Service Quality (ASQ) ของ Airport Council International จัดอันดับให้อยู่ 1 ใน 10 ของสนามบินนานาชาติ...จากการคัดเลือก 115 ท่าอากาศยานชั้นนำทั่วโลก
แต่...ปัจจุบันท่าอากาศยานแห่งนี้ได้ตกอันดับหลุดลุ่ยลงมาอย่างน่าใจหาย ด้วยหลากหลายปัญหาที่เกิดขึ้น บางอย่างไม่น่าจะมี มันก็อุบัติขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ....และบ่อยครั้งสร้างความฉงนให้กับสังคม แล้วก็มีกระแสลือในมิติมืด ว่า...มีอาเพศ
ภายในอาคารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นอกจากสัดส่วนของสำนักงานบริการ และร้านค้าอันเป็นปัจจัยร่วมอำนวยความสะดวกแก่นักเดินทางแล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่เด่นๆ เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นไทย
พญายักษ์...เป็นประติมากรรมที่นำมา ประดิษฐานภายในอาคารแห่ง นี้ถึง 12 ตน เพื่อเป็นสื่อให้ชาวต่างชาติที่มาเยือนแผ่นดินสยามได้สัมผัสกับอมตะศิลป์ของประเทศ โดยจำลองจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม คือ ทศกัณฐ์ มังกรกัณฐ์ จักรวรรดิ อินทรชิต สหัสเดชะ ไมยราพ สุริยาภพ อัศกรรณมาลา วิรุญจำบัง วิรูฬหก ทศคีรีธร และทศคีรีวัน
และ....แล้วก็เชื่อกันว่า พญายักษ์เหล่านี้สำแดงพลังอันเร้นลับ เป็นปฐมเหตุ จึงจะมีการปรับสถานที่โยกย้าย 12 ต้นเหตุแห่งอาเพศไปยังพิกัดอื่น เป็นการสกัดมิให้แผ่พลังอิทธิพล (เลวร้าย) กับท่าอากาศยานแห่งนี้...ตามความเชื่อ และที่ร่ำลือกัน
นางสาวบุษบา ภู่สกุล ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพิเศษ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงได้ปรึกษา พระราชครู วามเทพมุนี หัวหน้าคณะพราหมณ์ เทวสถาน โบสถ์ พราหมณ์ กับการ จัดกระบวนการล้างอาถรรพณ์ สร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติการภายในปริมณฑลสุวรรณภูมิ ซึ่งก็ได้รับการบอกเล่าว่า....ศาสตร์ของพุทธกับพราหมณ์ได้เผยแผ่สู่ศาสนิกชนทั่วโลก เป็น 2 ศาสนา ซึ่งความผูกพันอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะความศรัทธาและพิธีกรรมเชื่อมโยงจนแทบจะกลายเป็นอันเดียวกัน
มีบัญญัติการจำแนกชนเป็นกลุ่มๆ คือ เปรต อสุรกาย อสูร ยักษ์ มนุษย์ เทพ เทวดา โดย แบ่งระดับชั้นบนพิภพตามคุณธรรมความดี...และที่สูงสุดคือพระพุทธเจ้า
ยักษ์...เป็นชนของกลุ่ม นิสัยพื้นฐานอยู่กับความ โลภ โกรธ โมหะ กามะ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกิเลส แม้จุดประสงค์จะออกมาในทางสร้างสรรค์ เพื่อต้อนรับแขกที่มาเยือนด้วยความงามแห่งศิลป์....แต่ก็มีพลังในการแผ่บารมีในสิ่งที่เร่าร้อน น่าสะพรึง กลัว จึงมีปัญหาขาดสติในการดำเนินการ ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน
อีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดี ไม่ควร....เนื่องจากบรรดายักษ์ ทั้ง 12 ตน ที่จำลองมาจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม นั่นเป็นยักษ์ที่มีฐานะเป็นกษัตริย์ที่ครองเมืองต่างๆ แม้จะมีนิสัยเลวร้าย แต่ก็เป็นผู้มีสัจจะ และศักดิ์ศรี...จึงต้องพิจารณาดูว่าการนำมาประดิษฐานไว้บริเวณนั้นเหมาะสมหรือไม่ หากลดฐานะลงไปก็เป็นธรรมดาที่จะทำให้เกิดโมหะ
แม้ว่า....จะมีการเซ่นไหว้จากผู้ประกอบการภายในสถานที่ แต่ก็แสดงออกเพียงหน้าที่ให้ยืนเพื่อปกป้องดูแลสินค้า ที่ตนเองนำมาจำหน่าย ไม่สมศักดิ์ศรีและฐานะของการเป็นกษัตริย์....จึงแผ่บารมีในทางลบ
โลกของเราโดยธรรมชาติอยู่ได้ด้วยความสมดุล ถึงจุดนี้หากวิเคราะห์แล้ว ภายในอาคารสุวรรณภูมินั้นมันเอียงไปในทางอัปปะ จักต้องหาสิ่งที่เป็นมงคลเข้ามาถ่วงดุล
สิ่งที่บัญญัติให้เกิดขึ้นมาคู่กันกับยักษ์ ก็คือเทพ หรือ เทวดา ซึ่งบางครั้งก็มีการรบล้างเผ่าพันธุ์ กันบ้างเพื่อขจัดสิ่งที่ไม่ดีให้สลายไป และ บางโอกาสก็ปฏิบัติการร่วมกัน....ให้เกิดความขลังและยิ่งใหญ่กับกิจกรรมนั้นๆ
อย่างที่.....วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เหล่ากษัตริย์ ยักษ์จะยืนปกปักรักษาอยู่ด้านนอก ส่วนภายในพระอุโบสถเหล่าเทพเทวดาทั้งหลายก็จะเฝ้าดูแลพระแก้วมรกต อันหมายถึงพระพุทธเจ้า องค์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างสันติสุขให้กับโลก...ที่ถือว่าสูงสุด
เมื่อ....นำยักษ์มาประดิษฐาน ณ สุวรรณภูมิแล้วเกิดเหตุที่ไม่พึงปรารถนา ก็ไม่ควรทำลายให้เสียงบประมาณ เพียงแก้เคล็ดนิดหน่อยก็อาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ด้วยการย้ายไปตรงจุดที่เหมาะสม มิใช่เป็นอีแอบและ เฝ้ายามที่ร้านค้า และ...ควรมีเหล่าเทวดาประดิษฐานในปริมณฑลเดียวกัน เพื่อถ่วงพลังให้โลกเกิดความสมดุล ซึ่งก็ต้องศึกษาด้วยว่าเทวดาหรือเทพมีหลายระดับ สถิตในชั้นวิมานแตกต่างกัน ก็ต้องแยกให้ถูกต้อง
ที่สำคัญจักต้องมีพระพุทธรูป เพื่อเป็นประมุขในความสันติสุขแก่เหล่าเทวดา มนุษย์ ยักษ์ และสัมภเวสีทั้งหลาย....สถานที่จะได้สงบสุข
การโยกย้าย....ส่วนของยักษ์นั้นไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก เนื่องจากอยู่ในภูมิฐานที่ไม่สูง สำหรับ เทพและเทวดาจักต้องมีพิธีกรรม ฤกษ์เวลาในการบวงสรวงอัญเชิญ เนื่องจากแต่ละองค์นั้นสถิตประจำดวงดาวต่างๆ บนสรวงวิมานให้ได้รับรู้...จนถึงพระพุทธองค์ซึ่งสถิตบนชั้นฟ้าจุฬามณีก็เช่นกัน
การปรับภูมิเพื่อลดความวุ่นวาย สร้างความสันติสุขในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ...จึงเป็นการบ้านข้อใหญ่ ให้ไปขบคิด
...ท่านเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ อย่าลบหลู่..!!!
ที่มา : www.thairath.co.th/
แต่...ปัจจุบันท่าอากาศยานแห่งนี้ได้ตกอันดับหลุดลุ่ยลงมาอย่างน่าใจหาย ด้วยหลากหลายปัญหาที่เกิดขึ้น บางอย่างไม่น่าจะมี มันก็อุบัติขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ....และบ่อยครั้งสร้างความฉงนให้กับสังคม แล้วก็มีกระแสลือในมิติมืด ว่า...มีอาเพศ
ภายในอาคารของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นอกจากสัดส่วนของสำนักงานบริการ และร้านค้าอันเป็นปัจจัยร่วมอำนวยความสะดวกแก่นักเดินทางแล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่เด่นๆ เป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นไทย
พญายักษ์...เป็นประติมากรรมที่นำมา ประดิษฐานภายในอาคารแห่ง นี้ถึง 12 ตน เพื่อเป็นสื่อให้ชาวต่างชาติที่มาเยือนแผ่นดินสยามได้สัมผัสกับอมตะศิลป์ของประเทศ โดยจำลองจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม คือ ทศกัณฐ์ มังกรกัณฐ์ จักรวรรดิ อินทรชิต สหัสเดชะ ไมยราพ สุริยาภพ อัศกรรณมาลา วิรุญจำบัง วิรูฬหก ทศคีรีธร และทศคีรีวัน
และ....แล้วก็เชื่อกันว่า พญายักษ์เหล่านี้สำแดงพลังอันเร้นลับ เป็นปฐมเหตุ จึงจะมีการปรับสถานที่โยกย้าย 12 ต้นเหตุแห่งอาเพศไปยังพิกัดอื่น เป็นการสกัดมิให้แผ่พลังอิทธิพล (เลวร้าย) กับท่าอากาศยานแห่งนี้...ตามความเชื่อ และที่ร่ำลือกัน
นางสาวบุษบา ภู่สกุล ผู้อำนวยการฝ่ายกิจการพิเศษ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงได้ปรึกษา พระราชครู วามเทพมุนี หัวหน้าคณะพราหมณ์ เทวสถาน โบสถ์ พราหมณ์ กับการ จัดกระบวนการล้างอาถรรพณ์ สร้างขวัญกำลังใจแก่ผู้ปฏิบัติการภายในปริมณฑลสุวรรณภูมิ ซึ่งก็ได้รับการบอกเล่าว่า....ศาสตร์ของพุทธกับพราหมณ์ได้เผยแผ่สู่ศาสนิกชนทั่วโลก เป็น 2 ศาสนา ซึ่งความผูกพันอย่างเหนียวแน่น โดยเฉพาะความศรัทธาและพิธีกรรมเชื่อมโยงจนแทบจะกลายเป็นอันเดียวกัน
มีบัญญัติการจำแนกชนเป็นกลุ่มๆ คือ เปรต อสุรกาย อสูร ยักษ์ มนุษย์ เทพ เทวดา โดย แบ่งระดับชั้นบนพิภพตามคุณธรรมความดี...และที่สูงสุดคือพระพุทธเจ้า
ยักษ์...เป็นชนของกลุ่ม นิสัยพื้นฐานอยู่กับความ โลภ โกรธ โมหะ กามะ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นกิเลส แม้จุดประสงค์จะออกมาในทางสร้างสรรค์ เพื่อต้อนรับแขกที่มาเยือนด้วยความงามแห่งศิลป์....แต่ก็มีพลังในการแผ่บารมีในสิ่งที่เร่าร้อน น่าสะพรึง กลัว จึงมีปัญหาขาดสติในการดำเนินการ ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงาน
อีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่ดี ไม่ควร....เนื่องจากบรรดายักษ์ ทั้ง 12 ตน ที่จำลองมาจากวัดพระศรีรัตนศาสดาราม นั่นเป็นยักษ์ที่มีฐานะเป็นกษัตริย์ที่ครองเมืองต่างๆ แม้จะมีนิสัยเลวร้าย แต่ก็เป็นผู้มีสัจจะ และศักดิ์ศรี...จึงต้องพิจารณาดูว่าการนำมาประดิษฐานไว้บริเวณนั้นเหมาะสมหรือไม่ หากลดฐานะลงไปก็เป็นธรรมดาที่จะทำให้เกิดโมหะ
แม้ว่า....จะมีการเซ่นไหว้จากผู้ประกอบการภายในสถานที่ แต่ก็แสดงออกเพียงหน้าที่ให้ยืนเพื่อปกป้องดูแลสินค้า ที่ตนเองนำมาจำหน่าย ไม่สมศักดิ์ศรีและฐานะของการเป็นกษัตริย์....จึงแผ่บารมีในทางลบ
โลกของเราโดยธรรมชาติอยู่ได้ด้วยความสมดุล ถึงจุดนี้หากวิเคราะห์แล้ว ภายในอาคารสุวรรณภูมินั้นมันเอียงไปในทางอัปปะ จักต้องหาสิ่งที่เป็นมงคลเข้ามาถ่วงดุล
สิ่งที่บัญญัติให้เกิดขึ้นมาคู่กันกับยักษ์ ก็คือเทพ หรือ เทวดา ซึ่งบางครั้งก็มีการรบล้างเผ่าพันธุ์ กันบ้างเพื่อขจัดสิ่งที่ไม่ดีให้สลายไป และ บางโอกาสก็ปฏิบัติการร่วมกัน....ให้เกิดความขลังและยิ่งใหญ่กับกิจกรรมนั้นๆ
อย่างที่.....วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เหล่ากษัตริย์ ยักษ์จะยืนปกปักรักษาอยู่ด้านนอก ส่วนภายในพระอุโบสถเหล่าเทพเทวดาทั้งหลายก็จะเฝ้าดูแลพระแก้วมรกต อันหมายถึงพระพุทธเจ้า องค์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สร้างสันติสุขให้กับโลก...ที่ถือว่าสูงสุด
เมื่อ....นำยักษ์มาประดิษฐาน ณ สุวรรณภูมิแล้วเกิดเหตุที่ไม่พึงปรารถนา ก็ไม่ควรทำลายให้เสียงบประมาณ เพียงแก้เคล็ดนิดหน่อยก็อาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้น ด้วยการย้ายไปตรงจุดที่เหมาะสม มิใช่เป็นอีแอบและ เฝ้ายามที่ร้านค้า และ...ควรมีเหล่าเทวดาประดิษฐานในปริมณฑลเดียวกัน เพื่อถ่วงพลังให้โลกเกิดความสมดุล ซึ่งก็ต้องศึกษาด้วยว่าเทวดาหรือเทพมีหลายระดับ สถิตในชั้นวิมานแตกต่างกัน ก็ต้องแยกให้ถูกต้อง
ที่สำคัญจักต้องมีพระพุทธรูป เพื่อเป็นประมุขในความสันติสุขแก่เหล่าเทวดา มนุษย์ ยักษ์ และสัมภเวสีทั้งหลาย....สถานที่จะได้สงบสุข
การโยกย้าย....ส่วนของยักษ์นั้นไม่ต้องมีพิธีรีตองอะไรมาก เนื่องจากอยู่ในภูมิฐานที่ไม่สูง สำหรับ เทพและเทวดาจักต้องมีพิธีกรรม ฤกษ์เวลาในการบวงสรวงอัญเชิญ เนื่องจากแต่ละองค์นั้นสถิตประจำดวงดาวต่างๆ บนสรวงวิมานให้ได้รับรู้...จนถึงพระพุทธองค์ซึ่งสถิตบนชั้นฟ้าจุฬามณีก็เช่นกัน
การปรับภูมิเพื่อลดความวุ่นวาย สร้างความสันติสุขในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ...จึงเป็นการบ้านข้อใหญ่ ให้ไปขบคิด
...ท่านเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ อย่าลบหลู่..!!!
ที่มา : www.thairath.co.th/
11 สิงหาคม 2556
สุวรรณภูมิ เค้าว่าที่นี่เฮี้ยน
ตำนานมีอยู่ว่าหลังจากเปิดสนามบินสุวรรณภูมิได้ไม่นาน มีพนักงานของศุลกากร ที่ทำงานกะกลางคืน มองเห็น หญิงสาวผ่านเข้าออก เสา ต้นนี้อย่างผิดสังเกต พนักงานจึงแจ้งให้หัวหน้า รปภ.งานทราบ หัวหน้างานเห็นความผิดปกติ จึงแจ้งช่างก่อสร้างให้ทำการเคาะปูนที่เสานี้ออกมาหลังจากเคาะออกมาแล้ว ทุกคนถึงกับตะลึง เนื่องจากว่า สิ่งที่อยู่ในเสานั้น คือศพคนงานหญิงสาวถูกฆ่าข่มขืนแล้วถูกปูนโบกทับติดกับเสาต้นนั้น หลังจากเอาศพออกมาแล้ว ทางช่างก่อสร้างได้ทำการโบกปูนทับไปให้กลับเหมือนเดิมอีกครั้งหนึ่ง
เสาต้นนี้ตั้งอยู่บริเวณห้องทำงานของศุลกากรบริเวณ จุดรับกระเป๋าขาเข้าต่างประเทศ เมื่อทีมงานได้เข้าไปสำรวจเสาผีสิง พบว่าเสาต้นดังกล่าวอยู่ในห้องขนาดเล็ก ที่ใช้สำหรับเก็บกระเป๋าของชาวต่างชาติที่นำสัมภาระมาฝากไว้ โดยในวันนั้นมีกระเป๋าอยู่ประมาณ 30 ใบ และมีเสาอยู่ตรงกลางห้อง เป็นเสาปูนที่มีรอยโบกทับกันหลายชั้น และมีลังกระดาษครอบไว้ แต่หลังจากที่ข่าวลือเริ่มแพร่ขยายออกไปในวงกล้วง ทำให้มีพนักงานจากส่วนอื่นๆ นำพวงมาลัยมากราบไหว้ประมาณ 4-5 พวง ยิ่งทำให้ภาพของเสาต้นนี้ เฮี้ยนขึ้นหลายเท่า
พนักงานบริษัท ท่าอากาศยานไทยรายหนึ่ง เล่าว่าเป็นเรื่องปกติที่การก่อสร้างจะต้องมีคนงานเสียชีวิต จึงทำให้มีการผูกเรื่องกันไปว่า เสาที่มีลักษณะคล้ายกับการโบกทับหลายชั้น เพราะมีการนำศพของผู้เสียชีวิตมาทิ้งแล้วโบกทับเพื่อปกปิดความผิด แต่ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าถึงความเฮี้ยนในสนามบินอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นบริเวณรันเวย์สนามบิน ซึ่งเดิมที่แห่งนี้เป็นวัดเก่า เป็นวัดประจำชุมชนของคนในพื้นที่ ซึ่งการสร้างรันเวย์ทับวัด เป็นเรื่องที่ชาวบ้านถือกันอย่างมากและในระหว่างการก่อสร้างนั้น ปรากฏว่าคนงานหลายต่อหลายคน เห็นเงาจำนวนมาก เดินกันขวักไขว่บนรันเวย์ แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ไม่พบใครทั้งสิ้น หรือกระทั่งมีชาวบ้านขอโดยสารรถคนงานออกจากพื้นที่ แต่เมื่อขึ้นรถมาแล้ว กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ขณะที่รถกำลังวิ่ง
ที่มา : http://happy.teenee.com
เสาต้นนี้ตั้งอยู่บริเวณห้องทำงานของศุลกากรบริเวณ จุดรับกระเป๋าขาเข้าต่างประเทศ เมื่อทีมงานได้เข้าไปสำรวจเสาผีสิง พบว่าเสาต้นดังกล่าวอยู่ในห้องขนาดเล็ก ที่ใช้สำหรับเก็บกระเป๋าของชาวต่างชาติที่นำสัมภาระมาฝากไว้ โดยในวันนั้นมีกระเป๋าอยู่ประมาณ 30 ใบ และมีเสาอยู่ตรงกลางห้อง เป็นเสาปูนที่มีรอยโบกทับกันหลายชั้น และมีลังกระดาษครอบไว้ แต่หลังจากที่ข่าวลือเริ่มแพร่ขยายออกไปในวงกล้วง ทำให้มีพนักงานจากส่วนอื่นๆ นำพวงมาลัยมากราบไหว้ประมาณ 4-5 พวง ยิ่งทำให้ภาพของเสาต้นนี้ เฮี้ยนขึ้นหลายเท่า
พนักงานบริษัท ท่าอากาศยานไทยรายหนึ่ง เล่าว่าเป็นเรื่องปกติที่การก่อสร้างจะต้องมีคนงานเสียชีวิต จึงทำให้มีการผูกเรื่องกันไปว่า เสาที่มีลักษณะคล้ายกับการโบกทับหลายชั้น เพราะมีการนำศพของผู้เสียชีวิตมาทิ้งแล้วโบกทับเพื่อปกปิดความผิด แต่ก็เป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องเล่าถึงความเฮี้ยนในสนามบินอีกมาก ไม่ว่าจะเป็นบริเวณรันเวย์สนามบิน ซึ่งเดิมที่แห่งนี้เป็นวัดเก่า เป็นวัดประจำชุมชนของคนในพื้นที่ ซึ่งการสร้างรันเวย์ทับวัด เป็นเรื่องที่ชาวบ้านถือกันอย่างมากและในระหว่างการก่อสร้างนั้น ปรากฏว่าคนงานหลายต่อหลายคน เห็นเงาจำนวนมาก เดินกันขวักไขว่บนรันเวย์ แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ ก็ไม่พบใครทั้งสิ้น หรือกระทั่งมีชาวบ้านขอโดยสารรถคนงานออกจากพื้นที่ แต่เมื่อขึ้นรถมาแล้ว กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ขณะที่รถกำลังวิ่ง
ที่มา : http://happy.teenee.com
10 สิงหาคม 2556
วิญญาณอาถรรพณ์ "สุวรรณภูมิ"
เมื่อนึกถึง "สุวรรณภูมิ" เราคงนึกถึงข่าวอาถรรพณ์ ความเฮี้ยนของดวงวิญญาณเจ้าที่ที่ถูกร่ำลือมานาน จนดูขัดกับความหรูหรา ทันสมัย ในสถาปัตยกรรมตัวอาคารที่ดูโอ่อ่าใหญ่โต ตลอดระยะเวลาการก่อสร้างท่าอาศยานสุวรรณภูมิ เราคงได้ยินและติดตามข่าวกันมาบ้างว่ามักประสบเหตุวุ่นวายต่างๆนานา เชื่อว่าหลายคนคงอยากรู้ว่า "สุวรรณภูมิ" สนามบินที่มีชื่อเสียงของไทยแห่งนี้ เป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยวิญญาณ มีผีดุมากๆอย่างที่เขาว่าจริงหรือไม่
อาถรรพณ์ของสนามบินทำให้หลายๆคนที่เกี่ยวข้องนับแต่แรกสร้างต้องพบกับความวิบัติและเสียชีวิต เหตุการณ์ร้ายแรงรวมถึงปัญหาต่างๆ ภายในสนามบินแห่งนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุใดตลอดระยะเวลาหลายสิบปีนับแต่แรกสร้างสนามบิน หลายร้อยคนที่เป็นแรงงาน และเจ้าหน้าที่มักเจอเรื่องราวแปลกๆ บ้างเสียชีวิต บ้างสัมผัสวิญญาณในรูปแบบต่างๆกัน นับตั้งแต่การริเริ่มก่อสร้างสนามบินในยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีการเวนคืนที่ดินจากชาวบ้านมาในสมัยที่ท่านเรืองอำนาจเพื่อทำการสร้างสนามบิน แต่มาภายหลังไม่นานท่านถึงก็แก่อสัญกรรมจนต้องล้มโครงการนี้ไป จนมาถึงรัฐบาลยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงได้เริ่มเดินหน้าสร้างสนามบินสุวรรณภูมิใหม่ แต่ระหว่างที่ดำเนินการก่อสร้าง นับแต่เริ่มถมที่ก็มีคนงานเสียชีวิตด้วยเหตุต่างๆ จำนวนมาก แต่ถูกปกปิดข่าว และเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจนเปิดใช้ก็ยังมีปัญหาต้องให้แก้ไขตลอดเวลา ปัญหาต่างๆหลายคนที่เกี่ยวข้องเชื่อว่า เกิดจากอาถรรพณ์ในเรื่องของ "วิญญาณ" ที่ทุกสถานที่ย่อมมี และเป็นเรื่องที่เราทุกคนไม่ควรมองข้าม
ความอาฆาตรุนแรงของ "เจ้าที่" หรือดวงวิญญาณที่ยังไม่ยอมไปเกิดนั้นถูกเล่ากันมานานแล้วถึงเจ้าของที่ดินเดิมคนหนึ่งที่ถูกเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างสนามบิน เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ราว พ.ศ.2503 เมื่อทางการเสนอให้มีการสร้างสนามบินพาณิชย์แห่งใหม่ โดยกระทรวงคมนาคมเสนอให้ใช้พื้นที่บริเวณหนองงูเห่า ต.บางโฉลง ต.ราชาเทวะ และ ต.หนองปรือ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เป็นที่ตั้งท่าอากาศยานแห่งใหม่
เมื่อมีการอนุมัติให้สร้าง กรมการบินพาณิชย์ก็ได้จัดซื้อที่ดินจากประชาชนเป็นหมื่นๆไร่ และเวนคืนที่ดินอีกนับพันไร่ ยุคนั้นจะมีนายทุนหัวใสเข้ามากว้านซื้อที่ดินกันมากมาย ว่ากันว่ามีนายทุนบางเจ้ามาปั่นหัวชาวบ้านให้ขายที่ให้ตนในราคาถูก จากนั้นก็รีบเอาพืชพันธุ์ต่างๆมาลง เมื่อทางการมาตรวจเพื่อจะเวนคืน นายทุนเจ้าเล่ห์ก็จะหาวิธีให้เจ้าหน้าที่ประเมินที่ดินของตนให้ได้ราคาสูงๆ ส่วนชาวบ้านบางพวกที่หัวแข็งไม่ยอมขายที่ให้นายทุนในราคาถูกก็จะโดนฆ่าหมกป่า เรียกว่าช่วงที่มีการกว้านซื้อที่ดินนั้นจะมีแต่ข่าวชาวบ้านเจ้าของที่ถูกฆ่าตายแทบทุกวัน และเมื่อซื้อที่กันได้เรียบร้อย เมื่อถึงเวลาถมที่ก็ยังมีเหตุฆ่ากันตายอีก เพราะเจ้าของที่ดินคนหนึ่งเกิดไม่ยอมให้ผู้รับเหมาเข้ามาถมดินในที่ของตน เพราะตนถูกหลอกให้ขายที่ไปแล้วยังได้เงินไม่ครบ จึงเกิดความแค้นมาอาละวาดด่าทอผู้รับเหมา และคนงานไม่ให้ทำงานได้สะดวก
มาภายหลังเจ้าของที่ดินคนนั้นก็ถูกผู้รับเหมาทำร้ายจนเสียชีวิต และก่อนที่เจ้าของที่ดินจะตายคนงานหลายคนได้ยินเสียงการกล่าวคำอาฆาตก่อนจะหมดลมว่า "ใครที่โกงที่ของกู จะต้องเดือดร้อน" เล่ากันว่าร่างของเจ้าของที่ดินคนนั้น ถูกฝังอยู่ในบริเวณสนามบินบริเวณหนึ่ง ซึ่งภายหลังที่ทำการถมดินเรียบร้อย จนมีหน่วยงานอื่นมาทำการก่อสร้างต่อ ระหว่างที่ทำการก่อสร้างช่วงกลางคืนก็มักจะมีผู้พบเห็นเหตุการณ์ประหลาด เช่น เห็นคนแปลกหน้าเดินไปเดินมารอบๆที่พัก บางวันที่พวกคนงานตั้งวงดื่มเหล้ากัน ก็มักจะเห็นชายคนหนึ่งเดินไปเดินมา พอคนงานเดินไปดูก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหตุการณ์ประหลาดหลายๆอย่างทำเอาคนงานลาออกกันไปหลายคน และที่สำคัญเล่ากันว่า มีเรื่องแปลกก็คือบริเวณที่เคยเป็นที่ดินของชายคนที่ถูกฆ่าตาย และถูกฝังอยู่ในสนามบินนี้ไม่ว่าจะปลูกสร้างสิ่งใดก็มักจะมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นเสมอจนมีการเปลี่ยนแปลงให้เปลี่ยนตรงนั้นเป็นรันเวย์ ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จก่อนที่จะส่งมอบงานเพียง 1 เดือน ก็ต้องพบปัญหาเมื่อเกิดรอยแตกร้าวเป็นทางยาวบนพื้นผิวรันเวย์ ทำให้ต้องเลื่อนการส่งมอบงานออกไป และเร่งซ่อมทางเป็นการใหญ่ พอซ่อมเสร็จก็แตกร้าวขึ้นมาอีก ซึ่งมากกว่าเดิม วิศวกรคุมงานถึงกับปวดหัว เพราะกลัวจะแก้ไขไม่ทัน ก็ต้องรีบซ่อมอีกจนพื้นที่ที่มีรอยร้าวคืนสภาพที่ดี แล้ววันหนึ่งเกิดมีคนงานเดินผ่านไปยังจุดที่มีรอยร้าวเขาเห็นผิดสังเกต เพราะที่พื้นผิวนั้นกลับมีน้ำขังเฉอะแฉะที่สำคัญยังมีกลิ่นเน่าคล้ายซากศพ และเหม็นรุนแรง นอกจากนี้คนงานบางคนเล่าว่าบางคืนขณะนอนหลับอยู่ยังได้ยินเสียงคนร้องคร่ำครวญทวงที่ดินคืน จนคนงานไม่มีจิตใจจะทำงานต่อได้ เพราะความหวาดกลัวจนวิศวกรคุมงานต้องนิมนต์พระมาทำพิธีเชิญดวงวิญญาณ หลวงพ่อที่นิมนต์มายังได้บอกให้ทางหน่วยงานทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้วิญญาณดวงนั้น
นอกจากเรื่องภายในสนามบินก็ยังมีอาถรรพณ์ความเฮี้ยนของวิญญาณอยู่ไม่เลิก บ้างก็เจอวิญญาณในลิฟต์ บ้างเจอกับวิญญาณเด็ก วิญญาณหญิงสาวในชุดไทย หรือวิญญาณหญิงสาวคนงานที่ตกลงไปตายในเสาต้นหนึ่งภายในอาคารสนามบิน และก็อีกสารพัดวิญญาณที่เล่าได้ไม่มีจบ ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่จะพิจารณา เพราะเป็นเรื่องที่มีมูล มีหลักฐาน และถูกเล่าต่อๆกันมา
ที่มา : http://www.yingthai-mag.com/
อาถรรพณ์ของสนามบินทำให้หลายๆคนที่เกี่ยวข้องนับแต่แรกสร้างต้องพบกับความวิบัติและเสียชีวิต เหตุการณ์ร้ายแรงรวมถึงปัญหาต่างๆ ภายในสนามบินแห่งนี้เกิดขึ้นเพราะเหตุใดตลอดระยะเวลาหลายสิบปีนับแต่แรกสร้างสนามบิน หลายร้อยคนที่เป็นแรงงาน และเจ้าหน้าที่มักเจอเรื่องราวแปลกๆ บ้างเสียชีวิต บ้างสัมผัสวิญญาณในรูปแบบต่างๆกัน นับตั้งแต่การริเริ่มก่อสร้างสนามบินในยุค จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่มีการเวนคืนที่ดินจากชาวบ้านมาในสมัยที่ท่านเรืองอำนาจเพื่อทำการสร้างสนามบิน แต่มาภายหลังไม่นานท่านถึงก็แก่อสัญกรรมจนต้องล้มโครงการนี้ไป จนมาถึงรัฐบาลยุค พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จึงได้เริ่มเดินหน้าสร้างสนามบินสุวรรณภูมิใหม่ แต่ระหว่างที่ดำเนินการก่อสร้าง นับแต่เริ่มถมที่ก็มีคนงานเสียชีวิตด้วยเหตุต่างๆ จำนวนมาก แต่ถูกปกปิดข่าว และเมื่อก่อสร้างแล้วเสร็จจนเปิดใช้ก็ยังมีปัญหาต้องให้แก้ไขตลอดเวลา ปัญหาต่างๆหลายคนที่เกี่ยวข้องเชื่อว่า เกิดจากอาถรรพณ์ในเรื่องของ "วิญญาณ" ที่ทุกสถานที่ย่อมมี และเป็นเรื่องที่เราทุกคนไม่ควรมองข้าม
ความอาฆาตรุนแรงของ "เจ้าที่" หรือดวงวิญญาณที่ยังไม่ยอมไปเกิดนั้นถูกเล่ากันมานานแล้วถึงเจ้าของที่ดินเดิมคนหนึ่งที่ถูกเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างสนามบิน เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อหลายสิบปีก่อน ราว พ.ศ.2503 เมื่อทางการเสนอให้มีการสร้างสนามบินพาณิชย์แห่งใหม่ โดยกระทรวงคมนาคมเสนอให้ใช้พื้นที่บริเวณหนองงูเห่า ต.บางโฉลง ต.ราชาเทวะ และ ต.หนองปรือ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เป็นที่ตั้งท่าอากาศยานแห่งใหม่
เมื่อมีการอนุมัติให้สร้าง กรมการบินพาณิชย์ก็ได้จัดซื้อที่ดินจากประชาชนเป็นหมื่นๆไร่ และเวนคืนที่ดินอีกนับพันไร่ ยุคนั้นจะมีนายทุนหัวใสเข้ามากว้านซื้อที่ดินกันมากมาย ว่ากันว่ามีนายทุนบางเจ้ามาปั่นหัวชาวบ้านให้ขายที่ให้ตนในราคาถูก จากนั้นก็รีบเอาพืชพันธุ์ต่างๆมาลง เมื่อทางการมาตรวจเพื่อจะเวนคืน นายทุนเจ้าเล่ห์ก็จะหาวิธีให้เจ้าหน้าที่ประเมินที่ดินของตนให้ได้ราคาสูงๆ ส่วนชาวบ้านบางพวกที่หัวแข็งไม่ยอมขายที่ให้นายทุนในราคาถูกก็จะโดนฆ่าหมกป่า เรียกว่าช่วงที่มีการกว้านซื้อที่ดินนั้นจะมีแต่ข่าวชาวบ้านเจ้าของที่ถูกฆ่าตายแทบทุกวัน และเมื่อซื้อที่กันได้เรียบร้อย เมื่อถึงเวลาถมที่ก็ยังมีเหตุฆ่ากันตายอีก เพราะเจ้าของที่ดินคนหนึ่งเกิดไม่ยอมให้ผู้รับเหมาเข้ามาถมดินในที่ของตน เพราะตนถูกหลอกให้ขายที่ไปแล้วยังได้เงินไม่ครบ จึงเกิดความแค้นมาอาละวาดด่าทอผู้รับเหมา และคนงานไม่ให้ทำงานได้สะดวก
มาภายหลังเจ้าของที่ดินคนนั้นก็ถูกผู้รับเหมาทำร้ายจนเสียชีวิต และก่อนที่เจ้าของที่ดินจะตายคนงานหลายคนได้ยินเสียงการกล่าวคำอาฆาตก่อนจะหมดลมว่า "ใครที่โกงที่ของกู จะต้องเดือดร้อน" เล่ากันว่าร่างของเจ้าของที่ดินคนนั้น ถูกฝังอยู่ในบริเวณสนามบินบริเวณหนึ่ง ซึ่งภายหลังที่ทำการถมดินเรียบร้อย จนมีหน่วยงานอื่นมาทำการก่อสร้างต่อ ระหว่างที่ทำการก่อสร้างช่วงกลางคืนก็มักจะมีผู้พบเห็นเหตุการณ์ประหลาด เช่น เห็นคนแปลกหน้าเดินไปเดินมารอบๆที่พัก บางวันที่พวกคนงานตั้งวงดื่มเหล้ากัน ก็มักจะเห็นชายคนหนึ่งเดินไปเดินมา พอคนงานเดินไปดูก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย เหตุการณ์ประหลาดหลายๆอย่างทำเอาคนงานลาออกกันไปหลายคน และที่สำคัญเล่ากันว่า มีเรื่องแปลกก็คือบริเวณที่เคยเป็นที่ดินของชายคนที่ถูกฆ่าตาย และถูกฝังอยู่ในสนามบินนี้ไม่ว่าจะปลูกสร้างสิ่งใดก็มักจะมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นเสมอจนมีการเปลี่ยนแปลงให้เปลี่ยนตรงนั้นเป็นรันเวย์ ซึ่งเมื่อสร้างเสร็จก่อนที่จะส่งมอบงานเพียง 1 เดือน ก็ต้องพบปัญหาเมื่อเกิดรอยแตกร้าวเป็นทางยาวบนพื้นผิวรันเวย์ ทำให้ต้องเลื่อนการส่งมอบงานออกไป และเร่งซ่อมทางเป็นการใหญ่ พอซ่อมเสร็จก็แตกร้าวขึ้นมาอีก ซึ่งมากกว่าเดิม วิศวกรคุมงานถึงกับปวดหัว เพราะกลัวจะแก้ไขไม่ทัน ก็ต้องรีบซ่อมอีกจนพื้นที่ที่มีรอยร้าวคืนสภาพที่ดี แล้ววันหนึ่งเกิดมีคนงานเดินผ่านไปยังจุดที่มีรอยร้าวเขาเห็นผิดสังเกต เพราะที่พื้นผิวนั้นกลับมีน้ำขังเฉอะแฉะที่สำคัญยังมีกลิ่นเน่าคล้ายซากศพ และเหม็นรุนแรง นอกจากนี้คนงานบางคนเล่าว่าบางคืนขณะนอนหลับอยู่ยังได้ยินเสียงคนร้องคร่ำครวญทวงที่ดินคืน จนคนงานไม่มีจิตใจจะทำงานต่อได้ เพราะความหวาดกลัวจนวิศวกรคุมงานต้องนิมนต์พระมาทำพิธีเชิญดวงวิญญาณ หลวงพ่อที่นิมนต์มายังได้บอกให้ทางหน่วยงานทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้วิญญาณดวงนั้น
นอกจากเรื่องภายในสนามบินก็ยังมีอาถรรพณ์ความเฮี้ยนของวิญญาณอยู่ไม่เลิก บ้างก็เจอวิญญาณในลิฟต์ บ้างเจอกับวิญญาณเด็ก วิญญาณหญิงสาวในชุดไทย หรือวิญญาณหญิงสาวคนงานที่ตกลงไปตายในเสาต้นหนึ่งภายในอาคารสนามบิน และก็อีกสารพัดวิญญาณที่เล่าได้ไม่มีจบ ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่จะพิจารณา เพราะเป็นเรื่องที่มีมูล มีหลักฐาน และถูกเล่าต่อๆกันมา
ที่มา : http://www.yingthai-mag.com/
09 สิงหาคม 2556
เปิดตำนาน 52 เรื่องผี และสิ่งลี้ลับในจังหวัดสงขลา! (2/2)
27. คลองอู่ตะเภา เชื่อกันว่าในคลองอู่ตะเภาในอดีตยังมีจระเข้ผีสิงสถิตอยู่ มีตำนานเล่าว่า ในอดีตลำคลองอูตะเภายังอุดมสมบูรณ์มีจระเข้อาศัยอยู่กันอย่างหนาแน่น เนื่องด้วยมีปลาอย่างชุกชุมทำให้วิถีทางการดำเนินชีวิตของคน และจระเข้ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน จวบอยู่มายุคหนึ่งเกิดเหตุจระเข้กินคนเกิดขึ้นลือว่าเป็นจระเข้ผีสิง ขึ้นมาจากน้ำ คาบ กัดกินเด็กที่เล่นน้ำบริเวณท่าน้ำวัดท่าแซไปหลายรายจนเป็นที่ประหวั่นพรั่นพรึงของผู้คนในสมัยนั้นเป็นยิ่ง จวบจนความเจริญได้เดินทางเข้ามาสู่ชุมชนคลองอูตะเภามากขึ้น ตำนานจระเข้กินคนเลยลบหายไปกับกาลเวลาเหลือเพียงคำเล่าลือจากผู้เฒ่าผู้แก่ว่า....ในอดีตลำคลองแห่งนี้ยังเคยมีจระเข้ผีสิงที่ชอบกินเด็กเป็นอาหารอาศัยอยู่
28. ทะเลสาบสงขลา เชื่อกันว่าทะเลสาบสงขลายังมีนางเงือก(ผีนางเงือก)อาศัยอยู่ ณ ยามใดก็ตามที่เป็นคืนจันทร์เดือนเพ็ญสว่างเต็มท้องน้ำ ผีนางเงือกจะขึ้นมาจากท้องน้ำ นั่งอยู่บนโขดหิน ใช้หวีที่ทำจากก้างปลาหวีผมอย่างน่าดูชม.....ใครดวงถึงฆาตนางจะลากลงไปในท้องน้ำเอาบุรานายนั้นทำสามี
29. ถนนสายบ้านในไร่-เขากลอย (ทางโค้งข้อศอก) ยามค่ำคืน หากเห็นหญิงสาวรถมอเตอร์ไซด์เสีย ยืนคนเดียว... อย่าชี้นิ้วไปหา-อย่ารับขึ้นรถ...เพราะไม่ใช่คน!!!
30. ต้นไทรใหญ่หน้าวัดคลองเรียน มีอายุนานมากแล้ว(อาจจะถึง หรือเกิน 100 ปี).....ยามค่ำคืนมักปรากฏผู้คนมากมายพร้อมเทียนส่องสว่าง พวกเขามาหาตัวเลขก่อนวันหวยออกกันน่ะ แต่....หากเห็นผู้คนมากมายอันตรธานหายไปในพริบตาที่ชี้มือไปหา...ท่านจะซวยเอาได้!!!
31. พระคเณศ หน้าภาควิชาศิลปะ ว.ค.สงขลา เชื่อกันว่าศักดิ์สิทธิ์มากๆ.....หากใครอยากลองดีให้มาตอนเที่ยงคืน พร้อมกับหันก้นเข้าหาและ...เกาใส่หน้าท่าน(เชื่อกันว่าจะโดนดีทุกรายไป)
32. ข้างภาคศิลปะ ว.ค.สงขลา สมัยก่อนยังมีต้นมะพร้าวใหญ่อยู่ต้นหนึ่งข้างสระน้ำ(ปัจจุบันตัดทิ้งแล้ว).....ยามดึกๆเด็กๆที่นี่อาจจะเห็นชายหนุ่มร่างกำยำผิวดำหัวหยิก ไม่ใส่เสื้อผ้า พุ่งดิ่งลงมาจากต้นมะพร้าว ลงสู่สระน้ำข้างภาควิชา...หายลงไปไม่โผล่ขึ้นมาอีกเลย.. ไม่ต้องตกใจ เขาแค่ทักทายเด็กศิลป์น่ะ(สมัยก่อนเจอกันบ่อย)
33. ตำนานบ้านโลงศพ (หน้าซอย 10 ราษฏร์อุทิศ) เคยได้ยินเรื่องเล่าในหาดใหญ่อยู่เรื่องหนึ่งเมื่อหลายสิบปีก่อนคือเรื่องตำนานบ้านโลงศพ ว่ากันว่ามีบางส่วนของตัวบ้านดังกล่าวที่สร้างออกมาเหมือนรูปโลงศพยังไงยังงั้น เล่าลือกันอีกต่อว่าหลังจากเจ้าของบ้านได้เข้ามาอาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวไม่นานก็ประสบอุบัติเหตุหมู่ยกครัว (บางคนก็เล่าลือว่ามันเห็นเรื่องแปลกๆเวลาขับรถผ่านบ้านหลังดังกล่าว(ปัจจุบันบ้านโลงศพกลายเป็นร้านถ่ายรูปไปแล้ว)
34. บ้านรูปยิ้ม (ท้ายซอย 7 ราษฏร์อุทิศ)เป็นภาพขาว-ดำ ของหญิงสาวนางหนึ่งที่เล่าลือกันว่าเธอผูกคอตายภายในบ้าน ได้มีการนำรูปภาพดังกล่าวมาแขวนไว้บริเวณหน้าบ้าน ลือกันอีกว่าหากใครดวงซวยเวลาขับรถผ่านหญิงสาวในภาพจะยิ้มให้(รีบไปทำบุญล้างซวยโดยด่วน!!!)
35. ตำนานผีช่องแอร์ ที่หาดใหญ่ เชื่อกันว่ามีโรงแรมแห่งหนึ่งในเมืองหาดใหญ่ที่เป็นต้นเหตุแห่งตำนานผีช่องแอร์(ฆาตกรรมยัดช่องแอร์) และก็มีการเล่าลือกันว่าห้องดังกล่าวของโรงแรมที่เกิดเหตุมีอัตราความเฮี๊ยนสูงมากๆ!!! ใครมาพักมักเจอดีเข้าแทบทุกราย เส้นผมหญิงสาวร่วงลงมาจากเพดาน เสียงประหลาดยามค่ำคืน กลิ่นศพเน่าโชยมาโดยหาสาเหตุไม่ได้!!! หลายคนมาถามผมว่าแล้วมันที่ไหนกันล่ะโรงแรมนั้น แน่นอนว่าไม่ใช่โรงแรมกลางเมืองหาดใหญ่แน่ โรงแรมนี้ร้างมากว่า 10 ปีตั้งแต่น้ำท่วงใหญ่คราวนั้นแล้ว หลายคนบอกว่ามันคือโรงแรมหาดใหญ่ออxxxจริงหรือไม่?
36. เรื่องผีที่อาคาร 3 เด็กเทคนิครุ่นเก่าๆ เขาเล่าลือกันนักกันหนาว่า แต่เดิมอาคาร 3 ในวิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ เคยมีคนตกลงมาตาย(ครูหลายคนยืนยันว่าจริง) หากยืนมองวิวทิวทัศน์อยู่ดีๆ มีใครตกลงมาแล้ว ปรากฏว่าร่างนั้นอันตรธานหายไป ขอร้อง...อย่าไปทักเดี๋ยวซวย!!!
37. ตำนานต้นจามจุรีให้โชค -หาดใหญ่ใน หลายคนเรียกกันว่าทวดแม่จามจุรี หรือทวดไกรสิงห์-ราชสีห์จามจุรีใหญ่อันเป็นที่สิงสถิตของทวดแม่จามจุรีตั้งอยู่ ณ ปากทางเข้าถนนโชคสมาน 1 ตรงข้าม สภ.หาดใหญ่ ลือกันว่าต้นไม้ต้นนี้เคยเป็นที่ประหารชีวิตนักโทษในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 (ผู้คอตาย)สืบตำนานพอได้ว่าในราวปี พ.ศ. 2552 ภรรยาของตำรวจชั้นประทวนซึ่งทำงานอยู่ใน สภ.หาดใหญ่ ได้หลับลงด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการปฏิบัติภาระหน้าที่ประจำวันที่บ้านพักใกล้กับต้นจามจุรี ครั้งหลับก็ฝันไปว่ามีเจ้าแม่จามจุรี สถิตอยู่ ณ ต้นจามจุรีใหญ่ใกล้กับที่พักของตน เจ้าแม่จามจุรี หรือทวดแม่จามจุรีบอกว่าจะให้เลขเด็ดแต่มีข้อแม้ว่าขอให้ตั้งศาลให้ที่ใต้ต้นจามจุรีเป็นสิ่งแลกเปลี่ยน ปรากฏว่าถูกหวยจริง แต่ผู้เป็นภรรยาของตำรวจชั้นประทวนนางนี้ก็ยังไม่ปักใจเชื่อเสียเท่าใดนักจึงไปทำการบนกับทวดแม่จามจุรีว่าขอให้ถูกหวยเป็นครั้งที่สองแล้วจะสร้างศาลแก้บนให้ ปรากฏถูกหวยมาเลย์จริงดังที่ทำการบนไว้ ต่อมาจึงมีการสร้างศาลเพียงตาไว้ให้สำหรับเป็นที่สถิตแก่ทวดแม่จามจุรี ครั้งข่าวลือเรื่องทวดแม่จามจุรีให้เลขเด็ดได้อย่างแม่นยำยิ่งนักรู้ถึงหูเซียนหวย นักเลงตัวเลขจากทั่วประเทศจึงแห่กันเดินทางมาเพื่อขอเลขเด็ด ไม่เว้นแม้แต่ชาวต่างประเทศที่ทราบข่าว อาทิ ชาวมาเลย์ สิงคโปร์ จีน เป็นต้น จามจุรีอันเป็นที่สิงสถิตของทวดแม่จามจุรี ณ ปากทางเข้าถนนโชคสมาน 1 ตรงข้าม สภ.หาดใหญ่จึงแน่นขนัดไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตาจากทั่วทุกสารทิศ ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ อันมีสิ่งมุ่งหวังอันเดียวกันคือ “เลขเด็ด” นั่นเอง นอกจากเรื่องเลขเด็ดที่ชาวบ้านนิยมมาขูด ทาแป้ง ลูบหากันแล้วนี่ยังปรากฏความเชื่ออีกอย่างหนึ่งที่แพร่สะพัดกันไปในวงกว้าง คือเชื่อกันว่าทวดแม่จามจุรีนี้ไม่ชอบให้ใครมาตัดกิ่ง ก้าน ใบโดยไม่ได้รับอนุญาต ดังเรื่องเล่าลือที่ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเคยมีเจ้าหน้าที่ของเทศบาลนครหาดใหญ่ จะทำการตัดแต่งกิ่งไม้ข้างถนน ครั้งตัดแต่งมาเรื่อยๆจนถึงต้นจามจุรีใหญ่ต้นดังกล่าวปรากฏว่าอุปกรณ์สำหรับตัดแต่งกิ่งไม้ไม่ทำงานอยู่นาน พยายามอย่างไรก็ไม่สามารถซ่อมอุปกรณ์ดังกล่าวได้ จึงต้องล้มเลิกการตัดแต่งกิ่งต้นจามจุรีออกไป ครั้งเจ้าหน้าที่ของเทศบาลนครหาดใหญ่มาทำการตัดแต่งกิ่งไม้ในครั้งที่สองก็ปรากฏว่าอุปกรณ์สำหรับตัดแต่งกิ่งไม้ไม่ทำงานเหมือนครั้งแรก จึงเกิดการเล่าลือกันถึงเรื่องความเฮี๊ยนของต้นจามจุรีใหญ่ ณ ปากทางเข้าถนนโชคสมาน 1 กันอย่างกว้างขวาง
38. ตำนานผีทวดเฝ้าถ้ำ หรือตำนานทวดแหลมจาก เป็นความเชื่อของชาวบ้านตำบลเกาะใหญ่ อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา ตำนานทวดแหลมจากมีดังนี้กล่าวคือ ภายในอาณาบริเวณของหมู่ที่ 1 ตำบลเกาะใหญ่ อำเภอกระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา ปรากฏว่ามีถ้ำใหญ่อยู่แห่งหนึ่งที่ซึ่ง ณ ถ้ำแห่งนี้เองชาวบ้านล้วนเชื่อกันว่าภายในถ้ำมีทรัพย์สมบัติ แก้วแหวนเงินทอง ถ้วยชามที่เป็นทองคำฝังเอาไว้อยู่ภายในเป็นจำนวนมาก และภายในถ้ำนี้เองปรากฏว่ามีจระเข้ใหญ่ ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นจระเข้เจ้าและศักดิ์สิทธิ์
พร้อมทั้งขนานนามให้ว่า “ทวดแหลมจาก” มีหน้าที่เฝ้าปกปักรักษาทรัพย์สมบัติดังกล่าวอยู่ คนแต่ครั้งโบราณหรือชาวบ้านในสมัยก่อนจะสามารถเข้าไปหยิบยืมทรัพย์สมบัติต่างๆของทวดแหลมจากได้แต่มีข้อแม้ว่าจะต้องนำมาคืนในระยะเวลาที่กำหนด ครั้งกาลต่อมามีคนพาลเข้าไปหยิบยืมทรัพย์ของทวดแล้วไม่ได้นำไปคืนให้ ทวดแหลมจากจึงโกรธและปิดถ้ำลงด้วยหินก้อนขนาดใหญ่ตรงบริเวณปากทางเข้าถ้ำ ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีใครสามารถเข้าไปหยิบยืมทรัพย์สมบัติของทวดได้อีก แต่ชาวบ้านในบริเวณพื้นที่ดังกล่าวก็ยังเชื่อว่าทวดแหลมจากในรูปของจระเข้ทวดขนาดใหญ่ยังคงสถิตอยู่ภายในถ้ำแห่งนั้น
ทวดท่าข้าม หรือ ทวดพญาท่าข้าม
39. ตำนานทวดแม่กง ผู้ยิ่งใหญ่แห่งบ้านเกาะหมี มีเรื่องเล่าสืบทอดกันมาอย่างยาวนานถึงรูปแบบ-ความศักดิ์สิทธิ์ของทวดแม่กงเอาไว้ว่า.....เมื่อนานมาแล้วยังมีชายชาวบ้านเกาะหมีคนหนึ่งนั่งคุยกับเพื่อนที่ชานเรือน เขาท้าเพื่อนๆเอาไว้ว่าไม่เชื่อในตำนานความศักดิ์สิทธิ์ของทวดแม่กง.....“ถ้าทวดแม่กงศักดิ์สิทธิ์จริง ขอให้ขึ้นมาหาเขาบนเรือน เขาจะยอมให้ทวดกัดให้ถึงแก่ชีวิต” ขณะเดียวกันนั้นเองปรากฏว่ายังมีพญาคางคก(แม่กง)ใหญ่อยู่ตนหนึ่ง นั่งอยู่บนโขดหินริมฝั่งน้ำ ณ บ้านเกาะหมี โจนทะยานลงจากโขดหินลงสู่แม่น้ำดังกล่าวเสียงดังสนั่น.....กลายร่างเป็นเข้เจ้า(จระเข้ใหญ่)ในทันทีทันใด ว่ายตรงไปสู่บ้านของชายหนุ่มผู้ท้าทาย ถึงริมฝั่งได้ ทวดแม่กงมองชายผู้ท้าทายด้วยสายตาที่โกรธอย่างถึงที่สุด พร้อมลำเลียงตนขึ้นสู่บนฝั่งพร้อมกลายร่างเป็นงูบองหลาขนาดใหญ่(งูจงอางขนาดใหญ่) เลื้อยตรงรี่เข้าไปจนถึงบ้านของชายผู้ท้าทาย ขึ้นไป ณ เรือนชานได้ก็ตรงเข้าหาชายคนดังกล่าว...เล่นเอาท่านเจ้าของบ้านถึงกับหน้าถอดสี จำต้องยอมขอขมาโทษแก่ทวดแม่กงในทันทีทันใด ทวดจึงยอมกลับลงสู่แม่น้ำ มิทำร้ายเอา(สืบทราบว่าปัจจุบันชาวบ้านเกาะหมีก็ยังคงเชื่อกันอยู่)
40. ตำนานผีนางรำไร้หน้า ที่โรงเรียนใหญ่แห่งหนึ่งแถวย่านหาดใหญ่ใน เป็นเรื่องเล่ากันในหมู่นักเรียนโรงเรียนนี้มานานแล้วว่าที่ตึกศูนย์ศิลป์ มักมีเหตุการณ์แปลกๆในค่ำคืนวันทางศาสนา เช่น วันพระ เป็นต้น กล่าวคือมักมีคนได้ยินเสียงดนตรีไทยแว่วมาตามลม บางคนที่ดวงไม่ค่อยดีอาจเห็นนางรำไร้หน้ากำลังร่ายรำกันอย่างสวยงาม...บรื๋อ!!!
41. ตำนานผีผ้าม่าน ในตึกศูนย์ศิลป์ที่โรงเรียนใหญ่แห่งหนึ่งแถวย่านหาดใหญ่ใน เรื่องเล่าของเด็กวงโยฯเก่าๆเขาเล่ากันให้ฟังมาว่า มักมีอะไรแปลกๆชอบเดินไปมาผ่านผ้าม่านในตึกหลังดังกล่าว เป็นเงาดำๆ แต่พอเดินตามมันไปมันก็จะหายไป เด็กรุ่นเก่าๆเขาเล่าให้ฟังมาน่ะ!!!
42. ตำนานกระดาษข้อสอบที่เกินมา ในอาคาร 2 ม.หาดใหญ่ เล่าลือกันในหมู่นักศึกษาว่า ณ ห้องสอบห้องหนึ่งในอาคารดังกล่าวอาจารย์จะต้องแจกข้อสอบให้เกินมา 1 ชุดเสมอๆเพราะเคยมีเหตุนักศึกษาตายในระหว่างสอบ หากข้อสอบไม่เหลือ 1 ชุดมักมีเหตุการณ์แปลกๆเกิดขึ้นเสมอๆ(เด็กที่นี่เขาเล่าลือกันน่ะ)
43. เรื่องผีห้อยขา ม.หาดใหญ่ ลือกันในหมู่นักศึกษาว่า ณ ตึกๆหนึ่งใน ม.หาดใหญ่หากใครเห็นคนนั่งห้อยขาอยู่ที่เหนือบันไดตัวหนึ่ง อย่าไปร้องทัก(เพราะไม่ใช่คน)
44. ตำนานเสียงซอดังแว่ว ณ ห้องดนตรีไทยโรงเรียนวรนารีเฉลิม เชื่อกันในหมู่เด็กนักเรียนว่าเวลาดึกๆมักได้ยินเสียงดนตรีไทย(โดยเฉพาะเสียงซอ)ดังแว่วมาจากตึกดังกล่าว(ชั้น 3) ข้างในมีใครอยู่หรือเปล่า? นั่นสิ ไม่รู้ เพราะประตูทางเข้ามันล็อคจากข้างนอก!!!
ปล. ผู้เขียนเองก็เคยไปฝึกสอนที่โรงเรียนนี้มาแล้ว ปรากฏว่าเจอเหตุการณ์แปลกๆที่อาคารดังกล่าวเหมือนกัน กล่าวคือคืนนั้นต้องมาช่วยท่าน อ.สืบ แกะแผ่นโฟมที่ห้องศิลปะทั้งคืน ผมอยู่กับเพื่อนรวม 3 คนปรากฏว่าตกดึกเพื่อนๆอีก 2 คนออกไปกินกาแฟ ส่วนผมอาบน้ำ(ราวตี 2) ขณะอาบน้ำนั้นเอง(ห้องน้ำครูชั้น 2)มีคนมาเคาะประตูแรงๆ 2 ที พอใส่กางเกงได้ก้รีบออกมาดุปรากกว่าไม่เจอใคร มองออกไปที่หน้าต่างพบเพื่อน 2 คนยังนั่งอยู่ร้านกาแฟ ในตึกมีผมอยู่คนเดียว และยังคงสงสัยอยู่ทุกวันนี้ว่า ใครกันเล่าที่กรุณามาเคาะประตูห้องน้ำตอนตี 2 ส่วนเหตุการณ์เสียงซอดังแว่วก็เคยได้ยินนะ ได้ยินพร้อมกันทั้ง 3 คนตอนเที่ยงคืนตรง แต่พอออกหาต้นตอของเสียงกลับมาจากซอของ อ.สืบ ที่แอบเล่นอยู่ข้างล่าง(นอนดึกจริงนะท่าน)
45. เรื่องเล่าสายลมที่พัดแรง ในห้องสมุดโรงเรียนวรนารีเฉลิม สายลมดังกล่าวมักพัดในเวลาช่วงเช้าทำให้เก้าอี้ในห้องสมุดหกล้มระเนระนาดไปหลายตัว ทั้งๆที่ปิดหน้าต่างหมดทุกบานแล้วนะ!!!
46. ตำนานผีวิ่งเล่น ที่อาคารเรียนอิเล็กทรอนิกส์ วิทยาลัยเทคนิคหาดใหญ่ เล่าลือกันในหมู่นักศึกษาอิเล็กรุ่นเก่าๆ(ราวปี 36)ว่าชั้น 4 อาคารเรียนอิเล็กยามค่ำมักมีเรื่องแปลกๆ เคยมีเด็กที่เรียนภาคบ่าย(สมัยก่อน)ช่วยปิดประตูอาคารเรียนให้อาจารย์ ตรวจเช็คว่าไม่มีใครอยู่ในตึกแล้ว แต่...ปรากฏว่าได้ยินเสียงคนวิ่งอยู่ข้างบน พอขึ้นไปดูอีกครั้งก็ไม่ปรากฏใครบนอาคาร ว่ากันว่าคนที่ดวงซวยมากๆอาจเจอเป็นเงา เป็นร่างให้ได้เห็น อาทิ บริเวณแท้งเก็บน้ำอาคารอิเล็กที่หลายๆคนเคยเจอมาไง!!!
47. ตำนานนักเรียนหญิงถักเปีย ณ บันไดเวียนโรงเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่ เล่าลือกันว่าหากใครดวงซวยจะเจอเข้ากับเธอ บางครั้งเธอจะมาให้คุณเห็น บางครั้งจะมาเป็นเสียงเหมือนคนตกบันได อย่าพยายามวิ่งค้นหาเธอล่ะ ยังไงก็หาไม่พบ
48. ตำนานผีบูม ของคณะ วจก. เชื่อกันว่า ณ มหาวิทยาลัยใหญ่แห่งหนึ่งในอำเภอหาดใหญ่(ตั้งอยู่ตรงข้ามห้างโลตัส)ยังปรากฏเรื่องเล่าที่น่าขนพองสยองเกล้าเรื่องหนึ่งว่า เคยมีรุ่นพี่คณะ วจก.เช่ารถตู้เหมารวมกันจะไปรับปริญญาที่จังหวัดหนึ่งทางตอนล่างของภาคใต้(วิทยาเขต) แล้วรถตู้ประสบอุบัติเหตุตายหมู่หลายศพ พอถึงเวลาผ่านมาบรรจบรุ่นพี่ที่ตายไปมักจะกลับมาบูมถึงห้องน้องๆคณะ วจก. เพราะยังไม่ได้รับปริญญา เล่ากันต่ออีกว่าหลายคนเจอเข้ากับตัวถึงกับจับไข้ไปหลายวัน
49. ตำนานแขน-มือปริศนา เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าของนักเรียนโรงเรียนกอบกุลวิทยาคม หมู่บ้านคลองแงะ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา มีตำนานเรื่องเล่าเกี่ยวกับอาคารห้องสมุดเก่าของโรงเรียนว่า หลายคนมักจะเห็นแขน-มือปริศนาที่มีเล็บยาวและแหลมมากเป็นบางครั้งในเวลาเย็นๆ หรือกลางคืน หากมองนานๆแขน-มือดังกล่าวจะหายไป!!!
50. ตำนานผีทหารที่โรงเรียนบ้านคลองแงะ (ชาติบุณยวิทยาการ) อำเภอสะเดา เล่าลือกันในหมู่คนเฒ่าคนแก่ ณ บริเวณใกล้กับโรงเรียนว่าสถานที่ตั้งโรงเรียนเดิมทีเป็นสุสานทหารญี่ปุ่น เคยมีคนมาลองของกันตอนดึกปรากฏเจอผีทหารญี่ปุ่น(ไม่มีหัว)ต้องวิ่งกันกระเจิง
51. ตำนานผีผูกคอในตู้เหล็ก เป็นเรื่องเล่าของนักศึกษาหอพักอาคาร 2 มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง(ตั้งอยู่ตรงข้ามห้างโลตัส)เล่าลือกันในหมู่เด็กหอพักว่ามักเจอเหตุการณ์แปลกๆเวลาเอาเสื้อผ้า-วัสดุอุปกรณ์ไปเก็บในล็อคเกอร์-ตู้เหล็กภายในหอพักดังกล่าว ว่ากันว่าคนที่ดวงซวยมากๆจะเห็นเป็นนักศึกษา(ชาย)ผูกคอตายในตู้เหล็ก!!!
52. ตำนานชุดนอนสีแดงหอพักในและตำนานเต่าปริศนา เป็นเรื่องเล่าในหมู่นักศึกษาของมหาวิทยาลัยทักษิณว่า ห้ามใส่ชุดนอนสีแดง และห้ามร้องเพลง “แต่ปางก่อน” ในหอพัก ไม่งั้นจะเรียนไม่จบและอาจเจอดีในหอพัก หลายคนเล่าให้ฟังว่าหากใส่ชุดนอนสีแดงจะถูกผีดึงลงมาจากเตียงนอน หากร้องเพลง “แต่ปางก่อน” ภายในหอพักจะมีเสียงร้องคลอตามมา...บรื๋อ!!! ตำนานเต่าปริศนา ณ สระน้ำหน้าหอพักริมบึง เด็กที่ ม.ทักษิณเชื่อกันว่าหากใครมานั่งเล่นในยามค่ำคืนแล้วเห็นเต่าในสระน้ำหน้าหอพักริมบึงแล้วจะทำให้เรียนไม่จบ
ที่มา: http://webboard.yenta4.com/topic/482335
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)