"คนเก่า" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปพบปลาปีศาจ
สมัยหนุ่มๆ ผมชอบเที่ยวเตร่แบบหัวหกก้นขวิด ไปไหนเป็นไปกัน เฮไหนเฮนั่นเพราะยังไม่มีห่วงผูกคอ เพราะความคึกคะนองนี่แหละครับ ทำให้โดนผีหลอกหลายครั้งหลายหนไม่รู้ว่ารอดตายมาได้ยังไง?
ก็หัวใจหยุดเต้นทันใดเพราะความหวาดกลัวสุดขีด อย่างที่เขาเรียกว่าหัวใจวายนั่นไงล่ะครับ
ช่างเถอะครับ ไหนก็รอดตายมาจนจะแก่อยู่รอมร่อแล้วนี่นา..เออ! หรือว่าจะแก่ตัวไปจริงๆ ก็ไม่รู้ซีนะ เพราะไปไหนมาไหนโดนเรียกน้าเรียกอาไปแล้ว กลุ้มใจจริงๆ เลย
ย้อนไปตอนที่ยังหนุ่มแน่นสามพันตึง อุปนิสัยค่อนข้างห้าว ชอบเที่ยวตะลอนๆ ไปทั่ว ไม่ได้เกรงกลัวสิ่งใดเพราะยังโสดอย่างที่ว่า ขนาดเพื่อนรุ่นใหญ่กว่าตั้งสิบปีคือ "พี่ล้วน" แกมีลูกมีเมียอยู่แล้ว ยังเที่ยวจีบสาวบางอื่นๆ เป็นว่าเล่น มีบ้านเล็กบ้านน้อยหลายหลัง พวกเรารุ่นน้องล้วนแต่นับถือไปตามๆ กัน
อยู่บางบอนยังอุตส่าห์ไปมีเมียน้อยถึงแม่กลองโน่นแน่ะคุณ!
ที่นั่นแหละครับ ผมโดนปีศาจพันธุ์ดุหลอกหลอนเอาปิ่มว่าจะล้มประดาตายซะให้ได้ เพราะความที่อุตริไปเที่ยวกับพี่ล้วนน่ะซี
เอาเรื่องปลาปีศาจก่อนแล้วกัน!
พี่ล้วนจัดว่าเป็นคนฐานะดี มีทั้งเรือนทั้งรถครบครัน บางทีก็ขนเพื่อนฝูงกับรุ่นน้องไปเที่ยวกัน เหล้ายาขนไปเพียบ แต่บางทีถึงฤดูน้ำใหม่หลากมา ฝูงปลาคึ่กๆ ทั้งปลาดุก ปลาช่อน สารพัด ใครอยากจะลงเรือไปจับปลาไกลๆ หน่อย ตามแหล่งที่มาตกคลั่กชุกชุม พี่ล้วนก็จะคิดค่าน้ำมันคนละ 20 บาทเท่านั้นเอง
คืนนั้น พวกเราเกือบสิบคนนัดแนะกันลงเรือไปจับปลา เพราะได้ข่าวว่าถัดจากบางบอนขึ้นไปมีปลาชุกชุมน่าดู ว่ากันว่าเอาตะข้องไปแค่ไหนก็ได้ปลาเต็มตะข้องแค่นั้น ใครจะไม่นึกสนุกล่ะครับ?
มีดาบติดตัวละเล่ม ตอนนี้เอาไว้สำหรับฟันปลาตัวโตๆ ที่ผมนึกกระหยิ่มว่าเดี๋ยวก็ได้เหยื่อเต็มตะข้องแน่นอน
เรือแล่นไปตามคลองบางแวกคดเคี้ยว ร่มครึ้มอยู่ใต้แสงดาวกระจ่างฟ้า..ราวชั่วโมงเศษก็ถึงจุดหมาย พวกประมงน้ำจืดก็ทยอยกันขึ้นจากเรือที่เกยฝั่ง ท่ามกลางพงอ้อกอหญ้ารกทึบ สายลมพัดโชยมาเย็นชื่น ยิ่งได้สุราดวดดื่มเข้าไปก็ยิ่งคึกคักกันใหญ่
พวกเราแยกย้ายกันไปหาเหยื่อตามชายน้ำที่มีทั้งดงกก ไม้น้ำ และแอ่งเว้าๆ แหว่งๆ ตามกอหญ้า แสงไฟฉายวูบวาบที่นั่นที่นี่ ส่วนผมใช้ตะเกียงแก๊สส่องปลา..แสงมันใสปิ๊งอย่าบอกใครเชียว
นั่นไง! เหยื่อตัวแรกปรากฏอยู่ในแสงไฟใกล้พงหญ้าพอดี!
ผมค่อยๆ ย่องเข้าไปหาจู่ๆ สายลมก็พัดซ่าอยู่บนยอดไม้เล่นเอาผมหันขวับ..สรรพสิ่งดูเงียบเชียบน่าใจหาย มองไปไกลๆ ก็เห็นแต่ท้องทุ่งเวิ้งว้างอยู่ใต้แสงดาว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเรากำลังจะล่าเหยื่อตัวแรกอยู่นี่นา..
หันกลับไปมองให้แน่ใจ..โอ้โห! ไอ้ช่อนตัวเบ้งยังลอยอยู่กับที่เหมือนจะกำลังรอคมมีดที่เงื้อสูง แล้วฟันโครมลงไปทันที เสียงฉัวะ! ดังชัดหูซะไม่มีละ
จังหวะนั้นเอง ไอ้ช่อนตัวยาวใหญ่เกือบเท่าข้อศอกก็ดีดตัวผึงขึ้นมาลอยอยู่ในอากาศ ก่อนจะหล่นพลั่กลงบนพื้นดิน ดิ้นรนเถือกไถไปมา แต่ไม่ยักมีร่องรอยว่าโดนคมมีดแต่ประการใด
ไม่เป็นไรวะ ลองอีกที!
ผมเลียปากอย่างมันเขี้ยว ฟันปลาบนบกมันง่ายกว่าในน้ำเป็นไหนๆ เหยื่อตัวเบ้งเกล็ดดำเป็นมันวาวจนนึกถึงปลาช่อนแม่ลาเมืองสิงห์บุรี เขาว่าน้ำที่นั่นมีแร่ธาตุพิเศษที่ทำให้ปลาช่อนตัวใหญ่ เกล็ดดำ เนื้อแน่นหนึบ หวานอร่อยอย่าบอกใครเชียว..ผมเงื้อดาบฟันโครมลงไปโดยไม่ต้องกะเก็งให้เสียเวลา
"โอ๊ย!.." เสียงมีดกระทบตัวปลาจนกระเด้งขึ้นมา พร้อมๆ กับเสียงแหกปากร้องเหมือนเสียงคนยังไงยังงั้น เล่นเอาผมสะดุ้งโหยง..ปลาอะไรร้องเป็นเสียงคน?
ทั้งโกรธทั้งกลัวจนทำให้ผมฟันตูมลงไปอีกครั้ง สุดแรงพ่อแก้วแม่แก้วก็แล้วกัน
"โอ๊ย! เจ็บโว้ย.." เสียงร้องโหยหวนทำให้ผมยืนตะลึง ตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป เบิกตาโพลงมองดูไอ้ช่อนดิ้นกระเสือกกระสนหายเข้าไปในซุ้มไม้ที่สูงราวหน้าอก..หายลับไปจากแสงไฟเยือกเย็น
สายลมพัดกรูเกรียวเข้ามา ฟังเผินๆ เหมือนเสียงใครกำลังทอดถอนใจยาวด้วยความเหน็ดเหนื่อยเต็มประดา!
เอาละ! ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนี่นา สะกดใจไม่ให้เตลิดหนีเพราะเสียขวัญ เพราะเคยได้ยินพวกผู้ใหญ่เขาสอนว่า ถ้าตกใจวิ่งหนีละก็พวกภูตผีมันจะได้ใจ เข้าสิงสู่เล่นงานเอาย่ำแย่ถึงขนาดเป็นตายเท่ากัน
แข็งใจเข้าไปส่องไฟหาไอ้ช่อนเจ้ากรรมตัวนั้น มองแล้วมองเล่าแต่ก็ไม่พบเห็นแม้แต่เงา ทั้งๆ ที่มันไม่มีทางจะรอดพ้นจากสายตาของผมไปได้เลย
ให้ตายเถอะ! มันหายไปไหนกันล่ะ? ต่อหน้าต่อตาผมแท้ๆ
ในที่สุดก็ต้องยอมแพ้ หันกลับไปที่เรือพี่ล้วนอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เหงื่อชุ่มแผ่นหลัง..ปรากฏว่าพรรคพวกที่ไปด้วยกันก็ไม่ได้ปลาเลยแม้แต่คนเดียว มีทั้งไม่เห็นบ้าง มีทั้งเห็นก็ฟันไม่ถูกบ้าง..มารู้ทีหลังว่าที่นั่นเคยเป็นป่าช้าเก่าน่ะซีครับ! บรื๋ออออ..
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 21 มีนาคม 2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น