"สุชาดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสำนักงานร้าง
สมัยเด็กดิฉันอยู่ที่ห้วยขวาง ใกล้ๆ กับถนนสุทธิสาร ตรงปากทางเริ่มมีอู่รถแท็กซี่หลายอู่แล้วค่ะ ในซอยก็มีทั้งบ้านเรือนและตึกแถวร้านค้า ตอนกลางวันค่อนข้างเงียบเหงา แต่พอตกเย็นก็เริ่มมีผู้คนกลับจากทำงานเข้าซอยมาหนาตา
พวกหนุ่มๆ สาวๆ ออกมาเดินเล่นบ้าง จับกลุ่มคุยกันบ้าง พวกเด็กเล็กๆ ที่กลับจากโรงเรียนก็ออกวิ่งเล่นกันเกรียวกราว รถเข็นขายอาหารคาวหวานก็จะเริ่มทยอยเข้าซอยมาขายของตั้งแต่เย็นจนถึงมืดค่ำถึงจะซาลงไป
พวกคนงานหนุ่มๆ ที่มาก่อสร้างแถวนั้นชอบตั้งวงเหล้ากับพื้นถนน โดยเอาผ้าพลาสติกมาปูนั่ง กับพวกเล่นตะกร้อข้ามตาข่าย เขาขึงข้ามทางเลยค่ะ แต่พอมีรถจะแล่นผ่านก็ช่วยกันยกตาข่ายให้รถแล่นไปได้ อาศัยว่าในซอยมีรถเข้าออกน้อยก็เลยไม่มีปัญหาอะไร
ดิฉันกับเพื่อนวัยสิบขวบ 2-3 คนชอบวิ่งไปเล่นบ้านจุ๋ม เพื่อนที่มีสนามค่อนข้างกว้าง หมาและแมวก็น่ารัก มีกรงนกขุนทองช่างพูดใกล้ๆ ใต้ถุนบ้านส่วนที่ทำเป็นโรงรถ...ข้อสำคัญคือคุณย่าของจุ๋มมีขนมอร่อยๆ แจกเรา แม่จุ๋มก็ใจดีค่ะ
บางวันเรากินขนมเสร็จก็ข้ามฟากไปนั่งเล่นหมากเก็บกันที่บันไดเตี้ยๆ ของสำนักงานฝั่งตรงข้าม...
ที่นั่นเคยเป็นสนามหน้าบ้านของคุณตาคุณยายคู่หนึ่ง ลูกชายท่านปลูกสำนักงานชั้นเดียว รูปทรงสวยน่ารัก ดูเหมือนจะทำเป็นบริษัทจัดหางานนะคะ เคยเห็นคนแปลกหน้าเข้าๆ ออกๆ หนาตาแม้ว่าจะเป็นวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ก็ตาม
ไม่ช้าก็เลิกกิจการไป สำนักงานนั่นก็ปิดตาย แต่ยังมีคนแปลกหน้าวนเวียนมาหามาถามเพื่อนบ้าน บางคนไปกดออดเรียกที่ประตูบ้านใหญ่ก็มีค่ะ...ในที่สุดก็เงียบหายไป ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น? ลูกชายของบ้านใหญ่ที่เป็นผู้จัดการก็หายหน้าไป มีเสียงลือว่าไปอยู่ต่างจังหวัดบ้าง หลบหน้าไปอยู่ต่างประเทศบ้าง
สำนักงานที่เคยมีผู้คนเข้าออกคึกคักกลายเป็นความหลังไปแล้ว!
สีสันที่เคยสวยงามสดใสก็ดูหม่นหมอง ประตูหน้าต่างปิดเงียบ เถาไม้เลื้อยข้างรั้วดูหนาทึบ พงหญ้าก็รกรุงรัง...ตอนกลางวันยังดูเงียบเหงาน่าวังเวงใจ ยิ่งตกค่ำยิ่งมีแต่ความมืดทึบ มองเห็นก็น่าหวาดระแวงว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่เร้นลับซุกซ่อนอยู่ในความมืดและเงียบเชียบนั้น
พวกเราชอบพูดกันเล่นตามประสาเด็กว่า...ผีดุ!!
ตอนนั้นยังไม่มีใครโดนผีหลอกนะคะ เราจะหลบผู้ใหญ่ไปนั่งเล่นกันตอนเย็นๆ เท่านั้น พอตกค่ำพ่อแม่ก็ออกมาตามแล้วค่ะ
จนกระทั่งเย็นหนึ่ง ใกล้จะสิ้นปีอยู่แล้วก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้นมา...
เย็นนั้น เรานั่งเล่นกันอยู่ไม่นานแม่จุ๋มก็มาตามไปทำการบ้าน เหลือดิฉันกับกิ๊ฟผลัดกันเล่านิทานตามประสาเด็ก...อากาศค่อนข้างเย็น ผู้คนก็บางตา...จู่ๆ กิ๊ฟก็หยุดชะงัก เหลียวซ้ายแลขวา ทำหน้าตาตื่นๆ ดิฉันถามว่าเป็นอะไร? กิ๊ฟกลับย้อนถามว่า...เธอไม่ได้ยินเหรอ เสียงจากในนั้นน่ะ?
ดิฉันย่นคิ้วเงี่ยหูฟัง เกือบจะส่ายหน้าอยู่แล้วก็พอดีได้ยินเสียงอะไรกุกกักเหมือนมีใครเดินเบาๆ อยู่ในสำนักงานร้าง ครู่หนึ่งก็เงียบ หายไป
"ได้ยินหรือยังล่ะ?" กิ๊ฟถาม ทำตาโตอ้าปากนิดๆ ดูน่าตลก ดิฉันก็พยักหน้ารับ
"แต่มันเงียบไปแล้วนี่..." เสียงพูดขาดหาย เมื่อเสียงกุกกักเบาๆ นั่นมาดังขึ้นใกล้ๆ บันไดชั้นบนที่เรานั่งอยู่พอดี...เล่นเอาเราหันขวับไปมองเหมือนนัดกันไว้ ต่างคนต่างอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก ดิฉันเกือบจะลุกขึ้นยืนอยู่รอมร่อ พอดีมีเสียงแอ๊ดดด...ดังมาเข้าหู สะท้านสะเทือนไปถึงหัวอกหัวใจเลยค่ะ
ประตูเปิดออกช้าๆ ใบหน้าเล็กกลม ขาวผ่องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งวัยเดียวกับเราโผล่ออกมามองยิ้มๆ ถามว่า...เข้ามาเล่นด้วยกันไหมจ๊ะ?
ดิฉันรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวอย่างบอกไม่ถูก จ้องมองนัยน์ตากลมโต ดำขลับเหมือนหินใสๆ ที่มีพลังแปลกประ หลาด สะกดให้พร่ามึน เคลิบเคลิ้มจนไม่เป็นตัวของตัวเอง
"ไปซี่..." เสียงกิ๊ฟดังแว่วมากระทบหู "ไปเล่นที่ไหนล่ะ?"
"ตามฉันมาซีจ๊ะ..." ปากบางๆ ของเด็กหญิงที่ยืนอยู่หน้าประตูเผยอยิ้มนิดๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับ...ร่างในชุดเสื้อกระโปรงติดกันเดินนำหน้าเราเข้าไปในสำนักงานมืดสลัว แต่คล้ายกับจะมีแสงสว่างจากที่ใดที่หนึ่ง ทำให้ดิฉันมองเห็นโต๊ะทำงาน เก้าอี้และตู้ใส่เอกสารที่มีฝุ่นจับหนา ท่ามกลางอากาศเยือกเย็นจับใจ
"มาซีจ๊ะ ตามฉันมานะ..." เสียงนั้นเหมือนล่องลอยมาจากที่ไกลแสนไกล...ดิฉันก้มลงมองดูที่พื้นเบื้องหน้าเหมือนมีอะไรมาดลใจ...คุณพระช่วย! ต่ำจากชายกระโปรงลงมามองไม่เห็นอะไรเลย...เธอไม่มีขาหรอกค่ะ!
"กิ๊ฟ...อย่าไปนะ!" ดิฉันหยุดกึก ร้องบอกเพื่อนที่เดินตามมาเสียงสั่นๆ ทันใดนั้น เด็กแปลกหน้าก็หันขวับ นัยน์ตาลุกวาว ปากบางเฉียบขยายออกอย่างรวดเร็วก่อนจะอ้ากว้างมองเห็นสีดำปี๋เหมือนปากเหวน่าสยอง เสียงกิ๊ฟกรีดร้องใส่หูดิฉันจนสรรพสิ่งสะท้านเกรียวกราว
...คราวนี้ไม่รู้ว่าเสียงใครดังกว่ากัน เมื่อหันกลับวิ่งเตลิดไม่คิดชีวิตออกมาสู่ถนน ซอยที่เริ่มมีแสงสว่างจากเสาไฟฟ้า...พ่อแม่เรากำลังออกมาตามกลับบ้านพอดี
ทุกวันนี้สำนักงานร้างนั่นรื้อทิ้งไปแล้วค่ะ ไม่มีใครรู้ว่าผีเด็กนั่นมาจากไหน แต่พวกเราก็ไม่มีใครไปเล่นที่นั่นอีกเลยตั้งแต่วันนั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 20 มีนาคม 2551
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น