31 มีนาคม 2559

เลือดพยาบาท

"บัว" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากเวรกรรมของชายเจ้าชู้

นายเบน-เพื่อนของดิฉัน เมื่อก่อนเป็นหนุ่มมาดเท่ เจ้าชู้เจ้าเสน่ห์ซะเหลือเกิน เห็นแล้วมันน่าหมั่นไส้ แต่ทุกวันนี้ไม่รู้ว่าจะสงสารหรือสมน้ำหน้าดี เพราะพี่แกโดนผีตามจองล้างจองผลาญซะแทบไม่เป็นผู้เป็นคน!

ผีที่ว่านี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นผู้หญิงที่ฆ่าตัวตายเพราะความเจ้าชู้ของเขานั่นเอง! เรื่องราวมันเป็นอย่างนี้ค่ะ...

เบนเป็นลูกชายคนเดียวของผู้มีอันจะกิน เขาได้ไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนา ได้ปริญญาโทกลับมาทำงานด้านบริหารธุรกิจ อยู่กับบริษัทใหญ่โตแห่งหนึ่ง...ก็แห่งเดียวกับดิฉันล่ะค่ะ บอกตรงๆ ว่าตอนรู้จักกันใหม่ๆ นายเบนเคยเหล่ดิฉันอยู่เหมือนกัน แต่ไปๆ มาๆ ก็คิดตรงกันว่า...เป็นเพื่อนกันดีที่สุด

เราเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทสนม ขนาดมึงมาพาโวยกันได้อย่างไม่เคอะเขิน บางทีเราก็ไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์กันจนดึกดื่น ไปเป็นกลุ่มนะคะ ไม่ใช่ไปสองต่อสอง

แน่ละ! เบนมักจะมีสาวๆ หน้าตาสะสวยควงคู่มาด้วยเสมอ! มีสาวน้อยน่ารักอยู่คนหนึ่ง ที่ดิฉันเห็นว่าเบนมีทีท่าจะจริงจังด้วย เธอชื่อ "แก้ม" เป็นเด็กรุ่นน้องที่โรงเรียนเก่าของเบน เห็นไหมคะ เขาทั้งคู่รู้จักกันมาราว 7 ปีแล้ว ตอนนี้แก้มอายุ 25 ปีพอดี อ่อนกว่าเบน 3 ปี

ดิฉันเห็นเบนพาแก้มไปดูคอนโดมิเนียม แก้มเองก็มีความสุขมาก อย่างนี้จะให้เดาเป็นอื่นไปได้อย่างไรล่ะคะ? นอกจากทั้งคู่จะแต่งงาน ร่วมหอลงโรงกันเร็วๆ นี้!

ตอนเย็นๆ หลังเลิกงาน เบนมักจะไปรับแก้มจากที่ทำงานของเธอไปกินข้าวกันสองต่อสองบ้าง บางทีก็พามาเที่ยวกับพวกเราบ้าง แก้มน่ารักค่ะ แต่เบนบ่นว่าเธออารมณ์แรง แสนงอน ขี้น้อยใจ

กิจวัตรที่เบนทำเป็นประจำก็คือ จะพาแก้มไปเที่ยวจังหวัดใกล้ๆ ในวันเสาร์ อาทิตย์ สรุปว่าสวีตกันน่าดู และน่าจะมีข่าวดีเร็วๆ นี้

แต่แล้วเบนก็เปลี่ยนไป...มันกะทันหันซะจนเพื่อนๆ อย่างดิฉันก็งงไปหมด ผู้หญิงที่เขาพามากินมาเที่ยวกับเราไม่ใช่แก้มเสียแล้ว แต่กลายเป็นคนใหม่ ชื่อเดือน...และที่สำคัญ เขาบอกหน้าตาเฉยว่าเขาจะแต่งงานกับเดือน

ไม่ถามก็ต้องถามค่ะ ว่าแก้มล่ะ เลิกกันยังไง?

เบนหัวเราะหึๆ ไม่ยอมตอบ...แต่ดิฉันได้คำตอบค่ะเมื่อแก้มโทร.มาหา มาปรับทุกข์ว่า เดี๋ยวนี้เบนเย็นชากับเธอเหลือเกิน ที่เคยไปรับก็ไม่รับ ปล่อยให้เธอคอยเก้อโดยไม่บอกไม่กล่าว แถมหลบหน้าหลบตา โทร.ไปก็มีแต่ฝากข้อความ บางทีก็ปิดสายทิ้งซะงั้น!

ดิฉันฟังแล้วสงสารแก้มมาก ไม่กล้าบอกว่าเบนมีคนใหม่ ได้แต่ถามกลับไปว่ามีเรื่องอะไรกันหรือเปล่า? แก้มบอกว่าทางเธอปกติดี แต่อยู่ๆ เบนก็หลบหน้าหลบตา

ในที่สุดเบนก็แจกการ์ด ซึ่งแก้มน่ะน่าสงสารที่สุด เธอไม่รู้ระแคะระคายเลย จนกระทั่งมีใครคนหนึ่งบอกเธอว่าเบนจะแต่งงาน แก้มงงมาก แถมยังคิดว่าเป็นตัวเธอเองด้วยซ้ำ แต่เมื่อใครคนนั้นส่งการ์ดให้ดู ชื่อที่เคียงคู่กับชื่อเขาไม่ใช่ชื่อเธอ...และเบนไม่เคยได้ส่งการ์ดให้เธอ ไม่มีการบอกกล่าวแม้คำเดียว...เขาทำเหมือนเธอไม่มีตัวตน ไม่เคยรักกันมาก่อน...

ได้เลย! เมื่อเบนทำเช่นนี้กับเธอได้ลงคอ แก้มก็เสียใจสุดขีด เธอไม่รู้อีโหน่อีเหน่ก็ถูกเขาทิ้งอย่างใจร้าย แก้มผู้มีอารมณ์ร้อนไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง เธอหวังจะประชดและลงโทษให้เขาเสียใจ...เธอผูกคอตาย!!

ก่อนตาย เธอเอามีดโกนกรีดปลายนิ้ว เอาเลือดเขียนข้อความสั้นๆ ว่า "แก้มจะตามพี่เบนไปทุกที่"

เบนไม่กล้าแม้แต่จะไปงานศพของแก้ม เขากลัวญาติพี่น้องของเธอ และกลัวผีเธอมากๆ เลยด้วย เขาบอกกับดิฉันตรงๆ ดิฉันยังขอร้องเขาเลยว่า อย่างน้อยให้ไปกราบขออโหสิเธอก็ยังดี! แต่เบนไม่ยอมทำตามจนแล้วจนรอด

พอถึงกำหนดวันเผาศพของแก้ม เบนก็ถอนใจอย่างโล่งอก...

ทว่า หลังจากนั้นก็เริ่มมีสิ่งแปลกๆ เกิดขึ้นอย่างน่าตกใจ...นั่นคือ โทรศัพท์มือถือของเบนดังขึ้นบ่อยครั้ง แถมมันโชว์เบอร์ของแก้มขึ้นมาอย่างน่าพิศวง ราวกับมันเป็นกระบอกเสียงที่ร่ำร้องความยุติธรรมแทนเธอ!

เบนปิดมือถือ แต่เชื่อไหมคะว่ามันดังแผดขึ้นมาได้! แม้แต่ในตอนกลางดึก เบนเล่าให้ฟังว่าเขาไม่เป็นอันหลับอันนอนเลย ทรมานมากจริงๆ นอกจากนั้นเขายังมีอาการเหมือนคนประสาทหลอน เขาตาฝาดเห็นน้องแก้มอยู่ร่ำไป เธอแฝงตัวอยู่ในฝูงชนให้เบนเห็นเสมอ ทุกวันเลยเชียวละ

ยังไม่พอ เธอมาเข้าฝันเบนแทบทุกคืน มาในสภาพผีหัวขาดที่น่าสยองที่สุด บางคืนก็มาในลักษณะผีอำ...เธอมานั่งอยู่บนอกเขาเฉยเลย!

อย่างไรก็ตาม เบนแต่งงานกับเดือนตามกำหนดการ อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องนอนเตียงเดียวละ! แต่ขอโทษที เบนไม่มีความสุขเลยสักนิด เขาเล่าให้เพื่อนๆ ขนหัวลุกว่า...บางทีเขาหันไปเห็นเดือนกลายเป็นแก้มนอนอยู่ข้างๆ

เบนทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งเสียใจ น้อยใจจนฆ่าตัวตาย ทุกวันนี้เขาก็หวาดผวาเพราะกลัวผีเธอตลอดเวลา แก้มตามเบนไปทุกที่จริงอย่างที่เธอเอาเลือดเขียนไว้ก่อนตาย...เบนคร่ำครวญว่า ไม่รู้เมื่อไหร่มันจะจบสิ้นเสียที?

ดิฉันฟังแล้วก็ได้แต่ถอนใจ เบนผิดเองจริงๆ นี่คะ ไปทำให้เธอช้ำใจขนาดนั้น แต่ที่น่าสงสารมากที่สุด ดิฉันคิดว่าก็คือแก้มนั่นแหละ...ดิฉันภาวนาให้เธออโหสิเขา และไปสู่สุคติอย่าเป็นเวรเป็นกรรมกับผู้ชายแบบนี้เลย! 

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 31 มีนาคม 2551

28 มีนาคม 2559

มอเตอร์ไซค์สยอง

"ลูกปลา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอโศก-ดินแดง

เรื่องภูตผีปีศาจเป็นสิ่งที่ถกเถียงกันมาช้านานแล้วว่ามีจริงหรือไม่? แม้ว่าปัจจุบันนี้โลกเราจะก้าวเข้าสู่ความเจริญทางวัตถุสุดขีด ชนิดที่คนสมัยก่อนมาเห็นเข้าแทบจะไม่ยอมเชื่อสายตาตัวเอง หรือไม่ก็ช็อกตายไปแล้ว

แต่ความเชื่อถือในสิ่งเร้นลับต่างๆ ที่ยังพิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ ก็ยังไม่หมดสิ้นไปจากจิตใจผู้คนส่วนมากหรอกค่ะ..โดยเฉพาะเรื่องผี หรือวิญญาณ!

มีผู้กล่าวว่า พลังจิตของคนเรามีอำนาจแรงกล้าเพียงใด พลังของวิญญาณก็มีฤทธิ์เดชแรงกล้าเพียงนั้น โดยเฉพาะวิญญาณที่เจ็บปวด ทนทุกข์ทรมาน หรือเคียดแค้น อาฆาตมาดร้ายอย่างรุนแรงก่อนที่ชีวิตจะหลุดลอยออกจากร่าง ก็ย่อมจะมีอำนาจเพิ่มขึ้นจนน่าขนพอสยองเกล้าเกินกว่าจินตนาการได้

ดิฉันมีประสบการณ์น่าขนหัวลุกเรื่องวิญญาณผีตายโหงมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

สมัยเด็กดิฉันอยู่กับพ่อแม่ที่ดินแดงนี่เอง ย่านนั้นมีตึกรามบ้านเรือนคับคั่ง ถ้าจะมีอะไรก็น่ากลัวก็คือคนร้าย เพราะมีคนแปลกหน้ามากมายที่เราไม่รู้จัก มาจากที่ไหนบ้างก็ไม่มีทางรู้หรอกนะคะ..มีเรื่องฉกชิงวิ่งราวและลักทรัพย์ ประเภทตัดช่องย่องเบามีทั้งนั้น อยู่ที่ว่าใครจะระมัดระวัง ไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาทแค่ไหน..

แต่ก็อุตส่าห์มีคนเล่าว่าผีดุค่ะ! ตั้งแต่สามเหลี่ยมดินแดง โบสถ์แม่พระ ไม่ถึงถนนรัชดาภิเษก ล้วนแต่ผีดุทั้งนั้น

ถนนรัชดา หรือที่เราเรียกกันว่าถนนตัดใหม่ สมัยนั้นรถรายังไม่คับคั่งนัก ทำให้เร่งความเร็วกันเต็มที่ อุบัติเหตุก็พลอยเกิดขึ้นบ่อยครั้ง แต่ละครั้งก็มักจะรุนแรงตามความเร็ว จนบาดเจ็บล้มตายกันมาก เห็นในข่าวทีวีแล้วน่าสยองที่สุด

แถวถนนใหญ่ปากซอยก็มีรถชนกันบ่อยๆ ค่ะ ส่วนมากมักเป็นมอเตอร์ไซค์ที่แล่นพรวดพราดออกไป รถทางตรงเบรกไม่ทันก็ชนโครม เขาว่ากระเด็นหวือไปไกลเหมือนเหาะได้..ตกลงมาตายคาที่ คนที่เคราะห์ร้ายเกิดอุบัติเหตุรุนแรงจนเสียชีวิต ส่วนใหญ่ก็เป็นคนในย่านนั้นแหละค่ะ มีทั้งวัยรุ่นและคนเมาที่ซิ่งรถตอนมืดค่ำจนถึงดึกๆ ดื่นๆ เพราะกฎหมายยังไม่เข้มงวดเรื่อง "เมาไม่ขับ" เหมือนสมัยนี้นี่คะ

เขาว่าผีดุๆ ก็เพราะมีคนโดนผีหลอกบ่อยๆ แถวหน้าบ้านเรานี่เอง!

ก่อนนั้นดิฉันก็ได้ยินแต่เขาเล่าว่า! ยังไม่เคยรู้จักคนที่ตายแล้วกลายมาเป็นผีที่คอยหลอกหลอนคนแถวนั้น จนกระทั่งรายล่าสุดชื่อพี่โจ้ เรียนอาชีวะปีสุดท้าย ได้ข่าวว่าชอบไปซิ่งรถกับเขาคืนวันศุกร์วันเสาร์เป็นประจำ

วันหนึ่งก็ได้ข่าวว่าเกิดอุบัติเหตุที่ปากซอยบ้าน พี่โจ้บึ่งรถจากถนนซูเปอร์ไฮเวย์เลี้ยวซ้ายมา..รถกระบะคันหนึ่งโผล่พรวดออกจากซอย พี่โจ้คงเบรกไม่ทันหรือหลบไม่พ้น ชนโครมครามดังเหมือนฟ้าผ่า รถกระบะคันนั้นก็เร่งความเร็วหลบหนีไปโดยไม่ยอมลงมาช่วยเหลือ

พี่โจ้คอหัก กะโหลกแตก กระดูกแทบจะหักป่นไปทั้งตัว!

ไม่ช้าก็ลือกันกระหึ่มว่าวิญญาณผีตายโหงเฮี้ยนหนัก เพราะจิตใจคงหมกมุ่นแต่จะกลับบ้าน วิญญาณไม่ยอมรับว่าตัวเองไม่มีร่างกายอีกแล้ว แต่กลายเป็นพลังลี้ลับแต่น่าสยดสยองสิ้นดีสำหรับผู้พบเห็น..พี่โจ้ยังคิดแต่จะมุ่งหน้ากลับบ้านอยู่เลยค่ะ!!

ตาเมินกับลุงเอียด คอเหล้าขาประจำร้านกลางซอย เล่าว่ากำลังนั่งคุยโม้กันอยู่หน้าร้านราวสามทุ่มกว่าๆ คิดว่าหมดแก้วก็จะให้คิดเงินอยู่แล้ว พอดีได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ดังแว่วมาจากปากซอย..รู้สึกเสียงคุ้นหูยังไงชอบกลก็เลยหันไปมองพร้อมๆ กัน

ภาพที่เห็นทำให้นั่งตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป ปากอ้าค้าง ใบหน้าชาเห่อจนไม่รู้สึกรู้สา แต่ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว

นั่นคือ..พี่โจ้กำลังนั่งคร่อมมอเตอร์ไซค์ขับผ่านไปช้าๆ เหมือนภาพสโลว์โมชั่น..ครั้นได้สติ ตาเมินกับลุงเอียดก็กระโดดผลุง แผดร้องจนอาโกเจ้าของร้านหันขวับมามอง พอได้ยินเสียงร้องซ้ำๆ ซากๆ ว่า..ผีไอ้โจ้ๆๆ อาโกก็พลอยเข่าอ่อนไปอีกคน

ป้านวลกับลูกสาวชื่อพี่หน่อยไปงานสวดศพญาติ ขากลับอุตส่าห์นั่งตุ๊กตุ๊ก มาก็ไม่วายเจอภาพสยองขวัญเข้าจนได้

เพิ่งจะเข้าซอยมาหยกๆ ได้ยินรถมอเตอร์ไซค์ข้างหลังดังกระหึ่ม พอหันไปมองก็เห็นพี่โจ้เร่งรถมาประกบ..หันมามองช้าๆ จนเห็นใบหน้าแหลกยับชัดเจนอยู่ในแสงไฟเยือกเย็นเล่นเอาสองป้าหลานร้องวี้ดว้าย ผวากอดกันกลม..พี่หน่อยถึงกับร้องไห้โฮออกมาอย่างสุดกลั้น

ดิฉันเองก็ประสบกับภาพสยองยิ่งกว่านั้นอีกค่ะ

คืนเกิดเหตุไม่ทราบว่านอนไม่หลับเพราะอะไรแน่? อาจจะได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซค์แล่นผ่านไปตอนดึกๆ จนสะดุ้งตื่นก็ได้..ตอนนั้นยังแยกไม่ออก หรือจำไม่ได้หรอกว่าเสียงรถของใคร แต่ที่แน่ๆ คือไม่กล้าลุกไปดู

เขาว่าคนจะโดนผีหลอกน่ะทำยังไงก็หนีไม่พ้น..คืนนั้น เราดูทีวีกันที่ห้องรับแขกชั้นล่างจนถึงสี่ทุ่มกว่า รุ่งขึ้นเป็นวันเสาร์ไม่ต้องรีบตื่นไปโรงเรียน แต่ดิฉันเกิดง่วงนอนขึ้นมาเลยขึ้นไปนอนก่อน..ตอนนั้นเองที่ได้ยินเสียงรถแล่นเข้าซอยมา ไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจให้เดินไปมองทางหน้าต่าง

ภาพที่เห็นในแสงไฟคือ..มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งเล่นช้าๆ ผ่านไป ไม่ใช่พี่โจ้..ไม่ใช่ใครทั้งนั้น..แต่เป็นรถว่างเปล่าที่แล่นไปได้โดยไม่มีคนขับ!

ดิฉันกรีดร้องแทบบ้านแตก พ่อแม่วิ่งโครมครามขึ้นมา ดิฉันพูดอะไรไม่ออกได้แต่ชี้มือไปที่ถนน รถอุบาทว์คันนั้นค่อยๆ ลับตาไปอย่างเชื่องช้า..นึกถึงภาพรถมอเตอร์ไซค์ที่ไม่มีคนขับแต่แล่นผ่านไปในแสงไฟเยือกเย็นแล้วยังขนหัวลุกอยู่เลยค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 28 มีนาคม 2551

27 มีนาคม 2559

เปรตที่ปากน้ำ

"คนเก่า" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากแม่กลอง

ถึงแม้ว่าจะเป็นรุ่นเก่าแต่ก็ยังไม่ถึงกับแก่ อายุเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้นนะครับ อย่าไปคิดอะไรมาก นักกีฬาทีมชาติบางท่านอายุตั้ง 55-56 ปีแล้ว มาออกทีวีเห็นแล้วยังตกใจ...ขนาดท่านอาวุโสกว่าผมเกือบ 10 ปียังดูหนุ่มกว่าผมซะด้วยซ้ำไป!

กินอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนนอนหลับอย่างพอเพียง ออกกำลังกายเช้า-เย็น วันละไม่ต่ำกว่า 1 ชั่วโมง จนกว่าเหงื่อจะซึมแผ่นหลัง ร่างกายหลั่งสารเอนโดฟีน-หรือ "สารแห่งความสุข" ออกมา

อย่าสูบบุหรี่ เพราะควันพิษทำให้เกิดโรคร้ายได้เป็นร้อย! อย่าดื่มสุรา...แอลกอฮอล์วันละ 1-2 แก้ว อาจจะช่วยให้หัวใจสูบฉีดเลือดได้ดี เกิดความกระปรี้กระเปร่า หลายๆ คนเชื่อว่าเป็นยาบำรุงหัวใจ แต่ผมว่าอย่าไปข้องแวะกับน้ำเมาดีกว่า เพราะดื่มเข้าไปแก้วสองแก้วแล้วมักจะติดลม เตลิดไปเป็นกั๊กเป็นแบน หรือกลายเป็นกลมได้ง่ายๆ

อย่างน้อยที่สุด แอลกอฮอล์ก็จะไปสะกดต่อมสามัญสำนึก หรือความรู้สึกผิดชอบให้หยุดทำงาน ที่ว่ากินเหล้าแล้วไม่อายก็เพราะพิษสงของไอ้ต่อมนี้เอง!

ข้อสำคัญ วงการแพทย์ได้พิสูจน์แล้วว่า แอลกอฮอล์จะทำให้มองเห็นคู่สนทนาเป็นคนมีเสน่ห์เกินความจริง พูดจาสนุกสนานรื่นเริงจนทำให้หลงเสน่ห์ได้ง่ายๆ ชนิดผู้ชายดื่มเหล้าก็มองเห็นผู้หญิงสวย ถ้าเป็นผู้หญิงก็เห็นหนุ่มหรือแก่กลายเป็นคนเสน่ห์แรง...ปิ้งไปหมด!

แฮ่ะ...ขอใช้ศัพท์วัยรุ่นหน่อยเถอะครับ เดี๋ยวจะหาว่าผมแก่เฒ่าหงำเหงือกจนตกรุ่นเรียบร้อยไปแล้ว...มาถึงปีนี้ เด็กแว้น, เด็กสก๊อย กำลังฮิต...แถวบ้านผมตลิ่งชัน บางบัวทอง ถนนบรมราชชนนีน่ะ เกือบทุกศุกร์เสาร์เพื่อนเล่นบรื้นๆ กันมาเป็นร้อย มีสาวซ้อนท้าย เคยพนันขันต่อกันธรรมดาๆ เดี๋ยวนี้ก้าวหน้ามา "กินหมู่" กับ "กินรถ" กันแล้ว

พูดแล้วทำให้ผมนึกถึงตัวเองสมัยวัยรุ่น ยอมรับว่าแสบสันต์ตามยุคตามสมัยพอๆ กับสมัยนี้แหละน่า แต่ไม่ถึงกับยกโขยงมายึดถนนแข่งมฤตยู หนวกหูชาวบ้าน จนเขาแช่งชักหักกระดูกไปถึงพ่อถึงแม่โน่นแน่ะ

ตอนนั้นผมยังอยู่บางบอนครับ เคยเล่ามาแล้วว่าสมัยก่อนยังเปล่าเปลี่ยวน่ากลัวเพิ่งจะสร้างถนนขึ้นหยกๆ คนมีเงินเริ่มซื้อรถเก๋งรถกระบะออกมาฉุยฉายใช้สอยกันหนาตาขึ้นทุกที ใครค้าขายก็ได้รถนี่แหละช่วยให้เดินทางไปซื้อขายได้สะดวกง่ายดายยิ่งกว่าเดิม

พูดก็พูดเถอะ คำว่ารถยนต์นี่ยังเป็นเสน่ห์ของผู้ชาย เป็นแม่แรงดึงดูดผู้หญิงให้เข้ามาหาได้ทุกยุคทุกสมัย...ผมเองยังวัยรุ่นที่เที่ยวเตร่ไปวันๆ ไม่มีปัญญาซื้อรถเก๋งหรือรถกระบะกับเขาหรอกครับ แต่ก็ได้อาศัยขึ้นรถไปเที่ยวกับพี่ล้วนแกบ่อยๆ

รายนี้รูปหล่อพ่อรวย แถมจีบผู้หญิงเก่งอีกต่างหาก!

มีแฟนอยู่ที่บางบอน 2-3 คนยังไม่พอ ไปได้แฟนคนใหม่ถึงปากน้ำแม่กลองโน่นแน่ะ....ผมติดรถแกไปซื้อของสวนมาขายส่งมั่ง ไปเที่ยวหาน้ำตาลกินมั่ง จะเมามายแค่ไหนไม่ต้องห่วง เพราะพี่ล้วนคอแข็งใจแข็ง แม้ว่าจะเป็น "ขาหญิง-ขาเมา" แต่นิสัยใจคอออกลูกนักเลงได้การ

คืนนั้นเราไปบ้านเมียใหม่พี่ล้วนโดยไม่ได้ตั้งใจ...เพราะความเมาแท้ๆ ที่ทำให้เราไปซื้อของที่นครปฐม แล้วแวะหาอะไรกินกันคนละแบนใหญ่ จะออกรถมุ่งหน้าไปปากน้ำแม่กลองยังอุตส่าห์ซื้อติดรถไปอีกต่างหาก

ท้องฟ้าสะพรั่งไปด้วยดวงดาวเมื่อเราไปจอดรถอยู่ใกล้ๆ วัดประจันตคาม ต้นไม้ใหญ่น้อยยืนต้นทะมึนขึ้นไปบนฟ้า สายลมพัดโชยมาเยือกเย็น สรรพสิ่งเต็มไปด้วยความเงียบเชียบ...มองเห็นเจดีย์สีคล้ำเสียดยอดอยู่ใกล้กำแพงวัด ผมรู้สึกเยือกเย็นอยู่ในหัวใจอย่างบอกไม่ถูก พิษเหล้าก็ดูเหมือนจะหายไปเกือบหมดสิ้น

หยิบขวดใหม่มาเปิดฝา แหงนหน้ากรอกเหล้าลงคอพลั่กๆ เพื่อเติมความหาญกล้าให้ตัวเองซักเล็กน้อย...ขณะที่ใช้หลังมือปาดเหล้าที่มุมปากก็พอดีมองเห็นภาพนั้นเข้าเต็มตา...

นั่นคือ ตาลดำๆ สองต้นกำลังโยกโยกไปมา ท่าทางเหมือนเป็นขาที่กำลังจะก้าวเดินอย่างนั้นแหละ แว่วเสียงวี้ดๆๆ มาพร้อมกับสายลมด้วย พอดีพี่ล้วนดับเครื่องยนต์ เอื้อมมือมาขอเหล้าบ้าง..แกยกขึ้นเทใส่ปากหลายอึกก่อนจะส่งคืนผม

"รออยู่นี่นะโว้ย เดี๋ยวกูมา" ว่าแล้วก็ผลักประตูรถออกเดินดุ่มๆ มาสู่สะพานข้ามคลอง บ้านเมียคนใหม่คือจุดหมายปลายทาง พักใหญ่ก็หายลับไปจากสายตา

ผมกระเดือกน้ำลาย เหลียวซ้ายแลขวา...นึกแช่งชักตัวเองที่ไม่ยอมเมาซักที...ไม่ช้าก็หันไปเจอภาพสยองเข้าเต็มเปา!

นั่นคือร่างของอมนุษย์สูงลิบลิ่วราวต้นตาล เดินโยกเยกเข้ามาหาช้าๆ พลางส่งเสียงวี้ดๆๆ ไปด้วย มือทั้งสองข้างใหญ่เท่าใบลานเพราะบาปกรรมที่เคยทุบตีพ่อแม่ในชาติก่อน มัน "ซาวมือ" เข้ามาหาผมดังแกรกๆ จนผมสั่นเทิ้มไปทั้งตัว หลับหูหลับตากรอกเหล้าลงคอชนิดไม่ยับยั้ง หมาเจ้ากรรมก็ดันหอนโจ๋วขึ้นมาดังบาดใจชะมัด

กาลเวลาเหมือนหยุดนิ่งอยู่กับที่จนผมแทบจะคลั่งใจตาย!

"โอ๊ย! เมื่อไหร่จะมาซักทีโว้ย?" ผมร้องตะโกนด้วยความอัดอั้น ครู่ใหญ่ๆ ก็เห็นพี่ล้วนเดินจ้ำเข้ามาหา พอขึ้นรถก็หันมาขอเหล้าผมอีก...คราวนี้กดพรวดเดียวหมดขวด กว่าจะขับรถออกไปได้

"ไม่รู้ว่าเมียกูนึกยังไง" แกโพล่งออกมา "บอกว่าให้ระวังตัวหน่อย แถวนี้มีเปรตด้วยว่ะ...ขำตายละ!"

ผมพูดอะไรไม่ออกเหมือนมีอะไรมาจุกลำคอ หันไปมองข้างหลังโดยไม่ตั้งใจ...ภาพอสุรกายสูงโย่งเย่งส่งเสียงวี้ดๆๆ ขอส่วนบุญค่อยๆ ห่างออกไปทุกทีจนกระทั่งลับตา!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 27 มีนาคม 2551

26 มีนาคม 2559

ชัตเตอร์สยอง

"โอ๊ค" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อถ่ายรูปผีตายโหง

เรื่อง "ชัตเตอร์กดติดวิญญาณ" กำลังดัง ขนาดฝรั่งฮอลลีวู้ดซื้อลิขสิทธิ์ไปทำหนังใหม่เวอร์ชั่นใหม่เป็นเงินถึง 38 ล้านบาท เข้าใจว่าจะตกลงซื้อขายกันเมื่อ 3-4 ปีก่อน ตอนที่เงินบาทยังอ่อนอยู่ในราว 38 บาทต่อ 1 ยูเอสดอลลาร์ กำหนดฉายเขย่าขวัญประชาชนไปทั่วโลกภายในปีนี้แหละครับ

ตอนที่เป็นหนังไทยน่ะ ผมก็ว่าน่ากลัวจนจับจิตจับใจแล้วเชียวนา คนทำหนังเขาเก่ง ข้อสำคัญก็คือ...เรื่องราวน่าขนหัวลุกทำนองนี้ ผมได้ประสบพบเจอกับตัวเองมาแล้ว!

หลายปีก่อนโน้น ผมยังเป็นนักศึกษาสาขาสื่อสารมวลชน หรือที่เรียกกันสมัยนี้ว่านิเทศศาสตร์นั่นแหละครับ หนึ่งในวิชาที่ต้องเรียกก็คือ การถ่ายภาพ!

วิชานี้ผมชอบเป็นชีวิตจิตใจ ขนาดลงทุนซื้อกล้องอย่างดี แล้วท่องเที่ยวไปตามสถานที่ต่างๆเพื่อเก็บรูปวิวทิวทัศน์สวยๆ บางทีก็ถ่ายรูปนก ผีเสื้อ ดอกไม้ ที่สำคัญเราต้องถ่ายรูปบุคคลให้ดูดี มีสาระ และผมก็ทำได้คะแนนเต็มแน่ะ กลายเป็นศิษย์คนโปรดของอาจารย์ไปเลยครับ

ผมกับอาจารย์สนิทกันมากขึ้น เพราะผมมักจะไปถามเทคนิคจากท่าน แล้วก็นำมาทดลองกับกล้องคู่ใจ เอาผลงานไปให้ท่านดูเพื่อรับคำติชม จะไปพัฒนาฝีมือได้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ

จวบจนทุกวันนี้ผมยังไปมาหาสู่ท่านอยู่ และงานถ่ายรูปก็เป็นงานอดิเรกของผม

สมัยที่ยังเป็นนักศึกษา ตระเวนหาวิวถ่ายภาพไปนั้น ผมกับเพื่อนสนุกกันมาก มันเป็นการได้ท่องเที่ยวไปในตัวครับ เราไปตามสถานที่เช่น น้ำตก ทะเล ป่า เขา...

เรื่องหนึ่งที่เรามักจะพูดล้อเล่นกันเสมอก็คือ...เวลาไปถ่ายรูปตามสถานที่แปลกๆ เราจะเสียวไส้ กลัวติดอะไรเข้ามาในภาพด้วย!

สาเหตุมันมีมาแล้วครับ...

อาของเพื่อนผมถ่ายรูปในงานศพญาติ แล้วก็ติดภาพวิญญาณของผู้ตายมาอย่างน่าอัศจรรย์ที่สุด จากนั้นมา พวกเราก็สนใจเรื่องนี้...ไม่ใช่สนใจจนตามล่าถ่ายภาพผีนะครับ แต่เราชอบอ่าน ชอบดูเรื่องราวเหล่านี้ และคิดว่า...ถ้าเราถ่ายผีติดมามันคงตื่นเต้นน่าดู

แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องจนได้ เรื่องนี้เกิดกับเหน่ง - เพื่อนรักผมเอง!

วันนั้นเหน่งนั่งรถเมล์กลับบ้าน ระหว่างทางเจอกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นข้างถนน คือ มีผู้หญิงคนหนึ่งถูกรถชนตายคาที่เลยครับ เธอขี่มอเตอร์ไซค์มาคนเดียวแล้วโดนรถทัวร์พุ่งทับ...สภาพศพน่ากลัวจนบอกไม่ถูก เจ้าเหน่งนึกยังไงไม่ทราบได้...มันซูมเข้าไปเต็มหน้าแล้วกดชัตเตอร์เก็บภาพมา

เฮ้อ...เจ้าเหน่งนี่มันพิเรนทร์นะครับ ที่จริงมันถ่ายรูปศพนั้นมารูปเดียวแหละ แต่มันน่ากลัวเหลือจะกล่าว...หญิงสาวที่เคยสวยโดนล้อขนาดมหึมาทับศีรษะจนแตกเหมือนแตงโมผ่าซีก เลือดและมันสมองกระจาย ดวงตาหลุดเละ เลือดทะลักทลายออกมาทางปากและจมูก

ตั้งแต่นั้นมา กล้องของเจ้าเหน่งกลายเป็นกล้องสยอง มันมักจะถ่ายรูปติดอะไรแปลกๆ เข้ามาเสมอ!

เช่น ถ้าถ่ายพวกเรากำลังตั้งวงเล่นดนตรีกัน ก็จะมีเงาคล้ายผู้หญิงปรากฏอยู่ด้วย บางทีเจ้าเหน่งให้เพื่อนใช้กล้องนี้ถ่ายรูปมัน พอล้างฟิล์มออกมาก็จะมีผู้หญิงลึกลับมาแสดงตัวให้เห็น...เดินอยู่ด้านหลังบ้าง ชะโงกหน้าออกมาจากพุ่มไม้ข้างๆ บ้าง...ใบหน้านั้นเลอะเลือน พร่ามัวเหมือนหลุดโฟกัสหรือมีหมอกบัง แต่ดูแล้วมันก็เป็นผู้หญิง...

และเป็นผู้หญิงคนเดียวกันหมดเลยด้วย!!

เราเอาภาพต่างๆ มาวางเรียงบนโต๊ะ แล้วช่วยกันพินิจพิเคราะห์ ผมยอมรับเลยว่า ขนลุกซู่ หนาวเยือกไปทั้งตัว

ผมบอกให้เหน่งเอาภาพศพที่มันถ่ายไว้มาเทียบกันดูซิ! พอเหน่งทำตามพวกเรา ต่างก็อ้าปากค้าง เถียงไม่ออกเลยครับว่าเป็นคนเดียวกันจริงๆ ลักษณะคือผมยาวตรงใบหน้าที่แท้จริงจะเป็นอย่างไรไม่ทราบ แต่ชุดที่สวมใส่ก็ใช่เลย

นี่แสดงว่า เธอมาปรากฏตัวในภาพถ่ายของเจ้าเหน่ง หลังจากที่เธอตายไปแล้ว อย่างน่าสยดสยอง และนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เสียแล้ว เจ้าเหน่งหน้าซีดจ๋อยไปเลย...มันเพิ่งแน่ใจว่าถูกผีตามอยู่ตลอดเวลา...ผีหญิงสาวที่ตายโหง!

ทำยังไงดีล่ะ? เราช่วยกันคิด แล้วเพื่อนคนหนึ่งก็เสนอให้เผารูป เผาฟิล์มทิ้งแล้วทำบุญ ขอขมาศพนั้นซะ

จากนั้น วันรุ่งขึ้น พวกเราก็นัดกันไปหาพระที่วัดใกล้บ้าน (วัดอินทรวิหาร) เล่าเรื่องแปลกประหลาดและน่าขนหัวลุกให้ท่านฟัง ท่านก็เลยช่วยสวดมนต์ส่งวิญญาณให้หญิงสาวนั้นไปสู่สุคติ

นับแต่นั้น เจ้าเหน่งไม่แตะกล้องอีกเลย!

มันขายต่อลูกๆ และเลิกถ่ายรูป คงจะเข็ดไปนาน ส่วนเพื่อนคนอื่นๆ ก็เช่นกัน ต่างคนต่างเลิกเพราะไม่ได้มีใจรักวิชาถ่ายภาพอย่างผม บางคนอาจจะเบื่อหน่ายก็ได้ แต่ฉวยโอกาสยกเอาเรื่องกลัวผีมาบังหน้าซะงั้น

ส่วนผมรู้สึกเฉยๆ กับเรื่องเหล่านี้ ยังคงมีความสุขกับการถ่ายรูป และไม่เคยเจอเรื่องราวสยองขวัญแบบเรื่องกล้องเจ้าเหน่งอีกเลยครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 26 มีนาคม 2551

25 มีนาคม 2559

คุณยายยังอยู่!

"ภรณี" เล่าเรื่องขนหัวลุกเมื่อวิญญาณคุณยายมาปกป้องหลาน

วันที่ 5 กันยายน เป็นวันสำคัญในชีวิตของดิฉัน เพราะเป็นวันที่คุณยาย-ซึ่งดิฉันรักที่สุดในโลกได้ลาจากไปตลอดกาล...

เอ๊ะ! ไม่ใช่ซิคะ ดิฉันพูดผิด! ขอพูดใหม่นะคะ...คุณยายละสังขารไปเท่านั้นต่างหาก ที่จริงคุณยายยังอยู่กับดิฉันเสมอ แม้ไม่มีร่างกาย แต่ท่านก็ยังคุ้มครองดิฉันตลอดมา...คุณเชื่อไหมล่ะคะ?

ตอนนั้นดิฉันอายุ 15 ปีเท่านั้นเอง ถ้านับถึงตอนนี้ก็ 35 ปีแล้วค่ะ คุณอาจจะสงสัยว่านานขนาดนี้ท่านอยู่ทำไม? ไม่ไปผุดไปเกิด?

เอ...เรื่องนี้ก็พูดยากนะคะ!

โบราณท่านว่า เวลาในเมืองสวรรค์กับโลกมนุษย์เรานั้นไม่เท่ากันหรอก เวลาร้อยปีของเราอาจจะแค่วันเดียวของท่าน! คุณคงเคยได้ยินมาบ้างนะคะ ดังนั้น คิดๆ ไปแล้วดิฉันก็อบอุ่นใจนักหนา คุณยายยังอยู่ใกล้ๆ คอยปกป้องดูแลดิฉันและลูกๆ ซึ่งก็คือเหลนของท่าน

เมื่อ 16 ปีก่อน ลูกต้นของดิฉันอายุ 4 ขวบ กำลังซนน่าดูเลย และดิฉันก็เพิ่งคลอดลูกต๊อบออกมาได้แค่ 3 เดือน ฉะนั้นเราก็จำเป็นต้องมีพี่เลี้ยงเด็กมาช่วยดูแลน้องต้น

เดิมทีดิฉันมีอ้วนเป็นสาวใช้ คอยช่วยซักผ้าอ้อม จ่ายกับข้าว และทำกับข้าวในบางครั้ง เธอนิสัยดี ขยันขันแข็ง พอดิฉันต้องการเด็กใหม่อีกสักคน อ้วนก็เสนอ "ขวัญเรือน" น้องสาวแท้ๆ ของเธอมาให้พิจารณา

แหม! คนใช้ที่เราไว้ใจได้น่ะหายากออกจะตาย ดิฉันยังนึกดีใจที่ได้ขวัญเรือนมาอยู่ด้วยอีกคน หวังว่าเธอคงน่ารักเหมือนพี่สาวของเธอน่ะค่ะ!

ขวัญเรือนอายุยังไม่เต็ม 17 เลย เธออยู่บ้านทำนา เลี้ยงวัวเลี้ยงควาย เธออยากมากรุงเทพฯตั้งนานแล้วค่ะ

เด็กสาวอวบท้วมตัวเตี้ยคนนี้ค่อนข้างขี้อาย เธอเงียบๆ ไม่ค่อยพูดเหมือนพี่สาว...เมื่ออยู่นานๆ เข้าดิฉันก็สังเกตว่าเธอเป็นคนขี้หงุดหงิด มันทำให้น่าหนักใจอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ขวัญเรือนทำหน้าที่ดูแลน้องต้นได้ดีพอใช้

อีกอย่างหนึ่ง น้องต้นช่วยเหลือตัวเองได้ดีทีเดียว ทั้งเรื่องกินข้าวเอง อาบน้ำเอง เสียอย่างเดียวที่แกซน และบางทีก็ดื้อตามประสาเด็ก

ดิฉันแอบเห็นว่าเมื่อขวัญเรือนหงุดหงิด อ้วนจะรีบเปลี่ยนหน้าที่กันทันที คืออ้วนจะวางมือจากงานบ้านมาดูน้องต้น ส่วนขวัญเรือนก็ไปทำงานบ้านแทน

แต่แล้ววันหนึ่งก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้!

วันนั้นเป็นตอนบ่ายสี่โมงกว่าๆ น้องต้นกลับจากโรงเรียน อาบน้ำอาบท่าแล้วขี่จักรยานเล่น ดิฉันได้ยินขวัญเรือนเรียกให้น้องต้นทำการบ้าน ซึ่งไม่เป็นผลสำเร็จ ต้นจะขี่จักรยาน ไม่อยากทำการบ้าน ขวัญเรือนมีท่าโมโหขึ้นมาเพราะต้นมักจะทำการบ้านเสร็จช้า...กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไปสามทุ่ม บางวันก็ง่วงและงอแง ดิฉันเป็นแม่ยังเอาไม่อยู่

ขวัญเรือนพยายามให้ต้นทำการบ้านตั้งแต่สี่โมงครึ่งจนเกือบหกโมงเย็น เธอคงเหนื่อยและอารมณ์เสียอย่างแรง...

ทันใดนั้น เสียงต้นก็ร้องหวีดแหลมอย่างเจ็บปวด แกวิ่งน้ำตานองหน้ามาหาดิฉันและเปิดเสื้อให้ดูที่หน้าอก!

เนื้ออ่อนๆ ขาวๆ ปรากฏเป็นรอยเล็บหยิกลึกจนเลือดซึม รอบๆ เป็นจ้ำเขียวช้ำ ดิฉันเห็นแล้วสงสารลูกจับใจ ปากสั่นใจสั่น เรียกขวัญเรือนมาต่อว่า ว่าทำไมต้องหยิกน้องรุนแรงขนาดนี้? เธอหน้างอแดงก่ำ ตาวาวโรจน์ ไม่มีทีท่ากลัวเกรงดิฉันเลย...

เธอจ้องต้นอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วสะบัดหน้าเดินหนีไป

ดิฉันโกรธจนน้ำตาร่วง อ้วนตกใจมาก และแน่ละ...เธอสงสารน้อง พาขวัญเรือนเข้าห้องคนใช้ ปิดประตูเงียบ...คงคุยกันว่าอยู่ไม่ได้แล้วบ้านนี้!

ครู่ใหญ่ อ้วนก็เปิดประตูออกมา ทิ้งให้ขวัญเรือนอยู่คนเดียว อ้วนมาถามดิฉันว่าจะจัดการอย่างไร? จะให้ขวัญเรือนกลับบ้านนอกเลยไหม?

ยังไม่ทันที่ดิฉันจะตอบอะไร เสียงขวัญเรือนก็ร้องกรี๊ดลั่น...เธอเปิดประตูผาง วิ่งโครมคราม ร้องไห้โฮๆ อย่างคนตกใจสุดขีด เธอวิ่งเข้ามาหาดิฉันแล้วซุกตัว...สั่นเทิ้มไปทั้งร่างจนน่าสงสาร

เมื่อได้สติขึ้นมาบ้าง ขวัญเรือนก็ละล่ำละลักเล่าว่า...ขณะอยู่ในห้องและเคียดแค้นแน่นอก ก็มีหญิงชราผมสีเงินยวง ห้อยหัวลงมาจากเพดานห้อง ร่างนั้นเหมือนคนธรรมดา แต่มันสยดสยองที่สุด...เท้าทาบอยู่กับเพดาน ลำตัวเหยียดตรงลงมา ใบหน้าดุดัน ชี้หน้าเธออย่างเกรี้ยวกราดคาดโทษ

ดิฉันกับอ้วนร้องพร้อมๆ กันว่า...อะไรนะ?!

ขวัญเรือนบอกว่า ใบหน้านั้นคือหญิงชราในรูปในห้องพระ...คุณยายดิฉันเองค่ะ

ดิฉันฟังอย่างตื่นตะลึง และยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว...คุณยายยังอยู่!

ขวัญเรือนลาออก ส่วนอ้วนยังอยู่แต่ขอไปนอนกับแม่ครับ เธอไม่กล้าอยู่คนเดียวอีกเลย จนกระทั่งขอลาไปแต่งงานในอีก 10 ปีต่อมา

จนทุกวันนี้ ดิฉันยังรู้สึกว่าคุณยายอยู่ใกล้ๆ บางทีก็ได้กลิ่นหอมที่เป็นกลิ่นประจำตัวของท่าน...ปกติดิฉันกลัวผี แต่กับคุณยายแล้ว ดิฉันอุ่นใจมากๆ เลยค่ะ

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 25 มีนาคม 2551

24 มีนาคม 2559

ปอบที่ดอนจาน

"จุลินทร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอีสาน

สมัยหนุ่มๆ ผมเคยรับราชการอยู่ที่จังหวัดกาฬสินธุ์ หรือเมืองน้ำดำในอดีต พออยู่ได้ไม่นานก็เริ่มจะสนใจประวัติบ้านเมืองเก่าแก่ ค่อนข้างแปลกประหลาดกว่าจังหวัดอื่นๆ น่านำมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

ตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ท้าวโสมพะมิดได้อพยพผู้คนจากดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง มาตั้งบ้านเรือนบริเวณลุ่มน้ำก่ำ ทำท่าว่าจะปักหลักอยู่ถาวรที่นั่น...ปัจจุบันอยู่ในเขตจังหวัดสกลนคร แต่ศัตรูจากเวียงจันทน์ตามราวี จนต้องอพยพผู้คนข้ามเทือกเขาภูพานลงมาทางใต้ จนกระทั่งได้พบกับทำเลที่เหมาะสมจนได้

นั่นคือบริเวณลำน้ำปาว เห็นว่าแก่งสำโรงชายสงเปลือยมีดินน้ำอุดมสมบูรณ์ จึงได้ทำการตั้งบ้านเรือนเป็นการถาวร กระทั่งตั้งศาลหลักเมืองขึ้น

พ.ศ.2336 ท้าวโสมพะมิดได้นำกาน้ำสำริดเป็นเครื่องบรรณาการ เข้าเฝ้าเพื่อสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก และได้ขอตั้งบ้านแก่งสำโรงขึ้นเป็นเมือง ได้รับพระราชทานนามว่า "กาฬสินธุ์" ต่อมาถูกยุบเป็นอำเภอ ขึ้นต่อจังหวัดมหาสารคาม

1 ตุลาคม พ.ศ. 2490 ได้ยกฐานะเป็นจังหวัดกาฬสินธุ์ จวบจนถึงทุกวันนี้

นี่ไงครับ ที่ผมว่าค่อนข้างแปลกประหลาดกว่าจังหวัดอื่น...ผมเองอยู่ที่นั่นในช่วงเวลาสองปีเศษก็มีเพื่อนฝูงเกือบทั้งจังหวัดก็ว่าได้ แถมยังกระจายไปตามอำเภอต่างๆ ทำให้ได้ไปท่องเที่ยวและมีประสบการณ์แปลกๆ มากมาย ถือว่าเป็นกำไรของชีวิต

เรื่องสำคัญก็คือได้พบภูตผีปีศาจหลายครั้ง โดยเฉพาะผีปอบที่กิ่งอำเภอดอนจานในปัจจุบัน!

สมัยนั้นยังทุรกันดารน่าดู แม้ว่าดอนจานจะอยู่ห่างจากตัวจังหวัดเพียง 36 ก.ม. แต่เชื่อไหมครับว่าถนนยังเป็นดินลูกรัง ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปา น้ำแข็งน่ะอย่าไปฝันหาเสียให้ยาก...ผมจำแม่นเพราะเป็นคอสุราน่ะซีคุณ

ซดเหล้าก็ต้องผสมโซดา อย่างน้อยใส่น้ำแข็งก็ยังดี!

ไม่เป็นไร เพื่อนฝูงชวนไปเที่ยวบ้านญาติ มี ส.ร.ถ. ดีกรีแรงชนิดจุดไฟพรึ่บ! ไม่ต้องง้อน้ำแข็งก็ได้...ตกเย็นก็นั่งล้อมวงที่นอกชาน ลาบ ก้อย แหนมเนื้อควาย แถมปลาร้าสับมีข้าวเหนียวปั้นจิ้มก็ถือว่าเป็นกับแกล้มแสนวิเศษแล้วละครับ

วสันต์ - เพื่อนผมเป็นคนคุยสนุก ไม่ว่าภาษาอีสานหรือภาษากลางพูดคล่องปากทั้งนั้น มีเรื่องแปลกๆ เล่าให้ฟังน่าสนุกนัก โดยเฉพาะเรื่องภูตผีนี่พี่แกมีเป็นกระบุงเชียวละคุณเอ๋ย แถมน่าขนหัวลุกอีกต่างหาก

ผียอดฮิตของย่านนั้นคือ...ผีปอบ!!

ผีเจ้าถิ่น! ว่างั้นเถอะครับ เกิดจากคนที่ร่ำเรียนไสยดำแต่จิตใจไม่มั่นคง ผิดคำสาบานต่ออาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาให้ เรียกว่า "ขะลำ"

นั่นคือไปกินอาหารในงานศพ กินอาหารต่อจากผู้อื่น ชอบลักขโมย ข้อสำคัญคือการเป็นชู้กับเมียเขา! คนพวกนี้ต้องกลายเป็นผีปอบไปตลอดกาล แถมตายแล้วต้องตกนรกอีกต่างหาก

เรียกกันติดปากว่า "ผีปอบผีเป้า" ชอบกินของดิบๆ คล้ายผีกระสือ เช่น ไก่ดิบ หมูดิบ หรือของคาวๆ เช่นทารกแรกคลอด เนื้อตัวยังไม่หมดกลิ่นเลือดและน้ำคาวปลา ว่ากันว่า สำหรับปอบแล้วแสนจะส่งกลิ่นหอมหวนยั่วยวนใจจนไม่อาจจะทนทานได้ไหวเชียวละครับ

อ้อ! อาหารสุกๆ ดิบๆ หรือดิบมากกว่าสุก เช่น ก้อย ลาบเลือด ก็เชื่อว่าเป็นของโปรดสำหรับปอบเช่นกัน!

วสันต์เล่าว่า คนที่เป็นปอบ หรือถูกปอบสิงมักจะดูยาก เพราะตอนกลางวันก็ดูไม่แตกต่างกว่าคนอื่น ยกเว้นแต่เป็นปอบมานานจึงมักจะหมกตัวอยู่ในบ้าน แพ้แสงแดด ตกค่ำคืนจึงจะย่องออกมาหากินของสดๆ คาวๆ แม้แต่ซากศพ! บรื๋อออออ....

ที่บ้านดอนจานนี่ก็เคยจับปอบได้ ไล่ตะเพิดออกจากหมู่บ้านไปหลายคนมาแล้ว

คืนนั้น เรานั่งล้อมวงซดเหล้าเถื่อนในแสงตะเกียง สะบัดเปลววูบวาบอยู่ในสายลม จนกระทั่งเริ่มง่วงเหงาหาวนอน ทยอยล้มตัวที่นอกชานนั่นแหละ...จำได้ว่าผมนอนใกล้ๆ กับบันไดลิงพอดี!

จะเคลิ้มหลับไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ แต่มีเสียงลั่นเอี๊ยดดด...มากระทบหูจนหนังตากระตุกขึ้น หันขวับไปทางบันไดลิงที่พาดอยู่ข้างนอกชาน แสงจันทร์อาบสรรพสิ่งให้ดูขาวโพลน ตามสำนวนที่ว่า "แทบจะจับมดได้"

แต่ทุกสิ่งก็ดูว่างเปล่า สายลมพัดโชยมาทำให้ง่วงงุนจนหนังตาปิดสนิทตามเดิม

ผมต้องสะดุ้งตื่นมาอีกครั้ง...คราวนี้ไม่ใช่เสียงจากบันไดลิงแล้วครับ แต่เป็นสัญชาตญาณบางอย่างที่รู้สึกว่ามีใครมาจ้องมอง พอลืมตาก็เห็นร่างผอมดำนั่งตะคุ่มๆ อยู่ใกล้ตัว นัยน์ตาเขียวเรืองจ้องเขม็งอย่างประสงค์ร้าย...ผมสะบัดแข้งขวาใส่ใบหน้ามันเต็มรัก

"โอ๊ะ..." เสียงร้องเบาๆ ดังขึ้น ไม่รู้ว่ามันกระโจนหนีหรือโดนเตะอย่างรุนแรง จนร่างนั้นกระเด็นจากเรือนหายลับไป ขณะที่คนอื่นๆ ยังหลับสนิทตามเดิม

วันรุ่งขึ้น ผมยังไม่ปริปากบอกใคร...มีญาติมิตรของวสันต์มาหาที่บ้านนั้นหลายคน...หนึ่งในนั้นชื่อ "ทิดสังข์" เป็นชายร่างผอมเกร็งวัยกลางคน นั่งก้มหน้างุดเกือบตลอดเวลา...ที่แก้มซ้ายมีรอยเขียวช้ำเหมือนโดนตีหรือโดนเตะมาอย่างแรง!

ผมปิดปากเงียบไม่ไต่ถามอะไรทั้งนั้น นานๆ หันไปมองก็เห็นเขารีบหลบตาวูบวาบบ่อยครั้ง...จนกระทั่งกลับไปถึงกาฬสินธุ์ได้ราว 2 เดือนก็ได้ข่าวจากวสันต์ว่า ที่ดอนจานจับปอบได้ชื่อทิดสังข์ โดนไล่ออกจากหมู่บ้านไปแล้ว...นึกถึงแล้วขนหัวลุกทุกทีเลยครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 24 มีนาคม 2551

21 มีนาคม 2559

ไปฟันปลา!

"คนเก่า" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปพบปลาปีศาจ

สมัยหนุ่มๆ ผมชอบเที่ยวเตร่แบบหัวหกก้นขวิด ไปไหนเป็นไปกัน เฮไหนเฮนั่นเพราะยังไม่มีห่วงผูกคอ เพราะความคึกคะนองนี่แหละครับ ทำให้โดนผีหลอกหลายครั้งหลายหนไม่รู้ว่ารอดตายมาได้ยังไง?

ก็หัวใจหยุดเต้นทันใดเพราะความหวาดกลัวสุดขีด อย่างที่เขาเรียกว่าหัวใจวายนั่นไงล่ะครับ

ช่างเถอะครับ ไหนก็รอดตายมาจนจะแก่อยู่รอมร่อแล้วนี่นา..เออ! หรือว่าจะแก่ตัวไปจริงๆ ก็ไม่รู้ซีนะ เพราะไปไหนมาไหนโดนเรียกน้าเรียกอาไปแล้ว กลุ้มใจจริงๆ เลย

ย้อนไปตอนที่ยังหนุ่มแน่นสามพันตึง อุปนิสัยค่อนข้างห้าว ชอบเที่ยวตะลอนๆ ไปทั่ว ไม่ได้เกรงกลัวสิ่งใดเพราะยังโสดอย่างที่ว่า ขนาดเพื่อนรุ่นใหญ่กว่าตั้งสิบปีคือ "พี่ล้วน" แกมีลูกมีเมียอยู่แล้ว ยังเที่ยวจีบสาวบางอื่นๆ เป็นว่าเล่น มีบ้านเล็กบ้านน้อยหลายหลัง พวกเรารุ่นน้องล้วนแต่นับถือไปตามๆ กัน

อยู่บางบอนยังอุตส่าห์ไปมีเมียน้อยถึงแม่กลองโน่นแน่ะคุณ!

ที่นั่นแหละครับ ผมโดนปีศาจพันธุ์ดุหลอกหลอนเอาปิ่มว่าจะล้มประดาตายซะให้ได้ เพราะความที่อุตริไปเที่ยวกับพี่ล้วนน่ะซี

เอาเรื่องปลาปีศาจก่อนแล้วกัน!

พี่ล้วนจัดว่าเป็นคนฐานะดี มีทั้งเรือนทั้งรถครบครัน บางทีก็ขนเพื่อนฝูงกับรุ่นน้องไปเที่ยวกัน เหล้ายาขนไปเพียบ แต่บางทีถึงฤดูน้ำใหม่หลากมา ฝูงปลาคึ่กๆ ทั้งปลาดุก ปลาช่อน สารพัด ใครอยากจะลงเรือไปจับปลาไกลๆ หน่อย ตามแหล่งที่มาตกคลั่กชุกชุม พี่ล้วนก็จะคิดค่าน้ำมันคนละ 20 บาทเท่านั้นเอง

คืนนั้น พวกเราเกือบสิบคนนัดแนะกันลงเรือไปจับปลา เพราะได้ข่าวว่าถัดจากบางบอนขึ้นไปมีปลาชุกชุมน่าดู ว่ากันว่าเอาตะข้องไปแค่ไหนก็ได้ปลาเต็มตะข้องแค่นั้น ใครจะไม่นึกสนุกล่ะครับ?

มีดาบติดตัวละเล่ม ตอนนี้เอาไว้สำหรับฟันปลาตัวโตๆ ที่ผมนึกกระหยิ่มว่าเดี๋ยวก็ได้เหยื่อเต็มตะข้องแน่นอน

เรือแล่นไปตามคลองบางแวกคดเคี้ยว ร่มครึ้มอยู่ใต้แสงดาวกระจ่างฟ้า..ราวชั่วโมงเศษก็ถึงจุดหมาย พวกประมงน้ำจืดก็ทยอยกันขึ้นจากเรือที่เกยฝั่ง ท่ามกลางพงอ้อกอหญ้ารกทึบ สายลมพัดโชยมาเย็นชื่น ยิ่งได้สุราดวดดื่มเข้าไปก็ยิ่งคึกคักกันใหญ่

พวกเราแยกย้ายกันไปหาเหยื่อตามชายน้ำที่มีทั้งดงกก ไม้น้ำ และแอ่งเว้าๆ แหว่งๆ ตามกอหญ้า แสงไฟฉายวูบวาบที่นั่นที่นี่ ส่วนผมใช้ตะเกียงแก๊สส่องปลา..แสงมันใสปิ๊งอย่าบอกใครเชียว

นั่นไง! เหยื่อตัวแรกปรากฏอยู่ในแสงไฟใกล้พงหญ้าพอดี!

ผมค่อยๆ ย่องเข้าไปหาจู่ๆ สายลมก็พัดซ่าอยู่บนยอดไม้เล่นเอาผมหันขวับ..สรรพสิ่งดูเงียบเชียบน่าใจหาย มองไปไกลๆ ก็เห็นแต่ท้องทุ่งเวิ้งว้างอยู่ใต้แสงดาว ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเรากำลังจะล่าเหยื่อตัวแรกอยู่นี่นา..

หันกลับไปมองให้แน่ใจ..โอ้โห! ไอ้ช่อนตัวเบ้งยังลอยอยู่กับที่เหมือนจะกำลังรอคมมีดที่เงื้อสูง แล้วฟันโครมลงไปทันที เสียงฉัวะ! ดังชัดหูซะไม่มีละ

จังหวะนั้นเอง ไอ้ช่อนตัวยาวใหญ่เกือบเท่าข้อศอกก็ดีดตัวผึงขึ้นมาลอยอยู่ในอากาศ ก่อนจะหล่นพลั่กลงบนพื้นดิน ดิ้นรนเถือกไถไปมา แต่ไม่ยักมีร่องรอยว่าโดนคมมีดแต่ประการใด

ไม่เป็นไรวะ ลองอีกที!

ผมเลียปากอย่างมันเขี้ยว ฟันปลาบนบกมันง่ายกว่าในน้ำเป็นไหนๆ เหยื่อตัวเบ้งเกล็ดดำเป็นมันวาวจนนึกถึงปลาช่อนแม่ลาเมืองสิงห์บุรี เขาว่าน้ำที่นั่นมีแร่ธาตุพิเศษที่ทำให้ปลาช่อนตัวใหญ่ เกล็ดดำ เนื้อแน่นหนึบ หวานอร่อยอย่าบอกใครเชียว..ผมเงื้อดาบฟันโครมลงไปโดยไม่ต้องกะเก็งให้เสียเวลา

"โอ๊ย!.." เสียงมีดกระทบตัวปลาจนกระเด้งขึ้นมา พร้อมๆ กับเสียงแหกปากร้องเหมือนเสียงคนยังไงยังงั้น เล่นเอาผมสะดุ้งโหยง..ปลาอะไรร้องเป็นเสียงคน?

ทั้งโกรธทั้งกลัวจนทำให้ผมฟันตูมลงไปอีกครั้ง สุดแรงพ่อแก้วแม่แก้วก็แล้วกัน

"โอ๊ย! เจ็บโว้ย.." เสียงร้องโหยหวนทำให้ผมยืนตะลึง ตัวแข็งทื่อเหมือนถูกสาป เบิกตาโพลงมองดูไอ้ช่อนดิ้นกระเสือกกระสนหายเข้าไปในซุ้มไม้ที่สูงราวหน้าอก..หายลับไปจากแสงไฟเยือกเย็น

สายลมพัดกรูเกรียวเข้ามา ฟังเผินๆ เหมือนเสียงใครกำลังทอดถอนใจยาวด้วยความเหน็ดเหนื่อยเต็มประดา!

เอาละ! ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วนี่นา สะกดใจไม่ให้เตลิดหนีเพราะเสียขวัญ เพราะเคยได้ยินพวกผู้ใหญ่เขาสอนว่า ถ้าตกใจวิ่งหนีละก็พวกภูตผีมันจะได้ใจ เข้าสิงสู่เล่นงานเอาย่ำแย่ถึงขนาดเป็นตายเท่ากัน

แข็งใจเข้าไปส่องไฟหาไอ้ช่อนเจ้ากรรมตัวนั้น มองแล้วมองเล่าแต่ก็ไม่พบเห็นแม้แต่เงา ทั้งๆ ที่มันไม่มีทางจะรอดพ้นจากสายตาของผมไปได้เลย

ให้ตายเถอะ! มันหายไปไหนกันล่ะ? ต่อหน้าต่อตาผมแท้ๆ

ในที่สุดก็ต้องยอมแพ้ หันกลับไปที่เรือพี่ล้วนอย่างอ่อนอกอ่อนใจ เหงื่อชุ่มแผ่นหลัง..ปรากฏว่าพรรคพวกที่ไปด้วยกันก็ไม่ได้ปลาเลยแม้แต่คนเดียว มีทั้งไม่เห็นบ้าง มีทั้งเห็นก็ฟันไม่ถูกบ้าง..มารู้ทีหลังว่าที่นั่นเคยเป็นป่าช้าเก่าน่ะซีครับ! บรื๋ออออ..

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 21 มีนาคม 2551

20 มีนาคม 2559

วิญญาณพเนจร

"สุชาดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสำนักงานร้าง

สมัยเด็กดิฉันอยู่ที่ห้วยขวาง ใกล้ๆ กับถนนสุทธิสาร ตรงปากทางเริ่มมีอู่รถแท็กซี่หลายอู่แล้วค่ะ ในซอยก็มีทั้งบ้านเรือนและตึกแถวร้านค้า ตอนกลางวันค่อนข้างเงียบเหงา แต่พอตกเย็นก็เริ่มมีผู้คนกลับจากทำงานเข้าซอยมาหนาตา

พวกหนุ่มๆ สาวๆ ออกมาเดินเล่นบ้าง จับกลุ่มคุยกันบ้าง พวกเด็กเล็กๆ ที่กลับจากโรงเรียนก็ออกวิ่งเล่นกันเกรียวกราว รถเข็นขายอาหารคาวหวานก็จะเริ่มทยอยเข้าซอยมาขายของตั้งแต่เย็นจนถึงมืดค่ำถึงจะซาลงไป

พวกคนงานหนุ่มๆ ที่มาก่อสร้างแถวนั้นชอบตั้งวงเหล้ากับพื้นถนน โดยเอาผ้าพลาสติกมาปูนั่ง กับพวกเล่นตะกร้อข้ามตาข่าย เขาขึงข้ามทางเลยค่ะ แต่พอมีรถจะแล่นผ่านก็ช่วยกันยกตาข่ายให้รถแล่นไปได้ อาศัยว่าในซอยมีรถเข้าออกน้อยก็เลยไม่มีปัญหาอะไร

ดิฉันกับเพื่อนวัยสิบขวบ 2-3 คนชอบวิ่งไปเล่นบ้านจุ๋ม เพื่อนที่มีสนามค่อนข้างกว้าง หมาและแมวก็น่ารัก มีกรงนกขุนทองช่างพูดใกล้ๆ ใต้ถุนบ้านส่วนที่ทำเป็นโรงรถ...ข้อสำคัญคือคุณย่าของจุ๋มมีขนมอร่อยๆ แจกเรา แม่จุ๋มก็ใจดีค่ะ

บางวันเรากินขนมเสร็จก็ข้ามฟากไปนั่งเล่นหมากเก็บกันที่บันไดเตี้ยๆ ของสำนักงานฝั่งตรงข้าม...

ที่นั่นเคยเป็นสนามหน้าบ้านของคุณตาคุณยายคู่หนึ่ง ลูกชายท่านปลูกสำนักงานชั้นเดียว รูปทรงสวยน่ารัก ดูเหมือนจะทำเป็นบริษัทจัดหางานนะคะ เคยเห็นคนแปลกหน้าเข้าๆ ออกๆ หนาตาแม้ว่าจะเป็นวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ก็ตาม

ไม่ช้าก็เลิกกิจการไป สำนักงานนั่นก็ปิดตาย แต่ยังมีคนแปลกหน้าวนเวียนมาหามาถามเพื่อนบ้าน บางคนไปกดออดเรียกที่ประตูบ้านใหญ่ก็มีค่ะ...ในที่สุดก็เงียบหายไป ไม่มีใครทราบว่าเกิดอะไรขึ้น? ลูกชายของบ้านใหญ่ที่เป็นผู้จัดการก็หายหน้าไป มีเสียงลือว่าไปอยู่ต่างจังหวัดบ้าง หลบหน้าไปอยู่ต่างประเทศบ้าง

สำนักงานที่เคยมีผู้คนเข้าออกคึกคักกลายเป็นความหลังไปแล้ว!

สีสันที่เคยสวยงามสดใสก็ดูหม่นหมอง ประตูหน้าต่างปิดเงียบ เถาไม้เลื้อยข้างรั้วดูหนาทึบ พงหญ้าก็รกรุงรัง...ตอนกลางวันยังดูเงียบเหงาน่าวังเวงใจ ยิ่งตกค่ำยิ่งมีแต่ความมืดทึบ มองเห็นก็น่าหวาดระแวงว่าจะมีบางสิ่งบางอย่างที่เร้นลับซุกซ่อนอยู่ในความมืดและเงียบเชียบนั้น

พวกเราชอบพูดกันเล่นตามประสาเด็กว่า...ผีดุ!!

ตอนนั้นยังไม่มีใครโดนผีหลอกนะคะ เราจะหลบผู้ใหญ่ไปนั่งเล่นกันตอนเย็นๆ เท่านั้น พอตกค่ำพ่อแม่ก็ออกมาตามแล้วค่ะ

จนกระทั่งเย็นหนึ่ง ใกล้จะสิ้นปีอยู่แล้วก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้นมา...

เย็นนั้น เรานั่งเล่นกันอยู่ไม่นานแม่จุ๋มก็มาตามไปทำการบ้าน เหลือดิฉันกับกิ๊ฟผลัดกันเล่านิทานตามประสาเด็ก...อากาศค่อนข้างเย็น ผู้คนก็บางตา...จู่ๆ กิ๊ฟก็หยุดชะงัก เหลียวซ้ายแลขวา ทำหน้าตาตื่นๆ ดิฉันถามว่าเป็นอะไร? กิ๊ฟกลับย้อนถามว่า...เธอไม่ได้ยินเหรอ เสียงจากในนั้นน่ะ?

ดิฉันย่นคิ้วเงี่ยหูฟัง เกือบจะส่ายหน้าอยู่แล้วก็พอดีได้ยินเสียงอะไรกุกกักเหมือนมีใครเดินเบาๆ อยู่ในสำนักงานร้าง ครู่หนึ่งก็เงียบ หายไป

"ได้ยินหรือยังล่ะ?" กิ๊ฟถาม ทำตาโตอ้าปากนิดๆ ดูน่าตลก ดิฉันก็พยักหน้ารับ

"แต่มันเงียบไปแล้วนี่..." เสียงพูดขาดหาย เมื่อเสียงกุกกักเบาๆ นั่นมาดังขึ้นใกล้ๆ บันไดชั้นบนที่เรานั่งอยู่พอดี...เล่นเอาเราหันขวับไปมองเหมือนนัดกันไว้ ต่างคนต่างอ้ำอึ้งพูดอะไรไม่ออก ดิฉันเกือบจะลุกขึ้นยืนอยู่รอมร่อ พอดีมีเสียงแอ๊ดดด...ดังมาเข้าหู สะท้านสะเทือนไปถึงหัวอกหัวใจเลยค่ะ

ประตูเปิดออกช้าๆ ใบหน้าเล็กกลม ขาวผ่องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งวัยเดียวกับเราโผล่ออกมามองยิ้มๆ ถามว่า...เข้ามาเล่นด้วยกันไหมจ๊ะ?

ดิฉันรู้สึกชาวาบไปทั้งตัว เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวอย่างบอกไม่ถูก จ้องมองนัยน์ตากลมโต ดำขลับเหมือนหินใสๆ ที่มีพลังแปลกประ หลาด สะกดให้พร่ามึน เคลิบเคลิ้มจนไม่เป็นตัวของตัวเอง

"ไปซี่..." เสียงกิ๊ฟดังแว่วมากระทบหู "ไปเล่นที่ไหนล่ะ?"

"ตามฉันมาซีจ๊ะ..." ปากบางๆ ของเด็กหญิงที่ยืนอยู่หน้าประตูเผยอยิ้มนิดๆ ก่อนจะหมุนตัวกลับ...ร่างในชุดเสื้อกระโปรงติดกันเดินนำหน้าเราเข้าไปในสำนักงานมืดสลัว แต่คล้ายกับจะมีแสงสว่างจากที่ใดที่หนึ่ง ทำให้ดิฉันมองเห็นโต๊ะทำงาน เก้าอี้และตู้ใส่เอกสารที่มีฝุ่นจับหนา ท่ามกลางอากาศเยือกเย็นจับใจ

"มาซีจ๊ะ ตามฉันมานะ..." เสียงนั้นเหมือนล่องลอยมาจากที่ไกลแสนไกล...ดิฉันก้มลงมองดูที่พื้นเบื้องหน้าเหมือนมีอะไรมาดลใจ...คุณพระช่วย! ต่ำจากชายกระโปรงลงมามองไม่เห็นอะไรเลย...เธอไม่มีขาหรอกค่ะ!

"กิ๊ฟ...อย่าไปนะ!" ดิฉันหยุดกึก ร้องบอกเพื่อนที่เดินตามมาเสียงสั่นๆ ทันใดนั้น เด็กแปลกหน้าก็หันขวับ นัยน์ตาลุกวาว ปากบางเฉียบขยายออกอย่างรวดเร็วก่อนจะอ้ากว้างมองเห็นสีดำปี๋เหมือนปากเหวน่าสยอง เสียงกิ๊ฟกรีดร้องใส่หูดิฉันจนสรรพสิ่งสะท้านเกรียวกราว

...คราวนี้ไม่รู้ว่าเสียงใครดังกว่ากัน เมื่อหันกลับวิ่งเตลิดไม่คิดชีวิตออกมาสู่ถนน ซอยที่เริ่มมีแสงสว่างจากเสาไฟฟ้า...พ่อแม่เรากำลังออกมาตามกลับบ้านพอดี

ทุกวันนี้สำนักงานร้างนั่นรื้อทิ้งไปแล้วค่ะ ไม่มีใครรู้ว่าผีเด็กนั่นมาจากไหน แต่พวกเราก็ไม่มีใครไปเล่นที่นั่นอีกเลยตั้งแต่วันนั้นมา!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 20 มีนาคม 2551

19 มีนาคม 2559

เพลงกล่อมลูก

"คนเก่า" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากคลองบางแวก

ผมเป็นเด็กบางบอนโดยกำเนิด เรื่องผีๆ สางๆ นี่หายห่วงเลยครับ เพราะว่าสมัยก่อนน่ะคนยังน้อย ภูตผีก็ยังเยอะเป็นธรรมดา ไม่ว่าบนบกหรือในน้ำล้วนแต่คลั่กๆ ด้วยภูตผีปีศาจทั้งนั้นแหละคุณเอ๋ย

บนบกน่ะมีทั้งผีเจ้าที่ สิงสู่มาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ผีตายโหงที่ไม่ยอมไปผุดไปเกิด วิญญาณวนเวียนคอยหลอกหลอนผู้คนเป็นประจำ เดี๋ยวดักอยู่กลางทาง เดี๋ยวห้อยโหนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ๆ ขนาดกลายเป็นหมาตัวโตเกือบเท่าควายที่เคยเจอะเจอกันมาหลายคน

อย่างที่เล่าไว้คราวก่อนนั่นปะไร!

ในน้ำก็ทั้งเงือกหงอน พรายน้ำ ไหนจะคนตกน้ำตายอีกล่ะ ตอนกลางคืนได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากคลองบางแวกบ่อยหน เด็กๆ ร้องไห้งอแง พอบอกว่าเดี๋ยวผีมาจับตัวเท่านั้นแหละ เงียบกริบเหมือนปิดสวิตช์ไปตามๆ กัน

จะว่าหลอกให้เด็กกลัวผีก็ยอมละครับ แต่ผมว่าเด็กๆ น่าจะกลัวอะไรไว้มั่งก็ดี ไม่งั้นโตขึ้นเลี้ยงยาก ไม่กลัวอะไรง่ายๆ อย่างผมไง...ยกเว้นกลัวผี!

ตอนที่ผมเป็นวัยรุ่นน่ะ เปิดอกพูดเลยว่า...กลัวซะจนไม่อยากจะกลัวอีกต่อไปแล้ว

วันนี้จะขอเล่าเรื่องขนหัวลุกจากผีน้ำมาสู่กันฟัง

สมัยนั้นชาวบ้านอาศัยทางน้ำไปมาหาสู่กัน รวมทั้งไปค้าขายย่านไกลๆ อย่างบางแค เป็นต้น บ้านผมอยู่ริมคลองบางแวก มีพี่ชายคนเดียวชื่อพี่ปาน ขยันขันแข็งไม่มีตัวจับ วันๆ ถ้าไม่เข้าสวนก็จับปลา ถึงหน้าฝนน้ำใหม่มาก็ชวนกันลงไปจับปลาสนุกสนาน ปะเหมาะก็ได้ทั้งกินทั้งขายเชียวครับ

บางวันก็รวบรวมผักปลาลงเรือไปขายที่ตลาดบางแค โดนผีหลอกแทบกระเจิงไปตามๆ สาเหตุเพราะต้องออกจากบ้านตอนกลางคืนน่ะซีครับ ใช้เวลาราว 2 ชั่วโมงไปสว่างเอาที่ปลายทางโน่นเลย

คืนนั้นก็เช่นกัน!

เรานอนเอาแรงตอนหัวค่ำ พอตกดึกก็ลุกมาจัดข้าวของจบเรียบร้อย ผมพายหัว พี่ปานพายท้าย ออกเรือไปเรื่อยๆ ท่ามกลางความเงียบเชียบ สองฝั่งมีแต่ต้นไม้เรียงรายดูตะคุ่มๆ เหมือนคอยเฝ้ายาม สายลมพัดโชยมาเย็นยะเยือก คลื่นเล็กๆ เล่นไล่กันเป็นระลอกอยู่ในแสงดาว

เสียงพายกระทบน้ำดังจ๋อมๆ คล้ายจะเป็นเพื่อน ใจผมน่ะอยากจะถึงตลาดเร็วๆ ขายของเสร็จแล้วจะได้เดินซื้อของจำเป็นกลับบ้าน กับถือโอกาสดูสาวๆ สวยๆ เป็นอาหารตาอีกต่างหาก

พี่ปานจ้วงพายเงียบๆ ผมเองก็ไม่รู้จะชวนคุยเรื่องอะไร ใจคอมันคอยระแวงเรื่องผีๆ สางๆ อยู่น่ะซี คุณเอ๋ย...

ผีน้ำน่ะน่ากลัวกว่าผีบกเป็นไหนๆ เพราะเรามองไม่เห็น ดูมันซ่อนเร้นลึกลับไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไรแน่ แต่ว่าจ้องมองเราเขม็ง รอโอกาสเหมาะๆ ที่จะเล่นงานเราโดยไม่รู้ตัว

มีทั้งล่มเรือ ทั้งโผล่พรวดขึ้นดื้อๆ จนคนขวัญอ่อนหวีดร้อง ตกน้ำตกท่าแทบจะหัวใจวายไปตามๆ กัน สาวๆ แถวบ้านผมลงไปเล่นน้ำตอนเย็นๆ โดนฉุดขาเข้าให้...เสียงร้องของเธอดังไปสามบ้านแปดบ้าน ปานจะทำให้ผีในหลุมสะดุ้งได้ก็แล้วกัน

ทันใดนั้นเอง เสียงเด็กร้องไห้ก็ดังแว่วมากระทบหู!

ผมชะงักพายไม่รู้ตัว หันไปมองข้างหลังก็เห็นพี่ปานพยักหน้าให้ เลยต้องพายเรือต่อพร้อมกับเงี่ยหูฟัง...เสียงเด็กแดงๆ แน่นอน แต่ไม่รู้ว่ามันดังมาจากไหน?

ใจเต้นตุ๊มๆ ต้อมๆ ปากคอแห้งผากไปถนัด...ดึกดื่นป่านนี้จะมีเด็กที่ไหนมาร้องไห้ในที่เปลี่ยวๆ ล่ะ? สองฝั่งมีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ กับซุ้มไม้ชายน้ำ ไม่มีบ้านช่องผู้คนอยู่ใกล้ๆ แน่นอน...เท่านั้นยังไม่พอ เสียงเพลง กล่อมเด็กเยือกเย็นก็พลันดังผสมผสานขึ้นมา!

ลมพัดซ่ามาจากต้นไม้ด้านขวามือ...ผมหันขวับไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ มองเห็นภาพสยองเข้าเต็มตาบัดดล!

นรกเป็นพยาน! บนกิ่งไม้ใต้แสงดาว ผู้หญิงผมยาวคนหนึ่งกำลังนั่งห้อยขา ก้มหน้ากล่อมเห่ลูกน้อยที่กำลังร้องแว้ๆ เล่นเอาผมชะงักพาย มือไม้แข็งทื่อเหมือนจะกลายเป็นหิน หน้าชาเห่อจนแทบไม่รู้สึกรู้สา ปากอ้าค้าง ลืมตาโพลงจ้องมองภาพสยดสยองบนต้นไม้ ...รู้สึกเหมือนตายไปหลายต่อหลายชาติเต็มที

โธ่! คนธรรมดาที่ไหนจะขึ้นไปกล่อมลูกบนต้นไม้ยามดึกดื่นค่อนคืนล่ะครับ?

ผีน่ะซี...ผีแน่ๆ เลย!!

หัวขวับไปมองพี่ปานเหมือนจะร้องไห้ แต่แกก็ยังก้มหน้าก้มตาพายเรือไม่หยุดยั้ง ท่าทางคล้ายจะไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ผมเองอยากจะร้องบอกพี่ชายก็รู้สึกปากคอแห้งผากจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว เสียงเพลงกล่อมลูกดังโหยหวนเยือกเย็น สะท้านสะเทือนใจสิ้นดี...

ผมกัดฟันพายเรือต่อ น้ำตาไหลพรากลงมาอาบหน้า ไม่กล้าหันไปมองภาพอุบาทว์นั่นอีกต่อไป...ทำไมเรือมันถึงได้แล่นช้าเหลือเกิน ทั้งๆ ที่เราช่วยกันจ้วงพายจนเต็มกำลังแล้วนี่นา?

กว่าจะผ่านเหตุการณ์สยองขวัญมาได้ก็แสนจะเหน็ดเหนื่อยแทบสิ้นใจตาย!

...มารู้ทีหลังว่าที่นั่นมีผู้หญิงคลอดลูกตายน่ะซีครับ ตายทั้งแม่ทั้งลูกอย่างที่เขาเรียกว่า "ตายทั้งกลม" นั่นปะไร? พี่ชายผมไม่กลัวผีก็ให้เขาพายเรือไปขายของคนเดียวละกัน...บรื๋อส์!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 19 มีนาคม 2551

18 มีนาคม 2559

ผีเพื่อน!

"สุวภีร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากผีผูกคอตาย

อ้อมเป็นเด็กรับใช้ที่บ้านของดิฉัน เธอมีเพื่อนรักมาจากหมู่บ้านเดียวกัน แต่ได้งานทำที่โรงงานแถวสมุทรปราการโน่น อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่ติดต่อกันทุกวี่ทุกวันทางโทรศัพท์มือถือ ว่างเมื่อไหร่เป็นต้องโทร.คุยกันเมื่อนั้น

เพื่อนของอ้อมคนนี้ชื่อ เพชร เป็นคนสวยน่ารักน่าเอ็นดูเชียวค่ะ

เธอเคยมาที่บ้านดิฉัน 2-3 ครั้ง ตัวเล็กๆ ผมยาวตรง ดำเป็นมันเพราะไม่เคยถูกสารเคมีดัด-ย้อมใดๆ เลย ดิฉันเห็นแล้วก็เคยนึกเป็นห่วงว่าสวยๆ อย่างนี้ มาอยู่กับเพื่อนที่โรงงาน ห่างพ่อห่างแม่ ต้องเจอคนมากมาย...ที่หน้าเนื้อใจเสือก็เยอะ เธอจะรอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกาได้ละหรือ?

จริงอย่างที่ดิฉันสังหรณ์!

มันน่าเสียดายเหลือเกิน ที่เพชรเม็ดนี้ไม่บริสุทธิ์เสียแล้ว เธอปล่อยตัวปล่อยใจหลงลมปากหนุ่มๆ ที่มาติดพันจนเสียทั้งตัว เสียทั้งเงิน

ครั้งล่าสุดที่เธอมาหาอ้อม ดิฉันเห็นแล้วก็ใจหาย เพชรที่เคยสดใสเปล่งปลั่ง กลับดูหม่นหมอง น้ำนวลที่เคยมีเหือดหายไปหมด เธอกลายเป็นเด็กสาวกร้านๆ เศร้าๆ ผมเผ้าแตกปลายแห้งผาก

ไม่นานอ้อมก็ได้ข่าวร้าย เพชรผูกคอตายคาห้องพักคนงาน!

อ้อมเอาแต่ร้องไห้ ว่าไม่ได้ดูแลเพื่อนให้ดี ดิฉันก็ได้แต่ปลอบใจเธอว่า เด็กสาวๆ ใสๆ ที่ห่างอกพ่อแม่ มาอยู่ท่ามกลางสังคมที่ฟอนเฟะ มีแต่พวกเสือสิงห์กระทิงแรดน่ะ ประคองตัวให้อยู่รอดได้ยากมาก

ทีแรกอ้อมเคยบอกให้เพชรหางานบ้านทำ อย่าไปอยู่เลยโรงงานน่ะ แต่เพชรบอกว่าทำงานบ้านมันเหงา น่าเบื่อ ทำโรงงานได้เงินเยอะกว่า สนุกด้วย...

ร่างไร้วิญญาณของเพชรถูกส่งกลับโคราชบ้านเกิด แล้วเผาจนเหลือแต่เถ้าถ่าน อ้อมขอลาไปเผาเพื่อนด้วย เธอไปตอนเช้าแล้วกลับมาตอนดึกๆ วันเดียวกัน พอมาถึงก็ถอดเสื้อผ้าและรองเท้าไว้หลังบ้าน บอกว่าเถ้าจากกองฟอนถูกลมพัดตีฟุ้งกระจายไปทั่ว และคงเกาะเสื้อผ้ามาด้วย!

ถึงจะเป็นเพื่อนรักกันขนาดไหน เมื่อตายไปอ้อมก็กลัวผีน่าดู ยิ่งมาตายอย่างสยดสยอง อ้อมเล่าว่าเพชรเป็นผีตายทั้งกลมเสียด้วยค่ะ

เธอเพิ่งรู้ตัวว่ามีเด็กอยู่ในท้องได้แค่เดือนสองเดือน และหาทางออกไม่ได้ แถมโดนคนที่เป็นพ่อเด็กผลักไสไม่ไยดี เพชรตายเพราะเคียดแค้น อัดอั้นตันใจและเสียใจแทบจะเป็นบ้าเป็นหลัง...แบบนี้วิญญาณเฮี้ยนแน่ๆ

รุ่งเช้า อ้อมเล่าให้ดิฉันฟังอย่างน่าขนลุกว่า เพชรมาเข้าฝัน...มันเป็นฝันที่ดูเป็นจริงเป็นจังจนน่าพรั่นพรึงที่สุด!

คืนนั้น หลังจากเผาศพเพชรแล้ว อ้อมรีบอาบน้ำสระผมหลายรอบ แต่เธอก็ยังไม่สบายใจ ต้องมาขอน้ำมนต์ดิฉันไปดื่ม จากนั้นเธอก็สวดมนต์เข้านอน โดยเปิดไฟดวงเล็กๆ ที่หัวเตียงไว้ เธอไม่กล้านอนท่ามกลางความมืดสนิทหรอกค่ะ

อ้อมนอนไม่หลับ เธอต้องลืมตาอยู่บ่อยๆ ในความเงียบเชียบเกือบทุกนาที ด้วยความหวาดระแวง...

และแล้ว ความสยองก็บังเกิดขึ้น เมื่อเธอลืมตาแล้วเห็นเพชรมานั่งอยู่ข้างเตียง!

ร่างเพชรดูมีเลือดมีเนื้อเหมือนคนธรรมดา มีแสงเงาจากไฟหัวเตียงด้วย อ้อมไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง...ร่างเพชรนั่งชิดแขนอ้อมเลยทีเดียว เธอก้มหน้า ผมเผ้าปรกลงมาเหมือนผ้าสีดำ หลังค้อมนิดๆคล้ายกำลังสะอื้นหน่อยๆ

อ้อมจ้องมองร่างนั้นอย่างตะลึงงัน!

ร่างที่เหมือนคนปกติอย่างมาก จนความกลัวสุดขีดค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสงสารจับใจ เพชรไม่ได้มาหลอกหลอน แต่มาหาเพราะเธอต้องการที่พึ่ง...ช่วงสุดท้ายของชีวิต เพชรไม่ได้บอกอ้อมว่าทนไม่ไหว...ไม่ได้บอกสักนิดว่ากำลังคิดสั้นจะฆ่าตัวตาย...

ความตายไม่ได้แก้ปัญหาอะไรเลย มันยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เพชรทำให้พ่อแม่ พี่น้องและคนที่รักเธอเสียใจ ขณะนี้วิญญาณเธอก็เสียใจอย่างแสนสาหัส แต่ไม่มีทางแก้ไขเสียแล้ว

อ้อมรับรู้ความรู้สึกของเพชรได้ทางกระแสจิต...

เพชรเงยหน้าขึ้นช้าๆ และเริ่มเปล่งเสียงสะอื้นไห้ มันดังขึ้นๆ จนโหยหวน ดังคับห้อง ดังจนอ้อมแทบขาดใจ...

เสียงไม่เหมือนคน แต่ครางยืดยาวอย่างผี และรูปร่างหน้าตาของเพชรก็เริ่มเปลี่ยนไปด้วย...จนร่างคนธรรมดาเป็นร่างศพที่อ้อมเห็นก่อนเผา คือหน้าบวม ลิ้นจุกปาก ตาปิดไม่สนิท และมีรอยเชือกรัดที่คอ!

อ้อมร้องลั่นอย่างลืมตัวว่า

"เพชร! อย่ามาหลอกฉันแบบนี้ซิ! อย่า..."

พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทุกอย่างก็กลับเป็นปกติ ห้องเงียบกริบ สงบ ไม่มีร่างปีศาจ...อ้อมไม่แน่ใจว่าเพชรมาจริงหรือเธอฝันไป?

นับตั้งแต่คืนนั้น อ้อมย้ายที่นอนหมอนมุ้งไปที่ห้องป้าสุข - คนครัว จนป่านนี้ยังไม่ยอมนอนคนเดียวเลยค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 18 มีนาคม 2551

17 มีนาคม 2559

ผีสะพานลอย

"โกสินธุ์" เล่าประสบการณ์จากสะพานลอยผีสิง

คนเราบทจะโดนผีหลอกขึ้นมาน่ะ ไม่ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด แล้วเจอผีตามถนน หรือว่าเข้านอนโรงแรมก็โดนผีดุวิญญาณเฮี้ยนเล่นงานเอาหรอกครับ ขนาดอยู่ในกรุงเทพฯ ออกจากที่ทำงานมืดค่ำหน่อย มุ่งหน้ากลับบ้านแท้ๆ ยังโดนผีหลอกนี่นา นับประสาอะไร

ผมเป็นคนกรุงเทพฯ โดยกำเนิด เรียนหนังสือจนจบแล้วได้งานทำเมื่อปีก่อน ก็อยู่ในกรุงเทพฯ นี่แหละครับ

บ้านเก่าแก่ที่อยู่กับพ่อแม่มาตั้งแต่เด็กๆ จนป่านนี้ อยู่ในหมู่บ้านซีเมนต์ไทย ริมคลองประปานี่เอง ตอนแรกบ้านช่องก็ยังหลวมๆ แต่ไม่ช้าไม่นานไหงถึงคึ่กๆ เป็นตลาดนัดสวนจตุจักรก็ไม่ทราบ

ไม่ว่าจะออกจากซอยข้ามสะพานไปรอรถเมล์ตอนเช้า หรือออกจากที่ทำงานกลับบ้านตอนค่ำๆ ลงรถเมล์ฝั่งตรงข้ามแล้วย่ำต๊อกไปขึ้นสะพานลอยที่อยู่ใกล้ๆ ข้ามไปลงใกล้ปากซอย...ผมชอบนึกถึงเรื่องสยองขวัญที่คนร้ายชิงทรัพย์บนสะพานลอย ผู้หญิงที่ตกเป็นเหยื่อถูกเล่นงานสะบักสะบอมไปตามๆ กัน

คนที่เคราะห์ร้ายมากๆ เกิดเสียดายทรัพย์สินมากกว่าชีวิตตัวเอง โดนคนร้ายใจโหดมันฆ่าทิ้งคาสะพานลอยก็มี!

เมื่อ 2-3 ปีก่อนเกิดเรื่องแบบนี้บ่อยมาก คล้ายๆ จะเป็นแฟชั่นยังงั้นแหละครับ คือคนร้ายชอบเอาอย่างกัน เหมือนกับเรื่องปาหินใส่รถจนบาดเจ็บล้มตายหลายราย พอเกิดขึ้นที่นั่น เดี๋ยวก็เกิดขึ้นที่โน่นที่นี่ไม่หยุดหย่อนอย่างทุกวันนี้ไง...

โชคดีอย่างที่ไม่เกิดเหตุร้ายบนสะพานลอยที่ผมต้องอาศัยข้ามถนนกลับบ้าน ได้ข่าวว่าเกิดเหตุแถวบางพลัดกับคลองเตยติดๆ กัน พอตำรวจเอาจริงด้วยการหมั่นตรวจตราบ่อยๆ ข่าวร้ายเรื่องนี้ก็ค่อยๆ ซาไปเอง

กว่าจะโหนรถเมล์มาจากสุขุมวิท รถติดสาหัสจนผมอยากจะเช่าห้องอยู่ใกล้ๆ ที่ทำงาน ไม่ต้องปวดหัวและเสียเวลากับการเดินทางเต็มที แต่ก็ติดขัดเรื่องเป็นห่วงพ่อแม่กับน้องๆ ที่ยังเรียนหนังสืออยู่น่ะซี ทำให้ต้องทู่ซี้อยู่บ้านเดิมต่อไป

ถนนเลียบคลองประปาช่วงนั้นรถราติดขัดน่าดูครับ ยิ่งตอนเย็นๆ ยิ่งยืดยาวชนิดติดเป็นแพเชียว ใครจะข้ามถนนก็ต้องอาศัยสะพานลอยวันยังค่ำ

ถ้าผ่านไปจนถึง 4-5 ทุ่ม ถนนค่อนข้างโล่ง แต่ก็เกิดปัญหารถแล่นลิ่วเหมือนเป็นสนามแข่งรถ มอเตอร์ไซค์ก็ออกมาฉวัดเฉวียนกับเขาด้วย แถมไม่สวมหมวกนิรภัยทั้งคนขี่และคนซ้อน ราวจะเย้ยมฤตยูเล่นซะยังงั้น

เอาละ...ผมต้องข้ามสะพานลอยซะที!

คืนนั้นฟ้าครึ้มฝนชอบกล ผู้คนบางตา ผมลงจากรถเมล์ราว 5 ทุ่มเศษ เพราะเป็นวันศุกร์ต้นเดือน เพื่อนฝูงที่เป็นโสดเหมือนๆ กันก็ชักชวนกันไปซดเหล้าฟังเพลงใกล้ๆ บริษัท...กระทั่ง 4 ทุ่มกว่าถึงได้ย้ายสถานี แต่ผมขอตัวกลับบ้านก่อน...

รถราทางขวามือแล่นฉิว ผมไม่สนใจจะรอรถเพื่อเดินข้ามหรอกครับ ระยะใกล้นิดเดียวจากป้ายรถเมล์ก็ขึ้นสะพานลอยแล้ว

ผู้หญิงคนหนึ่งกำลังก้าวฉับๆ ขึ้นบันได...คืนนี้ผมมีเพื่อนข้ามสะพานลอยแล้ว ดูข้างหลังเห็นแต่งตัวทะมัดทะแมงแบบสาวออฟฟิศ หุ่นดีเชียว ค่อนข้างสูง สะโพกใหญ่แต่ท่อนขาเรียวยาวน่าดู...ท่าทางเธอไม่ได้ลังเลหรือหวั่นหวาดแม้แต่น้อยนิด!

กระทั่งก้าวขึ้นบันไดแล้วเลี้ยวขวาข้ามถนน แต่ผมมองไม่เห็นสาวหุ่นดีเสียแล้ว...แทบไม่น่าเชื่อว่าเธอลับหายจากสายตาไปยังทางลงข้างหน้า...ผมหันไปดูรถราที่แล่นลิ่วลอดสะพานไปมา...ขณะนั้นเอง เสียงรองเท้ากระทบพื้นก็ดังมากระทบหูจากด้านหลัง

หันขวับไปมองเหมือนถูกจับกระชาก! เฮ้อ...โล่งใจไปทีที่เป็นผู้ชายตัวผอมๆ เสื้อกางเกงสีทึบทึม กำลังเดินก้มหน้างุดๆ ตามหลังมา

ผมขยับเท้าออกเดินต่อ แต่นึกเอะใจที่ขึ้นสะพานลอยมาเดี่ยวๆ นอกจากสาวหุ่นสวยแล้วก็ไม่มีใครอีกเลย...แล้วทำไมจู่ๆ ถึงได้มีชายหุ่นกะหร่องเทศเดินตามหลังมาติดๆ ล่ะ? แต่เมื่อหันไปมองอีกครั้งก็รู้สึกขนลุกซ่าทันที...ไม่มีผู้ชายตัวผอมๆ เดินตามหลังมาอีกแล้ว...แถมผู้หญิงในชุดสาวออฟฟิศคนเดิมกำลังเดินตามหลังผมมาติดๆ เล่นเอาต้องรีบจ้ำอ้าวแข้งขาสั่น ใจเต้นโครมคราม รู้สึกสับสนมึนงงไปหมด...

เกิดอะไรขึ้น? หรือว่าพิษเหล้าทำให้ตาฝาดไปเอง?

เสียงรองเท้ากระทบพื้นดังขึ้นเบื้องหน้า...เล่นเอาผมสะบัดหน้าแรงๆ เพื่อไล่ความมึนงงออกไป...เสียงแบบเดิมที่ผมได้ยินเมื่อครู่ก่อนนั่นเอง แต่ทีเสียงผู้หญิงสวมส้นสูงกลับเงียบเชียบตั้งแต่ตอนแรก...

นรกเป็นพยาน! ไอ้หนุ่มผ่ายผอมคนนั้นเองที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้าผม...แถมหันมามองพลางกระตุกยิ้มนิดๆ ก่อนจะเลี้ยวขวาลงสะพานลอย

คุณพระช่วย! นี่มันเกิดนรกจกเปรตอะไรขึ้นมา?

ผู้หญิงที่ขึ้นสะพานนำหน้าเห็นๆ ดันมาเดินอยู่ข้างหลัง ส่วนเจ้าผู้ชายที่เดินตามหลังมาแท้ๆ กลับออกหน้า? ผมคงเมาขาดแน่แล้ว...เรื่องทั้งหมดไม่ใช่ความจริง ภาพที่เห็นล้วนแต่ภาพมายา...ภาพหลอนทั้งเพ!

ผมเดินกึ่งวิ่งลงสะพานลอยแทบจะหกล้มหกลุก ต้นไม้ขนาดใหญ่ที่เรียงรายอยู่ข้างถนนแผ่ร่มเงาคระครึ้ม อะไรบางอย่างทำให้ผมหันกลับไปมองที่สะพานลอยอีกครั้ง

บนหัวบันไดนั่นเอง ผู้หญิงร่างสูงยืนเคียงคู่กับผู้ชายร่างผอมบาง กำลังก้มหน้าลงมามองเงียบเชียบ เยือกเย็น...ผมแผดร้องออกมาสุดเสียง วิ่ง เตลิดไปที่สะพานข้ามคลองประปา...ไม่รู้ว่าโดนผีหลอกหรือผมประสาท หลอนไปเอง แต่ที่แน่ๆ คือทำให้ขนหัวลุกละครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 17 มีนาคม 2551

14 มีนาคม 2559

ปีศาจหมาดำ!

"คนเก่า" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบางบอน

ถ้าจะพูดถึงเรื่องโดนผีหลอก ผมเป็นคนหนึ่งละครับที่ไม่ได้น้อย หน้าใคร เพราะโดนผีหลอกมาสาหัส ไม่ว่าในกรุงเทพฯ ธนบุรี ไปยันต่างจังหวัดอย่างราชบุรีหรือปราจีนบุรี...กินแดนไปถึงภาคอีสานคือจังหวัดกาฬสินธุ์โน่นแน่ะคุณ

เดี๋ยวจะว่าเพ้อเจ้อยืดยาวไม่เข้าเรื่อง ผมขอเล่าเรื่องผีที่เคยเจอะเจอมาตอนสมัยหนุ่มๆ ก่อนละกัน!

ตอนนั้นผมอยู่แถวบางบอน นับเวลาก็ 20 กว่าปีแล้ว ตอนนั้นถนนหนทางยังไม่ตัดปรูดปราดให้รถราแล่นปรื๋อเหมือนอย่างตอนนี้หรอก ลึกเข้าไปมีแต่เรือกสวนไร่นา บ้านช่องก็ยังอยู่ห่างๆ กัน จะชวนเพื่อนฝูงไปเที่ยวก็ต้องนัดแนะ ร้องเน้อ...ให้มาเจอะเจอกัน เรียกว่ายังเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจเอาการ

ผู้คนยังน้อย ภูตผีก็ยังเยอะแยะเป็นธรรมดา

พวกเราจะไปไหนมาไหนต้องอาศัยเรือเป็นหลักใหญ่ จะหาปลาหรือเก็บผักไปขายที่บางแคก็ต้องพายเรือกันไป...ผมโดนผีหลอกจังๆ ทั้งทางบกทางน้ำ บอกไม่เชื่อ! ไม่ขาดใจตายไปซะตั้งแต่นั้นก็ถือว่าเป็นบุญกุศลเต็มที

สาเหตุที่โดนผีหลอกบนบกก็ตอนที่ผมริอ่านออกไปเที่ยวตอนกลางคืนน่ะซีครับ!

ทางการเพิ่งจะเริ่มต้นตัดถนน พวกเราเคยไปรับจ้างเขาเหมือนกัน...ช่วยกันขุดดินขึ้นมาถมตามคำสั่งหัวหน้า เรียกกันว่า "แทงดิน" เฮๆ จนได้บ่อใหญ่ๆ ข้างทางหลายบ่อ เราเรียกกันว่า "บ่อหลา" กลางวันก็เห็นดอกรักสวยๆ น่าเก็บไปฝากสาว แต่กลางคืนมันตะคุ่มๆ ดูเร้นลับยังไงชอบกล

มีเนินดินค่อนข้างสูงอยู่ใกล้ๆ ดงรักก็ขึ้นสะพรั่งอยู่เต็มเนินเช่นกัน

อ้อ! ตอนไปเที่ยวน่ะไปด้วยกันนะครับ มีทั้งหนังและลิเก ไหนจะการพนันขันต่อสารพัดอย่าง แต่พวกผมยังวัยรุ่นเลยชอบดูหนังกับเกี้ยวสาวมากกว่าจะสนใจไฮโลหรือน้ำเต้าปูปลาเหมือนอย่างพวกรุ่นใหญ่เขา

ขากลับน่ะต่างคนต่างกลับ ระยะทางเกือบสองกิโลเมตรเห็นจะได้ ย่ำต๊อกตอนดึกดื่น มีดาบขัดหลังเล่มเดียวก็ถมเถไป วัยคะนองทำให้ฮึกเหิมน่าดู

คืนหนึ่งผมก็โดนผีหลอกเข้าเต็มเปา!

คืนนั้นเดินกลับบ้านราวสองยามเห็นจะได้ ช่วงที่ออกจากหลังตลาดยังมีผู้คนให้เห็นพอสมควร แต่เดินๆ ไปก็หายไปทีละคนสองคน ความที่เคยชินก็ไม่คิดอะไรมาก เดินดุ่มๆ กลับบ้านตามทางเปลี่ยว อาศัยแสงดาวสะพรั่งฟ้าก็เหลือแหล่แล้วครับ

ไม่ช้าก็ถึงบ่อหลาที่เราแทงดินขึ้นมาหลายวัน สายลมพัดโชยมาจากทุ่งกว้างไม่ขาดสาย เสียงแมลงกลางคืนพร่ำเพรียกอยู่ตามกอหญ้า พอเราเดินใกล้เข้าไปมันก็เงียบเสียง ก่อนจะกรีดปีกขึ้นใหม่เมื่อเดินคล้อยหลัง

มีอะไรบางอย่างแตกต่างกว่าคืนก่อนๆ ตรงที่รู้สึกเหมือนมีใครเดินตามมาข้างหลังแต่เมื่อหันขวับไปมองก็ไม่เห็นใครแม้แต่คนเดียว!

ตอนนั้นบอกตัวเองว่า ช่างมัน! ถ้าเป็นผีก็อยากรู้ว่ามันจะหลอกยังไง?

ทันใดนั้นเอง ภาพๆ หนึ่งก็ปรากฏอยู่ข้างหน้า มองเห็นเข้าก็ต้องชะงักกึก หน้าตาชาวูบวาบทันที เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว แต่ปากคอแห้งผากเหมือนจะกลายเป็นผุยผง...ตวัดมือไปแตะด้ามดาบไม่รู้ตัว

หมาดำตัวมหึมา ใหญ่โตเกือบเท่าลูกม้าเห็นจะได้ มันยืนจังก้าอยู่บนโลก...หรือเนินดินสูงๆ ข้างทางนั่น...ตัวมันใหญ่โตจนเล่นเอาตะลึงไป แถมจ้องมองด้วยนัยน์ตาแดงจ้าราวกับแสงไฟ คล้ายจะมีเสียงคำรามขู่ขวัญดังฮื่อๆ มาด้วย

"ผีหลอกแน่แล้ว!" ผมบอกตัวเองอย่างแน่ใจ "หมาบ้าบอที่ไหนจะตัวใหญ่ขนาดนี้ล่ะ นอกจากหมาผี"

ไม่รู้ว่ากลัวจนกลายเป็นความบ้าบิ่นหรือเปล่า? ผมยืนจ้องมองมันแทบไม่กะพริบตา...หมาจากนรกตัวนั้นแสยะปากเห็นเขี้ยวขาววับ ยาวโง้งน่าเสียวไส้ ผมก้มลงคว้าดินแข็งโป๊กก้อนใหญ่ติดมือขึ้นมา ขว้างโครมเข้าใส่ทันที

แม่นเหมือนผีจับยัด!!

โครมเดียวเข้ากลางหลังมันพอดี แต่ไม่ยักมีเสียงร้องอะไรเลย นอกจากจะเผ่นพรวดไปที่ดงรักข้างหน้าผม...หายวับเข้าไปเงียบกริบ ท่ามกลางสายลมที่พัดโชยวู่หวิว เยือกเย็นจับใจขึ้นทุกที

ดงรักเจ้ากรรมที่มันเผ่นวูบเข้าไปก็อยู่ข้างหน้าผมพอดิบพอดี!

คงจะเป็นความบ้าบิ่นนั่นเอง ทำให้ผมกระชากดาบออกมากำแน่น ก้าวช้าๆ ไปที่ดงรักนั้น แหวกหาหมาตัวบะเร่อปานหมายักษ์มาร...ยังไงๆ ก็ดีกว่าออกวิ่งไปเจอมันสวนเข้าใส่ละครับ แต่หาเท่าไหร่ก็ไม่พบ...ไม่มีวี่แววของหมาผีนรกตัวนั้นแม้แต่น้อยนิด

คราวนี้เริ่มจะได้สติ ผมออกเดินขาสั่นนิดๆ ไม่รอช้า...เดี๋ยวๆ ก็หันไปมองข้างหลังด้วยความหวาดระแวงเสียที แต่ก็ไม่เห็นมีอะไรติดตามมา

รุ่งขึ้น ผมไปเลียบเคียงถามยายจ่าง-คนเก่าแก่ย่านนั้นว่ามีหมาดำตัวใหญ่เกือบเท่าวัวเท่าควายอยู่แถวนี้มั่งไหม? แทนที่จะตอบ ยายจ่างกลับทำตาโต ย้อนถามว่า...เอ็งเจอมันเข้าแล้วหรือวะ? โอ๊ย! แถวนี้เขาเคยเจอะมันมาทั้งนั้นแหละ!

ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าผมเจอหมาปีศาจหลอกหลอนเอาเต็มเปา! บรื๋อออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 14 มีนาคม 2551

13 มีนาคม 2559

ศาลริมคลอง

"ป้าเลื่อม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบางหว้า

สมัยสาวๆ ป้าอยู่คลองบางหว้า ธนบุรี พวกผู้ใหญ่แต่ก่อนท่านเคยพูดกันว่า "ไกลปืนเที่ยง" เอาการ เพราะในพระนครจะมีการยิงปืนบอกเวลา 12.00 นาฬิกา หรือเที่ยงตรง แต่บอกตามตรงว่าป้ากับเพื่อนๆ น่ะไม่มีใครเคยได้ยินหรอกค่ะ

เนื่องจากเราเล่นน้ำกันตูมๆ จนตัวไม่แห้ง เหมือนชาติก่อนเป็นปลา! ถ้าไม่มีแม่มาตะโกนเรียกพร้อมกับถือไม้เรียวกำกับก็อย่าหวังเลยว่าจะยอมขึ้นกันง่ายๆ ตอนนั้นอายุ 12-13 แล้วนะคะ แต่กระโดดน้ำตูมๆ กับเด็กผู้ชายจนแทบไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

อ้อ! พวกเพื่อนๆ ป้าน่ะ บางคนก็มีหน้าอกแล้ว แต่ยังแก้ผ้าโดดน้ำกันตูมๆ แถมไม่ค่อยชอบนุ่งผ้านุ่งผ่อนอีกต่างหาก โดนพ่อแม่เอ็ดตะโรเข้าก็คว้าผ้านุ่งมาพันกายอย่างเสียไม่ได้ ปล่อยหน้าอกหน้าใจรับแดดรับลมตามใจชอบ...สมัยนี้ต้องบอกว่า อิสรเสรีเหลืออื่นใด

ยกเว้นแต่บางคนที่ความเป็นสาวมันชักจะตู้มๆ เตะตาขึ้นทุกที พวกแม่ๆ ก็จะคว้าไม้เรียวมากระหนาบบนตลิ่ง ร้องว่า...มึงโตเป็นกาบปูเลแล้วยังไม่รู้จักนุ่งผ้าอาบน้ำ ไม่อับอายผีสางเทวดา เดี๋ยวเงือกหงอนก็มาลักเอาไปทำเมียอยู่ใต้น้ำเท่านั้นเอง!

มีการวี้ดว้ายกันพอสมควร ผู้ใหญ่ส่ายหน้า บอกว่ากระแดะมาก

การเล่นน้ำของพวกเรามีเรื่องสนุกๆ หลายอย่าง ทั้งเล่นไล่จับ เอาเถิด หมาเน่าลอยน้ำ ใช้ผ้านุ่งทำโปงแล้วลอยตะลุบตุ๊บป่องไปเรื่อยๆ พอโปงแตกทีก็ตาลีตาเหลือกขึ้นมาที...เพื่อนๆ ก็จะหัวเราะลั่นไปทั้งคุ้งน้ำเชียว

พวกเด็กผู้ชายเล่นอะไรกัน พวกเราก็เล่นไอ้นั่น จำได้ว่าเพื่อนป้าสองคนชื่อนังเปียกับนังแหวนแก่นแก้วที่สุดในกลุ่ม แม่ยิ่งดุมันยิ่งซุกซนเป็นลิงเป็นค่างขึ้นทุกที

เล่นแข่งว่ายน้ำข้ามฟากกันก็มีค่ะ

ข้างตลิ่งที่เลยหาดไปหน่อยมีต้นมะขามโค่นลงน้ำแต่ปีก่อน กลายเป็นสะพานให้เราไปวิ่งไปโดดน้ำมั่ง เหนื่อยขึ้นมาก็ว่ายไปเกาะกิ่งไม้ลุ่นๆ บางทีก็โหนตัวขึ้นไปนั่งแกว่งขาเล่นในน้ำ...หนักเข้าก็กลายเป็นจุดเริ่มต้น สำหรับวิ่งไปกระโดดน้ำเพื่อแข่งกันว่ายไปที่ฝั่งตรงข้าม ราว 20 เมตรเห็นจะได้ แต่สำหรับเด็กๆ ก็ไกลโขแล้วนะคะ

ฝั่งโน้นยังเป็นสวนเปลี่ยว มีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ ร่มครึ้ม บ้านช่องก็อยู่ลึกเข้าไป แถมปลูกอยู่ห่างๆ กัน

ที่นั่นมีหาดแคบๆ กับพงอ้อกอหญ้าดกหนา เว้าๆ แหว่งๆ อยู่ตามชายน้ำ เหมาะจะเล่นซ่อนหาชะมัดเลย...เสียแต่มีศาลไม้เก่าๆ โดดเด่นอยู่เหนือตลิ่ง เห็นผ้าเหลืองผ้าแดงขาดๆ ห้อยพันรุ่งริ่ง...บางเย็นก็ได้กลิ่นธูปหอมกรุ่นลอยมาเข้าจมูกด้วยค่ะ

พวกผู้ใหญ่เล่ากันว่า เด็กผู้หญิงฝั่งโน้นตกน้ำตายมาสิบกว่าปีแล้ว พ่อแม่ยังรักอาลัยก็ตั้งศาลไว้ให้อยู่ แหม! ป้ากลัวผีเหมือนกันนะคะ ไม่ใช่ไม่กลัว แต่เราไปถึงก็เงยหน้าขึ้นยกมือไหว้ เป็นการขอขมาลาโทษไว้ก่อน

มีคนเห็นเด็กผู้หญิงที่ว่ายืนอยู่หน้าศาลตอนเย็นๆ บางทีก็ลงมาเดินเล่นที่ชายหาดเหงาๆ น่าสงสารเหลือเกิน

บางวันขึ้นจากน้ำหนาวๆ ไปนั่งพัก ป้ายังเคยเห็นใบหน้าเล็กๆ ของเด็กหญิงโผล่ออกมาจากข้างศาล มองเราอายๆ เหมือนกัน ตอนแรกนึกว่าเด็กแถวนั้นอยากจะมาเล่นน้ำกับเรา แต่พอเห็นหัวจุกกับหน้าซีดๆ ตาดำขลับ เกิดรู้สึกขนลุกซ่าที่ต้นคอกับตามท่อนแขน...อ้าปากค้างยืนตัวแข็งเหมือนถูกสาปให้กลายเป็นหิน...

เข่าอ่อนจนต้องนั่งแผละ ใจเต้นตึ้กๆ เหมือนจะพังออกมานอกอกยังงั้นแหละค่ะ!

พวกเด็กผู้ชายนำโดยเจ้าเก่งกับปื๊ด ชอบชวนเพื่อนๆ มาอวดศักดาว่าว่ายน้ำเร็วกว่าพวกเรา แน่ละซีคะ! เด็กผู้หญิงจะว่ายน้ำสู้ได้ยังไง แถมขึ้นฝั่งส่งเสียงเอะอะเอ็ดตะโรเยาะเย้ยเราจนน่าโมโห...ป้าเจ็บใจจนต้องนึกหาทางแก้เผ็ดเอาจนได้

เย็นนั้น เรากำลังเล่นน้ำกันอยู่ดีๆ ก็มีตัวป่วนมากวนอารมณ์อีกแล้ว ป้าเลยชวนเพื่อนๆ ว่ายไปฝั่งโน้น พอถึงก็รีบแอบตามหลังเนินดินกับพงอ้อกอหญ้าสูงๆ ไม่ให้พวกเจ้าเก่งเจ้าปื๊ดมาเจอตัวเอาง่ายๆ

"เฮ้ย! พวกผู้หญิงไปไหนหมดวะ? สงสัยมันจะเล่นซ่อนแอบให้พวกเราหาละมั้ง? ไปหากันโว้ย!"

ขาดเสียง ลมกลุ่มใหญ่ก็พัดฮือมาจากบนตลิ่ง เย็นยะเยือกจับใจ ก่อนจะกลายเป็นเสียงซ่า...เคล้ากับเสียงคลื่นในคลองที่ทยอยเข้ากระทบฝั่ง เกิดเสียงน่าง่วงงุนบอกไม่ถูก

"ฉันอยู่นี่..." เสียงเย็นๆ ดังวู่หวิวมาเข้าหู...เอ๊ะ! เสียงใคร? ป้านึกขณะที่เจ้าเก่งโผล่ขึ้นมาเหลียวซ้ายแลขวา ป้าหลบเข้ากับเนินดินที่มีทางคดเคี้ยว ค่อนข้างชันไปสู่บนตลิ่ง...เจ้าเก่งแหงนหน้ามองแล้วหัวเราะชอบใจ

"โธ่เอ๊ย! นึกว่าจะแอบอยู่ที่ไหนซะอีก ที่แท้ก็..." เสียงนั้นขาดหาย เจ้าเก่งย่นคิ้วเอียงคอมอง ป้าก็มองตามสายตาของมันไป...อุ๊ย! เด็กผมจุกหน้าขาวๆ โผล่ออกยืนที่ข้างศาลในชุดตุ๊กตาชาววัง เสื้อผ้าแดงสด ทาปากแดงแก้มแดง มองลงมาตาแป๋วเชียว

"ขอเล่นด้วยคนได้มั้ยยย..." เสียงเย็นๆ จากปากยิ้มแป้นดูน่ารักดีหรอก แต่ทำไมรูปร่างเธอสูงใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนเลยหลังคาศาล...เจ้าเก่งร้องเฮ้ย! หงายหลังตึง กลิ้งหลุนเป็นลูกขนุนพลางร้องจ้าไม่ขาดเสียง ป้าเองก็หันขวับ กระโจนลงน้ำไม่คิดชีวิต แว่วเสียงเจ้าเก่งร้องโหวกโหวยตามหลัง...รอด้วย! รอกูด้วย...

เรื่องอะไรจะรอให้โง่! ไม่ใช่เสียงเจ้าเก่งร้องอย่างเดียวนี่คะ มีเสียงหัวเราะแหบโหยดังไล่หลังมาอีกต่างหาก...กว่าจะข้ามฝั่งมาได้ก็เหนื่อยแทบขาดใจ อย่าว่าแต่พวกเด็กผู้ชายเลยค่ะ พวกเราเองก็ไม่มีใครกล้าข้ามฟากอีกเลยตั้งแต่นั้นมา!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 13 มีนาคม 2551

12 มีนาคม 2559

ผีเด็กพเนจร

"กอฟ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อผีเด็กมาเล่นด้วย

ผมไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นมาจากไหน? ตามผมมาได้ยังไง? แถมมาวนเวียนอยู่รอบๆ ตัวผมทำไม? รู้แต่แกไม่ใช่มนุษย์มนาอย่างเรา แน่นอน...แกเป็นผีครับ! บางคืนแกยังคึกนึกสนุกพาเพื่อนมาอีกเป็นฝูง...ผีล้วนๆ เลย!

ฟังดูเหมือนผมโม้ใช่มั้ย? แต่มันเป็นเรื่องจริงครับ

ผมชื่อกอฟ อายุ 31 ปี อยู่มหาวิทยาลัยปี 4 จบปีนี้ละครับ อาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านแถวประดิพัทธ ใกล้ๆ สะพานควายนี่เอง บ้านผมไม่เคยมีผีสิงเลย เราอยู่กันแสนสบาย ผมมีน้องสาวอีกคน กำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย

คืนหนึ่ง ผมดูหนังสือสอบอยู่ในห้องนอน เปิดไฟกลางห้องสว่างจ้า ทันใดนั้นผมเห็นหัวเด็กโผล่แว้บๆ อยู่ปลายเตียง คือตอนนั้นผมนั่งพิงหัวเตียงไงครับ ตามองหนังสือ แต่หางตาเห็นสิ่งประหลาดสิ่งนั้น ผมเหลือบมอง หัวนั้นก็ผลุบลงไป

เอ๊ะ! มันอะไรกันเนี่ย?

ทีแรกคิดว่าตัวเองคงตาลาย หรือไม่ก็อาจเป็นหนูที่ไต่ลงมาตามท่อแอร์ ถ้าเป็นหนูล่ะก็มันจะต้องตัวใหญ่เกือบเท่าแมวเชียว ใจนึกถึงกาวดักหนูทันที แต่ตอนนี้ผมคว้านิตยสารม้วนเป็นท่อนกลมๆ ขณะคลานไปชะโงกมองตรงปลายเตียง

ไม่มีอะไรเลยครับ มันว่างเปล่า สงสัยสมองจะเล่นกลกับสายตาซะละมั้ง?

พอคิดได้ดังนั้น ผมก็ถือโอกาสพักสายตาทั้งที่ยังอยู่ในท่านั่ง เอนศีรษะพิงหัวเตียงแล้วหลับตาลง

แต่แล้วก็ต้องลืมตาตื่นทันที เพราะเตียงไหวยวบเหมือนมีอะไรบางอย่างโดดขึ้นมา...แผ่นดินไหวรึเปล่าหว่า?

ปรากฏว่า ตรงปลายเตียงเป็นรอยบุ๋มลงไปจริงๆ

ท่าจะไม่ได้การละ ผมนึกถึงคำว่า "ผี" ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ นั่งจ้องอย่างใจระทึกว่า จะมีการสำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรอีกเป็นรายการต่อไป? ผลุนผลันจวนตัวเข้าจะเผ่นอีท่าไหน? เอ...นั่งรออยู่นานก็ไม่มี

นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้พบกับผีเด็กตนนี้!

สรุปว่าคืนนั้นผมนอนหลับ แต่กว่าจะหลับได้ก็นานเชียวละ มันระแวงนี่ครับ ถึงยังไงตอนเช้าก็ไปมหาวิทยาลัยและสอบได้ไม่ติดขัด นี่คือผลของการได้เรียนวิชาที่ชอบมาก...วิชาจิตวิทยาครับ ผมได้คะแนนเต็มทุกที

คืนต่อมา ผมเดินลงมาชั้นล่างเพื่อดื่มน้ำในตู้เย็น ตอนนั้นห้าทุ่มกว่า เจ้ากล้วยน้องผมคงหลับฝันหวานไปนานแล้ว พ่อกับแม่ยังดูทีวีอยู่ในห้องนอน ผมได้ยินเสียงลอดลงมา

ส่วน "สาวมอน" สาวใช้จอมแก่นก็คงดูรายการภาคดึกอยู่ในห้องคนรับใช้ ไอ้เจ้านี่นอนดึกครับ มันติดทีวีหนักเชียวละ แต่ทำงานบ้านได้ดีมาก...เรื่องนี้เลยต้องยอมปล่อยมันมั่ง

เอาอีกแล้ว ผมกำลังเปิดสวิตช์ไฟในห้องรับแขก จังหวะที่ไฟสว่างพรึ่บ ผมหวิดสะดุ้งเมื่อเห็นเด็กผู้ชายอายุราว 5-6 ขวบ วิ่งหายแว่บไปทางประตูด้านหลัง ที่จะเปิดไปห้องของมอน

แต่ภาพที่เห็นมันผิดธรรมชาติครับ

นั่นคือ ร่างนั้นผลุบหายทะลุผ่านฝาบ้านออกไป เล่นเอาผมหน้าชาเห่อ ขนลุกเกรียวไปหมด ยืนยันเลยว่าคราวนี้ผมไม่ได้ตาฝาด ร่างนั้นแต่งชุดคล้ายๆ นักเรียนอนุบาล หัวก็กลมทุย ท่าทางซน...เอ พูดอีกทีก็เฮี้ยนน่าดู

ผมขนลุกไม่เสร็จ รีบหยิบขวดน้ำในตู้เย็นเดินกลับขึ้นห้อง ไฟก็ทิ้งให้สว่างไว้อย่างนั้น ไม่ต้องปิดแล้ว เสียวสันหลังอย่าบอกใครเชียว

รุ่งเช้า...ตามฟอร์ม พ่อบ่นเรื่องไฟชั้นล่างที่เปิดทิ้งไว้ ผมเลยได้จังหวะเล่าให้ฟังว่า เห็นเด็กลึกลับวิ่งหายวับไปทางกำแพง พ่อบอกว่าผมดูหนังสยองขวัญมากเกินไป แม่ถือแก้วน้ำส้มค้าง ส่วนเจ้ากล้วยทำท่ากระตือรือร้นเต็มที่

อ้อ! มันชอบฟังเรื่องผีครับ ฟังแล้วเอาไปเล่าต่อให้คนอื่นขนหัวลุกเล่นๆ ไง!

ผีเด็กตนนี้มาให้ผมเห็นทุกวัน แกสามารถโผล่ขึ้นมาได้ทุกที่ในบ้าน แม้แต่ตอนผมไปเรียนที่มหาวิทยาลัย ผมยังเห็นเด็กอนุบาลตัวเล็กๆตนนี้เลยครับ

ไม่ได้เห็นเต็มตา แต่แว่บไปแว่บมาให้รู้ว่า...หนูอยู่ที่นี่นะจ๊ะ อิ อิ อิ!

ไปๆ มาๆ ผมก็ชักชินซะแล้วสิ

ความรู้สึกที่แท้จริงนั้นไม่ถึงกับกลัวจนสยดสยองอะไร แค่แปลกใจ รู้สึกประหลาดดี เดี๋ยวๆ ก็มาอีกแล้ว แกมาให้เห็น แต่ไม่ได้มาหลอกหลอน ผมแน่ใจว่าเป็นอย่างนั้นนะครับ

กระทั่งคืนหนึ่งเมื่อเร็วๆ นี้เอง ผมรู้สึกถูกผีอำ เป็นผีเด็กมานั่งบนพุงผม ขณะที่เด็กอีกเป็นสิบวิ่งเล่นเอะอะเจี๊ยวจ๊าวรอบๆ เตียงผม เหมือนกลายเป็นสนามเด็กเล่นงั้นแหละเอ้า!

ไม่ไหวละครับ งานนี้...

ผมเกิดกลัวแล้วละสิ เพราะผีเริ่มมีปฏิสัมพันธ์กับผมได้ แม่เลยพาผมไปทำสังฆทาน เออ...จริงสิ ผีอาจมาขอส่วนบุญ! แต่จนป่านนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าผีเด็กนี้เป็นใคร? ตามผมมาทำไม?

ตั้งแต่ทำบุญให้แกก็หายจ้อยไปเลย อาจจะสำนึกผิดหรืออิ่มบุญแล้วก็ได้ครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 12 มีนาคม 2551

11 มีนาคม 2559

ห้องผีสิง

"ปูเป้" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปนอนในห้องที่มีการฆาตกรรม

ห้องที่เจ้าของบ้านจัดให้ดิฉันอยู่นี้ เป็นห้องที่มีผีสิง!

ดิฉันเคยเป็นครูโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ แต่มีความจำเป็นบางประการที่ทำให้ต้องลาออก แล้วกลับมาอยู่กับพ่อแม่ที่ราชบุรี บ้านของดิฉันเอง ซึ่งเปิดเป็นร้านขายของชำมานานยี่สิบกว่าปี ตั้งแต่ดิฉันยังแบเบาะโน่นแน่ะค่ะ

เมื่อปีที่แล้ว ผู้มีพระคุณของครอบครัวเราเรียกใช้ให้ดิฉันไปสอนพิเศษให้หลานๆ ของท่าน คือลูกของลูกสาวท่านน่ะค่ะ ลูกสาวท่านชื่อคุณกิ่งแก้ว มีบ้านอยู่ที่พุทธมณฑล เธอมีลูกสาว 2 คนเป็นผู้หญิงทั้งคู่ ชื่อน้องกุ้งกับน้องกั้ง อายุ 5 ขวบ กับ 7 ขวบ งานของดิฉันคือไปสอนการบ้านและทบทวนวิชา น้องๆ จะได้เรียนเก่งๆ

ทุกๆ วันศุกร์ตอนบ่ายๆ ดิฉันจะขับรถจากราชบุรีมาที่พุทธมณฑล และค้างคืนวันศุกร์กับวันเสาร์ กลับราชบุรีเย็นวันอาทิตย์ ใช้เวลาอยู่กับน้องกุ้งน้องกั้งเต็มที่ ดูๆ แล้วก็เหมือนครูกึ่งพี่เลี้ยง คือทั้งสองทั้งไปเที่ยวด้วย และคอยดูแลตลอดสุดสัปดาห์ โดยคุณกิ่งแก้วให้ดิฉันนอนในห้องเล็กๆ ห้องหนึ่งที่เรือนคนใช้

เรือนคนใช้ที่ว่านี้ ดิฉันก็เรียกให้โก้ๆ ไปยังงั้นเอง...ที่จริงมันเป็นส่วนหนึ่งของตัวบ้าน แต่สร้างยื่นออกมาข้างๆ ต่อจากห้องครัว ลักษณะคล้ายห้องแถวมี 3 ห้อง

ห้องหนึ่งนั้นมีป้านวลคนรับใช้และนง-คนเลี้ยงเด็กนอนอยู่ด้วยกัน ห้องตรงกลางใช้เป็นที่รีดเสื้อผ้า และห้องริมสุดปล่อยว่างไว้เฉยๆ ดิฉันนอนห้องนั้นละค่ะ มีเตียงมีตู้พร้อมสรรพ ลักษณะเหมือนเคยมีคนอยู่ที่นี่มาก่อน แต่พอถามป้านวลกับนง ทั้งคู่ก็ไม่ทราบเพราะพวกเขาเพิ่งมาทำงานกับคุณกิ่งแก้วได้แค่ 4 ปี

พอมาถึงห้องนี้ก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว...

คนใช้รุ่นก่อนหน้าป้านวลนั้นลาออกไปหมดแล้วละค่ะ คุณกิ่งแก้วบอกว่าไปแต่งงานบ้าง ไปทำงานโรงงานบ้าง ดิฉันก็ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไรเลยแม้แต่น้อย แต่ขอบอกตรงๆ ว่า ตั้งแต่คืนแรกที่ได้มานอนดิฉันก็เริ่มรู้สึกพิกลๆ มันอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก!

ดิฉันไม่ใช่คนกลัวผีนะคะ เพียงแต่หวาดๆ และไม่ชอบอยู่ในที่ที่ทำให้เราต้องคอยหวาดระแวง...ห้องนี้ก็เหมือนกันค่ะ

ทีแรกดิฉันคิดว่าเป็นรอยเปื้อนสีน้ำตาลบนผนังหัวเตียง มันเหมือนเลือดที่สาดกระเซ็นเป็นฝอย ดิฉันเอาฟองน้ำจุ่มน้ำยาล้างจานมาเช็ดๆ มันก็ไม่ออก...ช่างมัน! ไม่เป็นไรหรอก ดิฉันไม่ใช่คนคิดมาก

รอยเปื้อนสีน้ำตาลยังไม่น่าสนใจเท่าอาการปวดต้นคออย่างน่ารำคาญ ซึ่งเกิดทุกครั้งที่ดิฉันใกล้จะเคลิ้มหลับ มันปวดคล้ายๆ ใครเอาอะไรมาสับ...ดิฉันถึงกับลุกขึ้นนั่งในความมืด เอามือนวดต้นคอ พอล้มตัวลงนอนก็เป็นอีก...ทีแรกนึกว่าเป็นเพราะความเครียด แต่เมื่อมันเกิดบ่อยครั้งเข้า ดิฉันก็พยายามคิดหาสาเหตุ...แน่ละค่ะ! ไม่ใช่เพราะความนุ่มความแข็งของหมอน ดิฉันนอนสบายดี แต่จะปวดต้นคอหนึบชาขึ้นมาทุกครั้งที่ใกล้จะหลับ

มันเหมือนมีใครพยายามจะมาบอกอะไรบางอย่าง...

ใครบางคนกำลังแสดงให้ดิฉันดูว่า เขาตายอย่างไร!

นั่นเป็นสิ่งที่แล่นเข้ามาในสมอง ตอนที่ดิฉันกำลังครุ่นคิดว่าอาการปวดมันเกิดจากอะไร? และมันแปลกมากที่ดิฉันเริ่มแน่ใจว่าห้องนี้มีคนตาย! ห้องนี้เคยมีการฆาตกรรม!!

ดิฉันไม่ใช่คนเก็บความสงสัยไว้กับตัวให้ปวดสมองหรอกค่ะ วันหนึ่งเมื่ออยู่ตามลำพังกับคุณกิ่งแก้ว ก็เลยมีโอกาสถามเธอ คุณกิ่งแก้วทำตาดุเชียว บอกว่ามันเป็นเรื่องไม่น่าพูดถึงและขอร้องดิฉันว่าอย่าพูดให้ป้านวลกับนงรู้เป็นอันขาด

บ้านหลังนี้เป็นเรือนหอของคุณกิ่งแก้วเอง อุตส่าห์ปลูกอุตส่าห์สร้าง เก็บเงินเก็บทองกันสองคนกับสามี เป็นบ้านที่เธอรักและผูกพันมาก แต่พออยู่อาศัยมาได้ 5 เดือนก็เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้น...

ตอนนั้นคุณกิ่งแก้วยังไม่ได้ตั้งครรภ์ เธอมีสาวใช้ชื่อดาวเป็นสาวสวย คืนหนึ่งคุณกิ่งแก้วกับสามีไปต่างจังหวัด ดาวแอบพาแฟนเข้ามานอนในห้องนี้ ทั้งคู่เกิดทะเลาะกัน ฝ่ายชายใช้ขวดเบียร์ตีศีรษะเธอเลือดกระจาย เขาตีเธอซ้ำที่ต้นคออย่างแรง ทำให้กระดูกคอหักทันที

ดาวตายในห้องนี้ แฟนเธอก็หนีไปไหนไม่รอด...เรื่องนี้เกิดมาตั้ง 8 ปีแล้วละค่ะ คุณกิ่งแก้วนิมนต์พระมาสวดมนต์ ทำบุญบ้านใหม่เรียบร้อย แต่คนรับใช้คนอื่นๆ ก็ขอลาออกไปหมดเพราะกลัวผีของสาวดาว

คุณกิ่งแก้วบอกดิฉันว่า เธอไม่คิดว่าวิญญาณของดาวจะยังสิงสู่อยู่ห้องนี้ เธอน่าจะไปผุดไปเกิดตั้งนานแล้ว!

คิดดูก็แปลก ที่เมื่อตอนที่ป้านวลมาเป็นลูกจ้างใหม่ๆ พร้อมกับนงนั้น ทั้งคู่ไม่เลือกห้องที่เกิดเหตุ ทั้งที่ไม่รู้เรื่องราวอะไรเลย พวกเธอกลับขอไปนอนด้วยกันในห้องที่ห่างออกไป ป้านวลเคยนอนห้องนี้ แต่ก็บ่นเช่นเดียวกับดิฉันว่าอึดอัดและปวดเมื่อย...โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ต้นคอ

จริงๆ แล้ว วิญญาณของดาวไม่เคยปรากฏเป็นตัวเป็นตน ไม่มีสุ้มเสียงใดๆ แต่ถ้าใครได้เดินเข้าไปในห้องนั้น จะรู้ว่ามันเศร้าและหดหู่มาก เหมือนมีใครพยายามจะบอกอะไรกับเรา แต่ทำไม่ได้เพราะอยู่คนละมิติ...

ในที่สุด คุณกิ่งแก้วก็ให้ดิฉันเข้ามานอนในบ้าน ในห้องนอนที่เตรียมไว้ให้เด็กๆ ซึ่งตอนนี้เด็กทั้งสองนอนกับพ่อแม่ ห้องนั้นก็ว่างอยู่

ห้องที่ดาวตายทิ้งไว้เป็นห้องเก็บของ ป้านวลกับนงยังไม่รู้ ถึงแม้จะมาอ่านคอลัมน์ขนหัวลุกนี้ เพราะดิฉันเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามและสถานที่จริงค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 11 มีนาคม 2551

10 มีนาคม 2559

ผีฆ่าขโมย!

"นายแบน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในซอยผีดุ

ผมเป็นคนย่านบางกรวยนี่เองครับ บ้านอยู่ในตรอกซอยที่มีทางแยกหลายเลี้ยวค่อนข้างจะคดเคี้ยวยอกย้อนเอาการ ตามบ้านช่องส่วนมากมีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มครึ้ม ตอนกลางวันมีคนเดินคึ่กๆ ก็ให้ร่มเงาดีหรอก แต่พอตกกลางคืนผู้คนชักจะบางตา บรรยากาศกลับดูเยือกเย็น น่าวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก

บอกตรงๆ ว่าน่ากลัวทั้งคนทั้งผีแหละครับ!

นับวันบ้านช่องก็ยิ่งแน่นหนา ผู้คนก็เพิ่มขึ้นตามสัดส่วน เคยรู้จักกันทั้งย่านมาเหลือแต่ในซอย ต่อมาก็ชักจะเห็นคนแปลกหน้ามากขึ้นทุกที

ขโมยขโจรค่อนข้างชุม บางทีก็เข้าบ้านกลางวันแสกๆ ยิ่งตอนกลางคืนหายห่วงเลยครับ เพราะมีพวกตีนแมวโผล่ออกมาอาละวาด ตัดช่องย่องเบาสารพัด ไม่ว่าจะปีนรั้วหรือดอดเข้าทางหลังคา ขนาดมีหมาปากเปราะคอยเห่าหอนเตือนภัย แต่ไอ้พวกผู้ร้ายใจบาปก็เอาเนื้อคลุกยาเบื่อให้หมากินจนตาย จะได้ไม่เป็นอุปสรรคในการโจรกรรม

บ้านตรงข้ามผมโดนคนร้ายขึ้นบ้าน ลูกสาววัยรุ่นเกิดเปิดประตูออกมาพอดีเลยโดนปลุกปล้ำ หวังจะข่มขืนเป็นกำไรอีกต่างหาก ดีแต่ว่าเด็กสาวขัดขืน ต่อสู้ไม่คิดชีวิตเลยรอดตัวมาได้ ร้องเอะอะโวยวายให้ช่วย ไอ้โจรหื่นเห็นท่าไม่ดีก็กระโจนออกจากบ้านไป

เขาว่าในซอยผีดุนะครับ มีคนเห็นบ่อยๆ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน ทั้งผีโดนฆ่า โดนรถชน รวมทั้งฆ่าตัวตายเพราะอกหักมั่ง เจ็บไข้ได้ป่วย ทนทุกข์ทรมานเหลือหลาย เลยตัดสินใจฆ่าตัวตายให้พ้นทุกข์พ้นร้อน!

ล่าสุดก็มีสาวใช้ที่บ้านกลางซอย เคยเห็นออกมาเดินหัวเราะต่อกระซิกกับพวกหนุ่มๆ แทบไม่ซ้ำหน้า เกิดผูกคอตายที่ต้นไม้ริมรั้วดื้อๆ สาเหตุเพราะท้องไม่มีพ่อ

ป้าเยื้อนกับยายจง คนข้างบ้านกับก้นซอยเคยโดนผีหลอกคล้ายๆ กัน คือเดินผ่านบ้านนั้นตอนเย็นๆ ได้ยินเสียงเหมือนอะไรหล่นตุ๊บ เลยหันขวับไปมองอย่างไม่รู้ตัว...

สาวใช้ที่ผูกคอตายเดือนก่อนน่ะซีครับ ทิ้งตัวลงมาจากกิ่งมะม่วง ห้อยต่องแต่งเห็นตาถลน ลิ้นจุกปาก เล่นเอาคุณป้ากับคุณยายร้องจ้า....วิ่งไปร้องไปจนหมาเห่าเกรียวกราว ผู้คนแตกตื่นกันทั้งซอย โจษขานเรื่องผีดุสาหัสชนิดน่าขนลุกขนพองสิ้นดี!

เจ้าของบ้านทำบุญเลี้ยงพระแล้วนะครับ แต่วิญญาณเธอก็ไม่ไปผุดไปเกิดเสียที...พวกหนุ่มๆ ที่เคยเดินควงกับเธอ มีทั้งพวกขับตุ๊กตุ๊กและวินมอเตอร์ไซค์ ก็ดูเหมือนจะหายหน้าหายตาไปหมดสิ้น...คงกลัวโดนผีหลอกละมั้ง?

ที่หน้าบ้านสาวผุกคอตายนั่นแหละครับ มีซุ้มกระดังงาอยู่ข้างใน เลื้อยขึ้นมาคลุมรั้วข้างๆ ประตู ใบดกหนาดูร่มครึ้ม ตอนเย็นๆ มักมีดอกสีเหลืองอร่ามโผล่ขึ้นที่นั่นที่นี่ ตอนแรกๆ ก็มีเด็กสาวในซอยวนเวียนมาเด็ดดอกกระดังงาที่ยื่นออกมานอกรั้วแบบถือวิสาสะ แต่เจ้าของบ้านก็ไม่ได้ห้ามหวงอะไร

จนกระทั่งมีสาวใช้ผูกคอตายน่าสยองในรั้วเดียวกัน แถมต้นมะม่วงก็อยู่ใกล้ๆ ซุ้มกระดังงาอีกต่างหาก เดี๋ยวคนนั้นคนนี้โดนผีหลอกน่าขนลุก เด็กสาวๆ ก็เลยไม่กล้ามาข้องแวะแถวนั้นเท่าไหร่ ยกเว้นแต่มากันเป็นพรวนในตอนเย็นๆ ที่มีผู้คนเดินไปเดินมาพอให้อุ่นใจ

วันดีคืนดีก็เกิดเรื่องขนหัวลุกโดยไม่นึกฝัน!

เย็นนั้น เด็กสาว 3-4 คนจากปากซอยเข้ามาเดินเล่น หัวเราะต่อกระซิกจนโดนวัยโจ๋ร้องแซวคึกคะนอง แต่พวกเธอไม่แยแส เดินไปที่ซุ้มกระดังงาดอกเหลืองอร่าม อยู่ค่อนข้างสูงเพราะดอกใกล้ๆ มือโดนเด็ดไปจนเกลี้ยงแล้ว

มีการกระโดดขึ้นไปคว้าเอาดื้อๆ ผิดมั่งถูกมั่ง หัวเราะคิกคักยั่วหนุ่มไปตามๆ กัน

จู่ๆ ก็มีเสียงหวีดว้าย ท่ามกลางความตื่นตะลึงของคนอื่นๆ เพราะใบกระดังงาแหวกพรวด ใบหน้าขาววอกของผู้หญิงโผล่ออกมายิ้มแป้น...สาวใช้ที่ผูกคอตายนั่นแหละครับ!

"ว้ายๆๆ" เสียงร้องเหมือนเกิดไฟไหม้ สาววัยรุ่นกลุ่มนั้นผงะหน้าก่อนจะเผ่นกระเจิงไปคนละทิศละทางพลางร้องว่า "ช่วยด้วยๆ ผีหลอกๆๆ ผีหลอกแล้วโว้ย"

คนที่เดินผ่านไปมาวิ่งมาดูแต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ นอกจากยอดมะม่วงไหวซ่าน่ากลัวทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัดแม้แต่น้อยนิด

คืนนั้นเองที่เกิดเรื่องสยองขวัญสุดขีดขึ้นมา!

ผู้คนเหน็ดเหนื่อยจากการงาน ถึงเวลาพักผ่อนนอนหลับอย่างสุขารมณ์ ท่ามกลางความเงียบเชียบเยือกเย็นของรัตติกาล...เสียงสายลมพัดลู่ไปตามสุมทุมพุ่มไม้ เคล้ากับเสียงหมาหอนเบาๆเหมือนจะเกิดความวังเวงใจเหลือประมาณ

ทันใดนั้น เสียงแผดร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวดสุดขีดก็ดังลั่นไปทั้งซอย ผู้คนสะดุ้งตื่น...ไม่ช้าก็ทยอยกันโผล่ออกมาดูเหตุการณ์ แต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ พี่ส่ง-คนข้างบ้านหันมาบอกผมว่า...ลองแหงนหน้าขึ้นไปดูฝั่งโน้นหน่อย ใครขึ้นอยู่บนต้นมะม่วงน่ะ?

พวกเรา 3-4 คนหับขวับ...เสียงใครร้องเฮ้ย! ผมเองก็ม่านตาพร่าพรายไปถนัดเมื่อมองเห็นภาพนั้นได้เต็มตา

ที่กิ่งมะม่วงอันเคยมีสายใช้ผูกคอตายนั่นเอง ร่างของชายคนหนึ่งห้อยโตงเตงอยู่ที่นั่น! ปรากฏว่าเป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งจะสิ้นใจไปหยกๆ ไม่มีใครรู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน? เหตุใดจึงอุตริปีนเข้าไปผูกคอตายด้วยเชือกป่านที่นั่น?

สันนิษฐานว่าคงจะเป็นหัวขโมยที่โดนอิทธิฤทธิ์ปีศาจเล่นงานหนักหน่วงจนถึงแก่ความตายแน่นอน...เจ้าของบ้านทนไม่ไหวต้องขายบ้านหนีก็แล้วกันครับ! บรื๋อออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 10 มีนาคม 2551

07 มีนาคม 2559

โค้งมรณะ!

"อินทรจักร" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากโค้งมรณะ 100 ศพ

อุบัติเหตุทางรถยนต์เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนบาดเจ็บและล้มตายมากที่สุด ปีละนับหมื่นนับแสนคน แม้ว่าจะมีการรณรงค์ "เมาไม่ขับ" จนถึง "ดื่มไม่ขับ" รวมทั้งการป่าวประกาศเตือนใจต่างๆ ทั่วประเทศ แต่อุบัติเหตุสยองที่ทำลายชีวิตและทรัพย์สินนับไม่ถ้วน ก็เกิดขึ้นแทบไม่เว้นแต่ละวัน

ไม่ว่าถนนหนทางที่ไหนก็ล้วนแต่เป็นอันตราย เป็นกับดักมฤตยูน่าพรั่นสยองทั้งสิ้น!

ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ในเมืองใหญ่และในชุมชนที่รถราคับคั่ง ผู้ขับขี่มึนเมา ง่วงเหงาหาวนอน โดยเฉพาะเกิดความประมาท เป็นบ่อเกิดของอุบัติเหตุตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง...บาดเจ็บสาหัส พิกลพิการ กระทั่งสูญเสียชีวิตก่อนเวลาอันสมควร

ข่าวรถคว่ำเทกระจาด ตายหมู่อย่างน่าอเนจอนาถ ไม่ว่าจะเป็นหน้าเทศกาลท่องเที่ยว หรือแม้แต่ในการเดินทางตามปกติก็ตามที

โค้งมรณะ หรือ โค้ง 100 ศพ ปรากฏอยู่ทุกหัวระแหงก็ว่าได้!

แต่อุบัติเหตุสยองเหล่านั้นเกิดจากความประมาทและความมึนเมาของผู้ขับขี่เสมอไปละหรือ?

นอกจากสาเหตุดังกล่าว ยังมีบางสิ่งบางอย่างที่เป็นความเร้นลับ มีพลังอำนาจแรงกล้า บันดาลให้อุบัติเหตุสยองพลันอุบัติขึ้นมา

นั่นคือ เชื่อกันว่าย่านนั้นมีผีสิง วิญญาณผีตายโหงเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมาน รอคอยอย่างกระสับกระส่ายที่จะกระชากวิญญาณดวงใหม่ๆ ไปเป็นเพื่อน หรือไม่ก็มาทดแทนวิญญาณของตัวเอง...จะได้ไปผุดไปเกิดเสียที

ที่ต.ป่าเมี่ยง อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ก็เช่นกัน!

บริเวณ ก.ม..42-43 ถนนสายเชียงใหม่-เชียงราย ได้ชื่อว่าเป็นโค้งมรณะมานับสิบปีแล้ว เนื่องจากเกิดอุบัติรถชนกันบ่อยครั้ง รถทัวร์ที่ผ่านไปมาด้วยความเร็วปกติ แต่ก็เกิดพลิกคว่ำโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ทำให้มีผู้เคราะห์ร้ายต้องบาดเจ็บเล็กน้อยจนถึงสาหัส...คนชะตาขาดก็ถึงกับล้มตายทับถมกันมานับไม่ถ้วน

ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บรุนแรงมีทั้งแขนขาหัก ซี่โครงหัก กะโหลกร้าว ตาบอด ร้องโอดโอยโหยหวนตั้งแต่จุดเกิดเหตุจนถึงโรงพยาบาล บ้างรักษาตัวอยู่หลายวันแล้วก็ยังเพ้อพกถึงภาพสยองจนผู้ฟังขนลุกขนพองไปตามๆ กัน

"มันดาหน้ากันมาเต็มถนนเลย...โอย! เลือดท่วมตัวก็มี แขนขาขาดก็มี! ไอ้นั่นหัวขาด...มันเดินหิ้วหัวเข้ามาหาเรา! โอ๊ย..."

"คนขับร้องด่าเสียงหลง แล้วต้นไม้ข้างทางก็วิ่งเข้าใส่! เสียงหัวเราะครืนๆ ดังมาจากทุกทิศทุกทาง..."

คนเจ็บยังไม่ได้สติ แต่ก็กระสับกระส่ายพร่ำเพ้อเสียงขาดเป็นห้วงๆ เหงื่อเม็ดโตๆ ผุดเต็มหน้าผาก สะบัดหน้าไปมาพลางขยับแขนขาที่ถูกมัดไว้เพื่อป้องกันการดิ้นตกเตียง

"ผี! ผีทั้งนั้น...มันจะเอาเราไปอยู่ด้วย! ไปให้พ้น...ไม่ไป๊! ข้ายังไม่อยากตาย..."

แม้แต่คนเจ็บบางคนที่ได้สติขึ้นมา ก็ยังเล่าภาพสยดสยองสุดขีดที่มองเห็นเต็มตาก่อนจะเกิดอุบัติเหตุร้ายกาจ...

จู่ๆ ก็มีผู้หญิงที่วิ่งตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิด!

คนขับร้องเฮ้ย! ผู้โดยสารหลายคนก็มองเห็นร่างนั้นผ่านหน้ารถไปช้าๆ ราวกับภาพสโลว์โมชั่น รถหักหลบกะทันหัน...ใบหน้าอุบาทว์นั้นหันมามองพลางแสยะยิ้มอย่างสาสมใจ ขณะที่รถพุ่งเข้าใส่ต้นไม้อย่างไม่มีทางหลบเลี่ยงได้สำเร็จ

โครม!! เสียงสนั่นหวั่นไหวเหมือนฟ้าผ่า...เคล้ากับเสียงหัวเราะเย้ยหยันดังสะท้อนไปมา บาดลึกลงไปถึงหัวใจ...ก่อนที่ภาพและเสียงต่างๆ จะวูบวับดับหายไปในพริบตา!

จนกระทั่งถึงกลางเดือนมกราคม 2550 เทศกาลพืชสวนโลกอันยิ่งใหญ่ตระการตาใกล้จะถึงวันสิ้นสุดลง นักท่องเที่ยวยิ่งแห่แหนกันจากทุกสารทิศ เพื่อมาชมความงามของพืชพันธุ์สวยงามจากทั่วโลกที่นำมาแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทย

วันศุกร์ที่ 19 มกราคม คณะครูและนักเรียนจากอำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี เกือบ 50 ชีวิต ได้เหมารถบัสมาท่องเที่ยวทัศนศึกษาที่เชียงใหม่และเชียงราย แต่ต้องประสบกับอุบัติเหตุร้ายกาจที่โค้งมรณะในอำเภอดอยสะเก็ด...ตายหมู่อย่างน่าอเนจอนาถถึง 21 คน สร้างความสะเทือนใจให้ผู้พบเห็นอย่างเหลือประมาณ

ร่างกายโชกเลือดเหวอะหวะน่าสยดสยอง กระเด็นกระดอนลงไปกองเกลื่อนกลาดเต็มถนน ส่วนใหญ่เสียชีวิตคาที่ บ้างก็คร่ำครวญโอดโอยด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะไปสิ้นลมที่โรงพยาบาล

บรรยากาศของความสลดหดหู่แผ่ซ่านไปทั่วทุกหนทุกแห่ง

หลังจากนั้นไม่นานนัก ก็มีการตั้งศาลขึ้นมา 3 ศาล เพื่อให้วิญญาณที่เจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานได้มีที่สิงสถิตเป็นหลักแหล่ง เจ้าอาวาสวัดพระบาทปางแฟนและพระสงฆ์สามเณรได้รับนิมนต์มาสวดบังสุกุล อุทิศส่วนกุศลไปให้ดวงวิญญาณของครูและนักเรียนผู้เคราะห์ร้ายโดยทั่วถึงกัน

อนึ่ง เป็นเครื่องเตือนใจให้ผู้ใช้รถพึงตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท นับแต่นั้นมา ก็ไม่ปรากฏว่ามีอุบัติเหตุร้ายแรงเกิดขึ้นที่โค้งมรณะแห่งนั้นอีกเลยจนตราบทุกวันนี้!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 21 - ฉบับวันที่ 7 มีนาคม 2551

06 มีนาคม 2559

หลอนสุดขีด!

"ดาริน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณเด็กกลับมาหาแม่

ลูกสาวของเพื่อนดิฉันจมน้ำตายเมื่อไม่นานมานี้ เธอเล่าว่าลูกมาหา มาให้เห็นทั้งตัวและมาบ่อยด้วย! ดิฉันคิดว่าเธอประสาทหลอนเพราะความเสียใจสุดขีด...แต่ดิฉันคิดผิดค่ะ!

"เอ้" กับดิฉันเป็นเพื่อนรักกันมาตั้งแต่ชั้นประถม เธอเป็นผู้หญิงแกร่ง เรียนเก่ง พอจบ ม.6 เธอก็สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ขณะที่ดิฉันต้องเรียนมหาวิทยาลัยเอกชน แต่เราก็ยังสนิทสนมกันเหมือนเดิม

เธอเกิดก่อนดิฉันแค่ 2-3 เดือน ทว่าชอบทำตัวเป็นพี่สาว ซึ่งดิฉันก็ชอบนะคะ ยอมให้เอ้เป็นผู้นำมาตลอด เธอนิสัยดีและช่างเป็นห่วงเป็นใย

พอเป็นสาว เรียนจบปริญญาตรีแล้ว เอ้ก็แต่งงานกับพี่ป๊อดซึ่งเป็นนักธุรกิจ...โศกนาฏกรรมในชีวิตของเอ้เริ่มต้นหลังจากแต่งงานได้ปีเดียว! สามีเธออายุสั้นค่ะ เขาหัวใจวายทั้งๆ ที่ยังหนุ่มแน่น ทิ้งให้เอ้เป็นม่ายสาวตั้งแต่อายุ 25 ปี

....ที่น่าสงสารยิ่งกว่านั้นก็คือ เอ้กำลังอุ้มท้อง!

เมื่อน้องปูเป้-ลูกสาวแสนสวยของเอ้เกิดมา เธอก็ค่อยแช่มชื่นขึ้น เอ้อยู่บ้านกับลูกสาวและคุณแม่ของเธอเอง ปูเป้เป็นแก้วตาขวัญใจ เธอสวยเหมือนนางฟ้ามาเกิดยังไงยังงั้น...แต่แล้ววันหนึ่งก็ถึงเวลาสวรรค์มาทวงเธอคืน...

ปูเป้อายุ 8 ขวบค่ะตอนที่จมน้ำตาย!!

เรื่องนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นเลย วันนั้นเธอร้องไห้งอแงเพราะอยากไปบ้านเพื่อน แต่แม่เอ้ไม่ยอม...เวลาที่เกิดสงครามย่อยๆ ในบ้านแบบนี้ ถ้าคนเป็นพ่อเป็นแม่ใจไม่แข็งพอ ลูกก็มักจะเป็นฝ่ายชนะเสมอ กรณีนี้ก็เช่นกัน

เอ้ต้องจำยอมขับรถไปส่งลูกสาวที่บ้านเพื่อนตอนสายๆ ของวันเสาร์...วันเกิดเพื่อนของปูเป้ค่ะ บ้านนั้นเขาจัดงานเบิร์ธเดย์กัน ปูเป้ถึงได้ดิ้นพราดๆ อยากไปจนได้ เอ้ห่วงลูกมาก แต่เธอมีงานด่วนต้องรีบทำให้เสร็จก่อนวันจันทร์ เลยต้องจำใจทิ้งลูกไว้บ้านนั้น แล้วตอนเย็นๆ จะมารับ...

นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่เอ้ได้กอด ได้หอม และได้เห็นหน้าใสๆ ของลูกยามมีชีวิต! เพราะบ่ายนั้นเอง เด็กๆ นับสิบกว่าคนก็เฮกันไปเล่นน้ำในสระของหมู่บ้าน

ที่จริงมีพี่เลี้ยงของเด็กวันเกิดไปดูแลที่ขอบสระว่ายน้ำ แต่ก็นั่นล่ะค่ะ คนเยอะ เด็กเยอะ ตาลายไปหมด...พี่เลี้ยงก็เป็นเพียงเด็กต่างจังหวัดอายุไม่เท่าไหร่ ใครจะไปจับตาจ้องมองอยู่ตลอดเวลา เจ้าหล่อนมัวแต่คุยเล่นกับเพื่อนบ้าน

แต่จะโทษพี่เลี้ยงเด็กคนนี้คนเดียวก็ไม่ถูกหรอกค่ะ! มันน่าแปลกมาก คนทั้งสระไม่รู้เลยว่า มีเด็กหญิงคนหนึ่งตะเกียกตะกายแล้วจมหายไป น้ำในสระก็ใส แต่ทุกคนกำลังเล่นน้ำตามใจชอบ ไม่มีใครฉุกคิดว่าเธอจมน้ำและขาดใจตาย

เอ้เสียใจแทบไม่เป็นผู้เป็นคน! จากวันนั้น เธอซึมเศร้าไม่พูดไม่จากับใคร แม้จะไปทำงานตามปกติแต่ไม่เหมือนคนเดิมเสียแล้ว พอตกกลางคืนก็หมกตัวอยู่ในห้อง นอนซมบนเตียงที่เคยนอนกับลูกทุกคืน...เอาหมอนลูกมากอด...

ดิฉันกลัวว่าเอ้จะคิดสั้น คุณแม่ของเอ้ก็เป็นห่วง คอยปรับทุกข์กับดิฉันบ่อยๆ แม้จะมองไม่เห็นทางแก้ไข ดิฉันก็หมั่นแวะเวียนไปเยี่ยมเอ้ บางทีก็ค้างคืนด้วย

วันหนึ่งเอ้โทร.มาหาดิฉัน สุ้มเสียงแจ่มใสจนน่ากลัว เธอบอกว่าปูเป้มาหาตอนกลางดึก ดิฉันฟังแล้วนึกในใจว่าเอ้ฝัน...และถือว่าฝันนั้นจริงจัง!

"ปูเป้มาจริงๆ นะ แต่งชุดนอนสีชมพูที่ใส่ลงโลง! แกน่ารักเหมือนเดิมไม่มีผิด"

เอ้เล่าว่ากำลังนอนคิดถึงลูกในความมืดสลัวของห้อง เธอกอดหมอนที่ปูเป้เคยนอน และทันใดนั้น ก็มีแสงเรืองๆ สีเขียวอมฟ้าที่ปลายเตียง...แล้วปูเป้ก็ปรากฏร่างในวงแสงนั้น! แค่นี้เอ้ก็แช่มชื่นเหมือนต้นไม้ได้น้ำ เธอเชื่อว่าลูกกลับมาจากความตายได้จริงๆ

ไม่ใช่หนนั้นหนเดียว ปูเป้มาหาแม่บ่อยขึ้นๆ เอ้เล่าทุกครั้งที่เธอมา...พอถึงตอนนี้ดิฉันชักคิดว่าเอ้เศร้าโศกแสนสาหัสจนประสาทหลอนไปเสียแล้ว!

ในที่สุด เอ้ก็ชวนดิฉันไปค้างที่บ้าน ในห้องเดียวกับเธอ เจตนาก็คือจะให้ดิฉันได้พบปูเป้ด้วยกับเพื่อเป็นการยืนยัน ที่สำคัญ เอ้ไม่คิดว่าลูกเป็นผีเป็นสาง เธอบอกว่าลูกเป็นเด็กที่งดงามน่ารัก...

มันน่ารักน่าชมสำหรับเอ้ แต่สำหรับดิฉันแล้วมันน่ากลัว น่าสยองมากค่ะ!

คิดดูซิคะ ดิฉันต้องอยู่ในห้องนอนมืดๆ แอร์เย็นจัด มีแม่ของเด็กที่ตายไปแล้วจดจ้องไปรอบๆ ห้อง รอการปรากฏตัวของวิญญาณ...เราต้องนั่งเงียบๆ นิ่งๆ และรอคอย

เวลาผ่านไปเป็นชั่วโมงๆ ดิฉันเหลือบมองนาฬิกาที่เป็นเลขเรืองแสง มันบอกเวลาตีสอง! ดิฉันฝืนตาไม่ไหวก็เอนศีรษะลงซบกับพนักหัวเตียง เราสองคนกำลังนั่งอยู่ค่ะ ไม่ได้นอน...พอใกล้จะหลับก็ได้ยินเสียงเอ้หัวเราะเบาๆ ทักทายลูก

ดิฉันลืมตาทันที ขนลุกซ่า ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะมาแว่วๆ

เอ้บอกว่าปูเป้มายืนที่ข้างเตียง ข้างดิฉัน...จากนั้นก็ลอยขึ้น แล้วข้ามมาหาเธอ

ดิฉันไม่เห็น แต่เอ้พากย์ให้ฟังตลอด...มันน่ากลัวจริงๆ จะว่าเอ้หลอนไปคนเดียวก็ไม่ใช่ เพราะดิฉันได้ยินเสียงเด็กหัวเราะ ได้กลิ่นคลอรีนแบบในสระว่ายน้ำ! แค่นั้นก็เชื่อแล้วละค่ะ

ดีใจกับเอ้ด้วยที่เธอติดต่อกับวิญญาณลูกได้ ดิฉันไม่อยากจะเชื่อเลยว่ามีแบบนี้ในโลกด้วย แต่ตอนนี้เถียงไม่ออก...ประสบการณ์คืนนั้นมันหลอนมาจนทุกวันนี้!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 6 มีนาคม 2551

05 มีนาคม 2559

คืนสยองขวัญ

"สองแคว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเชียงใหม่

ผมไม่เคยเชื่อเรื่องผี และไม่เคยถูกผีหลอกมาก่อนแม้แต่ครั้งเดียว แต่บทจะเจอก็เล่นเอาแทบช็อกตายคาที่เลยครับ!

เมื่อต้นปีนี้เอง ผมไปเที่ยวเชียงใหม่กับเจ้าต๋อง - เพื่อนสนิทผู้มีอาชีพค้าขายเหมือนกันที่พิษณุโลก สาเหตุก็ไม่มีอะไรมาก เจ้าต๋องถูกหวยใต้ดินมาหกหมื่นบาท มันแทงส่งเดชไปยังงั้นเอง ตรง-โต๊ดตัวละ 100 บาท โชคดีที่เจ้ามือไม่เบี้ยว แต่เพื่อนผมยังไม่วายบ่นออดว่าน่าจะแทงตัวละสี่ซ้าห้าร้อยจะได้รับทรัพย์เป็นแสนๆ บาท จะได้หยุดงานไปเที่ยวฮ่องกงหรือญี่ปุ่นกันซะเลย

นี่แหละครับ ความโลภของคนเรา

เจ้าต๋องชวนผมขึ้นรถไฟไปเที่ยวกัน บอกว่าจะได้ไม่ต้องห่วงเรื่องขับรถขับรา...นับว่ารอบคอบดี เพราะเจ้าต๋องชอบสุราระดับ "ขาเมา" ส่วนผมก็ขับรถไม่เป็น ยิ่งเห็นเขาขับชนกันโครมๆ ยิ่งไม่อยากหัดขับรถให้หวาดเสียวเปล่าๆ

เป็นอันว่าเราได้ไปแอ่วเวียงพิงค์สมใจ โดยมีเพื่อนฝูงแนะนำโรงแรมที่เชียงใหม่ให้ แถมจองไว้ให้เรียบร้อย

เหตุเกิดที่ใกล้ๆ โรงแรมนั่นแหละครับ จากถนนใหญ่เข้าถนนซอยในราว 100 เมตร เป็นโรงแรมเล็กๆ แถมน่ารักมาก เพราะเขาจัดสวนต้นไม้ดอกไม้เอาไว้ร่มรื่นตั้งแต่ทางเข้า มีแมวสวยๆ 2 ตัวนอนเล่นที่เก้าอี้ยาวริมทาง แถมนกขุนทองอีก 2-3 กรงในแมกไม้ร่มครึ้ม พอเดินผ่านก็ได้ยินเสียงทักทายมาเข้าหู

"สวัสดีเจ๊า..." เล่นเอาเราหันขวับ พอมองเห็นก็อดยิ้มไม่ได้ แวะเข้าไปทักทายมัน นกขุนทองน่ารักเอียงคอมอง แล้วส่งเสียงต่อ "สวัสดีค่ะ" ชัดเจนแจ่มแจ๋วจนเจ้าต๋องจุ๊ย์ปากชมเปาะ

"แหม! มันพูดได้ทั้งภาษาเหนือกับภาษากลางเลยว่ะ"

อ้าว? เสียง "สวัสดีครับ" ดังมาจากใต้ซุ้มไม้ด้านใน...เดากันว่ามันคงได้ยินใครๆ มาทักทายบ่อยครั้งจนจำได้ขึ้นใจ...เราไปรับกุญแจแล้วก็เดินไปที่ห้องใกล้ๆ เคาน์เตอร์นั่นเอง

เป็นห้องเล็กๆ ตั้งเตียงใหญ่แบบโบราณเอาไว้เกือบเต็มห้อง เจ้าต๋องอดหัวเราะไม่ได้ บอกว่าเหมาะสำหรับหนุ่มสาวมาดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์...ปลายเตียงมีตู้เย็นเล็กๆ ใส่น้ำดื่มกับเบียร์หลายขวด บนโต๊ะเครื่องแป้งก็มีถุงขนมเคี้ยวใส่ตระกร้าไว้ด้วย

เย็นนั้นออกไปกินข้าวซอยกับที่ร้านเสมอใจ ถนนฟ้าฮ่าม มีทั้งหมูสะเต๊ะอร่อยๆ กับแคบหมูจิ้มน้ำพริกอ่องให้แกล้มเบียร์ อิ่มหนำแล้วออกเดินชมเมืองกันเพลินๆ จนไปลงเอยที่ไนท์บาซาร์...โห! นักท่องเที่ยวคึ่กๆ โดยเฉพาะฝรั่งหนาตาที่สุด เสื้อผ้าและของพื้นเมืองเรียงรายละลานตาไปหมด

เจ้าต๋องกับผมใจตรงกัน เลือกซื้อเสื้อผ้าฝ้ายคนละ 2-3 ตัว...เดินย่ำกันทั้งสองฟากถนน ไหนจะมีซอกซอยให้เดินชมอีกหลายแห่ง ฝั่งไนท์บาซาร์เดิมก็มีถึง 2-3 ชั้น ทั้งของเก่าและภาพเขียนสวยๆ จนปาเข้าไป 4 ทุ่มกว่าไม่รู้ตัว

นั่งรถแดง-หรือรถสองแถวคนละ 20 บาทกลับโรงแรม.....ปรากฏว่าเรายังไม่ง่วง แต่ฤทธิ์เบียร์หมดสิ้นไปแล้ว!

"ในตู้เย็นไงวะ" เจ้าต๋องนึกได้ จัดการเปิดออกมาดวดกันจนเกือบสองยาม ...เกิดหิวขึ้นมาเลยโทร.ไปสั่งอาหาร แต่ห้องครัวปิดแล้วครับ...เบียร์ยี่ห้อโปรดก็หมด เลยเปิดประตูออกไปยืนเก้ๆ กังๆ เห็นชายคนหนึ่งนั่งสูบบุหรี่อยู่ที่เก้าอี้ยาวหน้าห้องถัดไป ฝั่งตรงข้ามเป็นซุ้มไม้ครึ้มเชียว...เราปรึกษากันว่าจะออกไปหาอะไรกินกันดีมั้ย?

"ไปเซเว่นซีคุณ..." เสียงดังมาจากหนุ่มใหญ่หน้าตาคมสันที่นั่งสูบบุหรี่ สวมแว่นขาวกำลังมองมายิ้มๆ "ไปถึงถนนใหญ่อยู่ทางซ้ายมือ หรือจะไปทางขวาก็ได้ พอถึงสี่แยกก็เลี้ยวซ้าย"

ผมขอบอกขอบใจเขา ... หันไปมองสบตากันแล้วพยักหน้าเป็นเชิงเห็นพ้องด้วย ปัดยุงที่ไต่ตอมแล้วเข้าไปหยิบกุญแจออกมาปิดประตู ชายคนนั้นกำลังก้าวเข้าห้องพอดี ... เรามุ่งหน้าออกไปตามถนนที่ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวอยู่ในแสงไฟ ... มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งแล่นตะบึงผ่านไป ไม่ช้าก็ออกมาสู่ถนนใหญ่ หันมองร้านค้าที่เรามุ่งหน้ามา แต่ก็ยังมองไม่เห็นวี่แวว

รถแดงว่างๆ โฉบมาพอดี เราเลยบอกจุดหมายให้...ค่อนข้างไกลโข แต่เจ้าต๋องก็ได้เบียร์มา 4 ขวดใหญ่ ของขบเคี้ยวที่เป็นกับแกล้มหลายถุง ผมได้ซาละเปาที่คนขายจัดการเข้าตู้อบให้เรียบร้อย...

จ่ายเงินแล้วเราก็ผลักประตูออกมา...อากาศเย็นยะเยือกจับใจ มองไม่เห็นผู้คนจนน่าใจหาย บนถนนก็ดูเหมือนจะมีแต่ความว่างเปล่า มองหารถแดงก็ไม่เห็นซักคันเดียว

"เดินเถอะวะเรา" เจ้าต๋องหันมาเลิกคิ้ว "หนาวๆ แบบนี้คงไม่เหนื่อยหรอกน่า...เดี๋ยวก็ถึง..."

เสียงมันขาดหายไป นัยน์ตามองผ่านผมไปทางขวามือ เมื่อหันมองตามเพื่อนก็เห็นมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งกำลังแล่นมา...ชายคนขับไม่ได้สวมหมวกนิรภัย มองเห็นใบหน้าที่มีรอยยิ้มกว้าง นัยน์ตาหลังแว่นขาวจ้องมองเราเหมือนจะทักทาย ก่อนจะผ่านหน้าไปอย่างเชื่องช้าราวกับภาพสโลว์โมชั่น

"เฮ้ย..." เจ้าต๋องคราวอ๋อย ปล่อยถุงเบียร์หล่นจากมือ ผมเองก็ไม่รู้สึกม่านตาพร่าพรายไปพักใหญ่ ได้ยินเสียงขวดแตกดังแว่วๆ เต็มที...เราคงจะเมาทั้งคู่จนเห็นว่าชายที่ขับรถผ่านเป็นคนๆ เดียวกับที่เราเพิ่งเห็นเปิดประตูเข้าห้องไปหยกๆ ที่โรงแรม...

ทุกวันนี้นึกถึงใบหน้าที่ยิ้มกว้างแล้วยังขนลุกเลยครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 5 มีนาคม 2551

04 มีนาคม 2559

วิญญาณพเนจร

"ฮอลล์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากทางหลวง

ดิฉันเคยได้ยินได้ฟังเรื่องภูตผีปีศาจมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วค่ะ พวกผู้ใหญ่ชอบเล่าให้ฟังมาตั้งแต่จำความได้ ไม่ได้ตั้งใจให้หวาดกลัวหรืองมงายอะไรหรอกนะคะ แต่เพื่อสั่งสอนให้ระมัดระวังตัวเอาไว้ต่างหาก

ถึงแม้จะเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ท่านบอกว่าที่ไหนๆ ก็มีวิญญาณล่องลอยอยู่ทั้งนั้น ไม่ว่าในป่าหรือในเมือง เพียงแต่เรามักจะมองไม่เห็นเอง

บางท่านก็บอกว่า ถ้าคนเราเชื่อถือในเรื่องภูตผี ซึ่งรวมถึงเทวดาหรือเทพประจำตัว จะไม่กล้าทำความผิดบาปและความชั่วต่างๆ เพราะมีความเกรงกลัวหรืออับอายว่าจะมีผู้รู้เห็น อย่าคิดว่าทำอะไรในที่ลับแล้วจะรอดสายตาใครไปได้

ตรงตามที่คนสมัยก่อนเชื่อถือและสั่งสอนต่อๆ กันมานั่นแหละค่ะ

"ถึงมนุษย์จะไม่เห็น แต่ผีสางเทวดาก็เห็น"

นอกจากนั้น ยังสั่งสอนให้ระวังทางเปลี่ยว ต้นไม้ใหญ่ จอมปลวก...ถ้าคิดอย่างคนสมัยใหม่ก็พอจะเข้าใจได้ว่า คำสอนเหล่านั้นเป็นสิ่งเตือนสติให้เราตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาทในทุกสถานที่นั่นเอง จริงไหมคะ?

ตามถนนหนทางย่อมมีผู้เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุมากมาย เป็นชุมทางวิญญาณที่ล่องลอย วนเวียนอยู่โดยไม่ได้ผุดเกิด ขอให้ระมัดระวังเป็นพิเศษ!

ดิฉันเองยอมรับว่าไม่ค่อยเชื่อถือสิ่งลี้ลับเหล่านี้ แต่ก็รับฟังเงียบๆ โดยไม่ได้โต้แย้งอะไร...จนกระทั่งได้ประสบกับเหตุการณ์สยองขวัญเข้ากับตัวเองอย่างจังๆ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้เอง

เรา...คือดิฉันกับเพื่อนๆ อีกห้าคนในบริษัทชวนกันไปเที่ยวจังหวัดตาก บ้านเดิมของ "พี่แตง" โดยมีโปรแกรมจะไปแม่สอด ชมตลาดพลอยริมน้ำเมย ข้ามไปฝั่งเมียวดีของพม่า รวมทั้งเลยไปชมน้ำตกทีลอซูที่เคยเห็นแต่ในหนังสือและทีวี...อ้อ! เราเช่ารถตู้ไปค่ะ

ออกจากกรุงเทพฯ ที่ข้างเซ็นทรัลเจ็ดโมงเช้า พวกเราผู้หญิงล้วนๆ พูดคุยและหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างสนุก พลางชมวิวข้างทางกันอย่างตื่นตาตื่นใจ...ใช้เวลาสองชั่วโมงเศษ ก็ถึงตลาดปากบางสิงห์บุรี มีก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อยที่เพื่อนแนะนำ ไม่ว่าก๋วยเตี๋ยวหมูหรือก๋วยเตี๋ยวผัดไทย...พวกเราล้วนแต่เจริญอาหารกันทุกคน

ร้านนั้นขายของฝากนักท่องเที่ยวสารพัด ทั้งผลไม้แช่อิ่มและขนมเปี๊ยะชื่อดังจนเราอดซื้อไม่ได้ไปตามๆ กัน

เดินทางต่อจนใกล้จะถึงคลองขลุง มีโปรแกรมอาหารกลางวันที่ไทยเจริญ รถจอดในปั๊มน้ำมันเล็กๆ แห่งหนึ่ง มีป้ายตัวโตๆ เขียนไว้ว่า "ห้องน้ำสะอาด" พวกเราก็แวะกันอีกครั้ง ใครออกมาก่อนก็เดินไปดูร้านค้าในปั๊มแบบร้านสะดวกซื้อน่ะค่ะ

ขณะนั้น ใกล้จะเที่ยงแล้ว แต่ท้องฟ้ามืดครึ้มไม่มีแดดเลย ลมพัดมาแรงๆ จนรู้สึกหนาวยะเยือกชอบกล...อ้อ! ถือว่ายังไม่สิ้นฤดูหนาวนะคะ

"แหม่ม" เพื่อนที่นั่งคู่กับดิฉันออกเดินนำหน้าไปที่รถ แต่ก่อนจะก้าวขึ้นก็หันไปมองเพื่อนๆ ที่เพิ่งทยอยออกจากร้าน...ใครหลงลืมอะไรก็ซื้อหาเอาที่นั่น พวกของกระจุกกระจิกตามประสาผู้หญิงแหละค่ะ แหม่มบ่นว่ามัวแต่โอ้เอ้อยู่นั่นแหละ เสียเวลาเปล่าๆ

"เอ้า! เร็วๆ เข้า พวกเราขึ้นรถ!" เธอโบกมือพลางตะโกนเสียงลั่น

ขาดเสียง ลมกลุ่มหนึ่งก็พัดฮือเข้ามาหา เย็นยะเยือกจนดิฉันขนลุกซ่าไปทั้งตัว...แหม่มเองก็หันขวับมามองด้วยแววตางุนงง เหลียวซ้ายแลขวาพลางบ่นพึมพำ

"ทำไมลมพัดแรงจังนะ?" ก่อนจะหันไปตะโกนเรียกเพื่อนๆ อีกครั้ง "ใครชักช้า จะทิ้งให้ร้องไห้อยู่ที่นี่นะ"

เมื่อรวมพลเรียบร้อย คนขับก็พารถออกสู่ถนน...พวกเราควักของที่ซื้อออกมาอวดกัน หัวเราะคิกๆ คักๆ ล้อแหม่มที่ทำตัวเป็นหัวหน้าทัวร์...ขณะที่บางคนทำจมูกฟุดฟิดเหมือนได้กลิ่นอะไรแปลกๆ ตอนแรกก็ไม่มีใครสนใจ แต่ไม่ช้าก็ชักจะมีคนที่หันหน้าหันหลัง ทำจมูกย่น...ดิฉันเองก็เช่นกัน!

กลิ่นเหม็นตุๆ เหมือนปลาเค็มเผารบกวนจมูกชอบกล แหม่มถามไปทั่วๆ รถว่าใครซื้อปลาเค็มจากปากบางมาหรือเปล่า? ทุกคนยืนยันว่าไม่ได้ซื้อ นอกจากผลไม้แช่อิ่มกับขนมเปี๊ยะเท่านั้น "หญิง" ผู้นั่งหลังสุดถึงกับตะโกนมาว่า...ถ้าจะเหม็นปลาเค็มก็ต้องเหม็นมาตั้งแต่ปากบางแล้วน่ะซี

แหม่มนิ่งอึ้ง...แต่กลิ่นเหม็นตุๆ ยิ่งรุนแรงร้ายกาจขึ้นทุกที ราวกับมีหนูเน่าตายจนตลบอบอวลไปทั้งรถ!

"จอดๆๆ" แหม่มร้องลั่น เอื้อมมือไปตบกระจกหลังคนขับที่เป็นชายวัยกลางคน...เขาหันขวับมามองแวบหนึ่ง ลืมตาโพลง อ้าปากค้างจนรถเป๋ไปทางขวา เคราะห์ดีที่ไม่มีใครขับแซงขึ้นมา เสียงหวีดร้องดังระงม ตามด้วยเสียงเบรกรถชวนเสียวฟัน

"เป็นอะไรไปลุง" แหม่มเสียงขุ่นเขียว "จู่ๆ ก็ทำหน้าเหมือนถูกผีหลอกยังงั้นแหละ ดีนะที่รถไม่ตกถนนน่ะ?"

คนขับหน้าขาวซีด กลืนน้ำลาย ถามว่า...พวกคุณมาแต่ผู้หญิงล้วนๆ ไม่ใช่รึ? เมื่อตะกี้ผมเห็นผู้ชายหน้าดำปี๋นั่งอยู่ท้ายรถ! คราวนี้เลยหวีดว้ายกันระงม หันขวับไปมองก็ไม่เห็นผู้ชายที่ไหน แต่กลิ่นเหม็นยังคงอบอวลตามเดิม ต้องให้เปิดประตูแล้วรีบแย่งกันลงจากรถ

"คุณไม่น่าเรียกเขาขึ้นรถนี่นา" คนขับบอกเสียงอ่อยๆ "เขาถือรู้มั้ย? เล่นบอกว่าพวกเราขึ้นรถ! เขาก็เลยขึ้นมาด้วยน่ะซี"

พวกเราตาเหลือกไปตามๆ กัน...แหม่มรีบบอกกล่าวว่าจะทำบุญกรวดน้ำไปให้โดยเร็ว แต่ตอนนี้ขอให้ "เขา" ลงจากรถก่อนแล้วกัน...ต่อจากนั้นก็ออกเดินทางต่อ แม้ว่ากลิ่นเหม็นจะหายไปแล้ว แต่นึกถึงทีไรก็ขนหัวลุกทุกทีเลยค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 4 มีนาคม 2551

03 มีนาคม 2559

สมบัติผี!

"สมพงษ์" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากปทุมธานี

"พระพยอมเผย พบเงินสดเป็นล้านกับทองคำเส้นโตใน หัวเตียง ที่บริจาคให้วัดสวนแก้ว! ประกาศให้ทายาทนำหลักฐานมารับ คืนด่วน!"

เชื่อว่าท่านผู้อ่านส่วนมากคงจะได้พบข่าวน่าตื่นเต้นนี้ใน "ข่าวสด" แล้ว...เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์คล้ายๆ กันเมื่อราว 20 ปีมาแล้ว เกิดขึ้นที่จังหวัดปทุมธานี...ทั้งน่ากลัวและน่าสยดสยองพองขนไม่มีวันลืมเลือน

เพื่อความเหมาะสม ผมจะไม่เอ่ยถึงรายละเอียดของสถานที่และบุคคลผู้เกี่ยวข้อง นอกจากเรื่องราวน่าขนหัวลุก ดังนี้

"ยายขาว" เป็นหญิงชราข้างบ้านวัย 70 เศษ รูปร่างผอมสูง ผิวคล้ำ ผมทรงดอกกระทุ่มขาวโพลน ชอบนุ่งผ้าลายเก่าๆ สวมเสื้อคอกระเช้าสีปูนแห้ง เคี้ยวหมอกหยับๆ ติดปากอยู่เสมอ...สิ่งที่สะดุดตาก็คือใบหน้าแข็งกระด้าง ปากบางเฉียบ นัยน์ตาเยือกเย็นดูน่ากลัวเหมือนตางู หรือก้อนหินใสๆ ที่ไม่มีวี่แววใดๆ ทั้งสิ้น

แกอาศัยอยู่ในบ้านเก่าๆ ชั้นเดียวริมรั้วที่มีต้นไม้ร่มครึ้ม ลูกๆ หลานๆ อยู่บ้านหลังใหญ่สองชั้น ไม่ใช่ว่ายายขาวถูกทอดทิ้ง แต่แกเองที่ไม่อยากอยู่กับลูกๆ ไม่ชอบสุงสิงกับหลานๆ ทั้งหญิงและชาย

วันๆ ถ้าไม่เก็บตัวเงียบอยู่ในบ้าน ยายขาวก็มักจะออกมาคุ้ยเขี่ยกองขยะที่ชาวบ้านนำมาทิ้งกันทุกวัน...เป็นที่รู้กันว่ายายขาวออกมาเก็บของที่แกคิดว่ามีค่าไปเก็บไว้นั่นเอง!

ตั้งแต่กระป๋อง, กล่องนม, ขวดพลาสติก, วิทยะและทีวีเก่าๆ, ท่อน้ำ, กรอบรูป...แม้แต่เศษไม้และแปรงสีฟันเยินๆ ก็อุตส่าห์เก็บเอาไปใส่ถังเหลืองก้นทะลุกับกะละมังขึ้นสนิม...กองสุมอยู่ที่ใต้ถุนบ้านจนที่นั่นกลายเป็นขยะกองโต ไม่ว่าใครๆ เดินผ่านก็ล้วนแต่หันมองไปตามๆกัน

เป็นที่รู้กันว่าแกเคยเป็นเศรษฐีเก่า เมื่อผัวตายก็ยกสมบัติให้ลูกสาวสองคน ตัวเองปลีกวิเวกอยู่เดียวดาย เรื่องอาหารการกินก็มีลูกหลานดูแล หรือไม่แกก็เดินไปหาอะไรกินในครัวหลังบ้าน

ป้านิด กับ ป้าหน่อย ลูกสาวของยายขาวเคยคุยกับแม่ผมในทำนองว่า...เป็นความสุขของแกก็ต้องปล่อยไป เคยทักท้วงห้ามปรามว่าอย่าไปเก็บขยะเลย แต่ก็ไร้ผล

"บอกตรงๆ ว่าอายชาวบ้านเขาเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะทำยังไง?"

ป้านิดส่ายหน้า ถอนหายใจยืดยาว แม่ผมปลอบว่าคนแก่ส่วนมากก็เป็นยังงี้แหละ ไม่เจ็บไข้อาการหนัก หรือว่าหลงๆ ลืมๆ ก็ถือว่าโชคดีแล้ว...ไม่แน่นะ! แกอาจจะซุ่กซ่อนสมบัติเอาไว้ในห้องอีกมากมายก็เป็นได้!

ว่าแล้วก็หัวเราะกันอย่างสนุก...คงไม่มีใครนึกคิดว่าเรื่องที่พูดกันนั้นจะมีคนอื่นๆ ที่คิดตรงกัน...ยายขาวคงเก็บงำหรือซุกซ่อนเงินทองเอาไว้โดยไม่ปริปากให้ใครรู้เลยแม้แต่คนเดียว

จนกระทั่งวันหนึ่ง ยายขาวก็นอนหลับโดยไม่ตื่นอีกเลยตลอดกาล!

ป้าหน่อยเป็นคนไปพบศพแม่เมื่อใกล้เที่ยงแล้ว ผิดสังเกตที่ไม่เห็นออกมากินข้าวกินปลา เรียกก็ไม่มีเสียงขานรับ เมื่อให้ลูกชายปีนเข้าไปทางหน้าต่างจึงได้รู้ว่ายายขาวนอนตัวแข็งทื่อ ลืมตาโพลง ปากอ้าค้างเหมือนจะร้องเรียกให้คนช่วย...หรือไม่ก็บอกกล่าวอะไรที่เป็นความลับให้ลูกหลานได้รับรู้ก่อนจะสิ้นใจตาย...

งานศพยายขาวผ่านไปแล้ว!

ต่อจากนั้นคือการเรียกรถมาขนขยะที่กองรอบบ้านและใต้ถุนไปทิ้ง ถ้าเพื่อนบ้านอยากได้อะไรไปใช้ก็ให้มาหยิบฉวยไปได้ตามใจชอบ

ไหนจะตามระเบียงและในห้องนอน ที่ป้านิดป้าหน่อยมองเห็นเข้าก็ทอดถอนใจไปตามๆ กัน สั่งให้ขนออกไปทิ้งจนหมด โดยมีเพื่อนบ้านกลุ่มใหญ่มาเมียงๆ มองๆ ด้วยความสนใจใคร่รู้ว่าจะมีสมบัติอะไรที่พอจะเรียกว่าเป็นชิ้นเป็นอัน หรือมีค่าควรแก่การเก็บงำ นำไปใช้สอยได้หรือไม่?

ทำไปทำมา ขยะของยายขาวก็ชักจะกลายเป็นของมีค่าขึ้นมา!

ดูเหมือนว่านอกจากกระเบื้องถ้วยกะลาแตกแล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจนัก เหลือไว้แต่ตู้เตียงและโต๊ะเก้าอี้ ที่ลูกๆ หลานๆ ของยายขาวไปดูๆ แล้วก็ช่วยกันขนเสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่มีราคาค่างวดอะไรออกมากองไว้หน้าบ้าน ใครอยากได้อะไรก็มาหยิบฉวยไปได้ตามใจชอบ จนเรือนไม้เตี้ยๆ ของยายขาวโปร่งโล่งดูสบายตา ไม่รกรุงรังน่าหวาดระแวงว่าจะมีงูเงี้ยวเขี้ยวขอซุกซ่อนอยู่ได้อีกต่อไป

ในเมื่อเหลือแต่ตู้เตียงและโต๊ะเก้าอี้เก่าๆ บ้านนั้นก็ปิดประตูหน้าต่างเอาไว้เงียบๆ กลายเป็นบ้านร้างที่ดูน่าวังเวงใจในยามค่ำคืน...จนกระทั่งเรื่องน่าสยดสยองเกิดขึ้น

คืนหนึ่ง มีเสียงร้องเอะอะโวยวายขึ้นที่บ้านร้างกลางดึก เมื่อเพื่อนบ้านตื่นขึ้นมาก็เห็นร่างตะคุ่มๆ กำลังกระโดดลงจากรั้วไม้ระแนง วิ่งพลางร้องพลางจนหายลับไปทางก้นซอย

พวกเราจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันเซ็งแซ่...มีขโมยเข้าไปในบ้านร้างของยาวขาว ทั้งๆ ที่รู้กันว่าไม่มีสมบัติอะไร บางคนตั้งข้อสังเกตว่า หัวขโมยคงมั่นใจว่าผู้ตายซุกซ่อนเงินทองเอาไว้ก็เป็นได้ เลยดอดเข้าไปค้นหาดู แต่คงเจอะเจอภาพสยองเข้าจนร้องเอะอะก่อนจะหนีเตลิดเปิดเปิงไป

ป้านิดกับป้าหน่อยชวนลูกๆ เข้าไปค้นดูตามตู้เตียงจนละเอียด แม้แต่ซอกเล็กๆ และช่องลับที่หัวเตียงก็ไม่พบของมีค่าอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว ไม่ช้าก็ตัดสินใจยกตู้เตียงของยายขาวถวายวัดไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราว...

พวกเราถึงได้รู้แน่ชัดว่าสมบัติล้ำค่าที่ยายขาวหวงนักหนาก็คือตู้เตียงเก่าแก่ที่แกเคยใช้สอยมาตลอดชีวิตนั่นเอง!


ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 3 มีนาคม 2551