22 มีนาคม 2558

บ้านผีสิง

"เบียร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณข้างบ้าน

เด็กผู้ชายข้างบ้านผมผูกคอตาย เขาชื่อเข้ แบบตะเข้นั่นล่ะครับ ไม่รู้ว่าพ่อแม่เขาคิดยังไงถึงได้ตั้งชื่อ แบบนี้ แต่ฟังดูก็น่ารักดี...เข้เป็นเด็กดี เงียบๆ ขรึมๆ เรียบร้อยจนผมนึกว่ามันน่ารำคาญเกินไปสำหรับเด็กวัยรุ่นผู้ชาย ที่จะต้องบู๊นิดๆ ซนหน่อยๆ ให้ชีวิตมันร่าเริง

เออ! อาจเพราะนิสัยแบบนี้ก็ได้ที่ทำให้เข้เป็นคนคิดสั้น ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเข้ถึงฆ่าตัวตาย ได้แต่สรุปว่าเครียดเพราะเรื่องเรียน

คิดดูแล้วน่าสงสารมากครับ พ่อแม่เขามีลูกชายคนเดียว เลี้ยงดูทะนุถนอมมาสิบกว่าปี อยู่ดีๆ ก็ผูกคอตัวเองกับราวบันได ว่ากันว่าแม่ตื่นมาพบตอนตี 4 ก็สุดจะเยียวยาเสียแล้ว

หลังจากเข้ตาย พ่อแม่ก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น ผมไม่เห็นแสงไฟจากบ้านหลังนั้นมาเกือบปีแล้วล่ะครับ นับแต่ วันที่ทุกคนจากไป เมื่อเสร็จงานศพของเข้ บ้านก็ถูกปิดทิ้งไว้เฉยๆ นานๆ ทีจะมีลุงแก่ๆ มาดายหญ้ารอบตัวบ้าน กระนั้นต้นไม้ใบหญ้า กาฝาก วัชพืชก็ขึ้นรกเรื้อไปหมด...ดูเหมือนเจ้าของบ้านไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี?

ที่จริงก็น่าจะขายหรือให้เช่า แต่อย่างว่าล่ะครับ บ้านที่มีคนฆ่าตัวตายใครจะกล้ามาอยู่? พวกญาติๆ เคยยุให้ผมซื้อไว้เอง จะได้ขยับขยาย หรือทำสนามให้ลูกวัยซนของผมวิ่งเล่นก็ได้ แต่บอกตรงๆ ว่าผมไม่เอาหรอก...ก็กลัวผีน่ะซีครับ

เคยมีพวกไม่กลัวผีเข้าไปตอแยกับบ้านหลังนี้... ก็พวกตัดช่องย่องเบาไงล่ะครับ มันคงเห็นเป็นบ้านไม่มีคนอยู่ อยู่แต่ทีวี สเตอริโอ แอร์ และเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น มันต้องนึกเสียดาย คิดว่าทิ้งไว้เปล่าประโยชน์ จะเอาไปช่วยใช้! แต่เชื่อมั้ยครับ ไม่มีใครเอาอะไรออกมาจากบ้านนั้นได้แม้แต่ชิ้นเดียว ทุกอย่างยังอยู่ตามที่ตามทางของมันเหมือนเดิม

นี่เองเป็นที่มาของคำร่ำลือว่า...ที่นี่เป็นบ้านผีดุสาหัสสากรรจ์!

ว่ากันว่า ภายในบ้านนั้นยังดูสะอาดสะอ้านน่าแปลกใจ เชือกที่เข้ใช้แขวนคอตัวเองยังห้อยเป็นสายยาวเหมือนงูพิษอยู่ที่ราวบันได มันเป็นเชือกผูกคอตายที่ใครๆ อยากได้กันนัก เพราะจะเอาไปทำเครื่องรางของขลังที่มีอิทธิฤทธิ์อย่างยิ่ง

แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครไปแตะต้องเชือกมรณะเส้นนั้นได้!

ผมเชื่อนะครับว่าวิญญาณที่อาภัพ หดหู่ของเข้ยังคง วนเวียนอยู่ตามห้องต่างๆ

อันมืดสลัวในบ้านนั้น บางทีตอนดึกๆ ผมมองจากหน้าต่างห้องนอนชั้นสามข้ามสนามหญ้าบ้านผมไปยังบ้านหลังเล็กของเข้ มันน่าเศร้ามาก นึกถึงวิญญาณของเด็กวัยรุ่นที่ต้องหงอยเหงา เดียวดาย และเสียใจต่อการปลิดชีวิตตนเอง อย่างที่ไม่สามารถจะเรียกอะไรกลับคืนมาได้เลย

เขาว่าวิญญาณคนฆ่าตัวตายจะต้องทนทุกข์ทรมาน อยู่ตรงที่ตัวเองตายตลอดกาลวิญญาณจะไปสู่สุคติไม่ได้ ต้องติดแหง็กอยู่ในดินแดนที่อยู่ระหว่างโลกคนเป็นกับโลกคนตาย

สามเดือนก่อน บ้านผมจัดงานวันเกิดครบสิบสามขวบให้ลูกชายคนโต ตอนนั้นเป็นวันเสาร์ เพื่อนๆ ลูกมาเต็มบ้านครึกครื้นดี ผมกับภรรยาก็อยู่ดูแลลูกตัวเองและลูกคนอื่น

ราวบ่ายสี่โมงเห็นจะได้ พวกเด็กผู้ชายเล่นเตะบอลกันสนุกสนานที่สนามหญ้า และแล้ว...หวือ...ลูกฟุตบอลลอยข้ามรั้วไปตกในพุ่มไม้ใบหญ้าของบ้านร้าง ลูกหันมาสบตาผมเป็นเชิงขออนุญาตเข้าไปเก็บบอล ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า...อยากเก็บก็ไปเองนะ แต่พ่อน่ะไม่ไปหรอก

ทันใดนั้น ลูกฟุตบอลก็ลอยโด่งข้ามรั้วกลับมาเองอย่างสง่างาม

ลูกผมมันร้องเฮ้ย! แล้วโดดหนีลูกฟุตบอลของตัวเองราวกับมันเป็นลูกระเบิด!

ลูกมาเล่าทีหลังว่าแกเห็นลูกบอลเป็นตัวคน พอกะพริบตาอีกทีก็กลับเป็นลูกบอลตามเดิม! แต่แค่นั้นก็พอแล้วครับ แกเลิกเล่นทันที แต่เพื่อนๆ ก็เล่นกันต่อไป...แล้วอยู่ดีๆ ลูกบอลก็ลอยข้ามรั้วไปอีกแล้ว

คราวนี้เพื่อนลูกคนนึงอาสาเดินอ้อมรั้วไปเก็บให้ และหายไปนานเชียว...นานจนเราเป็นห่วง พอขยับตัวจะลุกไปตาม เด็กคนนั้นก็เดินอุ้มลูกบอลกลับมา... บอกว่าไปคุยกับพี่ข้างบ้านมาน่ะ...

อ้าว? พี่ที่ไหน? ใครล่ะเนี่ย...

ผมขนลุกซู่ แข็งใจย่องไปเมียงมองตามช่องรั้ว เพราะในใจคิดว่าใครกันหว่า...ถ้าเป็นพวกผู้ร้ายมันซุ่มอยู่ เดี๋ยวตอนมืดๆ มันจะมาปีนบ้านผมซะ

ภาพที่เห็นทำให้ผมยืนตะลึง ตัวแข็งทื่อราวกลายเป็นรูปปั้นในพริบตานั้นเอง!

เด็กหนุ่มที่ตายไปปีกว่าแล้ว มานั่งอยู่ที่ม้าหินในบ้านเขาเอง แววตาเศร้าสร้อยหงอยเหงามองมาเหมือนคนเป็นๆ ทุกอย่าง แสงแดดอ่อนยังสาดส่องร่างเขาชัดเจน...แต่ไม่ถึงอึดใจเขาก็จางไปกับแสงแดดเชื่องช้า

นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ผมเห็นผีเต็มตา...แถมเห็นในเวลากลางวันแสกๆ ชนิดเถียงไม่ออก...นึกแล้วขนหัวลุกครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 19 พฤศจิกายน 2557

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น