"ชุมพล" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกสุดสยอง
มนุษย์ทุกคนล้วนแต่มีความฝัน บ้างก็ฝันทั้งที่ยังลืมตาตื่นอยู่แท้ๆ เรียกว่า "ฝันกลางวัน" หรือ "ฝันกลางแดด" แต่ทุกคนต้องเคยฝันไม่มากก็น้อยเมื่อถึงเวลานอนหลับ หลายคนยืนยันว่าตัวเองฝันเป็นตุเป็นตะแทบทุกคืนไป
มีทั้งฝันดีฝันร้าย ฝันเป็นเรื่องเป็นราว รวมทั้งฝันขาดๆ วิ่นๆ ปะติดปะต่อกันไม่รู้เรื่อง บางทีตื่นขึ้นมา ก็จำได้ แต่หลายๆ ครั้งนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าฝันถึงอะไร
บางครั้งก็รู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในความฝัน แต่หลายคราวก็กลับรู้สึกว่ากำลังปรากฏตัวอยู่ในความเป็นจริง!
บางคนฝันเปรี้ยวฝันหวานตามอารมณ์ แต่หลายๆ คนก็บอกว่าจะไปเอานิยมนิยายอะไรกับความฝัน จนถึงตัดบทว่า "กินมากก็ฝันมากเป็นธรรมดา"
แม้จะเลือกฝันไม่ได้ แต่ใครๆ ก็อยากฝันดีมากกว่าฝันร้ายทั้งนั้น
ตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุครบ 5 รอบเมื่อต้นปี ผมอาจจะเคยฝันร้ายมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีฝันร้ายครั้งไหนจะน่าสยดสยองพองขนเท่าครั้งนั้น...ติดหูติดตามาถึงทุกวันนี้
ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับว่าร้ายกาจที่สุด เมื่อฝันเห็นศพตัวเองถนัดตา!
ในฝันนั้น ผมอยู่ในห้องแคบๆ ที่ไหนก็ไม่รู้ บรรยากาศอับทึบน่าอึดอัด มีแสงสว่างพอมองเห็นได้ว่ามีโลงศพวางบนพื้นข้างฝา...ดูเหมือนผมบังเอิญพลัดหลงเข้าไปในห้องอุบาทว์นั่นโดยไม่รู้ตัว หรือไม่เป็นเพราะชะตากรรมของผมเองแท้ๆ
พยายามหาทางออกไปให้พ้นๆ แต่ไม่มีประตูหน้าต่างสักบานเดียว
แสงสว่างเรืองๆ นั่นก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรที่ไหน รู้แต่มันส่องแสงเยือกเย็นอยู่ในความเย็นยะเยือก หัวใจผมเต้นระรัวแทบกระทบโพรงอกด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
จู่ๆ ศพในโลงก็ลุกพรวดพราดออกมา ผมสะดุ้งโหยงสุดตัว มองเห็นร่างในผ้าตราสังตั้งแต่ลำคอถึงปลายเท้า ยืนเด่นติดข้างฝา ท่าทางคล้ายห้อยลงมาจากเพดาน ใบหน้าเอียงนิดๆ ก้มต่ำจนคางแทบจดอก มีเชือกแบนๆ สีขาวกว้างราวสองนิ้วพันรอบร่าง แต่ปลายเชือกแปะติดข้างฝา ลักษณะเหมือนเทปกาว
ร่างนั้นทรงตัวอยู่ได้เพราะเทปกาวที่ยึดกับข้างฝานั่นเอง!
ผมหนาวเยือกไปถึงหัวใจ หวาดกลัวจนมือไม้สั่น คิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องเข้าไปกระชากเทปกาวนั่นมาพันร่างศพ แล้วรีบรวบตัวยัดใส่โลงตามเดิมถึงจะรอดพ้นอันตรายไปได้
...โดยไม่แผดร้องหรือวิ่งหนีไม่คิดชีวิตเหมือนเรื่องผีในหนังหรือในนิยายเป็นอันขาด
ขณะที่กลืนน้ำลายพลางจดๆ จ้องๆ จะเข้าไปกระทำการตามความคิด ใบหน้าศพที่ก้มต่ำก็ค่อยๆ เงยขึ้นมาเชื่องช้าราวกับจะรู้ทันความคิดผม...เชื่องช้า แต่แน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด กระทั่งใบหน้านั้นเงยขึ้นมองเต็มตา
นรกเป็นพยาน! มันคือใบหน้าของผมเอง!!
ผมปรกหน้าผาก ผิวหน้าขาวซีด นัยน์ตาเหลืองจ้าจ้องเขม็ง ดูเยือกเย็นสิ้นดี
ผมกำลังประสานตากับศพของตัวเอง ไม่รู้ว่าเคยคาดคิดไว้ก่อนหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ มันทำให้กลัวจนตัวสั่น ปากคอขมปี๋เหมือนน้ำดีทะลักออกมา สมองแทบจะระเบิด ร่ำร้องอยู่แต่ว่า...เราตายไปแล้ว! เรากำลังยืนอยู่ต่อหน้าศพตัวเอง!!!
เป็นความกลัวที่แปลกประหลาดสุดขีด เพราะกลัวทั้งรู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว กับกลัวทั้งผีของตัวเองจะกระโจนเข้าเล่นงาน
จิตใจยังมุ่งมั่นเอาตัวรอดด้วยวิธีเดิม คือไปกระชากเชือกที่คล้ายเทปกาวให้หลุดแล้วอุ้มร่าง หรือซากอสุภ ตัวเองยัดใส่โลงให้ได้ เพื่อจะหาทางเผ่นหนีออกจากห้องอุบาทว์นี่โดยเร็วที่สุด
ความเยือกเย็นทวีขึ้น กลิ่นเหม็นอับสาบสางแผ่ซ่านไปทั่วห้องมหาภัย...มากขึ้นและมากขึ้นทุกทีจนแทบจะหายใจไม่ออก
ผมขยับตัว ร่างนั้นก็ขยับตาม!
นัยน์ตาลุกวาวในใบหน้าเหลืองราวขมิ้นยิ่งลุกวาว จ้องเขม็ง ดูดุร้ายกระหายเลือดระคนโศกเศร้าล้ำลึกอย่างไรชอบกล ส่วนผมทั้งกลัวและทั้งเสียใจระคนปนเปกันไปหมด ขณะนั้นเสียงร่ำไห้ก็ดังแว่วมาเข้าหู
ในที่สุด ผมก็โถมเข้าไป พร้อมๆ กับร่างนั้นพุ่งเข้าใส่จนได้ยินเสียงตัวเองร้องลั่นด้วยความตระหนกตกใจสุดขีด...
เมื่อสะดุ้งตื่นในความมืด นัยน์ตาแสบร้อนเปียกชุ่ม...ไม่รู้จริงๆ ว่าฝันนั้นจะเป็นลางร้ายดีอะไรแน่? แต่ผมก็รอต้อนรับมันมาจนถึงทุกวันนี้...
แน่ล่ะ! จนกว่าจะถึงวันนั้น!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2557
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น