"พิชิต" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจาก โรงพยาบาล
ผมประสบกับเรื่องราวน่าขนลุกขนพองเมื่อราว 5-6 ปีก่อน สาเหตุจากระบบขับถ่ายไม่น่าไว้ใจ ต้องไปนอนโรงพยาบาลแถวสุขุมวิทนี่เองเพื่อตรวจร่างกายเป็นเวลา 2 คืน
ตอนนั้นผมอายุ 40 ปลาย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารที่รู้จักมักคุ้นกันมาราว 3-4 ปี พูดอ้อมๆ ว่าน่าจะตรวจลำไส้ใหญ่ให้แน่นอนว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า? จะมีก้อนเนื้อหรือไม่?
ถ้าพูดกันตรงๆ ก็สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งน่ะแหละครับ!
ใจหายวูบ นึกถึงเพื่อนรุ่นน้องที่ตายเมื่ออายุแค่ 40 ต้นๆ เท่านั้นเอง
ก่อนหน้านั้นหลายปี ผมเคยให้หมอตรวจกระเพาะด้วยการ "กลืนแป้ง" เอกซเรย์มาก่อนแล้ว แต่ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ...แพทย์ชื่อหมออรุณบอกว่าการตรวจลำไส้ใหญ่จะใช้วิธีนั้นไม่ได้ ต้อง "ส่องกล้อง" อย่างเดียวเท่านั้น
ยอมรับว่าหวาดเสียวมากๆ แต่หมออรุณก็บอกให้สบายใจว่า ไม่ได้น่ากลัวหรอกน่าเพราะจะ "ดมยา" ให้หลับสบาย ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็เรียบร้อยหมดทุกอย่าง
ภรรยาจะมาเฝ้าไข้แต่ผมบอกว่าไม่เป็นไร อยู่บ้านกับลูกๆ เถอะ รุ่งขึ้นตอนเย็นค่อยพาลูกแวะมาก็ได้...คืนนั้นพยาบาลก็เอาน้ำโถใหญ่มาให้ดื่ม เพื่อขับถ่ายกากอาหารออกไปให้หมด รุ่งขึ้นแพทย์จะได้ส่องกล้องดูลำไส้ใหญ่ได้อย่างปลอดโปร่ง ทัศนวิสัยดี ว่างั้นเถอะ!
ก่อนจะดื่มยาระบายครั้งมโหฬารในชีวิต เพื่อนฝูง 2-3 คนก็แวะมาเยี่ยม แถมหอบเบียร์มาหลายกระป๋องอีกด้วย ผมก็...เลยตามเลย เดี๋ยวก็ต้องกินยาระบายอยู่ดีนี่นา
เพื่อนๆ กลับไปราวสามทุ่ม ผมต้องเข้าห้องน้ำเกือบสิบครั้ง ก่อนจะหลับผล็อยไปอย่างอ่อนเพลียสุดๆ
รุ่งขึ้นผมก็ถูกเข็นขึ้นเขียง เอ๊ย! เข้าห้องผ่าตัด...เหลือบเห็นสายยางยาวเป็นวาก็แทบจะสลบไปก่อนจะ "ดมยา" ซะด้วยซ้ำ
ครั้นฟื้นขึ้นมาก็ได้ข่าวดีว่าปลอดภัย! ไม่พบว่ามีเนื้อร้ายอะไรงอกงามขึ้นมาเป็นส่วนเกิน ผมถามว่าเมื่อไหร่ต้องมาส่องกล้องกันอีกล่ะ? หมออรุณก็หัวเราะอารมณ์ดี บอกว่าถ้าจะเป็นก็อีกนานมาก...อาจจะตายไปก่อนก็ได้!
เฮ้อ...โล่งอกไปที! ภรรยาพาลูกมาเยี่ยมตอนเย็น เพื่อนชุดใหม่โทรศัพท์มาถามข่าวล่วงหน้า ตกค่ำก็หอบเบียร์มาเกือบโหล...ต้องฉลองข่าวดีกันหน่อย พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว
จนกระทั่งกลางดึกคืนนั้นเอง!
ผมปิดทีวี ปิดไฟหัวเตียง รูดม่านหนาทึบเรียบร้อย มีแต่แสงไฟหน้าห้องน้ำ ผมนึกถึงญาติสนิทมิตรสหายที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยโรคภัยไข้เจ็บบ้าง ด้วยอุบัติเหตุบ้าง...ทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องตายทั้งนั้น แต่ไม่ว่าใครๆ ก็ล้วนแต่กลัวตาย ไม่อยากตาย...อย่างผมนี่ไง
เพื่อนชุดใหม่โผล่เข้ามาสองคน หิ้วเบียร์กระป๋องมาฝากเหมือนรายก่อนๆ แถมบอกว่าขืนเอาเบียร์ขวดมาเยี่ยม ก็ต้องแอบๆ ไปขอที่เปิดฝาจากแม่บ้าน...จำได้ไหม?
ผมเปิดไฟกลางห้อง ลุกขึ้นมานั่งซดเบียร์กับเพื่อน...ถึงจะขัดเขินนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร ก็ผมไม่ใช่คนไข้นี่นา เพื่อนก็บอกว่าซดเบียร์เย็นๆ ซักสองกระป๋องเดี๋ยวก็หลับสบายแล้ว! พวกเราขอลาไปก่อน..
หน้าผมชาเห่อ ขนลุกซ่าไปทั้งตัว ร้องว่า...อะไรนะ? เฮ้ย! นี่พวกลื้อ...แล้วสุ้มเสียงแหบแห้งก็ขาดหายไปในลำคอ แผ่นหลังเย็นวาบเหมือนถูกนาบด้วยก้อนน้ำแข็ง อ้าปากค้าง เบิกตาโพลง ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่บัดดล
เพื่อนสองคนที่มาเยี่ยมผมเป็นรายล่าสุดน่ะ ตายไปแล้วทั้งสองคน จากอุบัติเหตุรถชนกัน กับตายเพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่ออายุ 40 ต้นๆ นั่นปะไร!
...ภาพของเพื่อนคู่นั้นค่อยๆ เดินถอยห่างออกไป เลือนรางจางหายไปในแสงไฟเยือกเย็น ผมสะบัดหน้าร้องเฮ้ยๆ อะไรกันวะ? เราคงตาฝาดไปเองแน่ๆ แต่เสียงผมคงดังไปถึงข้างนอก เพราะพยาบาลสาวหุ่นดีคนหนึ่งเดินสวนทางกับผู้ไร้ร่างกายที่หน้าประตูห้องน้ำเข้ามาทันที
เธอบอกให้ผมนอนพักได้แล้ว ก่อนจะปิดไฟตามเดิม และแล้ว...ร่างสูงระหงที่มีหน้าอกกับสะโพกโดดเด่นก็เดินกลับไปตามเดิม...ละลายหายไปในอากาศธาตุใต้แสงไฟใกล้ๆ ประตูนั่นเอง
ผมหลับตา ความรู้สึกทั้งปวงดับวูบลง...
เมื่อรู้สึกตัวตอนเช้าก็เห็นหมออรุณเข้ามายิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ เตียง...พยาบาลสาวอวบท้วมผู้หนึ่งยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง...ไม่ใช่คนเมื่อคืนแน่นอน ผมอาจจะเมาเบียร์ก็เป็นได้ แต่ภาพที่เห็นคืนนั้นนึกแล้วขนหัวลุกทุกทีเลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2557
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น