"ว่อง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเพลงฉ่อยสมัยโบราณ
ผมเคยเป็นหนุ่มสุพรรณฝันหวานเมื่อหลายสิบปีก่อน แต่ไปเรียนหนังสือต่อที่กรุงเทพฯ เสียหลายปี แถมทำการทำงานมีครอบครัวอยู่ในเมืองหลวง จน ลูกเต้าใกล้จะเรียนจบไปตามๆ กันแล้วล่ะครับ
อาศัยว่าบ้านเดิมอยู่ใกล้ๆ แค่นี้ รถแล่นสองชั่วโมงจนเหลือแค่ชั่วโมงกว่าก็ถึงแล้ว ผมเลยไปเยี่ยมบ้านบ่อย อย่างน้อยก็เดือนละครั้งให้พ่อแม่ชื่นใจ ไหนจะได้เจอะเจอเพื่อนฝูงทั้งหญิงและชายที่เติบโตมาด้วยกัน พูดคุยกันถึงความหลังตั้งแต่สมัยเด็ก จนแตกหนุ่มแตกสาว มีผัวมีเมีย ลูกเต้าเป็นพรวนไปหมดแล้ว
นอกจากนั้นยังมีญาติมิตรกับคนอื่นๆ ที่เราเรียกขานกันว่า "พวกบ้าน" สำเนียงสุพรรณเซ็งแซ่ไปหมด คนกรุงเทพฯ เขาว่าพวกเราพูดเหน่อ แต่คนเก่าแก่บ้านผมกลับออกปากว่า...กรุงเทพฯ ก็อยู่ไม่ไกล ทำไมคนที่นั่นมันถึง "พูดเยื้อง" กันทุกคนเลยวะ ไอ้หม่า?
"พูดเยื้อง" ก็หมายถึง "พูดเหน่อ" นั่นแหละครับ
เมื่อเดือนก่อนผมพาลูกหลานเป็นโขยงไปเยี่ยม บ้าน ได้ข่าวว่าตากรายเป็นโรคปอดตาย เพิ่งเผาไปเมื่อวันก่อนนี่เอง...นึกถึงแล้วใจหายเหมือนกัน เพราะจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ชอบฟังนิทานของแก ไม่ว่าเรื่องตลก เรื่องผี เรื่องเพลงพื้นเมืองโด่งดังประจำจังหวัด "เพลงอีแซว" ไงล่ะครับ ตากรายแกเล่าได้สนุกสนานดีนัก
ชื่อแกก็คล้ายกับ "พ่อกร่าย" พ่อเพลงรุ่นพ่อไสว พ่อบัวเผื่อน พ่อโปรย...ตากรายบอกว่าแต่ก่อนเพลง อีแซวที่พ่อไสวสันนิษฐานว่าคงจะมาจากการ "ร้องแซวกันทั้งคืน" แต่เดิมขึ้นต้นว่า...ตั้งวงไว้เผื่อ ปูเสื่อไว้ท่า เอย...จะให้วงฉันราซะแล้วทำไม เอย...
ตากร่ายเป็นคนทำให้มีการเปลี่ยนคำขึ้นต้นเป็น... เอ้ามาเถอะหนากระไรแม่มา...แล้วแตกช่อต่อดอก ไปตามใจชอบ เช่น แม่คุณอย่าช้านะแม่หน้านวลใย, แม่จะมัวชักช้าอยู่ทำไม
จนกระทั่งเอามาเล่นมุขโลดโผน เช่น ไหนๆ พี่ก็มาหาถึงที่ แล้วน้องจะมัวยืนคลำเก้าอี้อยู่ทำไม? เพื่อเรียกเสียงฮาจากท่านผู้ชม
จำได้ว่าแม่เพลงดังๆ รุ่นนั้นก็มีแม่ตลุ่ม แม่บัวผัน ลงมาถึงแม่ขวัญจิตที่เล่นอีแซวมาตั้งแต่เด็ก จนโด่งดังได้เป็นศิลปินแห่งชาติแบบแม่บัวผัน เดี๋ยวนี้ก็ปาเข้าไปหกสิบกว่าแล้ว แต่ยังมีชื่อเสียงไม่ลดราลงไปเลย
คืนนั้นผมแยกย้ายจากเพื่อนฝูงเก่าๆ ที่ร้านในตลาดกลับบ้าน แสงจันทร์ขาวนวลอย่างที่เขาเรียกว่า "แทบจะจับมดได้" มาถึงบ้าน ลมเย็นฉ่ำพัดโชยไม่ขาดสายทำให้อาการมึนนิดๆ แทบจะหายไปจนหมดสิ้น ขณะที่เสียงอะไรคุ้นๆ หูดังล่องลอยมาตามลม...
เสียงเพลงพื้นบ้านแน่ๆ แต่แทนที่จะเป็นอีแซวกลับเป็นเพลงฉ่อยที่ไม่มีรำมะนาแต่เป็นเสียงกลองสองหน้า ฉิ่ง กรับและการตบมือให้จังหวะครึกครื้น
คุณพระช่วย! เสียงแม่บัวผันครับ สุดยอดแม่เพลง อีแซวแห่งเมืองสุพรรณบุรี!
"เอย...เขาว่าคนเราเกิดมาย่อมจะมีขันธ์ 5 ไม่ว่า ทั้งหญิงทั้งชาย หนุ่มตายก่อนแก่ แก่ตายก่อนหนุ่ม เขาตายกันเสียออกกลุ้มเอ็งรู้ไหม เราเวียนเจ็บเวียนไข้ เวียนตายวายเกิด เอากำหนัดมากำเนิดแต่ไหน เรา เวียนเจ็บไข้ในวัฏสงสาร ชีวิตของเรามันจะนานไปซัก แค่ไหน เอ็งจะหลงระเริงเพลิงมันจะเผา ชีวิตเอ็งจะเข้า กองไฟเอ่ชา..."
ผมกระเดือกน้ำลายลงคอยากเย็น สายลมพัดผ่านยอดไม้ร่มครึ้มอยู่ในแสงจันทร์เหมือนจะโบกสะบัดเอาเสียงเก่าแก่ที่ซึมซับไว้หลายสิบปี ให้ล่องลอยออกมาขับกล่อมผู้คนในยามราตรีอันเยือกเย็นจับใจ
เสียงพ่อเพลงตอบโต้ ผสมผสานกับเสียงคอสอง- คอสาม ร้องขัดเข้าจังหวะ ดังกระท่อนกระแท่นเต็มที ไม่ชัดเจนเหมือนเสียงแม่เพลงเก่าแก่ ถ้าจำไม่ผิดก็คือแม่ตลุ่ม คู่ปรับตัวลือของพ่อกร่าย
"เอย...เอ็งมีเงินกี่กอง มีทองกี่หาบ มาถึงก็จะคาบเม็ดใน เอ่ชา..."
เสียงแม่บัวผันดังขึ้นชัดเจนอีกครั้ง สำเนียงละห้อยหวนคล้ายจะกล่าวคำอำลาอยู่ในที....
"วิสัยไก่ดีมันต้องตีกันด้วยแข้ง ถ้าเพลงดีว่าแดงค่อยกันไม่ได้...เราว่ากันพอนวลๆ พอหอมหวนปลายหู ผู้คนเขาก็ดูกันได้ เอ่ชา..."
ผมยืนนิ่งงันอยู่ที่ระเบียงบ้านเหมือนกลายเป็นรูปปั้น สายลมเย็นยะเยือกหอบเอาเสียงเพลงและเสียงดนตรีคึกคักระคนกับเสียงหัวเราะเฮฮา ล่องลอยไปกับสายลมยามดึกเหมือนการทักทายของอดีตกาลไม่ผิดเลย...
ขอยืนยันว่าไม่ได้หวาดกลัวต่อเสียงเพลงเก่าๆ เหล่านั้นเลยครับ ตรงกันข้าม กลับซาบซึ้งต่อเสียงเพลงแห่งความหลังสมัยเด็กและวัยหนุ่มด้วยซ้ำ แต่ทำไมขนหัวลุกก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 27 พฤศจิกายน 2557
31 มีนาคม 2558
30 มีนาคม 2558
สามวิญญาณ
"เอม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจมหัศจรรย์
บ้านของปุ้มเพื่อนดิฉันอยู่ย่านบางพลัด ริมถนนจรัญสนิทวงศ์ เป็นบ้านใหญ่โตสวยงามมาก เนื้อที่กว้างขวางเกือบหนึ่งไร่ มีต้นไม้ใหญ่น้อยช่วยกรองควันพิษจากถนนดีด้วย
บรรยากาศในบ้านปุ้มดูร่มรื่น น่าอบอุ่นเหลือเกิน ตัวบ้านหรือคฤหาสน์สร้างมาไม่ต่ำกว่า 40 ปี ครอบครัวเธอเป็นตระกูลเก่าแก่และทรงเกียรติเป็นที่รู้จักกันดี บ้านนี้มีอาณาบริเวณพอที่จะให้ลูกหลานได้อยู่ร่วมกันหลายครอบครัว
ดิฉันกับปุ้มสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียน จนอายุสามสิบกว่าแล้วค่ะ ดิฉันมีลูกสามคนแล้ว แต่ปุ้มยังครองโสดอยู่ได้อย่างสบายใจ ถือคติ "ถึงจะนั่งคานก็ไม่หนักกบาลหัวใคร"
ฟังแล้วมีความสุขจริงๆ นะคะ ถือว่าปุ้มเป็นคนมีบุญและชื่นชมครอบครัวเธอมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิฉันมีความรู้สึกที่ดีเหลือเกินทุกๆ ครั้งที่เดินเข้าไปในเขตรั้วของบ้านปุ้ม...อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้นก กระรอก ผีเสื้อและแมลงต่างๆ ก็ดูจะรักบ้านนี้ค่ะ
แต่แล้วเมื่อเกือบสิบปีก่อนทุกอย่างก็กลับตาลปัตร เพราะความตายที่แสนจะน่าสยดสยองที่สุด เท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมา!
เช้าวันเกิดเหตุ ป้าสงวนแม่ครัวจัดข้าวของคาวหวานใส่ถาดเงินใบใหญ่ เดินลงมาแต่แสงอรุณเบิกฟ้า...นี่คือกิจวัตรประจำวันที่คุณป้าอร่ามศรี แม่ของปุ้มต้องลงมานิมนต์พระเพื่อใส่บาตรด้วยตัวท่านเอง...แล้วคุณป้ากับแม่ครัวก็เตรียมตัวเก็บโต๊ะเก็บถาด กำลังจะขึ้นบ้าน
ขณะนั้นมีชายหนุ่มอายุราว 25 เดินเลียบแนวรั้ว แต่งตัวเรียบร้อย ท่าทางคงจะไปทำงาน จังหวะที่คุณป้าอร่ามศรีสบตากับหนุ่มหน้าคมผมหยักศกนั้น ท่านก็รู้สึกเหมือนโลกถล่ม ทุกอย่างขาวจ้า สะเทือนเลื่อนลั่น เสียงกึกก้องกัมปนาทบัดดล!
ร่างของคุณป้าคล้ายถูกมือยักษ์จับเหวี่ยงลอยขึ้นไปในอากาศ แล้วหล่นตุ้บลงมากองอยู่บนสนามหญ้า พอตั้งสติได้ คุณป้าก็มองเห็นความเสียหายชนิดวินาศสันตะโร
รถบรรทุกหกล้อคันมหึมาพุ่งเข้าชนรั้วพังเป็นแถบ มันแล่นทะลุเข้ามาในสนาม ท่ามกลางฝุ่นปูนที่ลอยฟุ้งราวกับหมอกควัน รถคันนั้นมันคร่าชีวิตมนุษย์ที่น่าสงสารไปถึง 3 คนในเวลาเพียงเสี้ยววินาที!
ศพแรกคือชายหนุ่มหน้าตาคมคาย บัดนี้กะโหลกส่วนหนึ่งแตกหลุดจากศีรษะ ทำให้ใบหน้าแยกออกไปสองส่วน หน้าอกยุบจนแทบแบน เห็นซี่โครงขาวพุ่งชี้แหลมออกมา
ศพที่สองคือป้าสงวน ร่างแกถูกล้อยักษ์ทับกลางหลังพอดี ตาค้าง ปากอ้า เลือดพุ่งทะลักเหมือนท่อประปาแตกไม่มีผิด
ศพที่สามคือคนขับรถบรรทุก ถูกแรงกระแทกอัดติดอยู่กับพวงมาลัย...ลิ้นแลบออกมายาวเกือบถึงหน้าอก เลือดไหลเป็นธารน้ำตกเลยค่ะ!
แต่ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ นอกจากขวัญเสียแล้ว คุณป้าอร่ามศรีเกือบไม่มีรอยช้ำหรือรอยถลอกแม้แต่น้อย เชื่อกันว่ามีผีบ้านผีเรือน หรือเจ้าที่เจ้าทางมาช่วยปกป้อง
นับจากนั้น ทุกคนในบ้านล้วนหวาดผวา กลัวผีขนาดหนักไปตามๆ กัน ความอบอุ่นกลายเป็นความเย็นยะเยือก นกหนู หมาแมว และแมลงที่ส่งเสียงเสนาะหูอย่างร่าเริงมาหลายสิบปี กลับเงียบสงบราวกับพวกมันอพยพย้ายหนีไปหมดแล้ว
คุณป้าอร่ามศรีไม่สบายใจเลย ท่านทุกข์มากจริงๆ ค่ะ...
คุณป้าเคยโทรศัพท์มาปรึกษาคุณแม่ดิฉัน เราพยายามช่วยหาทางแก้ไขต่างๆ เท่าที่จะนึกได้ คุณป้าทำบุญบ้าน ทำบุญให้ผู้ตาย จัดพิธีพราหมณ์ บวงสรวงเจ้าที่เจ้าทางและศาลพระภูมิ กระนั้นเหล่าลูกหลานและบริวารในบ้านก็ยังหวาดกลัว ต่างขวัญผวากันมาตลอด
คนรับใช้ลาออกไปหลายคน ลูกเล็กเด็กแดงร้องไห้งอแงโดยไม่มีสาเหตุ...บางคนบอกว่าทารกนั้นเห็นวิญญาณ!
คุณแม่ดิฉันพอจะมีความรู้เรื่องพลังจิตอยู่บ้าง แม่บอกว่าอาจจะเป็นกระแสคลื่นของความตายรุนแรงยังแผ่ซ่านอยู่ในบรรยากาศ วิญญาณของเขาทั้งสามน่ะคงไม่อยู่แล้วละ แต่การที่ชาวบ้านใกล้เคียงกับคนในบ้านได้ยินเสียงร้องและเห็นภาพหลอนนั้น อาจเป็นเหมือนคลื่นที่ถูกบันทึกเหตุการณ์ไว้
แล้วเราจะสลายมันอย่างไรล่ะ? เพราะยิ่งมีคนกลัวมาก ผีก็ยิ่งดุมาก!
คำแนะนำก็คือ เมื่อคุณป้าได้ทำบุญ สวดมนต์ และประกอบพิธีมงคลทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว เราก็จัดเตรียมงานเลี้ยงสนุกสนาน มีงานให้มากที่สุดเช่นวันเกิดลูกหลาน งานปีใหม่ ติดไฟสว่างไสว มีเพลงให้เด็กๆ เต้นรำกันเต็มที่
พวกไม้ยืนต้นใหญ่ๆ ย้ายไปให้หมด แล้วขุดสระตื้นๆ เป็นสระบัว มีน้ำพุให้นกมากินน้ำ บัวชูช่อสลอน โปร่งและสดใส กลางคืนมีไฟรั้วให้สว่างขับไล่ความเปล่าเปลี่ยว
ปรากฏว่าได้ผลเกินคาดค่ะ! แม้ความสยองจะยังค้างคาอยู่ในความทรงจำ แต่ความอึมครึมน่ากลัวแบบผีสิงก็ถูกขจัดไป แทนที่ด้วยความร่าเริง นกมากินน้ำพุ ปลาที่ว่ายในสระบัวก็ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก...ดิฉันไปหาปุ้มโดยไม่ต้องขนหัวลุกเหมือนตอนเกิดเหตุใหม่ๆ แล้วค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557
บ้านของปุ้มเพื่อนดิฉันอยู่ย่านบางพลัด ริมถนนจรัญสนิทวงศ์ เป็นบ้านใหญ่โตสวยงามมาก เนื้อที่กว้างขวางเกือบหนึ่งไร่ มีต้นไม้ใหญ่น้อยช่วยกรองควันพิษจากถนนดีด้วย
บรรยากาศในบ้านปุ้มดูร่มรื่น น่าอบอุ่นเหลือเกิน ตัวบ้านหรือคฤหาสน์สร้างมาไม่ต่ำกว่า 40 ปี ครอบครัวเธอเป็นตระกูลเก่าแก่และทรงเกียรติเป็นที่รู้จักกันดี บ้านนี้มีอาณาบริเวณพอที่จะให้ลูกหลานได้อยู่ร่วมกันหลายครอบครัว
ดิฉันกับปุ้มสนิทกันมาตั้งแต่สมัยเรียน จนอายุสามสิบกว่าแล้วค่ะ ดิฉันมีลูกสามคนแล้ว แต่ปุ้มยังครองโสดอยู่ได้อย่างสบายใจ ถือคติ "ถึงจะนั่งคานก็ไม่หนักกบาลหัวใคร"
ฟังแล้วมีความสุขจริงๆ นะคะ ถือว่าปุ้มเป็นคนมีบุญและชื่นชมครอบครัวเธอมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดิฉันมีความรู้สึกที่ดีเหลือเกินทุกๆ ครั้งที่เดินเข้าไปในเขตรั้วของบ้านปุ้ม...อย่าว่าแต่มนุษย์เลย แม้นก กระรอก ผีเสื้อและแมลงต่างๆ ก็ดูจะรักบ้านนี้ค่ะ
แต่แล้วเมื่อเกือบสิบปีก่อนทุกอย่างก็กลับตาลปัตร เพราะความตายที่แสนจะน่าสยดสยองที่สุด เท่าที่เคยได้ยินได้ฟังมา!
เช้าวันเกิดเหตุ ป้าสงวนแม่ครัวจัดข้าวของคาวหวานใส่ถาดเงินใบใหญ่ เดินลงมาแต่แสงอรุณเบิกฟ้า...นี่คือกิจวัตรประจำวันที่คุณป้าอร่ามศรี แม่ของปุ้มต้องลงมานิมนต์พระเพื่อใส่บาตรด้วยตัวท่านเอง...แล้วคุณป้ากับแม่ครัวก็เตรียมตัวเก็บโต๊ะเก็บถาด กำลังจะขึ้นบ้าน
ขณะนั้นมีชายหนุ่มอายุราว 25 เดินเลียบแนวรั้ว แต่งตัวเรียบร้อย ท่าทางคงจะไปทำงาน จังหวะที่คุณป้าอร่ามศรีสบตากับหนุ่มหน้าคมผมหยักศกนั้น ท่านก็รู้สึกเหมือนโลกถล่ม ทุกอย่างขาวจ้า สะเทือนเลื่อนลั่น เสียงกึกก้องกัมปนาทบัดดล!
ร่างของคุณป้าคล้ายถูกมือยักษ์จับเหวี่ยงลอยขึ้นไปในอากาศ แล้วหล่นตุ้บลงมากองอยู่บนสนามหญ้า พอตั้งสติได้ คุณป้าก็มองเห็นความเสียหายชนิดวินาศสันตะโร
รถบรรทุกหกล้อคันมหึมาพุ่งเข้าชนรั้วพังเป็นแถบ มันแล่นทะลุเข้ามาในสนาม ท่ามกลางฝุ่นปูนที่ลอยฟุ้งราวกับหมอกควัน รถคันนั้นมันคร่าชีวิตมนุษย์ที่น่าสงสารไปถึง 3 คนในเวลาเพียงเสี้ยววินาที!
ศพแรกคือชายหนุ่มหน้าตาคมคาย บัดนี้กะโหลกส่วนหนึ่งแตกหลุดจากศีรษะ ทำให้ใบหน้าแยกออกไปสองส่วน หน้าอกยุบจนแทบแบน เห็นซี่โครงขาวพุ่งชี้แหลมออกมา
ศพที่สองคือป้าสงวน ร่างแกถูกล้อยักษ์ทับกลางหลังพอดี ตาค้าง ปากอ้า เลือดพุ่งทะลักเหมือนท่อประปาแตกไม่มีผิด
ศพที่สามคือคนขับรถบรรทุก ถูกแรงกระแทกอัดติดอยู่กับพวงมาลัย...ลิ้นแลบออกมายาวเกือบถึงหน้าอก เลือดไหลเป็นธารน้ำตกเลยค่ะ!
แต่ที่น่ามหัศจรรย์ก็คือ นอกจากขวัญเสียแล้ว คุณป้าอร่ามศรีเกือบไม่มีรอยช้ำหรือรอยถลอกแม้แต่น้อย เชื่อกันว่ามีผีบ้านผีเรือน หรือเจ้าที่เจ้าทางมาช่วยปกป้อง
นับจากนั้น ทุกคนในบ้านล้วนหวาดผวา กลัวผีขนาดหนักไปตามๆ กัน ความอบอุ่นกลายเป็นความเย็นยะเยือก นกหนู หมาแมว และแมลงที่ส่งเสียงเสนาะหูอย่างร่าเริงมาหลายสิบปี กลับเงียบสงบราวกับพวกมันอพยพย้ายหนีไปหมดแล้ว
คุณป้าอร่ามศรีไม่สบายใจเลย ท่านทุกข์มากจริงๆ ค่ะ...
คุณป้าเคยโทรศัพท์มาปรึกษาคุณแม่ดิฉัน เราพยายามช่วยหาทางแก้ไขต่างๆ เท่าที่จะนึกได้ คุณป้าทำบุญบ้าน ทำบุญให้ผู้ตาย จัดพิธีพราหมณ์ บวงสรวงเจ้าที่เจ้าทางและศาลพระภูมิ กระนั้นเหล่าลูกหลานและบริวารในบ้านก็ยังหวาดกลัว ต่างขวัญผวากันมาตลอด
คนรับใช้ลาออกไปหลายคน ลูกเล็กเด็กแดงร้องไห้งอแงโดยไม่มีสาเหตุ...บางคนบอกว่าทารกนั้นเห็นวิญญาณ!
คุณแม่ดิฉันพอจะมีความรู้เรื่องพลังจิตอยู่บ้าง แม่บอกว่าอาจจะเป็นกระแสคลื่นของความตายรุนแรงยังแผ่ซ่านอยู่ในบรรยากาศ วิญญาณของเขาทั้งสามน่ะคงไม่อยู่แล้วละ แต่การที่ชาวบ้านใกล้เคียงกับคนในบ้านได้ยินเสียงร้องและเห็นภาพหลอนนั้น อาจเป็นเหมือนคลื่นที่ถูกบันทึกเหตุการณ์ไว้
แล้วเราจะสลายมันอย่างไรล่ะ? เพราะยิ่งมีคนกลัวมาก ผีก็ยิ่งดุมาก!
คำแนะนำก็คือ เมื่อคุณป้าได้ทำบุญ สวดมนต์ และประกอบพิธีมงคลทุกอย่างเท่าที่ทำได้แล้ว เราก็จัดเตรียมงานเลี้ยงสนุกสนาน มีงานให้มากที่สุดเช่นวันเกิดลูกหลาน งานปีใหม่ ติดไฟสว่างไสว มีเพลงให้เด็กๆ เต้นรำกันเต็มที่
พวกไม้ยืนต้นใหญ่ๆ ย้ายไปให้หมด แล้วขุดสระตื้นๆ เป็นสระบัว มีน้ำพุให้นกมากินน้ำ บัวชูช่อสลอน โปร่งและสดใส กลางคืนมีไฟรั้วให้สว่างขับไล่ความเปล่าเปลี่ยว
ปรากฏว่าได้ผลเกินคาดค่ะ! แม้ความสยองจะยังค้างคาอยู่ในความทรงจำ แต่ความอึมครึมน่ากลัวแบบผีสิงก็ถูกขจัดไป แทนที่ด้วยความร่าเริง นกมากินน้ำพุ ปลาที่ว่ายในสระบัวก็ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก...ดิฉันไปหาปุ้มโดยไม่ต้องขนหัวลุกเหมือนตอนเกิดเหตุใหม่ๆ แล้วค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน 2557
28 มีนาคม 2558
วิญญาณหนีน้ำ
"เดชา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อครั้งน้ำท่วมมหาวินาศ
วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2554
ไม่รู้ว่าโดนพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก พระอาทิตย์ยังชำแรกเข้ามาเตะซ้ำ หรือเกิดเคราะห์ซ้ำกรรมซัดยังไงก็ไม่ทราบ นอกจากจะโดนน้ำท่วมบ้านกะทันหันจนตั้งเนื้อตั้งตัวไม่ทัน หน็อย! ผมยังโดนผีหลอกเข้าเต็มรักเต็มใคร่อีกต่างหาก
ข่าวคราวของน้ำท่วมใหญ่ระดับ "อภิมหาอุทกภัย" ทำให้ประสาทแทบจะกินตาย จนไม่อยากจะดูข่าวทีวีให้หดหู่เศร้าหมอง...ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเจอะเจอเข้ากับตัวเองจังๆ
เรื่องเป็นยังงี้ครับ!
ผมอยู่ซอยยาสูบ 1 ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ใกล้ๆ กับไทยรัฐ จนเปลี่ยนมาเป็นซอย 5 ถนนวิภาวดีรังสิต เบ็ดเสร็จอยู่มาสี่สิบกว่าปี ตั้งแต่วัยรุ่นจนกลายวัยไม้ใกล้ฝั่งในปัจจุบัน
วันเสาร์ที่ 6 ตอนเย็น หลานสาววัยสิบขวบที่รอรับแม่ที่เพิ่งกลับจากที่ทำงานใกล้วัดสุทัศน์ วิ่งเข้ามาบอกว่ามีน้ำไหลเข้ามาในซอยแยกราวตาตุ่ม แต่ผมกับลูกจ้างเก่าแก่ช่วยกันขนหนังสือหนังหากับเอกสารต่างๆ ขึ้นโต๊ะบ้าง กองกับยกพื้นข้างโรงรถบ้าง เพื่อนบ้านแวะมาคุยกันเรื่องน้ำท่วมที่เข้าดอนเมืองแล้ว ทุกคนยังมองในแง่ดีว่าคงไม่เข้ามาถึงหมู่บ้านเรา
ราวสองทุ่มครึ่งลูกชายคนโตก็ขับรถปิกอัพกลับจากสำนักงานแถวสี่พระยา ส่วนลูกชายคนเล็กไม่ต้องไปทำงานที่บางบัวเพราะบริษัทปิด...หลานเล่นคอมพ์ พ่อแม่ดูทีวี ส่วนผมขึ้นห้องนอนชั้นบน อ่านหนังสือให้สบายใจไม่ต้องคิดมาก
รุ่งขึ้นก่อนเช้ามืด มหาภัยก็จู่โจมเข้าเล่นงานฉับพลันทันที!
สายน้ำหลั่งไหลเข้ามาเหมือนน้ำตก สนามเจิ่งนองจนถึงถึงโรงรถ หนังสือกองใหญ่นับสิบๆ กองชุ่มโชก กระจัด กระจาย ก่อนที่น้ำจะทะลักเข้าตัวบ้านเหมือนเล่นกล
จากหน้าแข้งถึงเข่า แล้วสูงขึ้นเรื่อยๆ จนพวกเราต้องตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเอง
รีบขนหนังสือที่เหลือกับยกทีวีกับคอมพิวเตอร์ขึ้นชั้นบน ลูกชายคนโตกับลูกเมียช่วยกันเก็บเสื้อผ้ากับข้าวของจำเป็น มุ่งหน้าไปอาศัยบ้านพ่อตาแม่ยายที่เมืองนนท์ ผมกับลูกชายคนเล็กจะไปเช่าโรงแรมต่างจังหวัดอยู่ชั่วคราว
เชื่อไหมครับว่าโรงแรมทุกจังหวัดในภาคกลางเต็มทั้งหมด ไม่ว่าชลบุรี ระยอง แม้แต่จันทบุรีก็เต็มทั้งนั้น...เราไปได้โรงแรมถึงเชียงรายโน่น ผมสั่งจองห้องหนึ่งสัปดาห์ทันที
ถ้าน้ำลดก็กลับ แต่ถ้ายังก็จะเช่าต่อคราวละสัปดาห์เรื่อยไป!
เจ้าคนเล็กทำหน้าที่โทร.ไปจองที่นั่งรถทัวร์ ปรากฏว่าได้เที่ยว 20.30 น.
ปัญหาที่ทำให้งุนงงยิ่งกว่านั้นก็คือ...เราจะออกจากบ้านได้ยังไง?
หมู่บ้านถูกสายน้ำล้อมกรอบไว้ทั้งหมด ตั้งแต่ซอย 3 จนถึงซอย 5 รถแท็กซี่กับมอเตอร์ไซค์อย่าไปฝัน ตอนนั้นบ่ายสามโมงแล้ว ลูกชายคนโตอพยพลูกเมียออกไป แต่เช้า ระดับน้ำสูงขึ้นทุกที...จนมาหยุดอยู่เกือบถึงสะเอว
เราพยายามหาทางออกทางด้านหลัง เลี้ยวขวาไปทางสถานีทีวีช่อง 7 จากนั้นคงต้องโบกรถยีเอ็มซีของทหารไปขนส่งหมอชิตก่อนเวลาให้ได้ ปัญหาคือเราจะไปที่นั่นได้ยังไง
"ลุยน้ำไปกันซีพ่อ!"
ลูกชายโพล่ง ผมเกือบจะดุว่าพูดบ้าๆ แต่เมื่อนึกถึงความจริงแสนสาหัสที่ต้องเจอะเจอก็ได้แต่กลืนน้ำลาย
ราวห้าโมงเย็น สองพ่อลูกตัดสินใจหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าคนละใบ เดินออกจากซอยแยกเลี้ยวซ้ายตามถนนของซอย 5 วิภาวดี...ลุยน้ำเกือบสะเอวไปได้เชื่องช้า ไม่อยากห่วงหน้าพะวงหลังให้ยุ่งยากใจ...คนรับใช้เก่าแก่ซึ่งเปรียบเสมือนแม่บ้านของเราก็เป็นคนไว้เนื้อเชื่อใจได้เพราะอยู่กันมาเกือบยี่สิบปีแล้ว
"คุณไปเถอะค่ะ หนูจะเฝ้าบ้านเอง ถึงอยู่คนเดียวก็ไม่กลัว"
แต่ผมกลับกลัวว่าเราจะไปถึงขนส่งหมอชิตไม่ทัน ไหนจะเคลื่อนที่ได้ช้า ไหนจะกังวลว่ารถทหารที่มาช่วยเหลือประชาชนยามนี้จะทิ้งระยะห่างแค่ไหน? กับจะมีที่ว่างให้เราเบียดเสียดขึ้นไปปักหลักได้หรือเปล่า? ยามเย็นของฤดูหนาวมืดครึ้มลงอย่างรวดเร็ว
มองเห็นแสงไฟจากร้านค้าด้านซ้ายอยู่ลิบๆ พร้อมกับเสียงจ๋อมๆ ตามหลังมา
คงไม่ได้มีแต่เราเท่านั้นหรอกที่ต้องลุยน้ำออกไปรอรถทหาร ผู้ชายผมขาวโพลงพอๆ กับผม หน้าตาดูคุ้นๆ ก็อาจจะไปสถานีขนส่งเพื่อหนีน้ำไปต่างจังหวัดไกลๆ เหมือนกัน
ผ่านหน้าช่อง 7 เลี้ยวซ้ายไปยังต้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน ชายผอมสูงผมขาวก็ยังเดินตามมาใกล้ๆ น้ำลดลงนิดหน่อย...ผมหยุดถอนใจยาวที่ริมถนนพหลโยธิน หันไปมองข้างหลังก็ไม่เห็นชายผมขาวผู้นั้นแล้ว
"พ่อตาฝาดล่ะมั้ง?" ลูกชายหัวเราะเมื่อผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง "ลุงเพิ่มผมขาวน่ะแกหัวใจวายเพราะเครียดเรื่องน้ำท่วมมาตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้วนี่นา!"
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557
วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ.2554
ไม่รู้ว่าโดนพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก พระอาทิตย์ยังชำแรกเข้ามาเตะซ้ำ หรือเกิดเคราะห์ซ้ำกรรมซัดยังไงก็ไม่ทราบ นอกจากจะโดนน้ำท่วมบ้านกะทันหันจนตั้งเนื้อตั้งตัวไม่ทัน หน็อย! ผมยังโดนผีหลอกเข้าเต็มรักเต็มใคร่อีกต่างหาก
ข่าวคราวของน้ำท่วมใหญ่ระดับ "อภิมหาอุทกภัย" ทำให้ประสาทแทบจะกินตาย จนไม่อยากจะดูข่าวทีวีให้หดหู่เศร้าหมอง...ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเจอะเจอเข้ากับตัวเองจังๆ
เรื่องเป็นยังงี้ครับ!
ผมอยู่ซอยยาสูบ 1 ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ใกล้ๆ กับไทยรัฐ จนเปลี่ยนมาเป็นซอย 5 ถนนวิภาวดีรังสิต เบ็ดเสร็จอยู่มาสี่สิบกว่าปี ตั้งแต่วัยรุ่นจนกลายวัยไม้ใกล้ฝั่งในปัจจุบัน
วันเสาร์ที่ 6 ตอนเย็น หลานสาววัยสิบขวบที่รอรับแม่ที่เพิ่งกลับจากที่ทำงานใกล้วัดสุทัศน์ วิ่งเข้ามาบอกว่ามีน้ำไหลเข้ามาในซอยแยกราวตาตุ่ม แต่ผมกับลูกจ้างเก่าแก่ช่วยกันขนหนังสือหนังหากับเอกสารต่างๆ ขึ้นโต๊ะบ้าง กองกับยกพื้นข้างโรงรถบ้าง เพื่อนบ้านแวะมาคุยกันเรื่องน้ำท่วมที่เข้าดอนเมืองแล้ว ทุกคนยังมองในแง่ดีว่าคงไม่เข้ามาถึงหมู่บ้านเรา
ราวสองทุ่มครึ่งลูกชายคนโตก็ขับรถปิกอัพกลับจากสำนักงานแถวสี่พระยา ส่วนลูกชายคนเล็กไม่ต้องไปทำงานที่บางบัวเพราะบริษัทปิด...หลานเล่นคอมพ์ พ่อแม่ดูทีวี ส่วนผมขึ้นห้องนอนชั้นบน อ่านหนังสือให้สบายใจไม่ต้องคิดมาก
รุ่งขึ้นก่อนเช้ามืด มหาภัยก็จู่โจมเข้าเล่นงานฉับพลันทันที!
สายน้ำหลั่งไหลเข้ามาเหมือนน้ำตก สนามเจิ่งนองจนถึงถึงโรงรถ หนังสือกองใหญ่นับสิบๆ กองชุ่มโชก กระจัด กระจาย ก่อนที่น้ำจะทะลักเข้าตัวบ้านเหมือนเล่นกล
จากหน้าแข้งถึงเข่า แล้วสูงขึ้นเรื่อยๆ จนพวกเราต้องตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเอง
รีบขนหนังสือที่เหลือกับยกทีวีกับคอมพิวเตอร์ขึ้นชั้นบน ลูกชายคนโตกับลูกเมียช่วยกันเก็บเสื้อผ้ากับข้าวของจำเป็น มุ่งหน้าไปอาศัยบ้านพ่อตาแม่ยายที่เมืองนนท์ ผมกับลูกชายคนเล็กจะไปเช่าโรงแรมต่างจังหวัดอยู่ชั่วคราว
เชื่อไหมครับว่าโรงแรมทุกจังหวัดในภาคกลางเต็มทั้งหมด ไม่ว่าชลบุรี ระยอง แม้แต่จันทบุรีก็เต็มทั้งนั้น...เราไปได้โรงแรมถึงเชียงรายโน่น ผมสั่งจองห้องหนึ่งสัปดาห์ทันที
ถ้าน้ำลดก็กลับ แต่ถ้ายังก็จะเช่าต่อคราวละสัปดาห์เรื่อยไป!
เจ้าคนเล็กทำหน้าที่โทร.ไปจองที่นั่งรถทัวร์ ปรากฏว่าได้เที่ยว 20.30 น.
ปัญหาที่ทำให้งุนงงยิ่งกว่านั้นก็คือ...เราจะออกจากบ้านได้ยังไง?
หมู่บ้านถูกสายน้ำล้อมกรอบไว้ทั้งหมด ตั้งแต่ซอย 3 จนถึงซอย 5 รถแท็กซี่กับมอเตอร์ไซค์อย่าไปฝัน ตอนนั้นบ่ายสามโมงแล้ว ลูกชายคนโตอพยพลูกเมียออกไป แต่เช้า ระดับน้ำสูงขึ้นทุกที...จนมาหยุดอยู่เกือบถึงสะเอว
เราพยายามหาทางออกทางด้านหลัง เลี้ยวขวาไปทางสถานีทีวีช่อง 7 จากนั้นคงต้องโบกรถยีเอ็มซีของทหารไปขนส่งหมอชิตก่อนเวลาให้ได้ ปัญหาคือเราจะไปที่นั่นได้ยังไง
"ลุยน้ำไปกันซีพ่อ!"
ลูกชายโพล่ง ผมเกือบจะดุว่าพูดบ้าๆ แต่เมื่อนึกถึงความจริงแสนสาหัสที่ต้องเจอะเจอก็ได้แต่กลืนน้ำลาย
ราวห้าโมงเย็น สองพ่อลูกตัดสินใจหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าคนละใบ เดินออกจากซอยแยกเลี้ยวซ้ายตามถนนของซอย 5 วิภาวดี...ลุยน้ำเกือบสะเอวไปได้เชื่องช้า ไม่อยากห่วงหน้าพะวงหลังให้ยุ่งยากใจ...คนรับใช้เก่าแก่ซึ่งเปรียบเสมือนแม่บ้านของเราก็เป็นคนไว้เนื้อเชื่อใจได้เพราะอยู่กันมาเกือบยี่สิบปีแล้ว
"คุณไปเถอะค่ะ หนูจะเฝ้าบ้านเอง ถึงอยู่คนเดียวก็ไม่กลัว"
แต่ผมกลับกลัวว่าเราจะไปถึงขนส่งหมอชิตไม่ทัน ไหนจะเคลื่อนที่ได้ช้า ไหนจะกังวลว่ารถทหารที่มาช่วยเหลือประชาชนยามนี้จะทิ้งระยะห่างแค่ไหน? กับจะมีที่ว่างให้เราเบียดเสียดขึ้นไปปักหลักได้หรือเปล่า? ยามเย็นของฤดูหนาวมืดครึ้มลงอย่างรวดเร็ว
มองเห็นแสงไฟจากร้านค้าด้านซ้ายอยู่ลิบๆ พร้อมกับเสียงจ๋อมๆ ตามหลังมา
คงไม่ได้มีแต่เราเท่านั้นหรอกที่ต้องลุยน้ำออกไปรอรถทหาร ผู้ชายผมขาวโพลงพอๆ กับผม หน้าตาดูคุ้นๆ ก็อาจจะไปสถานีขนส่งเพื่อหนีน้ำไปต่างจังหวัดไกลๆ เหมือนกัน
ผ่านหน้าช่อง 7 เลี้ยวซ้ายไปยังต้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน ชายผอมสูงผมขาวก็ยังเดินตามมาใกล้ๆ น้ำลดลงนิดหน่อย...ผมหยุดถอนใจยาวที่ริมถนนพหลโยธิน หันไปมองข้างหลังก็ไม่เห็นชายผมขาวผู้นั้นแล้ว
"พ่อตาฝาดล่ะมั้ง?" ลูกชายหัวเราะเมื่อผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง "ลุงเพิ่มผมขาวน่ะแกหัวใจวายเพราะเครียดเรื่องน้ำท่วมมาตั้งแต่เมื่อเย็นวานแล้วนี่นา!"
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 25 พฤศจิกายน 2557
27 มีนาคม 2558
ผู้หญิงในดงกล้วย
"อุ๋งอิ๋ง" เล่าเรื่องขนหัวลุกเมื่อประสบกับนางตานี
หนูมีญาติห่างๆชื่อ ป้ามล อยู่ที่จังหวัดอยุธยา ตอนปิดเทอมได้ชวนหนูกับน้องๆ ไปค้างที่บ้านสัก 2 - 3 คืน โดยมีพี่ติ๊กอายุ 17 ปีลูกสาวป้ามลเป็นคนพาเที่ยว
ตัวหนูเอง น้องแจ๊กและน้องจีนนั่งรถไฟไปกับพี่อั๋น เลขาฯ ของคุณแม่ เราสนุกมากค่ะ ตื่นเต้นดีจัง แป๊บเดียวก็ถึงอยุธยาแล้ว คุณป้ากับพี่ติ๊กเอารถมารับ แล้วยังแวะกินอาหารบุฟเฟต์ที่โรงแรมกรุงศรีริเวอร์ใกล้ๆ สถานีด้วย
วันนั้นหนูได้ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา พระราชวังจันทรเกษม ตอนเย็นก็ไปวัดไชยวัฒนาราม หนูประทับบรรยากาศมากๆ แล้วยังได้กราบเจดีย์ เจ้าฟ้ากุ้งด้วยค่ะ
อาหารค่ำวันนั้นเป็นน้ำพริกผักต้มและต้มยำปลาแบบโบราณแสนอร่อยด้วย
บ้านคุณป้าอยู่ใกล้ๆ วัดกษัตราธิราช เป็นเรือนไทยและมีดงกล้วยอยู่ด้านหลัง พวกหนูกับพี่อั๋นนอนที่ห้องเล็กแต่สบายมาก ตอนแรกหนูคิดว่าเราจะกลัวผีเพราะมานอนเรือนไทยเก่าแก่ ไม่ต้องกางมุ้งด้วย อากาศไม่ร้อน แถมยังมีพัดลมตั้งอยู่ตัวหนึ่ง
เราปูที่นอน นอนเรียงกันบนพื้น ห่มผ้าแพรบางๆ สบายดีจัง
ก่อนนอนหนูดูทีวี คุยกับคุณป้า พี่ติ๊ก พี่อั๋นและน้องๆ แล้วน้องแจ๊กก็ออกไปเดินเล่นแถวลานต้นลั่นทมส่งกลิ่นหอมชื่นใจ หนูกับพี่อั๋นก็ชอบกลิ่นลั่นทมค่ะ น้องจีนอายุ 8 ขวบก็เดินไปกับเราด้วย เก็บดอกลั่นทมมาเยอะเลย บอกว่าจะเอามาร้อยเป็นพวงมาลัยอย่างฮาวาย
บ้านคุณป้ามลนี่น่าอยู่มากค่ะ คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวง ทุกอย่างดูสวยไปหมด โดยเฉพาะดงกล้วยที่มีราว 30-40 ต้น พี่ติ๊กบอกปลูกไว้มีประโยชน์มาก ได้กินทั้งกล้วยที่หวานอร่อย วิตามินสูง ใบตองก็เอามาใช้ห่อของได้
อ้อ! ต้นกล้วยเอาไปหั่นเลี้ยงหมูก็ได้ ไส้ในก็เอามาแกงส้มใส่ปลาเล็กปลาน้อยก็อร่อยนัก หรือเวลาเทศกาลลอยกระทง คุณป้าก็จะตัดหยวกกล้วยเอามาทำกระทงขาย
กลางแสงจันทร์สว่างนวลแบบนี้ ต้นกล้วยทั้งกอดูสวยงาม โบกตองกับสายลมเหมือนมีชีวิตชีวาที่สดใสร่าเริง
ทันใดหนูร้องอุ๊ย! เพราะเห็นใบหน้าเรียวแหลมของผู้หญิงที่สวยเหมือนนางแบบ ผมดำยาว ตากลมโต เธอยิ้มให้หนูอยู่ในดงกล้วย น้องๆ กับพี่อั๋นถามว่ามีอะไรเหรอ? หนูก็ถามว่าเห็นนั่นไหม?
พอหันไปอีกที ผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้วค่ะ! หน้าหนูร้อนวูบแต่กลังเย็นวาบ ตาพร่าไปพักหนึ่ง...
พี่อั๋นบอกว่าอะไรก็ไม่รู้ ขนลุกหมดเลย! แล้วรีบพาพวกหนูขึ้นบ้าน พอเจอคุณป้าพี่อั๋นก็บอกว่าหนูเห็นผู้หญิงในดงกล้วย คุณป้ากลับหัวเราะแล้วพูดว่า...นางตานีละมั้ง?
หนูตื่นเต้นจริงๆ นะคะ ไม่น่าเชื่อว่าสมัยนี้ยังมีนางตานี หนูเคยอ่านเจอแต่ในหนังสือ พี่ติ๊กมาปลอบใจว่าไม่ต้องกลัวหรอก อาจจะเป็นเพื่อนบ้านเดินมาดูพวกเรา...หนูยังล้อเลยค่ะว่าแฟนของพี่ติ๊กละซี!
คืนนั้นหนูฝันถึงนางตานี เธอสวยจริงๆ หน้าเหมือนผู้หญิงที่หนูเห็น ห่มสไบสีเขียวอ่อน นุ่งผ้าโจงกระเบนสีแดงคล้ำเหมือนปลีกล้วย มีดอกไม้ทัดหูด้วยค่ะ
พอตื่นขึ้นหนูก็วาดรูป หนูชอบวาดรูป...พยายามวาดให้เหมือนเพราะจำได้ติดตา
คุณป้ากับพี่ติ๊กดูรูปการ์ตูนที่หนูวาดแล้วยิ้มเฉยๆ แค่นี้ก็รู้แล้วละว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นนางตานีแน่ๆ แต่ ไม่เห็นน่ากลัวหรือใจร้ายแบบผีในหนังสือเลย พี่อั๋นซิคะกลัวมากเพราะไม่ได้เห็นอย่างหนู เลยคิดจินตนาการ ไปใหญ่
ถึงยังไงเราก็ยังค้างอยู่บ้านคุณป้าอีกคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นถึงได้นั่งรถไฟกลับกรุงเทพฯ
เวลาผ่านไปจากวันนั้นถึงวันนี้เกือบสองอาทิตย์แล้ว เรายังเถียงกันอยู่เลยค่ะ ว่าผู้หญิงที่หนูเห็นเป็นคนหรือผีกันแน่?
หนูเชื่อจริงๆ ว่าเธอไม่ใช่คนหรอกค่ะ!
ถ้าเป็นแฟนพี่ติ๊กจริง ก็คงจะเดินออกมาทักทายเราแล้วล่ะ และอีกอย่างหนึ่ง เธอจะไปยืนกลางดงกล้วยทำไมคะ? ในเมื่อเราไม่ได้เล่นซ่อนหากันสักหน่อย...เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะที่เธอจะเป็นมนุษย์อย่างเราๆ
ขนาดผ่านมาหลายวันแล้วหนูยังจำหน้าเธอได้ติดหูติดตา นึกเห็นหน้าเธอทีไรเป็นต้องขนลุกซู่ทุกที
พอเอามาเล่าให้พี่บ้านฟังนะคะ ใครๆ ก็บอกให้ซื้อลอตเตอรี่ คุณแม่ซื้อมาเลขอะไรหนูก็จำไม่ได้แล้ว แต่ถูกเลขท้ายสองตัวตั้งสองใบแน่ะ คุณแม่เล่าให้คุณป้าฟัง แล้วก็ดีใจกันใหญ่
ถึงหนูจะไม่กลัว แต่ถ้าไปค้างบ้านคุณป้าที่อยุธยาอีกหนูก็รู้สึกหวาดๆ เหมือนกันนะคะ ระแวงว่าจะได้เห็นพี่คนสวยในดงกล้วยอีก เพราะหนูคิดว่าไม่เห็นจะดีที่สุดค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 24 พฤศจิกายน 2557
หนูมีญาติห่างๆชื่อ ป้ามล อยู่ที่จังหวัดอยุธยา ตอนปิดเทอมได้ชวนหนูกับน้องๆ ไปค้างที่บ้านสัก 2 - 3 คืน โดยมีพี่ติ๊กอายุ 17 ปีลูกสาวป้ามลเป็นคนพาเที่ยว
ตัวหนูเอง น้องแจ๊กและน้องจีนนั่งรถไฟไปกับพี่อั๋น เลขาฯ ของคุณแม่ เราสนุกมากค่ะ ตื่นเต้นดีจัง แป๊บเดียวก็ถึงอยุธยาแล้ว คุณป้ากับพี่ติ๊กเอารถมารับ แล้วยังแวะกินอาหารบุฟเฟต์ที่โรงแรมกรุงศรีริเวอร์ใกล้ๆ สถานีด้วย
วันนั้นหนูได้ไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยา พระราชวังจันทรเกษม ตอนเย็นก็ไปวัดไชยวัฒนาราม หนูประทับบรรยากาศมากๆ แล้วยังได้กราบเจดีย์ เจ้าฟ้ากุ้งด้วยค่ะ
อาหารค่ำวันนั้นเป็นน้ำพริกผักต้มและต้มยำปลาแบบโบราณแสนอร่อยด้วย
บ้านคุณป้าอยู่ใกล้ๆ วัดกษัตราธิราช เป็นเรือนไทยและมีดงกล้วยอยู่ด้านหลัง พวกหนูกับพี่อั๋นนอนที่ห้องเล็กแต่สบายมาก ตอนแรกหนูคิดว่าเราจะกลัวผีเพราะมานอนเรือนไทยเก่าแก่ ไม่ต้องกางมุ้งด้วย อากาศไม่ร้อน แถมยังมีพัดลมตั้งอยู่ตัวหนึ่ง
เราปูที่นอน นอนเรียงกันบนพื้น ห่มผ้าแพรบางๆ สบายดีจัง
ก่อนนอนหนูดูทีวี คุยกับคุณป้า พี่ติ๊ก พี่อั๋นและน้องๆ แล้วน้องแจ๊กก็ออกไปเดินเล่นแถวลานต้นลั่นทมส่งกลิ่นหอมชื่นใจ หนูกับพี่อั๋นก็ชอบกลิ่นลั่นทมค่ะ น้องจีนอายุ 8 ขวบก็เดินไปกับเราด้วย เก็บดอกลั่นทมมาเยอะเลย บอกว่าจะเอามาร้อยเป็นพวงมาลัยอย่างฮาวาย
บ้านคุณป้ามลนี่น่าอยู่มากค่ะ คืนนั้นพระจันทร์เต็มดวง ทุกอย่างดูสวยไปหมด โดยเฉพาะดงกล้วยที่มีราว 30-40 ต้น พี่ติ๊กบอกปลูกไว้มีประโยชน์มาก ได้กินทั้งกล้วยที่หวานอร่อย วิตามินสูง ใบตองก็เอามาใช้ห่อของได้
อ้อ! ต้นกล้วยเอาไปหั่นเลี้ยงหมูก็ได้ ไส้ในก็เอามาแกงส้มใส่ปลาเล็กปลาน้อยก็อร่อยนัก หรือเวลาเทศกาลลอยกระทง คุณป้าก็จะตัดหยวกกล้วยเอามาทำกระทงขาย
กลางแสงจันทร์สว่างนวลแบบนี้ ต้นกล้วยทั้งกอดูสวยงาม โบกตองกับสายลมเหมือนมีชีวิตชีวาที่สดใสร่าเริง
ทันใดหนูร้องอุ๊ย! เพราะเห็นใบหน้าเรียวแหลมของผู้หญิงที่สวยเหมือนนางแบบ ผมดำยาว ตากลมโต เธอยิ้มให้หนูอยู่ในดงกล้วย น้องๆ กับพี่อั๋นถามว่ามีอะไรเหรอ? หนูก็ถามว่าเห็นนั่นไหม?
พอหันไปอีกที ผู้หญิงคนนั้นหายไปแล้วค่ะ! หน้าหนูร้อนวูบแต่กลังเย็นวาบ ตาพร่าไปพักหนึ่ง...
พี่อั๋นบอกว่าอะไรก็ไม่รู้ ขนลุกหมดเลย! แล้วรีบพาพวกหนูขึ้นบ้าน พอเจอคุณป้าพี่อั๋นก็บอกว่าหนูเห็นผู้หญิงในดงกล้วย คุณป้ากลับหัวเราะแล้วพูดว่า...นางตานีละมั้ง?
หนูตื่นเต้นจริงๆ นะคะ ไม่น่าเชื่อว่าสมัยนี้ยังมีนางตานี หนูเคยอ่านเจอแต่ในหนังสือ พี่ติ๊กมาปลอบใจว่าไม่ต้องกลัวหรอก อาจจะเป็นเพื่อนบ้านเดินมาดูพวกเรา...หนูยังล้อเลยค่ะว่าแฟนของพี่ติ๊กละซี!
คืนนั้นหนูฝันถึงนางตานี เธอสวยจริงๆ หน้าเหมือนผู้หญิงที่หนูเห็น ห่มสไบสีเขียวอ่อน นุ่งผ้าโจงกระเบนสีแดงคล้ำเหมือนปลีกล้วย มีดอกไม้ทัดหูด้วยค่ะ
พอตื่นขึ้นหนูก็วาดรูป หนูชอบวาดรูป...พยายามวาดให้เหมือนเพราะจำได้ติดตา
คุณป้ากับพี่ติ๊กดูรูปการ์ตูนที่หนูวาดแล้วยิ้มเฉยๆ แค่นี้ก็รู้แล้วละว่าผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นนางตานีแน่ๆ แต่ ไม่เห็นน่ากลัวหรือใจร้ายแบบผีในหนังสือเลย พี่อั๋นซิคะกลัวมากเพราะไม่ได้เห็นอย่างหนู เลยคิดจินตนาการ ไปใหญ่
ถึงยังไงเราก็ยังค้างอยู่บ้านคุณป้าอีกคืนหนึ่ง รุ่งขึ้นถึงได้นั่งรถไฟกลับกรุงเทพฯ
เวลาผ่านไปจากวันนั้นถึงวันนี้เกือบสองอาทิตย์แล้ว เรายังเถียงกันอยู่เลยค่ะ ว่าผู้หญิงที่หนูเห็นเป็นคนหรือผีกันแน่?
หนูเชื่อจริงๆ ว่าเธอไม่ใช่คนหรอกค่ะ!
ถ้าเป็นแฟนพี่ติ๊กจริง ก็คงจะเดินออกมาทักทายเราแล้วล่ะ และอีกอย่างหนึ่ง เธอจะไปยืนกลางดงกล้วยทำไมคะ? ในเมื่อเราไม่ได้เล่นซ่อนหากันสักหน่อย...เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะที่เธอจะเป็นมนุษย์อย่างเราๆ
ขนาดผ่านมาหลายวันแล้วหนูยังจำหน้าเธอได้ติดหูติดตา นึกเห็นหน้าเธอทีไรเป็นต้องขนลุกซู่ทุกที
พอเอามาเล่าให้พี่บ้านฟังนะคะ ใครๆ ก็บอกให้ซื้อลอตเตอรี่ คุณแม่ซื้อมาเลขอะไรหนูก็จำไม่ได้แล้ว แต่ถูกเลขท้ายสองตัวตั้งสองใบแน่ะ คุณแม่เล่าให้คุณป้าฟัง แล้วก็ดีใจกันใหญ่
ถึงหนูจะไม่กลัว แต่ถ้าไปค้างบ้านคุณป้าที่อยุธยาอีกหนูก็รู้สึกหวาดๆ เหมือนกันนะคะ ระแวงว่าจะได้เห็นพี่คนสวยในดงกล้วยอีก เพราะหนูคิดว่าไม่เห็นจะดีที่สุดค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 24 พฤศจิกายน 2557
25 มีนาคม 2558
บ่อนผีสิง
"ปี๊ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ่อนร้าง
เขาว่าคนเราย่อมมีทั้งดีทั้งชั่ว มีจุดเด่นจุดด้อย จุดอ่อนจุดแข็ง เหมือนสุขกับทุกข์ที่เป็นของคู่กัน บางทีก็สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึง วันสิ้นลมปราณ
ผมเองก็ไม่ได้แตกต่างกว่าผู้อื่นหรอกครับ แถมยังมีข้อด้อยมากกว่าข้อดีเสียด้วยซ้ำ ไหนๆจะเล่าเรื่องขนหัวลุกสู่กันฟังทั้งที ก็ขอเล่าอย่างหมดเปลือกไปเลย
ถ้าพูดถึงเรื่องการงานต้องขอบอกว่า ผมทำงานในวิสาหกิจใหญ่โต เกี่ยวข้องกับผู้คนมากมาย แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นข้อดีของผมที่ได้รับเงินเดือนสูง โบนัสงาม สำหรับเรื่องความรับผิดชอบในหน้าที่การงานนั้นผมมีอยู่เต็มร้อยก็ว่าได้
เมื่อมีข้อดีก็มีข้อเสีย แต่ไม่ใช่เหล้ายาปลาปิ้งหรือติดเที่ยวหรอกครับ ผมเองน่ะมีบ้างแต่นานๆ ครั้ง ไม่เคยลุ่มหลงมัวเมา หรือหัวปักหัวปำเหมือนหลายๆ ที่ทำให้เสียการงาน
แต่ข้อเสียสำคัญที่สุด ขอเปิดอกสารภาพไว้ตรงนี้เลยว่าผมติดการพนันครับ!
ไม่ใช่เล่นม้า เล่นมวย หรือแทงบอลตามแฟชั่นในยุคหลัง แต่ของผมน่ะเข้าบ่อนกันเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย ถ้าไม่ตอนเย็นหลังงานเลิกก็เสาร์อาทิตย์ เรื่องนี้เมียผมรู้ครับ แต่เธอไม่เคยปริปากบ่นว่าหรือห้ามปราม เหมือนอย่างเพื่อนฝูงในบ่อน 2-3 คนเคยบ่นให้ฟัง
อาจจะมีสาเหตุมาจากการที่ผมเป็นคนรับผิดชอบสูงก็ได้ ไม่ว่าเรื่องงานหรือในครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่าย บางอาทิตย์ก็พาลูกเมียไปเดินห้าง ดูหนัง หาอะไรกิน ซื้อข้าวของกลับบ้าน...แล้วผมก็หลบเข้าบ่อน!
มีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่เมียผมทำไม่รู้ไม่ชี้ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ก็คือผมเล่นได้มากกว่าเสีย ไม่ว่าบั๊กคาร่า, รูเล็ต, ยี่อิ๊ด, โป๊กเกอร์ แม้แต่ป๊อกเด้งก็มักจะ "เป๋าตุง" เป็นประจำ
ไม่ใช่เรื่องการคดโกง หรือมีเล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงอะไรหรอกครับ ใครขืนอุตริทำแบบนั้นมีหวังต้องคลานกลับบ้านหรือนอนหยอดน้ำข้าวต้ม เพราะขึ้นว่า "บ่อน" ย่อมจะมีชั่วโมงบินสูงลิบกว่าลูกค้าอยู่แล้ว ต่อให้เซียนถือแซ่แค่ไหนก็อย่าได้คิดแหย็มกับบ่อนเด็ดขาด
ดวงครับดวง!! "ใครว่าแน่ๆ ก็ยังแพ้ดวง" เป็นความจริงครับ ถือคติ "ไปตามดวงไม่ห่วงชีวิต แล้วแต่พรหมลิขิต ปล่อยชีวิตไปตามดวง" เป็นดีที่สุด!
การไปวัดดวงที่บ่อนก็เหมือนการเดินทางของชีวิต ต่อให้อยู่เฉยๆ ก็ยังเป็นการเดินทางอยู่ดี...ไปสู่ความตายไงล่ะครับ! แต่ระหว่างทางน่ะไม่มีใครรู้ตัวล่วงหน้าหรอกว่าจะพบเห็นหรือเจอะเจอกับอะไรบ้าง กว่าจะถึงปลายทางส่วนมากก็ระหกระเหินบอบช้ำกันทั้งนั้น
จนกระทั่งมีข่าวใหญ่โตว่าต่อไปนี้จะไม่มีบ่อนเถื่อนทั่วประเทศอีกแล้ว!
ผมเป็นนักเล่นมาตั้งก่อนบ่อนลอยฟ้าดังระเบิดซะ ด้วยซ้ำ เข้าแทบทุกบ่อนใหญ่ๆในกรุงเทพฯ นับครั้งไม่ถ้วน นานจับแก้บนกันทีก็มีข่าวย้าย 5 เสือประจำสน.ที แต่ที่ออกข่าวประจำน่ะ โอ๊ย! ตำรวจไม่รู้เรื่อง ตำรวจพยายามปราบปรามมาตลอด แต่ก็อย่างว่า จับเช้าเปิดบ่าย จับวันนี้พรุ่งนี้เปิด...เหมือนจับปูใส่กระด้ง!
โทษหนักคือรับทรัพย์ หรือรู้เห็นเป็นใจก็โดนปลด โดนดำเนินคดี โทษเบาคือปล่อยปละละเลยก็โดนย้ายหนึ่งเดือน แล้วก็เงียบหายเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง
วันศุกร์ต้นเดือน รถราคับคั่งติดเป็นแพตามระเบียบ ยิ่งตอนเย็นๆ ค่ำๆ แทบไม่ต้องขยับก็ว่าได้...ผมแวะไปบ่อนแรก ส่งซิกเรียบร้อยก็ได้คำตอบว่าปิด ต้องรอจนกว่าเรื่องซาลงไปก่อนถึงจะเปิดได้
เออ! คราวนี้เอาจริงแฮะ...แล้วผมจะหาเงินสดๆ เป็นลำไพ่พิเศษได้ยังไงกัน?
บ่อนอื่นๆ ก็ยังมีน่ะ! ผมปลอบใจตัวเอง ขับรถไปหาจุดหมายทันที...ผีหลอกแฮะเพราะผ่านมา 3-4 บ่อนปิดหมด กำลังจะยอมแพ้ก็พอดีนึกถึงบ่อนเฮียฮุยขึ้นมา...ได้การ!
เข้าซอยขรุขระคดเคี้ยวค่อนข้างเปลี่ยวไปจนถึงตึกสามชั้นโดดเด่น รายรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ๆ กดออดสั้นครั้งเดียว ช่องเล็กๆ ก็เปิดออกเห็นหน้าดำๆ โผล่ขึ้น...ลุงดำนี่แกหน้าดำ ตัวดำสมชื่อ คุ้นเคยกับผมมาเกือบปีแล้ว มักจะได้รับทิปใบแดงๆ จากผมเป็นประจำ
อ้าฮา! ความหวังกลายเป็นจริง บ่อนนี้เปิดมา 2-3 วันแล้ว ผมเดินลิ่วผ่านเพิงอาหารและเครื่องดื่มเข้าไปในตัวตึก ดิ่วดิ่งขึ้นลิฟต์ไปชั้น 2 บรรยากาศได้-เสีย คึกคักตามเคย
มีหญิงชายวัยกลางคนไปจนถึงรุ่นใหญ่ กำลังกลุ้มรุมอยู่กับโต๊ะพนันที่ตัวโปรดปราน มีทั้งยิ้มแย้มเบิกบาน มีทั้งหน้าดำคร่ำเครียด เสียงโยนเต๋า เสียงเฮฮาระคนกับสบถเบาๆ มันคือบรรยากาศที่ผมคุ้นเคยมาเกือบชั่วชีวิตก็ว่าได้
กำลังตัดสินใจว่าจะแวะโต๊ะไหนดี? ผมก็ต้องยืนตะลึงงันอยู่กับที่ เมื่อภาพต่างๆ อันมีชีวิตชีวาเมื่อพริบตาก่อน ค่อยๆ เลือนรางจางหายไปในแสงไฟเยือกเย็น ก่อนจะดับวูบลง
เผ่นพรวดออกมาจากบ่อนผีสิงโดยไม่สติแตก หรือช็อกตายคาที่ได้ยังไงก็ยังงงๆ
บ่อนไหนเปิดใหม่เมื่อไหร่ไม่ต้องบอกกล่าวมานะครับ...ผมสาบานไว้แล้วว่าจะไม่เข้าบ่อนไปจนวันตาย! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557
เขาว่าคนเราย่อมมีทั้งดีทั้งชั่ว มีจุดเด่นจุดด้อย จุดอ่อนจุดแข็ง เหมือนสุขกับทุกข์ที่เป็นของคู่กัน บางทีก็สลับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถึง วันสิ้นลมปราณ
ผมเองก็ไม่ได้แตกต่างกว่าผู้อื่นหรอกครับ แถมยังมีข้อด้อยมากกว่าข้อดีเสียด้วยซ้ำ ไหนๆจะเล่าเรื่องขนหัวลุกสู่กันฟังทั้งที ก็ขอเล่าอย่างหมดเปลือกไปเลย
ถ้าพูดถึงเรื่องการงานต้องขอบอกว่า ผมทำงานในวิสาหกิจใหญ่โต เกี่ยวข้องกับผู้คนมากมาย แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นข้อดีของผมที่ได้รับเงินเดือนสูง โบนัสงาม สำหรับเรื่องความรับผิดชอบในหน้าที่การงานนั้นผมมีอยู่เต็มร้อยก็ว่าได้
เมื่อมีข้อดีก็มีข้อเสีย แต่ไม่ใช่เหล้ายาปลาปิ้งหรือติดเที่ยวหรอกครับ ผมเองน่ะมีบ้างแต่นานๆ ครั้ง ไม่เคยลุ่มหลงมัวเมา หรือหัวปักหัวปำเหมือนหลายๆ ที่ทำให้เสียการงาน
แต่ข้อเสียสำคัญที่สุด ขอเปิดอกสารภาพไว้ตรงนี้เลยว่าผมติดการพนันครับ!
ไม่ใช่เล่นม้า เล่นมวย หรือแทงบอลตามแฟชั่นในยุคหลัง แต่ของผมน่ะเข้าบ่อนกันเป็นเรื่องเป็นราวไปเลย ถ้าไม่ตอนเย็นหลังงานเลิกก็เสาร์อาทิตย์ เรื่องนี้เมียผมรู้ครับ แต่เธอไม่เคยปริปากบ่นว่าหรือห้ามปราม เหมือนอย่างเพื่อนฝูงในบ่อน 2-3 คนเคยบ่นให้ฟัง
อาจจะมีสาเหตุมาจากการที่ผมเป็นคนรับผิดชอบสูงก็ได้ ไม่ว่าเรื่องงานหรือในครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องค่าใช้จ่าย บางอาทิตย์ก็พาลูกเมียไปเดินห้าง ดูหนัง หาอะไรกิน ซื้อข้าวของกลับบ้าน...แล้วผมก็หลบเข้าบ่อน!
มีเรื่องสำคัญอีกอย่างที่เมียผมทำไม่รู้ไม่ชี้ เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ก็คือผมเล่นได้มากกว่าเสีย ไม่ว่าบั๊กคาร่า, รูเล็ต, ยี่อิ๊ด, โป๊กเกอร์ แม้แต่ป๊อกเด้งก็มักจะ "เป๋าตุง" เป็นประจำ
ไม่ใช่เรื่องการคดโกง หรือมีเล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงอะไรหรอกครับ ใครขืนอุตริทำแบบนั้นมีหวังต้องคลานกลับบ้านหรือนอนหยอดน้ำข้าวต้ม เพราะขึ้นว่า "บ่อน" ย่อมจะมีชั่วโมงบินสูงลิบกว่าลูกค้าอยู่แล้ว ต่อให้เซียนถือแซ่แค่ไหนก็อย่าได้คิดแหย็มกับบ่อนเด็ดขาด
ดวงครับดวง!! "ใครว่าแน่ๆ ก็ยังแพ้ดวง" เป็นความจริงครับ ถือคติ "ไปตามดวงไม่ห่วงชีวิต แล้วแต่พรหมลิขิต ปล่อยชีวิตไปตามดวง" เป็นดีที่สุด!
การไปวัดดวงที่บ่อนก็เหมือนการเดินทางของชีวิต ต่อให้อยู่เฉยๆ ก็ยังเป็นการเดินทางอยู่ดี...ไปสู่ความตายไงล่ะครับ! แต่ระหว่างทางน่ะไม่มีใครรู้ตัวล่วงหน้าหรอกว่าจะพบเห็นหรือเจอะเจอกับอะไรบ้าง กว่าจะถึงปลายทางส่วนมากก็ระหกระเหินบอบช้ำกันทั้งนั้น
จนกระทั่งมีข่าวใหญ่โตว่าต่อไปนี้จะไม่มีบ่อนเถื่อนทั่วประเทศอีกแล้ว!
ผมเป็นนักเล่นมาตั้งก่อนบ่อนลอยฟ้าดังระเบิดซะ ด้วยซ้ำ เข้าแทบทุกบ่อนใหญ่ๆในกรุงเทพฯ นับครั้งไม่ถ้วน นานจับแก้บนกันทีก็มีข่าวย้าย 5 เสือประจำสน.ที แต่ที่ออกข่าวประจำน่ะ โอ๊ย! ตำรวจไม่รู้เรื่อง ตำรวจพยายามปราบปรามมาตลอด แต่ก็อย่างว่า จับเช้าเปิดบ่าย จับวันนี้พรุ่งนี้เปิด...เหมือนจับปูใส่กระด้ง!
โทษหนักคือรับทรัพย์ หรือรู้เห็นเป็นใจก็โดนปลด โดนดำเนินคดี โทษเบาคือปล่อยปละละเลยก็โดนย้ายหนึ่งเดือน แล้วก็เงียบหายเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง
วันศุกร์ต้นเดือน รถราคับคั่งติดเป็นแพตามระเบียบ ยิ่งตอนเย็นๆ ค่ำๆ แทบไม่ต้องขยับก็ว่าได้...ผมแวะไปบ่อนแรก ส่งซิกเรียบร้อยก็ได้คำตอบว่าปิด ต้องรอจนกว่าเรื่องซาลงไปก่อนถึงจะเปิดได้
เออ! คราวนี้เอาจริงแฮะ...แล้วผมจะหาเงินสดๆ เป็นลำไพ่พิเศษได้ยังไงกัน?
บ่อนอื่นๆ ก็ยังมีน่ะ! ผมปลอบใจตัวเอง ขับรถไปหาจุดหมายทันที...ผีหลอกแฮะเพราะผ่านมา 3-4 บ่อนปิดหมด กำลังจะยอมแพ้ก็พอดีนึกถึงบ่อนเฮียฮุยขึ้นมา...ได้การ!
เข้าซอยขรุขระคดเคี้ยวค่อนข้างเปลี่ยวไปจนถึงตึกสามชั้นโดดเด่น รายรอบด้วยต้นไม้ใหญ่ๆ กดออดสั้นครั้งเดียว ช่องเล็กๆ ก็เปิดออกเห็นหน้าดำๆ โผล่ขึ้น...ลุงดำนี่แกหน้าดำ ตัวดำสมชื่อ คุ้นเคยกับผมมาเกือบปีแล้ว มักจะได้รับทิปใบแดงๆ จากผมเป็นประจำ
อ้าฮา! ความหวังกลายเป็นจริง บ่อนนี้เปิดมา 2-3 วันแล้ว ผมเดินลิ่วผ่านเพิงอาหารและเครื่องดื่มเข้าไปในตัวตึก ดิ่วดิ่งขึ้นลิฟต์ไปชั้น 2 บรรยากาศได้-เสีย คึกคักตามเคย
มีหญิงชายวัยกลางคนไปจนถึงรุ่นใหญ่ กำลังกลุ้มรุมอยู่กับโต๊ะพนันที่ตัวโปรดปราน มีทั้งยิ้มแย้มเบิกบาน มีทั้งหน้าดำคร่ำเครียด เสียงโยนเต๋า เสียงเฮฮาระคนกับสบถเบาๆ มันคือบรรยากาศที่ผมคุ้นเคยมาเกือบชั่วชีวิตก็ว่าได้
กำลังตัดสินใจว่าจะแวะโต๊ะไหนดี? ผมก็ต้องยืนตะลึงงันอยู่กับที่ เมื่อภาพต่างๆ อันมีชีวิตชีวาเมื่อพริบตาก่อน ค่อยๆ เลือนรางจางหายไปในแสงไฟเยือกเย็น ก่อนจะดับวูบลง
เผ่นพรวดออกมาจากบ่อนผีสิงโดยไม่สติแตก หรือช็อกตายคาที่ได้ยังไงก็ยังงงๆ
บ่อนไหนเปิดใหม่เมื่อไหร่ไม่ต้องบอกกล่าวมานะครับ...ผมสาบานไว้แล้วว่าจะไม่เข้าบ่อนไปจนวันตาย! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 21 พฤศจิกายน 2557
23 มีนาคม 2558
ใต้สระบัว
"พิ้งค์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสระผีสิง
หลายปีก่อนโน้น ตอนที่ดิฉันเป็นนักศึกษาอยู่ คุณพ่อได้ช่วยเหลือคนรับใช้ของเราคนหนึ่งให้พ้นจากหนี้สิน ด้วยการซื้อที่ดิน 9 ไร่ของเธอ พี่เอี้ยงเป็นคน พันดุง โคราชนี่เอง
เมื่อได้เงินก้อนจากการขายที่ เธอก็ปลดหนี้ได้ แถมเหลือเงินไปให้แม่อีกด้วย
มาถึงปี 2548 เธอบอกว่ามีคนมาติดต่อขอซื้อที่ 9 ไร่นั้น ให้ราคาดีด้วย คุณพ่อตกลงและให้ดิฉันไปจัดการ นานๆ ได้ออกต่างจังหวัดทีดิฉันก็ดีใจ อีกทั้งเป็นการ ได้ไปบ้านพี่เอี้ยง โชคดีที่ดิฉันทำงานกับบริษัทของครอบครัว เลยมีอิสรเสรีพอสมควร
ขอลางานแค่จันทร์กับอังคารเท่านั้นค่ะ ทำธุระเรื่องที่ดินเสร็จก็กลับกรุงเทพฯ เลย
เราออกเดินทางด้วยรถไฟตอนเช้าวันอาทิตย์ ไปกับพี่เอี้ยงและน้องกิ่ง-น้องสาวของดิฉันเอง เราไปถึงบ้าน พี่เอี้ยงตอนบ่ายแก่ๆ อือม์...บ้านนี้สวยเชียวล่ะ เป็นบ้านไม้สองชั้นทาสีฟ้า ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณกว้างขวาง มีสวนครัว มีรั้วไม้ไผ่ล้อมอย่างเรียบร้อย
แม่พี่เอี้ยงอยู่ชั้นล่างเพราะแกแก่แล้ว ขาไม่ดี อีกอย่างหนึ่งจะเข้าห้องน้ำห้องท่าก็สะดวก ไม่ต้องขึ้นบันไดให้เหน็ดเหนื่อย ดิฉันเรียกว่าป้าอิ่ม
บ้านนี้ยังมีน้องชายพี่เอี้ยงชื่อ นาย อายุ 15 ปี ส่วนพี่น้องท้องเดียวกันอีกห้าคนแยกย้ายไปทำงานกรุงเทพฯบ้าง ซาอุฯ กับไต้หวันบ้าง ต้องเรียกว่า...หากินกันตัวเป็นเกลียว!
เย็นวันอาทิตย์นั้นพวกเราสนุกมากค่ะ
พี่เอี้ยงไปตลาดซื้อกับข้าวที่ดิฉันกับน้องกิ่งชอบมาก มาทำกินกันอย่างเอร็ดอร่อย กว่าจะเสร็จเรียบร้อยราว ห้าโมงเศษ นายกับพี่เอี้ยงพาดิฉันกับน้องกิ่งไปดูสระบัว สวยจริงๆ ค่ะดอกบัวขาว บัวแดงบานสะพรั่ง เห็นแล้วน่าว่ายน้ำลงไปเก็บเหลือเกิน
สระนี้กว้างอย่างกับสนามฟุตบอลเลย และอยู่ไม่ไกลจากรั้วบ้านนัก ราวๆ 15 เมตรได้ เวลามองจากหน้าต่างชั้นบนจะเห็นสระอย่างชัดเจน ตอนเย็นลมพัดโชยแทบไม่ขาดสาย มีชาวบ้านมาปูเสื่อนั่งเล่นริมสระอยู่หลายคน ร้องทักทายกับพี่เอี้ยงกันแทบทุกคน
ตกกลางคืน พอกินข้าวอาบน้ำเสร็จก็เตรียมเข้านอน พี่เอี้ยงกางมุ้งให้เรานอนชั้นบน อากาศคืนนั้นไม่ร้อนเลย แถมยังมีพัดลมตั้งโต๊ะตัวหนึ่งด้วย คนต่างจังหวัดเขานอนหัวค่ำกันค่ะ สามทุ่มก็นอนกันแล้วเพราะต้องตื่นแต่เช้า
ดิฉันกับกิ่งนอนไม่หลับ คงจะเป็นเพราะแปลกที่...เลยลุกมานั่งเล่นที่หน้าต่าง
คืนนั้นเดือนหงายกระจ่างฟ้า ทั่วบริเวณดับไฟมืดแล้ว แสงจันทร์ดูสว่างมากค่ะ...สว่างจนเห็นสีฟ้าๆ ของตัวบ้าน ดิฉันมองไปทางสระบัว มันดูลึกลับเหมือนมิติพิศวงยังไงไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะแสงจันทร์ก็ได้
ทันใดนั้น ดิฉันเห็นกอบัวกลางสระกระเพื่อมเป็นแพ และแล้วก็มีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งกับเด็กอีกคนว่ายน้ำจากตรงนั้นมายังฝั่ง
เออแน่ะ...สามทุ่มป่านนี้คงจะมาว่ายน้ำเล่นกันมั้ง? ดิฉันไม่ได้คิดอะไรมาก เฝ้ามองพวกเขาเฉยๆ มองจนเขาขึ้นฝั่งแล้วเดินขึ้นมา เด็กน่ะตัวผอมเชียว อายุราว 7-8 ขวบ นุ่งขาสั้น เสื้อยืดคอกลมเปียกโชก ผมตัดแค่หูตามแบบเด็กนักเรียน
ส่วนผู้หญิง! ดิฉันถึงกับอุทานกับน้องกิ่ง...ผู้หญิง คนนั้นผมยาวมากเลยเอวอีกค่ะ ผมเปียกลู่ รูปร่างบอบบางและเธอกำลังมีครรภ์ ท้องใหญ่กลมเห็นชัดเจน ท้องแก่ด้วย! เอ...คนท้องไม่น่ามาเล่นน้ำดึกๆ ดื่นๆ โบราณเขาถือไม่ใช่หรือคะ?
เด็กกับผู้หญิงท้องแก่นั่น พอขึ้นจากสระก็เดินหายไปทางโน้น มีไม้ล้มลุกขึ้นเป็นดงพอสมควร...เรานั่งเล่นอีกสักพักก็เข้ามุ้งนอน คราวนี้หลับสบายมาก ตื่นตอนเจ็ดโมงเช้า ได้กลิ่นข้าวต้ม ไข่เจียว ยำกุ้งแห้ง ผัดผักบุ้งกับเต้าเจี้ยว และปลาเค็มทอดหอมฉุยยั่วน้ำลาย
ตลอดวันจันทร์ ดิฉัน กิ่งและพี่เอี้ยงต้องแกร่วอยู่ที่อำเภอ แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยค่ะ คืนนี้จะนอนที่พันดุงอีกคืน แล้วกลับบ้านบ่ายวันอังคาร
คืนวันจันทร์เรายังดื่มด่ำกับบรรยากาศชนบท มันเหมือนได้ไปพักผ่อนชายทะเลเลยล่ะ ดิฉันชอบวิว สระบัวนั้นมาก ยังใช้มือถือถ่ายรูปเก็บไว้ตั้งหลายรูปแน่ะ...นี่เป็นอีกคืนที่ดิฉันกับน้องกิ่งนั่งเล่นริมหน้าต่าง มองดู สระบัวกลางแสงจันทร์ อากาศค่อนข้างเย็น
และแล้วกอบัวกลางสระก็กระเพื่อมขึ้นอีกเหมือน คืนก่อน...
ดิฉันตาฝาดไปหรือเปล่า? ผู้หญิงกับเด็กคนเดิมกำลังว่ายน้ำเข้ามา...ทุกอย่างเหมือนฉายหนังซ้ำไม่มีผิด! เห็นแล้วใจคอเสียววูบวาบชอบกล
รุ่งขึ้นตอนลงไปนั่งกินโจ๊กกับปาท่องโก๋ ดิฉันเอ่ยถึง ผู้หญิงท้องแก่กับเด็กในสระบัวขึ้นมา พี่เอี้ยงทำช้อนตกดังเปรื่อง ไอ้นายร้องเหวอ...ป้าอิ่มหัวเราะหึๆ ร้อง...ข้าว่าแล้ว!
ดิฉันเย็นวูบไปทั้งไขสันหลังเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ พี่เอี้ยงทำท่าขนลุกขนชันก่อนจะหลุดปากเสียงสั่นเครือ....นึกว่าแม่ลูกที่ตกน้ำตายคู่นั้นไปผุดไปเกิดตั้งนานแล้วเสียอีก
เราสองพี่น้องกินอะไรไม่ลง ได้แต่มองสบตากัน... ขนหัวลุกน่ะซีคะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 20 พฤศจิกายน 2557
หลายปีก่อนโน้น ตอนที่ดิฉันเป็นนักศึกษาอยู่ คุณพ่อได้ช่วยเหลือคนรับใช้ของเราคนหนึ่งให้พ้นจากหนี้สิน ด้วยการซื้อที่ดิน 9 ไร่ของเธอ พี่เอี้ยงเป็นคน พันดุง โคราชนี่เอง
เมื่อได้เงินก้อนจากการขายที่ เธอก็ปลดหนี้ได้ แถมเหลือเงินไปให้แม่อีกด้วย
มาถึงปี 2548 เธอบอกว่ามีคนมาติดต่อขอซื้อที่ 9 ไร่นั้น ให้ราคาดีด้วย คุณพ่อตกลงและให้ดิฉันไปจัดการ นานๆ ได้ออกต่างจังหวัดทีดิฉันก็ดีใจ อีกทั้งเป็นการ ได้ไปบ้านพี่เอี้ยง โชคดีที่ดิฉันทำงานกับบริษัทของครอบครัว เลยมีอิสรเสรีพอสมควร
ขอลางานแค่จันทร์กับอังคารเท่านั้นค่ะ ทำธุระเรื่องที่ดินเสร็จก็กลับกรุงเทพฯ เลย
เราออกเดินทางด้วยรถไฟตอนเช้าวันอาทิตย์ ไปกับพี่เอี้ยงและน้องกิ่ง-น้องสาวของดิฉันเอง เราไปถึงบ้าน พี่เอี้ยงตอนบ่ายแก่ๆ อือม์...บ้านนี้สวยเชียวล่ะ เป็นบ้านไม้สองชั้นทาสีฟ้า ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณกว้างขวาง มีสวนครัว มีรั้วไม้ไผ่ล้อมอย่างเรียบร้อย
แม่พี่เอี้ยงอยู่ชั้นล่างเพราะแกแก่แล้ว ขาไม่ดี อีกอย่างหนึ่งจะเข้าห้องน้ำห้องท่าก็สะดวก ไม่ต้องขึ้นบันไดให้เหน็ดเหนื่อย ดิฉันเรียกว่าป้าอิ่ม
บ้านนี้ยังมีน้องชายพี่เอี้ยงชื่อ นาย อายุ 15 ปี ส่วนพี่น้องท้องเดียวกันอีกห้าคนแยกย้ายไปทำงานกรุงเทพฯบ้าง ซาอุฯ กับไต้หวันบ้าง ต้องเรียกว่า...หากินกันตัวเป็นเกลียว!
เย็นวันอาทิตย์นั้นพวกเราสนุกมากค่ะ
พี่เอี้ยงไปตลาดซื้อกับข้าวที่ดิฉันกับน้องกิ่งชอบมาก มาทำกินกันอย่างเอร็ดอร่อย กว่าจะเสร็จเรียบร้อยราว ห้าโมงเศษ นายกับพี่เอี้ยงพาดิฉันกับน้องกิ่งไปดูสระบัว สวยจริงๆ ค่ะดอกบัวขาว บัวแดงบานสะพรั่ง เห็นแล้วน่าว่ายน้ำลงไปเก็บเหลือเกิน
สระนี้กว้างอย่างกับสนามฟุตบอลเลย และอยู่ไม่ไกลจากรั้วบ้านนัก ราวๆ 15 เมตรได้ เวลามองจากหน้าต่างชั้นบนจะเห็นสระอย่างชัดเจน ตอนเย็นลมพัดโชยแทบไม่ขาดสาย มีชาวบ้านมาปูเสื่อนั่งเล่นริมสระอยู่หลายคน ร้องทักทายกับพี่เอี้ยงกันแทบทุกคน
ตกกลางคืน พอกินข้าวอาบน้ำเสร็จก็เตรียมเข้านอน พี่เอี้ยงกางมุ้งให้เรานอนชั้นบน อากาศคืนนั้นไม่ร้อนเลย แถมยังมีพัดลมตั้งโต๊ะตัวหนึ่งด้วย คนต่างจังหวัดเขานอนหัวค่ำกันค่ะ สามทุ่มก็นอนกันแล้วเพราะต้องตื่นแต่เช้า
ดิฉันกับกิ่งนอนไม่หลับ คงจะเป็นเพราะแปลกที่...เลยลุกมานั่งเล่นที่หน้าต่าง
คืนนั้นเดือนหงายกระจ่างฟ้า ทั่วบริเวณดับไฟมืดแล้ว แสงจันทร์ดูสว่างมากค่ะ...สว่างจนเห็นสีฟ้าๆ ของตัวบ้าน ดิฉันมองไปทางสระบัว มันดูลึกลับเหมือนมิติพิศวงยังไงไม่รู้ อาจจะเป็นเพราะแสงจันทร์ก็ได้
ทันใดนั้น ดิฉันเห็นกอบัวกลางสระกระเพื่อมเป็นแพ และแล้วก็มีร่างของผู้หญิงคนหนึ่งกับเด็กอีกคนว่ายน้ำจากตรงนั้นมายังฝั่ง
เออแน่ะ...สามทุ่มป่านนี้คงจะมาว่ายน้ำเล่นกันมั้ง? ดิฉันไม่ได้คิดอะไรมาก เฝ้ามองพวกเขาเฉยๆ มองจนเขาขึ้นฝั่งแล้วเดินขึ้นมา เด็กน่ะตัวผอมเชียว อายุราว 7-8 ขวบ นุ่งขาสั้น เสื้อยืดคอกลมเปียกโชก ผมตัดแค่หูตามแบบเด็กนักเรียน
ส่วนผู้หญิง! ดิฉันถึงกับอุทานกับน้องกิ่ง...ผู้หญิง คนนั้นผมยาวมากเลยเอวอีกค่ะ ผมเปียกลู่ รูปร่างบอบบางและเธอกำลังมีครรภ์ ท้องใหญ่กลมเห็นชัดเจน ท้องแก่ด้วย! เอ...คนท้องไม่น่ามาเล่นน้ำดึกๆ ดื่นๆ โบราณเขาถือไม่ใช่หรือคะ?
เด็กกับผู้หญิงท้องแก่นั่น พอขึ้นจากสระก็เดินหายไปทางโน้น มีไม้ล้มลุกขึ้นเป็นดงพอสมควร...เรานั่งเล่นอีกสักพักก็เข้ามุ้งนอน คราวนี้หลับสบายมาก ตื่นตอนเจ็ดโมงเช้า ได้กลิ่นข้าวต้ม ไข่เจียว ยำกุ้งแห้ง ผัดผักบุ้งกับเต้าเจี้ยว และปลาเค็มทอดหอมฉุยยั่วน้ำลาย
ตลอดวันจันทร์ ดิฉัน กิ่งและพี่เอี้ยงต้องแกร่วอยู่ที่อำเภอ แต่ทุกอย่างก็เรียบร้อยค่ะ คืนนี้จะนอนที่พันดุงอีกคืน แล้วกลับบ้านบ่ายวันอังคาร
คืนวันจันทร์เรายังดื่มด่ำกับบรรยากาศชนบท มันเหมือนได้ไปพักผ่อนชายทะเลเลยล่ะ ดิฉันชอบวิว สระบัวนั้นมาก ยังใช้มือถือถ่ายรูปเก็บไว้ตั้งหลายรูปแน่ะ...นี่เป็นอีกคืนที่ดิฉันกับน้องกิ่งนั่งเล่นริมหน้าต่าง มองดู สระบัวกลางแสงจันทร์ อากาศค่อนข้างเย็น
และแล้วกอบัวกลางสระก็กระเพื่อมขึ้นอีกเหมือน คืนก่อน...
ดิฉันตาฝาดไปหรือเปล่า? ผู้หญิงกับเด็กคนเดิมกำลังว่ายน้ำเข้ามา...ทุกอย่างเหมือนฉายหนังซ้ำไม่มีผิด! เห็นแล้วใจคอเสียววูบวาบชอบกล
รุ่งขึ้นตอนลงไปนั่งกินโจ๊กกับปาท่องโก๋ ดิฉันเอ่ยถึง ผู้หญิงท้องแก่กับเด็กในสระบัวขึ้นมา พี่เอี้ยงทำช้อนตกดังเปรื่อง ไอ้นายร้องเหวอ...ป้าอิ่มหัวเราะหึๆ ร้อง...ข้าว่าแล้ว!
ดิฉันเย็นวูบไปทั้งไขสันหลังเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ พี่เอี้ยงทำท่าขนลุกขนชันก่อนจะหลุดปากเสียงสั่นเครือ....นึกว่าแม่ลูกที่ตกน้ำตายคู่นั้นไปผุดไปเกิดตั้งนานแล้วเสียอีก
เราสองพี่น้องกินอะไรไม่ลง ได้แต่มองสบตากัน... ขนหัวลุกน่ะซีคะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 20 พฤศจิกายน 2557
22 มีนาคม 2558
บ้านผีสิง
"เบียร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณข้างบ้าน
เด็กผู้ชายข้างบ้านผมผูกคอตาย เขาชื่อเข้ แบบตะเข้นั่นล่ะครับ ไม่รู้ว่าพ่อแม่เขาคิดยังไงถึงได้ตั้งชื่อ แบบนี้ แต่ฟังดูก็น่ารักดี...เข้เป็นเด็กดี เงียบๆ ขรึมๆ เรียบร้อยจนผมนึกว่ามันน่ารำคาญเกินไปสำหรับเด็กวัยรุ่นผู้ชาย ที่จะต้องบู๊นิดๆ ซนหน่อยๆ ให้ชีวิตมันร่าเริง
เออ! อาจเพราะนิสัยแบบนี้ก็ได้ที่ทำให้เข้เป็นคนคิดสั้น ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเข้ถึงฆ่าตัวตาย ได้แต่สรุปว่าเครียดเพราะเรื่องเรียน
คิดดูแล้วน่าสงสารมากครับ พ่อแม่เขามีลูกชายคนเดียว เลี้ยงดูทะนุถนอมมาสิบกว่าปี อยู่ดีๆ ก็ผูกคอตัวเองกับราวบันได ว่ากันว่าแม่ตื่นมาพบตอนตี 4 ก็สุดจะเยียวยาเสียแล้ว
หลังจากเข้ตาย พ่อแม่ก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น ผมไม่เห็นแสงไฟจากบ้านหลังนั้นมาเกือบปีแล้วล่ะครับ นับแต่ วันที่ทุกคนจากไป เมื่อเสร็จงานศพของเข้ บ้านก็ถูกปิดทิ้งไว้เฉยๆ นานๆ ทีจะมีลุงแก่ๆ มาดายหญ้ารอบตัวบ้าน กระนั้นต้นไม้ใบหญ้า กาฝาก วัชพืชก็ขึ้นรกเรื้อไปหมด...ดูเหมือนเจ้าของบ้านไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี?
ที่จริงก็น่าจะขายหรือให้เช่า แต่อย่างว่าล่ะครับ บ้านที่มีคนฆ่าตัวตายใครจะกล้ามาอยู่? พวกญาติๆ เคยยุให้ผมซื้อไว้เอง จะได้ขยับขยาย หรือทำสนามให้ลูกวัยซนของผมวิ่งเล่นก็ได้ แต่บอกตรงๆ ว่าผมไม่เอาหรอก...ก็กลัวผีน่ะซีครับ
เคยมีพวกไม่กลัวผีเข้าไปตอแยกับบ้านหลังนี้... ก็พวกตัดช่องย่องเบาไงล่ะครับ มันคงเห็นเป็นบ้านไม่มีคนอยู่ อยู่แต่ทีวี สเตอริโอ แอร์ และเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น มันต้องนึกเสียดาย คิดว่าทิ้งไว้เปล่าประโยชน์ จะเอาไปช่วยใช้! แต่เชื่อมั้ยครับ ไม่มีใครเอาอะไรออกมาจากบ้านนั้นได้แม้แต่ชิ้นเดียว ทุกอย่างยังอยู่ตามที่ตามทางของมันเหมือนเดิม
นี่เองเป็นที่มาของคำร่ำลือว่า...ที่นี่เป็นบ้านผีดุสาหัสสากรรจ์!
ว่ากันว่า ภายในบ้านนั้นยังดูสะอาดสะอ้านน่าแปลกใจ เชือกที่เข้ใช้แขวนคอตัวเองยังห้อยเป็นสายยาวเหมือนงูพิษอยู่ที่ราวบันได มันเป็นเชือกผูกคอตายที่ใครๆ อยากได้กันนัก เพราะจะเอาไปทำเครื่องรางของขลังที่มีอิทธิฤทธิ์อย่างยิ่ง
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครไปแตะต้องเชือกมรณะเส้นนั้นได้!
ผมเชื่อนะครับว่าวิญญาณที่อาภัพ หดหู่ของเข้ยังคง วนเวียนอยู่ตามห้องต่างๆ
อันมืดสลัวในบ้านนั้น บางทีตอนดึกๆ ผมมองจากหน้าต่างห้องนอนชั้นสามข้ามสนามหญ้าบ้านผมไปยังบ้านหลังเล็กของเข้ มันน่าเศร้ามาก นึกถึงวิญญาณของเด็กวัยรุ่นที่ต้องหงอยเหงา เดียวดาย และเสียใจต่อการปลิดชีวิตตนเอง อย่างที่ไม่สามารถจะเรียกอะไรกลับคืนมาได้เลย
เขาว่าวิญญาณคนฆ่าตัวตายจะต้องทนทุกข์ทรมาน อยู่ตรงที่ตัวเองตายตลอดกาลวิญญาณจะไปสู่สุคติไม่ได้ ต้องติดแหง็กอยู่ในดินแดนที่อยู่ระหว่างโลกคนเป็นกับโลกคนตาย
สามเดือนก่อน บ้านผมจัดงานวันเกิดครบสิบสามขวบให้ลูกชายคนโต ตอนนั้นเป็นวันเสาร์ เพื่อนๆ ลูกมาเต็มบ้านครึกครื้นดี ผมกับภรรยาก็อยู่ดูแลลูกตัวเองและลูกคนอื่น
ราวบ่ายสี่โมงเห็นจะได้ พวกเด็กผู้ชายเล่นเตะบอลกันสนุกสนานที่สนามหญ้า และแล้ว...หวือ...ลูกฟุตบอลลอยข้ามรั้วไปตกในพุ่มไม้ใบหญ้าของบ้านร้าง ลูกหันมาสบตาผมเป็นเชิงขออนุญาตเข้าไปเก็บบอล ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า...อยากเก็บก็ไปเองนะ แต่พ่อน่ะไม่ไปหรอก
ทันใดนั้น ลูกฟุตบอลก็ลอยโด่งข้ามรั้วกลับมาเองอย่างสง่างาม
ลูกผมมันร้องเฮ้ย! แล้วโดดหนีลูกฟุตบอลของตัวเองราวกับมันเป็นลูกระเบิด!
ลูกมาเล่าทีหลังว่าแกเห็นลูกบอลเป็นตัวคน พอกะพริบตาอีกทีก็กลับเป็นลูกบอลตามเดิม! แต่แค่นั้นก็พอแล้วครับ แกเลิกเล่นทันที แต่เพื่อนๆ ก็เล่นกันต่อไป...แล้วอยู่ดีๆ ลูกบอลก็ลอยข้ามรั้วไปอีกแล้ว
คราวนี้เพื่อนลูกคนนึงอาสาเดินอ้อมรั้วไปเก็บให้ และหายไปนานเชียว...นานจนเราเป็นห่วง พอขยับตัวจะลุกไปตาม เด็กคนนั้นก็เดินอุ้มลูกบอลกลับมา... บอกว่าไปคุยกับพี่ข้างบ้านมาน่ะ...
อ้าว? พี่ที่ไหน? ใครล่ะเนี่ย...
ผมขนลุกซู่ แข็งใจย่องไปเมียงมองตามช่องรั้ว เพราะในใจคิดว่าใครกันหว่า...ถ้าเป็นพวกผู้ร้ายมันซุ่มอยู่ เดี๋ยวตอนมืดๆ มันจะมาปีนบ้านผมซะ
ภาพที่เห็นทำให้ผมยืนตะลึง ตัวแข็งทื่อราวกลายเป็นรูปปั้นในพริบตานั้นเอง!
เด็กหนุ่มที่ตายไปปีกว่าแล้ว มานั่งอยู่ที่ม้าหินในบ้านเขาเอง แววตาเศร้าสร้อยหงอยเหงามองมาเหมือนคนเป็นๆ ทุกอย่าง แสงแดดอ่อนยังสาดส่องร่างเขาชัดเจน...แต่ไม่ถึงอึดใจเขาก็จางไปกับแสงแดดเชื่องช้า
นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ผมเห็นผีเต็มตา...แถมเห็นในเวลากลางวันแสกๆ ชนิดเถียงไม่ออก...นึกแล้วขนหัวลุกครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 19 พฤศจิกายน 2557
เด็กผู้ชายข้างบ้านผมผูกคอตาย เขาชื่อเข้ แบบตะเข้นั่นล่ะครับ ไม่รู้ว่าพ่อแม่เขาคิดยังไงถึงได้ตั้งชื่อ แบบนี้ แต่ฟังดูก็น่ารักดี...เข้เป็นเด็กดี เงียบๆ ขรึมๆ เรียบร้อยจนผมนึกว่ามันน่ารำคาญเกินไปสำหรับเด็กวัยรุ่นผู้ชาย ที่จะต้องบู๊นิดๆ ซนหน่อยๆ ให้ชีวิตมันร่าเริง
เออ! อาจเพราะนิสัยแบบนี้ก็ได้ที่ทำให้เข้เป็นคนคิดสั้น ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเข้ถึงฆ่าตัวตาย ได้แต่สรุปว่าเครียดเพราะเรื่องเรียน
คิดดูแล้วน่าสงสารมากครับ พ่อแม่เขามีลูกชายคนเดียว เลี้ยงดูทะนุถนอมมาสิบกว่าปี อยู่ดีๆ ก็ผูกคอตัวเองกับราวบันได ว่ากันว่าแม่ตื่นมาพบตอนตี 4 ก็สุดจะเยียวยาเสียแล้ว
หลังจากเข้ตาย พ่อแม่ก็ย้ายไปอยู่ที่อื่น ผมไม่เห็นแสงไฟจากบ้านหลังนั้นมาเกือบปีแล้วล่ะครับ นับแต่ วันที่ทุกคนจากไป เมื่อเสร็จงานศพของเข้ บ้านก็ถูกปิดทิ้งไว้เฉยๆ นานๆ ทีจะมีลุงแก่ๆ มาดายหญ้ารอบตัวบ้าน กระนั้นต้นไม้ใบหญ้า กาฝาก วัชพืชก็ขึ้นรกเรื้อไปหมด...ดูเหมือนเจ้าของบ้านไม่รู้จะทำยังไงกับมันดี?
ที่จริงก็น่าจะขายหรือให้เช่า แต่อย่างว่าล่ะครับ บ้านที่มีคนฆ่าตัวตายใครจะกล้ามาอยู่? พวกญาติๆ เคยยุให้ผมซื้อไว้เอง จะได้ขยับขยาย หรือทำสนามให้ลูกวัยซนของผมวิ่งเล่นก็ได้ แต่บอกตรงๆ ว่าผมไม่เอาหรอก...ก็กลัวผีน่ะซีครับ
เคยมีพวกไม่กลัวผีเข้าไปตอแยกับบ้านหลังนี้... ก็พวกตัดช่องย่องเบาไงล่ะครับ มันคงเห็นเป็นบ้านไม่มีคนอยู่ อยู่แต่ทีวี สเตอริโอ แอร์ และเฟอร์นิเจอร์ทุกชิ้น มันต้องนึกเสียดาย คิดว่าทิ้งไว้เปล่าประโยชน์ จะเอาไปช่วยใช้! แต่เชื่อมั้ยครับ ไม่มีใครเอาอะไรออกมาจากบ้านนั้นได้แม้แต่ชิ้นเดียว ทุกอย่างยังอยู่ตามที่ตามทางของมันเหมือนเดิม
นี่เองเป็นที่มาของคำร่ำลือว่า...ที่นี่เป็นบ้านผีดุสาหัสสากรรจ์!
ว่ากันว่า ภายในบ้านนั้นยังดูสะอาดสะอ้านน่าแปลกใจ เชือกที่เข้ใช้แขวนคอตัวเองยังห้อยเป็นสายยาวเหมือนงูพิษอยู่ที่ราวบันได มันเป็นเชือกผูกคอตายที่ใครๆ อยากได้กันนัก เพราะจะเอาไปทำเครื่องรางของขลังที่มีอิทธิฤทธิ์อย่างยิ่ง
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครไปแตะต้องเชือกมรณะเส้นนั้นได้!
ผมเชื่อนะครับว่าวิญญาณที่อาภัพ หดหู่ของเข้ยังคง วนเวียนอยู่ตามห้องต่างๆ
อันมืดสลัวในบ้านนั้น บางทีตอนดึกๆ ผมมองจากหน้าต่างห้องนอนชั้นสามข้ามสนามหญ้าบ้านผมไปยังบ้านหลังเล็กของเข้ มันน่าเศร้ามาก นึกถึงวิญญาณของเด็กวัยรุ่นที่ต้องหงอยเหงา เดียวดาย และเสียใจต่อการปลิดชีวิตตนเอง อย่างที่ไม่สามารถจะเรียกอะไรกลับคืนมาได้เลย
เขาว่าวิญญาณคนฆ่าตัวตายจะต้องทนทุกข์ทรมาน อยู่ตรงที่ตัวเองตายตลอดกาลวิญญาณจะไปสู่สุคติไม่ได้ ต้องติดแหง็กอยู่ในดินแดนที่อยู่ระหว่างโลกคนเป็นกับโลกคนตาย
สามเดือนก่อน บ้านผมจัดงานวันเกิดครบสิบสามขวบให้ลูกชายคนโต ตอนนั้นเป็นวันเสาร์ เพื่อนๆ ลูกมาเต็มบ้านครึกครื้นดี ผมกับภรรยาก็อยู่ดูแลลูกตัวเองและลูกคนอื่น
ราวบ่ายสี่โมงเห็นจะได้ พวกเด็กผู้ชายเล่นเตะบอลกันสนุกสนานที่สนามหญ้า และแล้ว...หวือ...ลูกฟุตบอลลอยข้ามรั้วไปตกในพุ่มไม้ใบหญ้าของบ้านร้าง ลูกหันมาสบตาผมเป็นเชิงขออนุญาตเข้าไปเก็บบอล ผมพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่า...อยากเก็บก็ไปเองนะ แต่พ่อน่ะไม่ไปหรอก
ทันใดนั้น ลูกฟุตบอลก็ลอยโด่งข้ามรั้วกลับมาเองอย่างสง่างาม
ลูกผมมันร้องเฮ้ย! แล้วโดดหนีลูกฟุตบอลของตัวเองราวกับมันเป็นลูกระเบิด!
ลูกมาเล่าทีหลังว่าแกเห็นลูกบอลเป็นตัวคน พอกะพริบตาอีกทีก็กลับเป็นลูกบอลตามเดิม! แต่แค่นั้นก็พอแล้วครับ แกเลิกเล่นทันที แต่เพื่อนๆ ก็เล่นกันต่อไป...แล้วอยู่ดีๆ ลูกบอลก็ลอยข้ามรั้วไปอีกแล้ว
คราวนี้เพื่อนลูกคนนึงอาสาเดินอ้อมรั้วไปเก็บให้ และหายไปนานเชียว...นานจนเราเป็นห่วง พอขยับตัวจะลุกไปตาม เด็กคนนั้นก็เดินอุ้มลูกบอลกลับมา... บอกว่าไปคุยกับพี่ข้างบ้านมาน่ะ...
อ้าว? พี่ที่ไหน? ใครล่ะเนี่ย...
ผมขนลุกซู่ แข็งใจย่องไปเมียงมองตามช่องรั้ว เพราะในใจคิดว่าใครกันหว่า...ถ้าเป็นพวกผู้ร้ายมันซุ่มอยู่ เดี๋ยวตอนมืดๆ มันจะมาปีนบ้านผมซะ
ภาพที่เห็นทำให้ผมยืนตะลึง ตัวแข็งทื่อราวกลายเป็นรูปปั้นในพริบตานั้นเอง!
เด็กหนุ่มที่ตายไปปีกว่าแล้ว มานั่งอยู่ที่ม้าหินในบ้านเขาเอง แววตาเศร้าสร้อยหงอยเหงามองมาเหมือนคนเป็นๆ ทุกอย่าง แสงแดดอ่อนยังสาดส่องร่างเขาชัดเจน...แต่ไม่ถึงอึดใจเขาก็จางไปกับแสงแดดเชื่องช้า
นั่นเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตที่ผมเห็นผีเต็มตา...แถมเห็นในเวลากลางวันแสกๆ ชนิดเถียงไม่ออก...นึกแล้วขนหัวลุกครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 19 พฤศจิกายน 2557
20 มีนาคม 2558
คาถาไล่ผี
"ชะอม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากซอยผีสิง
ดิฉันอยู่ในซอยมิตรอนันต์ หน้าสถานีรถไฟสามเสน ซอยนี้ไปออกถนนนครไชยศรีก็ได้ หรือจะทะลุหมู่บ้านที่เรียกว่าซอยฟักไข่ไปออกถนนพระรามห้าก็ได้ค่ะ
สมัยก่อนซอยนี้เปลี่ยวมากทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะบ้านที่ปลูกติดๆ กันล้วนมีรั้วรอบขอบชิดทั้งหมด ตอนบ่ายๆ มักมีคนโดนจี้ โดยคนร้ายดักอยู่ตามหัวมุมบ้าง บึ่งมอเตอร์ไซค์มาใช้จี้ด้วยปืน ขนาดตำรวจสน.ดุสิต ยังเรียกว่า "ซอยเปลี่ยวใจ" เลยค่ะ!
ยิ่งตอนค่ำคืนชาวบ้านล้วนแต่กลัวทั้งคนและผี ไม่มีใครอยากเดินผ่าน ยกเว้นแต่พวกผู้ชายที่มากันเป็นกลุ่ม พอเข้าซอยไม่ไกลก็มีทางแยกด้านซ้าย ก้นซอยเป็นทางแคบๆ ซอยต่อมามีทางแยกซ้ายขวาที่อ้อมไปทะลุถึงกัน ต่อมามีคอนโดฯ ผุดขึ้นมาทำให้ผู้คนคึกคักหนาตากว่าเดิม แต่ก็ยังถือว่าเปล่าเปลี่ยวน่ากลัวอยู่นั่นเอง
จุดสำคัญที่สุดคือ ก่อนถึงทางแยกทั้งซ้ายและขวา จะมีที่รกร้างอยู่ซ้ายมือ คนมักง่ายเอาขยะไปทิ้งประจำ หลายๆ ปีเข้าก็กลายเป็นกองขยะสูงท่วมหัวท่วมหูเป็นภูเขาเลากาเลย
ต่อมา เจ้าของที่เอารั้วลวดหนามไปกั้นไว้ริมทาง กทม.ก็มาช่วยโกยขยะไปบ้าง แต่คนมักง่ายก็อาศัยทีเผลอโยนขยะเข้าไปจนกองพะเนินเทินทึกตามเดิม
ชาวบ้านลือกันว่า ที่นั่นแหละผีดุนักหนา!
บางคนว่าเป็นผีเจ้าที่ แต่บางคนก็ว่ามีผู้หญิงโดนฆ่าหมกศพไว้ที่นั่นหลายปีแล้ว
ที่ว่าผีดุก็เพราะมีคนเห็นหลายรายน่ะซีคะ บางทีขับรถกลับบ้านตอนกลางคืนก็เห็นผู้หญิงโผล่ออกมาจากกองขยะครึ่งตัว บางคนก็เห็นยืนจังก้าอยู่บนกองขยะ ผมยาวสยายประบ่า แทบจะสติแตกไปตามๆ กัน
คุณลุงในซอยเคยออกไปจ๊อกกิ้งตอนเช้ามืด วันหนึ่งเกิดเห็นใครวิ่งจ๊อกกิ้งสวนทางมา ตอนแรกก็ดีใจว่ามีเพื่อนออกกำลังกายตอนเช้า แต่พอใกล้เข้ามาจนมองเห็นถนัด คุณลุงก็แทบจะช็อกตายคาที่อยู่ตรงนั้นเอง...นักวิ่งที่ใกล้เข้ามาน่ะ ไม่มีหัวหรอกค่ะ!
พอหันหลังได้ คุณลุงก็เปลี่ยนจากนักจ๊อกกิ้งเป็นนักวิ่งลมกรด รวดเดียวไปถึงบ้าน หอบฮั่กๆ เจียนตาย สบถสาบานว่าจะเลิกเป็นนักจ๊อกกิ้งไปจนชั่วชีวิตสลาย
มีคนค้านว่าอาจจะตาฝาดไปเอง เห็นกองขยะหรือเสาไฟฟ้าเป็นภูตผีปีศาจ ถ้าไม่เมามายก็ต้องประสาทหลอนแน่ๆ ผีสางที่ไหนไม่มีหรอก! แต่เมื่อมีคนโดนหลอกหลอนหลายรายติดๆ กันเข้า กับมีคนท้าให้ไปเดินดูของจริงตอนดึกๆ คนที่ค้านก็เงียบเสียงไปเลย
บรรยากาศบริเวณนั้นก็วังเวงน่ากลัวจริงๆ ด้วย!
บ้านข้างๆ กับฝั่งตรงข้ามมีรั้วแน่นหนา แถมปลูก ต้นไม้ใหญ่ๆ พวกมะม่วงมะขามร่มครึ้มกันทุกบ้าน ลมพัดทีก็สะบัดใบซู่ซ่าเกรียวกราว เหมือนเสียงใครหัวเราะครืนขึ้นพร้อมๆ กัน ทำให้ผู้คนสะบัดร้อนสะบัดหนาว ใจคอเต้นตึกตักด้วยความหวั่นระแวง ส่วนมากตกค่ำก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านแบบตัวใครตัวมันทั้งนั้น
คืนหนึ่ง ดิฉันกับป้าต้อยก็ประสบเข้ากับเหตุการณ์ขนหัวลุกเข้าอย่างจังๆ!
สาเหตุมาจากเราไปเยี่ยมญาติที่เปาโล สะพานควาย ผ่าตัดไส้ติ่งธรรมดานี่เอง อาการไม่หนักหนาอะไร เราพบกับญาติมิตรหลายคนที่นั่น ส่วนมากรู้จักมักจี่กันทั้งนั้น เลยติดลมคุยกันสนุกสนานจนถึงสามทุ่มเศษถึงได้แยกย้ายกันกลับ
ไม่ใช่เราประมาทนะคะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เราเรียกแท็กซี่หน้าโรงพยาบาลเพื่อความสะดวก บ้านดิฉันอยู่ถัดจากกองขยะผีสิง เลี้ยวขวาไปราวสามสิบกว่าเมตรก็ถึงบ้านแล้ว
แหม! ถ้าไม่หันไปมองกองขยะตอนรถแล่นผ่านก็ไม่ต้องกลัวผีหลอกดอกค่ะ!
เชื่อไหมคะว่าผ่านซอยแรกไปแล้ว กำลังจะเลี้ยวซ้ายไปถึงจุดหมาย แท็กซี่ก็เกิดเครื่องดับดื้อๆ ตอนแรกดิฉันกับป้าต้อยกุมมือกันแน่น คิดว่าโดนคนร้ายในคราบแท็กซี่เล่นงานแน่ๆ เพราะคนขับเป็นหนุ่มฉกรรจ์ร่างใหญ่ หน้าเหี้ยม นั่งเงียบมาตลอดทาง
เขาลองสตาร์ตเครื่องอีก 2-3 ครั้งแต่ก็ไม่ติด ลงไปเปิดฝากระโปรงดูสักพักก็ส่ายหน้ามาขอโทษขอโพยบอกว่าไม่รู้รถเป็นอะไร? เขาขับรถได้แต่แก้รถไม่เป็น ต้องโทรศัพท์ไปตามช่างหรือรถลากไปที่ปั๊มน้ำมัน
เราโล่งอกตอนแรก แต่แล้วก็เสียวใจวูบเมื่อนึกถึงกองขยะผีสิง!
ป้าต้อยจ่ายเงินให้ เขายกมือไหว้ขอบคุณ...พอเลี้ยวซ้ายก็รู้สึกว่าสรรพสิ่งเงียบกริบ อากาศเยือกเย็นจนขนลุก ว่าจะไม่มองไปทางกองขยะก็อดไม่ได้...แล้วก็ได้เห็นภาพนั้น
คุณพระช่วย! ร่างในชุดดำนั่งกอดเข่าอยู่ริมทางด้านซ้ายมือนั่นเอง...ดิฉันกลัวจนแทบร้องไห้ แต่ป้าต้อยปลอบให้ใจเย็น ป้ามีคาถาไล่ผี...ว่าแล้วก็เปล่งเสียงออกไปดังๆ ว่า
"ชาติหน้าฉันใดขออย่าได้เกิดมาพบพระพบเณร อย่าได้เกิดมาเห็นน้ำเห็นฟ้า เห็นดินเห็นทรายอีกเลย...เพี้ยง!"
ขาดคำ ร่างนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืน หน้าดำเมี่ยม ผมยาวสยาย มีเสียงคล้ายกรีดร้องโหยหวนก่อนจะหายวับไป...เรารีบจ้ำรวดเดียวถึงบ้าน แทบเป็นลมเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 18 พฤศจิกายน 2557
ดิฉันอยู่ในซอยมิตรอนันต์ หน้าสถานีรถไฟสามเสน ซอยนี้ไปออกถนนนครไชยศรีก็ได้ หรือจะทะลุหมู่บ้านที่เรียกว่าซอยฟักไข่ไปออกถนนพระรามห้าก็ได้ค่ะ
สมัยก่อนซอยนี้เปลี่ยวมากทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะบ้านที่ปลูกติดๆ กันล้วนมีรั้วรอบขอบชิดทั้งหมด ตอนบ่ายๆ มักมีคนโดนจี้ โดยคนร้ายดักอยู่ตามหัวมุมบ้าง บึ่งมอเตอร์ไซค์มาใช้จี้ด้วยปืน ขนาดตำรวจสน.ดุสิต ยังเรียกว่า "ซอยเปลี่ยวใจ" เลยค่ะ!
ยิ่งตอนค่ำคืนชาวบ้านล้วนแต่กลัวทั้งคนและผี ไม่มีใครอยากเดินผ่าน ยกเว้นแต่พวกผู้ชายที่มากันเป็นกลุ่ม พอเข้าซอยไม่ไกลก็มีทางแยกด้านซ้าย ก้นซอยเป็นทางแคบๆ ซอยต่อมามีทางแยกซ้ายขวาที่อ้อมไปทะลุถึงกัน ต่อมามีคอนโดฯ ผุดขึ้นมาทำให้ผู้คนคึกคักหนาตากว่าเดิม แต่ก็ยังถือว่าเปล่าเปลี่ยวน่ากลัวอยู่นั่นเอง
จุดสำคัญที่สุดคือ ก่อนถึงทางแยกทั้งซ้ายและขวา จะมีที่รกร้างอยู่ซ้ายมือ คนมักง่ายเอาขยะไปทิ้งประจำ หลายๆ ปีเข้าก็กลายเป็นกองขยะสูงท่วมหัวท่วมหูเป็นภูเขาเลากาเลย
ต่อมา เจ้าของที่เอารั้วลวดหนามไปกั้นไว้ริมทาง กทม.ก็มาช่วยโกยขยะไปบ้าง แต่คนมักง่ายก็อาศัยทีเผลอโยนขยะเข้าไปจนกองพะเนินเทินทึกตามเดิม
ชาวบ้านลือกันว่า ที่นั่นแหละผีดุนักหนา!
บางคนว่าเป็นผีเจ้าที่ แต่บางคนก็ว่ามีผู้หญิงโดนฆ่าหมกศพไว้ที่นั่นหลายปีแล้ว
ที่ว่าผีดุก็เพราะมีคนเห็นหลายรายน่ะซีคะ บางทีขับรถกลับบ้านตอนกลางคืนก็เห็นผู้หญิงโผล่ออกมาจากกองขยะครึ่งตัว บางคนก็เห็นยืนจังก้าอยู่บนกองขยะ ผมยาวสยายประบ่า แทบจะสติแตกไปตามๆ กัน
คุณลุงในซอยเคยออกไปจ๊อกกิ้งตอนเช้ามืด วันหนึ่งเกิดเห็นใครวิ่งจ๊อกกิ้งสวนทางมา ตอนแรกก็ดีใจว่ามีเพื่อนออกกำลังกายตอนเช้า แต่พอใกล้เข้ามาจนมองเห็นถนัด คุณลุงก็แทบจะช็อกตายคาที่อยู่ตรงนั้นเอง...นักวิ่งที่ใกล้เข้ามาน่ะ ไม่มีหัวหรอกค่ะ!
พอหันหลังได้ คุณลุงก็เปลี่ยนจากนักจ๊อกกิ้งเป็นนักวิ่งลมกรด รวดเดียวไปถึงบ้าน หอบฮั่กๆ เจียนตาย สบถสาบานว่าจะเลิกเป็นนักจ๊อกกิ้งไปจนชั่วชีวิตสลาย
มีคนค้านว่าอาจจะตาฝาดไปเอง เห็นกองขยะหรือเสาไฟฟ้าเป็นภูตผีปีศาจ ถ้าไม่เมามายก็ต้องประสาทหลอนแน่ๆ ผีสางที่ไหนไม่มีหรอก! แต่เมื่อมีคนโดนหลอกหลอนหลายรายติดๆ กันเข้า กับมีคนท้าให้ไปเดินดูของจริงตอนดึกๆ คนที่ค้านก็เงียบเสียงไปเลย
บรรยากาศบริเวณนั้นก็วังเวงน่ากลัวจริงๆ ด้วย!
บ้านข้างๆ กับฝั่งตรงข้ามมีรั้วแน่นหนา แถมปลูก ต้นไม้ใหญ่ๆ พวกมะม่วงมะขามร่มครึ้มกันทุกบ้าน ลมพัดทีก็สะบัดใบซู่ซ่าเกรียวกราว เหมือนเสียงใครหัวเราะครืนขึ้นพร้อมๆ กัน ทำให้ผู้คนสะบัดร้อนสะบัดหนาว ใจคอเต้นตึกตักด้วยความหวั่นระแวง ส่วนมากตกค่ำก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในบ้านแบบตัวใครตัวมันทั้งนั้น
คืนหนึ่ง ดิฉันกับป้าต้อยก็ประสบเข้ากับเหตุการณ์ขนหัวลุกเข้าอย่างจังๆ!
สาเหตุมาจากเราไปเยี่ยมญาติที่เปาโล สะพานควาย ผ่าตัดไส้ติ่งธรรมดานี่เอง อาการไม่หนักหนาอะไร เราพบกับญาติมิตรหลายคนที่นั่น ส่วนมากรู้จักมักจี่กันทั้งนั้น เลยติดลมคุยกันสนุกสนานจนถึงสามทุ่มเศษถึงได้แยกย้ายกันกลับ
ไม่ใช่เราประมาทนะคะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด เราเรียกแท็กซี่หน้าโรงพยาบาลเพื่อความสะดวก บ้านดิฉันอยู่ถัดจากกองขยะผีสิง เลี้ยวขวาไปราวสามสิบกว่าเมตรก็ถึงบ้านแล้ว
แหม! ถ้าไม่หันไปมองกองขยะตอนรถแล่นผ่านก็ไม่ต้องกลัวผีหลอกดอกค่ะ!
เชื่อไหมคะว่าผ่านซอยแรกไปแล้ว กำลังจะเลี้ยวซ้ายไปถึงจุดหมาย แท็กซี่ก็เกิดเครื่องดับดื้อๆ ตอนแรกดิฉันกับป้าต้อยกุมมือกันแน่น คิดว่าโดนคนร้ายในคราบแท็กซี่เล่นงานแน่ๆ เพราะคนขับเป็นหนุ่มฉกรรจ์ร่างใหญ่ หน้าเหี้ยม นั่งเงียบมาตลอดทาง
เขาลองสตาร์ตเครื่องอีก 2-3 ครั้งแต่ก็ไม่ติด ลงไปเปิดฝากระโปรงดูสักพักก็ส่ายหน้ามาขอโทษขอโพยบอกว่าไม่รู้รถเป็นอะไร? เขาขับรถได้แต่แก้รถไม่เป็น ต้องโทรศัพท์ไปตามช่างหรือรถลากไปที่ปั๊มน้ำมัน
เราโล่งอกตอนแรก แต่แล้วก็เสียวใจวูบเมื่อนึกถึงกองขยะผีสิง!
ป้าต้อยจ่ายเงินให้ เขายกมือไหว้ขอบคุณ...พอเลี้ยวซ้ายก็รู้สึกว่าสรรพสิ่งเงียบกริบ อากาศเยือกเย็นจนขนลุก ว่าจะไม่มองไปทางกองขยะก็อดไม่ได้...แล้วก็ได้เห็นภาพนั้น
คุณพระช่วย! ร่างในชุดดำนั่งกอดเข่าอยู่ริมทางด้านซ้ายมือนั่นเอง...ดิฉันกลัวจนแทบร้องไห้ แต่ป้าต้อยปลอบให้ใจเย็น ป้ามีคาถาไล่ผี...ว่าแล้วก็เปล่งเสียงออกไปดังๆ ว่า
"ชาติหน้าฉันใดขออย่าได้เกิดมาพบพระพบเณร อย่าได้เกิดมาเห็นน้ำเห็นฟ้า เห็นดินเห็นทรายอีกเลย...เพี้ยง!"
ขาดคำ ร่างนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืน หน้าดำเมี่ยม ผมยาวสยาย มีเสียงคล้ายกรีดร้องโหยหวนก่อนจะหายวับไป...เรารีบจ้ำรวดเดียวถึงบ้าน แทบเป็นลมเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 18 พฤศจิกายน 2557
18 มีนาคม 2558
สุโขทัยซอย 3
"วีรยุทธ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจ ข้างถนน
คนเราบทจะดวงซวยก็โดนผีหลอกเอาง่ายๆ ทั้งที่อยู่ในเมืองหลวง แถมยังเป็นทางผ่านใกล้ๆ บ้าน...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกันนะครับ งานนี้!
เรื่องนี้เกิดขึ้นเกือบสิบปีมาแล้ว...ผมขับรถออกจากบ้านที่ถนนสุโขทัย ซอย 5 บึ่งเกือบถึงบางอ้อโน่น เพื่อนรุ่นน้องมันแต่งงานครับ เพิ่งสามสิบต้นๆ ฉวยโอกาสหาเพื่อนมาจุ๋งจิ๋งแก้หนาว ผิดกับผมที่ใกล้จะถึงหลักสี่อยู่แล้วแต่ยังต้องนอนกอดหมอนคนเดียว
ญาติมิตรมาร่วมงานตึมเลยครับ โต๊ะยาวเหยียดไปจนถึงริมฝั่งเจ้าพระยาโน่นแน่ะ เหล้าเบียร์ไม่อั้น อาหารบุฟเฟต์ก็แลล้วนแต่ยั่วน้ำลายซะเป็นส่วนใหญ่ ใครถูกคอกับใครก็นั่งจุ้มปุ๊กอยู่โต๊ะเดียวกัน
คุยกันสนุกถูกใจอาหารกับเครื่องดื่มก็ลื่นคอเป็นธรรมดา!
พวกเราเริ่มต้นด้วยเรื่องสัพเพเหระอะไรก็ลืมเสียแล้ว จำได้เลาๆ แต่ว่ามีคนได้ยาดองสูตรใหม่ ซดวาบเข้าไปเป๊กสองเป๊ก เดี๋ยวก็เกิดพลังช้างสารหรือม้ากระทืบโรงได้ง่ายๆ
ที่จำได้แม่นยำก็เรื่องข้อพิพาทกับกัมพูชา โดยเฉพาะเรื่องแม่ทัพบกขอซื้อเฮลิคอปเตอร์เพิ่มอีก 30 ลำ เพราะของเก่าชราภาพมาราว 30 ปี ยิ่งมาเกิดหล่นปุๆ ติดๆ กันถึง 3 ลำในเวลาไม่ถึงสิบวัน เล่นเอาขนหัวลุกตั้งไปตามๆ กัน
เพื่อนคนหนึ่งเป็นลูกทหาร ยืนยันว่าปกติท่าน ผบ.ทบ.เป็นคนใจเย็นครับ แต่พอเจอสื่อพาดหัวว่า "อ้อน" เข้าเท่านั้นแหละตบะแตก ว้ากเพ้ยว่าคนอย่างผมไม่ต้องอ้อนใคร
หิโตปเทศสอนว่า "พึงโกรธให้สมอำนาจของตน" แต่ถ้าโกรธเกินอำนาจ แหว หวาแว้ดๆ เหมือนเห็นคนอื่นเป็นเบ๊...เดี๋ยวก็ต้องไปนั่ง "ตบยุง" อยู่ในทำเนียบจนได้! เฮ้อ...
เห็นท่านให้สัมภาษณ์ทางทีวีแล้วเห็นอกเห็นใจจริงๆ ขอมานานแล้วไม่ใช่เพิ่งขอตอน ฮ.ตก...อกเขาอกเรานะครับ ใครไม่เจอะเจอกับตัวเองไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บแค่ไหน แต่ก็ถูกโต้ว่าไม่เคยของบฯ ซื้อ ฮ.เลย นอกจากรถถังจากโครเอเชียราคาแพงลิบลิ่ว กับเรือดำน้ำเท่านั้น
ไหนๆ ก็ไหนๆ รัฐบาลใหม่ก็น่าจะอนุมัติให้ซื้อทั้งฮ.รถถัง กับเรือดำน้ำให้ครบครัน ไว้ใจได้หรือว่าเขมรจะไม่กรีธาทัพเข้ามาโจมตีเราเมื่อไหร่ บอกแต่ว่าไม่มีเรือรบซักลำน่ะ ของจริงอาจจะมีเรือดำน้ำซุ่มซ่อนอยู่ที่ปากอ่าวก็เป็นได้!
อ้อ! ลาวก็เหมือนกัน อย่าทำดูถูกว่าเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล ใครจะรู้ว่าใต้แม่น้ำโขงอาจจะมีเรือดำน้ำ ติดอาวุธร้ายกาจชนิดยิงขึ้นจากใต้น้ำใส่เป้าหมายแม่นยำก็ได้
แม้หวังตั้งสงบ ต้องเตรียมรบให้พร้อมสรรพ!
ขืนทำชะล่าใจเป็นทองไม่รู้ร้อน เดี๋ยวก็ต้องเห็นภาพ ชาวบ้านชายแดนกัมพูชาต้องหอบลูกจูงหลานนับหมื่นคนหนีปืนใหญ่ข้าศึกเป็นครั้งในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ได้
แม้ว่าแม่ทัพบกท่านจะรักสงบ บอกว่ารบกันไปทำไม? ชนะแล้วจะได้อะไร? มีหวังเกิดเรื่องบานปลายไม่สิ้นสุด ไม่ใช่กลัวคำขู่ฮุนเซนที่ว่าทหารเขมรคนเดียวก็สู้ทหาร ไทยได้สี่คนสบายมาก! แต่ความอดทนของคนเรามีขีดจำกัดนะครับ
เพื่อนฝูงพูดจากันเป็นเสียงเดียวว่าให้ทุ่มเทงบประมาณทางทหารเข้าไป ยิ่งซื้ออาวุธสารพัดชนิดที่โลกนี้เขาทำขายกันได้ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องตกเป็นลูกไล่ของ ฮุนเซนซะที คนปากเสียมันจะได้เลิกเย้ยด้วยปากถาก ด้วยตา ว่าคนไทยหนีตายกระเซอะกระเซิงจากแผ่นดินตัวเองก็ในยุคนี้แหละ!
ผมได้แต่พยักหน้ารับส่งเดช มึนทั้งเหล้า เมาทั้งน้ำลายของไอ้พวกบ้าการเมือง กว่าจะขับรถกลับบ้านได้ก็ปาเข้าไปห้าทุ่มกว่าแล้ว
ข้ามสะพานกรุงธนไปเลี้ยวขวาที่สี่แยกสามเสน มุ่งหน้าไปตามถนนสุโขทัย...รถเหินลงสะพานผ่านถนนพระราม 5 สองฟากมีแต่ต้นไม้ใหญ่ เรียงรายอยู่แสงไฟเยือกเย็น รถรา กับผู้คนไม่รู้หายไปไหนหมด อาจจะเป็นเพราะสายฝนกำลังตกปรอยๆ อยู่ก็เป็นได้
แสงไฟพวยพุ่งยิ่งทำให้เห็นภาพประหลาดสุดขีดแถวซอย 3!
นั่นคือ ทหารบกสองนายยืนอยู่คนละฟากถนน หันหน้ามามองผมแบบ...แทบจะในพริบตานั้นเอง ร่างสูงใหญ่ทั้งสองก็ราวจะหายตัววับมายืนอยู่ตรงหน้ารถไม่ถึงสิบเมตร
"เฮ้ย! ไอ้..." ผมร้องด่าลืมตัวด้วยความตกใจ กระทืบเบรกจนหวิดยางไหม้เกิดเสียงเสียดแหลมบาดหู หยุดรถไม่ถึงฝ่ามือ ก่อนจะชนชายในเครื่องแบบที่มีขีดทองเหลืองบนบ่าทั้งสองนาย
ใบหน้าขาวซีด ตาดำโตชะโงกพรวดพราดเข้ามาเหมือนจะทะลุกระจกใส่ผม เล่นเอาผงะหน้า ร้องด่าอีกครั้งก่อนจะตบเกียร์ผางเหยียบคันเร่งพุ่งลิ่ว ทะลุร่างทั้งสองที่กลายเป็นอากาศธาตุไปบัดดล...
แหม! คุยเรื่องทหารนิดเดียวโดนผีในเครื่องแบบเล่นงานหวิดช็อกตายเลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557
คนเราบทจะดวงซวยก็โดนผีหลอกเอาง่ายๆ ทั้งที่อยู่ในเมืองหลวง แถมยังเป็นทางผ่านใกล้ๆ บ้าน...ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อกันนะครับ งานนี้!
เรื่องนี้เกิดขึ้นเกือบสิบปีมาแล้ว...ผมขับรถออกจากบ้านที่ถนนสุโขทัย ซอย 5 บึ่งเกือบถึงบางอ้อโน่น เพื่อนรุ่นน้องมันแต่งงานครับ เพิ่งสามสิบต้นๆ ฉวยโอกาสหาเพื่อนมาจุ๋งจิ๋งแก้หนาว ผิดกับผมที่ใกล้จะถึงหลักสี่อยู่แล้วแต่ยังต้องนอนกอดหมอนคนเดียว
ญาติมิตรมาร่วมงานตึมเลยครับ โต๊ะยาวเหยียดไปจนถึงริมฝั่งเจ้าพระยาโน่นแน่ะ เหล้าเบียร์ไม่อั้น อาหารบุฟเฟต์ก็แลล้วนแต่ยั่วน้ำลายซะเป็นส่วนใหญ่ ใครถูกคอกับใครก็นั่งจุ้มปุ๊กอยู่โต๊ะเดียวกัน
คุยกันสนุกถูกใจอาหารกับเครื่องดื่มก็ลื่นคอเป็นธรรมดา!
พวกเราเริ่มต้นด้วยเรื่องสัพเพเหระอะไรก็ลืมเสียแล้ว จำได้เลาๆ แต่ว่ามีคนได้ยาดองสูตรใหม่ ซดวาบเข้าไปเป๊กสองเป๊ก เดี๋ยวก็เกิดพลังช้างสารหรือม้ากระทืบโรงได้ง่ายๆ
ที่จำได้แม่นยำก็เรื่องข้อพิพาทกับกัมพูชา โดยเฉพาะเรื่องแม่ทัพบกขอซื้อเฮลิคอปเตอร์เพิ่มอีก 30 ลำ เพราะของเก่าชราภาพมาราว 30 ปี ยิ่งมาเกิดหล่นปุๆ ติดๆ กันถึง 3 ลำในเวลาไม่ถึงสิบวัน เล่นเอาขนหัวลุกตั้งไปตามๆ กัน
เพื่อนคนหนึ่งเป็นลูกทหาร ยืนยันว่าปกติท่าน ผบ.ทบ.เป็นคนใจเย็นครับ แต่พอเจอสื่อพาดหัวว่า "อ้อน" เข้าเท่านั้นแหละตบะแตก ว้ากเพ้ยว่าคนอย่างผมไม่ต้องอ้อนใคร
หิโตปเทศสอนว่า "พึงโกรธให้สมอำนาจของตน" แต่ถ้าโกรธเกินอำนาจ แหว หวาแว้ดๆ เหมือนเห็นคนอื่นเป็นเบ๊...เดี๋ยวก็ต้องไปนั่ง "ตบยุง" อยู่ในทำเนียบจนได้! เฮ้อ...
เห็นท่านให้สัมภาษณ์ทางทีวีแล้วเห็นอกเห็นใจจริงๆ ขอมานานแล้วไม่ใช่เพิ่งขอตอน ฮ.ตก...อกเขาอกเรานะครับ ใครไม่เจอะเจอกับตัวเองไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บแค่ไหน แต่ก็ถูกโต้ว่าไม่เคยของบฯ ซื้อ ฮ.เลย นอกจากรถถังจากโครเอเชียราคาแพงลิบลิ่ว กับเรือดำน้ำเท่านั้น
ไหนๆ ก็ไหนๆ รัฐบาลใหม่ก็น่าจะอนุมัติให้ซื้อทั้งฮ.รถถัง กับเรือดำน้ำให้ครบครัน ไว้ใจได้หรือว่าเขมรจะไม่กรีธาทัพเข้ามาโจมตีเราเมื่อไหร่ บอกแต่ว่าไม่มีเรือรบซักลำน่ะ ของจริงอาจจะมีเรือดำน้ำซุ่มซ่อนอยู่ที่ปากอ่าวก็เป็นได้!
อ้อ! ลาวก็เหมือนกัน อย่าทำดูถูกว่าเป็นประเทศที่ไม่มีทางออกทะเล ใครจะรู้ว่าใต้แม่น้ำโขงอาจจะมีเรือดำน้ำ ติดอาวุธร้ายกาจชนิดยิงขึ้นจากใต้น้ำใส่เป้าหมายแม่นยำก็ได้
แม้หวังตั้งสงบ ต้องเตรียมรบให้พร้อมสรรพ!
ขืนทำชะล่าใจเป็นทองไม่รู้ร้อน เดี๋ยวก็ต้องเห็นภาพ ชาวบ้านชายแดนกัมพูชาต้องหอบลูกจูงหลานนับหมื่นคนหนีปืนใหญ่ข้าศึกเป็นครั้งในประวัติศาสตร์ชาติไทยก็ได้
แม้ว่าแม่ทัพบกท่านจะรักสงบ บอกว่ารบกันไปทำไม? ชนะแล้วจะได้อะไร? มีหวังเกิดเรื่องบานปลายไม่สิ้นสุด ไม่ใช่กลัวคำขู่ฮุนเซนที่ว่าทหารเขมรคนเดียวก็สู้ทหาร ไทยได้สี่คนสบายมาก! แต่ความอดทนของคนเรามีขีดจำกัดนะครับ
เพื่อนฝูงพูดจากันเป็นเสียงเดียวว่าให้ทุ่มเทงบประมาณทางทหารเข้าไป ยิ่งซื้ออาวุธสารพัดชนิดที่โลกนี้เขาทำขายกันได้ยิ่งดี จะได้ไม่ต้องตกเป็นลูกไล่ของ ฮุนเซนซะที คนปากเสียมันจะได้เลิกเย้ยด้วยปากถาก ด้วยตา ว่าคนไทยหนีตายกระเซอะกระเซิงจากแผ่นดินตัวเองก็ในยุคนี้แหละ!
ผมได้แต่พยักหน้ารับส่งเดช มึนทั้งเหล้า เมาทั้งน้ำลายของไอ้พวกบ้าการเมือง กว่าจะขับรถกลับบ้านได้ก็ปาเข้าไปห้าทุ่มกว่าแล้ว
ข้ามสะพานกรุงธนไปเลี้ยวขวาที่สี่แยกสามเสน มุ่งหน้าไปตามถนนสุโขทัย...รถเหินลงสะพานผ่านถนนพระราม 5 สองฟากมีแต่ต้นไม้ใหญ่ เรียงรายอยู่แสงไฟเยือกเย็น รถรา กับผู้คนไม่รู้หายไปไหนหมด อาจจะเป็นเพราะสายฝนกำลังตกปรอยๆ อยู่ก็เป็นได้
แสงไฟพวยพุ่งยิ่งทำให้เห็นภาพประหลาดสุดขีดแถวซอย 3!
นั่นคือ ทหารบกสองนายยืนอยู่คนละฟากถนน หันหน้ามามองผมแบบ...แทบจะในพริบตานั้นเอง ร่างสูงใหญ่ทั้งสองก็ราวจะหายตัววับมายืนอยู่ตรงหน้ารถไม่ถึงสิบเมตร
"เฮ้ย! ไอ้..." ผมร้องด่าลืมตัวด้วยความตกใจ กระทืบเบรกจนหวิดยางไหม้เกิดเสียงเสียดแหลมบาดหู หยุดรถไม่ถึงฝ่ามือ ก่อนจะชนชายในเครื่องแบบที่มีขีดทองเหลืองบนบ่าทั้งสองนาย
ใบหน้าขาวซีด ตาดำโตชะโงกพรวดพราดเข้ามาเหมือนจะทะลุกระจกใส่ผม เล่นเอาผงะหน้า ร้องด่าอีกครั้งก่อนจะตบเกียร์ผางเหยียบคันเร่งพุ่งลิ่ว ทะลุร่างทั้งสองที่กลายเป็นอากาศธาตุไปบัดดล...
แหม! คุยเรื่องทหารนิดเดียวโดนผีในเครื่องแบบเล่นงานหวิดช็อกตายเลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 17 พฤศจิกายน 2557
16 มีนาคม 2558
แรงอาฆาต
"วิวรรณ" เล่าประสบการณ์สยองจากปีศาจรถซิ่ง
ดิฉันเป็นคนกรุงเทพฯ ตั้งแต่เกิดจนเติบโต ทั้งเล่าเรียนและจบออกมาทำงานทำการ กระทั่งแต่งงานตอนอายุสามสิบเศษเมื่อสองปีก่อน โดยที่ยังไม่มีเจ้าตัวน้อยๆ ไว้ชื่นชม ดิฉันก็อยู่ในเมืองหลวงตลอดมาค่ะ
บ้านดั้งเดิมสมัยพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปเมื่อเร็วๆ นี้อยู่ในซอยอารีย์ สนามเป้า ถือว่ามีบ้านช่องตึกรามคับคั่ง รถราก็ขวักไขว่หนาตาจนพูดได้เต็มปากว่าไม่เปล่าเปลี่ยวน่ากลัวอะไร ยกเว้นแต่จะมีพวกคนร้ายบ้างก็คงไม่แตกต่างกว่าตรอกซอย หรือในชุมชนอื่นๆ ทั่วไป
จนกระทั่งถึงน้ำท่วมใหญ่เมื่อสามปีก่อนนี่เอง! เพราะก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับผู้คนนับแสนนับล้าน อย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นในชีวิต
เพราะน้ำท่วมใหญ่ที่กำลังทะลักเข้ารายล้อมเมืองหลวง เหมือนโดนข้าศึกเตรียมพร้อมจะโจมตีขั้นแตกหักในเร็ววัน...ทำให้ดิฉันต้องเจอะเจอกับเรื่องสยองขวัญสั่นประสาทมากที่สุดตั้งแต่จำความได้เลยค่ะ!
สามีดิฉันทำงานอยู่แถวคลองจั่น กว่าจะขับรถกลับถึงบ้านก็มืดค่ำ ยิ่งเกิดน้ำท่วมในย่านนั้น ไม่ว่าวิภาวดีฯ โชคชัย จนถึงน้ำล้นคลองลาดพร้าวขึ้นมา ต้องหลบเลี่ยงเข้าซอย 48 มาออกสุทธิสาร ยิ่งทำให้กลับบ้านล่าช้าไปถึง 3-4 ทุ่ม ส่วนดิฉันทำงานอยู่โรงพยาบาลย่านราชวิถีใกล้ๆ บ้าน ทำให้รอดตัวไป
ปัญหาสำคัญก็คือเป็นห่วงสามีน่ะซีคะว่าจะหลบหลีก หรือฟันฝ่าสายน้ำที่เอ่อสูงขึ้นทุกทีมาได้หรือเปล่า?
ได้ยินเสียงแตรรถเบาๆ ป้าแจ่มที่นอนชั้นล่างไปเปิดประตูรับก็โล่งใจแล้วค่ะ
บ้านที่มีเพียงผู้หญิงสองคน แม้ว่าจะอยู่ใกล้ถนน มีเพื่อนบ้านเรียงรายคับคั่ง แต่ก็อดใจคอตึ่กๆ ตั่กๆ ไม่ได้...จนกระทั่งถึงคืนสยองขวัญที่ดิฉันคิดว่าคงจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว!
คืนนั้นกินอาหารค่ำแล้วดูทีวีที่มีแต่เรื่องน้ำท่วมจนจิตใจหดหู่ ยิ่งดูมาเป็นเดือนก็ยิ่งเครียดจนตัดสินใจขึ้นห้องนอน ส่วนป้าแจ่มก็ยังคอยดูละครหลังข่าวตามความเคยชิน...จิตใจว้าวุ่นสับสนบอกไม่ถูก
คิดอะไรไม่ออก เลยโทร.ไปหาสามีก็เพิ่งทราบว่าเขาห้ามเข้าซอยเดิมแล้ว ต้องย้อนกลับไปทางเก่าเพื่อหาทางออกสุทธิสาร ไม่แน่ใจว่าจะทะลุออกสะพานควายได้หรือเปล่า?
ดิฉันรู้สึกอ่อนล้าอิดโรยแทบจะสิ้นเรี่ยวแรง เอนหลังลงบนเตียง มือกำหลวงพ่อทวด ภาวนาให้ท่านช่วยคุ้มครองสามีปลอดภัย...หนังตาหนักอึ้งจิตใจจมดิ่งเข้าสู่ภวังค์... ล่องลอยไปสู่ความว่างเปล่าและมืดดำราวกับตกไปสู่ห้วงเหว ล้ำลึก...
มารู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ย่ำขึ้นบันไดมา
ทำให้ผลุนผลันจะไปถอดกลอน แต่ประตูเปิดผาง ร่างสามียืนทะมึน ใบหน้าซีกหนึ่งเปรอะเลือดสดๆ จนดิฉันยกมือขึ้นอุดปาก เบิกตาโพลง หัวใจแทบจะหยุดเต้นบัดดล!
คุณพระช่วย! ขณะที่ดิฉันกำลังจะวิ่งเข้าไปหา ใบหน้านั้นก็แสยะยิ้ม นัยน์ตาจ้องมองเย้ยหยัน สืบเท้าเข้ามาหาช้าๆ เล่นเอาดิฉันผงะหน้า ซวนเซถอยหลังไปที่เตียง...ท่ามกลางกลิ่นเลือดกับกลิ่นเหงื่อไคลคละคลุ้ง
นรกเป็นพยาน! แววตาขุ่นขวางเหมือนคนบ้าคลั่งคู่นั้น ไม่ใช่ดวงตาของสามีเราแน่นอน! ตรงกันข้าม มันคืออสุรกายที่แฝงมาในร่างสามีดิฉันนั่นเอง
พริบตานั้น ร่างอุบาทว์ก็ถาโถมพรวดเดียวเข้ามาถึงตัว สองแขนตวัดรอบเอวพลางระดมจูบหน้าตาที่เบี่ยงหลบอย่างบ้าคลั่ง กลิ่นเหม็นแทบสำลักพุ่งเข้าจมูก แม้มันจะซุกหน้าลงที่ซอกคอด้วยอาการหื่นกระหาย ดิฉันพยายามดิ้นรนเต็มที่ ท่ามกลางเสียงฟืดฟาดไม่หยุด หย่อนจนแทบจะช็อกตายด้วยความหวาดหวั่นสุดขีด
บัดดล ราวกับฟ้าแลบเข้าสมอง ดิฉันนึกถึงหลวงพ่อทวดที่เป็นมรดกตกทอดมา ร่ำร้องอยู่ในอกว่า "หลวงปู่ช่วยลูกด้วย" ก่อนจะกำกระชากจากสร้อยคอขึ้นมาฟาดใส่หน้ามัน!
คราวนี้ภูตนรกแผดร้องโหยหวน ผงะหน้าราวกับโดนอาวุธประเคนเข้าใส่เต็มรัก สองแขนปล่อยร่างดิฉันที่ชูหลวงพ่อทวดเข้าหาร่างที่ถอยกรูดๆ ออกจากประตูไม่เหลียวหลัง...เกือบพร้อมๆ กับที่เสียงป้าแจ่มร้องเอะอะโวยวายมาเข้าหู
ดิฉันสะดุ้งเฮือก ลืมตาตื่นก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่บนเตียงนั่นเอง!
หันขวับไปมองประตูก็พบว่ามันเปิดโล่ง รีบกระโดดลงไปที่นั่น ก่อนจะวิ่งลงบันไดเมื่อรู้แน่ว่าสามีกลับมาแล้ว... แต่แล้วก็ใจหายวาบเมื่อเห็นป้าแจ่มยืนอยู่ข้างรถ ดิฉันถลาเข้าไปหาก็พบว่าสามีนั่งพิงประตู เลือดเปรอะใบหน้าข้างหนึ่งเหมือนกับภาพในฝันไม่มีผิด
ปรากฏว่ามีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งพุ่งเข้ามาชน ทั้งรถและคนขับกระเด็นไปข้างทาง เขาเองก็สิ้นสติไป...ไม่รู้ว่าขับรถมาถึงบ้านได้ยังไง?
ดิฉันหัวเราะทั้งน้ำตาเมื่อรู้ว่าสามีไม่เป็นอะไรมาก...แต่ขนหัวลุกน่ะซีคะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 14 พฤศจิกายน 2557
ดิฉันเป็นคนกรุงเทพฯ ตั้งแต่เกิดจนเติบโต ทั้งเล่าเรียนและจบออกมาทำงานทำการ กระทั่งแต่งงานตอนอายุสามสิบเศษเมื่อสองปีก่อน โดยที่ยังไม่มีเจ้าตัวน้อยๆ ไว้ชื่นชม ดิฉันก็อยู่ในเมืองหลวงตลอดมาค่ะ
บ้านดั้งเดิมสมัยพ่อแม่ที่เสียชีวิตไปเมื่อเร็วๆ นี้อยู่ในซอยอารีย์ สนามเป้า ถือว่ามีบ้านช่องตึกรามคับคั่ง รถราก็ขวักไขว่หนาตาจนพูดได้เต็มปากว่าไม่เปล่าเปลี่ยวน่ากลัวอะไร ยกเว้นแต่จะมีพวกคนร้ายบ้างก็คงไม่แตกต่างกว่าตรอกซอย หรือในชุมชนอื่นๆ ทั่วไป
จนกระทั่งถึงน้ำท่วมใหญ่เมื่อสามปีก่อนนี่เอง! เพราะก่อให้เกิดความเดือดร้อนกับผู้คนนับแสนนับล้าน อย่างที่ไม่เคยพบเคยเห็นในชีวิต
เพราะน้ำท่วมใหญ่ที่กำลังทะลักเข้ารายล้อมเมืองหลวง เหมือนโดนข้าศึกเตรียมพร้อมจะโจมตีขั้นแตกหักในเร็ววัน...ทำให้ดิฉันต้องเจอะเจอกับเรื่องสยองขวัญสั่นประสาทมากที่สุดตั้งแต่จำความได้เลยค่ะ!
สามีดิฉันทำงานอยู่แถวคลองจั่น กว่าจะขับรถกลับถึงบ้านก็มืดค่ำ ยิ่งเกิดน้ำท่วมในย่านนั้น ไม่ว่าวิภาวดีฯ โชคชัย จนถึงน้ำล้นคลองลาดพร้าวขึ้นมา ต้องหลบเลี่ยงเข้าซอย 48 มาออกสุทธิสาร ยิ่งทำให้กลับบ้านล่าช้าไปถึง 3-4 ทุ่ม ส่วนดิฉันทำงานอยู่โรงพยาบาลย่านราชวิถีใกล้ๆ บ้าน ทำให้รอดตัวไป
ปัญหาสำคัญก็คือเป็นห่วงสามีน่ะซีคะว่าจะหลบหลีก หรือฟันฝ่าสายน้ำที่เอ่อสูงขึ้นทุกทีมาได้หรือเปล่า?
ได้ยินเสียงแตรรถเบาๆ ป้าแจ่มที่นอนชั้นล่างไปเปิดประตูรับก็โล่งใจแล้วค่ะ
บ้านที่มีเพียงผู้หญิงสองคน แม้ว่าจะอยู่ใกล้ถนน มีเพื่อนบ้านเรียงรายคับคั่ง แต่ก็อดใจคอตึ่กๆ ตั่กๆ ไม่ได้...จนกระทั่งถึงคืนสยองขวัญที่ดิฉันคิดว่าคงจะเอาชีวิตไม่รอดแล้ว!
คืนนั้นกินอาหารค่ำแล้วดูทีวีที่มีแต่เรื่องน้ำท่วมจนจิตใจหดหู่ ยิ่งดูมาเป็นเดือนก็ยิ่งเครียดจนตัดสินใจขึ้นห้องนอน ส่วนป้าแจ่มก็ยังคอยดูละครหลังข่าวตามความเคยชิน...จิตใจว้าวุ่นสับสนบอกไม่ถูก
คิดอะไรไม่ออก เลยโทร.ไปหาสามีก็เพิ่งทราบว่าเขาห้ามเข้าซอยเดิมแล้ว ต้องย้อนกลับไปทางเก่าเพื่อหาทางออกสุทธิสาร ไม่แน่ใจว่าจะทะลุออกสะพานควายได้หรือเปล่า?
ดิฉันรู้สึกอ่อนล้าอิดโรยแทบจะสิ้นเรี่ยวแรง เอนหลังลงบนเตียง มือกำหลวงพ่อทวด ภาวนาให้ท่านช่วยคุ้มครองสามีปลอดภัย...หนังตาหนักอึ้งจิตใจจมดิ่งเข้าสู่ภวังค์... ล่องลอยไปสู่ความว่างเปล่าและมืดดำราวกับตกไปสู่ห้วงเหว ล้ำลึก...
มารู้สึกตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ย่ำขึ้นบันไดมา
ทำให้ผลุนผลันจะไปถอดกลอน แต่ประตูเปิดผาง ร่างสามียืนทะมึน ใบหน้าซีกหนึ่งเปรอะเลือดสดๆ จนดิฉันยกมือขึ้นอุดปาก เบิกตาโพลง หัวใจแทบจะหยุดเต้นบัดดล!
คุณพระช่วย! ขณะที่ดิฉันกำลังจะวิ่งเข้าไปหา ใบหน้านั้นก็แสยะยิ้ม นัยน์ตาจ้องมองเย้ยหยัน สืบเท้าเข้ามาหาช้าๆ เล่นเอาดิฉันผงะหน้า ซวนเซถอยหลังไปที่เตียง...ท่ามกลางกลิ่นเลือดกับกลิ่นเหงื่อไคลคละคลุ้ง
นรกเป็นพยาน! แววตาขุ่นขวางเหมือนคนบ้าคลั่งคู่นั้น ไม่ใช่ดวงตาของสามีเราแน่นอน! ตรงกันข้าม มันคืออสุรกายที่แฝงมาในร่างสามีดิฉันนั่นเอง
พริบตานั้น ร่างอุบาทว์ก็ถาโถมพรวดเดียวเข้ามาถึงตัว สองแขนตวัดรอบเอวพลางระดมจูบหน้าตาที่เบี่ยงหลบอย่างบ้าคลั่ง กลิ่นเหม็นแทบสำลักพุ่งเข้าจมูก แม้มันจะซุกหน้าลงที่ซอกคอด้วยอาการหื่นกระหาย ดิฉันพยายามดิ้นรนเต็มที่ ท่ามกลางเสียงฟืดฟาดไม่หยุด หย่อนจนแทบจะช็อกตายด้วยความหวาดหวั่นสุดขีด
บัดดล ราวกับฟ้าแลบเข้าสมอง ดิฉันนึกถึงหลวงพ่อทวดที่เป็นมรดกตกทอดมา ร่ำร้องอยู่ในอกว่า "หลวงปู่ช่วยลูกด้วย" ก่อนจะกำกระชากจากสร้อยคอขึ้นมาฟาดใส่หน้ามัน!
คราวนี้ภูตนรกแผดร้องโหยหวน ผงะหน้าราวกับโดนอาวุธประเคนเข้าใส่เต็มรัก สองแขนปล่อยร่างดิฉันที่ชูหลวงพ่อทวดเข้าหาร่างที่ถอยกรูดๆ ออกจากประตูไม่เหลียวหลัง...เกือบพร้อมๆ กับที่เสียงป้าแจ่มร้องเอะอะโวยวายมาเข้าหู
ดิฉันสะดุ้งเฮือก ลืมตาตื่นก็พบว่าตัวเองนั่งอยู่บนเตียงนั่นเอง!
หันขวับไปมองประตูก็พบว่ามันเปิดโล่ง รีบกระโดดลงไปที่นั่น ก่อนจะวิ่งลงบันไดเมื่อรู้แน่ว่าสามีกลับมาแล้ว... แต่แล้วก็ใจหายวาบเมื่อเห็นป้าแจ่มยืนอยู่ข้างรถ ดิฉันถลาเข้าไปหาก็พบว่าสามีนั่งพิงประตู เลือดเปรอะใบหน้าข้างหนึ่งเหมือนกับภาพในฝันไม่มีผิด
ปรากฏว่ามีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งพุ่งเข้ามาชน ทั้งรถและคนขับกระเด็นไปข้างทาง เขาเองก็สิ้นสติไป...ไม่รู้ว่าขับรถมาถึงบ้านได้ยังไง?
ดิฉันหัวเราะทั้งน้ำตาเมื่อรู้ว่าสามีไม่เป็นอะไรมาก...แต่ขนหัวลุกน่ะซีคะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 14 พฤศจิกายน 2557
15 มีนาคม 2558
คืนเยี่ยมไข้
"พิชิต" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจาก โรงพยาบาล
ผมประสบกับเรื่องราวน่าขนลุกขนพองเมื่อราว 5-6 ปีก่อน สาเหตุจากระบบขับถ่ายไม่น่าไว้ใจ ต้องไปนอนโรงพยาบาลแถวสุขุมวิทนี่เองเพื่อตรวจร่างกายเป็นเวลา 2 คืน
ตอนนั้นผมอายุ 40 ปลาย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารที่รู้จักมักคุ้นกันมาราว 3-4 ปี พูดอ้อมๆ ว่าน่าจะตรวจลำไส้ใหญ่ให้แน่นอนว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า? จะมีก้อนเนื้อหรือไม่?
ถ้าพูดกันตรงๆ ก็สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งน่ะแหละครับ!
ใจหายวูบ นึกถึงเพื่อนรุ่นน้องที่ตายเมื่ออายุแค่ 40 ต้นๆ เท่านั้นเอง
ก่อนหน้านั้นหลายปี ผมเคยให้หมอตรวจกระเพาะด้วยการ "กลืนแป้ง" เอกซเรย์มาก่อนแล้ว แต่ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ...แพทย์ชื่อหมออรุณบอกว่าการตรวจลำไส้ใหญ่จะใช้วิธีนั้นไม่ได้ ต้อง "ส่องกล้อง" อย่างเดียวเท่านั้น
ยอมรับว่าหวาดเสียวมากๆ แต่หมออรุณก็บอกให้สบายใจว่า ไม่ได้น่ากลัวหรอกน่าเพราะจะ "ดมยา" ให้หลับสบาย ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็เรียบร้อยหมดทุกอย่าง
ภรรยาจะมาเฝ้าไข้แต่ผมบอกว่าไม่เป็นไร อยู่บ้านกับลูกๆ เถอะ รุ่งขึ้นตอนเย็นค่อยพาลูกแวะมาก็ได้...คืนนั้นพยาบาลก็เอาน้ำโถใหญ่มาให้ดื่ม เพื่อขับถ่ายกากอาหารออกไปให้หมด รุ่งขึ้นแพทย์จะได้ส่องกล้องดูลำไส้ใหญ่ได้อย่างปลอดโปร่ง ทัศนวิสัยดี ว่างั้นเถอะ!
ก่อนจะดื่มยาระบายครั้งมโหฬารในชีวิต เพื่อนฝูง 2-3 คนก็แวะมาเยี่ยม แถมหอบเบียร์มาหลายกระป๋องอีกด้วย ผมก็...เลยตามเลย เดี๋ยวก็ต้องกินยาระบายอยู่ดีนี่นา
เพื่อนๆ กลับไปราวสามทุ่ม ผมต้องเข้าห้องน้ำเกือบสิบครั้ง ก่อนจะหลับผล็อยไปอย่างอ่อนเพลียสุดๆ
รุ่งขึ้นผมก็ถูกเข็นขึ้นเขียง เอ๊ย! เข้าห้องผ่าตัด...เหลือบเห็นสายยางยาวเป็นวาก็แทบจะสลบไปก่อนจะ "ดมยา" ซะด้วยซ้ำ
ครั้นฟื้นขึ้นมาก็ได้ข่าวดีว่าปลอดภัย! ไม่พบว่ามีเนื้อร้ายอะไรงอกงามขึ้นมาเป็นส่วนเกิน ผมถามว่าเมื่อไหร่ต้องมาส่องกล้องกันอีกล่ะ? หมออรุณก็หัวเราะอารมณ์ดี บอกว่าถ้าจะเป็นก็อีกนานมาก...อาจจะตายไปก่อนก็ได้!
เฮ้อ...โล่งอกไปที! ภรรยาพาลูกมาเยี่ยมตอนเย็น เพื่อนชุดใหม่โทรศัพท์มาถามข่าวล่วงหน้า ตกค่ำก็หอบเบียร์มาเกือบโหล...ต้องฉลองข่าวดีกันหน่อย พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว
จนกระทั่งกลางดึกคืนนั้นเอง!
ผมปิดทีวี ปิดไฟหัวเตียง รูดม่านหนาทึบเรียบร้อย มีแต่แสงไฟหน้าห้องน้ำ ผมนึกถึงญาติสนิทมิตรสหายที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยโรคภัยไข้เจ็บบ้าง ด้วยอุบัติเหตุบ้าง...ทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องตายทั้งนั้น แต่ไม่ว่าใครๆ ก็ล้วนแต่กลัวตาย ไม่อยากตาย...อย่างผมนี่ไง
เพื่อนชุดใหม่โผล่เข้ามาสองคน หิ้วเบียร์กระป๋องมาฝากเหมือนรายก่อนๆ แถมบอกว่าขืนเอาเบียร์ขวดมาเยี่ยม ก็ต้องแอบๆ ไปขอที่เปิดฝาจากแม่บ้าน...จำได้ไหม?
ผมเปิดไฟกลางห้อง ลุกขึ้นมานั่งซดเบียร์กับเพื่อน...ถึงจะขัดเขินนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร ก็ผมไม่ใช่คนไข้นี่นา เพื่อนก็บอกว่าซดเบียร์เย็นๆ ซักสองกระป๋องเดี๋ยวก็หลับสบายแล้ว! พวกเราขอลาไปก่อน..
หน้าผมชาเห่อ ขนลุกซ่าไปทั้งตัว ร้องว่า...อะไรนะ? เฮ้ย! นี่พวกลื้อ...แล้วสุ้มเสียงแหบแห้งก็ขาดหายไปในลำคอ แผ่นหลังเย็นวาบเหมือนถูกนาบด้วยก้อนน้ำแข็ง อ้าปากค้าง เบิกตาโพลง ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่บัดดล
เพื่อนสองคนที่มาเยี่ยมผมเป็นรายล่าสุดน่ะ ตายไปแล้วทั้งสองคน จากอุบัติเหตุรถชนกัน กับตายเพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่ออายุ 40 ต้นๆ นั่นปะไร!
...ภาพของเพื่อนคู่นั้นค่อยๆ เดินถอยห่างออกไป เลือนรางจางหายไปในแสงไฟเยือกเย็น ผมสะบัดหน้าร้องเฮ้ยๆ อะไรกันวะ? เราคงตาฝาดไปเองแน่ๆ แต่เสียงผมคงดังไปถึงข้างนอก เพราะพยาบาลสาวหุ่นดีคนหนึ่งเดินสวนทางกับผู้ไร้ร่างกายที่หน้าประตูห้องน้ำเข้ามาทันที
เธอบอกให้ผมนอนพักได้แล้ว ก่อนจะปิดไฟตามเดิม และแล้ว...ร่างสูงระหงที่มีหน้าอกกับสะโพกโดดเด่นก็เดินกลับไปตามเดิม...ละลายหายไปในอากาศธาตุใต้แสงไฟใกล้ๆ ประตูนั่นเอง
ผมหลับตา ความรู้สึกทั้งปวงดับวูบลง...
เมื่อรู้สึกตัวตอนเช้าก็เห็นหมออรุณเข้ามายิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ เตียง...พยาบาลสาวอวบท้วมผู้หนึ่งยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง...ไม่ใช่คนเมื่อคืนแน่นอน ผมอาจจะเมาเบียร์ก็เป็นได้ แต่ภาพที่เห็นคืนนั้นนึกแล้วขนหัวลุกทุกทีเลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2557
ผมประสบกับเรื่องราวน่าขนลุกขนพองเมื่อราว 5-6 ปีก่อน สาเหตุจากระบบขับถ่ายไม่น่าไว้ใจ ต้องไปนอนโรงพยาบาลแถวสุขุมวิทนี่เองเพื่อตรวจร่างกายเป็นเวลา 2 คืน
ตอนนั้นผมอายุ 40 ปลาย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางเดินอาหารที่รู้จักมักคุ้นกันมาราว 3-4 ปี พูดอ้อมๆ ว่าน่าจะตรวจลำไส้ใหญ่ให้แน่นอนว่ามีอะไรผิดปกติหรือเปล่า? จะมีก้อนเนื้อหรือไม่?
ถ้าพูดกันตรงๆ ก็สงสัยว่าจะเป็นมะเร็งน่ะแหละครับ!
ใจหายวูบ นึกถึงเพื่อนรุ่นน้องที่ตายเมื่ออายุแค่ 40 ต้นๆ เท่านั้นเอง
ก่อนหน้านั้นหลายปี ผมเคยให้หมอตรวจกระเพาะด้วยการ "กลืนแป้ง" เอกซเรย์มาก่อนแล้ว แต่ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ...แพทย์ชื่อหมออรุณบอกว่าการตรวจลำไส้ใหญ่จะใช้วิธีนั้นไม่ได้ ต้อง "ส่องกล้อง" อย่างเดียวเท่านั้น
ยอมรับว่าหวาดเสียวมากๆ แต่หมออรุณก็บอกให้สบายใจว่า ไม่ได้น่ากลัวหรอกน่าเพราะจะ "ดมยา" ให้หลับสบาย ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงก็เรียบร้อยหมดทุกอย่าง
ภรรยาจะมาเฝ้าไข้แต่ผมบอกว่าไม่เป็นไร อยู่บ้านกับลูกๆ เถอะ รุ่งขึ้นตอนเย็นค่อยพาลูกแวะมาก็ได้...คืนนั้นพยาบาลก็เอาน้ำโถใหญ่มาให้ดื่ม เพื่อขับถ่ายกากอาหารออกไปให้หมด รุ่งขึ้นแพทย์จะได้ส่องกล้องดูลำไส้ใหญ่ได้อย่างปลอดโปร่ง ทัศนวิสัยดี ว่างั้นเถอะ!
ก่อนจะดื่มยาระบายครั้งมโหฬารในชีวิต เพื่อนฝูง 2-3 คนก็แวะมาเยี่ยม แถมหอบเบียร์มาหลายกระป๋องอีกด้วย ผมก็...เลยตามเลย เดี๋ยวก็ต้องกินยาระบายอยู่ดีนี่นา
เพื่อนๆ กลับไปราวสามทุ่ม ผมต้องเข้าห้องน้ำเกือบสิบครั้ง ก่อนจะหลับผล็อยไปอย่างอ่อนเพลียสุดๆ
รุ่งขึ้นผมก็ถูกเข็นขึ้นเขียง เอ๊ย! เข้าห้องผ่าตัด...เหลือบเห็นสายยางยาวเป็นวาก็แทบจะสลบไปก่อนจะ "ดมยา" ซะด้วยซ้ำ
ครั้นฟื้นขึ้นมาก็ได้ข่าวดีว่าปลอดภัย! ไม่พบว่ามีเนื้อร้ายอะไรงอกงามขึ้นมาเป็นส่วนเกิน ผมถามว่าเมื่อไหร่ต้องมาส่องกล้องกันอีกล่ะ? หมออรุณก็หัวเราะอารมณ์ดี บอกว่าถ้าจะเป็นก็อีกนานมาก...อาจจะตายไปก่อนก็ได้!
เฮ้อ...โล่งอกไปที! ภรรยาพาลูกมาเยี่ยมตอนเย็น เพื่อนชุดใหม่โทรศัพท์มาถามข่าวล่วงหน้า ตกค่ำก็หอบเบียร์มาเกือบโหล...ต้องฉลองข่าวดีกันหน่อย พรุ่งนี้ก็กลับบ้านได้แล้ว
จนกระทั่งกลางดึกคืนนั้นเอง!
ผมปิดทีวี ปิดไฟหัวเตียง รูดม่านหนาทึบเรียบร้อย มีแต่แสงไฟหน้าห้องน้ำ ผมนึกถึงญาติสนิทมิตรสหายที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยโรคภัยไข้เจ็บบ้าง ด้วยอุบัติเหตุบ้าง...ทุกคนเกิดมาแล้วก็ต้องตายทั้งนั้น แต่ไม่ว่าใครๆ ก็ล้วนแต่กลัวตาย ไม่อยากตาย...อย่างผมนี่ไง
เพื่อนชุดใหม่โผล่เข้ามาสองคน หิ้วเบียร์กระป๋องมาฝากเหมือนรายก่อนๆ แถมบอกว่าขืนเอาเบียร์ขวดมาเยี่ยม ก็ต้องแอบๆ ไปขอที่เปิดฝาจากแม่บ้าน...จำได้ไหม?
ผมเปิดไฟกลางห้อง ลุกขึ้นมานั่งซดเบียร์กับเพื่อน...ถึงจะขัดเขินนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร ก็ผมไม่ใช่คนไข้นี่นา เพื่อนก็บอกว่าซดเบียร์เย็นๆ ซักสองกระป๋องเดี๋ยวก็หลับสบายแล้ว! พวกเราขอลาไปก่อน..
หน้าผมชาเห่อ ขนลุกซ่าไปทั้งตัว ร้องว่า...อะไรนะ? เฮ้ย! นี่พวกลื้อ...แล้วสุ้มเสียงแหบแห้งก็ขาดหายไปในลำคอ แผ่นหลังเย็นวาบเหมือนถูกนาบด้วยก้อนน้ำแข็ง อ้าปากค้าง เบิกตาโพลง ตัวแข็งทื่ออยู่กับที่บัดดล
เพื่อนสองคนที่มาเยี่ยมผมเป็นรายล่าสุดน่ะ ตายไปแล้วทั้งสองคน จากอุบัติเหตุรถชนกัน กับตายเพราะมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่ออายุ 40 ต้นๆ นั่นปะไร!
...ภาพของเพื่อนคู่นั้นค่อยๆ เดินถอยห่างออกไป เลือนรางจางหายไปในแสงไฟเยือกเย็น ผมสะบัดหน้าร้องเฮ้ยๆ อะไรกันวะ? เราคงตาฝาดไปเองแน่ๆ แต่เสียงผมคงดังไปถึงข้างนอก เพราะพยาบาลสาวหุ่นดีคนหนึ่งเดินสวนทางกับผู้ไร้ร่างกายที่หน้าประตูห้องน้ำเข้ามาทันที
เธอบอกให้ผมนอนพักได้แล้ว ก่อนจะปิดไฟตามเดิม และแล้ว...ร่างสูงระหงที่มีหน้าอกกับสะโพกโดดเด่นก็เดินกลับไปตามเดิม...ละลายหายไปในอากาศธาตุใต้แสงไฟใกล้ๆ ประตูนั่นเอง
ผมหลับตา ความรู้สึกทั้งปวงดับวูบลง...
เมื่อรู้สึกตัวตอนเช้าก็เห็นหมออรุณเข้ามายิ้มแฉ่งอยู่ข้างๆ เตียง...พยาบาลสาวอวบท้วมผู้หนึ่งยืนเยื้องอยู่ด้านหลัง...ไม่ใช่คนเมื่อคืนแน่นอน ผมอาจจะเมาเบียร์ก็เป็นได้ แต่ภาพที่เห็นคืนนั้นนึกแล้วขนหัวลุกทุกทีเลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2557
13 มีนาคม 2558
คืนสยองขวัญ
"ชุมพล" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกสุดสยอง
มนุษย์ทุกคนล้วนแต่มีความฝัน บ้างก็ฝันทั้งที่ยังลืมตาตื่นอยู่แท้ๆ เรียกว่า "ฝันกลางวัน" หรือ "ฝันกลางแดด" แต่ทุกคนต้องเคยฝันไม่มากก็น้อยเมื่อถึงเวลานอนหลับ หลายคนยืนยันว่าตัวเองฝันเป็นตุเป็นตะแทบทุกคืนไป
มีทั้งฝันดีฝันร้าย ฝันเป็นเรื่องเป็นราว รวมทั้งฝันขาดๆ วิ่นๆ ปะติดปะต่อกันไม่รู้เรื่อง บางทีตื่นขึ้นมา ก็จำได้ แต่หลายๆ ครั้งนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าฝันถึงอะไร
บางครั้งก็รู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในความฝัน แต่หลายคราวก็กลับรู้สึกว่ากำลังปรากฏตัวอยู่ในความเป็นจริง!
บางคนฝันเปรี้ยวฝันหวานตามอารมณ์ แต่หลายๆ คนก็บอกว่าจะไปเอานิยมนิยายอะไรกับความฝัน จนถึงตัดบทว่า "กินมากก็ฝันมากเป็นธรรมดา"
แม้จะเลือกฝันไม่ได้ แต่ใครๆ ก็อยากฝันดีมากกว่าฝันร้ายทั้งนั้น
ตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุครบ 5 รอบเมื่อต้นปี ผมอาจจะเคยฝันร้ายมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีฝันร้ายครั้งไหนจะน่าสยดสยองพองขนเท่าครั้งนั้น...ติดหูติดตามาถึงทุกวันนี้
ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับว่าร้ายกาจที่สุด เมื่อฝันเห็นศพตัวเองถนัดตา!
ในฝันนั้น ผมอยู่ในห้องแคบๆ ที่ไหนก็ไม่รู้ บรรยากาศอับทึบน่าอึดอัด มีแสงสว่างพอมองเห็นได้ว่ามีโลงศพวางบนพื้นข้างฝา...ดูเหมือนผมบังเอิญพลัดหลงเข้าไปในห้องอุบาทว์นั่นโดยไม่รู้ตัว หรือไม่เป็นเพราะชะตากรรมของผมเองแท้ๆ
พยายามหาทางออกไปให้พ้นๆ แต่ไม่มีประตูหน้าต่างสักบานเดียว
แสงสว่างเรืองๆ นั่นก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรที่ไหน รู้แต่มันส่องแสงเยือกเย็นอยู่ในความเย็นยะเยือก หัวใจผมเต้นระรัวแทบกระทบโพรงอกด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
จู่ๆ ศพในโลงก็ลุกพรวดพราดออกมา ผมสะดุ้งโหยงสุดตัว มองเห็นร่างในผ้าตราสังตั้งแต่ลำคอถึงปลายเท้า ยืนเด่นติดข้างฝา ท่าทางคล้ายห้อยลงมาจากเพดาน ใบหน้าเอียงนิดๆ ก้มต่ำจนคางแทบจดอก มีเชือกแบนๆ สีขาวกว้างราวสองนิ้วพันรอบร่าง แต่ปลายเชือกแปะติดข้างฝา ลักษณะเหมือนเทปกาว
ร่างนั้นทรงตัวอยู่ได้เพราะเทปกาวที่ยึดกับข้างฝานั่นเอง!
ผมหนาวเยือกไปถึงหัวใจ หวาดกลัวจนมือไม้สั่น คิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องเข้าไปกระชากเทปกาวนั่นมาพันร่างศพ แล้วรีบรวบตัวยัดใส่โลงตามเดิมถึงจะรอดพ้นอันตรายไปได้
...โดยไม่แผดร้องหรือวิ่งหนีไม่คิดชีวิตเหมือนเรื่องผีในหนังหรือในนิยายเป็นอันขาด
ขณะที่กลืนน้ำลายพลางจดๆ จ้องๆ จะเข้าไปกระทำการตามความคิด ใบหน้าศพที่ก้มต่ำก็ค่อยๆ เงยขึ้นมาเชื่องช้าราวกับจะรู้ทันความคิดผม...เชื่องช้า แต่แน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด กระทั่งใบหน้านั้นเงยขึ้นมองเต็มตา
นรกเป็นพยาน! มันคือใบหน้าของผมเอง!!
ผมปรกหน้าผาก ผิวหน้าขาวซีด นัยน์ตาเหลืองจ้าจ้องเขม็ง ดูเยือกเย็นสิ้นดี
ผมกำลังประสานตากับศพของตัวเอง ไม่รู้ว่าเคยคาดคิดไว้ก่อนหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ มันทำให้กลัวจนตัวสั่น ปากคอขมปี๋เหมือนน้ำดีทะลักออกมา สมองแทบจะระเบิด ร่ำร้องอยู่แต่ว่า...เราตายไปแล้ว! เรากำลังยืนอยู่ต่อหน้าศพตัวเอง!!!
เป็นความกลัวที่แปลกประหลาดสุดขีด เพราะกลัวทั้งรู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว กับกลัวทั้งผีของตัวเองจะกระโจนเข้าเล่นงาน
จิตใจยังมุ่งมั่นเอาตัวรอดด้วยวิธีเดิม คือไปกระชากเชือกที่คล้ายเทปกาวให้หลุดแล้วอุ้มร่าง หรือซากอสุภ ตัวเองยัดใส่โลงให้ได้ เพื่อจะหาทางเผ่นหนีออกจากห้องอุบาทว์นี่โดยเร็วที่สุด
ความเยือกเย็นทวีขึ้น กลิ่นเหม็นอับสาบสางแผ่ซ่านไปทั่วห้องมหาภัย...มากขึ้นและมากขึ้นทุกทีจนแทบจะหายใจไม่ออก
ผมขยับตัว ร่างนั้นก็ขยับตาม!
นัยน์ตาลุกวาวในใบหน้าเหลืองราวขมิ้นยิ่งลุกวาว จ้องเขม็ง ดูดุร้ายกระหายเลือดระคนโศกเศร้าล้ำลึกอย่างไรชอบกล ส่วนผมทั้งกลัวและทั้งเสียใจระคนปนเปกันไปหมด ขณะนั้นเสียงร่ำไห้ก็ดังแว่วมาเข้าหู
ในที่สุด ผมก็โถมเข้าไป พร้อมๆ กับร่างนั้นพุ่งเข้าใส่จนได้ยินเสียงตัวเองร้องลั่นด้วยความตระหนกตกใจสุดขีด...
เมื่อสะดุ้งตื่นในความมืด นัยน์ตาแสบร้อนเปียกชุ่ม...ไม่รู้จริงๆ ว่าฝันนั้นจะเป็นลางร้ายดีอะไรแน่? แต่ผมก็รอต้อนรับมันมาจนถึงทุกวันนี้...
แน่ล่ะ! จนกว่าจะถึงวันนั้น!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2557
มนุษย์ทุกคนล้วนแต่มีความฝัน บ้างก็ฝันทั้งที่ยังลืมตาตื่นอยู่แท้ๆ เรียกว่า "ฝันกลางวัน" หรือ "ฝันกลางแดด" แต่ทุกคนต้องเคยฝันไม่มากก็น้อยเมื่อถึงเวลานอนหลับ หลายคนยืนยันว่าตัวเองฝันเป็นตุเป็นตะแทบทุกคืนไป
มีทั้งฝันดีฝันร้าย ฝันเป็นเรื่องเป็นราว รวมทั้งฝันขาดๆ วิ่นๆ ปะติดปะต่อกันไม่รู้เรื่อง บางทีตื่นขึ้นมา ก็จำได้ แต่หลายๆ ครั้งนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออกว่าฝันถึงอะไร
บางครั้งก็รู้ตัวว่ากำลังตกอยู่ในความฝัน แต่หลายคราวก็กลับรู้สึกว่ากำลังปรากฏตัวอยู่ในความเป็นจริง!
บางคนฝันเปรี้ยวฝันหวานตามอารมณ์ แต่หลายๆ คนก็บอกว่าจะไปเอานิยมนิยายอะไรกับความฝัน จนถึงตัดบทว่า "กินมากก็ฝันมากเป็นธรรมดา"
แม้จะเลือกฝันไม่ได้ แต่ใครๆ ก็อยากฝันดีมากกว่าฝันร้ายทั้งนั้น
ตั้งแต่จำความได้จนถึงอายุครบ 5 รอบเมื่อต้นปี ผมอาจจะเคยฝันร้ายมานับครั้งไม่ถ้วน แต่ไม่เคยมีฝันร้ายครั้งไหนจะน่าสยดสยองพองขนเท่าครั้งนั้น...ติดหูติดตามาถึงทุกวันนี้
ไม่ว่าใครก็ต้องยอมรับว่าร้ายกาจที่สุด เมื่อฝันเห็นศพตัวเองถนัดตา!
ในฝันนั้น ผมอยู่ในห้องแคบๆ ที่ไหนก็ไม่รู้ บรรยากาศอับทึบน่าอึดอัด มีแสงสว่างพอมองเห็นได้ว่ามีโลงศพวางบนพื้นข้างฝา...ดูเหมือนผมบังเอิญพลัดหลงเข้าไปในห้องอุบาทว์นั่นโดยไม่รู้ตัว หรือไม่เป็นเพราะชะตากรรมของผมเองแท้ๆ
พยายามหาทางออกไปให้พ้นๆ แต่ไม่มีประตูหน้าต่างสักบานเดียว
แสงสว่างเรืองๆ นั่นก็ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรที่ไหน รู้แต่มันส่องแสงเยือกเย็นอยู่ในความเย็นยะเยือก หัวใจผมเต้นระรัวแทบกระทบโพรงอกด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
จู่ๆ ศพในโลงก็ลุกพรวดพราดออกมา ผมสะดุ้งโหยงสุดตัว มองเห็นร่างในผ้าตราสังตั้งแต่ลำคอถึงปลายเท้า ยืนเด่นติดข้างฝา ท่าทางคล้ายห้อยลงมาจากเพดาน ใบหน้าเอียงนิดๆ ก้มต่ำจนคางแทบจดอก มีเชือกแบนๆ สีขาวกว้างราวสองนิ้วพันรอบร่าง แต่ปลายเชือกแปะติดข้างฝา ลักษณะเหมือนเทปกาว
ร่างนั้นทรงตัวอยู่ได้เพราะเทปกาวที่ยึดกับข้างฝานั่นเอง!
ผมหนาวเยือกไปถึงหัวใจ หวาดกลัวจนมือไม้สั่น คิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องเข้าไปกระชากเทปกาวนั่นมาพันร่างศพ แล้วรีบรวบตัวยัดใส่โลงตามเดิมถึงจะรอดพ้นอันตรายไปได้
...โดยไม่แผดร้องหรือวิ่งหนีไม่คิดชีวิตเหมือนเรื่องผีในหนังหรือในนิยายเป็นอันขาด
ขณะที่กลืนน้ำลายพลางจดๆ จ้องๆ จะเข้าไปกระทำการตามความคิด ใบหน้าศพที่ก้มต่ำก็ค่อยๆ เงยขึ้นมาเชื่องช้าราวกับจะรู้ทันความคิดผม...เชื่องช้า แต่แน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด กระทั่งใบหน้านั้นเงยขึ้นมองเต็มตา
นรกเป็นพยาน! มันคือใบหน้าของผมเอง!!
ผมปรกหน้าผาก ผิวหน้าขาวซีด นัยน์ตาเหลืองจ้าจ้องเขม็ง ดูเยือกเย็นสิ้นดี
ผมกำลังประสานตากับศพของตัวเอง ไม่รู้ว่าเคยคาดคิดไว้ก่อนหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ มันทำให้กลัวจนตัวสั่น ปากคอขมปี๋เหมือนน้ำดีทะลักออกมา สมองแทบจะระเบิด ร่ำร้องอยู่แต่ว่า...เราตายไปแล้ว! เรากำลังยืนอยู่ต่อหน้าศพตัวเอง!!!
เป็นความกลัวที่แปลกประหลาดสุดขีด เพราะกลัวทั้งรู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว กับกลัวทั้งผีของตัวเองจะกระโจนเข้าเล่นงาน
จิตใจยังมุ่งมั่นเอาตัวรอดด้วยวิธีเดิม คือไปกระชากเชือกที่คล้ายเทปกาวให้หลุดแล้วอุ้มร่าง หรือซากอสุภ ตัวเองยัดใส่โลงให้ได้ เพื่อจะหาทางเผ่นหนีออกจากห้องอุบาทว์นี่โดยเร็วที่สุด
ความเยือกเย็นทวีขึ้น กลิ่นเหม็นอับสาบสางแผ่ซ่านไปทั่วห้องมหาภัย...มากขึ้นและมากขึ้นทุกทีจนแทบจะหายใจไม่ออก
ผมขยับตัว ร่างนั้นก็ขยับตาม!
นัยน์ตาลุกวาวในใบหน้าเหลืองราวขมิ้นยิ่งลุกวาว จ้องเขม็ง ดูดุร้ายกระหายเลือดระคนโศกเศร้าล้ำลึกอย่างไรชอบกล ส่วนผมทั้งกลัวและทั้งเสียใจระคนปนเปกันไปหมด ขณะนั้นเสียงร่ำไห้ก็ดังแว่วมาเข้าหู
ในที่สุด ผมก็โถมเข้าไป พร้อมๆ กับร่างนั้นพุ่งเข้าใส่จนได้ยินเสียงตัวเองร้องลั่นด้วยความตระหนกตกใจสุดขีด...
เมื่อสะดุ้งตื่นในความมืด นัยน์ตาแสบร้อนเปียกชุ่ม...ไม่รู้จริงๆ ว่าฝันนั้นจะเป็นลางร้ายดีอะไรแน่? แต่ผมก็รอต้อนรับมันมาจนถึงทุกวันนี้...
แน่ล่ะ! จนกว่าจะถึงวันนั้น!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2557
12 มีนาคม 2558
โพธิ์ผีสิง
"แดงน้อย" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากซอยศรีบางซื่อในอดีต
สมัยเด็กผมอยู่ในซอยบันไดหิน เชิงสะพานพิบูลสงคราม ถนนประชาราษฎร์ 1 ต่อมาได้ชื่อซอยอย่างเป็นทางการว่า "ซอยศรีบางซื่อ" ซอยนี้ขนานกับคลองบางซื่อไปยันโรงเลื่อยที่แม่น้ำเจ้าพระยา เลี้ยวซ้ายไปถึงสะพานโค้ง ข้ามปากคลองไปวัดแก้วฟ้า
เหตุการณ์ขนหัวลุกเกิดขึ้นในซอยบันไดหินนั่นเอง!
ตอนแรกทางเดินยังเป็นดินล้วนๆ ฝนตกเมื่อไหร่ก็เฉอะแฉะน่าดู ต่อมาสร้างเป็นทางลาดปูน...แต่ทางดีๆ ก็ไปหยุดแค่ก๊อกประปาสาธารณะกลางซอยเท่านั้นเอง
ใกล้ๆ กับก๊อกประปาที่ชาวบ้านมาซักผ้า อาบน้ำ และรองน้ำใส่กระป๋องหิ้วกลับบ้าน คือต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ ขนาบด้วยบ้านคุณยายพลอยกับสวนเปลี่ยวรกร้าง น่ากลัวสำหรับเด็กๆ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน
ต้นโพธิ์ที่ว่าตั้งอยู่กลางซอยจริงๆ ค่อนไปทางสวนเปลี่ยว คนที่ต้องเดินผ่านส่วนมากจะไปทางซ้าย ติดกับรั้วสังกะสียายพลอย แต่ถ้าฝนตกจนเฉอะแฉะก็ต้องเดินอ้อมไปทางด้านขวา ติดๆ กับต้นโพธิ์
ไม่ต้องบอก คุณๆ ก็ต้องเดาได้ว่าต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้มน่ะผีดุสาหัสจริงๆ ขนาดชาวบ้านเรียก "เจ้าพ่อโพธิ์" แต่ก็ไม่วายไปจุดธูปขอหวยตอนค่ำๆ ส่วนมากใช้มีดบางฝานรากบนดินแล้วรดน้ำ ใช้นิ้วมือขัดถูจนกว่าจะเห็นตัวหวย
คือทำกันมาตั้งแต่สมัยหวย ก.ข. ที่ออกเช้า-เย็น จนถึงหาเลขเด็ดในยุคสลากกินรวบ...เอาไปทุ่มแทงหวยใต้ดินกัน!
เรื่องแทงผิดแทงถูกเป็นของธรรมดา แต่คนแทงถูกก็ร่ำลือว่าเจ้าพ่อโพธิ์ให้หวยแม่นอย่าบอกใคร...เอาผ้าเขียวผ้าแดงมาพันแก้บนให้อร่าม ไหนจะพวกตุ๊กตาดินเผา ไม่ว่าช้างม้า ละครรำ หรือเด็กไว้ผมจุกก็เอามากองไว้เต็มโคนโพธิ์ด้านริมคูติดสวนเปลี่ยวนั่นแหละครับ
มีคนบอกว่าจะให้ขลังต้องไปจุดธูปจุดเทียนขอหวยตอนดึกๆ ยิ่งดึกยิ่งแม่นว่างั้นเถอะ! คนกลัวผีแต่อยากได้เลขเด็ดก็ต้องทำใจให้กล้าๆ หน่อย หรือไม่ก็แข็งใจว่าไม่กลัวผีหลอก แต่อยากได้หวยเจ๋งๆ มากกว่า
ความจริงมีคนไปจุดธูปบนบานเจ้าพ่อโพธิ์สารพัด ทั้งเรื่องความรัก เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย แม้แต่เรื่องขอให้เจ้าพ่อบันดาลให้ลูกหลานรอดพ้นจากการโดนเกณฑ์ทหารก็ยังมี
แต่เรื่องขอหวยนี่ต้องถือว่ามากที่สุด!
มีคนเล่าว่าโดนผีหลอกที่ต้นโพธิ์มากมาย เช่น ลุงฉุนคนปากคลองเล่าว่า คืนนั้นฝนตกหนักจนหนทางเฉอะแฉะ แถมลื่นน่ากลัว แกกลับบ้านราวสองทุ่มเศษเลยอ้อมไปเดินด้านขวาเพราะทางเดินที่เป็นคันดินสูงกว่า...จู่ๆ ก็เจอเข้าจังเบอร์
กลิ่นธูปควันเทียนลอยกรุ่น ลุงฉุนเห็นผู้หญิงในชุดดำนั่งพับเพียบอยู่ที่ลานแคบๆ โคนโพธิ์ มองเห็นหน้าไม่ถนัดเพราะผมยาวปิดบังไว้ เห็นแต่ตุ๊กตาเกลื่อนอยู่ในแสงเทียนเท่านั้น
คงมาขอหวยล่ะมั้ง? ลุงฉุนนึก เดินผ่านไปบนคันดินริมคู ก่อนจะหันไปมองอีกครั้ง...แต่ต้องยืนตะลึง หน้าชาเห่อ ขนลุกซ่าไปทั้งตัวในพริบตา
ไม่มีผู้หญิงในชุดดำเสียแล้ว ธูปเทียนก็หายไปหมดสิ้น!
วิ่งซีครับ...วิ่งล้มลุกคลุกคลานมาจนถึงบ้านใกล้ๆ โรงเลื่อย สบถสาบานว่าชาตินี้จะไม่ยอมเดินเข้าซอยตอนกลางคืนเด็ดขาด
ป้าเลื่อนกับพี่นวล สองแม่ลูกที่ทำงานฟั่นธูปอยู่ปากคลองตลาดก็เจอดีเข้าเช่นกัน
ธรรมดาแกจะกลับถึงบ้านตอนเย็นๆ มีเวลามาอาบน้ำ ตักน้ำประปาที่ก๊อกกลับบ้านด้วยซ้ำ แต่ช่วงนั้นงานชุกก็เลยทำงานจนมืดค่ำ กว่าจะเดินเข้าบ้านได้ก็เกือบสองทุ่ม
ที่ก๊อกน้ำว่างเปล่า ผู้คนดับไฟเข้านอนกันเกือบหมด โชคดีที่เป็นฤดูหนาว ทางเดินแห้งสนิท ป้าเลื่อนกับพี่นวลก็ชวนกันเลาะลงด้านซ้าย เดินเลียบรั้วสังกะสียายพลอยด้วยความรอบคอบ...เร่งฝีเท้าจนได้ยินเสียงช้อนในกล่องข้าวกระทบกันเบาๆ
พอผ่านต้นโพธิ์เสียงลมแรงก็พัดซ่า ยอดโพธิ์สะบัดเกรียวกราวคล้ายใครกำลังหัวเราะเย้ยหยัน ป้าเลื่อนปากคอแห้งผากบอกลูกสาวเสียงสั่นว่า...รีบเดินเร็วๆ อย่าหันไปมอง!
ทันใดนั้นเอง เสียงซู่ๆ จากยอดโพธิ์ก็ดังกึกก้องเข้าไปในหัวใจ ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังร่วงหล่นลงมา ตามกิ่งก้านสาขาหนาทึบอย่างรวดเร็ว
"ไม่ต้องกลัว ตะกวดน่ะ" ป้าเลื่อนปลอบใจลูกสาว "มันคงกัดกันจนตกลงมา..."
แทบไม่ขาดเสียง ร่างหนึ่งก็หล่นตุ๊บลงมายืนจังก้า...เป็นชายผิวดำร่างใหญ่ ตาแดงก่ำปานแสงไฟ! สองแม่ลูกหวีดร้องสุดเสียง เผ่นอ้าวไม่คิดชีวิต ถุงเสื้อผ้ากับกล่องข้าวหลุดกระเด็นไปทางไหนไม่มีใครแยแสอีกแล้ว
"ผีหลอก! ช่วยด้วย...ผีหลอกโว้ย..." เสียงร้องโหวกโหวยดังก้องอยู่ในความเงียบเชียบ เคล้ากับเสียงใครกลุ่มหนึ่งหัวเราะครืนด้วยความขบขันอย่างเหลือประมาณ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557
สมัยเด็กผมอยู่ในซอยบันไดหิน เชิงสะพานพิบูลสงคราม ถนนประชาราษฎร์ 1 ต่อมาได้ชื่อซอยอย่างเป็นทางการว่า "ซอยศรีบางซื่อ" ซอยนี้ขนานกับคลองบางซื่อไปยันโรงเลื่อยที่แม่น้ำเจ้าพระยา เลี้ยวซ้ายไปถึงสะพานโค้ง ข้ามปากคลองไปวัดแก้วฟ้า
เหตุการณ์ขนหัวลุกเกิดขึ้นในซอยบันไดหินนั่นเอง!
ตอนแรกทางเดินยังเป็นดินล้วนๆ ฝนตกเมื่อไหร่ก็เฉอะแฉะน่าดู ต่อมาสร้างเป็นทางลาดปูน...แต่ทางดีๆ ก็ไปหยุดแค่ก๊อกประปาสาธารณะกลางซอยเท่านั้นเอง
ใกล้ๆ กับก๊อกประปาที่ชาวบ้านมาซักผ้า อาบน้ำ และรองน้ำใส่กระป๋องหิ้วกลับบ้าน คือต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ ขนาบด้วยบ้านคุณยายพลอยกับสวนเปลี่ยวรกร้าง น่ากลัวสำหรับเด็กๆ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน
ต้นโพธิ์ที่ว่าตั้งอยู่กลางซอยจริงๆ ค่อนไปทางสวนเปลี่ยว คนที่ต้องเดินผ่านส่วนมากจะไปทางซ้าย ติดกับรั้วสังกะสียายพลอย แต่ถ้าฝนตกจนเฉอะแฉะก็ต้องเดินอ้อมไปทางด้านขวา ติดๆ กับต้นโพธิ์
ไม่ต้องบอก คุณๆ ก็ต้องเดาได้ว่าต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ แผ่กิ่งก้านสาขาร่มครึ้มน่ะผีดุสาหัสจริงๆ ขนาดชาวบ้านเรียก "เจ้าพ่อโพธิ์" แต่ก็ไม่วายไปจุดธูปขอหวยตอนค่ำๆ ส่วนมากใช้มีดบางฝานรากบนดินแล้วรดน้ำ ใช้นิ้วมือขัดถูจนกว่าจะเห็นตัวหวย
คือทำกันมาตั้งแต่สมัยหวย ก.ข. ที่ออกเช้า-เย็น จนถึงหาเลขเด็ดในยุคสลากกินรวบ...เอาไปทุ่มแทงหวยใต้ดินกัน!
เรื่องแทงผิดแทงถูกเป็นของธรรมดา แต่คนแทงถูกก็ร่ำลือว่าเจ้าพ่อโพธิ์ให้หวยแม่นอย่าบอกใคร...เอาผ้าเขียวผ้าแดงมาพันแก้บนให้อร่าม ไหนจะพวกตุ๊กตาดินเผา ไม่ว่าช้างม้า ละครรำ หรือเด็กไว้ผมจุกก็เอามากองไว้เต็มโคนโพธิ์ด้านริมคูติดสวนเปลี่ยวนั่นแหละครับ
มีคนบอกว่าจะให้ขลังต้องไปจุดธูปจุดเทียนขอหวยตอนดึกๆ ยิ่งดึกยิ่งแม่นว่างั้นเถอะ! คนกลัวผีแต่อยากได้เลขเด็ดก็ต้องทำใจให้กล้าๆ หน่อย หรือไม่ก็แข็งใจว่าไม่กลัวผีหลอก แต่อยากได้หวยเจ๋งๆ มากกว่า
ความจริงมีคนไปจุดธูปบนบานเจ้าพ่อโพธิ์สารพัด ทั้งเรื่องความรัก เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย แม้แต่เรื่องขอให้เจ้าพ่อบันดาลให้ลูกหลานรอดพ้นจากการโดนเกณฑ์ทหารก็ยังมี
แต่เรื่องขอหวยนี่ต้องถือว่ามากที่สุด!
มีคนเล่าว่าโดนผีหลอกที่ต้นโพธิ์มากมาย เช่น ลุงฉุนคนปากคลองเล่าว่า คืนนั้นฝนตกหนักจนหนทางเฉอะแฉะ แถมลื่นน่ากลัว แกกลับบ้านราวสองทุ่มเศษเลยอ้อมไปเดินด้านขวาเพราะทางเดินที่เป็นคันดินสูงกว่า...จู่ๆ ก็เจอเข้าจังเบอร์
กลิ่นธูปควันเทียนลอยกรุ่น ลุงฉุนเห็นผู้หญิงในชุดดำนั่งพับเพียบอยู่ที่ลานแคบๆ โคนโพธิ์ มองเห็นหน้าไม่ถนัดเพราะผมยาวปิดบังไว้ เห็นแต่ตุ๊กตาเกลื่อนอยู่ในแสงเทียนเท่านั้น
คงมาขอหวยล่ะมั้ง? ลุงฉุนนึก เดินผ่านไปบนคันดินริมคู ก่อนจะหันไปมองอีกครั้ง...แต่ต้องยืนตะลึง หน้าชาเห่อ ขนลุกซ่าไปทั้งตัวในพริบตา
ไม่มีผู้หญิงในชุดดำเสียแล้ว ธูปเทียนก็หายไปหมดสิ้น!
วิ่งซีครับ...วิ่งล้มลุกคลุกคลานมาจนถึงบ้านใกล้ๆ โรงเลื่อย สบถสาบานว่าชาตินี้จะไม่ยอมเดินเข้าซอยตอนกลางคืนเด็ดขาด
ป้าเลื่อนกับพี่นวล สองแม่ลูกที่ทำงานฟั่นธูปอยู่ปากคลองตลาดก็เจอดีเข้าเช่นกัน
ธรรมดาแกจะกลับถึงบ้านตอนเย็นๆ มีเวลามาอาบน้ำ ตักน้ำประปาที่ก๊อกกลับบ้านด้วยซ้ำ แต่ช่วงนั้นงานชุกก็เลยทำงานจนมืดค่ำ กว่าจะเดินเข้าบ้านได้ก็เกือบสองทุ่ม
ที่ก๊อกน้ำว่างเปล่า ผู้คนดับไฟเข้านอนกันเกือบหมด โชคดีที่เป็นฤดูหนาว ทางเดินแห้งสนิท ป้าเลื่อนกับพี่นวลก็ชวนกันเลาะลงด้านซ้าย เดินเลียบรั้วสังกะสียายพลอยด้วยความรอบคอบ...เร่งฝีเท้าจนได้ยินเสียงช้อนในกล่องข้าวกระทบกันเบาๆ
พอผ่านต้นโพธิ์เสียงลมแรงก็พัดซ่า ยอดโพธิ์สะบัดเกรียวกราวคล้ายใครกำลังหัวเราะเย้ยหยัน ป้าเลื่อนปากคอแห้งผากบอกลูกสาวเสียงสั่นว่า...รีบเดินเร็วๆ อย่าหันไปมอง!
ทันใดนั้นเอง เสียงซู่ๆ จากยอดโพธิ์ก็ดังกึกก้องเข้าไปในหัวใจ ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังร่วงหล่นลงมา ตามกิ่งก้านสาขาหนาทึบอย่างรวดเร็ว
"ไม่ต้องกลัว ตะกวดน่ะ" ป้าเลื่อนปลอบใจลูกสาว "มันคงกัดกันจนตกลงมา..."
แทบไม่ขาดเสียง ร่างหนึ่งก็หล่นตุ๊บลงมายืนจังก้า...เป็นชายผิวดำร่างใหญ่ ตาแดงก่ำปานแสงไฟ! สองแม่ลูกหวีดร้องสุดเสียง เผ่นอ้าวไม่คิดชีวิต ถุงเสื้อผ้ากับกล่องข้าวหลุดกระเด็นไปทางไหนไม่มีใครแยแสอีกแล้ว
"ผีหลอก! ช่วยด้วย...ผีหลอกโว้ย..." เสียงร้องโหวกโหวยดังก้องอยู่ในความเงียบเชียบ เคล้ากับเสียงใครกลุ่มหนึ่งหัวเราะครืนด้วยความขบขันอย่างเหลือประมาณ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 11 พฤศจิกายน 2557
10 มีนาคม 2558
เย้ยมฤตยู
"ตี๋น้อย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจรถซิ่ง
สมัยเด็กผมอยู่ที่ซอย 8 ถนนสุทธิสาร ซอยนี้ลัดเลาะไปออกซอยสายลม สนามเป้าได้นะครับ ตอนนั้นการแข่งรถซิ่งกำลังดังมาก นักซิ่งมักนัดแนะเจอกันที่สี่แยกถนนวิภาวดีคืนวันศุกร์กับวันเสาร์ซิ่งกันคึ่กๆ เป็นประจำ ตำรวจก็ไม่อยากแยแสเท่าไหร่
ใกล้บ้านผมมีนักซิ่งชื่อเฮียเซ้งวัย 20 ต้นๆ ตอนกลางวันช่วยเตี่ยขายข้าวขาหมูหน้าตลาดจอมมาลี ตกค่ำชอบบึ่งรถออกเที่ยว ไปหาเพื่อนฝูงบ้าง ไปแต่งรถบ้าง
ย่านสุทธิสารนี่มีร้านแต่งรถอื้อซ่ามานมนานแล้วล่ะครับ
เฮียเซ้งบอกว่ากฎหมายห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพรถ แต่ไม่ได้ห้ามเปลี่ยนอุปกรณ์ พวกกระจก โคมไฟ เครื่องเสียงรวมทั้งท่อไอเสีย ใครมีเงินก็เชิญแต่งรถได้ตามใจชอบ แต่การทะลวงท่อไอเสียดังแสบแก้วหู กวนประสาทชาวบ้านสุดๆ น่ะผิดกฎหมาย ยกเว้นแต่จะติดเครื่องกรองเสียงไม่ให้ดังเกินกำหนด
พูดก็พูดเถอะครับ นักซิ่งอยากเท่ อยากอวดสาว แต่สุ้มเสียงเบากว่าเพื่อนๆ น่ะเขาว่ามันเสียศักดิ์ศรีครับ!
ถ้าไม่อยากเด่น เป็นจุดสนใจผู้คนแล้วจะเป็น นักซิ่งไปหาสวรรค์วิมานอะไรล่ะ?
บอกตรงๆ ว่าโตขึ้นผมอยากเป็นนักซิ่งกับเขามั่ง เพราะคิดว่าเท่ดี! พี่ชายผมอายุ 17 ก็รบเร้าขอแม่ซื้อมอเตอร์ไซค์แต่แม่ส่ายหน้าลูกเดียว หนักเข้าพี่ผมเลยบอกว่าจะเก็บค่าขนมไปดาวน์เอง ผ่อนเอง ไม่ให้พ่อแม่เดือดร้อน
พ่อหัวเราะหึๆ แต่แม่พูดเรียบๆ ว่า...ถ้าลูกซื้อรถวันไหนแม่จะผูกคอตายวันนั้น! พี่ผมเลยจ๋อยสนิทตั้งแต่นั้นมา
วันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์สยองขวัญขึ้นกะทันหัน!
เฮียเซ้งขี่รถออกจากบ้านเย็นวันเสาร์ ผมยืนเกาะรั้วมองตาละห้อย เฮียก็จอดรถทักทาย ถามจี้ใจว่า...อยากซ้อนท้ายไปเที่ยวไหมวะไอ้ตี๋? ไปชมวิวที่วิภาวดีฯ ซะหน่อยแล้วจะพามาส่ง หรือจะไปทางสะพานควายก็ได้ รับรองว่าอั๊วไม่พาลื้อไปตายโหงหรอกโว้ย
ผมกระเดือกน้ำลาย มองดูรถสวยๆ สีแดงแปร๊ด รู้ดีว่ามันห้อตะบึงปานลมพัดได้แค่ไหน แต่นึกถึงแม่ก็ต้องส่ายหน้าเศร้าๆ เฮียเซ้งหัวเราะรู้ทัน ก่อนจะพุ่งรถลิ่วไปปากซอย
ปรากฏว่าคืนนั้นเป็นการซิ่งรถแข่งครั้งสุดท้ายของเฮียเซ้ง!
จากสี่แยกสุทธิสารไปสามเหลี่ยมดินแดง ยังไม่เกิดเหตุร้าย กระทั่งขากลับบึ่งกันมาถึงหน้าสนามกีฬากองทัพบก ใกล้จะถึงบ้านอยู่แล้วเชียว รถเฮียเซ้งเกิดไปสะกิดกับเพื่อน ล้มคว่ำคะมำหงาย กลิ้งหลุนๆ เป็นลูกขนุนไป ทั้งคู่
เพื่อนแค่ถลอกปอกเปิกเหลือเชื่อ แต่เฮียเซ้งกะโหลกแตก แขนขาหัก นอนตายจมกองเลือดอยู่ข้างถนนนั่นเอง!
เตี่ยกับแม่เฮียเซ้งร้องไห้คร่ำครวญเหมือนจะขาดใจตายตาม แม่เอาแต่ตีอกชกหัวว่า...อั๊วห้ามมันแล้วก็ไม่ฟัง พูดอะไรมันก็บอกว่ารู้แล้วๆ อยากแข่งก็แข่งในสุทธิสารเถอะ แต่มันบอกว่าไม่สนุกเหมือนถนนใหญ่...แล้วเป็นไงล่ะ?
เมื่อเผาศพเฮียเซ้งไปแล้ว นักซิ่ง 2-3 คนในซอยเราเก็บตัวเงียบ บางคนโดนแม่ล็อกรถไว้เลย แต่ได้ข่าวว่านักซิ่งคนอื่นๆ ก็ยังนัดไปประลองความเร็วกันตามเดิม
ตอนกลางคืนมักมีเสียงหมาหอนโหยหวนมาจากปากซอย รับกันเป็นทอดๆ เข้ามา บรรยากาศวังเวงใจน่ากลัว...ชาวบ้านพูดกันว่าวิญญาณเฮียเซ้งกลับมาหาเตี่ยหาแม่ล่ะกระมัง?
ส่วนมากตกค่ำก็ปิดประตูดับไฟเข้านอนกันเงียบ จนกระทั่งมีเหตุการณ์เขย่าขวัญอุบัติขึ้นมาไล่ๆ กัน!
นั่นคือ...มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์แล่นเข้าซอยมาช้าๆ หมูหมาหอนระงม...ใครๆ ก็จำได้ว่าเป็นเสียงรถเฮียเซ้งที่เจ้าของกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
คืนหนึ่ง ผมกำลังจะเคลิ้มหลับอยู่แล้ว เสียงหมาเห่าหอนกันขรมทำให้ลืมตาตื่น เกือบพร้อมๆ กับที่เสียงมอเตอร์ไซค์ดังแว่วมาเข้าหู
เฮียเซ้ง! ปากคอผมแห้งผากไปหมด มือเท้าเย็น ใจเต้นโครมๆ หลับตาปี๋ขณะที่เสียงรถแล่นช้าๆ เข้ามาจอดหน้าบ้าน...ผมกลัวจนแทบสติแตก ลุกพรวดไปจ้องมองทางหน้าต่างมุ้งลวดไม่รู้ตัว...แล้วผมก็ได้เห็นภาพที่จะไม่มีวันลืมได้เลยจนกว่าจะถึงวันตาย!
มอเตอร์ไซค์สีแดงคันนั้นจอดอยู่ข้างรั้วไม้ระแนง แสงไฟฟ้าริมทางส่องให้เห็นเฮียเซ้งนั่งถ่างขาคร่อมอาน ตัวแข็งทื่อจ้องมองไปข้างหน้า...ก่อนจะค่อยๆ หันมาทางผมเชื่องช้า แต่แน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด
ปากเปรอะเลือดเผยอนิดๆ ได้ยินว่า...ไปนั่งรถเที่ยวกันไหมไอ้ตี๋? ผมรู้สึกเหมือนโลกถล่ม ฟ้าทลาย ภาพต่างๆ ดับวูบ...แผดร้องสุดเสียงก่อนจะสิ้นสติไปบัดดล!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2557
สมัยเด็กผมอยู่ที่ซอย 8 ถนนสุทธิสาร ซอยนี้ลัดเลาะไปออกซอยสายลม สนามเป้าได้นะครับ ตอนนั้นการแข่งรถซิ่งกำลังดังมาก นักซิ่งมักนัดแนะเจอกันที่สี่แยกถนนวิภาวดีคืนวันศุกร์กับวันเสาร์ซิ่งกันคึ่กๆ เป็นประจำ ตำรวจก็ไม่อยากแยแสเท่าไหร่
ใกล้บ้านผมมีนักซิ่งชื่อเฮียเซ้งวัย 20 ต้นๆ ตอนกลางวันช่วยเตี่ยขายข้าวขาหมูหน้าตลาดจอมมาลี ตกค่ำชอบบึ่งรถออกเที่ยว ไปหาเพื่อนฝูงบ้าง ไปแต่งรถบ้าง
ย่านสุทธิสารนี่มีร้านแต่งรถอื้อซ่ามานมนานแล้วล่ะครับ
เฮียเซ้งบอกว่ากฎหมายห้ามเปลี่ยนแปลงสภาพรถ แต่ไม่ได้ห้ามเปลี่ยนอุปกรณ์ พวกกระจก โคมไฟ เครื่องเสียงรวมทั้งท่อไอเสีย ใครมีเงินก็เชิญแต่งรถได้ตามใจชอบ แต่การทะลวงท่อไอเสียดังแสบแก้วหู กวนประสาทชาวบ้านสุดๆ น่ะผิดกฎหมาย ยกเว้นแต่จะติดเครื่องกรองเสียงไม่ให้ดังเกินกำหนด
พูดก็พูดเถอะครับ นักซิ่งอยากเท่ อยากอวดสาว แต่สุ้มเสียงเบากว่าเพื่อนๆ น่ะเขาว่ามันเสียศักดิ์ศรีครับ!
ถ้าไม่อยากเด่น เป็นจุดสนใจผู้คนแล้วจะเป็น นักซิ่งไปหาสวรรค์วิมานอะไรล่ะ?
บอกตรงๆ ว่าโตขึ้นผมอยากเป็นนักซิ่งกับเขามั่ง เพราะคิดว่าเท่ดี! พี่ชายผมอายุ 17 ก็รบเร้าขอแม่ซื้อมอเตอร์ไซค์แต่แม่ส่ายหน้าลูกเดียว หนักเข้าพี่ผมเลยบอกว่าจะเก็บค่าขนมไปดาวน์เอง ผ่อนเอง ไม่ให้พ่อแม่เดือดร้อน
พ่อหัวเราะหึๆ แต่แม่พูดเรียบๆ ว่า...ถ้าลูกซื้อรถวันไหนแม่จะผูกคอตายวันนั้น! พี่ผมเลยจ๋อยสนิทตั้งแต่นั้นมา
วันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์สยองขวัญขึ้นกะทันหัน!
เฮียเซ้งขี่รถออกจากบ้านเย็นวันเสาร์ ผมยืนเกาะรั้วมองตาละห้อย เฮียก็จอดรถทักทาย ถามจี้ใจว่า...อยากซ้อนท้ายไปเที่ยวไหมวะไอ้ตี๋? ไปชมวิวที่วิภาวดีฯ ซะหน่อยแล้วจะพามาส่ง หรือจะไปทางสะพานควายก็ได้ รับรองว่าอั๊วไม่พาลื้อไปตายโหงหรอกโว้ย
ผมกระเดือกน้ำลาย มองดูรถสวยๆ สีแดงแปร๊ด รู้ดีว่ามันห้อตะบึงปานลมพัดได้แค่ไหน แต่นึกถึงแม่ก็ต้องส่ายหน้าเศร้าๆ เฮียเซ้งหัวเราะรู้ทัน ก่อนจะพุ่งรถลิ่วไปปากซอย
ปรากฏว่าคืนนั้นเป็นการซิ่งรถแข่งครั้งสุดท้ายของเฮียเซ้ง!
จากสี่แยกสุทธิสารไปสามเหลี่ยมดินแดง ยังไม่เกิดเหตุร้าย กระทั่งขากลับบึ่งกันมาถึงหน้าสนามกีฬากองทัพบก ใกล้จะถึงบ้านอยู่แล้วเชียว รถเฮียเซ้งเกิดไปสะกิดกับเพื่อน ล้มคว่ำคะมำหงาย กลิ้งหลุนๆ เป็นลูกขนุนไป ทั้งคู่
เพื่อนแค่ถลอกปอกเปิกเหลือเชื่อ แต่เฮียเซ้งกะโหลกแตก แขนขาหัก นอนตายจมกองเลือดอยู่ข้างถนนนั่นเอง!
เตี่ยกับแม่เฮียเซ้งร้องไห้คร่ำครวญเหมือนจะขาดใจตายตาม แม่เอาแต่ตีอกชกหัวว่า...อั๊วห้ามมันแล้วก็ไม่ฟัง พูดอะไรมันก็บอกว่ารู้แล้วๆ อยากแข่งก็แข่งในสุทธิสารเถอะ แต่มันบอกว่าไม่สนุกเหมือนถนนใหญ่...แล้วเป็นไงล่ะ?
เมื่อเผาศพเฮียเซ้งไปแล้ว นักซิ่ง 2-3 คนในซอยเราเก็บตัวเงียบ บางคนโดนแม่ล็อกรถไว้เลย แต่ได้ข่าวว่านักซิ่งคนอื่นๆ ก็ยังนัดไปประลองความเร็วกันตามเดิม
ตอนกลางคืนมักมีเสียงหมาหอนโหยหวนมาจากปากซอย รับกันเป็นทอดๆ เข้ามา บรรยากาศวังเวงใจน่ากลัว...ชาวบ้านพูดกันว่าวิญญาณเฮียเซ้งกลับมาหาเตี่ยหาแม่ล่ะกระมัง?
ส่วนมากตกค่ำก็ปิดประตูดับไฟเข้านอนกันเงียบ จนกระทั่งมีเหตุการณ์เขย่าขวัญอุบัติขึ้นมาไล่ๆ กัน!
นั่นคือ...มีเสียงรถมอเตอร์ไซค์แล่นเข้าซอยมาช้าๆ หมูหมาหอนระงม...ใครๆ ก็จำได้ว่าเป็นเสียงรถเฮียเซ้งที่เจ้าของกลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว
คืนหนึ่ง ผมกำลังจะเคลิ้มหลับอยู่แล้ว เสียงหมาเห่าหอนกันขรมทำให้ลืมตาตื่น เกือบพร้อมๆ กับที่เสียงมอเตอร์ไซค์ดังแว่วมาเข้าหู
เฮียเซ้ง! ปากคอผมแห้งผากไปหมด มือเท้าเย็น ใจเต้นโครมๆ หลับตาปี๋ขณะที่เสียงรถแล่นช้าๆ เข้ามาจอดหน้าบ้าน...ผมกลัวจนแทบสติแตก ลุกพรวดไปจ้องมองทางหน้าต่างมุ้งลวดไม่รู้ตัว...แล้วผมก็ได้เห็นภาพที่จะไม่มีวันลืมได้เลยจนกว่าจะถึงวันตาย!
มอเตอร์ไซค์สีแดงคันนั้นจอดอยู่ข้างรั้วไม้ระแนง แสงไฟฟ้าริมทางส่องให้เห็นเฮียเซ้งนั่งถ่างขาคร่อมอาน ตัวแข็งทื่อจ้องมองไปข้างหน้า...ก่อนจะค่อยๆ หันมาทางผมเชื่องช้า แต่แน่นอนเหนือสิ่งอื่นใด
ปากเปรอะเลือดเผยอนิดๆ ได้ยินว่า...ไปนั่งรถเที่ยวกันไหมไอ้ตี๋? ผมรู้สึกเหมือนโลกถล่ม ฟ้าทลาย ภาพต่างๆ ดับวูบ...แผดร้องสุดเสียงก่อนจะสิ้นสติไปบัดดล!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2557
09 มีนาคม 2558
โรงแรมสยอง
"มุก" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรมในฮ่องกง
เมื่อสามปีก่อน ดิฉันกับเพื่อนร่วมบริษัทอีก 5 คน ได้รับรางวัลพนักงานดีเด่น ได้ไปทัวร์ฮ่องกง 3 คืน 4 วัน รวมกับแผนกอื่นๆ อีก 35 คน พวกเราตื่นเต้นกันมากเพราะไม่เคยไปเมืองนอกเลย...พอเอาจริงเข้าดิฉันเกิดเมาเครื่องบินค่ะ!
ถ้าทราบแต่แรกคงเตรียมยามากินแล้ว มันทั้งพะอืดพะอมและเวียนหัวไปหมด หน้าเขียวหน้าเหลืองเลยล่ะ! กว่าจะออกจากสนามบินไปโรงแรมได้ก็แทบต้องหามกันแน่ะ...
สรุปว่า คืนนั้นดิฉันต้องนอนแซ่วอยู่ในห้องพักเพียงลำพัง!
แต้วกับอรซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้อง แสดงน้ำใจเป็นห่วงเป็นใยจะอยู่เฝ้าเป็นเพื่อนแต่ดิฉันเกรงใจเลยบอกว่าไม่เป็นไรหรอก นอนพักให้เต็มที่ อาบน้ำอาบท่า ดื่มน้ำเย็นๆ รุ่งขึ้นก็คงไปลุยกับกรุ๊ปทัวร์ได้ตามปกติ
เป็นอันว่าทุกคนให้ดิฉันนอนพักตามสบาย นอนให้อิ่ม...เพื่อนๆ ออกจากห้องไปแล้ว เพิ่งทุ่มกว่าๆ พวกเขาจะไปกินข้าวแล้วท่องราตรี กว่าจะกลับคงดึก
แอร์เย็นฉ่ำ ไฟสีส้มสลัวๆ หน้าต่างกระจกบานใหญ่ มองออกไปเห็นแสงไฟระยิบระยับ สวยเหมือนเมืองสวรรค์ ดิฉันดับไฟซะ จะได้เห็นทิวทัศน์ข้างนอกได้ชัดเจนขึ้น ที่จริงก็ไม่เลวหรอกเลยไม่คิดเสียดายที่คืนนี้ไม่ได้เที่ยว อาการพะอืดพะอมค่อยยังชั่วขึ้นเยอะ แต่ยังไม่อยากกินอะไรนอกจากน้ำเปล่า
ดิฉันเดินไปที่ตู้เย็น หยิบน้ำมารินดื่มโดยไม่ได้เปิดไฟ เพราะแสงจากห้องน้ำก็สว่างมากพอจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้สบาย จากนั้นก็ยืนชมวิวอีกพักหนึ่ง คิดถึงพ่อแม่กับน้องๆ ทางบ้านจัง...ป่านนี้ทำอะไรอยู่นะ?
จากเงาสะท้อนในกระจก ดิฉันเห็นคนเดินผ่านด้านหลังไปแว่บหนึ่ง!
ปกติไม่ใช่คนกลัวผีนะคะ เพราะไม่เชื่อเรื่องผีเลย ฉะนั้น สิ่งที่เห็นเพียงแต่ทำให้สงสัยว่าตัวเองตาลาย เพราะอาการวิงเวียนและอ่อนเพลียเป็นต้นเหตุ
พอนึกได้อย่างนั้นก็นอนดีกว่า เดี๋ยวอาการจะกำเริบอีก
ดิฉันนอนห่มผ้าแล้วหลับตา มันกลับรู้สึกตื่นตัวเต็มที่ ไม่ง่วงสักนิด แต่...เอ๊ะ! ทำไมแอร์มันหนาวฮวบลงได้ขนาดนี้? หนาวมากค่ะ จับกระดูกเลยล่ะ! ดิฉันรีบลุกไปดูปุ่มปรับแอร์ที่ฝาผนัง ตำแหน่งที่ตั้งไว้ก็ไม่น่าเย็นยะเยือกถึงปานนี้เลย
ไม่เป็นไรหรอก ดิฉันชอบอากาศหนาวๆ อยู่แล้ว...กลับมานอนต่อ แต่พอหลับตาก็รู้สึกสว่างโพลงอยู่ข้างใน...จะลุกขึ้นไปเปิดทีวีดีไหมนะ?
ทันใดนั้น เสียงโทรทัศน์ปลายเตียงก็ดังแชะ...ทีวีเปิดเองเสียงดังลั่น!
เอาล่ะซี...ไม่กลัวผีหรอกค่ะแต่มันหลอนน่าดู ดิฉันตัวแข็งอยู่ใต้ผ้าห่ม รายการทีวีที่ปรากฏบนจอเป็นการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวฮ่องกง นี่คงเป็นบริการพิเศษกระมัง? ไม่น่าเป็นไปได้ แต่อยากคิดในแง่ดีไว้ก่อน ใครบางคนอาจตั้งเวลาเปิด-ปิดอัตโนมัติไว้ก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด ดิฉันต้องลุกไปปิดทีวี อากาศหนาวสะท้าน ต้องหมุนปรับอุณหภูมิขึ้น แล้ว กลับมาล้มตัวลงนอนเสียที
ทันทีที่หลับตาก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ อยู่ข้างหู เหมือนใครคนนั้นนอนหมอนเดียวกับดิฉันนี่เอง!
ได้ผลค่ะ ดิฉันเด้งดึ๋งลุกขึ้นนั่ง มองซ้ายมองขวา ขนลุกซ่า แล้วเอื้อมมือไปเปิดไฟ แหม...ไอ้ไฟกลางห้องนี่มันไม่เต็มใจสว่างเอาซะเลย
จากคนไม่เคยกลัวผี ดิฉันเริ่มระแวง ห้องนี้มีอะไรหรือเปล่า? อย่ากระนั้นเลย เปิดทีวีเอาเสียงเป็นเพื่อนดีกว่า ดูนาฬิกาก็ยังไม่ดึก...เพื่อนๆ กินข้าวเสร็จรึยังก็ไม่รู้ เมื่อไหร่จะกลับกันซะทีนะ?
เปิดไฟ เปิดทีวี แล้วนั่งพิงหมอนที่หัวเตียง ใจเต้นแรงชอบกล ดึงผ้าห่มคลุมขาอากาศในห้องนอนดูอึดอัดบอกไม่ถูก ความหนาวยังกัดกินกระดูก
และแล้ว...ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง อายุราว 17-18 ปี ผมเปียกยาวประบ่า แต่งชุดนอนเป็นกางเกงกับเสื้อผ้าแพรสีชมพูอ่อนๆ เดินออกมาจากห้องน้ำหน้าเฉยเลย! ใบหน้าเธอก้มนิดๆ แต่นัยน์ตาชำเลืองดิฉัน...เธอเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่? เข้ามาได้ยังไง
เด็กสาวเดินจากห้องน้ำผ่านทีวี ผ่านปลายเตียง อ้อมมาข้างเตียงที่ดิฉันนั่งตัวแข็งอยู่แล้วก็แปะลงเกือบชิดตัว ทำตาโต ยื่นหน้าเข้ามาจ้องหน้าดิฉัน ห่างกันแค่คืบเท่านั้นเองค่ะ!
ตาคู่นั้นเหมือนตาของปลาตายไม่มีผิด! ดิฉันร้องกรี๊ดแล้วเผ่นกระเจิงออกจากห้อง วิ่งลงลิฟต์ไปทั้งชุดนอน ร้องไห้ด้วย ผู้คนที่ล็อบบี้ตกใจกันใหญ่ พนักงานที่เคาน์เตอร์เข้ามาปลอบ ดิฉันไม่ยอมขึ้นไปบนห้อง...รอจนเพื่อนๆ กลับมา
จากนั้นก็วุ่นวาย นอนไม่ได้ต้องเปลี่ยนห้อง แต่ดิฉันยังผวา...สามคืนที่นั่นทรมานสิ้นดี เชื่อแล้วค่ะว่าผีมีจริง มันทำให้ดิฉันหวาดระแวง ประสาทเสียมาจนทุกวันนี้ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 7 พฤศจิกายน 2557
เมื่อสามปีก่อน ดิฉันกับเพื่อนร่วมบริษัทอีก 5 คน ได้รับรางวัลพนักงานดีเด่น ได้ไปทัวร์ฮ่องกง 3 คืน 4 วัน รวมกับแผนกอื่นๆ อีก 35 คน พวกเราตื่นเต้นกันมากเพราะไม่เคยไปเมืองนอกเลย...พอเอาจริงเข้าดิฉันเกิดเมาเครื่องบินค่ะ!
ถ้าทราบแต่แรกคงเตรียมยามากินแล้ว มันทั้งพะอืดพะอมและเวียนหัวไปหมด หน้าเขียวหน้าเหลืองเลยล่ะ! กว่าจะออกจากสนามบินไปโรงแรมได้ก็แทบต้องหามกันแน่ะ...
สรุปว่า คืนนั้นดิฉันต้องนอนแซ่วอยู่ในห้องพักเพียงลำพัง!
แต้วกับอรซึ่งเป็นเพื่อนร่วมห้อง แสดงน้ำใจเป็นห่วงเป็นใยจะอยู่เฝ้าเป็นเพื่อนแต่ดิฉันเกรงใจเลยบอกว่าไม่เป็นไรหรอก นอนพักให้เต็มที่ อาบน้ำอาบท่า ดื่มน้ำเย็นๆ รุ่งขึ้นก็คงไปลุยกับกรุ๊ปทัวร์ได้ตามปกติ
เป็นอันว่าทุกคนให้ดิฉันนอนพักตามสบาย นอนให้อิ่ม...เพื่อนๆ ออกจากห้องไปแล้ว เพิ่งทุ่มกว่าๆ พวกเขาจะไปกินข้าวแล้วท่องราตรี กว่าจะกลับคงดึก
แอร์เย็นฉ่ำ ไฟสีส้มสลัวๆ หน้าต่างกระจกบานใหญ่ มองออกไปเห็นแสงไฟระยิบระยับ สวยเหมือนเมืองสวรรค์ ดิฉันดับไฟซะ จะได้เห็นทิวทัศน์ข้างนอกได้ชัดเจนขึ้น ที่จริงก็ไม่เลวหรอกเลยไม่คิดเสียดายที่คืนนี้ไม่ได้เที่ยว อาการพะอืดพะอมค่อยยังชั่วขึ้นเยอะ แต่ยังไม่อยากกินอะไรนอกจากน้ำเปล่า
ดิฉันเดินไปที่ตู้เย็น หยิบน้ำมารินดื่มโดยไม่ได้เปิดไฟ เพราะแสงจากห้องน้ำก็สว่างมากพอจะเห็นทุกสิ่งทุกอย่างได้สบาย จากนั้นก็ยืนชมวิวอีกพักหนึ่ง คิดถึงพ่อแม่กับน้องๆ ทางบ้านจัง...ป่านนี้ทำอะไรอยู่นะ?
จากเงาสะท้อนในกระจก ดิฉันเห็นคนเดินผ่านด้านหลังไปแว่บหนึ่ง!
ปกติไม่ใช่คนกลัวผีนะคะ เพราะไม่เชื่อเรื่องผีเลย ฉะนั้น สิ่งที่เห็นเพียงแต่ทำให้สงสัยว่าตัวเองตาลาย เพราะอาการวิงเวียนและอ่อนเพลียเป็นต้นเหตุ
พอนึกได้อย่างนั้นก็นอนดีกว่า เดี๋ยวอาการจะกำเริบอีก
ดิฉันนอนห่มผ้าแล้วหลับตา มันกลับรู้สึกตื่นตัวเต็มที่ ไม่ง่วงสักนิด แต่...เอ๊ะ! ทำไมแอร์มันหนาวฮวบลงได้ขนาดนี้? หนาวมากค่ะ จับกระดูกเลยล่ะ! ดิฉันรีบลุกไปดูปุ่มปรับแอร์ที่ฝาผนัง ตำแหน่งที่ตั้งไว้ก็ไม่น่าเย็นยะเยือกถึงปานนี้เลย
ไม่เป็นไรหรอก ดิฉันชอบอากาศหนาวๆ อยู่แล้ว...กลับมานอนต่อ แต่พอหลับตาก็รู้สึกสว่างโพลงอยู่ข้างใน...จะลุกขึ้นไปเปิดทีวีดีไหมนะ?
ทันใดนั้น เสียงโทรทัศน์ปลายเตียงก็ดังแชะ...ทีวีเปิดเองเสียงดังลั่น!
เอาล่ะซี...ไม่กลัวผีหรอกค่ะแต่มันหลอนน่าดู ดิฉันตัวแข็งอยู่ใต้ผ้าห่ม รายการทีวีที่ปรากฏบนจอเป็นการแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวฮ่องกง นี่คงเป็นบริการพิเศษกระมัง? ไม่น่าเป็นไปได้ แต่อยากคิดในแง่ดีไว้ก่อน ใครบางคนอาจตั้งเวลาเปิด-ปิดอัตโนมัติไว้ก็ได้
ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุใด ดิฉันต้องลุกไปปิดทีวี อากาศหนาวสะท้าน ต้องหมุนปรับอุณหภูมิขึ้น แล้ว กลับมาล้มตัวลงนอนเสียที
ทันทีที่หลับตาก็ได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆ อยู่ข้างหู เหมือนใครคนนั้นนอนหมอนเดียวกับดิฉันนี่เอง!
ได้ผลค่ะ ดิฉันเด้งดึ๋งลุกขึ้นนั่ง มองซ้ายมองขวา ขนลุกซ่า แล้วเอื้อมมือไปเปิดไฟ แหม...ไอ้ไฟกลางห้องนี่มันไม่เต็มใจสว่างเอาซะเลย
จากคนไม่เคยกลัวผี ดิฉันเริ่มระแวง ห้องนี้มีอะไรหรือเปล่า? อย่ากระนั้นเลย เปิดทีวีเอาเสียงเป็นเพื่อนดีกว่า ดูนาฬิกาก็ยังไม่ดึก...เพื่อนๆ กินข้าวเสร็จรึยังก็ไม่รู้ เมื่อไหร่จะกลับกันซะทีนะ?
เปิดไฟ เปิดทีวี แล้วนั่งพิงหมอนที่หัวเตียง ใจเต้นแรงชอบกล ดึงผ้าห่มคลุมขาอากาศในห้องนอนดูอึดอัดบอกไม่ถูก ความหนาวยังกัดกินกระดูก
และแล้ว...ก็มีผู้หญิงคนหนึ่ง อายุราว 17-18 ปี ผมเปียกยาวประบ่า แต่งชุดนอนเป็นกางเกงกับเสื้อผ้าแพรสีชมพูอ่อนๆ เดินออกมาจากห้องน้ำหน้าเฉยเลย! ใบหน้าเธอก้มนิดๆ แต่นัยน์ตาชำเลืองดิฉัน...เธอเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่? เข้ามาได้ยังไง
เด็กสาวเดินจากห้องน้ำผ่านทีวี ผ่านปลายเตียง อ้อมมาข้างเตียงที่ดิฉันนั่งตัวแข็งอยู่แล้วก็แปะลงเกือบชิดตัว ทำตาโต ยื่นหน้าเข้ามาจ้องหน้าดิฉัน ห่างกันแค่คืบเท่านั้นเองค่ะ!
ตาคู่นั้นเหมือนตาของปลาตายไม่มีผิด! ดิฉันร้องกรี๊ดแล้วเผ่นกระเจิงออกจากห้อง วิ่งลงลิฟต์ไปทั้งชุดนอน ร้องไห้ด้วย ผู้คนที่ล็อบบี้ตกใจกันใหญ่ พนักงานที่เคาน์เตอร์เข้ามาปลอบ ดิฉันไม่ยอมขึ้นไปบนห้อง...รอจนเพื่อนๆ กลับมา
จากนั้นก็วุ่นวาย นอนไม่ได้ต้องเปลี่ยนห้อง แต่ดิฉันยังผวา...สามคืนที่นั่นทรมานสิ้นดี เชื่อแล้วค่ะว่าผีมีจริง มันทำให้ดิฉันหวาดระแวง ประสาทเสียมาจนทุกวันนี้ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 7 พฤศจิกายน 2557
07 มีนาคม 2558
หนีไม่พ้น
"อรัญ" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากเหยื่อมฤตยู
คนเราทุกวันนี้คงจะเดือดร้อนทุกข์ยากกันไปหมดนะครับ ทั้งปัญหาการบ้านการเมือง ไหนจะปัญหาการงานและครอบครัว โดยเฉพาะปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่หลวง แก้ไขยากที่สุด ใครเป็นอิสระจากการเงินก็นับว่าโชคดีไป
พวกคนแก่เฒ่าทั้งหลายก็มักมีปัญหาสุขภาพ โรคภัยหลากหลายเร้ารุม ฉวยโอกาสยามร่างกายอ่อนแอเข้ามาโจมตีไม่หยุดหย่อนปานคลื่นกระหน่ำชายฝั่ง
พวกหนุ่มสาวอารมณ์ร้อน วู่วามราวสาดเบนซินเข้ากองไฟ มักจะมีปัญหาเรื่องการเรียนกับความรัก คือเรียนไม่เก่ง แถมโดนดุด่า เพื่อนฝูงเยาะเย้ย หรือพวกอกหัก หึงหวง คิดว่าแฟนนอกใจ เห็นคนอื่นดีกว่า อุตส่าห์ของ้อแล้วยังเล่นตัวไม่ยอมคืนดีด้วย
เลยฆ่าตัวตายกันดื้อๆ ง่ายๆ ซะงั้น!
คนไทยฆ่าตัวตาย 2 ชั่วโมงต่อ 1 คน ประมาณว่า ปีละไม่ต่ำกว่า 5,000 คน
ถ้าคิดทั้งโลกแล้วแทบไม่น่าเชื่อ เพราะมีข่าวยืนยันว่าทุก 40 วินาที จะมีคนฆ่าตัวตาย 1 คน มีสถิติว่าคนที่ คิดสั้นมีอายุ 60 ปี, 30 ปี และ 20 ปี ตามลำดับ
วัยรุ่นอายุราว 20 ปีฆ่าตัวตายมากที่สุด
ที่น่าสยดสยองกว่านั้นก็คือ คนคิดฆ่าตัวตายจะทำสำเร็จได้ 10 เปอร์เซ็นต์! เท่ากับคนคิดฆ่าตัวตาย 10 คนจะตายสมใจนึก 1 คน ส่วนคนไทยคิดฆ่าตัวตายปีละ 50,000 คน (ห้าหมื่นคน) ถ้านับชาวโลกที่คิดทำลายชีวิตตัวเองก็ปาเข้าไปปีละหลายสิบล้านคนเชียว
พวกที่ฆ่าตัวตายสำเร็จก็แล้วไป แต่ที่เหลือนอกนั้นมีคนทั้งคนช่วยไว้ทันบ้าง เช่นแย่งมีดแย่งปืนได้ก่อนก็มี ดึงตัวออกมาจากหน้าต่างกับระเบียงตึกสูงๆ ก็มี หรือกินยาตาย ก็ช่วยนำส่งแพทย์ให้ล้างท้องได้ทันท่วงที
ที่คนอื่นๆ ไม่เคยระแคะระคายมาก่อนก็มี คือกินยานอนหลับแต่กลับตื่นขึ้นมาจนได้ ต่อมาเลิกคิดทำลายชีวิตตัวเองแล้ว หมดปัญหาหรือหายกลุ้มอกกลุ้มใจ ก็เก็บมาเล่าให้ใครๆ ฟังเป็นเรื่องสนุกไปเลย
คนที่ฆ่าตัวตายหนแรกไม่สำเร็จ แต่พากเพียรปลิดชีวิตตัวเองไปเมืองผีจนสมปรารถนา มีจำนวนหนึ่งเท่าตัว
หลายๆ คนก็เกิดอุบัติเหตุเหลือเชื่อตอนกำลังจะ ฆ่าตัวตาย!
ตั้งแต่หอบเชือกดอดปีนป่ายต้นไม้ยามดึก หวังจะจบชีวิตตัวเองด้วยการแขวนคอตายง่ายๆ ตั้งใจเด็ดเดี่ยว แน่วแน่ไม่มีการลังเล ผูกคอเสร็จก็ทิ้งตัวโครมลงมา หลับตาปี๋คิดว่าจะได้ไปเกิดใหม่แน่ๆ แต่กิ่งไม้เจ้ากรรมดันหักโครม คนเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้ายก็ยังไม่แน่นัก หล่นตุ๊บลงมาก้นกบแทบหัก...แกร้องโหยหวนจนชาวบ้านสะดุ้งตื่น ขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน...คิดว่าเกิดไฟไหม้น่ะซี!
บางรายใช้มีดแทงเข้าที่หัวใจ จะเป็นมือสั่น หรืออยากตายแต่ยังเสียดายชีวิตก็ไม่ทราบ เพราะแทงพรวดเข้าไปเกือบมิดด้ามแต่ไม่ยักโดนหัวใจ เจ็บปวดจนร้องจ้าๆ เดือดร้อนให้ญาติมิตรต้องช่วยหามส่งโรงพยาบาลตามระเบียบ
แกบอกว่าเข็ดจนตาย! เจ็บปวดจริงๆ ต่อไปจะไม่เล่นอุตริวิตถารอีกแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเจ็บสาหัสขนาดนี้ แถมอับอายขายหน้าเขาอีกต่างหาก!
ผมมีประสบการณ์ขนหัวลุกจากเรื่องฆ่าตัวตายมาเล่าสู่กันฟังครับ
คุณตาเปี่ยมอยู่ข้างบ้านผมเองแถวคลองประปา ก็เป็นหนึ่งในคนคิดสั้นฆ่าตัวตาย คนในซอยซิเมนต์ไทยล้วนแต่รู้จักรักใคร่ชายชราผู้นี้กันแทบทั้งนั้น เพราะคุณตาเป็นคนใจดี ช่างพูดช่างคุย มีประสบการณ์ล้นเหลือเฟือฟาย หลากหลายรูปแบบมาเล่าให้พวกเราฟัง แถมสั่งสอนทั้งทางตรงและทางอ้อมเบ็ดเสร็จ
ระยะหลังๆ คุณตาเจ็บป่วยสารพัดโรคตามประสาคนชราอายุเฉียดแปดสิบปี
ทั้งโรคหัวใจ ไทรอยด์เป็นพิษ เบาหวาน ความดันเลือดสูง ตับอักเสบ เป็นแผลในกระเพาะอาหาร โรคกรดไหลย้อน แถมริดสีดวงทวารกำเริบอีกต่างหาก
คุณตาเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาลเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง หน้าตาเหี่ยวย่นคล้ายมีแต่หนังหุ้มกระดูก ว่ากันว่า...แกไม่มีวันจะดูเป็นคนแก่เฒ่ามากกว่านี้ไปได้ อีกแล้ว!
ใครรู้ข่าวก็ล้วนแต่เห็นใจ สลดใจกันทั้งนั้น แม้แต่คุณตาเปี่ยมตัดสินใจผูกคอตายที่ต้นมะม่วงริมรั้วก็ไม่มีใครพูดจาซ้ำเติม บางคนถึงกับบอกว่า...ต่อให้โดนโรคร้ายเร้ารุมแค่ครึ่งเดียวของแกก็คงฆ่าตัวตายไปแล้ว
แต่ตอนที่เดินผ่านหน้าบ้านคุณตา ไม่ว่าใครๆ ก็ขนหัวลุกทั้งนั้นแหละครับ
ไม่ใช่โดนผีหลอก แต่ภาพของคนชราที่โดนโรคร้ายซ้ำเติม หรือธรรมชาติที่รังแกมนุษย์เราอย่างโหดร้าย ย่ำยีจนไม่เหลือศักดิ์ศรีของความเป็นคนอยู่เลยต่างหาก ที่ทำให้เราสยองว่า...วันหนึ่ง พวกเราทุกคนก็ต้องตกเป็นเหยื่อของมันเหมือนคุณตาเปี่ยมแน่นอน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 6 พฤศจิกายน 2557
คนเราทุกวันนี้คงจะเดือดร้อนทุกข์ยากกันไปหมดนะครับ ทั้งปัญหาการบ้านการเมือง ไหนจะปัญหาการงานและครอบครัว โดยเฉพาะปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่หลวง แก้ไขยากที่สุด ใครเป็นอิสระจากการเงินก็นับว่าโชคดีไป
พวกคนแก่เฒ่าทั้งหลายก็มักมีปัญหาสุขภาพ โรคภัยหลากหลายเร้ารุม ฉวยโอกาสยามร่างกายอ่อนแอเข้ามาโจมตีไม่หยุดหย่อนปานคลื่นกระหน่ำชายฝั่ง
พวกหนุ่มสาวอารมณ์ร้อน วู่วามราวสาดเบนซินเข้ากองไฟ มักจะมีปัญหาเรื่องการเรียนกับความรัก คือเรียนไม่เก่ง แถมโดนดุด่า เพื่อนฝูงเยาะเย้ย หรือพวกอกหัก หึงหวง คิดว่าแฟนนอกใจ เห็นคนอื่นดีกว่า อุตส่าห์ของ้อแล้วยังเล่นตัวไม่ยอมคืนดีด้วย
เลยฆ่าตัวตายกันดื้อๆ ง่ายๆ ซะงั้น!
คนไทยฆ่าตัวตาย 2 ชั่วโมงต่อ 1 คน ประมาณว่า ปีละไม่ต่ำกว่า 5,000 คน
ถ้าคิดทั้งโลกแล้วแทบไม่น่าเชื่อ เพราะมีข่าวยืนยันว่าทุก 40 วินาที จะมีคนฆ่าตัวตาย 1 คน มีสถิติว่าคนที่ คิดสั้นมีอายุ 60 ปี, 30 ปี และ 20 ปี ตามลำดับ
วัยรุ่นอายุราว 20 ปีฆ่าตัวตายมากที่สุด
ที่น่าสยดสยองกว่านั้นก็คือ คนคิดฆ่าตัวตายจะทำสำเร็จได้ 10 เปอร์เซ็นต์! เท่ากับคนคิดฆ่าตัวตาย 10 คนจะตายสมใจนึก 1 คน ส่วนคนไทยคิดฆ่าตัวตายปีละ 50,000 คน (ห้าหมื่นคน) ถ้านับชาวโลกที่คิดทำลายชีวิตตัวเองก็ปาเข้าไปปีละหลายสิบล้านคนเชียว
พวกที่ฆ่าตัวตายสำเร็จก็แล้วไป แต่ที่เหลือนอกนั้นมีคนทั้งคนช่วยไว้ทันบ้าง เช่นแย่งมีดแย่งปืนได้ก่อนก็มี ดึงตัวออกมาจากหน้าต่างกับระเบียงตึกสูงๆ ก็มี หรือกินยาตาย ก็ช่วยนำส่งแพทย์ให้ล้างท้องได้ทันท่วงที
ที่คนอื่นๆ ไม่เคยระแคะระคายมาก่อนก็มี คือกินยานอนหลับแต่กลับตื่นขึ้นมาจนได้ ต่อมาเลิกคิดทำลายชีวิตตัวเองแล้ว หมดปัญหาหรือหายกลุ้มอกกลุ้มใจ ก็เก็บมาเล่าให้ใครๆ ฟังเป็นเรื่องสนุกไปเลย
คนที่ฆ่าตัวตายหนแรกไม่สำเร็จ แต่พากเพียรปลิดชีวิตตัวเองไปเมืองผีจนสมปรารถนา มีจำนวนหนึ่งเท่าตัว
หลายๆ คนก็เกิดอุบัติเหตุเหลือเชื่อตอนกำลังจะ ฆ่าตัวตาย!
ตั้งแต่หอบเชือกดอดปีนป่ายต้นไม้ยามดึก หวังจะจบชีวิตตัวเองด้วยการแขวนคอตายง่ายๆ ตั้งใจเด็ดเดี่ยว แน่วแน่ไม่มีการลังเล ผูกคอเสร็จก็ทิ้งตัวโครมลงมา หลับตาปี๋คิดว่าจะได้ไปเกิดใหม่แน่ๆ แต่กิ่งไม้เจ้ากรรมดันหักโครม คนเคราะห์ดีหรือเคราะห์ร้ายก็ยังไม่แน่นัก หล่นตุ๊บลงมาก้นกบแทบหัก...แกร้องโหยหวนจนชาวบ้านสะดุ้งตื่น ขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน...คิดว่าเกิดไฟไหม้น่ะซี!
บางรายใช้มีดแทงเข้าที่หัวใจ จะเป็นมือสั่น หรืออยากตายแต่ยังเสียดายชีวิตก็ไม่ทราบ เพราะแทงพรวดเข้าไปเกือบมิดด้ามแต่ไม่ยักโดนหัวใจ เจ็บปวดจนร้องจ้าๆ เดือดร้อนให้ญาติมิตรต้องช่วยหามส่งโรงพยาบาลตามระเบียบ
แกบอกว่าเข็ดจนตาย! เจ็บปวดจริงๆ ต่อไปจะไม่เล่นอุตริวิตถารอีกแล้ว นึกไม่ถึงว่าจะเจ็บสาหัสขนาดนี้ แถมอับอายขายหน้าเขาอีกต่างหาก!
ผมมีประสบการณ์ขนหัวลุกจากเรื่องฆ่าตัวตายมาเล่าสู่กันฟังครับ
คุณตาเปี่ยมอยู่ข้างบ้านผมเองแถวคลองประปา ก็เป็นหนึ่งในคนคิดสั้นฆ่าตัวตาย คนในซอยซิเมนต์ไทยล้วนแต่รู้จักรักใคร่ชายชราผู้นี้กันแทบทั้งนั้น เพราะคุณตาเป็นคนใจดี ช่างพูดช่างคุย มีประสบการณ์ล้นเหลือเฟือฟาย หลากหลายรูปแบบมาเล่าให้พวกเราฟัง แถมสั่งสอนทั้งทางตรงและทางอ้อมเบ็ดเสร็จ
ระยะหลังๆ คุณตาเจ็บป่วยสารพัดโรคตามประสาคนชราอายุเฉียดแปดสิบปี
ทั้งโรคหัวใจ ไทรอยด์เป็นพิษ เบาหวาน ความดันเลือดสูง ตับอักเสบ เป็นแผลในกระเพาะอาหาร โรคกรดไหลย้อน แถมริดสีดวงทวารกำเริบอีกต่างหาก
คุณตาเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาลเหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง หน้าตาเหี่ยวย่นคล้ายมีแต่หนังหุ้มกระดูก ว่ากันว่า...แกไม่มีวันจะดูเป็นคนแก่เฒ่ามากกว่านี้ไปได้ อีกแล้ว!
ใครรู้ข่าวก็ล้วนแต่เห็นใจ สลดใจกันทั้งนั้น แม้แต่คุณตาเปี่ยมตัดสินใจผูกคอตายที่ต้นมะม่วงริมรั้วก็ไม่มีใครพูดจาซ้ำเติม บางคนถึงกับบอกว่า...ต่อให้โดนโรคร้ายเร้ารุมแค่ครึ่งเดียวของแกก็คงฆ่าตัวตายไปแล้ว
แต่ตอนที่เดินผ่านหน้าบ้านคุณตา ไม่ว่าใครๆ ก็ขนหัวลุกทั้งนั้นแหละครับ
ไม่ใช่โดนผีหลอก แต่ภาพของคนชราที่โดนโรคร้ายซ้ำเติม หรือธรรมชาติที่รังแกมนุษย์เราอย่างโหดร้าย ย่ำยีจนไม่เหลือศักดิ์ศรีของความเป็นคนอยู่เลยต่างหาก ที่ทำให้เราสยองว่า...วันหนึ่ง พวกเราทุกคนก็ต้องตกเป็นเหยื่อของมันเหมือนคุณตาเปี่ยมแน่นอน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 6 พฤศจิกายน 2557
05 มีนาคม 2558
ชุมทางปีศาจ
"เจี๊ยบ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสะพานขาว
ดิฉันเป็นเด็กวัดญวน สะพานขาว เคยได้ยินเรื่องทรงเจ้าเข้าผีมาพอสมควร โดยเฉพาะคนถูกผีเข้าก็เคยเห็นหลายครั้ง ส่วนมากเป็นโรคประสาท ต้องการเรียกร้องความสนใจ หรือพูดตรงๆ ก็คือแกล้งทำ!
แต่มีหลายรายที่น่าจะถูกผีเข้าจริงๆ เช่น ผู้หญิง พูดเสียงผู้ชาย เด็กพูดเสียงคนแก่ คนไม่สูบบุหรี่ก็เรียกหาบุหรี่ ไม่เคยดื่มเหล้ากลับเรียกเหล้ามาดื่มอั้กๆ หน้าตาเฉย
เรื่องพวกนี้มีติดอกติดใจจนขอนำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ!
สมัยก่อนดิฉันมีเพื่อนสนิทชื่อวิไล อยู่หลังตลาดนางเลิ้ง เราไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ในวันเสาร์-อาทิตย์ แถวนั้นมีอาหารอร่อยๆ หลายเจ้า เช่น ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ส.รุ่งโรจน์, ไส้กรอก-ปลาแนม, บาเยีย นับวันแต่จะหากินยากเข้าทุกที
บางครั้งก็ไปดูหนังที่เฉลิมธานี เรียกติดปากว่าโรงหนังนางเลิ้ง เก่าแก่มาแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นอาคารไม้สองชั้น หลังคามุงสังกะสี เปิดพัดลมระบายอากาศ ไม่อับชื้นดีด้วย
วิไลมียายชื่อผัน อายุ 70 เศษ ร่างผอมบาง ตัดผมสั้น ชอบเล่าเรื่องเก่าๆ ให้เราฟัง ล้วนแต่น่าสนใจทั้งนั้น บางเรื่องก็จำได้ถึงทุกวันนี้
สมัยก่อนมีชาวมอญไปรับตุ่มจากปทุมธานี ใส่เรือมาวางขายเรียงรายอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษม เรียกว่า "ตุ่มอีเลิ้ง" หมายถึงตุ่มหรือโอ่งขนาดใหญ่ ต่อมามีผู้คนมาอยู่อาศัยแน่นหนา มีบ่อนพนันถูกกฎหมายชื่อ "บ่อนขุนพัฒน์" มีทั้งคนมาเล่นการพนัน พ่อค้าแม่ขายก็หนาตาขึ้น เรียกตำบลนี้ว่า "บ้านอีเลิ้ง"
ต่อมาคงจะเห็นว่าไม่สุภาพ จึงเปลี่ยนชื่อเป็น "นางเลิ้ง" มาจนถึงปัจจุบัน
ยายผันเล่าว่า ตลาดนางเลิ้งถูกไฟเผาผลาญวอดวายในสมัยรัชกาลที่ 7 ก่อนจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2-3 ปี ตลาดในปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่แต่ก็เก่าแก่ตามกาลเวลาลงไปทุกทีแล้ว
วันหนึ่ง ดิฉันไปหาวิไล ก็ปรากฏว่ายายผันกำลังโดนผีเข้าพอดี!
ชาวบ้านมามุงดูสิบกว่าคน มีหมอไสยศาสตร์จากวัดแคมาช่วยไล่ผี ดิฉันได้ยินเสียงครางโอดโอยน่ากลัว วิไลก็ทำตาแดงๆ มากระซิบกระซาบกับดิฉันว่า...ผีมันชวนกันเข้าสิงยายหลายตัว น่ากลัวเหลือเกิน
หมอไล่ผีเป็นชายชราผอมดำ หน้าเสี้ยม แววตาดุดัน ใช้กิ่งมะยมในขันน้ำมนต์สะบัดใส่ จนยายผันร้องโอดโอย นัยน์ตาเหลือกกลับไปมาน่าขนหัวลุก
"มึงชื่อไร? มาจากไหน?" หมอผีคำราม แต่ยายผันแค่นหัวเราะเย้ยหยัน
"กูไม่บอก มึงจะทำไม?" เสียงนั้นทำให้ดิฉันอ้าปากค้าง...ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นเสียงยายผันเลย เพราะมันแหบห้าวเป็นเสียงผู้ชายชัดๆ
"งั้นก็กินหวายลงอาคมเสียเถอะ!" ว่าแล้วก็หยิบหวายยาวราวหนึ่งศอกมาฟาดพื้น พลางท่องคาถาพึมพำ ยายผันร้องกรี๊ดๆ ยกสองแขนขึ้นปัดป้องวุ่นวายราวกับเจ็บปวดสุดขีด...วิไลกระซิบว่า ตอนแรกเป็นผีเด็ก ต่อมาเป็นผีผู้หญิง พอหมอไล่ไปก็มีผีผู้ชายมาเข้าร่างยายของเธอทันที
"ขอเหล้าโว้ย!" ยายผันร้องลั่น "ขอเหล้าให้กูกินก่อน แล้วกูจะไป"
หมอผีให้หาเหล้ามารินใส่แก้วเกือบเต็มทุกๆ คนรวมทั้งดิฉันจ้องมองแทบไม่กะพริบตา เรารู้ดีว่ายายของวิไลไม่ใช่คนดื่มสุรา แต่ขณะนี้แกยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอั้กๆ รวดเดียวหมด เลียปากไปมา นัยน์ตากลอกกลิ้งแบบเจ้าเล่ห์
"เอ้า! กินเหล้าแล้วก็ไปเสียที ไม่งั้นกูจะให้กินหวายอีก" หมอผีคำราม เสียงหัวเราะแหบห้าวก็พลันดัง เย้ยหยัน
"ถึงกูไปแล้วก็ยังมีผีอีกหลายตัวจ้องจะเข้าแทน...นั่นไง! เห็นมั้ย?"
คนอื่นๆ เหลียวซ้ายแลขวา ทำหน้าตาเลิ่กลั่กไปตามๆ กัน หมอผีฟาดหวายลงกับพื้นห้องอีก 2-3 ครั้ง ยายผันร้องกรี๊ดยาวๆ ก่อนจะหงายหลังตึง พอลุกขึ้นมาได้ก็สะบัดหน้างุนงง หมอผีก็รีบเอาสายสิญจน์ผูกข้อมือแกทันที...
บอกกล่าวว่าคนแก่ชราจิตใจอ่อนไหว เป็นช่องทางให้ภูตผีเข้าสิงสู่อย่างง่ายดาย ต้องหาสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ป้องกันไว้ก่อน
จากภาพและเสียงที่ปรากฏให้เห็นเต็มหูเต็มตา โดยไม่ต้องมีใครมาบอกกล่าวหรือเล่าให้ฟัง ทำให้ดิฉันเชื่อสนิทตั้งแต่บัดนี้มาจนถึงทุกวันนี้ ว่ารอบๆ ตัวเรามีวิญญาณร้ายคอยจ้องจะเข้าสิงสู่ผู้คนได้จริงๆ
โดยเฉพาะคนแก่ คนร่างกายและจิตใจอ่อนแอ รวมทั้งคนดวงตก ควรจะต้องระมัดระวังไว้มากๆ ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 5 พฤศจิกายน 2557
ดิฉันเป็นเด็กวัดญวน สะพานขาว เคยได้ยินเรื่องทรงเจ้าเข้าผีมาพอสมควร โดยเฉพาะคนถูกผีเข้าก็เคยเห็นหลายครั้ง ส่วนมากเป็นโรคประสาท ต้องการเรียกร้องความสนใจ หรือพูดตรงๆ ก็คือแกล้งทำ!
แต่มีหลายรายที่น่าจะถูกผีเข้าจริงๆ เช่น ผู้หญิง พูดเสียงผู้ชาย เด็กพูดเสียงคนแก่ คนไม่สูบบุหรี่ก็เรียกหาบุหรี่ ไม่เคยดื่มเหล้ากลับเรียกเหล้ามาดื่มอั้กๆ หน้าตาเฉย
เรื่องพวกนี้มีติดอกติดใจจนขอนำมาเล่าสู่กันฟังค่ะ!
สมัยก่อนดิฉันมีเพื่อนสนิทชื่อวิไล อยู่หลังตลาดนางเลิ้ง เราไปมาหาสู่กันบ่อยๆ ในวันเสาร์-อาทิตย์ แถวนั้นมีอาหารอร่อยๆ หลายเจ้า เช่น ก๋วยเตี๋ยวเป็ด ส.รุ่งโรจน์, ไส้กรอก-ปลาแนม, บาเยีย นับวันแต่จะหากินยากเข้าทุกที
บางครั้งก็ไปดูหนังที่เฉลิมธานี เรียกติดปากว่าโรงหนังนางเลิ้ง เก่าแก่มาแต่สมัยรัชกาลที่ 6 เป็นอาคารไม้สองชั้น หลังคามุงสังกะสี เปิดพัดลมระบายอากาศ ไม่อับชื้นดีด้วย
วิไลมียายชื่อผัน อายุ 70 เศษ ร่างผอมบาง ตัดผมสั้น ชอบเล่าเรื่องเก่าๆ ให้เราฟัง ล้วนแต่น่าสนใจทั้งนั้น บางเรื่องก็จำได้ถึงทุกวันนี้
สมัยก่อนมีชาวมอญไปรับตุ่มจากปทุมธานี ใส่เรือมาวางขายเรียงรายอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษม เรียกว่า "ตุ่มอีเลิ้ง" หมายถึงตุ่มหรือโอ่งขนาดใหญ่ ต่อมามีผู้คนมาอยู่อาศัยแน่นหนา มีบ่อนพนันถูกกฎหมายชื่อ "บ่อนขุนพัฒน์" มีทั้งคนมาเล่นการพนัน พ่อค้าแม่ขายก็หนาตาขึ้น เรียกตำบลนี้ว่า "บ้านอีเลิ้ง"
ต่อมาคงจะเห็นว่าไม่สุภาพ จึงเปลี่ยนชื่อเป็น "นางเลิ้ง" มาจนถึงปัจจุบัน
ยายผันเล่าว่า ตลาดนางเลิ้งถูกไฟเผาผลาญวอดวายในสมัยรัชกาลที่ 7 ก่อนจะเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2-3 ปี ตลาดในปัจจุบันสร้างขึ้นใหม่แต่ก็เก่าแก่ตามกาลเวลาลงไปทุกทีแล้ว
วันหนึ่ง ดิฉันไปหาวิไล ก็ปรากฏว่ายายผันกำลังโดนผีเข้าพอดี!
ชาวบ้านมามุงดูสิบกว่าคน มีหมอไสยศาสตร์จากวัดแคมาช่วยไล่ผี ดิฉันได้ยินเสียงครางโอดโอยน่ากลัว วิไลก็ทำตาแดงๆ มากระซิบกระซาบกับดิฉันว่า...ผีมันชวนกันเข้าสิงยายหลายตัว น่ากลัวเหลือเกิน
หมอไล่ผีเป็นชายชราผอมดำ หน้าเสี้ยม แววตาดุดัน ใช้กิ่งมะยมในขันน้ำมนต์สะบัดใส่ จนยายผันร้องโอดโอย นัยน์ตาเหลือกกลับไปมาน่าขนหัวลุก
"มึงชื่อไร? มาจากไหน?" หมอผีคำราม แต่ยายผันแค่นหัวเราะเย้ยหยัน
"กูไม่บอก มึงจะทำไม?" เสียงนั้นทำให้ดิฉันอ้าปากค้าง...ไม่มีวี่แววว่าจะเป็นเสียงยายผันเลย เพราะมันแหบห้าวเป็นเสียงผู้ชายชัดๆ
"งั้นก็กินหวายลงอาคมเสียเถอะ!" ว่าแล้วก็หยิบหวายยาวราวหนึ่งศอกมาฟาดพื้น พลางท่องคาถาพึมพำ ยายผันร้องกรี๊ดๆ ยกสองแขนขึ้นปัดป้องวุ่นวายราวกับเจ็บปวดสุดขีด...วิไลกระซิบว่า ตอนแรกเป็นผีเด็ก ต่อมาเป็นผีผู้หญิง พอหมอไล่ไปก็มีผีผู้ชายมาเข้าร่างยายของเธอทันที
"ขอเหล้าโว้ย!" ยายผันร้องลั่น "ขอเหล้าให้กูกินก่อน แล้วกูจะไป"
หมอผีให้หาเหล้ามารินใส่แก้วเกือบเต็มทุกๆ คนรวมทั้งดิฉันจ้องมองแทบไม่กะพริบตา เรารู้ดีว่ายายของวิไลไม่ใช่คนดื่มสุรา แต่ขณะนี้แกยกแก้วเหล้าขึ้นดื่มอั้กๆ รวดเดียวหมด เลียปากไปมา นัยน์ตากลอกกลิ้งแบบเจ้าเล่ห์
"เอ้า! กินเหล้าแล้วก็ไปเสียที ไม่งั้นกูจะให้กินหวายอีก" หมอผีคำราม เสียงหัวเราะแหบห้าวก็พลันดัง เย้ยหยัน
"ถึงกูไปแล้วก็ยังมีผีอีกหลายตัวจ้องจะเข้าแทน...นั่นไง! เห็นมั้ย?"
คนอื่นๆ เหลียวซ้ายแลขวา ทำหน้าตาเลิ่กลั่กไปตามๆ กัน หมอผีฟาดหวายลงกับพื้นห้องอีก 2-3 ครั้ง ยายผันร้องกรี๊ดยาวๆ ก่อนจะหงายหลังตึง พอลุกขึ้นมาได้ก็สะบัดหน้างุนงง หมอผีก็รีบเอาสายสิญจน์ผูกข้อมือแกทันที...
บอกกล่าวว่าคนแก่ชราจิตใจอ่อนไหว เป็นช่องทางให้ภูตผีเข้าสิงสู่อย่างง่ายดาย ต้องหาสิ่งของศักดิ์สิทธิ์ป้องกันไว้ก่อน
จากภาพและเสียงที่ปรากฏให้เห็นเต็มหูเต็มตา โดยไม่ต้องมีใครมาบอกกล่าวหรือเล่าให้ฟัง ทำให้ดิฉันเชื่อสนิทตั้งแต่บัดนี้มาจนถึงทุกวันนี้ ว่ารอบๆ ตัวเรามีวิญญาณร้ายคอยจ้องจะเข้าสิงสู่ผู้คนได้จริงๆ
โดยเฉพาะคนแก่ คนร่างกายและจิตใจอ่อนแอ รวมทั้งคนดวงตก ควรจะต้องระมัดระวังไว้มากๆ ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 5 พฤศจิกายน 2557
04 มีนาคม 2558
ทะเลสาบผีสิง
"ไชยา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากนนทบุรี
ถ้าเอ่ยชื่อสวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือเรียกกันติดปากว่า "สวนสมเด็จฯ" ชาวจังหวัดนนทบุรีและใกล้เคียงย่อมจะรู้จักกันดี สมัยผมยังเด็ก แถวนั้นคือทะเลสาบเวิ้งว้างกว้างใหญ่ แถมมีต้นไม้สารพัดขึ้นร่มครึ้มอยู่รอบๆ บริเวณอีกต่างหาก
ชาวบ้านเรียกว่า "หนองปรือ" มาแต่สมัยปู่ย่าตายาย ลือกันว่าผีดุชะมัดยาด!
สาเหตุเพราะมีเด็กๆ กับพวกหนุ่มสาวชอบลงไปเล่นน้ำกันสนุกครึกครื้น จนเกิดอุบัติเหตุเกือบจมน้ำตาย คนชะตาขาดก็ตายไปเลยปีละหลายคน แต่ไม่ค่อยมีใครหวาดกลัวนัก
เขาว่าผีจมน้ำตายเป็นผีตายโหงที่เฮี้ยนสุดๆ
ลองคิดดูก็เห็นจริงนะครับ เพราะผีอยู่ใต้น้ำน่ะเรามองเห็นเสียเมื่อไหร่ล่ะ? ขณะเล่นน้ำเพลินๆ อาจจะมีสายตาเขียวปัดหรือแดงก่ำ จ้องมองอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญอยู่ใต้น้ำ ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามาทุกที! พอได้จังหวะก็คว้าหมับเข้าที่ท่อนขา ฉุดวูบจมดิ่งลงไปในน้ำลึก
แค่คิดว่ามีอะไรเย็นๆ ลื่นๆ มาพันแข้งพันขา มองก็ไม่เห็น ผมว่าใครโดนเข้าก็ขนหัวลุกแล้วละครับ! อึ๋ยยย...
พวกผู้ใหญ่เขาว่าผีมาเอาวิญญาณไปอยู่เป็นเพื่อนบ้าง หรือทำให้คนอื่นจมน้ำตายตัวเองจะได้ไปผุดไปเกิดบ้าง...แต่เราคิดว่าผู้ใหญ่แค่ขู่ ไม่อยากให้เราไปเล่นน้ำกันเท่านั้นเอง
เด็กๆ หัวอ่อนยังพอจะหลอกได้ แต่พวกทโมนไพรอย่างพวกผมไม่กลัวเลย เพราะเรายกโขยงกันไปเล่นน้ำคราวละ 5-6 คนเป็นอย่างต่ำ
อ้อ! เลือกลงน้ำแถวหน้าวัดนะครับ เพราะมันตื้นดี!
บางวันมีพวกนักเรียนแถวดอนเมือง แห่กันมาเล่นน้ำทั้งผู้หญิงผู้ชาย ที่เรารู้ก็เพราะเห็นเขาใส่ช็อปของสถาบัน พวกเรารุ่นเด็กกว่าเล่นน้ำจนเหนื่อยก็ขึ้นมาหาซื้อขนม น้ำส้ม น้ำหวานจากแม่ค้ารถเข็นริมทะเลสาบนั่นเอง
สิ่งที่สะดุดตาพวกเราก็คือศาลเล็กๆ หลายศาลตั้งอยู่รอบตลิ่ง เป็นสิ่งยืนยันว่ามีคนจมน้ำตายไปมากน้อยขนาดไหน!
คือมีคนตายเมื่อไหร่พวกญาติๆ ก็จะตั้งศาลให้เมื่อนั้น เชื่อว่าวิญญาณจะได้มีที่อยู่อาศัย ไม่ต้องกลายเป็นผีไม่มีศาล หรือไม่ต้องดักดานอยู่ใต้น้ำเย็นยะเยือกไปตลอดกาล
เอ...วิญญาณมาอยู่ที่ศาลแล้วยังมีผีที่ไหนมาคอยฉุดขาคนอยู่ใต้น้ำล่ะ? เป็นงงแฮะ
วันหนึ่งก็เห็นเหตุการณ์ตื่นเต้น น่าขนหัวลุกเข้าพอดี!
พวกเรายกโขยงไปเล่นน้ำตรงจุดเดิม พวกนักเรียนวัยรุ่นก็เล่นน้ำถัดออกไป เขาคงไม่รู้มั้งว่าตรงนั้นน้ำลึก หรือไม่ก็ว่ายน้ำกันแข็งทุกคนแล้ว
ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงร้องตะโกนขึ้นว่า...ช่วยด้วยๆ เราหันไปดูก็เห็นพวกวัยรุ่นหัวเราะเฮฮากัน ตอนแรกนึกว่าล้อกันเล่น แต่อีกครู่เดียวก็ร้องเอะอะโวยวายกันยกใหญ่...ผู้หญิงจมน้ำ!!
เอาล่ะซี! รีบดำผุดดำว่ายกันหูตาเหลือก มีผู้หญิงสองคนรีบขึ้นจากน้ำ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ พร่ำแต่ว่า...นึกว่าล้อเล่น! โธ่...จมน้ำจริงๆ ด้วย
ตอนแรกยังงมศพไม่พบ แม่ค้าแนะนำให้จุดธูปบอกเจ้าที่ พวกวัยรุ่นก็ทำตาม ก่อนจะดำน้ำงมหาเพื่อนอีกครั้ง
คราวนี้พบครับ! คนหนึ่งโผล่โพล่งขึ้นมาตะโกนว่าว่าเจอแล้วๆ ปรากฏว่าคนตายเกาะเสาไม้ไผ่ใต้น้ำเอาไว้แน่น พวกผู้ชายช่วยกันลงไปดึงร่างที่กลายเป็นศพขึ้นมาทุลักทุเล พวกเพื่อนผู้หญิงร้องไห้โฮไปตามๆ กัน...สายลมคร่ำครวญเยือกเย็นกับระลอกคลื่นน่าขนหัวลุก
สาวเคราะห์ร้ายนุ่งกางเกงยีนส์ สวมเสื้อสีแดง ผมยาวชุ่มโชก...ผมกับเพื่อนๆ รีบวิ่งกลับบ้านใกล้ๆ ทันที พวกเราเลิกไปเล่นน้ำหลายวัน แต่ไม่ช้าก็เข้ารอยเดิมจนได้!
วันเกิดเหตุ เรากำลังเล่นน้ำตอนเย็นอยู่ดีๆ ท่ามกลางผู้คนหนาตาในวันอาทิตย์จู่ๆ มีเสียงผู้หญิงหวีดร้องแสบแก้วหู ผมหันขวับไปดูก็เห็นสาววัยรุ่นคนหนึ่งหน้าตาตื่น ลุยน้ำพรวดๆ ขึ้นฝั่งได้ก็ร้องไห้โฮ
"มีคนมาฉุดขาฉันจริงๆ" เธอร้องกระหืดกระหอบปนสะอื้น หันไปชี้มือบริเวณที่เธอเพิ่งหนีมาหยกๆ "นั่นไง! ผู้หญิงผมยาวใส่เสื้อแดงนั่นแหละ ที่ฉุดขาฉันจนแทบจะจมน้ำตายเมื่อตะกี้นี้เอง"
คนอื่นๆ ทำหน้าตางุนงงไปตามๆ กัน เพราะไม่มีใครเห็นผู้หญิงผมยาวเสื้อแดงในน้ำ...ผมเองก็ไม่เห็นหรอกครับ แต่รีบเผ่นขึ้นจากน้ำพร้อมกับเพื่อนๆ เพราะยังจำภาพผู้หญิงผมยาวใส่เสื้อแดงที่จมน้ำตายวันก่อนได้ติดหูติดตา
ปัจจุบันนี้กลายเป็นสวนสมเด็จฯ ที่เปิด-ปิดเป็นเวลา และห้ามคนลงไปเล่นน้ำเด็ดขาด แต่เรื่องเก่าๆ น่าขนหัวลุกก็ยังคงเล่าสู่กันฟังมาจนถึงทุกวันนี้!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 4 พฤศจิกายน 2557
ถ้าเอ่ยชื่อสวนสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือเรียกกันติดปากว่า "สวนสมเด็จฯ" ชาวจังหวัดนนทบุรีและใกล้เคียงย่อมจะรู้จักกันดี สมัยผมยังเด็ก แถวนั้นคือทะเลสาบเวิ้งว้างกว้างใหญ่ แถมมีต้นไม้สารพัดขึ้นร่มครึ้มอยู่รอบๆ บริเวณอีกต่างหาก
ชาวบ้านเรียกว่า "หนองปรือ" มาแต่สมัยปู่ย่าตายาย ลือกันว่าผีดุชะมัดยาด!
สาเหตุเพราะมีเด็กๆ กับพวกหนุ่มสาวชอบลงไปเล่นน้ำกันสนุกครึกครื้น จนเกิดอุบัติเหตุเกือบจมน้ำตาย คนชะตาขาดก็ตายไปเลยปีละหลายคน แต่ไม่ค่อยมีใครหวาดกลัวนัก
เขาว่าผีจมน้ำตายเป็นผีตายโหงที่เฮี้ยนสุดๆ
ลองคิดดูก็เห็นจริงนะครับ เพราะผีอยู่ใต้น้ำน่ะเรามองเห็นเสียเมื่อไหร่ล่ะ? ขณะเล่นน้ำเพลินๆ อาจจะมีสายตาเขียวปัดหรือแดงก่ำ จ้องมองอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญอยู่ใต้น้ำ ใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามาทุกที! พอได้จังหวะก็คว้าหมับเข้าที่ท่อนขา ฉุดวูบจมดิ่งลงไปในน้ำลึก
แค่คิดว่ามีอะไรเย็นๆ ลื่นๆ มาพันแข้งพันขา มองก็ไม่เห็น ผมว่าใครโดนเข้าก็ขนหัวลุกแล้วละครับ! อึ๋ยยย...
พวกผู้ใหญ่เขาว่าผีมาเอาวิญญาณไปอยู่เป็นเพื่อนบ้าง หรือทำให้คนอื่นจมน้ำตายตัวเองจะได้ไปผุดไปเกิดบ้าง...แต่เราคิดว่าผู้ใหญ่แค่ขู่ ไม่อยากให้เราไปเล่นน้ำกันเท่านั้นเอง
เด็กๆ หัวอ่อนยังพอจะหลอกได้ แต่พวกทโมนไพรอย่างพวกผมไม่กลัวเลย เพราะเรายกโขยงกันไปเล่นน้ำคราวละ 5-6 คนเป็นอย่างต่ำ
อ้อ! เลือกลงน้ำแถวหน้าวัดนะครับ เพราะมันตื้นดี!
บางวันมีพวกนักเรียนแถวดอนเมือง แห่กันมาเล่นน้ำทั้งผู้หญิงผู้ชาย ที่เรารู้ก็เพราะเห็นเขาใส่ช็อปของสถาบัน พวกเรารุ่นเด็กกว่าเล่นน้ำจนเหนื่อยก็ขึ้นมาหาซื้อขนม น้ำส้ม น้ำหวานจากแม่ค้ารถเข็นริมทะเลสาบนั่นเอง
สิ่งที่สะดุดตาพวกเราก็คือศาลเล็กๆ หลายศาลตั้งอยู่รอบตลิ่ง เป็นสิ่งยืนยันว่ามีคนจมน้ำตายไปมากน้อยขนาดไหน!
คือมีคนตายเมื่อไหร่พวกญาติๆ ก็จะตั้งศาลให้เมื่อนั้น เชื่อว่าวิญญาณจะได้มีที่อยู่อาศัย ไม่ต้องกลายเป็นผีไม่มีศาล หรือไม่ต้องดักดานอยู่ใต้น้ำเย็นยะเยือกไปตลอดกาล
เอ...วิญญาณมาอยู่ที่ศาลแล้วยังมีผีที่ไหนมาคอยฉุดขาคนอยู่ใต้น้ำล่ะ? เป็นงงแฮะ
วันหนึ่งก็เห็นเหตุการณ์ตื่นเต้น น่าขนหัวลุกเข้าพอดี!
พวกเรายกโขยงไปเล่นน้ำตรงจุดเดิม พวกนักเรียนวัยรุ่นก็เล่นน้ำถัดออกไป เขาคงไม่รู้มั้งว่าตรงนั้นน้ำลึก หรือไม่ก็ว่ายน้ำกันแข็งทุกคนแล้ว
ทันใดนั้นก็มีเสียงผู้หญิงร้องตะโกนขึ้นว่า...ช่วยด้วยๆ เราหันไปดูก็เห็นพวกวัยรุ่นหัวเราะเฮฮากัน ตอนแรกนึกว่าล้อกันเล่น แต่อีกครู่เดียวก็ร้องเอะอะโวยวายกันยกใหญ่...ผู้หญิงจมน้ำ!!
เอาล่ะซี! รีบดำผุดดำว่ายกันหูตาเหลือก มีผู้หญิงสองคนรีบขึ้นจากน้ำ ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ พร่ำแต่ว่า...นึกว่าล้อเล่น! โธ่...จมน้ำจริงๆ ด้วย
ตอนแรกยังงมศพไม่พบ แม่ค้าแนะนำให้จุดธูปบอกเจ้าที่ พวกวัยรุ่นก็ทำตาม ก่อนจะดำน้ำงมหาเพื่อนอีกครั้ง
คราวนี้พบครับ! คนหนึ่งโผล่โพล่งขึ้นมาตะโกนว่าว่าเจอแล้วๆ ปรากฏว่าคนตายเกาะเสาไม้ไผ่ใต้น้ำเอาไว้แน่น พวกผู้ชายช่วยกันลงไปดึงร่างที่กลายเป็นศพขึ้นมาทุลักทุเล พวกเพื่อนผู้หญิงร้องไห้โฮไปตามๆ กัน...สายลมคร่ำครวญเยือกเย็นกับระลอกคลื่นน่าขนหัวลุก
สาวเคราะห์ร้ายนุ่งกางเกงยีนส์ สวมเสื้อสีแดง ผมยาวชุ่มโชก...ผมกับเพื่อนๆ รีบวิ่งกลับบ้านใกล้ๆ ทันที พวกเราเลิกไปเล่นน้ำหลายวัน แต่ไม่ช้าก็เข้ารอยเดิมจนได้!
วันเกิดเหตุ เรากำลังเล่นน้ำตอนเย็นอยู่ดีๆ ท่ามกลางผู้คนหนาตาในวันอาทิตย์จู่ๆ มีเสียงผู้หญิงหวีดร้องแสบแก้วหู ผมหันขวับไปดูก็เห็นสาววัยรุ่นคนหนึ่งหน้าตาตื่น ลุยน้ำพรวดๆ ขึ้นฝั่งได้ก็ร้องไห้โฮ
"มีคนมาฉุดขาฉันจริงๆ" เธอร้องกระหืดกระหอบปนสะอื้น หันไปชี้มือบริเวณที่เธอเพิ่งหนีมาหยกๆ "นั่นไง! ผู้หญิงผมยาวใส่เสื้อแดงนั่นแหละ ที่ฉุดขาฉันจนแทบจะจมน้ำตายเมื่อตะกี้นี้เอง"
คนอื่นๆ ทำหน้าตางุนงงไปตามๆ กัน เพราะไม่มีใครเห็นผู้หญิงผมยาวเสื้อแดงในน้ำ...ผมเองก็ไม่เห็นหรอกครับ แต่รีบเผ่นขึ้นจากน้ำพร้อมกับเพื่อนๆ เพราะยังจำภาพผู้หญิงผมยาวใส่เสื้อแดงที่จมน้ำตายวันก่อนได้ติดหูติดตา
ปัจจุบันนี้กลายเป็นสวนสมเด็จฯ ที่เปิด-ปิดเป็นเวลา และห้ามคนลงไปเล่นน้ำเด็ดขาด แต่เรื่องเก่าๆ น่าขนหัวลุกก็ยังคงเล่าสู่กันฟังมาจนถึงทุกวันนี้!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 4 พฤศจิกายน 2557
03 มีนาคม 2558
แท็กซี่สยองขวัญ
"นายจวบ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากตะพานหิน
ผมเป็นคน ต.ท้ายทุ่ง อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร แดนดินถิ่นชาละวัน ไปเกณฑ์ทหารจับได้ใบดำ ฉลองกันเสร็จก็ไปอยู่กับน้าชายที่พัทยา แต่เกิดเรื่องจนเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ โชคดีได้งานขับรถบ้าน กินอยู่เสร็จ คิดว่าชีวิตคงจะราบรื่นเสียทีเพราะอายุก็ปาเข้าไปสามสิบปีแล้ว
จะมีห่วงก็แม่คนเดียวที่พิจิตรเท่านั้น พวกพี่ๆ แยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมด ต่อมาพ่อตายก็เหลือแต่ แม่คนเดียว พวกพี่ๆ ช่วยกันดูแล ผมเองก็ส่งเงินไปบ้าง ไปเยี่ยมแม่บ้าง
การเดินทางสะดวกครับ ขึ้นรถสปรินเตอร์ที่หัวลำโพงไปลงตะพานหิน แล้วต่อสองแถวหรือแท็กซี่บึ่งไปทับคล้อได้เลย ตอนกลางวันไปสองแถวถูกเงินหน่อย แต่ถ้าถึง 2-3 ทุ่มต้องนั่งแท็กซี่ไป ไม่ใช่แท็กซี่แบบในกรุงนะครับ แต่ต้องรอให้ผู้โดยสารเต็มถึงจะ ออกรถ
ข้างหน้า 2 รวมคนขับเป็น 3 คน ข้างหลังมีผู้โดยสารอีก 4 คน แบบว่าอัดกันเป็นปลากระป๋องยังไงยังงั้น เรื่องติดแอร์เย็นฉ่ำน่ะอย่าไปเพ้อฝันเลอะเทอะดีกว่า
เมื่อปีกลายผมกลับบ้านตอนหน้าฝน เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!
สาเหตุเพราะผมนั่งรถไฟไปถึงตะพานหินตอนหัวค่ำ ท้องไส้ร้องจ๊อกๆ เลยแวะร้านเหล้าขาประจำ ซดเบียร์และกับแกล้ม 2-3 อย่าง ไม่อยากกระหืดกระหอบไปนั่งหิวบนรถสองแถว ยังไงๆ ก็ต้องไปแท็กซี่อยู่ดี
เสร็จสรรพจ่ายเงินเดินไปที่คิวรถแท็กซี่...จู่ๆ เกิดง่วงนอนบอกไม่ถูก ใจหนึ่งก็อยากเข้าโรงแรมหลังสถานี เปิดห้องหลับนอนให้เต็มอิ่ม แต่อีกใจก็...กลับบ้านดี กว่าน่า!
สะบัดหัวไล่ความมึนงง มองเห็นแท็กซี่กำลังกดแตรเรียกคน...ผู้โดยสารคงจะเต็มรถแล้วมั้ง? ปรากฏว่าเหลือที่ว่างด้านหลังอีกคนเดียว...พอรถออกก็ถอนใจโล่งอก ถึงจะเบียดกันหน่อยก็ไม่เป็นไรเพราะผมนั่งริมประตู ถือโอกาสพิงหลับซะเลย หลังจากบอกคนขับว่า...ลงทับคล้อ! ถ้ายังไม่ตื่นก็ช่วยปลุกด้วยละกัน เดี๋ยวจะเลยไปจนถึงปลายทางที่ชนแดน
ไม่ช้าผมหลับผล็อยไป...เดี๋ยวเดียวก็เริ่มฝันเป็นตุเป็นตะทันที!
รถกำลังห้อตะบึงไปในความมืด ในรถก็ไม่ได้เปิดไฟ แต่ทำไมถึงเห็นหน้าตาคนอื่นๆ ชัดเจนก็ไม่รู้...ข้างหน้ามีหนุ่มสาวนั่งอิงไหล่กันผาสุก ข้างๆ ผมเป็นชายแก่ผอมดำ ผมขาวโพลน ถัดไปชายฉกรรจ์รุ่นเดียวกับผม...ทั้งสามคนนั่นนั่งตัวแข็งทื่อเหมือนรูปหุ่น ไม่มีใครปริปากพูดคุยกันเลยแม้แต่คำเดียว
มองข้างหน้าอีกทีก็ใจหายวาบ...ไม่มีหนุ่มสาวคู่นั้นแล้ว กลับเป็นชายสองคนนั่งตัวแข็ง หัวตั้งตรงคล้ายกำลังจ้องไปข้างหน้าอย่างเดียว...คนขับก็มีท่าทางแบบเดียวกัน
สรรพสิ่งเงียบเชียบจนน่าขนลุก ไม่มีเสียงเครื่องยนตร์ดังกระหึ่ม แต่กลับมีเสียงลมพัดอู้ๆ เข้ามาในรถ จนผมหนาวเยือกไปถึงขั้วหัวใจ!
เอ๊ะ! นี่มันฝันหรือจริงกันแน่ล่ะ?
ฉับพลันนั้น ชายแก่ผมขาวโพลนก็กระชากมีดปลายแหลมออกมาจ้วงแทงคนที่นั่งข้างๆ จนเลือดพุ่งเป็นน้ำพุ ผู้ชายที่นั่งริมสุดก็โถมไปใช้มีดปาดคอคนขับจนคางฟุบจดอก... ชายสองคนข้างหน้าก็ชักมีดออกมาจ้วงแทงกันอย่างดุเดือดเหี้ยมเกรียม
ในรถมีแต่เลือด เลือด และเลือดทั้งนั้น ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งจนแทบอาเจียนจนสิ้นไส้สิ้นพุง!
"โอ๊ย! ช่วยด้วย..." ผมได้ยินเสียงตัวเองตะโกนลั่นๆ จนสะดุ้งตื่น คนขับหันมาหัวเราะร่า ถามว่า...ฝันร้ายเรอะ ไอ้น้อง? ผมได้แต่พยักหน้า ปากคอแห้งผากจนพูดอะไรไม่ออก เหงื่อกาฬแตกซิก หัวใจเต้นโครมครามเหมือนเสียงกระหน่ำกลองทัดในโรงลิเก
"ไม่มีอะไรหรอก หลับตาเถอะ..." เสียงเยือกเย็นชวนให้เสียวสันหลัง ผมเหลียวมองก็ไม่เห็นอะไรในความมืด...ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ จนผมเอะใจว่าจะเห็นใครมั่งแต่ก็ไม่เห็น
พริบตานั้นเอง ผมก็อ้าปากค้าง ขนลุกซ่าที่ท้ายทอย เย็นวาบไปตลอดไขสันหลังรู้สึกเหมือนได้ยินอะไรลั่นเปรี๊ยะๆ อยู่ในสมอง ภาพต่างๆ พร่าพราย กลายเป็นสีเขียวๆ แดงๆ แตกกระจายเต็มหน้า
นรกเป็นพยาน! ในรถคันนั้นไม่เหลือผู้โดยสารอีก 5 คนเหลืออยู่เลย นอกจากผมคนเดียว...หันไปทางคนขับก็แทบจะขาดใจตายในบัดดล!
ในรถแท็กซี่อุบาทว์คันนั้นมีแต่ผมคนเดียวที่นั่งตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน เหงื่อกาฬไหลเผาะๆ แทบจะเปียกชุ่มไปทั้งตัว
รวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายโถมเข้าชนหน้าต่างจนเปิดผาง ตัวเองกลิ้งหลุนๆ ลงมา
คิดว่าจะลุกขึ้นเผ่นหนีไม่คิดชีวิต...พอดีเห็นแสงไฟสว่างไสวอยู่รอบๆ ตัว
ผู้คนมุงดูสลอน ผมกะพริบตาถี่ๆ เมื่อจำได้ว่ายังอยู่ที่หลังสถานีตะพานหินตามเดิม...หรือผมจะทั้งเมาทั้งง่วงจนเห็นภาพหลอนไปเอง? แต่มารู้ทีหลังว่าคนขับแท็กซี่หัวใจวายคารถเมื่อตอนเย็นนี่เอง...นึกแล้วยังขนหัวลุกเลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 3 พฤศจิกายน 2557
ผมเป็นคน ต.ท้ายทุ่ง อ.ทับคล้อ จ.พิจิตร แดนดินถิ่นชาละวัน ไปเกณฑ์ทหารจับได้ใบดำ ฉลองกันเสร็จก็ไปอยู่กับน้าชายที่พัทยา แต่เกิดเรื่องจนเข้ามาอยู่กรุงเทพฯ โชคดีได้งานขับรถบ้าน กินอยู่เสร็จ คิดว่าชีวิตคงจะราบรื่นเสียทีเพราะอายุก็ปาเข้าไปสามสิบปีแล้ว
จะมีห่วงก็แม่คนเดียวที่พิจิตรเท่านั้น พวกพี่ๆ แยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมด ต่อมาพ่อตายก็เหลือแต่ แม่คนเดียว พวกพี่ๆ ช่วยกันดูแล ผมเองก็ส่งเงินไปบ้าง ไปเยี่ยมแม่บ้าง
การเดินทางสะดวกครับ ขึ้นรถสปรินเตอร์ที่หัวลำโพงไปลงตะพานหิน แล้วต่อสองแถวหรือแท็กซี่บึ่งไปทับคล้อได้เลย ตอนกลางวันไปสองแถวถูกเงินหน่อย แต่ถ้าถึง 2-3 ทุ่มต้องนั่งแท็กซี่ไป ไม่ใช่แท็กซี่แบบในกรุงนะครับ แต่ต้องรอให้ผู้โดยสารเต็มถึงจะ ออกรถ
ข้างหน้า 2 รวมคนขับเป็น 3 คน ข้างหลังมีผู้โดยสารอีก 4 คน แบบว่าอัดกันเป็นปลากระป๋องยังไงยังงั้น เรื่องติดแอร์เย็นฉ่ำน่ะอย่าไปเพ้อฝันเลอะเทอะดีกว่า
เมื่อปีกลายผมกลับบ้านตอนหน้าฝน เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!
สาเหตุเพราะผมนั่งรถไฟไปถึงตะพานหินตอนหัวค่ำ ท้องไส้ร้องจ๊อกๆ เลยแวะร้านเหล้าขาประจำ ซดเบียร์และกับแกล้ม 2-3 อย่าง ไม่อยากกระหืดกระหอบไปนั่งหิวบนรถสองแถว ยังไงๆ ก็ต้องไปแท็กซี่อยู่ดี
เสร็จสรรพจ่ายเงินเดินไปที่คิวรถแท็กซี่...จู่ๆ เกิดง่วงนอนบอกไม่ถูก ใจหนึ่งก็อยากเข้าโรงแรมหลังสถานี เปิดห้องหลับนอนให้เต็มอิ่ม แต่อีกใจก็...กลับบ้านดี กว่าน่า!
สะบัดหัวไล่ความมึนงง มองเห็นแท็กซี่กำลังกดแตรเรียกคน...ผู้โดยสารคงจะเต็มรถแล้วมั้ง? ปรากฏว่าเหลือที่ว่างด้านหลังอีกคนเดียว...พอรถออกก็ถอนใจโล่งอก ถึงจะเบียดกันหน่อยก็ไม่เป็นไรเพราะผมนั่งริมประตู ถือโอกาสพิงหลับซะเลย หลังจากบอกคนขับว่า...ลงทับคล้อ! ถ้ายังไม่ตื่นก็ช่วยปลุกด้วยละกัน เดี๋ยวจะเลยไปจนถึงปลายทางที่ชนแดน
ไม่ช้าผมหลับผล็อยไป...เดี๋ยวเดียวก็เริ่มฝันเป็นตุเป็นตะทันที!
รถกำลังห้อตะบึงไปในความมืด ในรถก็ไม่ได้เปิดไฟ แต่ทำไมถึงเห็นหน้าตาคนอื่นๆ ชัดเจนก็ไม่รู้...ข้างหน้ามีหนุ่มสาวนั่งอิงไหล่กันผาสุก ข้างๆ ผมเป็นชายแก่ผอมดำ ผมขาวโพลน ถัดไปชายฉกรรจ์รุ่นเดียวกับผม...ทั้งสามคนนั่นนั่งตัวแข็งทื่อเหมือนรูปหุ่น ไม่มีใครปริปากพูดคุยกันเลยแม้แต่คำเดียว
มองข้างหน้าอีกทีก็ใจหายวาบ...ไม่มีหนุ่มสาวคู่นั้นแล้ว กลับเป็นชายสองคนนั่งตัวแข็ง หัวตั้งตรงคล้ายกำลังจ้องไปข้างหน้าอย่างเดียว...คนขับก็มีท่าทางแบบเดียวกัน
สรรพสิ่งเงียบเชียบจนน่าขนลุก ไม่มีเสียงเครื่องยนตร์ดังกระหึ่ม แต่กลับมีเสียงลมพัดอู้ๆ เข้ามาในรถ จนผมหนาวเยือกไปถึงขั้วหัวใจ!
เอ๊ะ! นี่มันฝันหรือจริงกันแน่ล่ะ?
ฉับพลันนั้น ชายแก่ผมขาวโพลนก็กระชากมีดปลายแหลมออกมาจ้วงแทงคนที่นั่งข้างๆ จนเลือดพุ่งเป็นน้ำพุ ผู้ชายที่นั่งริมสุดก็โถมไปใช้มีดปาดคอคนขับจนคางฟุบจดอก... ชายสองคนข้างหน้าก็ชักมีดออกมาจ้วงแทงกันอย่างดุเดือดเหี้ยมเกรียม
ในรถมีแต่เลือด เลือด และเลือดทั้งนั้น ส่งกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งจนแทบอาเจียนจนสิ้นไส้สิ้นพุง!
"โอ๊ย! ช่วยด้วย..." ผมได้ยินเสียงตัวเองตะโกนลั่นๆ จนสะดุ้งตื่น คนขับหันมาหัวเราะร่า ถามว่า...ฝันร้ายเรอะ ไอ้น้อง? ผมได้แต่พยักหน้า ปากคอแห้งผากจนพูดอะไรไม่ออก เหงื่อกาฬแตกซิก หัวใจเต้นโครมครามเหมือนเสียงกระหน่ำกลองทัดในโรงลิเก
"ไม่มีอะไรหรอก หลับตาเถอะ..." เสียงเยือกเย็นชวนให้เสียวสันหลัง ผมเหลียวมองก็ไม่เห็นอะไรในความมืด...ไม่เห็นอะไรเลยจริงๆ จนผมเอะใจว่าจะเห็นใครมั่งแต่ก็ไม่เห็น
พริบตานั้นเอง ผมก็อ้าปากค้าง ขนลุกซ่าที่ท้ายทอย เย็นวาบไปตลอดไขสันหลังรู้สึกเหมือนได้ยินอะไรลั่นเปรี๊ยะๆ อยู่ในสมอง ภาพต่างๆ พร่าพราย กลายเป็นสีเขียวๆ แดงๆ แตกกระจายเต็มหน้า
นรกเป็นพยาน! ในรถคันนั้นไม่เหลือผู้โดยสารอีก 5 คนเหลืออยู่เลย นอกจากผมคนเดียว...หันไปทางคนขับก็แทบจะขาดใจตายในบัดดล!
ในรถแท็กซี่อุบาทว์คันนั้นมีแต่ผมคนเดียวที่นั่งตัวแข็งทื่อราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน เหงื่อกาฬไหลเผาะๆ แทบจะเปียกชุ่มไปทั้งตัว
รวบรวมกำลังครั้งสุดท้ายโถมเข้าชนหน้าต่างจนเปิดผาง ตัวเองกลิ้งหลุนๆ ลงมา
คิดว่าจะลุกขึ้นเผ่นหนีไม่คิดชีวิต...พอดีเห็นแสงไฟสว่างไสวอยู่รอบๆ ตัว
ผู้คนมุงดูสลอน ผมกะพริบตาถี่ๆ เมื่อจำได้ว่ายังอยู่ที่หลังสถานีตะพานหินตามเดิม...หรือผมจะทั้งเมาทั้งง่วงจนเห็นภาพหลอนไปเอง? แต่มารู้ทีหลังว่าคนขับแท็กซี่หัวใจวายคารถเมื่อตอนเย็นนี่เอง...นึกแล้วยังขนหัวลุกเลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 3 พฤศจิกายน 2557
02 มีนาคม 2558
จำปีผีสิง
"แอม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากผีผูกคอตาย
หนูเป็นเด็กต่างจังหวัดมาเรียนหนังสือต่อในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง โดยอาศัยอยู่กับป้านวล พี่สาวของแม่ ป้ามีลูกชายสองคนกำลังเรียนมหาวิทยาลัย นิสัยดีทั้งคู่ ไม่ชอบเที่ยวเตร่นอกจากดูหนังสือหรือเล่นเกมเล่นเน็ตอยู่ในห้อง
นักเรียนม.4 อย่างหนูก็ได้อาศัยพี่เอกับพี่บีนี่แหละค่ะ ที่ช่วยให้คำแนะนำเรื่องการเรียน และคงจะช่วยติวให้ไปอีกนานเชียวล่ะ ถ้าหนูอยู่บ้านนี้ไปนานๆ
ทราบว่าคุณลุงที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานด้วยโรคหัวใจเป็นคนรักต้นไม้ ทั้งไม้ดอกและไม้ใบ ท่านปลูกไว้เต็มแทบรอบๆ บ้านเลยค่ะ หนูรู้จักแต่พวก มะยม ทับทิม มะลิ กุหลาบ อัญชันและบานเย็นที่ดูเหมือนว่าจะขึ้นเองตามที่ว่างๆ
อ้อ! ที่ริมรั้วมีต้นจำปีสูงมากจนต้องแหงนคอตั้งบ่า หนูว่าคงจะสูงกว่าหลังคาตึกสองชั้นแน่ๆ ใครจะมีปัญญาปีนป่ายขึ้นไปเก็บดอกสวยๆ และหอมกรุ่นของมันล่ะคะ
? บางวันหนูเห็นพวกสาวๆ ในซอยเดินผ่านไปมา แทบทุกคนจะชะเง้อมองดอกขาวๆ ของมันอย่างเสียดมเสียดายทั้งนั้น...แหม! ถ้าต้นไม่สูงนักหนูคงจะปีนป่ายขึ้นไปเก็บมาแจกจ่ายให้พวกเธอหรอกค่ะ
อ้าว? ใกล้ๆ กำแพงรั้วนั้นมีบันไดไม้เตี้ยๆ วางทิ้งจมพงหญ้า...ที่แท้ก็เป็นบันไดพาดต้นไม้นั่นเอง รูปสี่เหลี่ยมคางหมู หนูเลยลองเอามาพาดที่ต้นจำปี...พอดีเลยค่ะ
เย็นนั้น จากบันไดขั้นบนสุด หนูก็ปีนป่ายไปตามกิ่งก้านอื่นๆ อย่างคล่องแคล่วตามประสาเด็กบ้านนอก จัดแจงเด็ดจำปีดอกสวยๆ หอมกรุ่นใส่กระเป๋าเสื้อ...มองลงไปเห็นพวกสาวๆ เดินผ่านมาแล้วชี้ชวนกันให้ดูดอกจำปีขาวสล้างแทบเต็มต้น แน่ละว่าอยากได้กันทุกคน!
จู่ๆ เสียงหวีดว้ายจากสาวๆ ราว 4-5 คน ก็ดังลั่นเข้าหู จนหนูหวิดร่วงจากกิ่งใหญ่ด้วยอารามตกใจ มองเห็นสาวๆ พวกนั้นวิ่งกระเจิงเหมือนมดแดงแตกรัง เล่นเอาหนูชักใจคอไม่ค่อยดีเพราะตอนนั้นเย็นมากแล้ว...
หลังจากค่อยๆ ไต่ลงบันไดมาถึงพื้นดิน เดินไปที่ประตูด้วยความสงสัยว่าพวกสาวๆ รุ่นพี่ตกใจเรื่องอะไรกัน? เห็นพวกคุณน้าคุณป้า 2-3 คน ผ่านมาหนูก็ล้วงดอกจำปีส่งให้ บอกว่าเพิ่งขึ้นไปเก็บมาหยกๆ แม่สอนว่าคนเราควรมีน้ำจิตน้ำใจกับคนอื่นบ่อยๆ ค่ะ
มีมิตรร้อยคนยังนับว่าน้อยไป มีศัตรูคนเดียวถือว่ามากไป!
หนูได้รับคำชมเชยว่ามีน้ำใจ แถมเก่งที่กล้าปีนป่ายขึ้นต้นไม้สูงๆ ได้ด้วย พอดีสาวๆ ที่วิ่งหนีตอนแรกย้อนกลับมาดู หนูก็เลยแจกดอกจำปีที่เหลือให้จนหมด ถามว่าพี่ๆ วิ่งหนีอะไรกันคะ แถมร้องจนหนูตกใจหวิดตกจากต้นจำปี
ตอนนี้เองค่ะ ที่หนูได้รับฟังเรื่องราวน่าขนหัวลุก!
ลำดวนเคยเป็นสาวใช้ของบ้านป้านวลมาหลายปี แต่แล้วก็เกิดท้องไม่มีพ่อขึ้นมาป้านวลปลอบใจว่าไม่เป็นไรหรอกไหนๆ เรื่องก็ล่วงเลยมาถึงป่านนี้แล้ว คลอดลูกเต้าที่นี่แหละ แล้วจะช่วยเลี้ยงดูให้...ขออย่างเดียวอย่าไปทำแท้ง ก่อเวรสร้างกรรมฆ่าเด็กก็แล้วกัน
แต่ลำดวนจะคิดสั้นใช้บันไดปีนขึ้นไปผูกคอตายในตอนดึกที่จำปีต้นนั้นเอง!
ข่าวคราวว่าผีลำดวนดุร้ายนัก เพราะเป็นผีตายทั้งกลมก็ร่ำลือไปทั้งซอย เดี๋ยวคนนั้นมองเห็นบนต้นจำปี เดี๋ยวคนนี้มองเห็นร่างห้อยต่องแต่งน่าสยดสยอง...ช่วงหลังๆ ซาไปแต่เมื่อพวกสาวๆ กลุ่มนั้นเกิดแหงนหน้าขึ้นมาเห็นหนูเข้าก็เลยตกใจนึกว่าโดนผีหลอก ถึงได้หวีดร้องโหยหวน วิ่งกระเจิงจนผ้าผ่อนแทบจะหลุดไปตามๆ กัน
พวกสาวๆ ที่เคยมาด้อมๆ มองๆ ก็ซาไป บางคนบอกว่าจะไปขอป้านวลโดยใช้ไม้สอยเอา แต่เมื่อนึกถึงปีศาจดุร้ายที่สิงสู่อยู่ก็อ่อนอกอ่อนใจไปเอง
"ป่านนี้วิญญาณเธอคงไปผุดไปเกิดแล้วค่ะ" หนูบอกกับทุกๆ คน ใจจริงไม่เชื่อว่าจะมีภูตผีสิงต้นไม้ในบ้านอยู่จนป่านนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นผีผูกคอตายก็เถอะ เผลอๆ คนที่บอกว่าโดนผีหลอกอาจจะอุปาทานไปเอง จนเกิดตาฝาดก็เป็นได้
เย็นนั้น หนูลงไปเดินเล่นที่สนาม หรือจะเรียกว่าสวนดอกไม้ร่มรื่นน่าสบายใจก็ยังได้ เห็นผู้คนเดินผ่านไปมา หลายๆ คนหันมามอง ชี้มาที่หนูแล้วหัวเราะกันคิกคัก พอจะเดาได้ว่าเขาคงพูดกันถึงเรื่องที่หนูขึ้นไปเก็บดอกจำปีวันก่อน
แหม! แหงนหน้ามองเห็นดอกขาวสะพรั่ง แทบจะได้กลิ่นติดจมูกแน่ะค่ะ...หนูตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไต่บันได ปีนต้นขึ้นไปเก็บดอกจำปีมาดอมดมให้ชื่นใจ...
ก้าวขึ้นบันได้แค่ 2-3 ขั้นก็ต้องหยุดชะงัก เพราะแดดครึ้มลงกะทันหัน ยอดไม้ไหวซ่าน่าเอะใจ หนูแหงนหน้าขึ้นมองก็ต้องชาวาบไปทั้งตัว เมื่อเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งสวมเสื้อยืดนุ่งกางเกงขาสั้นนั่งแกว่งขาอยู่บนกิ่งใหญ่ กำลังก้มหน้าลงมามองยิ้มๆ
แม้จะไม่เป็นร่างภูตผีน่ากลัว แต่หนูก็รู้อยู่เต็มอกว่า ผู้หญิงนั่นคือใคร...มืออ่อนจนปล่อยขั้นบันไดหล่นตุ้บลงดิน...ตั้งแต่นั้นมาหนูก็เลิกสนใจจำปีผีสิงต้นนั้นไปเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 31 ตุลาคม 2557
หนูเป็นเด็กต่างจังหวัดมาเรียนหนังสือต่อในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง โดยอาศัยอยู่กับป้านวล พี่สาวของแม่ ป้ามีลูกชายสองคนกำลังเรียนมหาวิทยาลัย นิสัยดีทั้งคู่ ไม่ชอบเที่ยวเตร่นอกจากดูหนังสือหรือเล่นเกมเล่นเน็ตอยู่ในห้อง
นักเรียนม.4 อย่างหนูก็ได้อาศัยพี่เอกับพี่บีนี่แหละค่ะ ที่ช่วยให้คำแนะนำเรื่องการเรียน และคงจะช่วยติวให้ไปอีกนานเชียวล่ะ ถ้าหนูอยู่บ้านนี้ไปนานๆ
ทราบว่าคุณลุงที่เพิ่งเสียชีวิตไปไม่นานด้วยโรคหัวใจเป็นคนรักต้นไม้ ทั้งไม้ดอกและไม้ใบ ท่านปลูกไว้เต็มแทบรอบๆ บ้านเลยค่ะ หนูรู้จักแต่พวก มะยม ทับทิม มะลิ กุหลาบ อัญชันและบานเย็นที่ดูเหมือนว่าจะขึ้นเองตามที่ว่างๆ
อ้อ! ที่ริมรั้วมีต้นจำปีสูงมากจนต้องแหงนคอตั้งบ่า หนูว่าคงจะสูงกว่าหลังคาตึกสองชั้นแน่ๆ ใครจะมีปัญญาปีนป่ายขึ้นไปเก็บดอกสวยๆ และหอมกรุ่นของมันล่ะคะ
? บางวันหนูเห็นพวกสาวๆ ในซอยเดินผ่านไปมา แทบทุกคนจะชะเง้อมองดอกขาวๆ ของมันอย่างเสียดมเสียดายทั้งนั้น...แหม! ถ้าต้นไม่สูงนักหนูคงจะปีนป่ายขึ้นไปเก็บมาแจกจ่ายให้พวกเธอหรอกค่ะ
อ้าว? ใกล้ๆ กำแพงรั้วนั้นมีบันไดไม้เตี้ยๆ วางทิ้งจมพงหญ้า...ที่แท้ก็เป็นบันไดพาดต้นไม้นั่นเอง รูปสี่เหลี่ยมคางหมู หนูเลยลองเอามาพาดที่ต้นจำปี...พอดีเลยค่ะ
เย็นนั้น จากบันไดขั้นบนสุด หนูก็ปีนป่ายไปตามกิ่งก้านอื่นๆ อย่างคล่องแคล่วตามประสาเด็กบ้านนอก จัดแจงเด็ดจำปีดอกสวยๆ หอมกรุ่นใส่กระเป๋าเสื้อ...มองลงไปเห็นพวกสาวๆ เดินผ่านมาแล้วชี้ชวนกันให้ดูดอกจำปีขาวสล้างแทบเต็มต้น แน่ละว่าอยากได้กันทุกคน!
จู่ๆ เสียงหวีดว้ายจากสาวๆ ราว 4-5 คน ก็ดังลั่นเข้าหู จนหนูหวิดร่วงจากกิ่งใหญ่ด้วยอารามตกใจ มองเห็นสาวๆ พวกนั้นวิ่งกระเจิงเหมือนมดแดงแตกรัง เล่นเอาหนูชักใจคอไม่ค่อยดีเพราะตอนนั้นเย็นมากแล้ว...
หลังจากค่อยๆ ไต่ลงบันไดมาถึงพื้นดิน เดินไปที่ประตูด้วยความสงสัยว่าพวกสาวๆ รุ่นพี่ตกใจเรื่องอะไรกัน? เห็นพวกคุณน้าคุณป้า 2-3 คน ผ่านมาหนูก็ล้วงดอกจำปีส่งให้ บอกว่าเพิ่งขึ้นไปเก็บมาหยกๆ แม่สอนว่าคนเราควรมีน้ำจิตน้ำใจกับคนอื่นบ่อยๆ ค่ะ
มีมิตรร้อยคนยังนับว่าน้อยไป มีศัตรูคนเดียวถือว่ามากไป!
หนูได้รับคำชมเชยว่ามีน้ำใจ แถมเก่งที่กล้าปีนป่ายขึ้นต้นไม้สูงๆ ได้ด้วย พอดีสาวๆ ที่วิ่งหนีตอนแรกย้อนกลับมาดู หนูก็เลยแจกดอกจำปีที่เหลือให้จนหมด ถามว่าพี่ๆ วิ่งหนีอะไรกันคะ แถมร้องจนหนูตกใจหวิดตกจากต้นจำปี
ตอนนี้เองค่ะ ที่หนูได้รับฟังเรื่องราวน่าขนหัวลุก!
ลำดวนเคยเป็นสาวใช้ของบ้านป้านวลมาหลายปี แต่แล้วก็เกิดท้องไม่มีพ่อขึ้นมาป้านวลปลอบใจว่าไม่เป็นไรหรอกไหนๆ เรื่องก็ล่วงเลยมาถึงป่านนี้แล้ว คลอดลูกเต้าที่นี่แหละ แล้วจะช่วยเลี้ยงดูให้...ขออย่างเดียวอย่าไปทำแท้ง ก่อเวรสร้างกรรมฆ่าเด็กก็แล้วกัน
แต่ลำดวนจะคิดสั้นใช้บันไดปีนขึ้นไปผูกคอตายในตอนดึกที่จำปีต้นนั้นเอง!
ข่าวคราวว่าผีลำดวนดุร้ายนัก เพราะเป็นผีตายทั้งกลมก็ร่ำลือไปทั้งซอย เดี๋ยวคนนั้นมองเห็นบนต้นจำปี เดี๋ยวคนนี้มองเห็นร่างห้อยต่องแต่งน่าสยดสยอง...ช่วงหลังๆ ซาไปแต่เมื่อพวกสาวๆ กลุ่มนั้นเกิดแหงนหน้าขึ้นมาเห็นหนูเข้าก็เลยตกใจนึกว่าโดนผีหลอก ถึงได้หวีดร้องโหยหวน วิ่งกระเจิงจนผ้าผ่อนแทบจะหลุดไปตามๆ กัน
พวกสาวๆ ที่เคยมาด้อมๆ มองๆ ก็ซาไป บางคนบอกว่าจะไปขอป้านวลโดยใช้ไม้สอยเอา แต่เมื่อนึกถึงปีศาจดุร้ายที่สิงสู่อยู่ก็อ่อนอกอ่อนใจไปเอง
"ป่านนี้วิญญาณเธอคงไปผุดไปเกิดแล้วค่ะ" หนูบอกกับทุกๆ คน ใจจริงไม่เชื่อว่าจะมีภูตผีสิงต้นไม้ในบ้านอยู่จนป่านนี้ ถึงแม้ว่าจะเป็นผีผูกคอตายก็เถอะ เผลอๆ คนที่บอกว่าโดนผีหลอกอาจจะอุปาทานไปเอง จนเกิดตาฝาดก็เป็นได้
เย็นนั้น หนูลงไปเดินเล่นที่สนาม หรือจะเรียกว่าสวนดอกไม้ร่มรื่นน่าสบายใจก็ยังได้ เห็นผู้คนเดินผ่านไปมา หลายๆ คนหันมามอง ชี้มาที่หนูแล้วหัวเราะกันคิกคัก พอจะเดาได้ว่าเขาคงพูดกันถึงเรื่องที่หนูขึ้นไปเก็บดอกจำปีวันก่อน
แหม! แหงนหน้ามองเห็นดอกขาวสะพรั่ง แทบจะได้กลิ่นติดจมูกแน่ะค่ะ...หนูตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไต่บันได ปีนต้นขึ้นไปเก็บดอกจำปีมาดอมดมให้ชื่นใจ...
ก้าวขึ้นบันได้แค่ 2-3 ขั้นก็ต้องหยุดชะงัก เพราะแดดครึ้มลงกะทันหัน ยอดไม้ไหวซ่าน่าเอะใจ หนูแหงนหน้าขึ้นมองก็ต้องชาวาบไปทั้งตัว เมื่อเห็นหญิงสาวผู้หนึ่งสวมเสื้อยืดนุ่งกางเกงขาสั้นนั่งแกว่งขาอยู่บนกิ่งใหญ่ กำลังก้มหน้าลงมามองยิ้มๆ
แม้จะไม่เป็นร่างภูตผีน่ากลัว แต่หนูก็รู้อยู่เต็มอกว่า ผู้หญิงนั่นคือใคร...มืออ่อนจนปล่อยขั้นบันไดหล่นตุ้บลงดิน...ตั้งแต่นั้นมาหนูก็เลิกสนใจจำปีผีสิงต้นนั้นไปเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 31 ตุลาคม 2557
01 มีนาคม 2558
อาม่ามาเยี่ยม
"ลินดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณอาม่า
หลายปีมาแล้ว ดิฉันอยู่ทุ่งมหาเมฆกับพ่อแม่ และคุณยายอายุ 70 เศษ สุขภาพไม่ค่อยดีนักเพราะเป็นทั้งเบาหวานและความดันเลือดสูง แต่ยังโชคดีที่ไม่มีอาการหลงๆ ลืมๆ หรืออัลไซเมอร์ที่ได้ข่าวว่าคนชราทั่วไปเป็นกันมาก
ถัดจากบ้านเราไปราว 200 เมตร มีเพื่อนคุณยายเป็นคนจีนอายุเกือบ 80 ปีแล้วแต่ยังดูแข็งแรง หน้าตาผ่องใส ไม่ทราบจนเดี๋ยวนี้ว่าท่านชื่ออะไร เพราะใครๆ ก็เรียกท่านว่า "อาม่า" ทุกคน รวมทั้งคุณยายดิฉันด้วย
ที่น่าประทับใจก็คือทุกคนพูดตรงกันว่า "อาม่าเป็นจีนผู้ดี"
อาม่ามีฐานะดีมาก แต่งตัวประณีตสวยงาม ผมเผ้าแทบไม่กระดิกก็ว่าได้ สวมทั้งสร้อยคอและข้อมือเส้นใหญ่ มีขนมและผลไม้มาเยี่ยมเยียนพวกเราบ่อยๆ อ้อ! ลูกชายอาม่าเป็นคนขับรถเก๋งมาส่ง - มารับถึงประตูบ้านเลยค่ะ น่าชื่นใจแทนจริงๆ
ระยะหลังอาม่ามาหาคุณยายบ่อยขึ้น แทบจะเป็นวันเว้นวัน ธุระสำคัญก็คือมาแนะนำให้คุณยายรักษาตัวด้วยการออกกำลังง่ายๆ ตามแบบคนสูงอายุทั่วไป
มีตำราบริหารแก้ไขเลือดลม และบำบัดโรคต่างๆ เหมือนการฝังเข็มนั่นเอง!
นั่นคือการแกว่งแขนตามคัมภีร์อี้จินจิง ของ "ท่านตั๊กม้อ"
บางครั้งก็มีตำราดึงหู "หวังซูหวา" มาฝาก โดย อาม่ายืนยันว่า หูควบคุมประสาทถึง 365 เส้น และชีพจรถึง 12 สาย ถ้านวดหูบ่อยๆ จะทำให้อวัยวะในช่องท้องแข็งแรง ถือว่าเป็นเคล็ดลับในการรักษาสุขภาพ เป็นยาอายุวัฒนะขนานเอก
"ฉันทำเป็นประจำ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน" อาม่าเคยบอกคุณยาย "คนเรารักกันชอบกันก็ต้องช่วยเหลือกัน ไม่อยากเห็นคนที่เรารักเจ็บไข้ได้ป่วย"
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ! เพราะเมื่อคุณยายลองทำตามคำแนะนำของอาม่าอย่างสม่ำเสมอก็ทำให้ความดันโลหิตลดลง น้ำตาลในเลือดก็ลดเช่นกัน
อาม่าทราบข่าวก็ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข มีตำราบริหารร่างกายสำหรับคนชรามาแนะนำคุณยายบ่อยๆ พอมาถึงก็ผลักประตูห้องรับแขกเข้ามาแบบกันเอง พ่อแม่ดิฉันนับถือท่านเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ถ้าดิฉันอยู่ชั้นล่างก็ยกมือไหว้ต้อนรับขับสู้ หาน้ำและผลไม้ให้ทาน ก่อนจะขึ้นไปเรียกคุณยายที่อยู่ชั้นบนว่า "อาม่ามาหาค่ะ"
คุณยายจะกระวีกระวาดลงมาหา บอกให้ดิฉันตระเตรียมผลไม้บ้าง ขนมแห้งๆ บ้าง เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนตอน อาม่าจะกลับบ้าน บางทีก็โทรศัพท์ให้ลูกๆ หลานๆ อาม่ามารับเพราะระยะทางค่อนข้างไกลสำหรับคนชรา
บางวันอาม่าก็โทรศัพท์มาถาม ว่าคุณยายบริหารร่างกายตามคำแนะนำใหม่ๆ หรือเปล่า? ได้ผลหรือไม่? ดิฉันก็จะบอกข่าวให้อาม่าฟังจนสบายใจทุกครั้ง
วันเกิดเหตุ จำได้ว่าอยู่ในราวห้าโมงเย็น...
ดิฉันอยู่บ้านเพราะเกิดปวดหัวจนไปเรียนไม่ไหว อาจจากนอนดึกเพราะดูตำรามากเกินไป หรือเครียดเรื่องเรียนก็ไม่ทราบแน่ชัด พอดีได้ยินเสียงรองเท้าอาม่าเดินกุกๆ มาที่หน้าห้องรับแขก แล้วผลักประตูเข้ามาอย่างกันเอง แบบเดียวกับที่เคยทำเป็นประจำ
พ่อแม่ยังไม่กลับจากทำงาน คุณยายก็ดูเหมือนจะอยู่ในครัว เพราะชอบเข้าไปดูแลป้าสายหยุดทำกับข้าว คอยบอกนั่นชิมนี่ติโน่นจนติดเป็นนิสัย...การทำกับข้าว อร่อยๆ ให้ลูกหลานกินน่ะเป็นความสุขของท่านมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ
ดิฉันยังมึนหัวนิดๆ ขณะลุกจากโซฟาไปต้อนรับ อาม่าแต่งชุดสีม่วงสวยๆ ที่เดินเข้ามาถามว่า...อ้าว? วันนี้หนูไม่ไปโรงเรียนหรอกหรือ? ดิฉันตอบไปตามตรงว่าปวดหัวมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ เชิญอาม่า นั่งก่อน หนูจะไปตามคุณยายในครัว
"ไม่เป็นไร อาม่ารอได้ หนูนอนพักเถอะ"
ดิฉันเปิดตู้เย็น รินน้ำเก๊กฮวยใส่แก้วมาให้อาม่าที่นั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามโซฟา ท่านบอกขอบใจก่อนจะยกขึ้นดื่ม ดิฉันได้โอกาสเดินออกทางประตูหลัง...เลี้ยวไปบอกคุณยายในครัวว่าอาม่ามาหา คุณยายที่กำลังดูแลป้าสายหยุดทำแกงหมูเทโพหอมกรุ่นก็พยักหน้ารับรู้ แล้วรีบเดินตามกันออกมา
อะไรกัน...อาม่าไม่ได้นั่งอยู่ในห้องรับแขกหรอกค่ะ!
คุณยายหาว่าดิฉันตาฝาด เปิดประตูออกไปก็ไม่เห็น ดิฉันยืนยันว่าเพิ่งเปิดตู้เย็นรินน้ำเก๊กฮวยให้อาม่าดื่มหยกๆ นั่นไงคะ...เหลืออยู่ติดแก้วนิดเดียวเอง คุณยายก็ยังว่าตาฝาดอยู่ดี
จนกระทั่งเรามารู้ข่าวว่า อาม่าจะออกมาขึ้นรถตอนเกือบ 5 โมงเย็นเพื่อมาหาคุณยาย แต่ลื่นล้มศีรษะฟาดพื้นสลบคาที่...ไปสิ้นใจที่โรงพยาบาลในเวลาไล่เลี่ยกับที่ดิฉันเห็นท่านเข้ามาในห้องรับแขกนั่นเอง
คราวนี้คุณยายไม่หาว่าดิฉันตาฝาดอีกแล้ว แต่ขอให้ไปนอนเป็นเพื่อนอยู่หลายคืน...กลัวเห็นอาม่ามาเยี่ยมน่ะซีคะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม 2557
หลายปีมาแล้ว ดิฉันอยู่ทุ่งมหาเมฆกับพ่อแม่ และคุณยายอายุ 70 เศษ สุขภาพไม่ค่อยดีนักเพราะเป็นทั้งเบาหวานและความดันเลือดสูง แต่ยังโชคดีที่ไม่มีอาการหลงๆ ลืมๆ หรืออัลไซเมอร์ที่ได้ข่าวว่าคนชราทั่วไปเป็นกันมาก
ถัดจากบ้านเราไปราว 200 เมตร มีเพื่อนคุณยายเป็นคนจีนอายุเกือบ 80 ปีแล้วแต่ยังดูแข็งแรง หน้าตาผ่องใส ไม่ทราบจนเดี๋ยวนี้ว่าท่านชื่ออะไร เพราะใครๆ ก็เรียกท่านว่า "อาม่า" ทุกคน รวมทั้งคุณยายดิฉันด้วย
ที่น่าประทับใจก็คือทุกคนพูดตรงกันว่า "อาม่าเป็นจีนผู้ดี"
อาม่ามีฐานะดีมาก แต่งตัวประณีตสวยงาม ผมเผ้าแทบไม่กระดิกก็ว่าได้ สวมทั้งสร้อยคอและข้อมือเส้นใหญ่ มีขนมและผลไม้มาเยี่ยมเยียนพวกเราบ่อยๆ อ้อ! ลูกชายอาม่าเป็นคนขับรถเก๋งมาส่ง - มารับถึงประตูบ้านเลยค่ะ น่าชื่นใจแทนจริงๆ
ระยะหลังอาม่ามาหาคุณยายบ่อยขึ้น แทบจะเป็นวันเว้นวัน ธุระสำคัญก็คือมาแนะนำให้คุณยายรักษาตัวด้วยการออกกำลังง่ายๆ ตามแบบคนสูงอายุทั่วไป
มีตำราบริหารแก้ไขเลือดลม และบำบัดโรคต่างๆ เหมือนการฝังเข็มนั่นเอง!
นั่นคือการแกว่งแขนตามคัมภีร์อี้จินจิง ของ "ท่านตั๊กม้อ"
บางครั้งก็มีตำราดึงหู "หวังซูหวา" มาฝาก โดย อาม่ายืนยันว่า หูควบคุมประสาทถึง 365 เส้น และชีพจรถึง 12 สาย ถ้านวดหูบ่อยๆ จะทำให้อวัยวะในช่องท้องแข็งแรง ถือว่าเป็นเคล็ดลับในการรักษาสุขภาพ เป็นยาอายุวัฒนะขนานเอก
"ฉันทำเป็นประจำ ทำให้ร่างกายแข็งแรง ไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน" อาม่าเคยบอกคุณยาย "คนเรารักกันชอบกันก็ต้องช่วยเหลือกัน ไม่อยากเห็นคนที่เรารักเจ็บไข้ได้ป่วย"
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อค่ะ! เพราะเมื่อคุณยายลองทำตามคำแนะนำของอาม่าอย่างสม่ำเสมอก็ทำให้ความดันโลหิตลดลง น้ำตาลในเลือดก็ลดเช่นกัน
อาม่าทราบข่าวก็ยิ้มแย้มอย่างมีความสุข มีตำราบริหารร่างกายสำหรับคนชรามาแนะนำคุณยายบ่อยๆ พอมาถึงก็ผลักประตูห้องรับแขกเข้ามาแบบกันเอง พ่อแม่ดิฉันนับถือท่านเหมือนญาติผู้ใหญ่คนหนึ่ง ถ้าดิฉันอยู่ชั้นล่างก็ยกมือไหว้ต้อนรับขับสู้ หาน้ำและผลไม้ให้ทาน ก่อนจะขึ้นไปเรียกคุณยายที่อยู่ชั้นบนว่า "อาม่ามาหาค่ะ"
คุณยายจะกระวีกระวาดลงมาหา บอกให้ดิฉันตระเตรียมผลไม้บ้าง ขนมแห้งๆ บ้าง เพื่อเป็นสิ่งตอบแทนตอน อาม่าจะกลับบ้าน บางทีก็โทรศัพท์ให้ลูกๆ หลานๆ อาม่ามารับเพราะระยะทางค่อนข้างไกลสำหรับคนชรา
บางวันอาม่าก็โทรศัพท์มาถาม ว่าคุณยายบริหารร่างกายตามคำแนะนำใหม่ๆ หรือเปล่า? ได้ผลหรือไม่? ดิฉันก็จะบอกข่าวให้อาม่าฟังจนสบายใจทุกครั้ง
วันเกิดเหตุ จำได้ว่าอยู่ในราวห้าโมงเย็น...
ดิฉันอยู่บ้านเพราะเกิดปวดหัวจนไปเรียนไม่ไหว อาจจากนอนดึกเพราะดูตำรามากเกินไป หรือเครียดเรื่องเรียนก็ไม่ทราบแน่ชัด พอดีได้ยินเสียงรองเท้าอาม่าเดินกุกๆ มาที่หน้าห้องรับแขก แล้วผลักประตูเข้ามาอย่างกันเอง แบบเดียวกับที่เคยทำเป็นประจำ
พ่อแม่ยังไม่กลับจากทำงาน คุณยายก็ดูเหมือนจะอยู่ในครัว เพราะชอบเข้าไปดูแลป้าสายหยุดทำกับข้าว คอยบอกนั่นชิมนี่ติโน่นจนติดเป็นนิสัย...การทำกับข้าว อร่อยๆ ให้ลูกหลานกินน่ะเป็นความสุขของท่านมาแต่ไหนแต่ไรแล้วค่ะ
ดิฉันยังมึนหัวนิดๆ ขณะลุกจากโซฟาไปต้อนรับ อาม่าแต่งชุดสีม่วงสวยๆ ที่เดินเข้ามาถามว่า...อ้าว? วันนี้หนูไม่ไปโรงเรียนหรอกหรือ? ดิฉันตอบไปตามตรงว่าปวดหัวมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ เชิญอาม่า นั่งก่อน หนูจะไปตามคุณยายในครัว
"ไม่เป็นไร อาม่ารอได้ หนูนอนพักเถอะ"
ดิฉันเปิดตู้เย็น รินน้ำเก๊กฮวยใส่แก้วมาให้อาม่าที่นั่งบนเก้าอี้ตรงข้ามโซฟา ท่านบอกขอบใจก่อนจะยกขึ้นดื่ม ดิฉันได้โอกาสเดินออกทางประตูหลัง...เลี้ยวไปบอกคุณยายในครัวว่าอาม่ามาหา คุณยายที่กำลังดูแลป้าสายหยุดทำแกงหมูเทโพหอมกรุ่นก็พยักหน้ารับรู้ แล้วรีบเดินตามกันออกมา
อะไรกัน...อาม่าไม่ได้นั่งอยู่ในห้องรับแขกหรอกค่ะ!
คุณยายหาว่าดิฉันตาฝาด เปิดประตูออกไปก็ไม่เห็น ดิฉันยืนยันว่าเพิ่งเปิดตู้เย็นรินน้ำเก๊กฮวยให้อาม่าดื่มหยกๆ นั่นไงคะ...เหลืออยู่ติดแก้วนิดเดียวเอง คุณยายก็ยังว่าตาฝาดอยู่ดี
จนกระทั่งเรามารู้ข่าวว่า อาม่าจะออกมาขึ้นรถตอนเกือบ 5 โมงเย็นเพื่อมาหาคุณยาย แต่ลื่นล้มศีรษะฟาดพื้นสลบคาที่...ไปสิ้นใจที่โรงพยาบาลในเวลาไล่เลี่ยกับที่ดิฉันเห็นท่านเข้ามาในห้องรับแขกนั่นเอง
คราวนี้คุณยายไม่หาว่าดิฉันตาฝาดอีกแล้ว แต่ขอให้ไปนอนเป็นเพื่อนอยู่หลายคืน...กลัวเห็นอาม่ามาเยี่ยมน่ะซีคะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม 2557
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)