20 กุมภาพันธ์ 2558

ขึ้นจากโลง

"กมลพร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณมาเยือน

คุณมีความทรงจำย้อนไปได้ไกลสุดแค่ไหนคะ? ดิฉันคิดว่า ราวขวบกว่าๆ เราก็เริ่มจำได้จนถึงบัดนี้ แม้ว่ามันกระท่อนกระแท่นเต็มที ดิฉันจำตอนตัวเองหัดเดินไปได้เลยล่ะค่ะ..เชื่อไหมคะ?

แต่ความทรงจำอันหนึ่งที่เป็นปริศนาชวนสยอง เกิดขึ้น ตอนที่ดิฉันอยู่อนุบาลสอง..คิดแล้วก็ราวห้าขวบ เห็นจะได้ เมื่อดิฉันย้อนรำลึกถึงทีไร ภาพใบหน้าหนึ่งก็เด่นชัดขึ้นทุกที...มันเป็นใบหน้าของพี่แต้ว-ลูกพี่ ลูกน้องของดิฉันเอง เธอแก่กว่าราวสองปี และเป็น ลูกคุณป้าวิไล พี่สาวแท้ๆ ของแม่ดิฉันเอง

พี่แต้วจมน้ำตาย แต่ในความคิดและการรับรู้ของดิฉันยามมีอายุแค่ห้าขวบนั้น...ความตายคืออะไรก็ ไม่รู้ล่ะ รู้แต่ว่าพี่แต้วตายแล้วกลับมาได้!

ภาพที่ดิฉันจำได้คือ คุณป้าวิไลจะมาหาคุณแม่ดิฉันบ่อยๆ หลังจากเกิดอุบัติเหตุที่พรากลูกสาวคนเดียวให้จากไป คุณป้าแต่งชุดดำ ใบหน้าไม่มีเครื่องสำอาง...มันซีดเซียว หม่นหมอง ทว่าใบหน้าเล็กๆ ของพี่แต้วที่เดินตามหลังแม่ไปโน่นไปนี่มันซีดกว่าเยอะ เพราะถึงอย่างไร ใบหน้าของป้าวิไลยังมีสีเลือด แต่ใบหน้าของพี่แต้วเป็นสีม่วงคล้ำ และไม่มีรอยยิ้มเลย!

เป็นใบหน้าที่เรียบเฉย เวลามองดิฉันก็จะจ้องนิ่งๆ

ในวัยห้าขวบนั้น ดิฉันแทบไม่รู้ว่าผีคืออะไร? และไม่คิดหรอกค่ะว่าพี่แต้วเป็นผี แต่ถึงกระนั้นดิฉัน ก็กลัวเธอ

มีอย่างที่ไหนคะ เดิมเราเคยเล่นกันอย่างสนุก สนาน แก้มของพี่แต้วเป็นสีชมพู ปากแดงจัดราวกับทาลิปสติก เธอรวบผมหางม้า ศีรษะทุยได้รูปสวย เธอสูงกว่าดิฉัน และใจดีมาก เรามักจะเล่นตุ๊กตากระดาษกันค่ะ

เวลาที่มาบ้านดิฉัน เธอจะเอากล่องตุ๊กตากระดาษมาเล่น ส่วนดิฉันมีบาร์บี้หลายตัว ยังแบ่งให้เธอเอากลับไปเล่นที่บ้านด้วยซ้ำ

แต่หลังจากพี่แต้วจมน้ำตาย เธอเปลี่ยนไปมาก นิ่งเงียบ เดินตามป้าวิไลแบบทื่อๆ ไม่มีการแตะต้องเนื้อตัว...ดิฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นคนเดียวที่เห็นเธอ เพราะนึกว่าคุณแม่ คุณป้า และทุกคนทำท่าไม่สนใจเธอ...ดิฉันไม่รู้ว่าคนอื่นไม่เห็น!

และแล้ววันหนึ่ง พี่แต้วก็ไม่ตามป้าวิไลมาที่บ้านดิฉันอีก เป็นอันว่าเธอหายไปเลยนับจากนั้น ดิฉันเล่าให้คุณแม่ฟังแต่โดนดุว่าคิดไปเอง ครั้นเมื่อโตขึ้น ดิฉันกับคุณแม่ ก็คุยเรื่องนี้กัน...ท่านยอมรับว่านั่นคือวิญญาณ และเรื่องผีพี่แต้วกลายเป็นเรื่องที่เคยคุยกันได้ไม่รู้จบ จนกระทั่งทุกวันนี้

ขณะนี้ดิฉันอายุสามสิบสองปี มีลูกสาวเล็กๆ วัยสี่ขวบกว่า วันหนึ่งประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย!

วันนั้น ดิฉันไปงานศพของเพื่อนรักที่เป็นมะเร็งตาย เธอยังสาว สวย และมีลูกสองคน...เธอแต่งงานเร็วค่ะ มีลูกก่อนดิฉัน และดูเถอะค่ะ...เธอตายเสียแล้ว!

สองทุ่มกว่าๆ ดิฉันกลับเข้าบ้าน...รู้สึกเหนื่อย เพลีย อาจจะเป็นเพราะร้องไห้กับเพื่อนๆ และญาติของไก่-เพื่อนที่เพิ่งวายชนม์ แหม! เห็นลูกๆ เธอแล้วใจคอมันตีบตันไปหมด

อากาศร้อน ตัวเหนียว ดิฉันอยากถอดชุดดำออกและอาบน้ำให้สบายตัว...

พอเดินเข้าบ้าน ลูกเอมของดิฉันก็กระโดดมาหา ร้องแม่ขาๆ แต่นัยน์ตามองไปทางด้านหลังของดิฉัน จากนั้นก็ยกมือไหว้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู...ดิฉันหันขวับไปมองก็พบแต่ความว่างเปล่า...เล่นเอาหนาวเยือกไปตลอดไขสันหลัง

ไม่กล้าถามเลยค่ะ ว่าเอมไหว้ใคร? แต่เอมส่งเสียงเจื้อยแจ้วเฉลยเอง

"น้าไก่ขา แต่งชุดสีเขียวสวยจัง หอมด้วย...หอมเหมือนน้ำอบที่เอมรดน้ำคุณย่าตอนสงกรานต์เลยค่ะ!"

จริงค่ะ ไก่เพื่อนดิฉันแต่งตัวด้วยชุดผ้าไหมสด สีเขียวอ่อน นอนสงบนิ่งบนตั่ง ก่อนที่สัปเหร่อจะนำเธอลงโลง ดิฉันจำได้ติดตา..และแน่ล่ะค่ะ กลิ่นน้ำอบไทยหอมกรุ่นนั้น ลูกเอมของดิฉันคงสัมผัสได้

ดิฉันขนลุกซู่ หันไปพูดกับลมกับแล้งว่า "ไก่ ขอบใจนะที่มาส่ง ไม่ต้องห่วงนะ ไปเถอะจ้ะ หลับให้สบาย..."

ลูกเอมของดิฉันยกมือไหว้ แล้วโบกมือบ๊ายบาย!

ท่าทีของลูกทำให้ดิฉันพอจะรู้ว่า วิญญาณของไก่กลับไปแล้ว ยอมรับเลยค่ะว่ากลัวจนไม่รู้จะทำยังไง รีบบอกให้คนรับใช้ดูแลบ้านช่อง ปิดประตูให้เรียบร้อย พอสั่งเสร็จก็พาลูกเอมขึ้นข้างบน ดิฉันอาบน้ำโดยเปิดประตูไว้...ให้ลูกและสามีนั่งเล่นอยู่หน้าห้องน้ำ

เฮ้อ...ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจริงๆ นี่เป็นเรื่องผีอีกเรื่องที่ดิฉันจดจำไปตลอดชีวิต!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 22 ตุลาคม 2557

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น