17 กุมภาพันธ์ 2558

ผีลุงเพิก

สมัยหนุ่มผมเคยอยู่ที่ศรีย่าน แดนดินถิ่นของอร่อย ตกเย็นๆ ก็มีรถเข็นและแผงลอยขายอาหารสารพัดชนิดมาตั้งเรียงรายบนฟุตปาธหลายสิบเจ้า โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นศรีย่านนี่ แหม! เด็ดสะระตี่จนถึงลือก็แล้วกัน คู่แข่งที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันก็เห็นจะมี ลูกชิ้นราชวัตรเจ้าเดียวเอง ขนาดย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว ยังต้องหาโอกาสมาชิมบ่อยๆ นี่นา บอกไม่เชื่อ!

วันนี้ผมมีเรื่อง "ผีลุงเพิก" มาเล่าให้ฟัง

สาเหตุก็เพราะในกลางซอยเปลี่ยวบ้านผม ลุงเพิกกับลูกเมียมาเช่าตึกแถวห้องริมเปิดร้านชำมาตั้งปีมะโว้แล้ว...ร้านแกได้เปรียบตรงที่เป็นร้านริม แถมด้านข้างยังติดซอยแยกเล็กๆ อีกด้วย ทำให้ร้านนี้เปิดขายได้ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ตกเย็นๆ มีคอเหล้ามานั่งจับกลุ่มกันคึกคัก คุยโม้กันสนุกสนานตามประสาคนเมา

ลุงเพิกตอนนั้นเป็นพ่อม่ายเมียตาย อายุห้าสิบกว่า หน้าผากค่อนข้างกว้างขวาง แต่มีพวกที่ไปขอเซ็นเหล้าพูดจายกยอว่า คิ้วต่ำ โหงวเฮ้งดี ลุงเพิกแกเป็นคนเงียบๆ เฉยๆ แทบจะไม่ค่อยพูดค่อยจาก็ว่าได้...แต่ถ้าใครปากหวานช่างปะเหลาะ รู้จักพูดจาให้ถูกใจแกก็ให้กินเหล้าแบบแปะโป้งได้ง่ายๆ

ร่างอ้วนกลมในชุดกางเกงสีกากีขาสั้น สวมเสื้อกุยเฮงสีดำ ลากรองเท้าแตะฟองน้ำ เปิดร้านตั้งแต่ตอนสายๆ ไปจนถึง 2 ทุ่มจนความเงียบเหงาย่างกรายเข้ามา แกก็จะเรียกลูกชายวัยรุ่นสองคนมาช่วยกันปิดร้าน

เวลาผ่านไปราว 5-6 ปี จนลูกชายเรียนจบ ลุงเพิกอายุใกล้จะหกสิบ...วันดีคืนดีก็นอนหลับไม่ตื่นไปตลอดกาล...ลูกชายทั้งสองรับราชการอยู่ต่างจังหวัด กลับมาช่วยกันทำศพพ่อจนเรียบร้อย...แล้วร้านนั้นก็ปิดตาย เพราะไม่มีใครคิดจะมาค้าขายแบบลุงเพิกอีกต่อไป

ความจริงผีลุงเพิกไม่น่าจะดุร้าย เพราะแกตายตามธรรมชาติของคนเราที่มีเกิดมีแก่และตายไปทุกคน ไม่ใช่ว่าตายเพราะอุบัติเหตุหรือว่าถูกใครฆ่าแกง จนกลาย เป็นผีตายโหง...แต่ผีลุงเพิกก็ดุเหลือเชื่อซะไม่มี!

สมัยนั้นตอนกลางคืนราว 2-3 ทุ่มก็เงียบไปหมดแล้ว ซอยแยกแคบๆ ข้างร้านมักมีหมาจรจัดมาสิงสู่ เห่าหอนเสียงโหยหวนแทบทั้งคืน ทั้งน่ารำคาญและน่ากลัวเป็นประจำ

ลุงเวกกับลุงอ่ำเคยเป็นขาประจำร้านลุงเพิก ตอนนี้ต้องออกไปหาเซี่ยงชุนหรือค่างโหนกินที่ปากซอย...คืนนั้นสองเกลอเดินตุปัดตุเป๋เข้าซอยมาราว 3 ทุ่มเศษ เสียงหมาหอนโจ๋วมาแต่ไกล จนกระทั่งผ่านหน้าร้านลุงเพิกที่ปิดสนิทก็พลันมีเสียงดังขึ้นว่า

"ไอ้เวก! ไอ้อ่ำ! เมื่อไหร่จะใช้หนี้กู?" เล่นเอาขาเมาทั้งสองเบรกกึก อ้าปากค้าง หันมองหน้ากัน...แม้จะไม่เห็นตัวก็จำเสียงนั้นได้เป็นอย่างดี

"ไอ้เพิก!!" สองเกลอร้องออกมาพร้อมกัน ก่อนจะโจนอ้าว โกยแน่บไม่คิดชีวิต สบถสาบานว่าจะไม่กลับบ้านดึกๆ อีกต่อไป...ตัดสินใจซื้อเหล้ามากินที่บ้านจะได้ไม่โดนผีหลอกแทบจะช็อกตายแบบนี้!

ยายแฉ่งกับป้าฉวีสองแม่ลูกไปช่วยงานศพที่เมืองนนท์ เดินเข้าซอยมา 3 ทุ่มเศษ...พอใกล้ถึงร้านลุงเพิกที่ปิดไฟมืด หมาเจ้ากรรมก็หอนโจ๋ว เล่นเอาสองแม่ลูกหันมองสบตากันก่อนจะจ้ำอ้าว...แต่ได้ยินเสียงกระแอมดังๆ มาจากซอยแยกก็เลยหันขวับไปมองอย่างลืมตัว

ใครคนหนึ่งยืนตะคุ่มๆ อยู่ในความมืดข้างร้าน ยายแฉ่งครางออกมาว่า "ตาเพิก" ก่อนจะเกิดอาการช้ำรั่ว...แตกซ่าออกมานองพื้น ซมซานกลับบ้านแทบไม่ไหวทั้งสองคน

พี่เชิดคนข้างบ้านไปทำงานที่ปักษ์ใต้ กลับมาเยี่ยมบ้านตอนดึกก็เจอลุงเพิกยืนอยู่หน้าร้าน พูดคุยกันนานพอดู...ครั้นถึงบ้านเล่าว่าคุยกับใครมา พ่อแม่ก็แทบลมจับไปตามๆ กัน

คืนเกิดเหตุ ผมกับเพื่อนอีกสองคนคือไอ้ตุ๊กับไอ้อ้วนไปดูหนังรอบค่ำที่ศรีย่านเธียเตอร์เรื่อง "ศึกซูลู" หนังเลิกยังมาโจ้เหล้าร้านข้าวต้มหน้าตลาด...เมาดีเข้าก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เดินเข้าซอยพลางร้องเพลงคึกคะนอง ท่ามกลางลมหนาวพัดหวีดหวิวเคล้ากับเสียงหมาหอนโจ๋ว...

ไอ้อ้วนชี้มือไปที่ร้านลุงเพิกเปิดไฟสว่าง ร้องว่าแวะกินเหล้าต่อกันเถอะวะ! ไอ้อ้วนก็พยักพเยิดบอกว่าดีเหมือนกัน อารามทำให้คึกคะนองเมาผมเลยร้องว่า... เอาไงเอากัน!

จนกระทั่งเข้าไปนั่งอยู่ในร้านสว่างโพลงและเยือกเย็น พวกเราหันไปทางลุงเพิกที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ ก้มลงมองเขม็ง ไอ้ตุ๊ร้องสั่งเหล้ากับโซดา...ผมเพิ่งสังเกตว่าลุงเพิกไม่พูดจาซักคำแถมยิ้มเหมือนแสยะอีกต่างหาก

ฉับพลันทันใด เหมือนฟ้าผ่าโครมลงกลางกบาลเมื่อนึกได้ว่า...ลุงเพิกตายไปแล้วนี่นา! พิษเหล้าหายวับ เด้งพรวดขึ้นตะโกนลั่น...เฮ้ย! ผีหลอกโว้ย!

ขาเมาอีกสองคนได้ยินเข้าก็ตาเหลือกลาน...ไฟดับวูบ เหลือแต่เสียงหัวเราะแหบโหยสุดสยอง...เราวิ่งตะโพงออกจากร้านลุงเพิกได้ยังไงก็ไม่ทราบ จำได้แต่ล้มลุกคลุกคลานไปจนถึงบ้าน รุ่งขึ้นก็จับไข้นอนซมไปตามๆ กัน...ไม่กล้ากลับบ้านดึกๆ อีกต่อไป

ทุกวันนี้นึกถึงภาพสยองในคืนนั้นยังขนหัวลุกเลยครับ! บรื๋อออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 20 ตุลาคม 2557

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น