"เฮียเซ้ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากร้านเสียโป
สมัยหนุ่มๆ ผมอยู่แถวถนนเสือป่า ฝั่งตรงข้ามคือถนนราชวงศ์ แถวนั้นมีของอร่อยๆ เยอะแยะ ไม่ว่าก๋วยเตี๋ยวราดหน้าหรือคั่วไก่ ก๋วยเตี๋ยวแปะเตียง หรือข้าวเสียโป
ร้านแปะเตียงอยู่ในซอยบำรุงรัตน์มาตั้งแต่เตี่ยยังหนุ่ม ปาเข้าไปราว 70 ปี โด่งดังมากเรื่องลูกชิ้นปลาหลายแบบ ล้วนแต่ทำเองทั้งนั้น ลูกชิ้นเหนียวนุ่มน่ากินนักหนา เขาว่าทำจากปลาดาบกับปลาอินทรี ลูกชิ้นกุ้งก็ลือชื่อเช่นกัน รับรองว่าได้กินเนื้อกุ้งล้วนๆ ไม่มีแหกตาผสมแป้งให้เสียยี่ห้อ
ร้านข้าวเสียโปที่ปากซอยเจริญกรุง 19 ฝั่งเดียวกับบ้านผมก็อร่อยเฉียบขาดนัก สมัยก่อนได้ยินเขาเถียงกันว่า ที่ถูกแล้วเรียกว่า "ข้าวเฉียโป" หรือ "ข้าวเสียโป" กันแน่?
คนที่เรียกว่าข้าวเฉียโปก็เพราะเป็นชื่ออาหารจีนอย่างหนึ่ง แต่คนที่ยืนยันว่าเป็นข้าวเสียโป ก็เพราะแถวสามยอดสมัยก่อนมีโรงหวย นักพนันที่เสียโปแทบหมดกระเป๋าก็เลยมาหาอาหารถูกๆ ที่หาบขายมากินกันตาย เลยเรียกว่าข้าวเสียโป!
คิดแล้วก็เป็นงงเอาการนะครับ!
ไม่ใช่ข้าวหน้าเป็ด ข้าวหมูแดงหมูกรอบ เพราะเป็นทั้งข้าวหน้าเป็ดผสมกับหมูแดงหมูกรอบ ไหนจะใส่กุนเชียง กระเพาะหมู หูหมู ลิ้นหมู ตับแก้ว (ตับที่ยัดด้วยมันหมู) ราดด้วยน้ำเป็ดย่าง รสชาติหวานมันและเค็มพร้อมสรรพ
ผักที่แนมมาก็ไม่ใช่แตงกวาหรือไชเท้ากรอบๆ แต่เป็นผักลวก มีทั้งถั่วฝักยาว ผักบุ้ง ผักกวางตุ้ง น้ำจิ้มน้ำซีอิ๊วผสมน้ำส้มสายชูรสเด็ดจริงๆ ครับ จานเดียวอิ่มตื้อไปทั้งวัน
ตกลงว่าชื่อข้าวเฉียโปหรือเสียโปกันแน่?
เจ้าของร้านเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนจะมีส่ำเซียนพกอุปกรณ์เล่นพนันเป็นไม้กระบอกใส่ติ้วเป็นสีๆ มีแต้มคล้ายเซียมซี ใครดึงได้แต้มมากถือว่า "เสียโป" ต้องเสียเงินให้นักเล่นคนอื่นๆ แต่ถ้ามีข้าวหาบสารพัดหน้ามาขายก็ต้องควักกระเป๋าเลี้ยง...นี่เองคือที่มาของคำว่าเสียโป!
เพราะความที่เป็นคนชอบหาของอร่อยๆ กินนี่แหละครับ ทำให้ผมเจอะเจอประสบการณ์ขนหัวลุกโดยไม่นึกฝัน
วันนั้นผมช่วยเตี่ยขายของตั้งแต่เช้า เป็นกับข้าวที่กินกับข้าวต้มเหมือนตอนเช้า ผมเลยหลบไปร้านแปะเตียง เล็กแห้งลูกชิ้นปลา-เล็กต้มยำใส่ทั้งลูกชิ้นปลากับลูกชิ้นกุ้ง
กลับไปทำงานต่อจนตกค่ำ รีบล้างหน้าบึ่งไปเจริญกรุงซอย 19 เพราะหิวเต็มทน
ตอนนั้นราวทุ่มเศษ ผมยืนรอสักครู่ก็ได้โต๊ะว่าง สั่งข้าวเสียโปแบบแยกเครื่องมาหม่ำทันที...มองไปที่หน้าร้านก็เห็นคนมายืนออกันราว 5-6 คน จะทันหรือเปล่าก็ไม่รู้เพราะร้านเขาปิดแค่สองทุ่มเท่านั้นเอง
รู้สึกจะคุ้นหน้าอยู่คนสองคน พอหันไปอีกทีก็ใช่เลย เฮียอ๋า-คนดังย่านพลับพลาชัย แกเป็นเพื่อนรุ่นน้องของเตี่ยผมเอง...เฮียอ๋าพยักหน้าให้ผมยิ้มๆ แบบทักทาย ผมจะเรียกมาร่วมโต๊ะก็ไม่ได้ครับ ไหนจะโต๊ะเล็ก แถมนั่งกันเต็มอีกต่างหาก
ข้างนอกลมพัดแรง ฝนทำท่าจะเทลงมาเมื่อไหร่ก็ไม่รู้!
รีบก้มหน้าก้มตากินอาหารเร็วขึ้น ไม่อยากให้คนหิวต้องรอไส้แขวนนานนักหรอกครับอกเขาอกเรา! แต่พอจ่ายเงินเสร็จเดินออกมาก็ไม่เห็นเฮียอ๋าซะแล้
ว
จะว่าแกขี้เกียจรอเลยไปหากินร้านอื่นก็ไม่ใช่ เพราะเฮียอ๋าเป็นแฟนประจำข้าวเสียโปเหมือนผม แต่จะว่าแกได้โต๊ะว่างเข้าไปตอนผมก้มหน้าควักเงิน...หันไปดูในร้านเล็กๆ นั่นก็ไม่เห็นเฮียอ๋าแม้แต่เงา
ผมจำได้แม่นว่าแกนุ่งกางเกงยีนส์ สวมแจ๊กเกตดำ เสื้อตัวในสีส้ม ผมยาวปรกห้าผากคาบบุหรี่ติดปากเหมือนที่เคยเห็นทุกครั้ง!
ลมพัดอู้จนเศษกระดาษปลิวว่อน ผมรีบเผ่นกลับบ้าน คิดว่าช่วยเตี่ยปิดร้านแล้วจะได้อาบน้ำ ดูทีวีให้สบายใจ...แต่พอไปถึงก็เห็นเตี่ยท่าทางซึมๆ บอกว่าเพิ่งได้ข่าว เฮียอ๋าโดนคู่อริดักรุมแทงที่สวนมะลิเมื่อตอนเย็น อาการเป็นตายเท่ากัน ตอนนี้อยู่ที่โรงพยาบาลกลาง!
ผมอ้าปากค้าง ขนหัวลุกเกรียว ร้องแต่ว่าไม่จริงๆ ขณะที่เตี่ยพูดต่อโดยไม่สนใจ
"พรุ่งนี้อั๊วจะไปเยี่ยมมันหน่อย ชั่วๆ ดีๆ มันก็เรียกอั๊วว่าเฮียตั้งแต่เด็กจนโต"
ผมทนไม่ไหวก็ร้องว่า เพิ่งเห็นเฮียอ๋าที่หน้าร้าน เสียโปมาหยกๆ นี่เอง...เตี่ยส่ายหน้าโดยไม่พูดไม่จา รุ่งขึ้นไปเยี่ยมเฮียอ๋าแล้วกลับมาบอกว่า โดนแทงสาหัสจนหมอช่วยไม่ไหว เพิ่งสิ้นใจเมื่อตอนกลางดึกนี่เอง
แล้วที่ผมเห็นเมื่อตอนค่ำวานคืออะไรกันแน่ล่ะ?
ถึงตอนนั้นเฮียอ๋ายังไม่สิ้นลม ยังไงก็ออกจากโรงพยาบาลมารอกินข้าวเสียโปไม่ได้แน่นอน...คิดไม่ออกจริงๆ ได้แต่ขนหัวลุกครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 29 ตุลาคม 2557
28 กุมภาพันธ์ 2558
27 กุมภาพันธ์ 2558
เรือตาแร่ม
"ผู้อ่าน" เล่าเรื่องสยองขวัญจากตำบลยี่สาร อัมพวา
ดิฉันเป็นคน ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ที่เรียกกันติดปากว่า "แม่กลอง" ตั้งแต่สมัยก่อนมาถึงทุกวันนี้แหละค่ะ
สมัยเด็กๆ ได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า ต.ยี่สาร มีพื้นที่เป็นป่าชายเลนมากที่สุดในอัมพวา ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพตัดไม้แถวนั้นไปขายโรงงานน้ำตาล เช่น ไม้ขวาก ไม้ตะบูน เป็นต้น ก่อนที่จะเริ่มปลูกไม้โกงกางมากขึ้น
ตอนแรกๆ ก็ตัดไปขายให้ชาวประมงนำไปเป็นเสาผูกเรือกับผูกโป๊ะเรือ จนมีคนค้นพบคุณภาพวิเศษของไม้ชนิดนี้ในเวลาต่อมา...นั่นคือนำไปเผาถ่านจะได้ถ่านดีที่สุดค่ะ!
มีการหาพันธุ์ไม้โกงกางมาปลูกกันยกใหญ่ กลายเป็นอาชีพหลักที่มีเตาเผาถ่านทั้งเล็กและใหญ่แทบทุกบ้าน ไปตัดไม้โกงกางก็จะเพาะพันธุ์กล้าไม้ไว้เพื่อนำไปปลูกทดแทน
"ยิ่งเผาถ่าน ป่ายิ่งเพิ่ม!!" คำพูดนี้เป็นความจริงค่ะ เพราะเราตัดไม้มาแล้วก็ปลูกขึ้นใหม่ ชาวยี่สารเห็นคุณ ค่าของไม้โกงกาง ขนาดมีการลงแขกกันปลูกกล้าไม้ กับช่วยกันขนถ่านไปโรงงาน นอกเหนือจากเรื่องอื่นๆ ที่พวกเราล้วนแต่ช่วยกันคนละไม้ละมือมาตลอด
เช่น การทำบุญ ชาวยี่สารก็จะทิ้งบ้านไปทำบุญกันหมดทุกคน ไม่ต้องมีการเฝ้าบ้าน ไม่เคยมีของหาย เวลามีคนตาย ญาติๆ ไม่จำเป็นต้องออกปากเชิญใคร แต่เพื่อนบ้านจะบอกข่าวกันต่อๆ ไป ไม่ช้าชาวบ้านก็แห่แหนมาเยี่ยมศพในวันแรกๆ จนเป็นประเพณีไปแล้ว
อ้อ! การไปงานศพน่ะไม่ได้ไปตัวเปล่านะคะ ทุกคนจะหอบหิ้วข้าวสาร น้ำตาล พริก หอม กระเทียม ไปช่วยเจ้าภาพอีกด้วย
ตอนเด็กๆ ไม่ว่าหญิงหรือชายก็ซุกซนพอกัน เช่น ชอบว่ายน้ำไปเกาะเรือโยงบ้าง จนถึงเล่นไต่เชือกที่ผูกโยงระหว่างเรือลำต่างๆ บางทีก็พกหนังสติ๊กเข้าสวน คอยยิงกระรอกตามสวนมะพร้าว เข้าสวนนั้นออกสวนนี้ได้ตามใจชอบ ไม่มีใครห้ามหวงเลย
สาเหตุก็คือกระรอกมันชอบแทะกินลูกมะพร้าวอ่อนๆให้เสียหาย ใครยิงกระรอกได้ 1 ตัว ก็จะได้รับมะพร้าวเป็นรางวัลถึง 10 ลูกเชียวค่ะ
นึกถึงบรรยากาศของเรือกสวนร่มรื่น ปกคลุมด้วยเงาไม้เงียบสงบในครั้งนั้นก็อดใจหายไม่ได้ จำได้ว่าแม่น้ำลำคลองยังใสสะอาด กุ้ง ปลาชุกชุม ตามท่าเทียบเรือน่ะเขาจับกุ้งตัวใหญ่ๆ ด้วยมือเปล่าได้อย่างสบายมาก
พูดถึงลำคลองทำให้นึกถึงตาแร่มขึ้นมา!
ชายชราอายุห้าสิบเศษ ร่างเล็กแต่กำยำ ผิวคล้ำ ผมขาว นัยน์ตาดุ ชอบร่ำสุราเป็นอาจิณ เล่ากันว่าน้ำตาลเมากับปลาสลิดย่างเป็นของโปรดที่สุด ลูกเต้าเติบโตก็ไปอยู่กรุงเทพฯ หมด ตาแร่มอยู่กับยายเหลือสองคน ช่วยกันหากินทางตัดไม้โกงกางมาเผาถ่านขายตั้งแต่ครั้งหนุ่มสาวแล้ว
สองผัวเมียมีเรือขุดแบบโบราณทำจากไม้ตะเคียน สำหรับใช้ขนไม้ตะเคียนที่ตัดมาเต็มลำ...หลายๆ คนเชื่อว่าไม้ตะเคียนมีผีสิง แต่เราก็ใช้ทำเรือขุดมาหลายชั่วคนแล้วล่ะค่ะ
วันหนึ่งตาแร่มเสร็จงานก็เมาน้ำตาลอยู่หลังบ้าน ยายเหลือจะมาตักน้ำหรืออาบน้ำก็ไม่ทราบแน่ชัด ตาแร่มเรียกหาปลาสลิดย่างก็ไม่มีเสียงขานรับ ครั้นขัดใจลุกออกไปดูก็เห็นเมียแกคว่ำหน้าตายปริ่มๆ น้ำ
ลือกันว่าผีน้ำมาเอายายเหลือไปก็มี เชื่อว่าเป็นอาถรรพณ์เรือตะเคียนก็มี!
งานศพผ่านไปแล้ว พวกลูกๆ กลับไปหมด ตาแร่ม ออกไปตัดไม้โกงกางหากินตามเดิม ชาวบ้านเคยเห็นสองตายายบรรทุกไม้กลับบ้าน ใช้กระดานพาดเรือกับชายฝั่ง แล้วช่วยกันขนขึ้นซ้อนไว้เป็นกองใหญ่หน้าบ้าน...บัดนี้ตาแร่มต้องทำเองคนเดียวทั้งหมด
หน้าตาแกหมองคล้ำลงไปทุกที ท่าทางดูหมดอาลัยตายอยาก ตอนเย็นๆ ก็นั่งซดน้ำตาลริมคลองคนเดียว สูบยาแดงวาบๆ จนเด็กเห็นตอนโพล้เพล้ถึงกับวิ่งอ้าวนึกว่าโดนผีหลอก
เคยเผาถ่านเองก็ขายไม้ถูกๆ ให้เขาเอาไปเผา เอาไปส่งโรงงานน้ำตาล แกเองก็ไม่ค่อยออกเรือไปตัดไม้โกง กางมาขายเหมือนเมื่อก่อน
หลายคนเคยเห็นแกนั่งซดน้ำตาลเงียบเชียบ จู่ๆ ก็กวักมือไปที่เรือขุด ร้องเรียกเสียงดังจนได้ยินว่า...ขึ้นมาหาข้าซี ยายเหลือเอ๊ย! แกจะมัวนั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่คนเดียวทำไม?
มองไปที่เรือโคลงเคลงนิดๆ ตามระลอกคลื่นก็ไม่เห็นใครซักคนเดียว เล่นเอารีบเดินหนีแข้งขาสั่น หัวใจเต้นครึกโครมไปตามๆ กัน
ต่อมาไม่นาน ก็มีคนพบศพตาแร่มนอนหงายเหยียดยาวอยู่ในเรือขุดของแก...นัยน์ตาเบิกโพลง มีแววสดใสคล้ายเห็นหน้าใครที่แกรอคอยมานานแสนนาน
บ้านเล็กๆ หลังคาสังกะสีเก่าคร่ำก็กลายเป็นบ้านร้าง ในที่สุดก็ทรุดโทรมลงไปกองกับพื้น เรือขุดไม้ตะเคียนก็ไม่มีใครแยแส กลายเป็นเรือรั่วแตกร้าว...จมหายไปใต้น้ำ เหลือแต่เรื่องเล่าน่าขนหัวลุกมาถึงทุกวันนี้เท่านั้นเองค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม 2557
ดิฉันเป็นคน ต.ยี่สาร อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม ที่เรียกกันติดปากว่า "แม่กลอง" ตั้งแต่สมัยก่อนมาถึงทุกวันนี้แหละค่ะ
สมัยเด็กๆ ได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า ต.ยี่สาร มีพื้นที่เป็นป่าชายเลนมากที่สุดในอัมพวา ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพตัดไม้แถวนั้นไปขายโรงงานน้ำตาล เช่น ไม้ขวาก ไม้ตะบูน เป็นต้น ก่อนที่จะเริ่มปลูกไม้โกงกางมากขึ้น
ตอนแรกๆ ก็ตัดไปขายให้ชาวประมงนำไปเป็นเสาผูกเรือกับผูกโป๊ะเรือ จนมีคนค้นพบคุณภาพวิเศษของไม้ชนิดนี้ในเวลาต่อมา...นั่นคือนำไปเผาถ่านจะได้ถ่านดีที่สุดค่ะ!
มีการหาพันธุ์ไม้โกงกางมาปลูกกันยกใหญ่ กลายเป็นอาชีพหลักที่มีเตาเผาถ่านทั้งเล็กและใหญ่แทบทุกบ้าน ไปตัดไม้โกงกางก็จะเพาะพันธุ์กล้าไม้ไว้เพื่อนำไปปลูกทดแทน
"ยิ่งเผาถ่าน ป่ายิ่งเพิ่ม!!" คำพูดนี้เป็นความจริงค่ะ เพราะเราตัดไม้มาแล้วก็ปลูกขึ้นใหม่ ชาวยี่สารเห็นคุณ ค่าของไม้โกงกาง ขนาดมีการลงแขกกันปลูกกล้าไม้ กับช่วยกันขนถ่านไปโรงงาน นอกเหนือจากเรื่องอื่นๆ ที่พวกเราล้วนแต่ช่วยกันคนละไม้ละมือมาตลอด
เช่น การทำบุญ ชาวยี่สารก็จะทิ้งบ้านไปทำบุญกันหมดทุกคน ไม่ต้องมีการเฝ้าบ้าน ไม่เคยมีของหาย เวลามีคนตาย ญาติๆ ไม่จำเป็นต้องออกปากเชิญใคร แต่เพื่อนบ้านจะบอกข่าวกันต่อๆ ไป ไม่ช้าชาวบ้านก็แห่แหนมาเยี่ยมศพในวันแรกๆ จนเป็นประเพณีไปแล้ว
อ้อ! การไปงานศพน่ะไม่ได้ไปตัวเปล่านะคะ ทุกคนจะหอบหิ้วข้าวสาร น้ำตาล พริก หอม กระเทียม ไปช่วยเจ้าภาพอีกด้วย
ตอนเด็กๆ ไม่ว่าหญิงหรือชายก็ซุกซนพอกัน เช่น ชอบว่ายน้ำไปเกาะเรือโยงบ้าง จนถึงเล่นไต่เชือกที่ผูกโยงระหว่างเรือลำต่างๆ บางทีก็พกหนังสติ๊กเข้าสวน คอยยิงกระรอกตามสวนมะพร้าว เข้าสวนนั้นออกสวนนี้ได้ตามใจชอบ ไม่มีใครห้ามหวงเลย
สาเหตุก็คือกระรอกมันชอบแทะกินลูกมะพร้าวอ่อนๆให้เสียหาย ใครยิงกระรอกได้ 1 ตัว ก็จะได้รับมะพร้าวเป็นรางวัลถึง 10 ลูกเชียวค่ะ
นึกถึงบรรยากาศของเรือกสวนร่มรื่น ปกคลุมด้วยเงาไม้เงียบสงบในครั้งนั้นก็อดใจหายไม่ได้ จำได้ว่าแม่น้ำลำคลองยังใสสะอาด กุ้ง ปลาชุกชุม ตามท่าเทียบเรือน่ะเขาจับกุ้งตัวใหญ่ๆ ด้วยมือเปล่าได้อย่างสบายมาก
พูดถึงลำคลองทำให้นึกถึงตาแร่มขึ้นมา!
ชายชราอายุห้าสิบเศษ ร่างเล็กแต่กำยำ ผิวคล้ำ ผมขาว นัยน์ตาดุ ชอบร่ำสุราเป็นอาจิณ เล่ากันว่าน้ำตาลเมากับปลาสลิดย่างเป็นของโปรดที่สุด ลูกเต้าเติบโตก็ไปอยู่กรุงเทพฯ หมด ตาแร่มอยู่กับยายเหลือสองคน ช่วยกันหากินทางตัดไม้โกงกางมาเผาถ่านขายตั้งแต่ครั้งหนุ่มสาวแล้ว
สองผัวเมียมีเรือขุดแบบโบราณทำจากไม้ตะเคียน สำหรับใช้ขนไม้ตะเคียนที่ตัดมาเต็มลำ...หลายๆ คนเชื่อว่าไม้ตะเคียนมีผีสิง แต่เราก็ใช้ทำเรือขุดมาหลายชั่วคนแล้วล่ะค่ะ
วันหนึ่งตาแร่มเสร็จงานก็เมาน้ำตาลอยู่หลังบ้าน ยายเหลือจะมาตักน้ำหรืออาบน้ำก็ไม่ทราบแน่ชัด ตาแร่มเรียกหาปลาสลิดย่างก็ไม่มีเสียงขานรับ ครั้นขัดใจลุกออกไปดูก็เห็นเมียแกคว่ำหน้าตายปริ่มๆ น้ำ
ลือกันว่าผีน้ำมาเอายายเหลือไปก็มี เชื่อว่าเป็นอาถรรพณ์เรือตะเคียนก็มี!
งานศพผ่านไปแล้ว พวกลูกๆ กลับไปหมด ตาแร่ม ออกไปตัดไม้โกงกางหากินตามเดิม ชาวบ้านเคยเห็นสองตายายบรรทุกไม้กลับบ้าน ใช้กระดานพาดเรือกับชายฝั่ง แล้วช่วยกันขนขึ้นซ้อนไว้เป็นกองใหญ่หน้าบ้าน...บัดนี้ตาแร่มต้องทำเองคนเดียวทั้งหมด
หน้าตาแกหมองคล้ำลงไปทุกที ท่าทางดูหมดอาลัยตายอยาก ตอนเย็นๆ ก็นั่งซดน้ำตาลริมคลองคนเดียว สูบยาแดงวาบๆ จนเด็กเห็นตอนโพล้เพล้ถึงกับวิ่งอ้าวนึกว่าโดนผีหลอก
เคยเผาถ่านเองก็ขายไม้ถูกๆ ให้เขาเอาไปเผา เอาไปส่งโรงงานน้ำตาล แกเองก็ไม่ค่อยออกเรือไปตัดไม้โกง กางมาขายเหมือนเมื่อก่อน
หลายคนเคยเห็นแกนั่งซดน้ำตาลเงียบเชียบ จู่ๆ ก็กวักมือไปที่เรือขุด ร้องเรียกเสียงดังจนได้ยินว่า...ขึ้นมาหาข้าซี ยายเหลือเอ๊ย! แกจะมัวนั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่คนเดียวทำไม?
มองไปที่เรือโคลงเคลงนิดๆ ตามระลอกคลื่นก็ไม่เห็นใครซักคนเดียว เล่นเอารีบเดินหนีแข้งขาสั่น หัวใจเต้นครึกโครมไปตามๆ กัน
ต่อมาไม่นาน ก็มีคนพบศพตาแร่มนอนหงายเหยียดยาวอยู่ในเรือขุดของแก...นัยน์ตาเบิกโพลง มีแววสดใสคล้ายเห็นหน้าใครที่แกรอคอยมานานแสนนาน
บ้านเล็กๆ หลังคาสังกะสีเก่าคร่ำก็กลายเป็นบ้านร้าง ในที่สุดก็ทรุดโทรมลงไปกองกับพื้น เรือขุดไม้ตะเคียนก็ไม่มีใครแยแส กลายเป็นเรือรั่วแตกร้าว...จมหายไปใต้น้ำ เหลือแต่เรื่องเล่าน่าขนหัวลุกมาถึงทุกวันนี้เท่านั้นเองค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม 2557
25 กุมภาพันธ์ 2558
ปู่โสมเฝ้าทรัพย์
"วันชัย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเจดีย์อาถรรพณ์
สมัยเด็กผมอยู่บ้านเจดีย์หัก ปราจีนบุรี ถ้าลงเรือหางยาวจากตัวเมืองมาก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง เพราะยังไม่มีถนนตัดผ่านเหมือนทุกวันนี้
บ้านริมน้ำมีท่าสำหรับจอดเรือและอาบน้ำอยู่ หน้าบ้าน ริมตลิ่งมีต้นสนุ่นเรียงเป็นแถว ผมชอบมองตอนมันพลิกใบกระทบแสงแดดเป็นมันวับเชียว พ่อแม่บอกว่ารากสนุ่นช่วยยึดดินไม่ให้พังลงน้ำง่ายๆ คล้ายกับหญ้าแฝกน่ะแหละครับ
หลังบ้านผมมีบันไดลงไปทางรั้วหนามไผ่ ประตูสังกะสีติดขอบไม้ ตกค่ำต้องผูกโซ่คล้องกุญแจไว้ สาเหตุเพราะก่อนนั้นมีโจรผู้ร้ายชุกชุมจนต้องป้องกันเอาไว้ก่อน ที่ดังๆ ก็เสือสนธ์ พลมา ฉายา "ขุนโจร ร้อยศพ" แต่ห่างบ้านผมไปคนละอำเภอ
แถวริมรั้วค่อนข้างร่มครึ้ม เพราะนอกจากต้นมะม่วงใหญ่ๆ ทั้งอกร่อง สามฤดูและมะม่วงแก้วหลายต้น ก็ยังมีทั้งกล้วย มะละกอ ข่า ตะไคร้ มะกรูด มะพร้าวอีกสามต้นสูงลิบเชียว มะพร้าวแกงครับ ไม่ใช่มะพร้าวอ่อน
ออกจากรั้วไปก็คือทุ่งนาเวิ้งว้าง สุดลูกหูลูกตา
ที่น่ากลัวสุดๆ คือ...วัดเจดีย์หัก!!
ความจริงน่ะไม่มีวัดเหลืออยู่แล้ว แม้แต่ซากยังไม่มี นอกจากเจดีย์ยอดด้วนเอียงกระเท่เร่องค์เดียว ชาวบ้านเรียกว่าเจดีย์หักครับ
ได้ยินเขาร่ำลือกันมานานแล้ว ว่าใต้เจดีย์นั่นมีสมบัติโบราณฝังไว้สมัยกรุงแตก บางคนก็ว่ามีมาก่อนนั้น ด้วยซ้ำ เจ้าของเขาฝังไว้กับศพทาส กำชับให้เฝ้าสมบัติไว้จนกว่าเจ้าของจะกลับมาเอา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้มาหรอกครับ สงสัยว่าคงจะตายไปเสียตั้งนมนานแล้ว
ต่อมาเกิดโรคระบาดหนัก ผู้คนล้มตายกันมาก แม้พระเณรก็เช่นกัน ต้องอพยพ หลบภัยไปอยู่ที่อื่นกันหมด วัดนั้นก็เลยกลายเป็นวัดร้างมาเกือบร้อยปี
ตาสอนขี้เมาชอบแวะมาคุยที่บ้านบ่อยๆ อ้างว่าติดใจฝีมือน้ำปลาหวานของแม่ จะจิ้มด้วยมะม่วงหรือกระท้อนก็อร่อยทั้งนั้น แต่ผมว่าแกติดใจเหล้าที่พ่อยกมา ให้กินมากกว่า
ตาสอนนี่แหละที่เล่าเรื่องผีดุที่วัดเจดีย์หักให้ฟัง!
บอกตามตรงว่าผมไม่เคยย่างกรายไปที่นั่นมาก่อนเลย เพราะความกลัวผีตามประสาเด็ก ขนาดนั่งเรือผ่านตอนเย็นๆ มองเห็นเจดีย์หักสีทึมๆ นั่นก็รู้สึกเสียวสันหลังพิลึก
แกเล่าว่าเมื่อก่อนเคยมีคนดอดไปขุดกรุใต้เจดีย์เพื่อหาสมบัติ ขนาดไปกันสามคนยังเจอผีหลอกจนวิ่งหนีไม่คิดชีวิตไปตามๆ กัน
พวกนั้นเล่าว่า ขณะที่กำลังขุดหาสมบัติกันเหย็งๆ ก็เกิดลมพัดอู้ๆ หนักหน่วงทั้งที่ท้องฟ้ายังขาวกระจ่าง เห็นดาวระยิบระยับ พอขุดต่อก็ได้ยินเสียงหัวเราะแหบโหยดังขึ้นใกล้ๆ ตอนแรกนึกว่าเป็นเสียงลมพัดแรงก็เลยไม่สนใจ
ที่ไหนได้ล่ะ เสียงหัวเราะดังขึ้นทุกทีเหมือนมีใครโผล่เข้ามาอยู่ใกล้ๆ
คราวนี้หันขวับไปมองพร้อมกัน เสียงหัวเราะดังมาจากเหนือหัว เงยหน้าขึ้นไปก็มองเห็นภาพน่าขนหัวลุกปรากฏขึ้นบนเจดีย์หักนั่นเอง!
นั่นคือร่างดำทะมึนยืนจังก้า ก้มลงมองด้วยนัยน์ตาแดงจ้าอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ ในมือถือดาบเล่มใหญ่ขาววับ พลางเงื้อขึ้นช้าๆ แต่นักขุดกรุทั้งสามร้องจ้า จอบเสียมหลุดจากมือ ผงะหน้า นัยน์ตาเหลือกลานด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
หันหลังกลับ แผดร้องโหวกโหวย เผ่นกระเจิงไปคนละทิศละทาง...รุ่งขึ้นจับไข้เพ้อคลั่งอยู่หลายวันกว่าจะทุเลา
"โอ๊ย! กลัวแล้ว...ไม่เอาแล้ว! ปู่โสมอย่าฆ่าฉันเลย..."
เสียงเพ้อโอดโอยครวญคราง บางทีก็ลืมตาโพลง จ้องมองอย่างหวาดกลัว เล่นเอาญาติมิตรที่เฝ้าไข้พลอยทำหน้าเลิ่กลั่ก มองซ้ายมองขวา ขนลุกขนพองด้วยความกลัว ทุกคน
ตาสอนเล่าอีกว่า ต่อมามีผัวเมียชราชื่อตาแช่มกับยายจาด เที่ยวบอกใครๆ ว่ามีปู่โสมมาเข้าฝันให้ไปขุดสมบัติ! คนอื่นๆ ส่ายหน้ายอมกลัว แต่สองผัวเมียบุกบั่นไปเจดีย์หักตอนกลางคืน คิดว่าจะได้พบกับขุมทรัพย์ปู่โสมเข้าจริงๆ
ลงเอยด้วยการซมซานกลับบ้าน ตาแช่มนอนเจ็บอยู่ 2-3 วันก็สิ้นใจ ส่วนยายจาดกลายเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ ชี้ไม้ชี้มือไปที่นั่นที่นี่ ร้องว่านั่นไงทอง! ทองคำทั้งนั้นเลย...แล้วก็ร้องไห้โฮ เสียงเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน
เมื่อตาสอนกลับไปแล้ว พ่อก็บอกว่าอย่างไปเชื่อถือเป็นจริงเป็นจังนักเลย พ่อเองก็เคยฟังมาตั้งแต่เด็กๆ ป่านนี้ไม่มีผีสางเหลืออยู่แล้ว
ผมก็เชื่อพ่อครับ แต่ตอนกลางคืนมองผ่านหน้าต่างไปที่เจดีย์หัก ทำไมผมเห็นมียอดแหลมๆ ก็ไม่รู้ เหมือนมีใครนั่งยองๆ แล้วชูดาวขึ้นเหนือหัวเล่นเอาต้องเผ่นเข้ามุ้งทันที!
เดี๋ยวนี้ความเจริญรุกล้ำเข้ามา ไม่เหลือซากเจดีย์หัก ให้เห็นอีกต่อไปแล้วครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 27 ตุลาคม 2557
สมัยเด็กผมอยู่บ้านเจดีย์หัก ปราจีนบุรี ถ้าลงเรือหางยาวจากตัวเมืองมาก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งชั่วโมง เพราะยังไม่มีถนนตัดผ่านเหมือนทุกวันนี้
บ้านริมน้ำมีท่าสำหรับจอดเรือและอาบน้ำอยู่ หน้าบ้าน ริมตลิ่งมีต้นสนุ่นเรียงเป็นแถว ผมชอบมองตอนมันพลิกใบกระทบแสงแดดเป็นมันวับเชียว พ่อแม่บอกว่ารากสนุ่นช่วยยึดดินไม่ให้พังลงน้ำง่ายๆ คล้ายกับหญ้าแฝกน่ะแหละครับ
หลังบ้านผมมีบันไดลงไปทางรั้วหนามไผ่ ประตูสังกะสีติดขอบไม้ ตกค่ำต้องผูกโซ่คล้องกุญแจไว้ สาเหตุเพราะก่อนนั้นมีโจรผู้ร้ายชุกชุมจนต้องป้องกันเอาไว้ก่อน ที่ดังๆ ก็เสือสนธ์ พลมา ฉายา "ขุนโจร ร้อยศพ" แต่ห่างบ้านผมไปคนละอำเภอ
แถวริมรั้วค่อนข้างร่มครึ้ม เพราะนอกจากต้นมะม่วงใหญ่ๆ ทั้งอกร่อง สามฤดูและมะม่วงแก้วหลายต้น ก็ยังมีทั้งกล้วย มะละกอ ข่า ตะไคร้ มะกรูด มะพร้าวอีกสามต้นสูงลิบเชียว มะพร้าวแกงครับ ไม่ใช่มะพร้าวอ่อน
ออกจากรั้วไปก็คือทุ่งนาเวิ้งว้าง สุดลูกหูลูกตา
ที่น่ากลัวสุดๆ คือ...วัดเจดีย์หัก!!
ความจริงน่ะไม่มีวัดเหลืออยู่แล้ว แม้แต่ซากยังไม่มี นอกจากเจดีย์ยอดด้วนเอียงกระเท่เร่องค์เดียว ชาวบ้านเรียกว่าเจดีย์หักครับ
ได้ยินเขาร่ำลือกันมานานแล้ว ว่าใต้เจดีย์นั่นมีสมบัติโบราณฝังไว้สมัยกรุงแตก บางคนก็ว่ามีมาก่อนนั้น ด้วยซ้ำ เจ้าของเขาฝังไว้กับศพทาส กำชับให้เฝ้าสมบัติไว้จนกว่าเจ้าของจะกลับมาเอา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้มาหรอกครับ สงสัยว่าคงจะตายไปเสียตั้งนมนานแล้ว
ต่อมาเกิดโรคระบาดหนัก ผู้คนล้มตายกันมาก แม้พระเณรก็เช่นกัน ต้องอพยพ หลบภัยไปอยู่ที่อื่นกันหมด วัดนั้นก็เลยกลายเป็นวัดร้างมาเกือบร้อยปี
ตาสอนขี้เมาชอบแวะมาคุยที่บ้านบ่อยๆ อ้างว่าติดใจฝีมือน้ำปลาหวานของแม่ จะจิ้มด้วยมะม่วงหรือกระท้อนก็อร่อยทั้งนั้น แต่ผมว่าแกติดใจเหล้าที่พ่อยกมา ให้กินมากกว่า
ตาสอนนี่แหละที่เล่าเรื่องผีดุที่วัดเจดีย์หักให้ฟัง!
บอกตามตรงว่าผมไม่เคยย่างกรายไปที่นั่นมาก่อนเลย เพราะความกลัวผีตามประสาเด็ก ขนาดนั่งเรือผ่านตอนเย็นๆ มองเห็นเจดีย์หักสีทึมๆ นั่นก็รู้สึกเสียวสันหลังพิลึก
แกเล่าว่าเมื่อก่อนเคยมีคนดอดไปขุดกรุใต้เจดีย์เพื่อหาสมบัติ ขนาดไปกันสามคนยังเจอผีหลอกจนวิ่งหนีไม่คิดชีวิตไปตามๆ กัน
พวกนั้นเล่าว่า ขณะที่กำลังขุดหาสมบัติกันเหย็งๆ ก็เกิดลมพัดอู้ๆ หนักหน่วงทั้งที่ท้องฟ้ายังขาวกระจ่าง เห็นดาวระยิบระยับ พอขุดต่อก็ได้ยินเสียงหัวเราะแหบโหยดังขึ้นใกล้ๆ ตอนแรกนึกว่าเป็นเสียงลมพัดแรงก็เลยไม่สนใจ
ที่ไหนได้ล่ะ เสียงหัวเราะดังขึ้นทุกทีเหมือนมีใครโผล่เข้ามาอยู่ใกล้ๆ
คราวนี้หันขวับไปมองพร้อมกัน เสียงหัวเราะดังมาจากเหนือหัว เงยหน้าขึ้นไปก็มองเห็นภาพน่าขนหัวลุกปรากฏขึ้นบนเจดีย์หักนั่นเอง!
นั่นคือร่างดำทะมึนยืนจังก้า ก้มลงมองด้วยนัยน์ตาแดงจ้าอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญ ในมือถือดาบเล่มใหญ่ขาววับ พลางเงื้อขึ้นช้าๆ แต่นักขุดกรุทั้งสามร้องจ้า จอบเสียมหลุดจากมือ ผงะหน้า นัยน์ตาเหลือกลานด้วยความหวาดกลัวสุดขีด
หันหลังกลับ แผดร้องโหวกโหวย เผ่นกระเจิงไปคนละทิศละทาง...รุ่งขึ้นจับไข้เพ้อคลั่งอยู่หลายวันกว่าจะทุเลา
"โอ๊ย! กลัวแล้ว...ไม่เอาแล้ว! ปู่โสมอย่าฆ่าฉันเลย..."
เสียงเพ้อโอดโอยครวญคราง บางทีก็ลืมตาโพลง จ้องมองอย่างหวาดกลัว เล่นเอาญาติมิตรที่เฝ้าไข้พลอยทำหน้าเลิ่กลั่ก มองซ้ายมองขวา ขนลุกขนพองด้วยความกลัว ทุกคน
ตาสอนเล่าอีกว่า ต่อมามีผัวเมียชราชื่อตาแช่มกับยายจาด เที่ยวบอกใครๆ ว่ามีปู่โสมมาเข้าฝันให้ไปขุดสมบัติ! คนอื่นๆ ส่ายหน้ายอมกลัว แต่สองผัวเมียบุกบั่นไปเจดีย์หักตอนกลางคืน คิดว่าจะได้พบกับขุมทรัพย์ปู่โสมเข้าจริงๆ
ลงเอยด้วยการซมซานกลับบ้าน ตาแช่มนอนเจ็บอยู่ 2-3 วันก็สิ้นใจ ส่วนยายจาดกลายเป็นคนคุ้มดีคุ้มร้าย เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ ชี้ไม้ชี้มือไปที่นั่นที่นี่ ร้องว่านั่นไงทอง! ทองคำทั้งนั้นเลย...แล้วก็ร้องไห้โฮ เสียงเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน
เมื่อตาสอนกลับไปแล้ว พ่อก็บอกว่าอย่างไปเชื่อถือเป็นจริงเป็นจังนักเลย พ่อเองก็เคยฟังมาตั้งแต่เด็กๆ ป่านนี้ไม่มีผีสางเหลืออยู่แล้ว
ผมก็เชื่อพ่อครับ แต่ตอนกลางคืนมองผ่านหน้าต่างไปที่เจดีย์หัก ทำไมผมเห็นมียอดแหลมๆ ก็ไม่รู้ เหมือนมีใครนั่งยองๆ แล้วชูดาวขึ้นเหนือหัวเล่นเอาต้องเผ่นเข้ามุ้งทันที!
เดี๋ยวนี้ความเจริญรุกล้ำเข้ามา ไม่เหลือซากเจดีย์หัก ให้เห็นอีกต่อไปแล้วครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 27 ตุลาคม 2557
24 กุมภาพันธ์ 2558
มะเดื่อที่ดงหลวง
"ทิดเที่ยง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากมะเดื่อผีสิง
ผมเป็นคนดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ตั้งแต่สมัยยังเป็นแค่ตำบล ขึ้นกับอำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ต้นไม้ใหญ่น้อยแน่นหนา ป่าดงอุดมสมบูรณ์จึงได้ ชื่อว่า "ดงหลวง" ดินแดนแห่งเทือกเขาที่โด่งดังมาเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนนั่นไงครับ
วันนี้ผมมีเรื่องผีดุสุดขีดมาเล่าสู่กันฟัง!
สาเหตุเกิดจากความรักใคร่ของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง คือทิดโพนกับแม่เอื้อย ฝ่ายชายเป็นแค่ลูกจ้างทำนา ส่วนฝ่ายหญิงเป็นลูกผู้ใหญ่อ่ำ ฐานะมั่งคั่ง มีนาให้เช่านับร้อยไร่ เอื้อยเป็นสาวสวยประจำตำบล จึงมีหนุ่มๆ หมายปองอยู่มากหน้า
กิตติศัพท์โด่งดังไปถึงจังหวัด นายฤทธิ์ลูกชายเจ้าของโรงสีเห็นเอื้อยเข้าก็หลงรักจนให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอ ผู้ใหญ่อ่ำเรียกสินสอดทองหมั้นได้จุใจก็ตกลงยกลูกสาวให้ แต่เอื้อยผูกใจรักแต่ทิดโพนคนเดียวเท่านั้น
วันแต่งงาน เอื้อยก็หลบไปผูกคอตายที่ต้นมะเดื่อหลังหมู่บ้านนั่นเอง!
กว่าผู้ใหญ่อ่ำกับนายฤทธิ์จะติดตามมาพบ เอื้อยก็กลายเป็นศพห้อยโตงเตงอยู่ในชุดวิวาห์ หน้าเขียวคล้ำลิ้นจุกปาก นัยน์ตาเหลือกลาน มีมดดำนับร้อยๆ กำลังไต่ตอมอยู่เต็มหน้า
ศพเอื้อยไปนอนที่วัดแล้ว แต่วิญญาณของเธอ ยังอยู่...
ต่อมาไม่นานก็มีคนเห็นผู้หญิงชุดขาวย่องไปที่กระท่อมทิดโพนบ่อยๆ แต่เมื่อมีใครไปซักถามพี่ทิดก็ไม่ยอมปริปาก เอาแต่ถอนใจเศร้าๆ ส่ายหน้าลูกเดียว...จนกระทั่งชาวบ้านดงหลวงถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ หลายคน
ยายอุ่นไปเก็บใบมะเดื่ออ่อนๆ มาจิ้มน้ำพริก แถวนั้นมีทั้งป่ามะม่วงกับป่าไผ่ ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวเพราะอยู่ห่างจากหมู่บ้าน...ทันใดนั้น เมฆหนาทึบก็บดบังแสงแดดจนร่มครึ้ม สรรพสิ่งเงียบกริบลงกะทันหัน
ลมไม่พัด ใบไม้ไม่กระดิก กอไผ่ที่เคยโอนเอนออดแอดกลับสงบนิ่งไปดื้อๆ
เหมือนตกอยู่ในโลกร้าง บรรยากาศเยือกเย็นน่าขนหัวลุก!
ยายอุ่นนึกถึงภาพเจ้าสาวผู้หนีมาผูกคอตายที่มะเดื่อต้นนั้น เล่นเอาปากคอแห้งผาก เสียวสันหลังวาบ ใจสั่นมือสั่น แต่หญิงชราอุตส่าห์แข็งใจเด็ดใบมะเดื่ออ่อนๆ ได้ขยุ้มหนึ่งก็ทำท่าว่าจะกลับบ้าน
ทันใดนั้น เสียงขู่ฟ่อๆ ก็ดังอยู่เหนือหัว ยายอุ่นสะดุ้งเฮือก เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นแมวดำตัวใหญ่ นัยน์ตา แดงจ้า แยกเขี้ยวดุร้าย ก่อนจะกระโจนใส่หญิงชราอย่างดุเดือด
"เฮ้ย! อะไรกันโว้ย...ไป๊! ชู้ว์ๆ"
"แกนั่นแหละ ไป๊! ไสหัวไปให้พ้นบ้านข้าเดี๋ยวนี้"
แมวอุบาทว์แผดเสียงเป็นภาษาคนทันใด เล่นเอายายอุ่นร้องโหวกโหวย เผ่นอ้าวไม่คิดชีวิต ใบมะเดื่อหลุดจากมือ ผ้าผ่อนก็หลุดลุ่ย แมวผีสิงนั่นก็วิ่งตามมาติดๆ ยายอุ่นตะโพงหนีจนมาสลบอยู่บ้านของแกนั่นเอง!
เจ้าก้อนเพื่อนนายฤทธิ์ กำลังชักเกวียนจากนากลับบ้านตอนเย็น ครั้นถึงมะเดื่อต้นนั้น สรรพสิ่งก็เงียบกริบ นอกจากเสียงล้อเกวียนออดแอดกับกระดึงผูกคอวัวเท่านั้นที่ดังอยู่
จู่ๆ ยอดมะเดื่อก็เขย่าเกรียวกราวขึ้นมา! เจ้าก้อนเงยหน้ามองก็แทบหัวใจหยุดเต้น เมื่อเห็นร่างขาวโพลนของผู้หญิงหนึ่งยืนอยู่บนกิ่งมะเดื่อที่แม่เอื้อยผูกคอตาย!
"เฮ้ย!" ร้องได้คำเดียวร่างนั้นก็ทิ้งตัวลงมาห้อยโตงเตง เล่นเอาเจ้าก้อนห้อเกวียนป่าราบ กระเด้งกระดอนเกือบพลิกคว่ำ ถึงจับไข้จับหนาวอยู่เกือบเดือน...ชาวบ้านอีกหลายคนก็โดนปีศาจแม่เอื้อยหลอกหลอนจนแทบจะเป็นบ้าเป็นหลังไปตามๆ กัน
ในที่สุดตาหมาสัปเหร่อก็ทนไม่ไหว ต้องนิมนต์หลวงตาฉ่ำมาทำพิธีไล่ผีแม่เอื้อยจะได้ไปผุดไปเกิดกับเขาเสียที
ชาวบ้านยกโขยงไปดูหลวงตาบริกรรมพระพุทธมนต์ ไม่ช้าก็เกิดพายุพัดอู้ๆ ดวงอาทิตย์ลับหายไปในกลุ่มเมฆหนาทึบ ป่ามะม่วงคำรามลั่น มะเดื่อสะบัดใบเกรียวกราว กอไผ่โยกตัวไปมาอย่างดุเดือด...หลวงตาฉ่ำก็ให้สัญญาณฟันมะเดื่อผีสิงทันใด!
"โอ๊ย! ตายแล้ว..."
เสียงแผดร้องโหยหวนบาดใจ เมื่อคมขวานฟันโครมเข้าที่โคนต้น หนุ่มสองคนหน้าซีดเผือดแข็งใจจามขวานต่อไปไม่หยุดยั้ง...ยางมะเดื่อไหลรินออกมาเป็นสีแดงฉานเหมือนเลือดสดๆ ไม่ผิดเลย
เสียงร้องโหยหวนดังเขย่าขวัญตลอดเวลา จนกระทั่งมะเดื่อผีสิงโค่นตึง ตามด้วยเสียงร้องกรี๊ด...บาดลึกลงไปถึงหัวใจเป็นครั้งสุดท้าย วิญญาณอันทนทุกข์ทรมานของแม่เอื้อยก็หายสาบสูญไปตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 24 ตุลาคม 2557
ผมเป็นคนดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร ตั้งแต่สมัยยังเป็นแค่ตำบล ขึ้นกับอำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ต้นไม้ใหญ่น้อยแน่นหนา ป่าดงอุดมสมบูรณ์จึงได้ ชื่อว่า "ดงหลวง" ดินแดนแห่งเทือกเขาที่โด่งดังมาเมื่อสามสิบกว่าปีก่อนนั่นไงครับ
วันนี้ผมมีเรื่องผีดุสุดขีดมาเล่าสู่กันฟัง!
สาเหตุเกิดจากความรักใคร่ของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง คือทิดโพนกับแม่เอื้อย ฝ่ายชายเป็นแค่ลูกจ้างทำนา ส่วนฝ่ายหญิงเป็นลูกผู้ใหญ่อ่ำ ฐานะมั่งคั่ง มีนาให้เช่านับร้อยไร่ เอื้อยเป็นสาวสวยประจำตำบล จึงมีหนุ่มๆ หมายปองอยู่มากหน้า
กิตติศัพท์โด่งดังไปถึงจังหวัด นายฤทธิ์ลูกชายเจ้าของโรงสีเห็นเอื้อยเข้าก็หลงรักจนให้ผู้ใหญ่มาสู่ขอ ผู้ใหญ่อ่ำเรียกสินสอดทองหมั้นได้จุใจก็ตกลงยกลูกสาวให้ แต่เอื้อยผูกใจรักแต่ทิดโพนคนเดียวเท่านั้น
วันแต่งงาน เอื้อยก็หลบไปผูกคอตายที่ต้นมะเดื่อหลังหมู่บ้านนั่นเอง!
กว่าผู้ใหญ่อ่ำกับนายฤทธิ์จะติดตามมาพบ เอื้อยก็กลายเป็นศพห้อยโตงเตงอยู่ในชุดวิวาห์ หน้าเขียวคล้ำลิ้นจุกปาก นัยน์ตาเหลือกลาน มีมดดำนับร้อยๆ กำลังไต่ตอมอยู่เต็มหน้า
ศพเอื้อยไปนอนที่วัดแล้ว แต่วิญญาณของเธอ ยังอยู่...
ต่อมาไม่นานก็มีคนเห็นผู้หญิงชุดขาวย่องไปที่กระท่อมทิดโพนบ่อยๆ แต่เมื่อมีใครไปซักถามพี่ทิดก็ไม่ยอมปริปาก เอาแต่ถอนใจเศร้าๆ ส่ายหน้าลูกเดียว...จนกระทั่งชาวบ้านดงหลวงถูกผีหลอกกลางวันแสกๆ หลายคน
ยายอุ่นไปเก็บใบมะเดื่ออ่อนๆ มาจิ้มน้ำพริก แถวนั้นมีทั้งป่ามะม่วงกับป่าไผ่ ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวเพราะอยู่ห่างจากหมู่บ้าน...ทันใดนั้น เมฆหนาทึบก็บดบังแสงแดดจนร่มครึ้ม สรรพสิ่งเงียบกริบลงกะทันหัน
ลมไม่พัด ใบไม้ไม่กระดิก กอไผ่ที่เคยโอนเอนออดแอดกลับสงบนิ่งไปดื้อๆ
เหมือนตกอยู่ในโลกร้าง บรรยากาศเยือกเย็นน่าขนหัวลุก!
ยายอุ่นนึกถึงภาพเจ้าสาวผู้หนีมาผูกคอตายที่มะเดื่อต้นนั้น เล่นเอาปากคอแห้งผาก เสียวสันหลังวาบ ใจสั่นมือสั่น แต่หญิงชราอุตส่าห์แข็งใจเด็ดใบมะเดื่ออ่อนๆ ได้ขยุ้มหนึ่งก็ทำท่าว่าจะกลับบ้าน
ทันใดนั้น เสียงขู่ฟ่อๆ ก็ดังอยู่เหนือหัว ยายอุ่นสะดุ้งเฮือก เงยหน้าขึ้นมองก็เห็นแมวดำตัวใหญ่ นัยน์ตา แดงจ้า แยกเขี้ยวดุร้าย ก่อนจะกระโจนใส่หญิงชราอย่างดุเดือด
"เฮ้ย! อะไรกันโว้ย...ไป๊! ชู้ว์ๆ"
"แกนั่นแหละ ไป๊! ไสหัวไปให้พ้นบ้านข้าเดี๋ยวนี้"
แมวอุบาทว์แผดเสียงเป็นภาษาคนทันใด เล่นเอายายอุ่นร้องโหวกโหวย เผ่นอ้าวไม่คิดชีวิต ใบมะเดื่อหลุดจากมือ ผ้าผ่อนก็หลุดลุ่ย แมวผีสิงนั่นก็วิ่งตามมาติดๆ ยายอุ่นตะโพงหนีจนมาสลบอยู่บ้านของแกนั่นเอง!
เจ้าก้อนเพื่อนนายฤทธิ์ กำลังชักเกวียนจากนากลับบ้านตอนเย็น ครั้นถึงมะเดื่อต้นนั้น สรรพสิ่งก็เงียบกริบ นอกจากเสียงล้อเกวียนออดแอดกับกระดึงผูกคอวัวเท่านั้นที่ดังอยู่
จู่ๆ ยอดมะเดื่อก็เขย่าเกรียวกราวขึ้นมา! เจ้าก้อนเงยหน้ามองก็แทบหัวใจหยุดเต้น เมื่อเห็นร่างขาวโพลนของผู้หญิงหนึ่งยืนอยู่บนกิ่งมะเดื่อที่แม่เอื้อยผูกคอตาย!
"เฮ้ย!" ร้องได้คำเดียวร่างนั้นก็ทิ้งตัวลงมาห้อยโตงเตง เล่นเอาเจ้าก้อนห้อเกวียนป่าราบ กระเด้งกระดอนเกือบพลิกคว่ำ ถึงจับไข้จับหนาวอยู่เกือบเดือน...ชาวบ้านอีกหลายคนก็โดนปีศาจแม่เอื้อยหลอกหลอนจนแทบจะเป็นบ้าเป็นหลังไปตามๆ กัน
ในที่สุดตาหมาสัปเหร่อก็ทนไม่ไหว ต้องนิมนต์หลวงตาฉ่ำมาทำพิธีไล่ผีแม่เอื้อยจะได้ไปผุดไปเกิดกับเขาเสียที
ชาวบ้านยกโขยงไปดูหลวงตาบริกรรมพระพุทธมนต์ ไม่ช้าก็เกิดพายุพัดอู้ๆ ดวงอาทิตย์ลับหายไปในกลุ่มเมฆหนาทึบ ป่ามะม่วงคำรามลั่น มะเดื่อสะบัดใบเกรียวกราว กอไผ่โยกตัวไปมาอย่างดุเดือด...หลวงตาฉ่ำก็ให้สัญญาณฟันมะเดื่อผีสิงทันใด!
"โอ๊ย! ตายแล้ว..."
เสียงแผดร้องโหยหวนบาดใจ เมื่อคมขวานฟันโครมเข้าที่โคนต้น หนุ่มสองคนหน้าซีดเผือดแข็งใจจามขวานต่อไปไม่หยุดยั้ง...ยางมะเดื่อไหลรินออกมาเป็นสีแดงฉานเหมือนเลือดสดๆ ไม่ผิดเลย
เสียงร้องโหยหวนดังเขย่าขวัญตลอดเวลา จนกระทั่งมะเดื่อผีสิงโค่นตึง ตามด้วยเสียงร้องกรี๊ด...บาดลึกลงไปถึงหัวใจเป็นครั้งสุดท้าย วิญญาณอันทนทุกข์ทรมานของแม่เอื้อยก็หายสาบสูญไปตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 24 ตุลาคม 2557
22 กุมภาพันธ์ 2558
ปีศาจสายน้ำ
"กิ่งแก้ว" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากปีศาจสยอง
นึกถึงน้ำท่วมใหญ่เมื่อ 3-4 ปีก่อนแล้วสยองสุดๆ ค่ะ ขนาดน้ำท่วมมิดหัว ถนนก็กลายเป็นคลองที่มีน้ำขุ่นคลั่กเจิ่งนอง 3-4 เมตร เห็นแล้วก็ขนลุกขนพองค่ะ!
บางแห่งน้ำท่วมมิดหลังคา บางแห่งผู้คนต้องตะเกียกตะกายหนีขึ้นไปอยู่ชั้นสองยังแทบเอาตัวไม่รอดเลยค่ะ เดือดร้อนรวมกันเป็นแสนๆ ครอบครัวเหมือนตกนรกทั้งเป็น ของกินของใช้ขาดแคลนไปสารพัดอย่าง โดยเฉพาะน้ำกับอาหารที่ต้องชะเง้อรอคอยความช่วยเหลือจากทางการ กับองค์กรการกุศลต่างๆ ที่มาได้แต่ทางน้ำ
ผู้หญิงเดือดร้อนกว่าผู้ชายตรงที่ขาดของใช้สำคัญ จำเป็นที่สุดในรอบเดือนค่ะ
ที่อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ บ้านดิฉันน่ะ เกิดมาไม่เคยเห็นน้ำท่วมใหญ่ขนาดนี้ คนแก่กับเด็กๆ จมน้ำตายหลายคน เพราะน้ำป่าไหลทะลักเข้ามาตอนตี 1 ตี 2 ผู้คนตั้งหลักไม่ทันก็ถูกสายน้ำยมเชี่ยวกรากกลืนกินไปน่าอเนจอนาถใจ
ตาล้วนกับยายผลกลายเป็นผีที่เพิ่งพบศพ เด็กน้อยอีก 3 คนก็หมดโอกาสเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวอีกต่อไป
ลุงเอี่ยม-คนหาจิ้งหรีดขายยังสาบสูญไปใต้น้ำจนถึงเดี๋ยวนี้!
ถ้าจะว่าแกอุตริหาเรื่องก็คงไม่ยุติธรรมนะคะ ดิฉันว่า เพราะคนเราต้องทำมาหาเลี้ยงชีพตัวเอง ยิ่งมีหลายปากหลายท้องรออยู่ที่บ้าน เคยถนัดหากินอย่างไหนก็ต้องออกไปทำ ไม่มามัวเกี่ยงว่าฝนตก ฟ้าร้อง ฝนแล้งหรือหนาวนัก ร้อนนัก...
ความหิวมันไม่ยอมรับรู้ด้วยนี่นา
แกพายเรือออกไปหาจับจิ้งหรีดตามโคกเนินที่น้ำท่วมไม่ถึง เป็นสัมมาชีพที่หาเลี้ยงลูกเมียมาสิบกว่าปีแล้ว...แต่แล้วก็สาบสูญไปเลย ชาวบ้านเห็นแต่เรือที่พลิกคว่ำลอยลิ่วๆ ผ่านไป จำได้ว่าเป็นเรือลุงเอี่ยมแน่นอน
แต่เจ้าของเรือคงเอาชีวิตไปเซ่นแม่น้ำยมเสียแล้ว!
บ้านอยู่ใกล้ๆ กัน เห็นพวกลูกเมียแกกอดกันร้องไห้แล้วอดตันหัวอกไม่ได้...อกเขาอกเรานะคะ ศพก็ไม่พบ ไม่มีโอกาสประกอบพิธีกรรม ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายตามประเพณี...ไม่ต้องนึกถึงว่าขาดเสาหลักของครอบครัวไปแล้ว ลูกเมียที่ยังอยู่จะดิ้นรนต่อไปอย่างไร?
คุณพระช่วย! ไม่มีใครคาดฝันว่าคืนต่อมา วิญญาณลุงเอี่ยมก็กลับมาทั้งๆ ที่แม่น้ำยมยังล้นฝั่ง เชี่ยวกรากไม่หยุดหย่อน...
เย็นนั้นพวกเรานั่งชะเง้ออยู่ที่หน้าต่างชั้นบน รอคอยน้ำดื่ม อาหาร ไม้ขีดไฟ เทียนไขมาตั้งแต่ตอนสายๆ มีเรือแจกของแวะมาหลายลำแต่ก็ยังไม่พอแจกจ่ายผู้คนนับร้อยนับพันที่เหลืออยู่แต่เพียงความหวังอย่างเดียว
ยิ่งฝนตกซ้ำลงมาอีก ความหวังที่เหลือก็ยิ่งริบหรี่ลงไปทุกที!
เมฆหนาทึบดำทะมึน แผ่กระจายเต็มฟ้า เหมือนกับนกปีศาจกางปีกชั่วร้ายของมันลงมาครอบคลุมน่าสยดสยอง ฟ้าคำรามครืนๆ สะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวอกหัวใจของพวกเราทุกคน
จู่ๆ เสียงใครคนหนึ่งก็ตะโกนโหวกโหวยดังขึ้นมาจากแม่ยม...
"ตาอี่ยมกลับมาแล้วโว้ย!"
ดิฉันกับพ่อแม่หันขวับ แทบไม่เชื่อตาตัวเองว่าภาพนั้นจะเป็นความจริงไปได้ นอกจากจะเป็นภาพในความฝันเท่านั้นเอง!...แม้ว่าจะไร้แสงแดดแต่ก็มีความสว่างของยามเย็น ทำให้พวกเรามองเห็นลุงเอี่ยมกำลังนั่งพายเรือเอ้อระเหยอยู่ใกล้ๆ ฝั่ง น่าแปลกที่เรือของแกไม่ถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากกระชากลิ่วๆ ออกไป เช่นเดียวกับกอสวะกับท่อนไม้น้อยใหญ่ที่หมุนคว้าง สะเปะสะปะอยู่ในสายน้ำพลุ่งพล่าน
"ตาเอี่ยม..." เสียงแม่ครางกระเส่าอยู่ใกล้ๆ หู "แกเรือล่มจมน้ำตายไปแล้วตั้งแต่วานนี้เอง"
"แกคงรอดมาได้มั้ง?" พ่อว่า "เห็นแต่เรือคว่ำลอยน้ำไปเท่านั้นเอง แต่เอ๊ะ!" พ่อคงเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ "ตอนนี้แกนั่งเรืออยู่นี่นา..."
เสียงนั้นขาดหาย เมื่อลุงเอี่ยมหันมาโบกไม้โบกมือคล้ายจะทักทาย หรือกล่าวอำลา ก่อนที่เรือลำนั้นจะค่อยๆ เลือนรางจางหายไปต่อหน้าต่อตา ท่ามกลางเสียงลมพัดยอดไม้ซู่ซ่า ระคนกับเสียงคลื่นม้วนตัวไล่กันไม่หยุดหย่อน...
ขนหัวลุกน่ะซีคะ! บรื๋อส์...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 23 ตุลาคม 2557
นึกถึงน้ำท่วมใหญ่เมื่อ 3-4 ปีก่อนแล้วสยองสุดๆ ค่ะ ขนาดน้ำท่วมมิดหัว ถนนก็กลายเป็นคลองที่มีน้ำขุ่นคลั่กเจิ่งนอง 3-4 เมตร เห็นแล้วก็ขนลุกขนพองค่ะ!
บางแห่งน้ำท่วมมิดหลังคา บางแห่งผู้คนต้องตะเกียกตะกายหนีขึ้นไปอยู่ชั้นสองยังแทบเอาตัวไม่รอดเลยค่ะ เดือดร้อนรวมกันเป็นแสนๆ ครอบครัวเหมือนตกนรกทั้งเป็น ของกินของใช้ขาดแคลนไปสารพัดอย่าง โดยเฉพาะน้ำกับอาหารที่ต้องชะเง้อรอคอยความช่วยเหลือจากทางการ กับองค์กรการกุศลต่างๆ ที่มาได้แต่ทางน้ำ
ผู้หญิงเดือดร้อนกว่าผู้ชายตรงที่ขาดของใช้สำคัญ จำเป็นที่สุดในรอบเดือนค่ะ
ที่อำเภอวังชิ้น จังหวัดแพร่ บ้านดิฉันน่ะ เกิดมาไม่เคยเห็นน้ำท่วมใหญ่ขนาดนี้ คนแก่กับเด็กๆ จมน้ำตายหลายคน เพราะน้ำป่าไหลทะลักเข้ามาตอนตี 1 ตี 2 ผู้คนตั้งหลักไม่ทันก็ถูกสายน้ำยมเชี่ยวกรากกลืนกินไปน่าอเนจอนาถใจ
ตาล้วนกับยายผลกลายเป็นผีที่เพิ่งพบศพ เด็กน้อยอีก 3 คนก็หมดโอกาสเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวอีกต่อไป
ลุงเอี่ยม-คนหาจิ้งหรีดขายยังสาบสูญไปใต้น้ำจนถึงเดี๋ยวนี้!
ถ้าจะว่าแกอุตริหาเรื่องก็คงไม่ยุติธรรมนะคะ ดิฉันว่า เพราะคนเราต้องทำมาหาเลี้ยงชีพตัวเอง ยิ่งมีหลายปากหลายท้องรออยู่ที่บ้าน เคยถนัดหากินอย่างไหนก็ต้องออกไปทำ ไม่มามัวเกี่ยงว่าฝนตก ฟ้าร้อง ฝนแล้งหรือหนาวนัก ร้อนนัก...
ความหิวมันไม่ยอมรับรู้ด้วยนี่นา
แกพายเรือออกไปหาจับจิ้งหรีดตามโคกเนินที่น้ำท่วมไม่ถึง เป็นสัมมาชีพที่หาเลี้ยงลูกเมียมาสิบกว่าปีแล้ว...แต่แล้วก็สาบสูญไปเลย ชาวบ้านเห็นแต่เรือที่พลิกคว่ำลอยลิ่วๆ ผ่านไป จำได้ว่าเป็นเรือลุงเอี่ยมแน่นอน
แต่เจ้าของเรือคงเอาชีวิตไปเซ่นแม่น้ำยมเสียแล้ว!
บ้านอยู่ใกล้ๆ กัน เห็นพวกลูกเมียแกกอดกันร้องไห้แล้วอดตันหัวอกไม่ได้...อกเขาอกเรานะคะ ศพก็ไม่พบ ไม่มีโอกาสประกอบพิธีกรรม ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ตายตามประเพณี...ไม่ต้องนึกถึงว่าขาดเสาหลักของครอบครัวไปแล้ว ลูกเมียที่ยังอยู่จะดิ้นรนต่อไปอย่างไร?
คุณพระช่วย! ไม่มีใครคาดฝันว่าคืนต่อมา วิญญาณลุงเอี่ยมก็กลับมาทั้งๆ ที่แม่น้ำยมยังล้นฝั่ง เชี่ยวกรากไม่หยุดหย่อน...
เย็นนั้นพวกเรานั่งชะเง้ออยู่ที่หน้าต่างชั้นบน รอคอยน้ำดื่ม อาหาร ไม้ขีดไฟ เทียนไขมาตั้งแต่ตอนสายๆ มีเรือแจกของแวะมาหลายลำแต่ก็ยังไม่พอแจกจ่ายผู้คนนับร้อยนับพันที่เหลืออยู่แต่เพียงความหวังอย่างเดียว
ยิ่งฝนตกซ้ำลงมาอีก ความหวังที่เหลือก็ยิ่งริบหรี่ลงไปทุกที!
เมฆหนาทึบดำทะมึน แผ่กระจายเต็มฟ้า เหมือนกับนกปีศาจกางปีกชั่วร้ายของมันลงมาครอบคลุมน่าสยดสยอง ฟ้าคำรามครืนๆ สะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวอกหัวใจของพวกเราทุกคน
จู่ๆ เสียงใครคนหนึ่งก็ตะโกนโหวกโหวยดังขึ้นมาจากแม่ยม...
"ตาอี่ยมกลับมาแล้วโว้ย!"
ดิฉันกับพ่อแม่หันขวับ แทบไม่เชื่อตาตัวเองว่าภาพนั้นจะเป็นความจริงไปได้ นอกจากจะเป็นภาพในความฝันเท่านั้นเอง!...แม้ว่าจะไร้แสงแดดแต่ก็มีความสว่างของยามเย็น ทำให้พวกเรามองเห็นลุงเอี่ยมกำลังนั่งพายเรือเอ้อระเหยอยู่ใกล้ๆ ฝั่ง น่าแปลกที่เรือของแกไม่ถูกกระแสน้ำเชี่ยวกรากกระชากลิ่วๆ ออกไป เช่นเดียวกับกอสวะกับท่อนไม้น้อยใหญ่ที่หมุนคว้าง สะเปะสะปะอยู่ในสายน้ำพลุ่งพล่าน
"ตาเอี่ยม..." เสียงแม่ครางกระเส่าอยู่ใกล้ๆ หู "แกเรือล่มจมน้ำตายไปแล้วตั้งแต่วานนี้เอง"
"แกคงรอดมาได้มั้ง?" พ่อว่า "เห็นแต่เรือคว่ำลอยน้ำไปเท่านั้นเอง แต่เอ๊ะ!" พ่อคงเพิ่งนึกอะไรขึ้นได้ "ตอนนี้แกนั่งเรืออยู่นี่นา..."
เสียงนั้นขาดหาย เมื่อลุงเอี่ยมหันมาโบกไม้โบกมือคล้ายจะทักทาย หรือกล่าวอำลา ก่อนที่เรือลำนั้นจะค่อยๆ เลือนรางจางหายไปต่อหน้าต่อตา ท่ามกลางเสียงลมพัดยอดไม้ซู่ซ่า ระคนกับเสียงคลื่นม้วนตัวไล่กันไม่หยุดหย่อน...
ขนหัวลุกน่ะซีคะ! บรื๋อส์...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 23 ตุลาคม 2557
20 กุมภาพันธ์ 2558
ขึ้นจากโลง
"กมลพร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณมาเยือน
คุณมีความทรงจำย้อนไปได้ไกลสุดแค่ไหนคะ? ดิฉันคิดว่า ราวขวบกว่าๆ เราก็เริ่มจำได้จนถึงบัดนี้ แม้ว่ามันกระท่อนกระแท่นเต็มที ดิฉันจำตอนตัวเองหัดเดินไปได้เลยล่ะค่ะ..เชื่อไหมคะ?
แต่ความทรงจำอันหนึ่งที่เป็นปริศนาชวนสยอง เกิดขึ้น ตอนที่ดิฉันอยู่อนุบาลสอง..คิดแล้วก็ราวห้าขวบ เห็นจะได้ เมื่อดิฉันย้อนรำลึกถึงทีไร ภาพใบหน้าหนึ่งก็เด่นชัดขึ้นทุกที...มันเป็นใบหน้าของพี่แต้ว-ลูกพี่ ลูกน้องของดิฉันเอง เธอแก่กว่าราวสองปี และเป็น ลูกคุณป้าวิไล พี่สาวแท้ๆ ของแม่ดิฉันเอง
พี่แต้วจมน้ำตาย แต่ในความคิดและการรับรู้ของดิฉันยามมีอายุแค่ห้าขวบนั้น...ความตายคืออะไรก็ ไม่รู้ล่ะ รู้แต่ว่าพี่แต้วตายแล้วกลับมาได้!
ภาพที่ดิฉันจำได้คือ คุณป้าวิไลจะมาหาคุณแม่ดิฉันบ่อยๆ หลังจากเกิดอุบัติเหตุที่พรากลูกสาวคนเดียวให้จากไป คุณป้าแต่งชุดดำ ใบหน้าไม่มีเครื่องสำอาง...มันซีดเซียว หม่นหมอง ทว่าใบหน้าเล็กๆ ของพี่แต้วที่เดินตามหลังแม่ไปโน่นไปนี่มันซีดกว่าเยอะ เพราะถึงอย่างไร ใบหน้าของป้าวิไลยังมีสีเลือด แต่ใบหน้าของพี่แต้วเป็นสีม่วงคล้ำ และไม่มีรอยยิ้มเลย!
เป็นใบหน้าที่เรียบเฉย เวลามองดิฉันก็จะจ้องนิ่งๆ
ในวัยห้าขวบนั้น ดิฉันแทบไม่รู้ว่าผีคืออะไร? และไม่คิดหรอกค่ะว่าพี่แต้วเป็นผี แต่ถึงกระนั้นดิฉัน ก็กลัวเธอ
มีอย่างที่ไหนคะ เดิมเราเคยเล่นกันอย่างสนุก สนาน แก้มของพี่แต้วเป็นสีชมพู ปากแดงจัดราวกับทาลิปสติก เธอรวบผมหางม้า ศีรษะทุยได้รูปสวย เธอสูงกว่าดิฉัน และใจดีมาก เรามักจะเล่นตุ๊กตากระดาษกันค่ะ
เวลาที่มาบ้านดิฉัน เธอจะเอากล่องตุ๊กตากระดาษมาเล่น ส่วนดิฉันมีบาร์บี้หลายตัว ยังแบ่งให้เธอเอากลับไปเล่นที่บ้านด้วยซ้ำ
แต่หลังจากพี่แต้วจมน้ำตาย เธอเปลี่ยนไปมาก นิ่งเงียบ เดินตามป้าวิไลแบบทื่อๆ ไม่มีการแตะต้องเนื้อตัว...ดิฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นคนเดียวที่เห็นเธอ เพราะนึกว่าคุณแม่ คุณป้า และทุกคนทำท่าไม่สนใจเธอ...ดิฉันไม่รู้ว่าคนอื่นไม่เห็น!
และแล้ววันหนึ่ง พี่แต้วก็ไม่ตามป้าวิไลมาที่บ้านดิฉันอีก เป็นอันว่าเธอหายไปเลยนับจากนั้น ดิฉันเล่าให้คุณแม่ฟังแต่โดนดุว่าคิดไปเอง ครั้นเมื่อโตขึ้น ดิฉันกับคุณแม่ ก็คุยเรื่องนี้กัน...ท่านยอมรับว่านั่นคือวิญญาณ และเรื่องผีพี่แต้วกลายเป็นเรื่องที่เคยคุยกันได้ไม่รู้จบ จนกระทั่งทุกวันนี้
ขณะนี้ดิฉันอายุสามสิบสองปี มีลูกสาวเล็กๆ วัยสี่ขวบกว่า วันหนึ่งประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย!
วันนั้น ดิฉันไปงานศพของเพื่อนรักที่เป็นมะเร็งตาย เธอยังสาว สวย และมีลูกสองคน...เธอแต่งงานเร็วค่ะ มีลูกก่อนดิฉัน และดูเถอะค่ะ...เธอตายเสียแล้ว!
สองทุ่มกว่าๆ ดิฉันกลับเข้าบ้าน...รู้สึกเหนื่อย เพลีย อาจจะเป็นเพราะร้องไห้กับเพื่อนๆ และญาติของไก่-เพื่อนที่เพิ่งวายชนม์ แหม! เห็นลูกๆ เธอแล้วใจคอมันตีบตันไปหมด
อากาศร้อน ตัวเหนียว ดิฉันอยากถอดชุดดำออกและอาบน้ำให้สบายตัว...
พอเดินเข้าบ้าน ลูกเอมของดิฉันก็กระโดดมาหา ร้องแม่ขาๆ แต่นัยน์ตามองไปทางด้านหลังของดิฉัน จากนั้นก็ยกมือไหว้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู...ดิฉันหันขวับไปมองก็พบแต่ความว่างเปล่า...เล่นเอาหนาวเยือกไปตลอดไขสันหลัง
ไม่กล้าถามเลยค่ะ ว่าเอมไหว้ใคร? แต่เอมส่งเสียงเจื้อยแจ้วเฉลยเอง
"น้าไก่ขา แต่งชุดสีเขียวสวยจัง หอมด้วย...หอมเหมือนน้ำอบที่เอมรดน้ำคุณย่าตอนสงกรานต์เลยค่ะ!"
จริงค่ะ ไก่เพื่อนดิฉันแต่งตัวด้วยชุดผ้าไหมสด สีเขียวอ่อน นอนสงบนิ่งบนตั่ง ก่อนที่สัปเหร่อจะนำเธอลงโลง ดิฉันจำได้ติดตา..และแน่ล่ะค่ะ กลิ่นน้ำอบไทยหอมกรุ่นนั้น ลูกเอมของดิฉันคงสัมผัสได้
ดิฉันขนลุกซู่ หันไปพูดกับลมกับแล้งว่า "ไก่ ขอบใจนะที่มาส่ง ไม่ต้องห่วงนะ ไปเถอะจ้ะ หลับให้สบาย..."
ลูกเอมของดิฉันยกมือไหว้ แล้วโบกมือบ๊ายบาย!
ท่าทีของลูกทำให้ดิฉันพอจะรู้ว่า วิญญาณของไก่กลับไปแล้ว ยอมรับเลยค่ะว่ากลัวจนไม่รู้จะทำยังไง รีบบอกให้คนรับใช้ดูแลบ้านช่อง ปิดประตูให้เรียบร้อย พอสั่งเสร็จก็พาลูกเอมขึ้นข้างบน ดิฉันอาบน้ำโดยเปิดประตูไว้...ให้ลูกและสามีนั่งเล่นอยู่หน้าห้องน้ำ
เฮ้อ...ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจริงๆ นี่เป็นเรื่องผีอีกเรื่องที่ดิฉันจดจำไปตลอดชีวิต!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 22 ตุลาคม 2557
คุณมีความทรงจำย้อนไปได้ไกลสุดแค่ไหนคะ? ดิฉันคิดว่า ราวขวบกว่าๆ เราก็เริ่มจำได้จนถึงบัดนี้ แม้ว่ามันกระท่อนกระแท่นเต็มที ดิฉันจำตอนตัวเองหัดเดินไปได้เลยล่ะค่ะ..เชื่อไหมคะ?
แต่ความทรงจำอันหนึ่งที่เป็นปริศนาชวนสยอง เกิดขึ้น ตอนที่ดิฉันอยู่อนุบาลสอง..คิดแล้วก็ราวห้าขวบ เห็นจะได้ เมื่อดิฉันย้อนรำลึกถึงทีไร ภาพใบหน้าหนึ่งก็เด่นชัดขึ้นทุกที...มันเป็นใบหน้าของพี่แต้ว-ลูกพี่ ลูกน้องของดิฉันเอง เธอแก่กว่าราวสองปี และเป็น ลูกคุณป้าวิไล พี่สาวแท้ๆ ของแม่ดิฉันเอง
พี่แต้วจมน้ำตาย แต่ในความคิดและการรับรู้ของดิฉันยามมีอายุแค่ห้าขวบนั้น...ความตายคืออะไรก็ ไม่รู้ล่ะ รู้แต่ว่าพี่แต้วตายแล้วกลับมาได้!
ภาพที่ดิฉันจำได้คือ คุณป้าวิไลจะมาหาคุณแม่ดิฉันบ่อยๆ หลังจากเกิดอุบัติเหตุที่พรากลูกสาวคนเดียวให้จากไป คุณป้าแต่งชุดดำ ใบหน้าไม่มีเครื่องสำอาง...มันซีดเซียว หม่นหมอง ทว่าใบหน้าเล็กๆ ของพี่แต้วที่เดินตามหลังแม่ไปโน่นไปนี่มันซีดกว่าเยอะ เพราะถึงอย่างไร ใบหน้าของป้าวิไลยังมีสีเลือด แต่ใบหน้าของพี่แต้วเป็นสีม่วงคล้ำ และไม่มีรอยยิ้มเลย!
เป็นใบหน้าที่เรียบเฉย เวลามองดิฉันก็จะจ้องนิ่งๆ
ในวัยห้าขวบนั้น ดิฉันแทบไม่รู้ว่าผีคืออะไร? และไม่คิดหรอกค่ะว่าพี่แต้วเป็นผี แต่ถึงกระนั้นดิฉัน ก็กลัวเธอ
มีอย่างที่ไหนคะ เดิมเราเคยเล่นกันอย่างสนุก สนาน แก้มของพี่แต้วเป็นสีชมพู ปากแดงจัดราวกับทาลิปสติก เธอรวบผมหางม้า ศีรษะทุยได้รูปสวย เธอสูงกว่าดิฉัน และใจดีมาก เรามักจะเล่นตุ๊กตากระดาษกันค่ะ
เวลาที่มาบ้านดิฉัน เธอจะเอากล่องตุ๊กตากระดาษมาเล่น ส่วนดิฉันมีบาร์บี้หลายตัว ยังแบ่งให้เธอเอากลับไปเล่นที่บ้านด้วยซ้ำ
แต่หลังจากพี่แต้วจมน้ำตาย เธอเปลี่ยนไปมาก นิ่งเงียบ เดินตามป้าวิไลแบบทื่อๆ ไม่มีการแตะต้องเนื้อตัว...ดิฉันไม่รู้หรอกว่าเป็นคนเดียวที่เห็นเธอ เพราะนึกว่าคุณแม่ คุณป้า และทุกคนทำท่าไม่สนใจเธอ...ดิฉันไม่รู้ว่าคนอื่นไม่เห็น!
และแล้ววันหนึ่ง พี่แต้วก็ไม่ตามป้าวิไลมาที่บ้านดิฉันอีก เป็นอันว่าเธอหายไปเลยนับจากนั้น ดิฉันเล่าให้คุณแม่ฟังแต่โดนดุว่าคิดไปเอง ครั้นเมื่อโตขึ้น ดิฉันกับคุณแม่ ก็คุยเรื่องนี้กัน...ท่านยอมรับว่านั่นคือวิญญาณ และเรื่องผีพี่แต้วกลายเป็นเรื่องที่เคยคุยกันได้ไม่รู้จบ จนกระทั่งทุกวันนี้
ขณะนี้ดิฉันอายุสามสิบสองปี มีลูกสาวเล็กๆ วัยสี่ขวบกว่า วันหนึ่งประวัติศาสตร์ก็ซ้ำรอย!
วันนั้น ดิฉันไปงานศพของเพื่อนรักที่เป็นมะเร็งตาย เธอยังสาว สวย และมีลูกสองคน...เธอแต่งงานเร็วค่ะ มีลูกก่อนดิฉัน และดูเถอะค่ะ...เธอตายเสียแล้ว!
สองทุ่มกว่าๆ ดิฉันกลับเข้าบ้าน...รู้สึกเหนื่อย เพลีย อาจจะเป็นเพราะร้องไห้กับเพื่อนๆ และญาติของไก่-เพื่อนที่เพิ่งวายชนม์ แหม! เห็นลูกๆ เธอแล้วใจคอมันตีบตันไปหมด
อากาศร้อน ตัวเหนียว ดิฉันอยากถอดชุดดำออกและอาบน้ำให้สบายตัว...
พอเดินเข้าบ้าน ลูกเอมของดิฉันก็กระโดดมาหา ร้องแม่ขาๆ แต่นัยน์ตามองไปทางด้านหลังของดิฉัน จากนั้นก็ยกมือไหว้อย่างน่ารักน่าเอ็นดู...ดิฉันหันขวับไปมองก็พบแต่ความว่างเปล่า...เล่นเอาหนาวเยือกไปตลอดไขสันหลัง
ไม่กล้าถามเลยค่ะ ว่าเอมไหว้ใคร? แต่เอมส่งเสียงเจื้อยแจ้วเฉลยเอง
"น้าไก่ขา แต่งชุดสีเขียวสวยจัง หอมด้วย...หอมเหมือนน้ำอบที่เอมรดน้ำคุณย่าตอนสงกรานต์เลยค่ะ!"
จริงค่ะ ไก่เพื่อนดิฉันแต่งตัวด้วยชุดผ้าไหมสด สีเขียวอ่อน นอนสงบนิ่งบนตั่ง ก่อนที่สัปเหร่อจะนำเธอลงโลง ดิฉันจำได้ติดตา..และแน่ล่ะค่ะ กลิ่นน้ำอบไทยหอมกรุ่นนั้น ลูกเอมของดิฉันคงสัมผัสได้
ดิฉันขนลุกซู่ หันไปพูดกับลมกับแล้งว่า "ไก่ ขอบใจนะที่มาส่ง ไม่ต้องห่วงนะ ไปเถอะจ้ะ หลับให้สบาย..."
ลูกเอมของดิฉันยกมือไหว้ แล้วโบกมือบ๊ายบาย!
ท่าทีของลูกทำให้ดิฉันพอจะรู้ว่า วิญญาณของไก่กลับไปแล้ว ยอมรับเลยค่ะว่ากลัวจนไม่รู้จะทำยังไง รีบบอกให้คนรับใช้ดูแลบ้านช่อง ปิดประตูให้เรียบร้อย พอสั่งเสร็จก็พาลูกเอมขึ้นข้างบน ดิฉันอาบน้ำโดยเปิดประตูไว้...ให้ลูกและสามีนั่งเล่นอยู่หน้าห้องน้ำ
เฮ้อ...ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจริงๆ นี่เป็นเรื่องผีอีกเรื่องที่ดิฉันจดจำไปตลอดชีวิต!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 22 ตุลาคม 2557
18 กุมภาพันธ์ 2558
ภาพผีสิง
คุณคงเคยได้ยินเรื่องภาพถ่ายติดวิญญาณมามากแล้ว ผมเป็นคนหนึ่งที่สนใจและชอบดูรูปภาพประเภทนี้ มันน่าทึ่ง น่ากลัวและน่าสยดสยองจริงๆ วันหนึ่งผมก็ได้ประสบพบเจอมันเข้ากับตัวเองมันยิ่งกว่าสยองอีกครับ เพราะผีในภาพมันตามผมกลับมาบ้านด้วย!
เรื่องนี้เริ่มต้นในวันที่ผมไปเที่ยวน้ำตกที่นครนายกกับเพื่อนๆ ผมเองเป็นต้นคิดและนัดแนะกับเพื่อนฝูงอีกเกือบสิบคนไปเที่ยว...พวกเราเรียนจบมัธยมปลายที่โรงเรียนเดียวกัน...สนิทกันมาก...มากจนไม่ต้องรอให้ถึงวันคืนสู่เหย้า เราก็นัดพบกันได้เป็นฝูง
พวกเราทั้งหญิงและชายออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด เพราะกะว่าจะไปเช้า-เย็นกลับ...วันนั้นผมขับรถตู้ไปเองด้วย ผมมีรถตู้ครับ บริการเพื่อนๆ จนถึงบ้านทุกคน นับว่าสะดวก สบายดีมากๆ พวกผู้หญิงทำ อาหารปิกนิกเพียบพร้อม น้ำจืดน้ำหวาน น้ำขมมีครบ
ที่น้ำตกนั้นคนน้อย เพราะไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ เราจึงสำเริงสำราญกันเต็มที่...พวกเราถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ทั้งถ่ายจากมือถือและทั้งกล้องดิจิตอล ผมเพิ่งซื้อกล้องใหม่มาอันหนึ่ง ราคาหมื่นกว่าๆ กำลังเห่อครับ
ยามบ่าย อากาศค่อนข้างอบอ้าว แต่เราเล่นน้ำกันจนค่อนข้างหนาว และเราก็นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ครึ้ม ลมแรง แดดสวยใสเชียว
ช่วงหนึ่งที่เพื่อนๆ เริ่มเหนื่อย พักความโลดโผนโจนทะยานกันชั่วครู่ บางคนนอนผึ่งพุงจนเคลิ้มหลับ พวกผู้หญิงเริ่มจับกลุ่มคุยกันอย่างลืมโลก ผมปลีกตัวลัดเลาะไปตามแนวหินและร่มไม้ พร้อมกับหันกล้องถ่ายรูปตัวเองบ้าง ถ่ายวิวสวยๆ บ้าง
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมยืนพิงก้อนหินใหญ่ ด้านหลังเป็นกอไผ่ใบสวย เห็นน้ำตกอยู่ข้างๆ แอ่งน้ำตรงนั้นลึกแค่เข่า น้ำเย็นเฉียบ ผมหันกล้องเข้าหาตัวเองและกดชัตเตอร์ เสร็จแล้วก็กดดูภาพที่เพิ่งถ่ายเสร็จนี้...อือม์...ไม่หล่อแฮะ ลบดีกว่า! แต่เดี๋ยวก่อน...นั่นอะไรน่ะ?
ในภาพนั้น เห็นใบหน้าผมกำลังเก๊กหล่อ แต่มัน ดูขมึงทึงไปหน่อย นั่นไม่สำคัญ...ด้านหลังผมต่างหากที่น่าสนใจ!
เยื้องไหล่ซ้ายของผม ลึกเข้าไปในดงไม้ มีใบหน้าของผู้หญิงผมยาวปรากฏขึ้น!
ผมหันขวับไปมองตรงจุดนั้น แต่ไม่เห็นใครเลย ที่ตรงนั้นว่างเปล่า ผมกลับมาจ้องดูในภาพ...มันมีอะไรบางอย่างที่บอกว่า ผู้หญิงที่ปรากฏไม่ใช่คน! ลักษณะเธอเหมือนภาพโปรโมตหนังผีไม่มีผิด ผมยาวยุ่งเหยิง หน้าดำมอมแมมด้วยคราบเลอะเทอะ ซึ่งผมแน่ใจว่ามันคือเลือด! ดวงตาไร้แววของเธอเบิ่งค้าง ปากอ้าคล้ายกำลังคราง
มีแววของความเจ็บปวด หวาดกลัวสุดขีดและความตาย...ยิ่งดูยิ่งชัด!
ผมเผ่นไปให้เพื่อนๆ ดู พวกมันสติแตกกันกระจาย ไอ้ที่เมาก็หายเมา ที่ง่วงเหงาก็ตื่นโพลง พวกผู้หญิงลืมไปแล้วว่ากำลังปรึกษาปัญหาหัวใจกันอยู่ มันทำให้เราฮือฮามาก ถามหาที่มาที่ไปของผู้หญิงในรูปกันให้ควั่ก
ในที่สุดก็รู้จากแม่ค้าแถวๆ ปากทางว่า เมื่อไม่กี่เดือนมานี้มีผู้หญิงมากระโดดน้ำตกตาย ท่าทางเป็นชาวบ้าน แต่มาจากไหนไม่รู้ จนป่านนี้ก็ยังหาญาติไม่พบ
เธอมาตายคนเดียว เจ้าหน้าที่ห่อศพที่ยับเยินของเธอไป...
ผมกลับบ้านด้วยอาการขวัญหนีดีฝ่อ...เอาละซิ! เจอเข้ากับตัวเองแล้วทีนี้ เป็นไงล่ะ...ผมไม่ได้ลบรูปนั้นทิ้ง แต่เอามาให้พ่อแม่และญาติพี่น้องดู เป็นที่ตื่นเต้น ฮือฮากันไปทั่ว
กล้องตัวนั้นผมเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าด้านปลายเตียง มันสงบนิ่งอยู่ในนั้นอย่างน่าพรั่นพรึง...เพราะมีรูปผมกับผีติดอยู่
! คืนหนึ่ง ผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ออกมาจากตู้เสื้อผ้า ทีแรกก็คิดว่าฝันไป แต่มันชัดมากเหมือนเธอนั่งคร่ำครวญอยู่ในตู้นั้นจริงๆ ผมผวาเลยครับ...รีบเปิดไฟแต่ไม่กล้าเปิดตู้
ในที่สุด ผมอัดรูปนั้นเก็บไว้ และลบภาพในกล้องทิ้ง หวังว่าอาถรรพณ์ของมันจะหมดไป แต่ผมคิดผิดครับ...เสียงร้องไห้คร่ำครวญยังคงมีอยู่ จนผมเอากล้องไปเก็บไว้ที่อื่น
คราวนี้เธอไม่ได้อยู่แค่ในตู้เสื้อผ้า แต่เพ่นพ่านไปทั่วบ้าน คนใช้ผมซึ่งตื่นแต่เช้ามืดยังเห็นผู้หญิงผมยาวแต่งชุดแบบชาวบ้าน เดินช้าๆ อยู่ที่นั่นที่นี่...ผมกลัวจริงๆ ถึงใส่บาตรทำบุญไปให้ เธอก็ยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เสมอ
เมื่อหมดปัญญาแล้ว ผมก็เริ่มพูดกับเธออย่างจริงจัง...พูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดว่าตามผมมาทำไม? ที่นี่เป็นบ้านของผม อย่ามารบกวนดีกว่า กลับไปซะ!
ผมสงสารแม่และหลานๆ ที่ต้องกลัวผีใครก็ไม่รู้ที่ผมพาเข้าบ้านโดยไม่รู้ตัว
ไม่น่าเชื่อว่าด้วยวิธีง่ายๆ แค่นี้เอง เรื่องสยองเรื่องนี้ก็ยุติลง ผมไม่รู้สึกว่ามีผีแปลกหน้าอยู่ในบ้านอีกเลยนับแต่นั้น
แม่บอกว่าเป็นเพราะจิตของผมที่โกรธจนไม่กลัว และบอกผีอย่างจริงจังให้ไปซะ! เวลาคุณเจอปัญหาแบบนี้คุณลองใช้วิธีผมก็ได้ ข้อสำคัญต้องจิตแข็ง...ได้ผลจริงๆ ครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 21 ตุลาคม 2557
เรื่องนี้เริ่มต้นในวันที่ผมไปเที่ยวน้ำตกที่นครนายกกับเพื่อนๆ ผมเองเป็นต้นคิดและนัดแนะกับเพื่อนฝูงอีกเกือบสิบคนไปเที่ยว...พวกเราเรียนจบมัธยมปลายที่โรงเรียนเดียวกัน...สนิทกันมาก...มากจนไม่ต้องรอให้ถึงวันคืนสู่เหย้า เราก็นัดพบกันได้เป็นฝูง
พวกเราทั้งหญิงและชายออกเดินทางกันตั้งแต่เช้ามืด เพราะกะว่าจะไปเช้า-เย็นกลับ...วันนั้นผมขับรถตู้ไปเองด้วย ผมมีรถตู้ครับ บริการเพื่อนๆ จนถึงบ้านทุกคน นับว่าสะดวก สบายดีมากๆ พวกผู้หญิงทำ อาหารปิกนิกเพียบพร้อม น้ำจืดน้ำหวาน น้ำขมมีครบ
ที่น้ำตกนั้นคนน้อย เพราะไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์ เราจึงสำเริงสำราญกันเต็มที่...พวกเราถ่ายรูปกันอย่างสนุกสนาน ทั้งถ่ายจากมือถือและทั้งกล้องดิจิตอล ผมเพิ่งซื้อกล้องใหม่มาอันหนึ่ง ราคาหมื่นกว่าๆ กำลังเห่อครับ
ยามบ่าย อากาศค่อนข้างอบอ้าว แต่เราเล่นน้ำกันจนค่อนข้างหนาว และเราก็นั่งอยู่ใต้ร่มไม้ครึ้ม ลมแรง แดดสวยใสเชียว
ช่วงหนึ่งที่เพื่อนๆ เริ่มเหนื่อย พักความโลดโผนโจนทะยานกันชั่วครู่ บางคนนอนผึ่งพุงจนเคลิ้มหลับ พวกผู้หญิงเริ่มจับกลุ่มคุยกันอย่างลืมโลก ผมปลีกตัวลัดเลาะไปตามแนวหินและร่มไม้ พร้อมกับหันกล้องถ่ายรูปตัวเองบ้าง ถ่ายวิวสวยๆ บ้าง
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมยืนพิงก้อนหินใหญ่ ด้านหลังเป็นกอไผ่ใบสวย เห็นน้ำตกอยู่ข้างๆ แอ่งน้ำตรงนั้นลึกแค่เข่า น้ำเย็นเฉียบ ผมหันกล้องเข้าหาตัวเองและกดชัตเตอร์ เสร็จแล้วก็กดดูภาพที่เพิ่งถ่ายเสร็จนี้...อือม์...ไม่หล่อแฮะ ลบดีกว่า! แต่เดี๋ยวก่อน...นั่นอะไรน่ะ?
ในภาพนั้น เห็นใบหน้าผมกำลังเก๊กหล่อ แต่มัน ดูขมึงทึงไปหน่อย นั่นไม่สำคัญ...ด้านหลังผมต่างหากที่น่าสนใจ!
เยื้องไหล่ซ้ายของผม ลึกเข้าไปในดงไม้ มีใบหน้าของผู้หญิงผมยาวปรากฏขึ้น!
ผมหันขวับไปมองตรงจุดนั้น แต่ไม่เห็นใครเลย ที่ตรงนั้นว่างเปล่า ผมกลับมาจ้องดูในภาพ...มันมีอะไรบางอย่างที่บอกว่า ผู้หญิงที่ปรากฏไม่ใช่คน! ลักษณะเธอเหมือนภาพโปรโมตหนังผีไม่มีผิด ผมยาวยุ่งเหยิง หน้าดำมอมแมมด้วยคราบเลอะเทอะ ซึ่งผมแน่ใจว่ามันคือเลือด! ดวงตาไร้แววของเธอเบิ่งค้าง ปากอ้าคล้ายกำลังคราง
มีแววของความเจ็บปวด หวาดกลัวสุดขีดและความตาย...ยิ่งดูยิ่งชัด!
ผมเผ่นไปให้เพื่อนๆ ดู พวกมันสติแตกกันกระจาย ไอ้ที่เมาก็หายเมา ที่ง่วงเหงาก็ตื่นโพลง พวกผู้หญิงลืมไปแล้วว่ากำลังปรึกษาปัญหาหัวใจกันอยู่ มันทำให้เราฮือฮามาก ถามหาที่มาที่ไปของผู้หญิงในรูปกันให้ควั่ก
ในที่สุดก็รู้จากแม่ค้าแถวๆ ปากทางว่า เมื่อไม่กี่เดือนมานี้มีผู้หญิงมากระโดดน้ำตกตาย ท่าทางเป็นชาวบ้าน แต่มาจากไหนไม่รู้ จนป่านนี้ก็ยังหาญาติไม่พบ
เธอมาตายคนเดียว เจ้าหน้าที่ห่อศพที่ยับเยินของเธอไป...
ผมกลับบ้านด้วยอาการขวัญหนีดีฝ่อ...เอาละซิ! เจอเข้ากับตัวเองแล้วทีนี้ เป็นไงล่ะ...ผมไม่ได้ลบรูปนั้นทิ้ง แต่เอามาให้พ่อแม่และญาติพี่น้องดู เป็นที่ตื่นเต้น ฮือฮากันไปทั่ว
กล้องตัวนั้นผมเก็บไว้ในตู้เสื้อผ้าด้านปลายเตียง มันสงบนิ่งอยู่ในนั้นอย่างน่าพรั่นพรึง...เพราะมีรูปผมกับผีติดอยู่
! คืนหนึ่ง ผมได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ออกมาจากตู้เสื้อผ้า ทีแรกก็คิดว่าฝันไป แต่มันชัดมากเหมือนเธอนั่งคร่ำครวญอยู่ในตู้นั้นจริงๆ ผมผวาเลยครับ...รีบเปิดไฟแต่ไม่กล้าเปิดตู้
ในที่สุด ผมอัดรูปนั้นเก็บไว้ และลบภาพในกล้องทิ้ง หวังว่าอาถรรพณ์ของมันจะหมดไป แต่ผมคิดผิดครับ...เสียงร้องไห้คร่ำครวญยังคงมีอยู่ จนผมเอากล้องไปเก็บไว้ที่อื่น
คราวนี้เธอไม่ได้อยู่แค่ในตู้เสื้อผ้า แต่เพ่นพ่านไปทั่วบ้าน คนใช้ผมซึ่งตื่นแต่เช้ามืดยังเห็นผู้หญิงผมยาวแต่งชุดแบบชาวบ้าน เดินช้าๆ อยู่ที่นั่นที่นี่...ผมกลัวจริงๆ ถึงใส่บาตรทำบุญไปให้ เธอก็ยังวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เสมอ
เมื่อหมดปัญญาแล้ว ผมก็เริ่มพูดกับเธออย่างจริงจัง...พูดด้วยอารมณ์หงุดหงิดว่าตามผมมาทำไม? ที่นี่เป็นบ้านของผม อย่ามารบกวนดีกว่า กลับไปซะ!
ผมสงสารแม่และหลานๆ ที่ต้องกลัวผีใครก็ไม่รู้ที่ผมพาเข้าบ้านโดยไม่รู้ตัว
ไม่น่าเชื่อว่าด้วยวิธีง่ายๆ แค่นี้เอง เรื่องสยองเรื่องนี้ก็ยุติลง ผมไม่รู้สึกว่ามีผีแปลกหน้าอยู่ในบ้านอีกเลยนับแต่นั้น
แม่บอกว่าเป็นเพราะจิตของผมที่โกรธจนไม่กลัว และบอกผีอย่างจริงจังให้ไปซะ! เวลาคุณเจอปัญหาแบบนี้คุณลองใช้วิธีผมก็ได้ ข้อสำคัญต้องจิตแข็ง...ได้ผลจริงๆ ครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 21 ตุลาคม 2557
17 กุมภาพันธ์ 2558
ผีลุงเพิก
สมัยหนุ่มผมเคยอยู่ที่ศรีย่าน แดนดินถิ่นของอร่อย ตกเย็นๆ ก็มีรถเข็นและแผงลอยขายอาหารสารพัดชนิดมาตั้งเรียงรายบนฟุตปาธหลายสิบเจ้า โดยเฉพาะก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นศรีย่านนี่ แหม! เด็ดสะระตี่จนถึงลือก็แล้วกัน คู่แข่งที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันก็เห็นจะมี ลูกชิ้นราชวัตรเจ้าเดียวเอง ขนาดย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว ยังต้องหาโอกาสมาชิมบ่อยๆ นี่นา บอกไม่เชื่อ!
วันนี้ผมมีเรื่อง "ผีลุงเพิก" มาเล่าให้ฟัง
สาเหตุก็เพราะในกลางซอยเปลี่ยวบ้านผม ลุงเพิกกับลูกเมียมาเช่าตึกแถวห้องริมเปิดร้านชำมาตั้งปีมะโว้แล้ว...ร้านแกได้เปรียบตรงที่เป็นร้านริม แถมด้านข้างยังติดซอยแยกเล็กๆ อีกด้วย ทำให้ร้านนี้เปิดขายได้ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ตกเย็นๆ มีคอเหล้ามานั่งจับกลุ่มกันคึกคัก คุยโม้กันสนุกสนานตามประสาคนเมา
ลุงเพิกตอนนั้นเป็นพ่อม่ายเมียตาย อายุห้าสิบกว่า หน้าผากค่อนข้างกว้างขวาง แต่มีพวกที่ไปขอเซ็นเหล้าพูดจายกยอว่า คิ้วต่ำ โหงวเฮ้งดี ลุงเพิกแกเป็นคนเงียบๆ เฉยๆ แทบจะไม่ค่อยพูดค่อยจาก็ว่าได้...แต่ถ้าใครปากหวานช่างปะเหลาะ รู้จักพูดจาให้ถูกใจแกก็ให้กินเหล้าแบบแปะโป้งได้ง่ายๆ
ร่างอ้วนกลมในชุดกางเกงสีกากีขาสั้น สวมเสื้อกุยเฮงสีดำ ลากรองเท้าแตะฟองน้ำ เปิดร้านตั้งแต่ตอนสายๆ ไปจนถึง 2 ทุ่มจนความเงียบเหงาย่างกรายเข้ามา แกก็จะเรียกลูกชายวัยรุ่นสองคนมาช่วยกันปิดร้าน
เวลาผ่านไปราว 5-6 ปี จนลูกชายเรียนจบ ลุงเพิกอายุใกล้จะหกสิบ...วันดีคืนดีก็นอนหลับไม่ตื่นไปตลอดกาล...ลูกชายทั้งสองรับราชการอยู่ต่างจังหวัด กลับมาช่วยกันทำศพพ่อจนเรียบร้อย...แล้วร้านนั้นก็ปิดตาย เพราะไม่มีใครคิดจะมาค้าขายแบบลุงเพิกอีกต่อไป
ความจริงผีลุงเพิกไม่น่าจะดุร้าย เพราะแกตายตามธรรมชาติของคนเราที่มีเกิดมีแก่และตายไปทุกคน ไม่ใช่ว่าตายเพราะอุบัติเหตุหรือว่าถูกใครฆ่าแกง จนกลาย เป็นผีตายโหง...แต่ผีลุงเพิกก็ดุเหลือเชื่อซะไม่มี!
สมัยนั้นตอนกลางคืนราว 2-3 ทุ่มก็เงียบไปหมดแล้ว ซอยแยกแคบๆ ข้างร้านมักมีหมาจรจัดมาสิงสู่ เห่าหอนเสียงโหยหวนแทบทั้งคืน ทั้งน่ารำคาญและน่ากลัวเป็นประจำ
ลุงเวกกับลุงอ่ำเคยเป็นขาประจำร้านลุงเพิก ตอนนี้ต้องออกไปหาเซี่ยงชุนหรือค่างโหนกินที่ปากซอย...คืนนั้นสองเกลอเดินตุปัดตุเป๋เข้าซอยมาราว 3 ทุ่มเศษ เสียงหมาหอนโจ๋วมาแต่ไกล จนกระทั่งผ่านหน้าร้านลุงเพิกที่ปิดสนิทก็พลันมีเสียงดังขึ้นว่า
"ไอ้เวก! ไอ้อ่ำ! เมื่อไหร่จะใช้หนี้กู?" เล่นเอาขาเมาทั้งสองเบรกกึก อ้าปากค้าง หันมองหน้ากัน...แม้จะไม่เห็นตัวก็จำเสียงนั้นได้เป็นอย่างดี
"ไอ้เพิก!!" สองเกลอร้องออกมาพร้อมกัน ก่อนจะโจนอ้าว โกยแน่บไม่คิดชีวิต สบถสาบานว่าจะไม่กลับบ้านดึกๆ อีกต่อไป...ตัดสินใจซื้อเหล้ามากินที่บ้านจะได้ไม่โดนผีหลอกแทบจะช็อกตายแบบนี้!
ยายแฉ่งกับป้าฉวีสองแม่ลูกไปช่วยงานศพที่เมืองนนท์ เดินเข้าซอยมา 3 ทุ่มเศษ...พอใกล้ถึงร้านลุงเพิกที่ปิดไฟมืด หมาเจ้ากรรมก็หอนโจ๋ว เล่นเอาสองแม่ลูกหันมองสบตากันก่อนจะจ้ำอ้าว...แต่ได้ยินเสียงกระแอมดังๆ มาจากซอยแยกก็เลยหันขวับไปมองอย่างลืมตัว
ใครคนหนึ่งยืนตะคุ่มๆ อยู่ในความมืดข้างร้าน ยายแฉ่งครางออกมาว่า "ตาเพิก" ก่อนจะเกิดอาการช้ำรั่ว...แตกซ่าออกมานองพื้น ซมซานกลับบ้านแทบไม่ไหวทั้งสองคน
พี่เชิดคนข้างบ้านไปทำงานที่ปักษ์ใต้ กลับมาเยี่ยมบ้านตอนดึกก็เจอลุงเพิกยืนอยู่หน้าร้าน พูดคุยกันนานพอดู...ครั้นถึงบ้านเล่าว่าคุยกับใครมา พ่อแม่ก็แทบลมจับไปตามๆ กัน
คืนเกิดเหตุ ผมกับเพื่อนอีกสองคนคือไอ้ตุ๊กับไอ้อ้วนไปดูหนังรอบค่ำที่ศรีย่านเธียเตอร์เรื่อง "ศึกซูลู" หนังเลิกยังมาโจ้เหล้าร้านข้าวต้มหน้าตลาด...เมาดีเข้าก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เดินเข้าซอยพลางร้องเพลงคึกคะนอง ท่ามกลางลมหนาวพัดหวีดหวิวเคล้ากับเสียงหมาหอนโจ๋ว...
ไอ้อ้วนชี้มือไปที่ร้านลุงเพิกเปิดไฟสว่าง ร้องว่าแวะกินเหล้าต่อกันเถอะวะ! ไอ้อ้วนก็พยักพเยิดบอกว่าดีเหมือนกัน อารามทำให้คึกคะนองเมาผมเลยร้องว่า... เอาไงเอากัน!
จนกระทั่งเข้าไปนั่งอยู่ในร้านสว่างโพลงและเยือกเย็น พวกเราหันไปทางลุงเพิกที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ ก้มลงมองเขม็ง ไอ้ตุ๊ร้องสั่งเหล้ากับโซดา...ผมเพิ่งสังเกตว่าลุงเพิกไม่พูดจาซักคำแถมยิ้มเหมือนแสยะอีกต่างหาก
ฉับพลันทันใด เหมือนฟ้าผ่าโครมลงกลางกบาลเมื่อนึกได้ว่า...ลุงเพิกตายไปแล้วนี่นา! พิษเหล้าหายวับ เด้งพรวดขึ้นตะโกนลั่น...เฮ้ย! ผีหลอกโว้ย!
ขาเมาอีกสองคนได้ยินเข้าก็ตาเหลือกลาน...ไฟดับวูบ เหลือแต่เสียงหัวเราะแหบโหยสุดสยอง...เราวิ่งตะโพงออกจากร้านลุงเพิกได้ยังไงก็ไม่ทราบ จำได้แต่ล้มลุกคลุกคลานไปจนถึงบ้าน รุ่งขึ้นก็จับไข้นอนซมไปตามๆ กัน...ไม่กล้ากลับบ้านดึกๆ อีกต่อไป
ทุกวันนี้นึกถึงภาพสยองในคืนนั้นยังขนหัวลุกเลยครับ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 20 ตุลาคม 2557
วันนี้ผมมีเรื่อง "ผีลุงเพิก" มาเล่าให้ฟัง
สาเหตุก็เพราะในกลางซอยเปลี่ยวบ้านผม ลุงเพิกกับลูกเมียมาเช่าตึกแถวห้องริมเปิดร้านชำมาตั้งปีมะโว้แล้ว...ร้านแกได้เปรียบตรงที่เป็นร้านริม แถมด้านข้างยังติดซอยแยกเล็กๆ อีกด้วย ทำให้ร้านนี้เปิดขายได้ทั้งด้านหน้าและด้านข้าง ตกเย็นๆ มีคอเหล้ามานั่งจับกลุ่มกันคึกคัก คุยโม้กันสนุกสนานตามประสาคนเมา
ลุงเพิกตอนนั้นเป็นพ่อม่ายเมียตาย อายุห้าสิบกว่า หน้าผากค่อนข้างกว้างขวาง แต่มีพวกที่ไปขอเซ็นเหล้าพูดจายกยอว่า คิ้วต่ำ โหงวเฮ้งดี ลุงเพิกแกเป็นคนเงียบๆ เฉยๆ แทบจะไม่ค่อยพูดค่อยจาก็ว่าได้...แต่ถ้าใครปากหวานช่างปะเหลาะ รู้จักพูดจาให้ถูกใจแกก็ให้กินเหล้าแบบแปะโป้งได้ง่ายๆ
ร่างอ้วนกลมในชุดกางเกงสีกากีขาสั้น สวมเสื้อกุยเฮงสีดำ ลากรองเท้าแตะฟองน้ำ เปิดร้านตั้งแต่ตอนสายๆ ไปจนถึง 2 ทุ่มจนความเงียบเหงาย่างกรายเข้ามา แกก็จะเรียกลูกชายวัยรุ่นสองคนมาช่วยกันปิดร้าน
เวลาผ่านไปราว 5-6 ปี จนลูกชายเรียนจบ ลุงเพิกอายุใกล้จะหกสิบ...วันดีคืนดีก็นอนหลับไม่ตื่นไปตลอดกาล...ลูกชายทั้งสองรับราชการอยู่ต่างจังหวัด กลับมาช่วยกันทำศพพ่อจนเรียบร้อย...แล้วร้านนั้นก็ปิดตาย เพราะไม่มีใครคิดจะมาค้าขายแบบลุงเพิกอีกต่อไป
ความจริงผีลุงเพิกไม่น่าจะดุร้าย เพราะแกตายตามธรรมชาติของคนเราที่มีเกิดมีแก่และตายไปทุกคน ไม่ใช่ว่าตายเพราะอุบัติเหตุหรือว่าถูกใครฆ่าแกง จนกลาย เป็นผีตายโหง...แต่ผีลุงเพิกก็ดุเหลือเชื่อซะไม่มี!
สมัยนั้นตอนกลางคืนราว 2-3 ทุ่มก็เงียบไปหมดแล้ว ซอยแยกแคบๆ ข้างร้านมักมีหมาจรจัดมาสิงสู่ เห่าหอนเสียงโหยหวนแทบทั้งคืน ทั้งน่ารำคาญและน่ากลัวเป็นประจำ
ลุงเวกกับลุงอ่ำเคยเป็นขาประจำร้านลุงเพิก ตอนนี้ต้องออกไปหาเซี่ยงชุนหรือค่างโหนกินที่ปากซอย...คืนนั้นสองเกลอเดินตุปัดตุเป๋เข้าซอยมาราว 3 ทุ่มเศษ เสียงหมาหอนโจ๋วมาแต่ไกล จนกระทั่งผ่านหน้าร้านลุงเพิกที่ปิดสนิทก็พลันมีเสียงดังขึ้นว่า
"ไอ้เวก! ไอ้อ่ำ! เมื่อไหร่จะใช้หนี้กู?" เล่นเอาขาเมาทั้งสองเบรกกึก อ้าปากค้าง หันมองหน้ากัน...แม้จะไม่เห็นตัวก็จำเสียงนั้นได้เป็นอย่างดี
"ไอ้เพิก!!" สองเกลอร้องออกมาพร้อมกัน ก่อนจะโจนอ้าว โกยแน่บไม่คิดชีวิต สบถสาบานว่าจะไม่กลับบ้านดึกๆ อีกต่อไป...ตัดสินใจซื้อเหล้ามากินที่บ้านจะได้ไม่โดนผีหลอกแทบจะช็อกตายแบบนี้!
ยายแฉ่งกับป้าฉวีสองแม่ลูกไปช่วยงานศพที่เมืองนนท์ เดินเข้าซอยมา 3 ทุ่มเศษ...พอใกล้ถึงร้านลุงเพิกที่ปิดไฟมืด หมาเจ้ากรรมก็หอนโจ๋ว เล่นเอาสองแม่ลูกหันมองสบตากันก่อนจะจ้ำอ้าว...แต่ได้ยินเสียงกระแอมดังๆ มาจากซอยแยกก็เลยหันขวับไปมองอย่างลืมตัว
ใครคนหนึ่งยืนตะคุ่มๆ อยู่ในความมืดข้างร้าน ยายแฉ่งครางออกมาว่า "ตาเพิก" ก่อนจะเกิดอาการช้ำรั่ว...แตกซ่าออกมานองพื้น ซมซานกลับบ้านแทบไม่ไหวทั้งสองคน
พี่เชิดคนข้างบ้านไปทำงานที่ปักษ์ใต้ กลับมาเยี่ยมบ้านตอนดึกก็เจอลุงเพิกยืนอยู่หน้าร้าน พูดคุยกันนานพอดู...ครั้นถึงบ้านเล่าว่าคุยกับใครมา พ่อแม่ก็แทบลมจับไปตามๆ กัน
คืนเกิดเหตุ ผมกับเพื่อนอีกสองคนคือไอ้ตุ๊กับไอ้อ้วนไปดูหนังรอบค่ำที่ศรีย่านเธียเตอร์เรื่อง "ศึกซูลู" หนังเลิกยังมาโจ้เหล้าร้านข้าวต้มหน้าตลาด...เมาดีเข้าก็ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เดินเข้าซอยพลางร้องเพลงคึกคะนอง ท่ามกลางลมหนาวพัดหวีดหวิวเคล้ากับเสียงหมาหอนโจ๋ว...
ไอ้อ้วนชี้มือไปที่ร้านลุงเพิกเปิดไฟสว่าง ร้องว่าแวะกินเหล้าต่อกันเถอะวะ! ไอ้อ้วนก็พยักพเยิดบอกว่าดีเหมือนกัน อารามทำให้คึกคะนองเมาผมเลยร้องว่า... เอาไงเอากัน!
จนกระทั่งเข้าไปนั่งอยู่ในร้านสว่างโพลงและเยือกเย็น พวกเราหันไปทางลุงเพิกที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะ ก้มลงมองเขม็ง ไอ้ตุ๊ร้องสั่งเหล้ากับโซดา...ผมเพิ่งสังเกตว่าลุงเพิกไม่พูดจาซักคำแถมยิ้มเหมือนแสยะอีกต่างหาก
ฉับพลันทันใด เหมือนฟ้าผ่าโครมลงกลางกบาลเมื่อนึกได้ว่า...ลุงเพิกตายไปแล้วนี่นา! พิษเหล้าหายวับ เด้งพรวดขึ้นตะโกนลั่น...เฮ้ย! ผีหลอกโว้ย!
ขาเมาอีกสองคนได้ยินเข้าก็ตาเหลือกลาน...ไฟดับวูบ เหลือแต่เสียงหัวเราะแหบโหยสุดสยอง...เราวิ่งตะโพงออกจากร้านลุงเพิกได้ยังไงก็ไม่ทราบ จำได้แต่ล้มลุกคลุกคลานไปจนถึงบ้าน รุ่งขึ้นก็จับไข้นอนซมไปตามๆ กัน...ไม่กล้ากลับบ้านดึกๆ อีกต่อไป
ทุกวันนี้นึกถึงภาพสยองในคืนนั้นยังขนหัวลุกเลยครับ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 20 ตุลาคม 2557
16 กุมภาพันธ์ 2558
ใต้ร่มหูกวาง
ดิฉันเป็นคนบางอ้อ อยู่ไม่ห่างจากเชิงสะพานพระรามหก บ้านเรือนคับคั่ง ผู้คนคึกคักตามความเจริญของบ้านเมืองมาตั้งแต่เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนแล้วค่ะ
ในซอยสองฝั่งถนนจรัญสนิทวงศ์ มีทั้งบ้านช่องและตึกแถวสะพรั่งตา ที่ดินว่างๆ หลายแปลงก็ทยอยหายไป เรือกสวนค่อยๆ ถอยร่นเข้าไปทุกที แต่ในซอยลึกกับด้านหลังหมู่บ้านก็ยังมีสวนผลไม้ร่มครึ้ม น่าวังเวงใจไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน
มีเสียงลือกันว่าผีดุ แต่ไม่เคยมีใครโดนหลอกหลอนจริงๆ จังๆ แม้แต่คนเดียว
บ้านดิฉันอยู่ใกล้ๆ กับบ้านของป้าชุลีที่กั้นห้องแบ่งเช่าได้สิบกว่าห้อง ฝั่งตรงข้ามมีซอยแยกเล็กๆ ติดกับตึกแถวไปสู่บ้านเล็กเรือนน้อยสิบกว่าหลัง...ถัดไปก็เป็นสวนเปล่าเปลี่ยวแล้วค่ะ ตอนเย็นๆ จะมีเด็กเล็กหลายคนมาวิ่งเล่นกันเกรียวกราว เด็กผู้หญิงเล่นกระโดดเชือกอยู่ใต้ร่มหูกวาง ส่งเสียงหัวเราะร่าเริงมาเข้าหูเป็นประจำ
เรื่องขนหัวลุกเกิดขึ้นที่นั่นแหละค่ะ!
เด็กผู้หญิงวัยสิบขวบที่มาเล่นบ่อยๆ คือ สายป่าน, ลูกปลา และยัยนุ้ย จนกระทั่งใกล้มืดค่ำถึงจะแยกย้ายกันกลับบ้าน บางวันก็กระโดดเชือกกันเพลินจนพ่อแม่ต้องออกมาตาม
ยัยนุ้ยเป็นเด็กผิวคล้ำ ตาโต ไว้ผมม้าน่ารัก ชอบนุ่งกางเกงขาสั้นสวมเสื้อยืดสวยๆ ดูจะโดดเด่นกว่าเพื่อน เพราะแกช่างพูดช่างคุย หน้าตาท่าทางเฉลียวฉลาด ร้องทักคนที่ผ่านไปมาบ่อยๆ บางทีก็วิ่งตื๋อกลับบ้านที่อยู่ถัดไปจากต้นหูกวาง แล้วก็กลับมาเล่นกับเพื่อนๆ ต่อไป
ร้านชำที่อยู่ริมซอยเล็กขายก๋วยเตี๋ยวหมูตอนกลางวัน พอตกเย็นก็มีคอเหล้าทั้งหนุ่มและแก่มาอุดหนุนกันแน่นหนา พวกที่นั่งโต๊ะด้านข้างร้านก็มักจะชอบมองเด็กๆ เล่นกระโดดเชือกกันอย่างเพลิดเพลิน
ผู้ชายที่มาเช่าห้องพักป้าชุลีตั้งวงกันที่โต๊ะริมระเบียงก็ชอบมองสาวๆ สวยๆ ที่เดินผ่านไปมา หรือไม่ก็มองข้ามฟากไปที่เด็กๆ กำลังวิ่งเล่นและกระโดดเชือกกันเกรียวกราว
วันหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้น!
เย็นนั้นตรงกับวันเสาร์ ดิฉันนั่งรับลมอยู่ที่ระเบียงบ้านชั้นบน มองดูผู้คนและรถราที่ผ่านไปมา โดยเฉพาะกลุ่มเด็กๆ ทั้งชายและหญิงที่กำลังเล่นกันอย่งสนุก สนาน...เสียงหัวเราะเริงร่าของเด็กๆ ทำให้เรามีความสุข และอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปสู่สมัยเด็กๆ ของตัวเอง
ตกค่ำราวทุ่มเศษ ขณะที่ดิฉันลงไปอาบน้ำแล้วออกมากินข้าวกับพ่อแม่ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากหน้าบ้าน ตามด้วยเสียงร้องไห้ดังๆ จนน่าตกใจ...เมื่อออกไปดูพร้อมกับเพื่อนบ้านอีกหลายคนก็ถึงกับใจหายไปตามๆ กัน
ยัยนุ้ยหายไปค่ะ! แม่ของเธอร้องไห้เหมือนจะขาดใจตาย...
ไม่มีใครรู้เห็นเลย เพื่อนๆ คือสายป่านกับลูกปลาก็บอกว่ามัวแต่เล่นเพลินจนไม่ได้สังเกต พอไม่เห็นยัยนุ้ยก็คิดว่าคงจะวิ่งกลับบ้าน ไม่นานก็คงจะกลับมาเหมือนที่เคยวิ่งไปมาอยู่เป็นประจำ ส่วนพวกคอเหล้าที่นั่งอยู่ในร้านก็บอกว่าไม่รู้ไม่เห็นเช่นกัน...บ้างก็ว่าคงจะวิ่งออกมาในซอยใหญ่ บ้างก็ว่าเห็นรถตู้สีขาวแล่นผ่านไปมา 2-3 ครั้ง อาจจะลักเด็กไปก็เป็นได้
พ่อแม่ยัยนุ้ยกับเพื่อนบ้านเที่ยวตามหาไม่ลดละ จนกระทั่งสามทุ่มกว่าจึงได้พบยัยนุ้ยในสวนเปลี่ยวก้นซอยแยกนั่นเอง!
เด็กหญิงเคราะห์ร้ายถูกคนใจทรามข่มขืนฆ่า นัยน์ตาเหลือกลานลืมค้างเบิกโพลงเพราะโดนบีบคอจนสิ้นใจ...ฆาตกรไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้ให้ตำรวจรู้เบาะแสของมันแม้แต่น้อยนิด
จนกระทั่งงานศพผ่านไป แม่ยัยนุ้ยร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ตีอกชกตัวคร่ำครวญว่าอยากจะตายตามลูก...กับแผดร้องให้วิญญาณยัยนุ้ยจงไปเอาชีวิตคนใจโฉดให้จงได้
ยามค่ำคืนมีแต่ความเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจ เสียงหมาหอนโหยหวนมาจากในสวนที่กลายเป็นสุสานเด็กหญิง พวกคอเหล้ารีบกลับบ้าน ร้านค้าแถวนั้นก็รีบปิด...ตอนดึกๆ แว่วเสียงเด็กร้องไห้สะอึกสะอื้นจากในสวนบ้าง จากใต้ต้นหูกวางบ้าง บางทีก็มีคนเห็นยัยนุ้ยเดินเช็ดน้ำตาออกมาจากในสวนจนต้องวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
ครบ 7 วันที่ยัยนุ้ยตายก็เกิดเรื่องสยดสยองขึ้นอีกครั้ง!
นายเขื่องที่เช่าห้องป้าชุลีอยู่ชั้นบน จู่ๆ ก็แผดร้องขึ้นกลางดึกจนผู้คนตกอกตกใจไปตามๆ กัน ตามด้วยเสียงโครมคราม...เมื่อออกไปดูก็ต้องขนหัวลุกเมื่อพบร่างชายผู้นั้นนอนคอหักตายอยู่บนพื้นซีเมนต์...เชื่อว่านายเขื่องกระโจนลงมาจากหน้าต่างห้องนอนจนเสียชีวิตคาที่...
ไม่มีใครรู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไรแน่? แต่มีเสียงพูดกันหนาหูว่า...วิญญาณยัยนุ้ยตามไปทวงชีวิตคนที่ข่มขืนฆ่าแกจนสำเร็จ
ตั้งแต่นั้นมา เสียงสะอื้นในยามค่ำคืนก็หายไป เชื่อกันว่าวิญญาณของยัยนุ้ยสงบสุขแล้ว! แต่จริงละหรือ...ในเมื่อบางคืนยังมีคนเห็นเด็กหญิงไว้ผมม้า นุ่งกางขาสั้น กระโดดเชือกเล่นเพียงเดียวดายอยู่ใต้ร่มหูกวาง หัวเราะเริงร่า...เยือกเย็นไปถึงหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 17 ตุลาคม 2557
ในซอยสองฝั่งถนนจรัญสนิทวงศ์ มีทั้งบ้านช่องและตึกแถวสะพรั่งตา ที่ดินว่างๆ หลายแปลงก็ทยอยหายไป เรือกสวนค่อยๆ ถอยร่นเข้าไปทุกที แต่ในซอยลึกกับด้านหลังหมู่บ้านก็ยังมีสวนผลไม้ร่มครึ้ม น่าวังเวงใจไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน
มีเสียงลือกันว่าผีดุ แต่ไม่เคยมีใครโดนหลอกหลอนจริงๆ จังๆ แม้แต่คนเดียว
บ้านดิฉันอยู่ใกล้ๆ กับบ้านของป้าชุลีที่กั้นห้องแบ่งเช่าได้สิบกว่าห้อง ฝั่งตรงข้ามมีซอยแยกเล็กๆ ติดกับตึกแถวไปสู่บ้านเล็กเรือนน้อยสิบกว่าหลัง...ถัดไปก็เป็นสวนเปล่าเปลี่ยวแล้วค่ะ ตอนเย็นๆ จะมีเด็กเล็กหลายคนมาวิ่งเล่นกันเกรียวกราว เด็กผู้หญิงเล่นกระโดดเชือกอยู่ใต้ร่มหูกวาง ส่งเสียงหัวเราะร่าเริงมาเข้าหูเป็นประจำ
เรื่องขนหัวลุกเกิดขึ้นที่นั่นแหละค่ะ!
เด็กผู้หญิงวัยสิบขวบที่มาเล่นบ่อยๆ คือ สายป่าน, ลูกปลา และยัยนุ้ย จนกระทั่งใกล้มืดค่ำถึงจะแยกย้ายกันกลับบ้าน บางวันก็กระโดดเชือกกันเพลินจนพ่อแม่ต้องออกมาตาม
ยัยนุ้ยเป็นเด็กผิวคล้ำ ตาโต ไว้ผมม้าน่ารัก ชอบนุ่งกางเกงขาสั้นสวมเสื้อยืดสวยๆ ดูจะโดดเด่นกว่าเพื่อน เพราะแกช่างพูดช่างคุย หน้าตาท่าทางเฉลียวฉลาด ร้องทักคนที่ผ่านไปมาบ่อยๆ บางทีก็วิ่งตื๋อกลับบ้านที่อยู่ถัดไปจากต้นหูกวาง แล้วก็กลับมาเล่นกับเพื่อนๆ ต่อไป
ร้านชำที่อยู่ริมซอยเล็กขายก๋วยเตี๋ยวหมูตอนกลางวัน พอตกเย็นก็มีคอเหล้าทั้งหนุ่มและแก่มาอุดหนุนกันแน่นหนา พวกที่นั่งโต๊ะด้านข้างร้านก็มักจะชอบมองเด็กๆ เล่นกระโดดเชือกกันอย่างเพลิดเพลิน
ผู้ชายที่มาเช่าห้องพักป้าชุลีตั้งวงกันที่โต๊ะริมระเบียงก็ชอบมองสาวๆ สวยๆ ที่เดินผ่านไปมา หรือไม่ก็มองข้ามฟากไปที่เด็กๆ กำลังวิ่งเล่นและกระโดดเชือกกันเกรียวกราว
วันหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้น!
เย็นนั้นตรงกับวันเสาร์ ดิฉันนั่งรับลมอยู่ที่ระเบียงบ้านชั้นบน มองดูผู้คนและรถราที่ผ่านไปมา โดยเฉพาะกลุ่มเด็กๆ ทั้งชายและหญิงที่กำลังเล่นกันอย่งสนุก สนาน...เสียงหัวเราะเริงร่าของเด็กๆ ทำให้เรามีความสุข และอดไม่ได้ที่จะมองย้อนกลับไปสู่สมัยเด็กๆ ของตัวเอง
ตกค่ำราวทุ่มเศษ ขณะที่ดิฉันลงไปอาบน้ำแล้วออกมากินข้าวกับพ่อแม่ ก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายจากหน้าบ้าน ตามด้วยเสียงร้องไห้ดังๆ จนน่าตกใจ...เมื่อออกไปดูพร้อมกับเพื่อนบ้านอีกหลายคนก็ถึงกับใจหายไปตามๆ กัน
ยัยนุ้ยหายไปค่ะ! แม่ของเธอร้องไห้เหมือนจะขาดใจตาย...
ไม่มีใครรู้เห็นเลย เพื่อนๆ คือสายป่านกับลูกปลาก็บอกว่ามัวแต่เล่นเพลินจนไม่ได้สังเกต พอไม่เห็นยัยนุ้ยก็คิดว่าคงจะวิ่งกลับบ้าน ไม่นานก็คงจะกลับมาเหมือนที่เคยวิ่งไปมาอยู่เป็นประจำ ส่วนพวกคอเหล้าที่นั่งอยู่ในร้านก็บอกว่าไม่รู้ไม่เห็นเช่นกัน...บ้างก็ว่าคงจะวิ่งออกมาในซอยใหญ่ บ้างก็ว่าเห็นรถตู้สีขาวแล่นผ่านไปมา 2-3 ครั้ง อาจจะลักเด็กไปก็เป็นได้
พ่อแม่ยัยนุ้ยกับเพื่อนบ้านเที่ยวตามหาไม่ลดละ จนกระทั่งสามทุ่มกว่าจึงได้พบยัยนุ้ยในสวนเปลี่ยวก้นซอยแยกนั่นเอง!
เด็กหญิงเคราะห์ร้ายถูกคนใจทรามข่มขืนฆ่า นัยน์ตาเหลือกลานลืมค้างเบิกโพลงเพราะโดนบีบคอจนสิ้นใจ...ฆาตกรไม่ได้ทิ้งร่องรอยไว้ให้ตำรวจรู้เบาะแสของมันแม้แต่น้อยนิด
จนกระทั่งงานศพผ่านไป แม่ยัยนุ้ยร้องไห้จนน้ำตาแทบเป็นสายเลือด ตีอกชกตัวคร่ำครวญว่าอยากจะตายตามลูก...กับแผดร้องให้วิญญาณยัยนุ้ยจงไปเอาชีวิตคนใจโฉดให้จงได้
ยามค่ำคืนมีแต่ความเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจ เสียงหมาหอนโหยหวนมาจากในสวนที่กลายเป็นสุสานเด็กหญิง พวกคอเหล้ารีบกลับบ้าน ร้านค้าแถวนั้นก็รีบปิด...ตอนดึกๆ แว่วเสียงเด็กร้องไห้สะอึกสะอื้นจากในสวนบ้าง จากใต้ต้นหูกวางบ้าง บางทีก็มีคนเห็นยัยนุ้ยเดินเช็ดน้ำตาออกมาจากในสวนจนต้องวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต
ครบ 7 วันที่ยัยนุ้ยตายก็เกิดเรื่องสยดสยองขึ้นอีกครั้ง!
นายเขื่องที่เช่าห้องป้าชุลีอยู่ชั้นบน จู่ๆ ก็แผดร้องขึ้นกลางดึกจนผู้คนตกอกตกใจไปตามๆ กัน ตามด้วยเสียงโครมคราม...เมื่อออกไปดูก็ต้องขนหัวลุกเมื่อพบร่างชายผู้นั้นนอนคอหักตายอยู่บนพื้นซีเมนต์...เชื่อว่านายเขื่องกระโจนลงมาจากหน้าต่างห้องนอนจนเสียชีวิตคาที่...
ไม่มีใครรู้สาเหตุว่าเกิดจากอะไรแน่? แต่มีเสียงพูดกันหนาหูว่า...วิญญาณยัยนุ้ยตามไปทวงชีวิตคนที่ข่มขืนฆ่าแกจนสำเร็จ
ตั้งแต่นั้นมา เสียงสะอื้นในยามค่ำคืนก็หายไป เชื่อกันว่าวิญญาณของยัยนุ้ยสงบสุขแล้ว! แต่จริงละหรือ...ในเมื่อบางคืนยังมีคนเห็นเด็กหญิงไว้ผมม้า นุ่งกางขาสั้น กระโดดเชือกเล่นเพียงเดียวดายอยู่ใต้ร่มหูกวาง หัวเราะเริงร่า...เยือกเย็นไปถึงหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 17 ตุลาคม 2557
14 กุมภาพันธ์ 2558
ผีพเนจร
ผมกับเจ้านัตเพื่อนซี้อยู่ใกล้กันเหมือนปากกับจมูก แต่เวลาจะไปมาหาสู่กันแต่ละทีราวกับอยู่คนละถิ่น...เจ้านัตอยู่ซอยร่วมศิริมิตร ถนนวิภาวดี ตรงลิ่วเข้าไปเกือบถึงโรงแรมซูเปอร์ บ้านอยู่ขวามือ ใกล้ๆ กันแต่ต้องเลี้ยวเข้าไปตามซอยแยกอีกราวสามร้อยเมตร ส่วนผมอยู่ซอยโชคชัยที่อยู่ตรงกันข้าม
อุปสรรคคือเกาะกลางถนนขัดขวาง ยืดยาวจาก สี่แยกสุทธิสารไปจนถึงมุมถนนเกือบถึงห้าแยกลาดพร้าวโน่นแน่ะ
แหม! รักจะไปมาหาสู่กันซะอย่าง เรื่องแค่นี้ถือว่าจิ๊บจ๊อยครับ!
เรื่องขนหัวลุกอุบัติขึ้นเมื่อผมบึ่งรถเอาขาหมูเจ้าอร่อยในซอยบ้านผมไปฝากเจ้านัต เพราะมันเคยชิมตอนมาหาผม พาไปซดเบียร์แกล้มขาหมูข้างบ้านครั้งเดียว เจ้านัตชมเปาะไม่ขาดปากว่าอร่อยเหาะนุ่มปากนุ่มลิ้นซะไม่มีล่ะ...มาทีไรเป็นต้องชวนไปที่ร้านเจ๊แกเป็นประจำ
วันนั้นผมโทร.ไปหาเพื่อน ถามว่าอยู่บ้านหรือเปล่า? ตอนเย็นๆ จะหิ้วขาหมูไปฝาก เจ้านัตหัวเราะร่าบอกว่าจะแช่โซดาเอาไว้ต้อนรับ มีเพื่อนบ้านที่สนิทกัน 2-3 คนว่าจะหากับแกล้มเด็ดๆ มาร่วมวงด้วย
เรื่องราวผ่านไปอย่างราบรื่นชื่นบาน วงเหล้าคึกครื้นกันหายห่วง ไหนจะมีทั้งเสือร้องไห้ แหนมหม้อ พล่ากบ แถมด้วยขาหมูรสเด็ดที่ผมเอาไปฝาก...พูดคุยกันออกรสจนถึงสามทุ่มกว่า พอดีฝนตกกระหน่ำลงมาเหมือนฟ้ารั่ว แต่พวกเราก็ไม่เดือดร้อนอันใด
ซดเหล้ากันอยู่ในบ้าน ฝนหายเมื่อไหร่ค่อยแยกกันกลับ คนอื่นน่ะบ้านอยู่ใกล้ๆ มีผมคนเดียวที่ไกลหน่อย แต่ก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ เรื่องแค่นี้...
ราวสี่ทุ่มครึ่งฝนก็ซาเม็ดจนกระทั่งหายขาด พวกเราล่ำลาเพื่อนฝูง ผมสวมหมวกนิรภัยเรียบร้อยก็บ๊ายบายเพื่อน ขับรถออกมาด้วยอาการมึนเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเมามายอะไรนัก
แสงไฟส่องจ้าทำให้เห็นสายฝนบางๆ ยังพรมพรำอ้อยสร้อย สรรพสิ่งเปล่าเปลี่ยวเงียบเชียบ...ผมขับผ่านคิวมอเตอร์ไซค์ตรงหัวมุมมุ่งหน้าไปทางซอย 3 ที่อยู่ไม่ไกลนัก เดี๋ยวก็จะออกวิภาวดี...เลี้ยวซ้าย-ขวาจนกระทั่งถึงซอยบ้าน...
เอ๊ะ! ทำไมมาโผล่เอาถนนด้านหลังโรงแรมล่ะ?
ถนนเปียกโชกอยู่ในแสงไฟ ไม่มีรถราแล่นผ่านไปมาแม้แต่คันเดียว!
ไม่เป็นไร! คนกำลังมึนๆ ก็เป็นยังงี้แหละ ผมมองดูตึกแถวที่ขวางทางก็เห็นปิดกันหมดสิ้น...เลี้ยวซ้ายอีกทีก็ถึงซอย 3 แล้ว ผมขับรถช้าๆ อย่างระมัดระวัง...ก่อนจะเห็นอะไรบางอย่างโดดเด่นอยู่ในแสงไฟ
คิวมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่งจะผ่านมาหยกๆ นั่นเอง!
มียกพื้นแคบๆ อยู่ใต้ร่มไม้และหลังคาสังกะสี ตอนเย็นๆ เคยเห็นมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ 2-3 คันเป็นประจำ คนขับนั่งเล่นหมากฮอสมั่ง คุยกันมั่ง...บ้างก็สูบบุหรี่มองดูสาวๆ ที่ผ่านไปมาวันมีตลาดนัด...แต่ยามนี้ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว
แน่ล่ะซี! ทั้งดึกดื่นแถมฝนตกมานานอีกต่างหาก ใครๆ ก็คงกลับบ้านหลับนอนหมดแล้ว...ผมเองก็ชักจะง่วงนอนเต็มที
บึ่งรถผ่านตึกแถว ถัดไปเป็นป่าละเมาะรกครึ้มไปสู่ซอย 3 กะว่าเลี้ยวเข้าถนนกว้างในแสงไฟยามดึกดิบดีแล้วเชียวนา แต่ไหงกลับมาเจอเพิงที่พักคิวมอเตอร์ไซค์เข้าอีกล่ะ?
อะไรกัน?! ผมสะบัดหน้ามึนงง...เรากำลังหลงทางเหรอนี่? ไม่น่าจะเป็นไปได้! หนทางก็ไม่ได้คดเคี้ยวยอกย้อนอะไร...หรือว่าเราเมาจนจำทางออกไม่ได้ ผมบึ่งรถไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว...ให้มันรู้ไปว่าจะหลงทางจริงๆ
นรกเป็นพยาน! เบื้องหน้าผมก็คือเพิงพักแห่งเดิมนั่นเอง!
คราวนี้เล่นเอาเข่าอ่อน...แน่ใจแล้วว่าตัวเองเมาหนัก ต้องกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก อยากดื่มน้ำเย็นแก้วโตๆ ให้เต็มอิ่ม...ดับเครื่องลงจากรถไปนั่งพักบนเพิงนั้นพลางถอดหมวกนิรภัยออก แว่วเสียงยอดไม้ไหวซ่า น้ำฝนหล่นกราวลงบนหลังคา ก่อนที่สรรพสิ่งจะตกอยู่ในความเงียบเชียบจนชวนให้ง่วงงุน...
เนื้อตัวหนักอึ้ง จมดิ่งลงสู่ห้วงเหวดำมืด แต่ก็มองเห็นสาวสวยผู้หนึ่งกำลังจ้องมองอย่างยั่วเย้า ผมยาวสยาย นัยน์ตาดำขลับเหมือนหินใสๆ ปากแดงสดเผยอยิ้มจนเห็นฟันขาววับ...เสียงหัวเราะวู่หวิวคล้ายสายลมเย็นยะเยือก...ก่อนจะชะโงกหน้าใกล้เข้ามาทุกที
"เฮ้ย!" ผมร้องสุดเสียง ลุกพรวดพราดขึ้นมา...ภาพของสาวสวยผู้นั้นค่อยๆ เลือนหายไป ผมโดดลงจากเพิง...ไม่แยแสหมวกนิรภัยกับรถมอเตอร์ไซค์อีกแล้ว นอกจากจะเผ่นไปหาเจ้านัตไม่คิดชีวิต ทุบประตูโครมครามจนตื่นกันทั้งบ้าน
เจ้านัตรู้เรื่องก็ทำหน้างงๆ บอกว่าไม่เคยมีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นที่เพิงนั้นเลย...คงจะเป็นวิญญาณพเนจรผ่านมา หรือไม่ผมก็คงเมาจนตาลายไปเอง...แต่ที่แน่ๆ คือขนหัวลุกครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 16 ตุลาคม 2557
อุปสรรคคือเกาะกลางถนนขัดขวาง ยืดยาวจาก สี่แยกสุทธิสารไปจนถึงมุมถนนเกือบถึงห้าแยกลาดพร้าวโน่นแน่ะ
แหม! รักจะไปมาหาสู่กันซะอย่าง เรื่องแค่นี้ถือว่าจิ๊บจ๊อยครับ!
เรื่องขนหัวลุกอุบัติขึ้นเมื่อผมบึ่งรถเอาขาหมูเจ้าอร่อยในซอยบ้านผมไปฝากเจ้านัต เพราะมันเคยชิมตอนมาหาผม พาไปซดเบียร์แกล้มขาหมูข้างบ้านครั้งเดียว เจ้านัตชมเปาะไม่ขาดปากว่าอร่อยเหาะนุ่มปากนุ่มลิ้นซะไม่มีล่ะ...มาทีไรเป็นต้องชวนไปที่ร้านเจ๊แกเป็นประจำ
วันนั้นผมโทร.ไปหาเพื่อน ถามว่าอยู่บ้านหรือเปล่า? ตอนเย็นๆ จะหิ้วขาหมูไปฝาก เจ้านัตหัวเราะร่าบอกว่าจะแช่โซดาเอาไว้ต้อนรับ มีเพื่อนบ้านที่สนิทกัน 2-3 คนว่าจะหากับแกล้มเด็ดๆ มาร่วมวงด้วย
เรื่องราวผ่านไปอย่างราบรื่นชื่นบาน วงเหล้าคึกครื้นกันหายห่วง ไหนจะมีทั้งเสือร้องไห้ แหนมหม้อ พล่ากบ แถมด้วยขาหมูรสเด็ดที่ผมเอาไปฝาก...พูดคุยกันออกรสจนถึงสามทุ่มกว่า พอดีฝนตกกระหน่ำลงมาเหมือนฟ้ารั่ว แต่พวกเราก็ไม่เดือดร้อนอันใด
ซดเหล้ากันอยู่ในบ้าน ฝนหายเมื่อไหร่ค่อยแยกกันกลับ คนอื่นน่ะบ้านอยู่ใกล้ๆ มีผมคนเดียวที่ไกลหน่อย แต่ก็ไม่มีปัญหาหรอกครับ เรื่องแค่นี้...
ราวสี่ทุ่มครึ่งฝนก็ซาเม็ดจนกระทั่งหายขาด พวกเราล่ำลาเพื่อนฝูง ผมสวมหมวกนิรภัยเรียบร้อยก็บ๊ายบายเพื่อน ขับรถออกมาด้วยอาการมึนเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับเมามายอะไรนัก
แสงไฟส่องจ้าทำให้เห็นสายฝนบางๆ ยังพรมพรำอ้อยสร้อย สรรพสิ่งเปล่าเปลี่ยวเงียบเชียบ...ผมขับผ่านคิวมอเตอร์ไซค์ตรงหัวมุมมุ่งหน้าไปทางซอย 3 ที่อยู่ไม่ไกลนัก เดี๋ยวก็จะออกวิภาวดี...เลี้ยวซ้าย-ขวาจนกระทั่งถึงซอยบ้าน...
เอ๊ะ! ทำไมมาโผล่เอาถนนด้านหลังโรงแรมล่ะ?
ถนนเปียกโชกอยู่ในแสงไฟ ไม่มีรถราแล่นผ่านไปมาแม้แต่คันเดียว!
ไม่เป็นไร! คนกำลังมึนๆ ก็เป็นยังงี้แหละ ผมมองดูตึกแถวที่ขวางทางก็เห็นปิดกันหมดสิ้น...เลี้ยวซ้ายอีกทีก็ถึงซอย 3 แล้ว ผมขับรถช้าๆ อย่างระมัดระวัง...ก่อนจะเห็นอะไรบางอย่างโดดเด่นอยู่ในแสงไฟ
คิวมอเตอร์ไซค์ที่เพิ่งจะผ่านมาหยกๆ นั่นเอง!
มียกพื้นแคบๆ อยู่ใต้ร่มไม้และหลังคาสังกะสี ตอนเย็นๆ เคยเห็นมอเตอร์ไซค์จอดอยู่ 2-3 คันเป็นประจำ คนขับนั่งเล่นหมากฮอสมั่ง คุยกันมั่ง...บ้างก็สูบบุหรี่มองดูสาวๆ ที่ผ่านไปมาวันมีตลาดนัด...แต่ยามนี้ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว
แน่ล่ะซี! ทั้งดึกดื่นแถมฝนตกมานานอีกต่างหาก ใครๆ ก็คงกลับบ้านหลับนอนหมดแล้ว...ผมเองก็ชักจะง่วงนอนเต็มที
บึ่งรถผ่านตึกแถว ถัดไปเป็นป่าละเมาะรกครึ้มไปสู่ซอย 3 กะว่าเลี้ยวเข้าถนนกว้างในแสงไฟยามดึกดิบดีแล้วเชียวนา แต่ไหงกลับมาเจอเพิงที่พักคิวมอเตอร์ไซค์เข้าอีกล่ะ?
อะไรกัน?! ผมสะบัดหน้ามึนงง...เรากำลังหลงทางเหรอนี่? ไม่น่าจะเป็นไปได้! หนทางก็ไม่ได้คดเคี้ยวยอกย้อนอะไร...หรือว่าเราเมาจนจำทางออกไม่ได้ ผมบึ่งรถไปด้วยอารมณ์ขุ่นมัว...ให้มันรู้ไปว่าจะหลงทางจริงๆ
นรกเป็นพยาน! เบื้องหน้าผมก็คือเพิงพักแห่งเดิมนั่นเอง!
คราวนี้เล่นเอาเข่าอ่อน...แน่ใจแล้วว่าตัวเองเมาหนัก ต้องกลืนน้ำลายลงคอแห้งผาก อยากดื่มน้ำเย็นแก้วโตๆ ให้เต็มอิ่ม...ดับเครื่องลงจากรถไปนั่งพักบนเพิงนั้นพลางถอดหมวกนิรภัยออก แว่วเสียงยอดไม้ไหวซ่า น้ำฝนหล่นกราวลงบนหลังคา ก่อนที่สรรพสิ่งจะตกอยู่ในความเงียบเชียบจนชวนให้ง่วงงุน...
เนื้อตัวหนักอึ้ง จมดิ่งลงสู่ห้วงเหวดำมืด แต่ก็มองเห็นสาวสวยผู้หนึ่งกำลังจ้องมองอย่างยั่วเย้า ผมยาวสยาย นัยน์ตาดำขลับเหมือนหินใสๆ ปากแดงสดเผยอยิ้มจนเห็นฟันขาววับ...เสียงหัวเราะวู่หวิวคล้ายสายลมเย็นยะเยือก...ก่อนจะชะโงกหน้าใกล้เข้ามาทุกที
"เฮ้ย!" ผมร้องสุดเสียง ลุกพรวดพราดขึ้นมา...ภาพของสาวสวยผู้นั้นค่อยๆ เลือนหายไป ผมโดดลงจากเพิง...ไม่แยแสหมวกนิรภัยกับรถมอเตอร์ไซค์อีกแล้ว นอกจากจะเผ่นไปหาเจ้านัตไม่คิดชีวิต ทุบประตูโครมครามจนตื่นกันทั้งบ้าน
เจ้านัตรู้เรื่องก็ทำหน้างงๆ บอกว่าไม่เคยมีเรื่องร้ายอะไรเกิดขึ้นที่เพิงนั้นเลย...คงจะเป็นวิญญาณพเนจรผ่านมา หรือไม่ผมก็คงเมาจนตาลายไปเอง...แต่ที่แน่ๆ คือขนหัวลุกครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 16 ตุลาคม 2557
13 กุมภาพันธ์ 2558
วันสุดท้าย
"นายโก้" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในคืนสวดศพเพื่อน
การถูกผีหลอกเป็นประสบการณ์เฉพาะตัว ที่เกิดกับประสาทสัมผัสทั้งห้าของคนที่ถูกหลอกเท่านั้น อย่างเช่น ตาเห็น จมูกได้กลิ่น หูได้ยิน หรือบางรายรู้สึกว่ามีมือที่มองไม่เห็นมาถูกเนื้อต้องตัว...มันน่ากลัวจริงๆ แต่พอไปเล่าให้ใครฟังเขาก็หาว่าเราประสาทหลอน!
ตอนที่ผมเรียนอยู่ปีหนึ่ง เทอมปลาย เพื่อนในห้องผมคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุถึงกับตายคาที่เลยครับ น่าสงสารมาก...
เธอชื่อแป้ง ไม่ค่อยสนิทกับผมนักหรอก แต่เราก็อยู่ห้องเดียวกัน เคยคุยเคยแซวกันเป็นประจำ เธอนิสัยดีครับ หน้าตาน่ารัก มีแววทะเล้นอยู่ไม่น้อย...ผมชอบเพราะเธอไม่ใช่ผู้หญิงหน่อมแน้ม หรือดัดจริต
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราเหงาๆ ขึ้นมาเพราะอาจารย์มาสาย เราไม่รู้จะทำอะไรก็เลยรวมกลุ่มกันคุยเรื่องผี...แป้งก็เข้ามาฟังด้วย เธอไม่ใช่คนเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ ออกจะดูถูกด้วยซ้ำ! เธอหัวเราะเยาะเมื่อผมเล่าว่า เคยถูกผีหลอกที่บ้านหลังเก่า....ตามปกติผมไม่ใช่คนอารมณ์ร้อนเลย แต่วันนั้นเกิดฉุนขาด จนหลุดปากว่าไปหลายคำ...
เธอจ๋อยเลยครับ พอเห็นเธอหน้าเสียผมก็สงสาร ต้องเปลี่ยนน้ำเสียงพูดกับเธอให้อ่อนลง...จากนั้นเธอก็คงอยากขอโทษ แต่ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยพูดอย่างเอาใจ...ถามว่าผมคิดอย่างไรกับเรื่องผี เรื่องวิญญาณ?
เราแยกจากวงเพื่อนๆ มาเสวนากันสองคน...ผมบอกเธอถึงความเชื่อของผมว่าคนเราตายแล้ววิญญาณยังอยู่แน่ ไม่สูญสลาย เราต้องทำความดี ละเว้นความชั่ว เพื่อพัฒนาจิตใจเราให้สูงขึ้น แป้งรับฟัง แต่ยืนยันอย่างอ่อนหวานว่าเธอไม่เชื่อเช่นนั้น คนเราตายแล้วก็ดับไปเลย แต่เธอเชื่อว่าการอยู่ในโลกนี้ต้องทำความดีเพื่อให้สังคมสงบสุข
"เอาเหอะน่า ถ้าแป้งตายแล้ววิญญาณยังอยู่ แป้งจะมาบอกโก้นะ" เธอพูดติดตลก
เพียงสองสัปดาห์หลังจากนั้น มอเตอร์ไซค์ที่แป้งซ้อนท้ายก็ถูกรถกระบะชนอย่างแรง แป้งกระเด็นหัวฟาดพื้นตายทันที! ผมได้แต่หวังว่าเป็นความตายที่ไม่เจ็บปวดทรมาน...ทั้งสงสารและคิดถึงเธอจนน้ำตาไหล
พวกผมไปงานศพเธอในเย็นของวันต่อมา....ร่างของแป้งนอนสงบนิ่งบนตั่ง ยื่นแขนขวาออกมานอกผ้าแพรเพลาะสีม่วงอ่อน ใบหน้าบวมนิดๆ ซีดเผือดแต่ยังน่ารักและดูสวย...รอบศีรษะมีผ้าก๊อซพันไว้แน่นหนา เห็นแล้วใจหายครับ
หลังจากรดน้ำแล้วผมก็ถอยออกมายืนดูรูปหน้าศพ...เป็นรูปถ่ายเล่นๆ ที่เธอหันข้างแล้วเหลียวมามองกล้อง เหมือนการเหลียวมาลาเป็นครั้งสุดท้ายยังไงยังงั้น! เธอยิ้มเห็นฟันเรียงเป็นระเบียบ ปากเผยอน้อยๆ คล้ายกำลังหัวเราะ แหม! ช่างเลือกรูปนี้มาจริงๆ ทั้งสวยและมีความหมายของการลาจากเพื่อไปดี...ผมหันกลับมานั่งเก้าอี้แถวที่สอง หลังที่นั่งของเจ้าภาพ แล้วมองไปที่รูปนั้นอีกที
คุณพระช่วย! รูปของแป้งอยู่ในท่าเดิม คือเหลียวข้ามไหล่มามองกล้อง แต่เธออมยิ้มน้อยๆ ดูเศร้าๆ ไม่ใช่แย้มยิ้มปนหัวเราะอย่างที่ผมเห็นเมื่อนาทีก่อน! ผมหลุดปากร้องเฮ้ย! เสียงลั่นจนเพื่อนชื่อเต้หันมา "อะไรวะไอ้โก้...เห็นผีไอ้แป้งรึไง?" ผมตอบว่า "เออ...ตะกี้รูปแป้งยิ้มกับกู!" เพื่อนผมเงียบไปอึดใจ ก่อนจะหันไปมองรูปหน้าศพ
"ก็ปกติดีนี่หว่า มึงตาฝาด ประสาทหลอนไปเองมั้ง...อดนอนหรือเปล่าวะ?"
ผมไม่ต่อล้อต่อเถียง เพราะกำลังมึนงงจนหมดแก่จิตแก่ใจจะเถียงกับมัน ว่าผมแน่ใจในสิ่งที่เห็น...ทันใดนั้น ไอ้เต้ก็ร้องขึ้นมาบ้าง "เฮ้ย! กูได้ยินเสียงแป้งว่ะ! กูจำได้....หัวเราะแบบนี้ไม่มีใคร...แป้งก้มลงมาหัวเราะกรอกหูกู"
"ไม่เห็นได้ยินเลย..." ผมกำลังจะพูดต่อว่ามันได้ยินคนเดียว แต่ก็พูดไม่ออกเพราะดูจากสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมแล้ว...ผมเองก็เพิ่งโดนมาหยกๆ
ไอ้เต้มีทีท่าหวาดกลัวเห็นได้ชัด มันพนมมือแต้ แต่สายตากวาดไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง ผมเอาศอกกระทุ้งเตือนมันเพราะพระท่านเหล่ๆ มาทางนี้แล้ว ทว่าสิ่งที่ผมทำนี้มันไม่มีประโยชน์หรอกครับ พระท่านเหลือบมามองเราอย่างไม่ค่อยสบายใจ ไม่ใช่เพราะท่าทางกลัวผีของไอ้เต้...ท่านกำลังมองปฏิกิริยาของเหล่านักศึกษารอบๆ ตัวผมต่างหาก...
คลื่นความหวาดหวั่นค่อยๆ ขยายวงออกไปทุกทีจนเกิดเสียงพึมพำไปทั่วศาลาวัด!
กลุ่มเพื่อนสนิทของแป้งได้กลิ่นหอมของน้ำหอมที่แป้งชอบใช้ พวกเธอถามแม่และพี่น้องของแป้งแล้ว พวกเขาไม่ได้ใช้น้ำหอมนี้ และไม่ได้กลิ่นด้วย...กลิ่นมันวนเวียนคล้ายแป้งกำลังเดินทักทายเพื่อนๆ ของเธอ...
ผมค่อยๆ เหลือบมองรูปหน้าศพอีกที...เฮ้อ! โล่งอก...เธอหัวเราะเห็นฟัน ไม่ได้อมยิ้มเศร้าๆ อย่างเมื่อกี้...แต่ผมรู้ดีแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
"วิญญาณมีจริงใช่มั้ย แป้ง? ขอบใจนะที่มาบอก หลับให้สบายเถอะ! รู้แล้วไม่ต้องมาบอกอีกก็ได้...กลัวนะโว้ย!" ผมบอกเธอด้วยความรักจากใจจริง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 15 ตุลาคม 2557
การถูกผีหลอกเป็นประสบการณ์เฉพาะตัว ที่เกิดกับประสาทสัมผัสทั้งห้าของคนที่ถูกหลอกเท่านั้น อย่างเช่น ตาเห็น จมูกได้กลิ่น หูได้ยิน หรือบางรายรู้สึกว่ามีมือที่มองไม่เห็นมาถูกเนื้อต้องตัว...มันน่ากลัวจริงๆ แต่พอไปเล่าให้ใครฟังเขาก็หาว่าเราประสาทหลอน!
ตอนที่ผมเรียนอยู่ปีหนึ่ง เทอมปลาย เพื่อนในห้องผมคนหนึ่งประสบอุบัติเหตุถึงกับตายคาที่เลยครับ น่าสงสารมาก...
เธอชื่อแป้ง ไม่ค่อยสนิทกับผมนักหรอก แต่เราก็อยู่ห้องเดียวกัน เคยคุยเคยแซวกันเป็นประจำ เธอนิสัยดีครับ หน้าตาน่ารัก มีแววทะเล้นอยู่ไม่น้อย...ผมชอบเพราะเธอไม่ใช่ผู้หญิงหน่อมแน้ม หรือดัดจริต
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราเหงาๆ ขึ้นมาเพราะอาจารย์มาสาย เราไม่รู้จะทำอะไรก็เลยรวมกลุ่มกันคุยเรื่องผี...แป้งก็เข้ามาฟังด้วย เธอไม่ใช่คนเชื่อเรื่องผีสางนางไม้ ออกจะดูถูกด้วยซ้ำ! เธอหัวเราะเยาะเมื่อผมเล่าว่า เคยถูกผีหลอกที่บ้านหลังเก่า....ตามปกติผมไม่ใช่คนอารมณ์ร้อนเลย แต่วันนั้นเกิดฉุนขาด จนหลุดปากว่าไปหลายคำ...
เธอจ๋อยเลยครับ พอเห็นเธอหน้าเสียผมก็สงสาร ต้องเปลี่ยนน้ำเสียงพูดกับเธอให้อ่อนลง...จากนั้นเธอก็คงอยากขอโทษ แต่ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยพูดอย่างเอาใจ...ถามว่าผมคิดอย่างไรกับเรื่องผี เรื่องวิญญาณ?
เราแยกจากวงเพื่อนๆ มาเสวนากันสองคน...ผมบอกเธอถึงความเชื่อของผมว่าคนเราตายแล้ววิญญาณยังอยู่แน่ ไม่สูญสลาย เราต้องทำความดี ละเว้นความชั่ว เพื่อพัฒนาจิตใจเราให้สูงขึ้น แป้งรับฟัง แต่ยืนยันอย่างอ่อนหวานว่าเธอไม่เชื่อเช่นนั้น คนเราตายแล้วก็ดับไปเลย แต่เธอเชื่อว่าการอยู่ในโลกนี้ต้องทำความดีเพื่อให้สังคมสงบสุข
"เอาเหอะน่า ถ้าแป้งตายแล้ววิญญาณยังอยู่ แป้งจะมาบอกโก้นะ" เธอพูดติดตลก
เพียงสองสัปดาห์หลังจากนั้น มอเตอร์ไซค์ที่แป้งซ้อนท้ายก็ถูกรถกระบะชนอย่างแรง แป้งกระเด็นหัวฟาดพื้นตายทันที! ผมได้แต่หวังว่าเป็นความตายที่ไม่เจ็บปวดทรมาน...ทั้งสงสารและคิดถึงเธอจนน้ำตาไหล
พวกผมไปงานศพเธอในเย็นของวันต่อมา....ร่างของแป้งนอนสงบนิ่งบนตั่ง ยื่นแขนขวาออกมานอกผ้าแพรเพลาะสีม่วงอ่อน ใบหน้าบวมนิดๆ ซีดเผือดแต่ยังน่ารักและดูสวย...รอบศีรษะมีผ้าก๊อซพันไว้แน่นหนา เห็นแล้วใจหายครับ
หลังจากรดน้ำแล้วผมก็ถอยออกมายืนดูรูปหน้าศพ...เป็นรูปถ่ายเล่นๆ ที่เธอหันข้างแล้วเหลียวมามองกล้อง เหมือนการเหลียวมาลาเป็นครั้งสุดท้ายยังไงยังงั้น! เธอยิ้มเห็นฟันเรียงเป็นระเบียบ ปากเผยอน้อยๆ คล้ายกำลังหัวเราะ แหม! ช่างเลือกรูปนี้มาจริงๆ ทั้งสวยและมีความหมายของการลาจากเพื่อไปดี...ผมหันกลับมานั่งเก้าอี้แถวที่สอง หลังที่นั่งของเจ้าภาพ แล้วมองไปที่รูปนั้นอีกที
คุณพระช่วย! รูปของแป้งอยู่ในท่าเดิม คือเหลียวข้ามไหล่มามองกล้อง แต่เธออมยิ้มน้อยๆ ดูเศร้าๆ ไม่ใช่แย้มยิ้มปนหัวเราะอย่างที่ผมเห็นเมื่อนาทีก่อน! ผมหลุดปากร้องเฮ้ย! เสียงลั่นจนเพื่อนชื่อเต้หันมา "อะไรวะไอ้โก้...เห็นผีไอ้แป้งรึไง?" ผมตอบว่า "เออ...ตะกี้รูปแป้งยิ้มกับกู!" เพื่อนผมเงียบไปอึดใจ ก่อนจะหันไปมองรูปหน้าศพ
"ก็ปกติดีนี่หว่า มึงตาฝาด ประสาทหลอนไปเองมั้ง...อดนอนหรือเปล่าวะ?"
ผมไม่ต่อล้อต่อเถียง เพราะกำลังมึนงงจนหมดแก่จิตแก่ใจจะเถียงกับมัน ว่าผมแน่ใจในสิ่งที่เห็น...ทันใดนั้น ไอ้เต้ก็ร้องขึ้นมาบ้าง "เฮ้ย! กูได้ยินเสียงแป้งว่ะ! กูจำได้....หัวเราะแบบนี้ไม่มีใคร...แป้งก้มลงมาหัวเราะกรอกหูกู"
"ไม่เห็นได้ยินเลย..." ผมกำลังจะพูดต่อว่ามันได้ยินคนเดียว แต่ก็พูดไม่ออกเพราะดูจากสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมแล้ว...ผมเองก็เพิ่งโดนมาหยกๆ
ไอ้เต้มีทีท่าหวาดกลัวเห็นได้ชัด มันพนมมือแต้ แต่สายตากวาดไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง ผมเอาศอกกระทุ้งเตือนมันเพราะพระท่านเหล่ๆ มาทางนี้แล้ว ทว่าสิ่งที่ผมทำนี้มันไม่มีประโยชน์หรอกครับ พระท่านเหลือบมามองเราอย่างไม่ค่อยสบายใจ ไม่ใช่เพราะท่าทางกลัวผีของไอ้เต้...ท่านกำลังมองปฏิกิริยาของเหล่านักศึกษารอบๆ ตัวผมต่างหาก...
คลื่นความหวาดหวั่นค่อยๆ ขยายวงออกไปทุกทีจนเกิดเสียงพึมพำไปทั่วศาลาวัด!
กลุ่มเพื่อนสนิทของแป้งได้กลิ่นหอมของน้ำหอมที่แป้งชอบใช้ พวกเธอถามแม่และพี่น้องของแป้งแล้ว พวกเขาไม่ได้ใช้น้ำหอมนี้ และไม่ได้กลิ่นด้วย...กลิ่นมันวนเวียนคล้ายแป้งกำลังเดินทักทายเพื่อนๆ ของเธอ...
ผมค่อยๆ เหลือบมองรูปหน้าศพอีกที...เฮ้อ! โล่งอก...เธอหัวเราะเห็นฟัน ไม่ได้อมยิ้มเศร้าๆ อย่างเมื่อกี้...แต่ผมรู้ดีแล้วว่ามันเกิดอะไรขึ้น
"วิญญาณมีจริงใช่มั้ย แป้ง? ขอบใจนะที่มาบอก หลับให้สบายเถอะ! รู้แล้วไม่ต้องมาบอกอีกก็ได้...กลัวนะโว้ย!" ผมบอกเธอด้วยความรักจากใจจริง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 15 ตุลาคม 2557
11 กุมภาพันธ์ 2558
ซื้อเตียง
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองในรอบเดือนแล้ว ที่แจนต้องมานอนที่ ร.พ.นี้ อันที่จริงเธอก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนักหรอก แต่พักนี้เริ่มมีคนสงสัยเรื่องเธอกับหัวหน้าขึ้นมาแล้ว พากันหาเรื่องจับผิดอยู่ตลอด จนแทบกระดิกตัวไปไหนไม่ได้ โดยเฉพาะยัยเมียหัวหน้า ที่เริ่มมาป้วนเปี้ยนในออฟฟิศบ่อยขึ้นทุกที บางวันถึงขนาดทำปิ่นโตมาส่งผัวตอนพักเที่ยง เรียกว่าไม่ต้องออกไปพ้นตัวอาคารกันเลย
เซ็งหนักๆ เข้าแจนเลยหาเรื่องป่วยปวดท้องบ้าง ปวดหัวบ้าง ก็พอดีกับที่สนิทสนมกับหมอที่โรงพยาบาลนี้เป็นอย่างดี แถมยังมีประกันสุขภาพแบบมีรายได้ชดเชยวันหยุดอีก แจนก็เลยได้มานอนกระดิกเท้าเล่นสบายๆ ได้ตามใจ
ร.พ.เอกชนนี่บางทีอยู่สบายหยั่งกะโรงแรม สวย สะอาด แถมมีคนดูแลตลอด กดออดก็วิ่งมาล่ะ แจนคิดพลางกดมือถือแช็ตไลน์คุยเล่นกับเพื่อนๆ พลางถ่าย รูปอัพภาพตัวเองนอนบนเตียงโรงพยาบาลพร้อมเข็มน้ำเกลือ ทำหน้าเพลียๆ ขึ้นอินสตาแกรม พิมพ์ไว้ใต้รูปว่า หน้าโทรมมาก ทั้งที่แต่งหน้าเต็มกรีดอายไลเนอร์คมกริบ
แจนมองรูปตัวเองที่ถ่ายไว้นับพันรูปอย่างพออกพอใจ ธรรมดาของคนสวย เธอคิด ถ่ายมุมไหนก็สวย คิดแล้วเธอก็ตัดใจเลือกรูปหนึ่งที่คิดว่าดูจืดที่สุดแต่ก็ยังสวยน่าทะนุถนอมมาก อัพขึ้นเป็นรูปโปรไฟล์ หลังจากนั้นก็มีข้อความไลน์เด้งขึ้นมาทักเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นบรรดาหนุ่มๆ ที่แจนกำลังคั่วอยู่ อวยพรให้กำลังใจขอให้หายป่วยไวๆ หลายคนชมว่าขนาดป่วยยังน่ารัก แจนยิ้มพอใจ
สักพักเสียงเคาะประตูดังขึ้น แจนตกใจ กลัวจะเป็นเจ้านายกิ๊กของเธอซึ่งขี้หึงมาก จึงรีบปิดเครื่องมือถือแล้วยัดเข้าไปไว้ใต้ที่นอนก่อนที่เขาจะเข้ามา
หลังจากนั้น เมื่อเขากลับไปแล้ว แจนจึงล้วงมือไปดึงมือถือกลับมา แต่ทว่า "เอ๊ะ นี่อะไรน่ะ" เธอคิดเมื่อมือล้วงไปเจอสิ่งอื่นที่มากกว่ามือถือ
แจนค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง แล้วยกเบาะที่นอนดู แล้วก็ต้องตกตะลึง เมื่อพบเงินเหรียญ 10 จำนวนหลายเหรียญกระจายอยู่เต็มพื้นเตียงไปหมด หญิงสาวมองไปทางประตูห้อง เมื่อไม่เห็นใครเข้ามา จึงรีบโกยเงินทั้งหมดนั้นใส่กระเป๋าเหรียญของตัวเอง "ลาภลอยละ" เธอคิดอย่างกระหยิ่ม
เมื่อเพื่อนๆ ของเธอมาเยี่ยมในตอนเย็น เธอก็นำเงินที่ได้มานั้นยื่นให้เพื่อนช่วยไปซื้อขนมและน้ำอัดลมมากินกัน พลางเล่าเรื่องที่เจอเงินให้เพื่อนฟังอย่างร่าเริง
แต่ในกลุ่มเพื่อนเธอคนหนึ่งดูไม่ได้ร่าเริงด้วย แถมยังดูตกใจ "อะไรนะ นี่มึงเอาเงินใต้ที่นอนนั่นมาซื้อของกินเหรอ"
"ก็ใช่น่ะสิวะ โคตรโชคดีเลย" แจนหัวเราะ
เพื่อนคนนั้นหน้าถอดสี รีบวางขนมที่กำลังกินอยู่และลุกขึ้นทันที "อีแจน มึงนี่หาเรื่องแล้ว เงินใต้ที่นอน โรงพยาบาลเขาเอาใส่ไว้ซื้อที่ มึงไม่รู้เหรอ"
"ซื้อที่อะไรวะ" แจนงุนงงกับท่าทีของเพื่อนที่ทำให้เพื่อนคนอื่นๆ เริ่มตกใจไปด้วย
"เขาซื้อที่จากคนที่ตายบนเตียงคนก่อนๆ ไม่งั้นจะนอนไม่ได้ ยิ่งเตียงไหนมีเงินเยอะแสดงว่าเตียงนั้นเฮี้ยนเลยไม่มีแม่บ้านกล้าเอาเงินออก"
แจนใจหายวูบ เย็นสันหลังขึ้นมาทันที แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ "อีบ้า ปากเสียอุตส่าห์ซื้อขนมมาแบ่งกันกินยังมาปากเสียอีก"
เพื่อนคนนั้นรีบควักเงินในกระเป๋าส่งคืนให้แจน "เอาเงินมึงคืนไปเลย กูไม่อยู่ด้วยละ กินเงินซื้อเตียง ซวยชิบหาย"
หลังจากนั้นงานก็กร่อย และคนอื่นๆ ก็ทยอยขอตัวกลับไปจนเหลือแต่แจนคนเดียว หญิงสาวรู้สึกฉุนเพื่อนคนนั้นไม่น้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แจนกดออดเรียกพยาบาลให้มาช่วยเธอขยับเสาน้ำเกลือกลับขึ้นไปนอนบนเตียง แจนขึ้นไปยังไม่ทันเรียบร้อย ก็รู้สึกเหมือนมีใครผลักจนตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง "โอ๊ย!" พยาบาลที่อยู่อีกฟากหนึ่งตกใจและรีบเข้ามาช่วยแต่ก็ถูกแจนตวาดหาว่าแกล้งเธอ สรุปแล้วข้อเท้าของแจนบาดเจ็บเพิ่มเติมจนเดินไม่ได้ หมอได้รักษาใส่เฝือกและสั่งให้นอนนิ่งๆ ไม่ให้ลุกไปไหน
"ก็จะลุกไปไหนได้ล่ะสภาพนี้" แจนคร่ำครวญน้ำตาซึม พลางนึกน้อยใจว่าเมื่อเธอเจ็บจริงๆ แล้ว เจ้านายกลับ ไม่มาคอยเฝ้าดูแลเธอบ้างเลย โทร.ไปก็ไม่รับสายไลน์ไปก็บอกว่าติดธุระที่บ้าน น่าน้อยใจจริงๆ สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แจนดีใจ รีบหยิบมาดู แต่ปลายทางเป็นเบอร์ไม่ระบุเลขหมาย "ฮัลโหล"
เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงกระซิบกระซาบแหบพร่าแผ่วเบาฟังแทบไม่ได้ศัพท์ของคนหลายคนคล้ายๆ คำว่า ที่กู ที่กู แจนเข้าใจไปว่าเพื่อนโทร.มาอำเล่น
"ใครวะ อย่าให้กูรู้นะมึง" แจนตะคอกลงไปในโทรศัพท์ แต่แล้วก็ต้องตกใจ สะดุ้งสุดตัวแทบขว้างโทรศัพท์ทิ้ง เมื่อเสียงจากในโทรศัพท์แผดออกมาดังลั่นห้องว่า "ที่กู!"
แจนมือสั่นตัวสั่นด้วยความกลัว พยายามคลานไปที่ปุ่มกดเรียกพยาบาลที่หัวเตียงเอื้อมมือไปยังไม่ทันถึงก็รู้สึกได้ว่ามีมือมาจับที่ข้อเท้าแล้วกระชากอย่างแรงจนตกลงมาหัวฟาดพื้นอย่างแรง ก่อนที่สติจะดับวูบ แจนเห็นร่างเงาดำตะคุ่มใหญ่โตกว่าคนปกติร่างหนึ่งชะโงกลงมาจากเตียง แสยะยิ้มให้หัวเราะชอบใจเสียงก้องกังวานไปทั่วห้อง แล้วพูดว่า "ทีหลังอย่าสะเออะมานอนที่กู"
ที่มา : คอลัมน์ หลอน โดย นทธี ศศิวิมล - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558
เซ็งหนักๆ เข้าแจนเลยหาเรื่องป่วยปวดท้องบ้าง ปวดหัวบ้าง ก็พอดีกับที่สนิทสนมกับหมอที่โรงพยาบาลนี้เป็นอย่างดี แถมยังมีประกันสุขภาพแบบมีรายได้ชดเชยวันหยุดอีก แจนก็เลยได้มานอนกระดิกเท้าเล่นสบายๆ ได้ตามใจ
ร.พ.เอกชนนี่บางทีอยู่สบายหยั่งกะโรงแรม สวย สะอาด แถมมีคนดูแลตลอด กดออดก็วิ่งมาล่ะ แจนคิดพลางกดมือถือแช็ตไลน์คุยเล่นกับเพื่อนๆ พลางถ่าย รูปอัพภาพตัวเองนอนบนเตียงโรงพยาบาลพร้อมเข็มน้ำเกลือ ทำหน้าเพลียๆ ขึ้นอินสตาแกรม พิมพ์ไว้ใต้รูปว่า หน้าโทรมมาก ทั้งที่แต่งหน้าเต็มกรีดอายไลเนอร์คมกริบ
แจนมองรูปตัวเองที่ถ่ายไว้นับพันรูปอย่างพออกพอใจ ธรรมดาของคนสวย เธอคิด ถ่ายมุมไหนก็สวย คิดแล้วเธอก็ตัดใจเลือกรูปหนึ่งที่คิดว่าดูจืดที่สุดแต่ก็ยังสวยน่าทะนุถนอมมาก อัพขึ้นเป็นรูปโปรไฟล์ หลังจากนั้นก็มีข้อความไลน์เด้งขึ้นมาทักเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่เป็นบรรดาหนุ่มๆ ที่แจนกำลังคั่วอยู่ อวยพรให้กำลังใจขอให้หายป่วยไวๆ หลายคนชมว่าขนาดป่วยยังน่ารัก แจนยิ้มพอใจ
สักพักเสียงเคาะประตูดังขึ้น แจนตกใจ กลัวจะเป็นเจ้านายกิ๊กของเธอซึ่งขี้หึงมาก จึงรีบปิดเครื่องมือถือแล้วยัดเข้าไปไว้ใต้ที่นอนก่อนที่เขาจะเข้ามา
หลังจากนั้น เมื่อเขากลับไปแล้ว แจนจึงล้วงมือไปดึงมือถือกลับมา แต่ทว่า "เอ๊ะ นี่อะไรน่ะ" เธอคิดเมื่อมือล้วงไปเจอสิ่งอื่นที่มากกว่ามือถือ
แจนค่อยๆ ก้าวลงจากเตียง แล้วยกเบาะที่นอนดู แล้วก็ต้องตกตะลึง เมื่อพบเงินเหรียญ 10 จำนวนหลายเหรียญกระจายอยู่เต็มพื้นเตียงไปหมด หญิงสาวมองไปทางประตูห้อง เมื่อไม่เห็นใครเข้ามา จึงรีบโกยเงินทั้งหมดนั้นใส่กระเป๋าเหรียญของตัวเอง "ลาภลอยละ" เธอคิดอย่างกระหยิ่ม
เมื่อเพื่อนๆ ของเธอมาเยี่ยมในตอนเย็น เธอก็นำเงินที่ได้มานั้นยื่นให้เพื่อนช่วยไปซื้อขนมและน้ำอัดลมมากินกัน พลางเล่าเรื่องที่เจอเงินให้เพื่อนฟังอย่างร่าเริง
แต่ในกลุ่มเพื่อนเธอคนหนึ่งดูไม่ได้ร่าเริงด้วย แถมยังดูตกใจ "อะไรนะ นี่มึงเอาเงินใต้ที่นอนนั่นมาซื้อของกินเหรอ"
"ก็ใช่น่ะสิวะ โคตรโชคดีเลย" แจนหัวเราะ
เพื่อนคนนั้นหน้าถอดสี รีบวางขนมที่กำลังกินอยู่และลุกขึ้นทันที "อีแจน มึงนี่หาเรื่องแล้ว เงินใต้ที่นอน โรงพยาบาลเขาเอาใส่ไว้ซื้อที่ มึงไม่รู้เหรอ"
"ซื้อที่อะไรวะ" แจนงุนงงกับท่าทีของเพื่อนที่ทำให้เพื่อนคนอื่นๆ เริ่มตกใจไปด้วย
"เขาซื้อที่จากคนที่ตายบนเตียงคนก่อนๆ ไม่งั้นจะนอนไม่ได้ ยิ่งเตียงไหนมีเงินเยอะแสดงว่าเตียงนั้นเฮี้ยนเลยไม่มีแม่บ้านกล้าเอาเงินออก"
แจนใจหายวูบ เย็นสันหลังขึ้นมาทันที แต่ก็ยังทำใจดีสู้เสือ "อีบ้า ปากเสียอุตส่าห์ซื้อขนมมาแบ่งกันกินยังมาปากเสียอีก"
เพื่อนคนนั้นรีบควักเงินในกระเป๋าส่งคืนให้แจน "เอาเงินมึงคืนไปเลย กูไม่อยู่ด้วยละ กินเงินซื้อเตียง ซวยชิบหาย"
หลังจากนั้นงานก็กร่อย และคนอื่นๆ ก็ทยอยขอตัวกลับไปจนเหลือแต่แจนคนเดียว หญิงสาวรู้สึกฉุนเพื่อนคนนั้นไม่น้อย แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แจนกดออดเรียกพยาบาลให้มาช่วยเธอขยับเสาน้ำเกลือกลับขึ้นไปนอนบนเตียง แจนขึ้นไปยังไม่ทันเรียบร้อย ก็รู้สึกเหมือนมีใครผลักจนตกลงมากระแทกพื้นอย่างแรง "โอ๊ย!" พยาบาลที่อยู่อีกฟากหนึ่งตกใจและรีบเข้ามาช่วยแต่ก็ถูกแจนตวาดหาว่าแกล้งเธอ สรุปแล้วข้อเท้าของแจนบาดเจ็บเพิ่มเติมจนเดินไม่ได้ หมอได้รักษาใส่เฝือกและสั่งให้นอนนิ่งๆ ไม่ให้ลุกไปไหน
"ก็จะลุกไปไหนได้ล่ะสภาพนี้" แจนคร่ำครวญน้ำตาซึม พลางนึกน้อยใจว่าเมื่อเธอเจ็บจริงๆ แล้ว เจ้านายกลับ ไม่มาคอยเฝ้าดูแลเธอบ้างเลย โทร.ไปก็ไม่รับสายไลน์ไปก็บอกว่าติดธุระที่บ้าน น่าน้อยใจจริงๆ สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น แจนดีใจ รีบหยิบมาดู แต่ปลายทางเป็นเบอร์ไม่ระบุเลขหมาย "ฮัลโหล"
เสียงที่ตอบกลับมาเป็นเสียงกระซิบกระซาบแหบพร่าแผ่วเบาฟังแทบไม่ได้ศัพท์ของคนหลายคนคล้ายๆ คำว่า ที่กู ที่กู แจนเข้าใจไปว่าเพื่อนโทร.มาอำเล่น
"ใครวะ อย่าให้กูรู้นะมึง" แจนตะคอกลงไปในโทรศัพท์ แต่แล้วก็ต้องตกใจ สะดุ้งสุดตัวแทบขว้างโทรศัพท์ทิ้ง เมื่อเสียงจากในโทรศัพท์แผดออกมาดังลั่นห้องว่า "ที่กู!"
แจนมือสั่นตัวสั่นด้วยความกลัว พยายามคลานไปที่ปุ่มกดเรียกพยาบาลที่หัวเตียงเอื้อมมือไปยังไม่ทันถึงก็รู้สึกได้ว่ามีมือมาจับที่ข้อเท้าแล้วกระชากอย่างแรงจนตกลงมาหัวฟาดพื้นอย่างแรง ก่อนที่สติจะดับวูบ แจนเห็นร่างเงาดำตะคุ่มใหญ่โตกว่าคนปกติร่างหนึ่งชะโงกลงมาจากเตียง แสยะยิ้มให้หัวเราะชอบใจเสียงก้องกังวานไปทั่วห้อง แล้วพูดว่า "ทีหลังอย่าสะเออะมานอนที่กู"
ที่มา : คอลัมน์ หลอน โดย นทธี ศศิวิมล - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2558
10 กุมภาพันธ์ 2558
สะพานผีสิง
"บันเทิง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากแยก อ.ต.ก.
เมื่อราว 10 ปีก่อน เคยมีอุบัติเหตุรถผสมปูนวิ่งขึ้นมาบนสะพานลอยข้ามแยกกำแพงเพชร เลี้ยวขวาไปลงแถวหน้าตลาดอ.ต.ก. แต่รถเกิดหลุดโค้งพุ่งทะลุราวกั้นหล่นโครมลงไปบนถนนข้างล่าง เกิดเรื่องสยดสยองสุดขีดทันใด
นั่นคือ เด็กท้ายรถโดนแรงอัดขาขาด ตกอยู่บนพื้นสะพาน ส่วนร่างแหลกเหลวยับเยินพุ่งผ่านหน้าต่างของตึกข้างถนน เข้าไปนอนตายคาที่อยู่ชั้นสองนั่นเอง!
ใครได้ฟังข่าวทางวิทยุล้วนแต่เศร้าสลดระคนเสียวสันหลังไปตามๆ กัน
ผมกับเพื่อนเคยเจอะเจอเหตุการณ์ขนหัวลุก ไม่ใช่วิญญาณที่เกิดจากอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งนั้นหรอกครับ มันเกิดขึ้นก่อนนานแล้ว ที่ผมเสียวสันหลังก็เพราะเชื่อว่ามีอะไรบางอย่างที่สิงสู่อยู่บนสะพานนั้น เป็นวิญญาณผีตายโหงที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปผุดไปเกิดเสียที...และนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องสยองขวัญก็เป็นได้!
คืนนั้นผมไปงานแต่งงานเพื่อนรุ่นน้องย่านดอนเมือง แล้วไปต่อกับเพื่อนๆ จนถึงตีสองจึงได้แยกย้ายกันกลับ ถนนโล่งว่าง ผมขับรถมาเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง มีบ้านที่อยู่แถวประดิพัทธ์เป็นจุดหมาย
ครั้นมาถึงทางที่โค้งจะลงถัดอ.ต.ก.ไปหน่อย แสงไฟตัดกับหมอกสีเหลืองส้ม ผมเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ราว 5-6 ขวบกำลังยืนอยู่คนเดียวข้างรั้วด้านขวา ร่างแกผ่ายผอม ดูกระจ้อยร่อยน่ากลัวพิลึก...
เด็กอะไรมายืนอยู่บนสะพานลอยตอนตีสอง แต่งชุดกระโปรงสีชมพูเหมือนจะไปงานโรงเรียน...ทำให้ผมมัวตกตะลึง งงงันจนรถเกือบหลุดโค้ง!
เมื่อมองกระจกหลังอีกที ถนนกลับว่างเปล่า ไม่มีแม่หนูน้อยเสียแล้ว! เธอหายไปได้ยังไงกัน? พอรุ่งขึ้นเอาไปคุยกับเพื่อนที่ทำงาน อ้าว? กลับได้มาอีกเรื่องเลยครับ
เพื่อนเล่าว่าเคยขับรถขึ้นสะพานนั้นตอนดึก พอเริ่มตีโค้งรถก็เสียหลักหมุนคว้าง บังคับไม่อยู่จนคิดว่าตายแน่ๆ ความตระหนกทำให้หลุดปากโพล่ง...พ่อแม่ช่วยด้วย! ปรากฏว่ารถหยุดนิ่งทันใด แต่สร้อยคอเส้นใหญ่ที่แขวนพระนั้นขาดได้ยังไงก็ไม่ทราบ?
ช่วงที่รถจะหยุดนิ่ง เขามองเห็นใครกลุ่มหนึ่งเกือบ 20 ร่างเป็นเงาดำๆ...ไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ พวกนั้นยืนมองมาทางเขาเป็นจุดเดียวคล้ายพวกไทยมุงไม่มีผิด!
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เป็นไร ทั้งหมดก็หันหลังกลับ ค่อยๆ จางหายไปจนลับตา...
พวกเราสรุปกันว่า บนสะพานนั้นต้องมีวิญญาณสิงสู่มากมาย...พวกเขาคงตายบนสะพานนี้กระมัง วิญญาณถึงได้สิงสู่อยู่บนสะพานนี้น่ะ?
คำตอบคือ ไม่มีหรอกครับ! แต่พี่สาวผมซึ่งอายุ หกสิบกว่าแล้ว เคยเป็นผู้สื่อข่าวสมัยท่านนายกฯเกรียงศักดิ์โน่น...สมัยนั้นยังไม่มีเซ็นทรัลลาดพร้าว สวนจตุจักรก็เพิ่งเริ่มสร้าง เริ่มปลูกต้นไม้กันไม่นาน
ช่วงแรกๆ มีคนพบเห็นภาพสยองขวัญหลายครั้งเต็มที!
เธอเล่าว่า เวลาคนงานขุดลงไปจะเจอโครงกระดูก หัวกะโหลกมากมายนับเป็นสิบๆ เชื่อว่าพวกนี้คงถูกลวงมาฆ่า หรือเอาศพมาทิ้งไว้ สาเหตุเพราะสมัยนั้นเลยสะพานควายไปไม่ไกลก็เปลี่ยวแล้ว เหมาะสำหรับพวกคนร้ายจะออกล่าเหยื่อ ทั้งปล้น จี้ และสังหารโหด ข่มขืนฆ่า...น่าสยองมากๆ เลยครับ
ตั้งแต่นั้นมา เวลาขับรถขึ้นไปบนสะพานโค้งนี้ผมจะสวดมนต์ แผ่เมตตาให้ดวงวิญญาณที่ไม่สงบสุขเหล่านั้นเสมอ อย่างที่พ่อเคยสอนว่า เวลาที่ผ่านสี่แยกอันตาย, โค้งผีสิง หรือแม่น้ำใหญ่ก็ควรสวดมนต์เป็นประจำ
อย่างน้อยๆ ก็ "นโมพุทธายะ" หรือ "พุทธังสรณัง คัจฉามิ" ก็ได้
ทั้งนี้เพราะวิญญาณที่เดือดร้อน ทนทุกข์ทรมาน หรือวิญญาณผีตายโหง ต้องพบจุดจบของชีวิตอย่างเจ็บปวดรุนแรง รวมทั้งพวกฆ่าตัวตาย ก็ยังต้องการผู้บอกทางไปสู่โลกหน้าอยู่ตรงนั้นเอง...พวกเขายังไม่ไปสู่สุคติ!
คิดแล้วก็น่าสงสาร น่าสลดใจมากๆ เลย...
เมื่อก่อนนั้นเขาก็เป็นมนุษย์ที่มีลมหายใจอยู่ในบ้านเมืองนี้ สังคมนี้อย่างพวกเรา มีทุกข์มีสุข เคยหัวเราะและร้องไห้อย่างพวกเรามาเหมือนกัน...ผมเต็มใจเสมอที่จะแผ่เมตตาและอุทิศส่วนบุญกุศลให้พวกเขา ขอให้พวกเขาหลุดพ้นจากความทุกข์ไปสู่สุคติโดยทั่วกัน
อย่างน้อยก็เชื่อว่า อาจจะทำให้วิญญาณเหล่านั้นได้ชุ่มชื่นขึ้นบ้างไม่มากก็น้อยถือว่ายังดีนะครับ!
ที่มา: คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด หน้า 26 ข่าวสดรายวัน วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557
เมื่อราว 10 ปีก่อน เคยมีอุบัติเหตุรถผสมปูนวิ่งขึ้นมาบนสะพานลอยข้ามแยกกำแพงเพชร เลี้ยวขวาไปลงแถวหน้าตลาดอ.ต.ก. แต่รถเกิดหลุดโค้งพุ่งทะลุราวกั้นหล่นโครมลงไปบนถนนข้างล่าง เกิดเรื่องสยดสยองสุดขีดทันใด
นั่นคือ เด็กท้ายรถโดนแรงอัดขาขาด ตกอยู่บนพื้นสะพาน ส่วนร่างแหลกเหลวยับเยินพุ่งผ่านหน้าต่างของตึกข้างถนน เข้าไปนอนตายคาที่อยู่ชั้นสองนั่นเอง!
ใครได้ฟังข่าวทางวิทยุล้วนแต่เศร้าสลดระคนเสียวสันหลังไปตามๆ กัน
ผมกับเพื่อนเคยเจอะเจอเหตุการณ์ขนหัวลุก ไม่ใช่วิญญาณที่เกิดจากอุบัติเหตุร้ายแรงครั้งนั้นหรอกครับ มันเกิดขึ้นก่อนนานแล้ว ที่ผมเสียวสันหลังก็เพราะเชื่อว่ามีอะไรบางอย่างที่สิงสู่อยู่บนสะพานนั้น เป็นวิญญาณผีตายโหงที่ยังไม่มีโอกาสได้ไปผุดไปเกิดเสียที...และนั่นอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องสยองขวัญก็เป็นได้!
คืนนั้นผมไปงานแต่งงานเพื่อนรุ่นน้องย่านดอนเมือง แล้วไปต่อกับเพื่อนๆ จนถึงตีสองจึงได้แยกย้ายกันกลับ ถนนโล่งว่าง ผมขับรถมาเรื่อยๆ อย่างระมัดระวัง มีบ้านที่อยู่แถวประดิพัทธ์เป็นจุดหมาย
ครั้นมาถึงทางที่โค้งจะลงถัดอ.ต.ก.ไปหน่อย แสงไฟตัดกับหมอกสีเหลืองส้ม ผมเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ราว 5-6 ขวบกำลังยืนอยู่คนเดียวข้างรั้วด้านขวา ร่างแกผ่ายผอม ดูกระจ้อยร่อยน่ากลัวพิลึก...
เด็กอะไรมายืนอยู่บนสะพานลอยตอนตีสอง แต่งชุดกระโปรงสีชมพูเหมือนจะไปงานโรงเรียน...ทำให้ผมมัวตกตะลึง งงงันจนรถเกือบหลุดโค้ง!
เมื่อมองกระจกหลังอีกที ถนนกลับว่างเปล่า ไม่มีแม่หนูน้อยเสียแล้ว! เธอหายไปได้ยังไงกัน? พอรุ่งขึ้นเอาไปคุยกับเพื่อนที่ทำงาน อ้าว? กลับได้มาอีกเรื่องเลยครับ
เพื่อนเล่าว่าเคยขับรถขึ้นสะพานนั้นตอนดึก พอเริ่มตีโค้งรถก็เสียหลักหมุนคว้าง บังคับไม่อยู่จนคิดว่าตายแน่ๆ ความตระหนกทำให้หลุดปากโพล่ง...พ่อแม่ช่วยด้วย! ปรากฏว่ารถหยุดนิ่งทันใด แต่สร้อยคอเส้นใหญ่ที่แขวนพระนั้นขาดได้ยังไงก็ไม่ทราบ?
ช่วงที่รถจะหยุดนิ่ง เขามองเห็นใครกลุ่มหนึ่งเกือบ 20 ร่างเป็นเงาดำๆ...ไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ พวกนั้นยืนมองมาทางเขาเป็นจุดเดียวคล้ายพวกไทยมุงไม่มีผิด!
เมื่อเห็นว่าเขาไม่เป็นไร ทั้งหมดก็หันหลังกลับ ค่อยๆ จางหายไปจนลับตา...
พวกเราสรุปกันว่า บนสะพานนั้นต้องมีวิญญาณสิงสู่มากมาย...พวกเขาคงตายบนสะพานนี้กระมัง วิญญาณถึงได้สิงสู่อยู่บนสะพานนี้น่ะ?
คำตอบคือ ไม่มีหรอกครับ! แต่พี่สาวผมซึ่งอายุ หกสิบกว่าแล้ว เคยเป็นผู้สื่อข่าวสมัยท่านนายกฯเกรียงศักดิ์โน่น...สมัยนั้นยังไม่มีเซ็นทรัลลาดพร้าว สวนจตุจักรก็เพิ่งเริ่มสร้าง เริ่มปลูกต้นไม้กันไม่นาน
ช่วงแรกๆ มีคนพบเห็นภาพสยองขวัญหลายครั้งเต็มที!
เธอเล่าว่า เวลาคนงานขุดลงไปจะเจอโครงกระดูก หัวกะโหลกมากมายนับเป็นสิบๆ เชื่อว่าพวกนี้คงถูกลวงมาฆ่า หรือเอาศพมาทิ้งไว้ สาเหตุเพราะสมัยนั้นเลยสะพานควายไปไม่ไกลก็เปลี่ยวแล้ว เหมาะสำหรับพวกคนร้ายจะออกล่าเหยื่อ ทั้งปล้น จี้ และสังหารโหด ข่มขืนฆ่า...น่าสยองมากๆ เลยครับ
ตั้งแต่นั้นมา เวลาขับรถขึ้นไปบนสะพานโค้งนี้ผมจะสวดมนต์ แผ่เมตตาให้ดวงวิญญาณที่ไม่สงบสุขเหล่านั้นเสมอ อย่างที่พ่อเคยสอนว่า เวลาที่ผ่านสี่แยกอันตาย, โค้งผีสิง หรือแม่น้ำใหญ่ก็ควรสวดมนต์เป็นประจำ
อย่างน้อยๆ ก็ "นโมพุทธายะ" หรือ "พุทธังสรณัง คัจฉามิ" ก็ได้
ทั้งนี้เพราะวิญญาณที่เดือดร้อน ทนทุกข์ทรมาน หรือวิญญาณผีตายโหง ต้องพบจุดจบของชีวิตอย่างเจ็บปวดรุนแรง รวมทั้งพวกฆ่าตัวตาย ก็ยังต้องการผู้บอกทางไปสู่โลกหน้าอยู่ตรงนั้นเอง...พวกเขายังไม่ไปสู่สุคติ!
คิดแล้วก็น่าสงสาร น่าสลดใจมากๆ เลย...
เมื่อก่อนนั้นเขาก็เป็นมนุษย์ที่มีลมหายใจอยู่ในบ้านเมืองนี้ สังคมนี้อย่างพวกเรา มีทุกข์มีสุข เคยหัวเราะและร้องไห้อย่างพวกเรามาเหมือนกัน...ผมเต็มใจเสมอที่จะแผ่เมตตาและอุทิศส่วนบุญกุศลให้พวกเขา ขอให้พวกเขาหลุดพ้นจากความทุกข์ไปสู่สุคติโดยทั่วกัน
อย่างน้อยก็เชื่อว่า อาจจะทำให้วิญญาณเหล่านั้นได้ชุ่มชื่นขึ้นบ้างไม่มากก็น้อยถือว่ายังดีนะครับ!
ที่มา: คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด หน้า 26 ข่าวสดรายวัน วันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2557
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)