30 ธันวาคม 2557

5 อันดับโรงแรมผีดุ ภาคอีสาน (5/5)

5. ผีอาเสี่ย....ที่โรงแรมโรงพยาบาลเก่า จังหวัดขอนแก่น

เป็นเรื่องจากประสบการณ์จริงของคุณ แนนนะเออ เล่าไว้ในเวบ narak.com

เรื่องจริงเรื่องนี้ก่อนอื่นต้องขออนุญาติ เสี่ยผู้นั้น ก่อนที่จะเล่าค่ะไม่ได้ลบหลู่ แต่อยากเล่าให้เพื่อนๆฟัง... เรื่องมีอยู่ว่า แฟนเราทำงานเป็นเซลล์ต่างจังหวัด (อีกแระ) ส่วนใหญ่จะวิ่งงานภาคอีสานค่ะ เราก็จะติดตามไปด้วยเพราะพอดีเป็นวันหยุด แฟนเราออกจากกรุงเทพแต่เช้า ไปถึงจังหวัดขอนแก่นก็ประมาณ 5 โมงเย็นแล้ว ก็ได้เข้าไปพักที่โรงแรมนึง ไม่ขอเอ่ยค่ะ เอาเป็นว่าเป็นโรงพยาบาลเก่า มาสร้างเป็นโรงแรม ข้างล่างจะเป็นคาเฟ่ มีนักร้องไว้ต้อนรับอาเสี่ยทั้งหลาย แฟนเราได้จองห้อง เอ่อไม่บอกนะ ระหว่างที่จะพิมพ์ชื่อห้องขนลุกง่ะ (สงสัยเขาไม่อยากให้บอก) ระหว่างที่เข้าไปพักห้องนั้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไฟมันตกหรือปล่าวมันเลยสลัวๆน่ากลัวมากกว่าปกติ บริกรเมื่อเอากระเป๋ามาส่งมักจะรอเงินทิป แต่เจ้านี้มาถึงวางและวิ่งหายต๋อมไปเลย เรายังพูดกับแฟนว่าไอ้บริกรนี่มันไม่เอาทิปเหรอ ...

ระหว่างดูทีวีอยู่นั้น แฟนเรารู้สึกง่วง เลยขอหลับก่อนและขอปิดไฟ ทีนี้ในห้องพวกเธอลองจินตนาการนะ คือห้อง 4 เหลี่ยม เปิดไปก็จะเห็นห้องน้ำอยู่ซ้ายมือ มองไปเห็นเตียงปลายเตียงมีทีวี กับตู้เย็น และเป็นผ้าม่านทึบๆปิดกระจกที่ท้ายห้อง แฟนเรานอนติดห้องน้ำ ส่วนเรานอนด้านระเบียง ก็คือถ้ามีไครเข้ามาก็ต้องเห็นแฟนเราก่อน ในห้องปิดไฟหมดอาศัยแสงจากทีวีเท่านัน สักพักเราดูละครไปได้สักพัก เรารู้สึกหนักตา และเคลิ้มๆ เราก็เห็นว่าตรงประดูหน้าห้อง มันเหมือนมีสองมิติ คือ มันปิดและลงกลอนอยู่ แต่เป็นภาพซ้อนว่ามีคนแก่อ้วนๆมาดอาเสี่ย เปิดประตูเข้ามา พร้อมกับเดิน ไม่สิ เอาเป็นว่าเลื่อนๆๆๆมาดีกว่า เพราะถ้าเดินต้องมียุบๆๆบ้างตามจังหวะยกขา แต่เขาเลื่อน ฟึ๊บ..เร็วมาก หน้าของเขาก็มาจ่อที่หน้าเรา!!!

คือถ้าเป็นคนอ่ะนะ ทำไมตัวอยู่ปลายเตียง และยืดคอเอาหน้ามาใกล้เราได้ยังไง ห้องก็ล็อค เขาถามเราว่าเป็นใคร(มองไม่เห็นหน้านะ แต่มีลมหายใจปะทะ) มานอนห้องนี้ได้ไง นั่นใคร (หมายถึงแฟนเรา) ตาเสี่ยนั้นก็ถามว่าชื่อไร เราก็ตอบไปแต่มันอ้าปากไม่ได้ ได้แต่ตอบในใจ แต่เขาได้ยิน เขาบอกว่ากลัวเหรอ ไม่ต้อกลัวนะ แค่มาถามเฉยๆ คือเห็นมานอนห้องเขา ถ้าวันนี้มีแขกเขาไปก็ได้และก็ค่อยเลื่อนเปิดประตูออกไป อืม.....ทั้งที่ประตูยังล็อคอยู่ คือลงกลอน ระหว่างนั้นเราก็หายอึดอัดและลุกขึ้นนั่ง หายใจทั่วท้อง ก็เลยปลุกแฟน ขอย้ายห้อง แฟนเห็นว่าเราคงฝัน เอ่อถ้าฝันระหว่างนั้นละครที่เราดูอยู่ รู้สึกจะเป็นช่อง 3 เราสามารถเล่าได้ทุกฉาก เพราะถ้าเราหลับหรือฝันไป เรื่องมันจะตรงกันได้ไง....

อืม....แฟนเรามันก็เลยเริ่มเชื่อและเรียกบริกรมาขอเปลี่ยน บริกรมันก็บอกว่า พี่เจอเหรอ คงเปลี่ยนไม่ได้อ่ะ แต่มันดันไปเอาพระ คือเป็นพระที่หิ้งบูชามาให้เราตั้งในห้องเลยคิดดู หลังจากนั้นก็ไม่เกิดอะไรขึ้นนอนสบายมาก จนถึงเช้า แต่แฟนเรามันบอกว่าระหว่างที่มันตื่นกลางดึกจะไปฉี่ มันได้ยินคนบอกว่า 12 12 หนึ่งสอง คือบอกแค่นี้ เราเลยเอามาซื้อหวยค่ะ ถูกได้ตั้ง เป็นหมื่น และก็ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ เอ่อลืมเล่าให้ฟัง บริกรบอกว่า เป็นเสี่ยยิงกันเรื่องหึงหวง เป็นเรื่องนานแล้ว ชาวขอนแก่นรู้ดีเพราะเป็นข่าวดัง ก็มีแค่นี้แหละนะ ต้องขออภัย ทั้งเสี่ยคนนั้น เจ้าของโรงแรม ค่ะคือเราอยากแค่เตือนๆเอาไว้.....

28 ธันวาคม 2557

5 อันดับโรงแรมผีดุ ภาคอีสาน (4/5)

4. เมื่อหนุ่มเจ เจตริน เจอผีที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน อุบลราชธานี

เป็นเรื่องดังพอสมควรในช่วงนั้น เมื่อหนุ่มเจ อดีตนักร้องนักเต้นชื่อดังได้ไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในอุบลราชธานี แล้วเจอดีจังๆเข้ากับตัวเอง เมื่อเขาต้องเจอกับบางสิ่ง....

"เจ-เจตริน" ขนพองสยองเกล้า เจอรอยนิ้วมือประหลาด ในห้อง น้ำโรงแรมที่อุบลฯ พอถ่ายรูปมาลงทวิตเตอร์ มีคนชี้ให้ดูว่ามีใบหน้าคนปรากฏอยู่ด้วย เล่นเอาตะลึงไปทั่ว เจ้าตัวเผยรู้สึกหลอนๆ ตอนเห็นรอยนิ้วมือประทับบนกระจกฝ้า เพราะตำแหน่งอยู่สูงมาก และก็มีขนาดใหญ่ผิดปกติ ซ้ำไอน้ำอุ่นยังขึ้นเป็นตัวหนัง สือที่กระจกห้องน้ำอีกต่างหาก รับเป็นคนเชื่อว่าวิญญาณมีจริง แต่คงไม่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลอะไร เพราะว่าเป็นคริสเตียน......

เจ-เจตริน วรรธนะสิน เปิดเผยกับผู้สื่อข่าว กรณี โพสต์ภาพถ่ายติดรอยคล้ายนิ้วมือและใบหน้าคนลงทวิตเตอร์ จนเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอยู่ในขณะนี้ โดยเจ-เจตริน กล่าวว่า ได้ถ่ายภาพนี้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในจ.อุบลราชธานี ตอนแรกตั้งใจจะถ่ายภาพรอยนิ้วมือที่ขึ้นเป็นฝ้าบนกระจกในห้องน้ำ แต่ปรากฏว่าหลังจากนำภาพลงทวิตเตอร์ "ดุ๋ง"พาที สารสิน รุ่นพี่คนสนิท สังเกตเห็นด้านซ้ายมือของภาพเป็นใบ หน้าคน สร้างความตกใจให้ตัวเองเป็นอย่างมาก

เจ กล่าวต่อว่า เคยไปเล่นคอนเสิร์ตที่จ.อุบล ราชธานี หลายครั้ง เวลาเล่นคอนเสิร์ตเสร็จแต่ละครั้ง จะนอนที่โรงแรม 1 คืน ก่อนจะเดินทางกลับตอนเช้าของอีกวัน จน 2 ครั้งล่าสุดที่ไป จ.อุบลฯ มีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้น หลังจากอาบน้ำอุ่น มีไอร้อนขึ้นเป็นฝ้าที่หน้ากระจกเป็นลายตัวหนังสือ รวมถึงรอยนิ้วมือคน ซึ่งสังเกตได้ชัด ตอนแรกคิดว่าอาจจะเป็นรอยนิ้วมือของแม่บ้านที่มาทำความสะอาด แต่รอยที่เห็นอยู่ขอบบนสุดของกระจก ซึ่งสูงมาก แม่บ้านไม่น่าปีนขึ้นไปถึง ลองเอานิ้วมือตัวเองไปเทียบ ปรากฏว่ารอย นิ้วมือในกระจกยาวกว่า ตอนนั้นเริ่มรู้สึกหลอน เพราะนอนโรงแรมมาก็หลายจังหวัด แต่ไม่เคยเห็นรอยนิ้วมือแบบนี้ที่ไหน นอกจากที่จ.อุบลฯ และเป็นคนละโรงแรมกันด้วย จึงถ่ายภาพแล้วขึ้นในทวิตเตอร์ มีคนเข้ามาทวีตจำนวนมาก จนเกิดประเด็นว่าเป็นรอยนิ้วมือใคร.....

"กระทั่งล่าสุดพี่ดุ๋งทวีตว่ารอยนิ้วมือไม่น่ากลัวเท่าไร แต่ทางซ้ายมือของภาพมองดีๆ เหมือนเป็นหน้าคน จึงกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในทวิตเตอร์อย่างหนัก ซึ่งพอลองมองตามที่พี่ดุ๋งบอก ก็เห็นว่ามีหน้าคนจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าผู้หญิงหรือผู้ชาย ซึ่งตอนถ่ายไม่เห็นใคร มองในมุมไสยศาสตร์ว่าอาจจะมีใครอยากคุยกับผมก็ได้ แต่ไม่ถึงกับปักใจเชื่อว่าเป็นผีปีศาจ เพราะเท่าที่เจอ รู้สึกว่าเขามาดี ตั้งใจว่าหากได้ไปจ.อุบลฯ อีกครั้ง จะลองอาบน้ำอุ่นให้ไอความร้อนขึ้นฝ้า แล้วดูว่าจะมีรอยนิ้วมืออีกไหม ถ้ามีอีกจะคุยกับสิ่งที่มองไม่เห็นผ่านไอน้ำ เผื่อเขาอยากจะมีอะไรให้ผมช่วยเหลือ" นักร้องดังกล่าว......

ทั้งนี้ทั้งนั้นที่จังหวัดนี้มีอดีตโรงพยาบาลเก่าที่นำมาสร้างเป็นโรงแรม และได้ลือกันว่าLฮี้ยนมากๆ แต่เนื่องด้วยข้อมูลจำกัดเลยหาที่มาที่ไปของเรื่องราวนี้มาไม่ได้ ก็เอามาบอกก่อนละกันเผื่อใครจะไปพักกันนะครับ .... ว่ากันว่า คนแถวนั้นรู้ดีว่าผีดุ.....หุหุ

26 ธันวาคม 2557

5 อันดับโรงแรมผีดุ ภาคอีสาน (3/5)

3. โรงแรมเก่าใกล้ตลาด ที่ จ.สุรินทร์

เป็นเรื่องเล่าจากคุณ Ake_dee จากเวป www.sappasart.com นะครับ เขาเป็น Sales (อีกแระ)แต่ต้องได้ไปนอนคนเดียวที่โรงแรมแห่งหนึ่งใกล้ตลาด แต่ทว่า.....

จังหวัดสุรินทร์ใครเคยไปบ้างครับ ทุกคนอาจเคยได้ยินกิตติศัพท์ เรื่องของผีเขมรหรืออาคม มนต์ดำของเขมรมาบ้าง เรื่องนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของการทำงานออกทริปต่างจังหวัด ผมต้องไปพักที่จังหวัดสุรินทร์ ผมไปถึงจังหวัดสุรินทร์ประมาณ 1 ทุ่ม ก็ไปเข้าพักโรงแรม ชื่อ....... คืนละ 250 บาท เป็นโรงแรมไม้ 2 ชั้นเก่า ๆ เซลล์จะมาพักกัน... จริงๆ ผมนอนที่โรงแรมใหญ่ ๆ ในจังหวัดก็ได้ แต่โรงแรมดังกล่าวอยุ่ใกล้ตลาด และร้านของลูกค้า ผมจึงไม่คิดมาก แม้จะเก่าและโทรมมากก็ตาม....พอผมจ่ายค่าห้องเสร็จ ก็เดินไปตามทาง เป็นโรงแรมไม้ 2 ชั้น ด้านหน้าเหมือนห้องแถว แต่พอเดินเข้าไปเป็นห้องแถวยาวตอนลึก กว่า 20 ห้องได้ ชั้นล่าง 20 ห้อง ชั้น 2 ก็ประมาณเดียวกัน พอเงยขึ้นไป บนเพดาน จะมีช่องตระแกงเหล็ก มองเห็นคนเดินอยู่ด้านบนได้เลย ห้องที่ผมพักเกือบเป็นห้องสุดท้าย ของตึก ด้านขวาเป็นสนามหญ้าสำหรับจอดรถของเซลล์มืด ๆ พอเข้าห้องปุ๊บก็รู้สึกได้ถึงความเก่า และเหม็นอับ ในห้องมีพวงมาลัย 1 พวงแขวนอยู่บนโคมไฟหัวเตียง....

และเตียงเป็นแบบยกพื้น สามารถให้คนมุดไปใต้เตียงได้ ผมก็จัดแจงเก็บของแล้วก็ชาร์ตแบตเตอรี่มือถือ จากนั้นก็เปิดทีวีดูข่าว แล้วเดินเข้าไปอาบน้ำ....แต่เนื่องจากโรงแรมนี้น่ากลัวผมจึงไม่ปิดประตูห้องน้ำ อาบๆไป ในช่องข่าวผู้ประกาศข่าวก็เป็นผุ้ชาย แต่สิ่งที่ผมได้ยินคือมีผู้หญิงกำลังคุยกันในห้องนอน ผมรีบคว้าผ้าเช็ดตัวออกไปดูที่เตียงก็ไม่พบอะไร จึงกลับเข้าไปอาบน้ำต่อ สักพักก็ได้ยินเสียงคุยอีก ผมจึงรีบออกมาแล้วแต่งตัวเลย โดยในห้องก็ไม่มีอะไรเช่นเดิม นอกจากผู้ประกาศข่าวชายกำลังอ่านข่าวอยู่ .....

ผมจึงเดินไปถอดแบตมือถือออกจากโทรศัพท์ แต่ทันใดนั้นสิ่งที่ผมเห็นคือ สัญญาณโทรศัพท์ยังคงชาร์ตแบตต่อไปเรื่อย ๆ ทั้งที่ผมถอดปลั๊กออกแล้ว ผมทำใจดีสู้เสือ (เสือ หรือ ผี...) คิดว่าโทรศัพท์อาจจะรวนก็ได้ แต่ทำไมต้องมาเป็นที่ห้องนี้ ที่จังหวัดนี้ด้วยฟระ จึงตัดสินใจกดสวิทส์ ดับเครื่องมือถือ หวังว่าสัญญาณชาร์ตแบตจะดับแน่ๆ แต่กลับยิ่งขนลุกเข้าไปใหญ่ เพราะโทรศัพท์ก็ยังคงชาร์ตแบตต่อไป ทั้งที่ถอดปลั๊กออกแล้ว แถมกดสวิทซ์ปิดเครื่องผมจึงตัดสินใจรีบเดินออกจากห้องทันที พอเดินออกไปแล้วปิดประตูห้องปุ๊บสัญญาณการชาร์ตแบตก็ดับไปเฉยๆ

ตอนนั้นก็ 2 ทุ่มกว่าผมจึงตัดสินใจออกไปกินข้าว แล้วหาหนังดูสักเรื่อง ก็เลยไปดูหนังรอบ 3 ทุ่มกว่าหนังจะจบก็เกือบเที่ยงคืน ผมต้องตัดสินใจกลับมาที่ห้องพักห้องเดิม บอกตรง ๆ ทางเดินเข้าห้องทั้งมืด วังเวง และฝนเริ่มตกลงมา พอเข้าห้องปุ๊บ สักพักฝนก็ตกมาอย่างหนัก ผมรีบสวดมนต์เข้านอน เปิดทีวีไว้เสียงดังมาก แต่คืนนั้นทั้งคืน ได้ยินแต่เสียงคนมาขยับหน้าต่างตลอดทั้งคืน แม้จะลุกมองออกไปก็ไม่มี แถมผีอำตลอดคืน พอลุกขึ้นได้ นอนต่อก็โดนอำอีก จนถึงเช้า ผมออกจากห้องพักด้วยอาการอ่อนล้าเพราะไม่ได้นอนทั้งคืน บอกตรง ๆ จังหวัดนี้Lฮี้ยนสมคำล่ำลือจริง ๆ

เป็นไปได้ว่า ผีเป็นคลื่นวิญญาณชนิดหนึ่ง และสัญญาณชาร์ตแบตมือถืออาจจับสัญญาณคลื่นบางอย่างในห้องได้ พอเดินออกจากห้องสัญญาณมือถือก็ดับลง เพราะในห้องนั้นต้องมีอะไรแน่ๆ เลยครับ หลังจากกลับมาโทรศัพท์นี้ไม่มีปัญหาอะไร เป็นปกติดี.....

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไปไหนคนเดียว อย่าคิดนอนโรงแรมราคาถูกอาจจะเจอดี แถมด้วยมือถือใช้ตรวจหาสัญญาณผีได้ด้วยนะครับ แหม๋.......

25 ธันวาคม 2557

5 อันดับโรงแรมผีดุ ภาคอีสาน (2/5)

2. ผีที่โต๊ะเครื่องแป้งแห่งเมืองโคราช นครราชสีมา

ที่ผู้เล่าได้ไปประสบพบเจอสิ่งแปลกปลอมภายในห้องพักพร้อมทั้งสามีชาวต่างชาติ (นั่นไงขนาดฝรั่งยังไม่เว้นนะ ผีไทย...เหอๆๆ)

เราคนหนึ่งล่ะที่เชื่อเรื่องผี เรื่องที่เราจะเล่าคือคืนวันที่เราจะแต่งงานกับแฟนที่เป็นฝรั่งเราพากันไปพักอยู่ที่โรงแรมXXXX ที่โคราชใครอยู่โคราชก็คงรู้จัก แฟนของเราเขามีซิกเซ้นแรงเรื่องวิญญาณเขาเห็นผีจนชินแล้วเขาเลยไม่ค่อยกลัว แต่เราสิตั้งแต่คบกับเค้าก็เหมือนจะชินเรืองนี้ไปแล้วเหมือนกันเพราะว่าเค้าเห็นแต่เราไม่เห็น แต่เค้าก็บอกเราว่าผีไม่ทำอะไรหรอกเค้าก็อยู่ส่วนเค้าเราก็อยู่ส่วนเราแต่ที่เค้าเห็นบ่อยคงคล้ายๆกับคนเห็นผีน่ะแหละ เราก็ชอบนะที่เค้าสามารถเห็นผีได้....

แต่คืนที่เราเห็นไปกับเค้าก็คือคืนที่เราค้างที่โรงแรมนี้แหละเราไม่ได้จำห้องนะคืนแรกผ่านไปไม่มีอะไร พอคืนที่สองตอนประมาณตีสี่เห็นจะได้เราก็นอนหลับแต่นอนคว่ำหน้า เราโดนผีอำเรารู้สึกว่าเค้ามาทางโต๊ะเครื่องแป้งตอนแรกเราก็โดนอำปกติแหละเราก็ไม่ดิ้นนะ เราขยับตัวไม่ได้เฉยๆเหมือนกับเค้าจะมานอนที่นอนเดิมของเค้าแหละ เรารู้สึกว่าเค้าอยู่ในตัวเราสองนาทีเราก็ปล่อยให้เค้านอนไป แต่ใจเราก็กลัวนะแต่ใจดีสู้เสือ ทีนี้สงสัยเค้าคงเห็นเราไม่สู้แต่ให้เค้านอนเฉยๆ เค้าก็ลอยขึ้นมาจากตัวเราแล้วตอนนั้นตัวเราก็เบาหวิวแต่ยังขยับตัวไม่ได้ แต่เราลืมตาได้เหมือนกับเค้าสั่งให้ลืมตามองมาที่เค้าแหละ ในขณะที่เราลืมตาแต่พูดไม่ได้ขยับตัวไม่ได้นั้นเราเห็นเงาคนเหมือนกับเค้าใส่หมวกด้วยนะคล้ายๆยาม ไม่ก็ทหารประมาณนี้แหละค่อยๆลอยถอยกลับไปที่ใต้กระจกโต๊ะเครื่องแป้งปลายเตียง กว่าเค้าจะไปได้เราก็ต้องเห็นอยู่แบบนั้นประมาณสิบนาทีจะเรียกแฟนก็ไม่ได้ขยับตัวก็ไม่ได้แต่เค้าให้เราเห็นอย่างเดียวกว่าเค้าจะค่อยๆจางหายไปตรงเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเราก็ใจหล่นไปอยู่ใหนแล้วไม่รู้ ไม่รู้จะบังคับให้มองทำไม พอดีพอเค้าหายไปเราก็ขยับได้เลย เราก็หันมามองแฟนแบบตกใจ เค้าก็ถามว่าเป็นอะไรเห็นผีเหรอ....

เราก็บอกอืม เธอก็เห็นเหรอ เค้าบอกว่าเค้าเห็นก่อนเราตอนประมาณตีสองเค้าบอกว่าเค้าตื่นมากลางดึกตอนงัวเงียที่จะหลับต่อเค้าเห็นคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้งมองมาทางเรา เค้าก็เลยไล่เหมือนกับส่งจิตไล่อ่ะบอกว่า"เห็นอีกแล้วเหรอ วันนี้ไม่อยากเห็น ไปเหอะอยากนอนจะปลุกทำไม "คือเค้าไม่กลัวไง แต่สงสัยผีคงกลัวเค้ามั้งเลยมาหาเราแทน เราก็บอกว่าใส่หมวกด้วย แฟนก็อึ้งก็บอกคนเดียวกันแหละเพราะเค้าก็เห็นเป็นเงาคนใส่หมวกเหมือนกัน เราก็เลยไม่กล้านอนต่อจนถึงเช้าเลย แล้วที่เห็นกับแฟนอีกครั้งก็ที่โรงแรมXXXX ก็ไม่ค่อยน่ากลัวนะเรากลับมาจากงานศพพี่ชายที่บ้านตอนสามทุ่มกับแฟนพอขึ้นไปบนห้องเปิดประตูข้างในก็มืดนะไม่ได้เปิดไฟทิ้งไว้ เราก็เดินเข้าไปที่โต๊ะเครื่องแป้งเร็วๆแฟนก็เดินตามหลังมาจะเปิดไฟอยู่แล้วล่ะ พอดีมีแสงอะไรไม่รู้ก็คงเป็นแสงวิญญาณน่ะแหละ มาจากโซฟาผ่านตัวเราไปเร็วมากๆแว็บนึงเราก็คิดว่าตาฝาดแต่ก็ตกใจเหมือนกันก็เลยตะโกนตอนเห็นแสงบอกว่า "เฮ้ยอะไรวะ"เราก็สังเกตุใหญ่เลยอยากรู้ แฟนเค้าก็เปิดไฟ ก็ไม่มีอะไรเค้าบอกว่าเห็นด้วยเหรอนึกว่าเค้าเห็นคน เค้าก็ทำท่าทางว่ามาจากทางนี้ใช่มั้ยหายแว็บไปทางนี้....

เราก็ว่าไม่จริงอ่ะ แต่ก็เป็นไปแล้ว แฟนเราถ้าเค้าเห็นเค้าจะไม่บอกเราหรอก แต่ถ้าเราเห็นด้วยเค้าก็จะบอกว่าเราน่ะตาไม่ฝาดหรอก คืนนั้นเราเลยลองเอากล้องมาลองถ่ายไปทั่วห้องเลยลองดู แต่มีอยู่ใบหนึ่งมีรูปแสงไฟกลมๆอยู่ใต้โต๊ะเครื่องแป้งเราเลยไม่ถ่ายเลยรู้แล้วค่ะ ขอโทษค่ะ พอตอนเช้าแฟนก็บอกว่านอนไม่ค่อยหลับเลยเมื่อคืนเหมือนเค้าอยู่ที่ห้องด้วยทั้งคืนเลย แต่ว่าเราก็นอนหลับปกติค่ะ ก็เอามาเล่าแค่นี้ก่อนมีอีกเยอะที่แฟนเจอมา แต่ที่เราเจอด้วยก็มีที่เล่ามานี้แหละค่ะ ...... ผีไทยนี่หลอกคนได้ทุกชาติเลยนะครับ แหม๋.........

ที่มา : www.happy.teenee.com

24 ธันวาคม 2557

5 อันดับโรงแรมผีดุ ภาคอีสาน (1/5)

1. โรงแรมแห่งหนึ่ง ระแวก สน.ตำรวจ อุดร

จากเรื่องเล่าของ Sales คนหนึ่งซึ่งจำใจเข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้ด้วยว่า โรงแรมอื่นๆเต็มหมด และที่นี่เหลืออยู่เพียงห้องสุดท้าย (ตลอดแหล่ะ แบบนี้เจอผีประจำ...)

ต้องขอบอกก่อนนะครับว่าเรื่องที่ทานจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นเรื่องจริง 100% เพราะเป็นเรื่องที่ผมประสบด้วยตัวเอง ก่อนอื่นขอแนะนำก่อนนะครับหลังจากเรียนจบผมได้ทำงานที่แรกโดยเป็น Sales ขายเครื่องมือแพทย์ในโรงพยาบาลในเขตภาคอีสานตอนบนและโดยส่วนตัวเมื่อก่อนไม่เชื่อเรื่องสิ่งที่มองไม่เห็นนักแต่ก็ไม่ได้ถึงกับลบหลู่แต่อย่างใด ด้วยงานทำให้ได้เข้าพักที่โรงแรมตามจังหวัดต่างๆในภาคอีสานเป็นประจำ จนกระทั้งวันหนึ่งผมได้เดินทางมาทำงานที่จังหวัดหนองบัวลำภูกับทีมงานที่มาช่วยอีก 2 คน และด้วยที่จังหวัดหนองบัวลำภูเป็นจังหวัดเล็กจึงทำให้หาที่พักลำบากทำให้พวกเราตัดสินใจกันว่าจะเดินทางไปพักที่จังหวัดอุดรธานีซึ่งเป็นจังหวัดที่ใหญ่หาที่พักได้ง่ายกว่า.....

เราเดินทางออกจากจังหวัดหนองบัวลำภู ประมาณ 18.00 น และ ถึง อุดรธานี ประมาณเกือบ 20.00 น.เข้าไปหาที่พักพบว่าที่พักเต็มหมด ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าผมเคยไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งอยู่ระแวก สถานีตำรวจ จ.อุดรธานี และได้เข้าไปติดต่อพบว่ามีห้องว่างและเหลือเพียงห้องสุดท้าย (หึๆ) โดยเราได้เข้าพักห้องหมายเลข 407 โดยเป็นชั้น 4 และตัวผมเองที่เคยมาพักก็ไม่เคยพักที่ชั้นนี้มาก่อน โดยห้องพักที่นี้เป็นห้องพักเพียงฝั่งเดียวและอีกด้านจะเป็นระเบียง และเวลาเราจะเดินเข้าห้องพักต้องเดินไปตามระเบียงและต้องผ่านห้องพักต่างๆไปก่อนซึ่งห้องที่พักเป็นห้องที่ 7 ซึ่งเกือบสุดทางเดินและค่อนข้างมืด....

จากนั้นเราก็เข้านำของเข้าเก็บเนื่องจากเรามากันสามคนและมีห้องพักเหลือเพียงห้องเดียวและเป็นเตียงคู่ผมและเพื่อนอีกคนก็ช่วยกันเลื่อนเตียงลงเพื่อจะได้นอนได้ทั้ง 3 คน ส่วนพี่อีกคนที่มาด้วยอาบน้ำอยู่ในห้องน้ำผมและเพื่อนก็ต้องตกใจหันมองหน้ากันเนื่องจากพอเรานำเตียงลงทำให้ผ้าปูเตียงด้านล่างหลุดออกและเรามองเห็นคราบสีนำตาลอยู่ที่ปลายเตียงเป็นเป็นวงประมาณฝ่ามือ ผมจึงบอกเพื่อนไปว่า " ไม่มีอะไรหน่าอาจมีผู้หญิงที่มีประจำเดือนมานอนละมั่ง" จากนั้นผมก็นำผ้าปูเตียงมาปูทับและไม่ได้คิดอะไร จากนั้นผมได้เปิดไฟที่หัวเตียงและปิดผ้าม่านและผมได้แง้มผ้าม่านไว้นิดหนึ่งตรงฝั่งโคมไฟหัวเตียงเพื่อมองเห็นว่ามีใครเดินผ่านหน้าห้องหรือหากมีคนมาเค๊าะจะได้เห็นจากนั้นเราก็ออกไปทานข้าวเย็นกันและเดินทางกลับมาที่ห้องเพื่อจะพักผ่อน

ประมาณเวลา 23.00 น เราเดินมาตามทางระเบียงเพื่อเข้าห้องและคุยกันมาโดยเพื่อนผมเดินนำหน้าผมอยู่กลางพี่อยู่ด้านหลัง เราเดินมาถึงหน้าห้อง 407 โดยผมและพี่ก็ยืนอยู่หน้า หน้าต่างหน้าห้อง เพื่อนผมได้เอื่อมมือไปสอดกุญแจเพื่อจะเปิดประตูพี่ที่เดินตามหลังผมพูดขึ้นว่า" ทำอะไร!?" เราสองคนหันไปมองในห้องพักของเราเองผ่านม่านที่แง้มอยู่ที่ผมเปิดไว้และเห็นแสงไฟที่ผมเปิดไว้ที่หัวเตียง ผมเห็นชายร่างใหญ่ผิวขาวคิดว่าไม่ใช่คนเอเชียนั่งอยู่บนเตียงและหันหน้าไปด้านที่วีซึ่งอยู่อีกมุมหนึ่งของห้องหันด้านข้างให้กับเรา จากนั้นเพื่อนผมก็ได้เปิดประตูเข้าไปในห้องแล้วผมและพี่ก็หันไปมองที่ประตูที่เปิดออก จากนั้นเราหันกลับมามองที่หน้าต่างอีกครั้งชายคนนั้นก็หายไปจากเตียงเราสองคนตกใจรีบวิ่งเข้าไปในห้อง เพราะ เรางงมากว่ามีคนอยู่ในห้องได้อย่างไร แต่เมื่อเราเข้ามาก็ไม่มีใครอยู่ในห้องเลยเราสามคนจึงมานั่งคุยกัน.....

พี่บอกว่าพี่เห็นตั้งแต่เราเดินมาแล้วและเข้าใจว่าเพื่อนผมแกล้งเข้าห้องผิด (เราล้อเล่นกันบ่อยๆ) แต่ที่พี่เค้าพูดว่า "ทำอะไร"เพราะเค้าคิดว่าเราเข้าห้องผิด ผมและเพื่อนมองหน้ากันและคิดว่าจะเล่าเรื่องรอยบนเตียง จากนั้นเราก็นอนผมไม่ยอมนอนเตียงนั้นเพื่อนผมอาสานอนเอง จากนั้นได้พักเดียวหลังจากปิดไฟไม่เป็นอันนอนครับมีเสียงไม้แขวนเสื้อที่เราแขวนชุดทำงานกันลากไปมาจะว่าลมพัดก็ไม่ใช่เพราะเป็นห้องแอร์ จากนั้นเริ่มมีเสียงน้ำในห้องน้ำค่อยๆหยดถี่ขึ้นเรื่อยๆเรามองหน้ากันคิดว่าอยู่ไม่ได้แล้วเพราะบรรยากาศมันแปลกเกินคำบรรยาย ความรู้สึกเกินบรรยายอยากให้เช้าเร็วๆผมตัดสินใจโทรหาเพื่อนที่ทำงานอยู่อีกบริษัทโชคดีที่เพื่อนพักที่โรงแรมไม่ไกลกันมากเราสามคนรีบเก็บของออกคืนนั้นเลยครับไปนอนกับเพื่อนอัดห้องเดียวกันสี่คนเลยเปิดไฟนอนทั้งคืนไม่กล้าแม้จะถามเค้าเตอร์ว่าห้องนั้นเกิดไรขึ้นขอแค่ออกไปไกลๆจากโรงแรมนั้นก่อนก็พอ ......

จากนั้นประมาณ 1 อาทิตย์ผ่านไปเราก็ได้ลืมๆเหตุการณ์วันนั้นไป แต่ผมไม่ลืมได้กลับเข้ากรุงเทพและได้ไปกินข้าวกับเพื่อนๆและเล่าให้เพื่อนๆฟังพอดีมีคนมาขายลอตเตอรี่ปรกติผมไม่เป็นคนซื้อพวกนี้เพราะคิดว่าสิ้นปลืองซื้อไปก็ไม่ถูก แต่วันนั้นตัดสินใจซื้อเป็นเลขห้อง 407 หนึ่งใบเท่านั้น ในใจก็ระลึกว่าหากสิ่งที่เห็นเป็นความจริงขอให้ถูกและผมจะทำบุญอุทิศไปให้และผมก็เก็บใส่กระเป๋า สิ่งที่ไม่น่าเชื่อก็เกิดขึ้นกับผม ผมถูกลอตเตอรี่ตรงๆสามตัวเลขห้องเลยแถมซื้อแค่ใบเดียวไม่ได้ซื้อเพิ่ม และผมก็นำเงินส่วนหนึ่งกลับไปทำบุญที่จังหวัดอุดรธานีและอุทิศบุญกุศลให้เค้าแล้วแต่คงไม่ไปนอนแล้วครับที่นี่ ทำให้ทุกวันนี้ผมเชื่อครับในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะในสิ่งที่คุณมองไม่เห็นใช่ว่าไม่มีอยู่จริง..... อั้ยยะ อย่างน้อยผีก็ให้โชคนะครับ อิอิ....

ที่มา: www.yenta4.com

23 ธันวาคม 2557

5 อันดับโรงแรมผีดุ ภาคเหนือ (5/5)

5. โรงแรมเฮี้ยนระดับประเทศ (นครสวรรค์)

เป็นเรื่องเล่าจากประสบการณ์ตรงของคุณ ลาบไก่ใส่ตับหมู.... เมื่อได้ไปเยือน ณ โรงแรมแห่งนี้....

ตอนนั้นฉันมีโอกาสได้แสดงภาพยนต์เรื่องนึงเราไปถ่ายทำกันที่จังหวัดนครสวรรค์ พอตกกลางคืน ทางทีมงานก็เปิดห้องพัก 2 ห้องให้ฉัน แม่ น้องชาย และพี่คนขับรถ ได้พักผ่อนกันด้านล่างของโรงแรม ค่อนข้างสวยงามใช้ได้ แต่พอขึ้นลิฟท์ไปจนถึงห้องพักนี่สิ....บรรยากาศน่ากลัวสุด ๆ เหมือนกับคนละโลกกันเลย ฉันมองผ่านหน้าต่างออกมา ก็เห็นว่า มีหลุมศพอยู่ 2 หลุมติดกันเลย ตอนนั้นใจน่ะ อยากจะขอเปลี่ยนห้องแล้วล่ะ แต่ก็เกรงใจทางทีมงานอยู่ไม่น้อย ก็เลยจำใจนอนห้องนี้ก็ได้ฟะ..... และอีกอย่างก็คิดว่า วิวห้องไหน มันก็คงจะเหมือน ๆ กันแหละ แต่ตอนนั้น ยังไม่ทันได้สำรวจห้องอะไรมากมาย ก็ต้องรีบลงไปข้างล่างก่อน เพราะว่าเดี่ยวจะมีพี่ที่กองถ่ายจะต้องบอกคิวว่า วันไหนจะต้องย้ายกองไปที่ไหน และพวกเราก็ลงไปเที่ยวในเมือง

กลับมาก็เริ่ม ๆ ทำการสำรวจห้อง พบว่า ห้องพักเก่ามาก เตียงนอนก็เหม็นสุด ๆ มีคราบเหลือง ๆ แดง ๆ อะไรก็ไม่รู้ ปะปนกันมั่วไปหมด ส่วนผนังห้องก็มีสีแดงๆ คล้ายคราบเลือดเลอะผนังห้องเต็มไปหมด ห้องน้ำก็มีไฟหลอดแดงห้อยโตงเตงอยู่สีของหลอดก็สลัวๆได้อารมณ์สยิวกิ้วยิ่งนัก กระจกห้องน้ำ ไม่ต้องพูดถึง เป็นคราบ ๆ เลอะ ๆ เต็มไปหมด เวลามองหน้าตัวเองในกระจก จะรู้สึกว่าตัวเองดูป่วย ๆ ดูโทรม ๆ ไปถนัดตา พูดง่าย ๆ ว่าดูแล้วน่ากลัวน่ะค่ะ อ่างอาบน้ำ และฝักบัว ก็เก่าแสนเก่ามองยังไงก็ไม่กล้าอาบน้ำในอ่างแน่ ๆ กลัวโดนผีจับกดน้ำ ห้องเหม็นอับมาก ๆ ขอบอก

หลังจากที่ฉัน สำรวจห้องพัก ทั้ง 2 ห้องเรียบร้อยแล้ว ฉันก็มีความคิดเจ้าเล่ห์นิด ๆ ก็คือ ฉันเลือกที่จะนอนในห้องที่มี TV ค่ะ เพราะคิดเอาเองว่า อย่างน้อย ๆ ห้องนี้ก็น่าจะไม่มีผี เพราะว่า น่าจะมีคนมาพักบ่อยเพราะยังมี TV อยู่เลย ส่วนห้องที่ไม่มี TV ฉันก็ยกให้น้องชาย กับพี่ที่มาขับรถให้ นอนแทน อิอิ ดังนั้น ฉันกับแม่ก็เลือกที่จะนอนห้องนี้ พอเข้าห้องฉันก็เปิดทีวีดู

ฉันก็กำลังปรับ ๆ ทีวีดู ส่วนแม่ฉันก็นอนอ่านหนังสืออยู่บนเตียง ขณะที่ฉันกำลังปรับทีวีอยู่นั้น เห็นแม่ทำหน้าแปลก ๆ พร้อมทำจมูกฟุดฟิต ๆ ฉันถามว่ามีอะไรเหรอ แม่ก็ไม่ตอบ พร้อมส่งซิก ว่าเหมือนกำลังมีอะไรบางอย่าง ที่มองไม่เห็นอยู่ข้าง ๆ แม่ฉันฉันก็เลยถามว่า "มีอะไรเหรอ แม่" แม่ก็ตอบว่า "ได้กลิ่นอะไรมั้ย เหม็นมาก ๆ" ฉันก็ตอบว่า "ไม่ได้กลิ่นค่ะ" สักพัก เหมือนสิ่งที่มองไม่เห็นจะได้ยิน แล้วเดินมาทางฉัน เพราะขณะที่ฉันปรับทีวีที่ไม่ชัดอยู่นั้น อยู่ดี ๆ ก็ได้กลิ่นขึ้นมา เป็นกลิ่นเน่า เหมือนมีอะไรตาย มาอยู่ข้าง ๆ ฉัน เหม็นมากพอฉันได้กลิ่น ฉันก็หันไปมองหน้าแม่ พร้อมกับบอกแม่ว่า "ได้กลิ่นแล้ว ๆ" ฉันถามว่า "แม่ยังได้กลิ่นอยู่หรือเปล่า" แม่บอก "ไม่ค่อยได้กลิ่นแล้ว" ฉันก็เลยตอบไปว่า "ตอนนี้เค้าคงมายืนข้าง ๆ ฉันแล้วล่ะ เพราะกลิ่นตรงนี้แรงมาก ๆ เมื่อกี้ยังไม่มีอยู่เลย" พอพูดยังไม่ทันขาดคำ สิ่งที่มองไม่เห็นนั่น ก็เริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์ขึ้นมาทันที...... คือ ทีวีที่ฉันกำลังปรับ เพื่อให้ภาพคมชัดนั้น ตอนนั้นกำลังจะดูข่าวหรือละครช่อง 7 นี่ละ จากภาพข่าว ก็กลายเป็น ภาพข่าวอย่างเดียว แต่เสียงที่ควรจะรายงานข่าวน่ะ กลายเป็นเสียงสวดมนต์แบบแขก ๆ ฉันก็ลองเปลี่ยนเป็นช่องอื่น ๆ แต่ว่าเสียงก็ยังเป็น เสียงสวดมนต์เหมือนเดิมทุกช่อง มันน่าแปลกมั้ยล่ะ?

สักพักมันเริ่มจะไม่ไหวแล้ว เพราะว่าพอฉันปิดทีวี มันก็ยังมีเสียงสวดมนต์อยู่เลย นั่นทำให้ฉันกับแม่ ตัดสินใจวิ่ง ลุกออกไปเปิดประตู เพื่อวิ่งไปยังห้องน้องชาย แต่ว่า ประตูมันเปิดไม่ออกค่ะ เปิดเท่าไหร่ก็เปิดไม่ออกสักที แต่โชคยังดีที่โทรศัพท์ใช้การได้ ฉันจึงโทรมาที่ห้องของน้อง บอกให้น้องมานี่หน่อยไม่ต้องพูดอะไร ให้รีบ ๆ มาเดี๋ยวนี้เลย น้องฉันก็เลยมาเคาะประตู พร้อมกับบิดประตูเข้ามาอย่างง่ายดาย ส่วนฉันกับแม่ พอเห็นน้องชายเข้ามาได้ ก็ค่อยโล่งอก รีบวิ่งแจ้นออกนอกห้องกันแทบไม่ทัน พอเข้ามาห้องน้องชายเรียบร้อยแล้ว แม่ก็บอกว่าลืมของในห้อง พี่คนที่ขับรถมาให้ก็เลยบอกว่า จะไปหยิบมาให้ พร้อมกับเรียกน้องชายของฉันให้ไปเป็นเพื่อน แต่ว่าเค้าไม่ได้หยิบแค่ของอย่างเดียว ยังหยิบอย่างอื่นเข้ามาด้วย นั่นก็คือ....... ที่นอนค่ะ .....

นาทีนั้น ตอนที่ฉันเห็นที่นอน ฉันนะตกใจมาก ๆ เพราะว่ามันเหมือนกับการเอาของ ๆ ห้องที่มีผีเข้ามา แบบนี้ผีมันก็ตามเข้ามาด้วยน่ะสิ คิดยังไม่ทันไร ตาก็เหลีอบไปเห็น เลือดค่ะ เลือดเลอะเต็มด้านหลังของที่นอนนั่นเลย ไม่ใช่เลือดประจำเดือนแน่ ๆ เลือดมากขนาดนี้ สงสัยมีการฆ่ากันตาย บนเตียงนี้แน่ ๆ คือ ตอนที่น้องฉันกับพี่คนขับรถ ไปหยิบที่นอนน่ะ เขาไม่เห็นเลือด แต่เห็นว่าพอหยิบที่นอนมาแล้วเจอยันต์ และหนังสือสวดมนต์วางอยู่ใต้ที่นอน .....

นั่นทำให้ฉันกับแม่ ร้องพร้อมกันว่า "เอาไปเก็บเดี่ยวนี้" น้องฉันกับพี่คนขับรถยังงงไม่หาย จนฉันต้องบอกต่อว่า"เลือดเต็มไปหมด" นั่นทำให้น้องชายฉันถึงกับเข่าอ่อน ด้วยความตกใจ เพราะเกิดมา ไม่เคยเห็นที่นอน ที่มีเลือดเยอะขนาดนี้เลย น้องชายฉันไม่กล้าไปที่ห้องนั่นเลย แต่ว่าแม่สั่งให้ช่วยพี่เค้า น้องชายฉันเลยต้องช่วยกัน แบกที่นอนไปเก็บด้วยความจำใจ.....พี่คนขับรถให้ฉัน เป็นนักวิทยุฯ สมัครเล่นด้วย เค้าจะมี"วอ" (ที่เหมือนของตำรวจน่ะค่ะ ที่ใช้คุยกันน่ะค่ะ) ติดตัวตลอด เพื่อใช้พูดคุยกัน ซึ่งเจ้าวิทยุ หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า "วอ" เนี่ย ก็จะสามารถพูดคุยกับคนในท้องถิ่นนั้นด้วย ฉันก็ได้ยิน พี่จิ้น (ก็พี่คนที่ขับรถให้ฉันนั่นแหละ) พูดคุยกับคนในวอ แล้วคนในวอเค้าก็ถามว่า พักที่ไหน โรงแรมอะไร

พี่จิ้นก็ตอบ ๆ ไป สักพักเค้าก็ตอบกลับมาว่าคนในวอ เค้าก็แทบจะพร้อมใจกัน ตอบออกมาว่า..... "หา อะไรนะ ทำไมมานอนโรงแรมนี้ล่ะ นี่มันโรงแรมผีสิงนะ ผีดุมาก ผีแขกด้วย เป็นป่าช้าเก่า ให้พวกเรารีบย้ายออกมาโดยด่วน ไม่มีใครนอนโรงแรมนี้ได้พ้นคืนหรอก ต้องวิ่งป่าราบกันทุกคน เพราะว่าในโรงแรมนี้น่ะ มีทั้งฆ่ายัดใต้เตียง ฆ่ากันในอ่างอาบน้ำ และที่สด ๆ ร้อน ๆ เมื่อ 3 วันที่แล้ว ยิงกันตายในลิฟท์" โอ้ว พระเจ้าช่วยกล้อยทอด นี่มันอะไรกันฟะเนี่ยยย ฉันนั่งฟังตาปริบ ๆ น้องชายฉันก็นั่งทำหน้าเหวอ ๆ แม่ฉันก็อึ้ง ๆ ส่วนพี่จิ้น ก็ยังคุยไม่เลิก ยิ่งพูดก็ยิ่งน่ากลัว ๆ เรื่อย ๆ

ขณะนั้นเอง ... จู่ๆก็มีเสียงเคาะประตู พอเปิดไปก็กลับไม่เจอใคร เราก็นึกว่าทีมงานมาแกล้งหรือเปล่าหว่า สักพักก็ยังมีคนมาเคาะอีกหลายหน ฉันจึงตัดสินใจลุกไปกัน 3 คนเพื่อส่องตาแมวให้รู้ไปเลยว่าใครมาแกล้งฟะ ปรากฏว่าขณะที่เสียงเคาะประตูกำลังดังอยู่นั้น ฉันส่องตาแมวพอดี ก็ไม่เห็นมีใครมาเคาะประตูเลย นั่นทำให้ฉันเหวอมาก ๆ ส่วนลิฟท์ ก็มีเสียงคนขึ้นลงตลอดเวลา และที่สำคัญไม่ว่าลิฟท์จะขึ้นหรือลงยังไง ก็ต้องมาหยุดตรงชั้นห้องของฉัน และต้องมีเสียงคนเดินมาหยุดหน้าห้องทุกที ซึ่งแน่นอนว่า พวกเราไปส่องตาแมวดูแล้วก็ไม่มีใครสักคน.....

ขณะที่ประตูกำลังเคาะอยู่นั้น พี่จิ้นก็แสดงความกล้าหาญด้วยการเปิดประตูทันที แล้วก็ออกไปมองข้างนอก ว่าใครวะ มาแกล้งป่านนี้ ซึ่งก็ไม่เจอใครสักคนเลยค่ะ และก็ไม่มีทางด้วยที่ใครจะมาแอบ เพราะมันไม่มีมุมให้แอบได้เลย อ้อ ส่วนห้องข้าง ๆ คือ จะมีลิฟท์ก่อน และก็ห้องเก็บของ และก็ห้องฉัน นะคะ ก็เคาะผนังตรงหัวเตียงฉันทั้งคืนเช่นกันค่ะ คุณลองคิดเล่น ๆ ดูสิ ว่าฉันกำลังนอนกลัวอยู่บนเตียง แต่หัวเตียงน่ะ มีเสียงคนเคาะดังมาก ๆ เลย เคาะป๊อก ป๊อก ป๊อก แถมลากของทั้งคืน เสียงเหมือนลากตู้ ลากเตียง เอี๊ยด อ๊าดทั้งคืน

สักพัก น้องชายของฉันก็กลัวจนหลับไป คือ นอนทั้งน้ำตาน่ะค่ะ ขณะที่น้องฉันกำลังหลับอยู่นั้น อยู่ดี ๆ ก็ลุกขึ้นมา ทำท่าทางเหมือนคนแขก และก็พูดภาษาแขก ๆ ว่า อะบิดาบา อะไรประมาณนี้น่ะค่ะ ไม่รู้แปลว่าอะไร แต่ว่าน่ากลัวมาก ๆ เพราะว่าปกติน้องชายฉันไม่เคยนอนละเมอเลย แต่นี่ลุกขึ้นมาดื้อ ๆ อย่างนั้น มันน่ากลัวมาก ๆ ค่ะ จนแม่ต้องให้พระคล้องคอน้องใส่ น้องถึงนอนลงได้ อ้อ...ลืมบอกไปว่า ตอนที่เข้าห้องนี้แล้ว ช่วงที่เกิดเหตุการณ์แรก ๆ ขึ้นคือ มีคนเคาะประตูนี่ ฉันกับคุณแม่ก็สวดมนต์พระคาถา ชินบัญชรด้วยนะคะ ลองคิดดูสิว่าขนาดสวดมนต์ก็แล้ว แผ่ส่วนบุญส่วนกุศล บอกเจ้าที่เจ้าทางก็แล้ว ยังโดนขนาดนี้ ถ้าไม่ทำจะโดนขนาดไหนเนี่ย

ตอนแรก ๆ แม่เริ่มถอดใจ หลังจากน้องชายโดนผีเข้า แม่กะว่า เราออกไปหาโรงแรมอื่น นอนกันเถอะลูก แต่เรากลับคิดว่า นอนที่นี่ต่อไปดีกว่า..... เพราะว่า กลัวผีในลิฟท์อีก เกิดเข้าลิฟท์ดี ๆ แล้วลิฟท์ค้างกะทันหัน ไฟดับจะทำอย่างไร ไม่ตายกันในลิฟท์เหรอ ป่านนี้แล้วใครจะมาช่วย ตอนนั้นมันก็ดึกมาก ๆ แล้ว ตีอะไรก็ไม่รู้ ไม่รู้จะไปนอนที่ไหน เพราะไม่เคยมาจังหวัดนี้มาก่อน แล้วก็ไม่รู้ว่าที่อื่นมันจะดุกว่านี้หรือเปล่า

สรุปคืนนั้น เรียกได้ว่าแทบไม่ได้นอน เจอผีกันทั้งคืน เจอจนจากกลัวเป็นโกรธ ฉันโกรธจริง ๆ นะ เข้าใจเลยว่า คนที่กลัวอะไรสุด ๆ สามารถเปลี่ยนความกลัว เป็นความโกรธได้ คือ ช่วงหลัง ๆ เริ่มจะชินแล้ว ตกเช้ามาเจอคนทำความสะอาด 2 คนเดินมาพอดี ฉันเลยถามเลยว่า พี่คะ ห้องนี้เมื่อคืนมีใครเข้ามาลากอะไรหรือเปล่าคะ พี่คนทำความสะอาดทำหน้าตาเหวอ ๆ บอกกลับมาว่า ห้องนี้ไม่มีคนหรอกค่ะ พอตกเย็นพนักงานก็รีบกลับบ้านกันหมดแล้ว ไม่มีใครกล้าทำงานตอนกลางคืนหรอก เพราะโรงแรมนี้ผีดุจะตาย ดูสิ ขนาดกลางวันแสกๆ เค้ายังไม่กล้าทำงานคนเดียวเลย ต้องขึ้นมาเป็นเพื่อนกัน 2 คน เหอๆ พอลงมาก็เจอเจ้าของโรงแรม เดินมาทักทายใหญ่เชียว ว่าเมื่อคืนหลับสบายมั้ยครับ?

โห.....ฉันนะ รีบบอกใหญ่เลยล่ะ ว่าเมื่อคืนเจออะไร...เจ้าของโรงแรมรีบบอกกลับทันที่ว่า "ที่คุณเจอน่ะ มันยังเล็กน้อย ผมเจอยิ่งกว่านี้อีก และอีกอย่าง วันนี้ผมจะทุบโรงแรมนี้ทิ้งพอดี เพราะว่าเปิดต่อไป ก็ไม่มีใครมาพักเลย เนื่องจากผมก็ยอมรับว่าโรงแรมผมผีดุจริง ๆ เมื่อคืนเป็นคืนสุดท้าย ผีเค้าเลยมาทักทายซะหน่อย" ฉัน แม่ น้อง พี่จิ้น ยืนฟังตาเหลือก

เรานึกในใจว่า "อะไรฟะ ผีดุแบบนี้กล้าให้พวกเรามานอนได้ไงฟะเนี่ย" เราถามเกี่ยวกับทีมงานคนอื่น ๆ ก็ได้ความว่า ไม่มีใครพักที่นี่เลยค่ะ (พูดง่าย ๆ ว่าทั้งโรงแรมมีฉันอยู่ห้องเดียว) คือ ดาราคนอื่น เค้ารู้กันหมดแล้วว่าที่นี่ผีดุ ไม่มีใครกล้าพัก ส่วนเราเพิ่งเล่นเรื่องแรก ยังไม่รู้อะไร ไม่มีใครบอก เลยได้พักไป ซวยไป อีก 2 วันต่อมาก็มีคิวถ่ายต่อ แหม...ทีมงานถามกันใหญ่เลย ว่าเจออะไรบ้าง หึหึ สนุกกันเข้าไป นี่ละหนา ที่เค้าว่าคนในวงการบันเทิง ไม่มีมิตรแท้ และศัตรูจริง ก็ดูสิ ไม่มีใครบอกฉันสักคน

โอ้โห... อันสุดท้ายนี่หลอนเข้าขั้นนะครับ งั้นวันนี้พอเท่านี้ก่อน ชักจะไม่ไหวแระ เขียนไป อ่านไป หลอนไป เหอๆๆ

22 ธันวาคม 2557

5 อันดับโรงแรมผีดุ ภาคเหนือ (4/5)

4. โรงแรมเรือนไม้ จังหวัด สุโขทัย

เป็นเรื่องเล่าจากคุณ เจ้าจุ่ยเอ้ย แห่งเวบพันทิปเช่นกันครับ.... จากประสบการณ์ที่ไปพัก ณ โรงแรมแห่งหนึ่ง

ช่วงที่ตะเวนเที่ยว 1 เดือนโดยขับรถไปเรื่อยๆ จากตะวันออกไล่ไปภาคกลาง และขึ้นไปสิ้นสุดที่เชียงราย-แม่ฮ่องสอน ก่อนกลับลงมาค่ะ ที่พักในแต่ละจังหวัดจะเป็นการทดลองสุ่มไปเรื่อยๆ ค่ำที่ไหนก็หาที่นอนแถวๆ นั้น..เรื่องมาเกิดที่จังหวัดสุโขทัยก่อนเป็นที่แรกค่ะ เป็นโรงแรมไม้ เรือนไทย อยู่ในอำเภอเมือง (ชื่อโรงแรมต้องกลับไปค้นจากรูปถ่ายเก่าๆค่ะ) เหตุการณ์ที่เกิดเป็นช่วงเวลาประมาณตีหนึ่งค่ะ ขอบรรยายห้องพักหน่อยนะคะ คือ ห้องเป็นเตียงไม้ใหญ่ขนาด 2 คนนอน

ใต้เตียงโล่งปลายเตียงเยื้องไปทางซ้าย เป็นชุดเก้าอี้ (เก้าอี้สองตัว กับโต๊ะกลมเล็กๆ 1 ตัว) หันมาทางเตียง ปลายเตียงเยื้องไปทางขวา เป็นกระจก และแน่นอนว่า.. ทำจากไม้แกะฉลุลายด้วยค่ะ หลังจากเสร็จกิจกรรมต่างๆ ดูทีวี กับดูแผนที่ว่าพรุ่งนี้จะไปเส้นไหนต่อ เราก็นอนค่ะ โดยวางของไว้ในตู้เสื้อผ้า วางแผนที่ไว้ที่โต๊ะกลม แล้วก็เปิดไฟหัวเตียงเล้กๆ ไว้สองดวงค่ะ

ประมาณตีหนึ่ง รู้สึกว่าได้ยินเสียงกุกกักแถวชุดเก้าอี้ปลายเตียงเลยตื่น แต่ยังไม่ลุก รู้สึกว่าพี่สาวขยับมานอนชิดเรามาก แล้วก็กำมือเราไว้แน่น เลยหันไปมอง อ้าปากจะถามว่าเป็นอะไร แต่.. ภาพที่เห็นทำให้ถามไม่ออกค่ะ "เห็นเงาคนสองคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ปลายเตียง คนนึงกำลังดูแผนที่ อีกคนกำลังมองมาที่เตียง" จำได้ว่า พูดอะไรไม่ออก ตัวแข็งทื่อ ตอนนั้นสวดมนต์บทพาหุงฉบับสั้นเป็น ก็เลยพยายามจะสวด แต่ขยับไม่ได้ค่ะ ขยับปากไม่ได้ คอตอนนั้นก็ขยับไม่ได้ค่ะ พี่สาวท่าทางจะเป็นเหมือนกัน ก็หลับตาลงแล้วพยายามสวดๆๆๆๆ ปากขยับไม่ได้เหมือนมีแรงกดไว้ สวดจบไปรอบที่สาม ปากเริ่มขยับได้ เสียงสวดจึงดังลอดออกมา พี่สาวก็เหมือนกันค่ะ แต่รายนั้นแผ่เมตตาอย่างเดียวเลย...

พอเสียงเริ่มออก จึงลืมตาขึ้นมา ปรากฎว่า.. big surprise ค่ะ คือ "ทางนั้น" เลื่อนมายืนปลายเตียง น่ากลัวมากๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่กล้าหลับตาอีก กลัวว่าลืมตาอีกที "ทางนั้น" จะเลื่อนมาใกล้ขึ้น พยายามสวดต่อค่ะแล้วก็แผ่เมตตาตามพี่สาว จน "ทางนั้น" ขยับเดินห่างออกไป แล้วก็ออกไปทางผนังด้านหลังชุดเก้าอี้.. ที่น่าขนลุกกว่านั้นคือ ทันทีที่ "ทางนั้น" หายไป แผนที่ซึ่งอยู่บนโต๊ะ ตกลงมาที่พื้นค่ะ.. ไม่ต้องนอนกันแล้วค่ะ รีบลุกขึ้นเก็บของ เดินไปเคาะประตูญาติที่อยู่อีกห้อง แล้วก็ย้ายโรงแรมเลยค่ะ กลัวมากๆ ความรู้สึกว่าอยากนอนบ้านเรือนไทยตั่งแต่นั้นเป็นต้นมา = 0 ค่ะ ตอนกลับมาจากเที่ยวล้างฟิลม์แล้วเห็นภาพ ก็นึกในใจว่า ดีนะที่เย็นวันนั้นถ่ายรูปเฉพาะป้ายโรงแรม ไม่ได้เอาตัวเองไปถ่ายรูปคู่ที่หน้าโรงแรมเหมือนปกติ ไม่งั้นคง...... สยองงงงงงงง.....

19 ธันวาคม 2557

5 อันดับโรงแรมผีดุ ภาคเหนือ (3/5)

3. สยองนี้ที่ลำปาง

เหตุเกิด ณ โรงแรมแห่งหนึ่งกลางเมืองลำปาง

“พี่เอาห้องนี้ไปล่ะกัน”

น้องฝึกงาน ททท.เชียงใหม่ โยนกุญแจห้องพักโรงแรมให้ผม เป็นการบ่งบอกโดยนัยว่า มึงเอาห้องพักชั้น 7 ห้อง 703 ไป

ผมพักกับพี่นักข่าวอีกคน แว่บแรกสับตีนออกจากลิฟต์ ป้ายห้องละมาดแทงลูกตา ทำเอาผมสงสัยเล่นๆว่า ไยโรงแรมถึงได้มีห้องละหมาดแบบนี้ เพราะไปมาหลายที่ก็ไม่เคยเจอ

คิดเหมาเอาเองว่า น่าจะมีคนอิสลามมาเยอะ เจ้าของเขาคงทำเอาไว้

พอพ้นจากลิฟต์สู่ทางเดิน สบตาแรกที่เจอห้องพักคือพิกัดมันอยู่ต้องทางโค้งของตึก พูดง่ายๆก็คือ ออกจากลิฟต์แล้วเดินมา 5 – 6 ก้าว เลี้ยวขวาเจอทางเดินไปห้องพักต่างๆ พอเดินมาซัก 3-4 ห้อง จะถึงโค้งหรือมุมตึกให้เลี้ยวซ้าย ไอ้ตรงมุมนั้นแหละห้องพักผมเอง ส่วนสุดทางจะเป็นห้องละหมาด

ตามสไตล์ ผมไม่พยายามจะคิดแมวน้ำอะไรให้มันมาก แต่ก็รู้สึกแปลกๆ ห้องอยู่เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นห้องนี้ เพราะดูๆไป ทำเลมันไม่ค่อยเวิร์ค

เก็บของ เก็บกระเป๋า ออกไปทำงานตอนเย็น กลับมาอีกที สามทุ่มกว่า อยู่ดีๆ ก่อนเข้าโรงแรมพี่โมก พี่นักข่าวอีกคนเสือกชวนผมคุยเรื่องผีขึ้นมาซะงั้น

ขึ้นห้องพักกันสองคน เปิดประตูห้องอยู่ดีๆ เหรียญบาทที่ไหนไม่รู้ตกลงมา ผมถามว่าเหรียญพี่รึเปล่า แกบอกน่าจะใช่ แต่แกก็วางไว้แถวนั้นไม่ได้เอาใส่กระเป๋า (ผมคิดว่าต้องเป็นเหรียญ ที่คนมาพักก่อนหน้านี้วางเอาไว้เพื่อเป็นการซื้อห้อง ตามความเชื่อที่ว่า ถ้ามานอนพักที่ไหนต่างสถานที่ ให้วางเงินเหรียญไว้ในห้องจะบนโต๊ะ ตู้ เตียง อะไรก็ได้ เพื่อเป็นการบ่งบอกว่าเรามาขอซื้อที่เขา มาขออนุญาตนอน)

จากนั้นเข้าห้องพากันนั่งคุยเรื่องผีไป 2-3 เรื่อง เสร็จ อาบน้ำอาบท่า ปิดไฟตอนห้าทุ่มเตรียมจะนอน (แต่จริงๆ ตอนนั้นยังไม่หลับ) ผมนอนบนเตียงใหญ่ขนาดสองคนฝั่งติดหน้าต่างห้อง ส่วนพี่แกนอนเตียงเดี่ยวติดฝั่งประตูห้องน้ำ ผมนอนฟังเพลงมีหูฟังยัดหู พี่แกก็มีหูฟังยัดหูเช่นกัน แต่เพิ่มออปชั่นมีแล็ปท็อปเล่นเน็ตไปด้วย

ณ จุดๆนี้ ไฟห้องปิด มีเพียงแสงไฟจากแล็ปท็อปเท่านั้นที่ส่องสว่าง ผมหลับตาฟังเพลงไปได้ซัก 15 นาที ได้ยินเสียงพี่แกเปิดประตูออกไปข้างนอก หลังจากนั้นซัก 5 นาทีค่อยกลับเข้ามาใหม่

แกตะโกนเรียกผม 3- 4 ครั้ง ผมเงยหน้าถามว่ามีอะไรพี่ แกบอกพี่เจอว่ะ ผมถามว่าเจออะไร แกบอกว่าเจอยืนอยู่ปลายเตียงผมเลย เงาสีดำๆ รูปร่างคล้ายผู้หญิงตัวสูง

ผมบอกจริงหรือพี่ ผมไม่เห็นนะ (ตอนนั้นผมก็หลับตาอยู่แหละ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าถ้าลืมตาขึ้นมาจะเจอรึเปล่า) แกยังเน้นย้ำว่าใช่ ตอนแรกที่แกออกไปข้างนอก ก็เพราะเห็น จนอุทานออกมาเสียงดัง แต่ผมเสือกไม่ได้ยิน พอแกออกไปข้างนอก ทำใจได้สติซักพัก ค่อยกลับเข้ามาอีกรอบ

ส่วนผมเหรอครับ ตอนแรกก็นึกว่าพี่แกไปดูดบุหรี่ ที่ไหนได้ แม่งเจอผี ไอ้ฉิบหาย!

ตกลงกันเสร็จสรรพ คืนนี้ขอเปิดโคมไฟนอน พร้อมทีวี แต่ไม่เปิดไฟห้อง ส่วนสภาพพี่แกตอนนั้นนอนห่มผ้าหันหลังให้ฝั่งทางหน้าต่างที่อยู่ตรงปลายเตียงผมแบบระแวง ส่วนผมก็ตาสว่างเลยล่ะครับ

คือไม่กล้านอน เพราะถ้านอนแล้วรู้สึกตัวตื่นมากลางดึกแล้วมาเจอ กูจะทำไงว่ะ สองคือถ้าไม่นอน แม่งก็ต้องเฝ้าระแวงมองรอบห้องทั้งคืนว่าจะมีอะไรมั้ย

ตกลงตอนนั้นผมก็เลยอยู่ในสองอาการ อีกอย่างเป็นห่วงพี่แก เกิดเจอคนเดียวแล้วช็อคตายห่าจะทำไงกันดี

ไอ้ห้องก็ไม่กล้าเปลี่ยนเดี๋ยวเขาว่าป๊อด ไอ้ครั้นจะไปนอนกับน้องฝึกงานอีกคนมันก็ยังไงๆกันอยู่ ตกลงผมกับแกเลยต้องต่อสู้กับอะไรไม่รู้ที่มันลึกลับอยู่ในห้อง

เวลาผ่านไปล่วงเลยเกือบตีสอง ผมยังอยู่ในอาการหลับๆตื่นๆ จนมารู้สึกเหมือนจะโดนอะไรซักอย่างเข้าสิงร่าง (คาดว่าผีคงจะอำ) ก่อนจะร้องตะโกนออกมาดังๆ แบบหายใจไม่ค่อยออก

ฉิบหาย! พี่แกไม่ได้ยินเสียงผมร้องเลยซักแอะ

เท่านั้นไม่พอ แกก็เกิดฝันเหมือนกัน ในความฝันเล่าว่า ผมเปิดประตูห้องวิ่งออกไปข้างนอกตอนดึก เลยถัดไป 2-3 ห้อง ล้มลง พลางชี้กลับมาห้องตัวเอง ให้พี่แกดู ซึ่งพี่แกก็วิ่งตามผมออกมา ภาพที่แกเห็นคือหญิงชุดขาว ตัวสูงเสียดเพดาน หน้าดำคล้ำ ผมยาวเปียกน้ำแบบหมาดๆ ยืนหัวเราะใส่ผมกับแกสองคน อย่างสะใจ (ความฝันนี้เล่ากันตอนเช้า)

จากนั้นทั้งคืน นอกจากพี่แกเจอเงาดำๆยืนจ้องผมอยู่ปลายเตียง กับที่แกฝัน และผมฝัน ก็มีเพียงเสียงบนเพดานนิดหน่อย ประกอบเพิ่มความหลอน แต่ก็พยายามจะไม่คิดอะไรมาก

รุ่งเช้าเก็บของเช็คเอาท์ออกตอนเกือบแปดโมงเช้า เปิดประตูออกมา เจอแม่บ้านโรงแรมเข้าชาร์จไปทำความสะอาดทันที แต่แรกกะจะถามว่าห้องนี้มีอะไรมั้ย ก็เลยไม่ใส่ใจ แล้วก็แล้วกันไป อย่าได้เจอกันอีก

แต่ๆๆ เดี๋ยวก่อน ไอ้ผมมันคนขี้สงสัย ทำไมแม่บ้านถึงรู้ว่าพวกผมจะเช็คเอาท์ออกตอนไหน ทั้งๆที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า และถ้าจะบอกว่ามันบังเอิญ ก็บังเอิญเกินไป ก็ห้องพักมีกันตั้ง 8 ชั้น

เช็คเอาท์เสร็จ นั่งกินข้าวเช้าพร้อมสนทนาเรื่องเมื่อคืนกันสองคน ผมยังมีข้อสงสัยหลายประการที่ยังค้างคา
  1. ผมไม่ได้เจอด้วยตาตัวเองจริงๆ เพียงแค่มากสุดก็สัมผัสจากการลักษณะโดนผีอำ แต่การโดนผีอำมันก็มีหลักวิชาการทางวิทยาศาสตร์ที่สามารถอ้างได้ ส่วนที่พี่แกเจอ ผมก็ไม่รู้จะพิสูจน์ยังไง
  2. ความไม่ชอบมาพากลหลายอย่างของเหตุการณ์ เช่น ความรู้สึกแรกเมื่อเห็นห้องพัก, ทุกชั้นของโรงแรมมีห้องละหมาด เงินเหรียญตกตอนเปิดประตูออกมาแบบไม่รู้ว่ามันมาจากไหนแน่ชัด, แม่บ้านทำไมถึงรู้ว่าพวกผมเช็คเอาท์ออกกี่โมง
  3. ผมมาถ่ายรูปไหว้พระ 9 วัด ซึ่งตามหลักความเชื่อ ใครทำได้ก็มีบุญกุศลเยอะ และๆๆ หมายความว่า ถ้าผีสางนางไม้มาปรากฏตัวให้เห็น แสดงว่าเขามาขอส่วนบุญจากพวกผม สุดท้ายข้อสงสัยไม่ได้รับการคลี่คลาย อัตราความเชื่อสำหรับมีผมแค่ 70 เปอร์เซ็นต์ ทางออกก็เลยมาตกที่การไหว้พระทำบุญ แล้วอุทิศส่วนกุศลให้เขาไป
ทำบุญไปให้แล้วหวังว่าอะไรคงจะดี ไม่มีอะไรตามมาหลอกหลอน เพราะสิ่งที่ผมไม่ต้องการคือ อย่ามาแสดงตัว อย่าตามมาด้วย อย่ามากวน ถ้ามีโอกาสทำบุญเมื่อไหร่เดี๋ยวจะทำไปให้

แต่ถ้าเมื่อไหร่ยังตามมากวนอีก ผมจะแช่งแม่งให้ตกนรกเลย ข้อหากูง่วงแล้วเสือกมากวนกูอีก

ผมเตือนคุณดีๆแล้วนะ

ปล.อีกข้อสงสัย ผมมีบุญมากขนาดนั้นจนขั้นมาขอเลยเหรอ เออ หรือว่าเขามาใบ้หวย

ที่มา http://www.reviewchiangmai.com/1699

18 ธันวาคม 2557

5 อันดับโรงแรมผีดุ ภาคเหนือ (2/5)

2. โรงแรมรีสอร์ทบ้านไม้ ที่ เชียงราย

เรื่องเล่าจากคุณ คนกับควาย จากเวป พันทิปแห่งนี้นั่นแหล่ะ.... ได้ประสบพบพานผีตู้เย็นที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน จังหวัดเชียงราย .... ลองไปอ่านกันเอาเองนะครับ ไม่น่ากลัวหรอก เชื่อผม ฮ่าๆๆๆ...

ผมเคยเจอตอนไปเที่ยวเชียงรายครับ!! เป็นรีสอร์ทที่มีบ้านไม้เป็นหลังเดี่ยวๆแยกกันบรรยากาศร่มรื่นเต็มไปด้วยแมกไม้นานาพรรณตกกลางคืนก็จะเปิดไปนิดๆหน่อยๆตามทางเดินและตามจุดต่างๆในสวนสวยภายในห้องมีลักษณะดิบๆตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ไม้และกรุผังหนังด้วยไม้เก่าแก่ มีข้าวของเครื่องใช้โบราณตกแต่งอย่างมากมายบรรยากาศอึมครึมอย่างบอกไม่ถูก.....

ตอนแรกผมอยู่หลังที่เป็นบ้านแฝดกันแล้วแฟนไม่ชอบบอกว่าแปลกๆก็เลยขอเปลี่ยนห้อง.... ทางโรงแรมเลยบอกว่าจะเอาห้องไหนก็สามารถไปเดินๆเลือกได้เลย ก็แปลกใจอยู่ว่าทำไมห้องมันถึงว่างได้ขนาดนั้นพอตอนนอนผมก็นอนไม่ค่อยหลับหรอกเพราะมันแปลกที่แปลกทางแต่แฟนผมนี่สิหลับปุ๋ยเลย ประมาณกลางดึกผมก็ได้ยินเสียงเปิดปิดสวิตซ์ไฟ(ป๊อกแป๊ก....ป๊อกแป๊ก....ป๊อกแป๊ก) สลับกับ เสียงคนข้างๆห้อง กุกๆกักๆ (ทั้งที่อยู่บ้านเดี่ยวนะ) และ เสียงเปิดปิดตู้เย็นภายในห้องซึ่งอยู่แค่ปลายเตียงเองผมก็เลยแอบบหรี่ตามาดูนิดๆ งานเข้าคร้าบบ!! เห็นตู้เย็นเปิดค้างอยู่ต่อหน้าต่อตา (ไฟในห้องปิดหมด มีเพียงแสงไฟของตู้เย็น) เลยผมก็แกล้งทำเป็นหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว (แต่ใจเหี่ยวไปแล้ว i - i) แล้วมันก็ ปิด...เปิด...ปิด......

ผมกะว่าผีต้องเบื่อแล้วเลิกทำไปเอง แต่ป่าวครับ มันล่อทั้งคืนยันเช้าเลยทำให้ผมต้องนอนฟังเสียงที่ว่าตลอดคืน จนแฟนผมตื่น (สังเกตุจากพลิกตัวไปมา) เสียงก็หายไปโดนพลัน -"- (ตู้เย็นก็ปิดสนิทดี - -") ผมก็เพิ่งจะกล้าขยับตัวด้วย เมื่อยยยสุด.....หลังจากนั้น ผมก็ถามเค้าว่าได้ยินมั๊ย เค้าบอกตอนสลึมสลือตอนเช้าได้ยินแป๊บนึงก็ไม่ได้สนใจแต่พอผมบอกก็สยองเชียวรีบเช็คเอาท์กันแทบไม่ทัน พนักงานยังมาถามอีกว่า "เมื่อคืนเป็นยังไงบ้างคะ สนใจค้างอีกซักคืนมั๊ยคะ"........หึหึหึ

17 ธันวาคม 2557

5 อันดับโรงแรมผีดุ ภาคเหนือ (1/5)

1.โรงแรมรูปตัว L ที่เชียงใหม่

หลายคนคงจะเคยได้ยินเรื่องเล่าในเดอะช๊อค เพราะเป็นเรื่องที่ดังมาก น่ากลัวมาก เป็นโรงแรมที่มีอาณาบริเวณใกล้เคียงกับโรงพยาบาล!! ในเชียงใหม่ บอกไว้เลยว่า มีอยู่ 2 ที่เท่านั้น .... ที่ไหนนะเหรอ .... ไม่บอกหรอก ฮ่าๆๆๆ....

เรื่องคือคนเล่าไปเที่ยวช่วงปีใหม่ โรงแรมที่พักเป็นโรงแรม 5 ดาวของเชียงใหม่แล้วก็จองห้องไว้ แต่มาถึงเช้าแขกยังไม่เช็คอินห้องที่จะพักออก เลยขอเปลี่ยนห้องที่ว่างได้ห้องใหม่ที่ไม่ได้จองไว้ ซึ่งคนเล่ามากับเพื่อนทั้งหมดรวมตัวเองเป็นสามคนเพื่อนคนนึงก็เปิดหน้าต่างห้อง เห็นว่าหน้าต่างตรงกับดาดฟ้าโรงพยาบาลพอดี....

แล้วเพื่อนคนนี้ปกติเป็นคนปากเร็ว เลยพูดไม่คิดว่า "โห เห็นดาดฟ้าโรงพยาบาลเลยหรอนี่ อัปมงคลสุดๆ"แต่ก็ยังไม่มีใครคิดอะไร ก็ออกไปเที่ยวกัน กลับมา เพื่อนคนเดิมก็ไปเปิดหน้าต่าง เห็นผู้หญิงอยู่บนดาดฟ้าก็เลยพูดว่า "คนบ้าอะไรว่ะ ไปนั่งอยู่คนเดียว" คนที่นั่งเป็นผู้หญิง ใส่ชุดโรงบาล คนเล่าก็คิดว่าสงสัยเค้าออกมานั่งเคาว์ดาวน์มั้ง ก็เลยออกไปเที่ยวกันตอนกลางคืน....

หลังเคาว์ดาวน์เสร็จกลับมา ก็นอนได้ยินเสียงเหมือนคนใช้เล็บกรีดกระจก ซึ่งมีหน้าต่างอยู่ตรงข้างเตียง และบนหัวเตียงของห้องด้วย เสียงกรีดกระจกก็ดังไล่มาจากข้างเตียงถึงหัวเตียงเลยนอกจากเสียงกรีดกระจกแล้ว เป็นเสียงร้องกรี๊ดๆ แล้วก็เสียงหัวเราะอ่ะ เพื่อนเจ้าของเรื่องเปิดม่านดูก็เห็นเป็นผู้หญิงเอาหน้ามาติดกระจก แล้วใช้นิ้วกรีดๆ กระจก หัวเราะฮะ ฮะ ฮะ.....

เห็นแบบนั้น คนเล่ากับเพื่อนเลยรีบลงมาที่ล็อบบี้ บอกพนักงานที่ฟร๊อน เค้าก็เข้าใจว่าเพราะทานแอลกอฮอล์กันรึปล่าวแต่คนเล่าก็บอกว่าไม่ได้กิน คนที่กินมีแค่เพื่อนในกลุ่มคนเดียว แต่เพื่อนเค้าอีกคนกับเค้าไม่ได้ดื่ม....ทางโรงแรมเลยจะเปลี่ยนห้องให้ แต่ต้องรอตอนเช้า เพราะแขกยังไม่เช็คเอาท์ออก คนเล่ากับเพื่อนก็ไม่กล้าขึ้นไปแล้ว นั่งรออยู่ล็อบบี้ ดื่มกาแฟไป จนถึงเช้า แขกออกก็ย้ายไปอีกห้อง ถัดจากห้องเดิมไป 4 ห้อง แต่ก็เปลี่ยนโรงแรมไม่ได้เพราะทุกที่เต็มหมด จะกลับก็ไม่ได้ เพราะจองตั๋วรถที่จะกลับ วางแผนการเดินทางไว้หมดแล้ว ก็เลยจำใจอยู่

คืนต่อมาก็ยังเจอผู้หญิงคนนี้ คนเดิม เวลาเดิม ใช้เล็บกรีดกระจก พร้อมกรี๊ดและส่งเสียงร้องว่า กูจะฆ่าเมิงงง คนเล่ากับเพื่อนก็ลงมาที่ล็อบบี้อีกถามพนักงานฟร้อนท์ ก็ยืนยันว่าห้องที่อยู่ไม่มีเหตุการณ์อะไร คนเล่าก็ไม่กล้าขึ้นไปนอนอีก ก็เลยอยู่ที่ล็อบบี้ก็มีแม่บ้านเข้ามาถาม เจ้าของเรื่องก็เล่าที่เจอให้ฟัง ป้าเลยถามว่า อยากฟังไหม ถ้าอยากจะเล่าให้ฟัง พนักงานใหม่ไม่ค่อยรู้หรอก....

แต่ก่อนมีผู้ชายคนนึงมาสัมนาที่นี้ แล้วภรรยาก็ตามมาด้วย ภรรยาก็กำลังท้องอยู่ สามีมาที่นี้ก็แอบหนีไปเที่ยวกลางคืน ไปนอนกับเด็กงี้ ผู้หญิงก็เสียใจ มีปากเสียง จะฆ่าตัวตาย ก็กรีดข้อมือในห้องนั้นแหละ แต่ไม่สำเร็จถูกช่วยไว้ทัน ก็เอาตัวส่งโรงบาล แต่สามีก็ไม่เยี่ยมไม่สนใจก็เที่ยวเหมือนเดิม วันนึง เสียงโทรศัพท์สามีก็ดัง ภรรยาบอกว่าให้มองออกมาที่นอกหน้าต่างสิ พอผู้ชายมอง ก็เห็นภรรยาตัวเองอยู่บนดาดฟ้าถือโทรศัพท์อยู่ แล้ววิ่งโดดลงไปต่อหน้าสามีเลย ก็เสียชีวิต!!

หลังจากได้ฟังแบบนั้น เจ้าของเรื่องเลยไปทำบุญให้ผู้หญิงคนนี้ ก็จบเหตุการณ์ ไม่มีอะไรต่อ..... แต่สุดท้ายแล้วก็มีเหตุให้ได้เจอกันอีก เจ้าของเรื่องนั่งแท็กซี่ แล้วคนขับเล่าให้ฟังว่าทำบุญกับศพไร้ญาติแล้วถูกเลขมาหลายตัวเจ้าของเรื่องเลยอยากลองบ้าง ก็ทำตามแล้วก็ถูกจริงๆ เลยทำบุญไปให้ ปรากฏว่าดูชื่อแล้วเป็นคนเดียวกับผู้หญิงที่เจอที่เชียงใหม่คนเล่าก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงเป็นศพไม่มีญาติ........

เป็นไงครับ สยองกันไหมล่ะ เหอๆๆๆ....

ส่วนจะเป็นโรงแรมไหนนั้น บอกไปแล้ว ว่ามี 2 ที่นะ ไปเดากันเอาเอง ..... อิอิ

15 ธันวาคม 2557

ตำนานประตูผี สุดบรื๋อออออ

ที่แรกที่จะพาไปก็คือ "ประตูผี" แน่นอนว่าผมไม่ได้จะพาไปกินสารพัดอาหารอร่อยแถวๆ นั้นหรอก แต่ดูจากชื่อก็รู้ว่าต้องมีอะไรเกี่ยวกับผีๆ สักอย่าง แต่ก่อนอื่นก็ต้องรู้ที่มาที่ไปของชื่อประตูผีกันเสียก่อน โดยต้องย้อนไปในกรุงเทพมหานครสมัยเมื่อเริ่มสร้างเมืองใหม่ๆ หรือในสมัยรัชกาลที่ 1 นั้น กรุงเทพฯ ยังไม่ได้มีพื้นที่กว้างขวางแบ่งเป็น 20 กว่าเขตเหมือนอย่างทุกวันนี้ แต่จะมีศูนย์รวมอยู่ภายในกำแพงเมือง ส่วนด้านนอกกำแพงก็จะมีการทำนาทำการเกษตรอยู่เป็นส่วนใหญ่

และภายในกำแพงเมืองนี้ก็ถือธรรมเนียมกันอยู่ว่าหากมีชาวบ้านเสียชีวิตใน กำแพงเมือง จะต้องขนเอาศพออกไปเผาด้านนอกกำแพง และทางออกที่จะขนศพออกไปได้ก็มีอยู่ทางเดียวคือประตูทางด้านทิศตะวันออกของ เมือง ถ้าจะให้ระบุตำแหน่งก็น่าอยู่ช่วงระหว่างเสาชิงช้าและวัดสระเกศ หรือใกล้กับสี่แยกสำราญราษฎร์ปัจจุบัน เหตุที่ประตูเมืองด้านนี้ได้ชื่อว่าเป็นประตูผี ก็เพราะเป็นทางขนย้ายศพผีออกไปนอกกำแพงเมืองนั่นเอง ซึ่งวัดคนส่วนมากนำศพมาเผาหรือฝังก็มักจะเป็นที่วัดสระเกศ ซึ่งอยู่ติดๆ กับประตูผีนั่นเอง และไม่เพียงแต่กรุงเทพฯ เท่านั้นที่มีประตูผีเช่นนี้ แต่เมืองใหญ่ๆ ในสมัยโบราณเช่นเมืองเชียงใหม่ก็มีประตูผีเช่นกัน

แม้จะเรียกย่านนี้กันว่าย่านประตูผี แต่ในปัจจุบันนี้ก็ไม่เห็นจะมีประตูสักบานให้เห็นแล้ว (แต่จะเห็นผีหรือไม่อันนี้ก็แล้วแต่ความซวยของแต่ละบุคคล) เพราะหลังจากที่ได้มีการตัดถนนบำรุงเมืองผ่านประตูผี และมีการรื้อถอนกำแพงเมืองและประตูออกไป ประตูผีก็เหลือแต่ชื่อไว้ให้ระลึกถึง แต่จะว่าเหลือแต่ชื่อก็ไม่ถูกนัก เพราะภายหลังยังได้เปลี่ยนชื่อเรียกบริเวณนี้จากเดิมที่เรียกว่าย่าน "ประตูผี" มาเป็น "สำราญราษฎร์" เพื่อให้เป็นมงคลแก่สถานที่อีกด้วย แต่ชื่อประตูผีก็ยังคงเป็นชื่อเรียกติดปากหลายๆ คนมาจนปัจจุบัน

และถ้าพูดถึงช่วงที่ประตูผีถูกใช้เป็นเส้นทางลำเลียงขนศพอยู่บ่อยครั้งก็ คงจะเป็นช่วงที่เกิดโรคระบาดในกรุงเทพฯ และเมืองใกล้เคียงในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยเกิดโรคห่า หรืออหิวาตกโรคระบาดไปทั่ว ทำให้มีคนตายหลายหมื่นคนด้วยกัน วัดสระเกศซึ่งเป็นสถานที่จัดการศพก็ยังไม่สามารถเผาศพหรือฝังได้ทันจนศพกองพะเนินกัน จึงต้องขุดหลุมขนาดใหญ่แล้วฝังศพไปในหลุมเดียวกัน แต่จำนวนศพที่มากมายเกินไปก็ทำให้ฝูงแร้งจำนวนมากมาจิกกินซากศพเป็นอาหาร

และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 5 ก็ยังคงมีโรคระบาดเกิดขึ้นและมีคนตายเป็นจำนวนมากซ้ำอีกครั้ง และวัดสระเกศก็ยังคงประสบปัญหาเผาศพไม่ทันเหมือนเดิม และมีแร้งมาจิกกินศพอีกเช่นเคย ทำให้มีคำเรียก "แร้งวัดสระเกศ" เกิดขึ้น

แต่ถ้าพูดถึงแร้งวัดสระเกศ แล้วไม่พูดถึง "เปรตวัดสุทัศน์" ก็จะดูเหมือนเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ เพราะเรามักจะได้ยินสองอย่างนี้คู่กันเสมอๆ สำหรับ "เปรต" นั้น ก็เป็นชื่อเรียกผีหรือมนุษย์ที่ทำบาปทำกรรมหนักหนาสาหัส เมื่อตายไปแล้วก็จะมาเกิดเป็นเปรตเพื่อชดใช้กรรมที่ทำไว้เมื่อยังเป็นมนุษย์

เปรตนั้นก็มีหลายประเภทหลายลักษณะด้วยกัน แต่ภาพของเปรตที่คนส่วนมากจะคิดถึงก็คือต้องตัวสูงเท่าต้นตาล มือเท้าใหญ่เหมือนใบลาน ปากเท่ารูเข็ม ส่งเสียงร้องหวีดๆ ตอนกลางคืน และมักมาปรากฏตัวให้เห็นตอนกลางดึกเพื่อขอส่วนบุญ ส่วนคนที่ได้เห็นเปรตก็ถือว่าช่วงนั้นดวงตกต้องไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เปรตตนนั้นซะ

และสำหรับเปรตที่วัดสุทัศน์นี้ บางคนก็ว่ามีคนเคยเห็นเปรตสองผัวเมียออกมาหลอกคนแถววัดสุทัศน์อยู่บ่อยครั้ง จนเป็นที่ร่ำลือถึงความน่ากลัว

ไม่ว่าจะเป็นเปรตแบบไหนก็ตาม แต่ผมขอฟันธงว่าใครก็ตามที่ได้ไปวัดสุทัศน์ก็จะได้เห็นเปรตแน่นอน!!! ถ้าไม่เชื่อวันนี้ก็ลองเดินเข้าไปในพระวิหารของวัดสุทัศน์ ไหว้พระประธานหรือพระศรีศากยมุนีเสียก่อนเพื่อให้อุ่นใจ จากนั้นให้เดินไปทางด้านขวามือของพระประธาน เดินไปให้ถึงเสาต้นที่สี่ซึ่งอยู่ด้านในสุดของพระวิหาร จากนั้นเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนเสาใกล้ๆ กับโคมไฟ สิ่งที่จะได้เห็นก็คือ... เปรตที่กำลังนอนเหยียดยาวอยู่นั่นเอง!!!

ใช่แล้ว... เปรตที่ผมว่ามานี้ก็คือภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังเป็นรูปเปรตที่อยู่บนเสาพระวิหารนั่นเอง โดยภาพวาดนี้วาดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 จุดประสงค์ก็เพื่อใช้ภาพวาดสอนคนให้รู้ถึงการทำดีทำชั่ว หากทำดีก็จะได้อยู่ในชาติภพที่ดี แต่หากทำชั่วไว้มากก็ต้องมาเกิดเป็นเปรต ต้องทนทุกขเวทนารอส่วนบุญส่วนกุศลที่จะมีคนอุทิศให้อย่างในภาพวาดนี้... รู้นะว่ามีคนแอบโล่งใจที่ได้เห็นภาพวาดเปรตแทนที่จะได้เห็นเปรตตัวเป็นๆ

คราวนี้ข้ามจากย่านประตูผีมาฟังเรื่องผีๆ ทางฝั่งธนบุรีกันบ้าง ที่ "วัดสุวรรณาราม" ริมคลองบางกอกน้อยนี้ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับเรื่องผีๆ อยู่มากเช่นกัน เพราะวัดสุวรรณฯ นี้เป็นวัดเก่าแก่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา และเมื่อมาถึงสมัยกรุงธนบุรี บริเวณวัดแห่งนี้ก็ยังเป็นสถานที่ซึ่งใช้เป็นลานประหารชีวิตเชลยพม่าโดยการ ตัดคอ ซึ่งก็มีเรื่องเล่ากันว่ามีคนเคยเห็นร่างของผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่นุ่งผ้าโจงกระเบน แต่ไม่มีหัว มายืนอยู่ให้เห็น ส่วนสถานที่ที่นำศพเหล่านั้นมาฝังไว้ก็คือ บริเวณที่เป็นสนามโรงเรียนวัดสุวรรณาราม และบริเวณลานวัดสุวรรณาราม ในปัจจุบัน

ที่เชื่อว่าบริเวณนี้เป็นสถานที่ฝังศพก็เนื่องจากว่า เมื่อครั้งที่มีการขุดปรับแต่งพื้นที่บริเวณนี้ ก็มีคนพบกระดูกคนอยู่มากมาย และมีเรื่องเล่าน่ากลัวๆ อีกว่า เคยมีคนพบกระดูกท่อนขาหรือท่อนแขนก็ไม่ทราบ แต่ก็มีกำไลทองคล้องอยู่ แสดงว่าเจ้าของกำไลนั้นน่าจะเป็นทหารพม่าระดับนายกองชั้นผู้ใหญ่พอควร คนที่ขุดเจอกำไลก็เอาไปขาย นำเงินมาซื้ออาหารให้ภรรยาที่กำลังท้อง แต่คืนนั้นก็ฝันเห็นทหารพม่ามาบีบคอทวงกำไลคืน และภรรยาก็เสียชีวิตแบบที่เรียกว่าตายทั้งกลม ต่อมาจึงมีการตั้งศาลเพียงตาไว้ที่บริเวณโรงเรียนวัดสุวรรณแห่งนี้

ที่น่าสนใจก็คือ หากใครที่มาไหว้ศาลแห่งนี้ แล้วมองเข้าไปด้านในศาล ก็จะเห็นภาพวาดเป็นรูปนายกองทหารพม่าไว้สามรูป คงเพื่อเป็นการระลึกถึงดวงวิญญาณทหารพม่าที่เสียชีวิตในอดีต อีกทั้งด้านหน้าศาลก็ยังมีปิรามิดเล็กๆ ตั้งไว้ด้วย โดยมีความเชื่อกันว่า สถานที่ตรงไหนที่มีความอาถรรพ์มากๆ ก็จะใช้ปิรามิดสะท้อนสิ่งอาถรรพ์นั้นออกไป

จะว่าไปแล้วไม่ว่าที่ไหนๆ ก็ต้องมีคนตายอยู่ทั้งนั้นแหละ ยิ่งเมืองอย่างกรุงเทพมหานครที่เก่าแก่และมีความเป็นมายาวนานอย่างนี้ก็ต้อง มีคนเกิดแก่เจ็บตายอยู่แทบทุกตารางนิ้วอยู่แล้ว ย่อมมีสิ่งที่จับต้องไม่ได้แต่รู้สึกได้อย่าง "ผี" อยู่ทั่วไปหมด แต่ก็มีวิธีมาแนะนำ เป็นหนทางหนึ่งสำหรับคนกลัวผีและไม่อยากให้ผีมาหลอก นั่นก็คือการทำดี เป็นคนดี เพราะ "คนดีผีคุ้ม" สำหรับพวกที่ทำชั่วมากๆ ก็ระวังไว้เถอะ เพราะนอกจากผีจะไม่คุ้มครองแล้ว ตายไปก็ไม่ได้ไปผุดไปเกิดต้องคอยเป็นผีเร่ร่อนไปหลอกเขาอีกทอดหนึ่งก็ได้ นี่หล่ะครับ ศาลพระภูมิที่เขาทำให้ดวงวิญญาณทหารพม่าสิงสถิตย์

20 พฤศจิกายน 2557

ตำนาน ผีป่าแห่งพงไพร !!!!

สถานที่ป่านั้นเป็น สถานที่ ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ว่าเมื่อคุณเขาไปแล้วจะเจอกับอะไรบ้าง คุณจึงต้อง เตรียมตัว และ เตรียมใจ เมื่อที่จะต้องเข้าไปสำรวจในป่านั้น เราจึงหยิบยก นำเรื่อง ผีที่มีคนกล่าวถึงเมื่อเข้าไปนำเสนอแก่ทุกท่าน

1. ผีเจ้าป่าเจ้าเขา เป็นผีระดับหวัหน้าที่เป็นใหญ่ กว่าผีป่าไพรทั้งมวล ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า พระพนัสบดี ที่แปลว่า ผู้เป็นใหญ่แห่งป่า โดยน่าจะมีเพศชายและเพศหญิงคู่กัน เปรียบเสมือนเจ้าพ่อเจ้าแม่ อิทธิฤทธิ์ ของเจ้าป่าเจ้าเขา นั้นจะสามารถให้คุณให้โทษกับผู้ที่ล่วงล่ำเข้าไปในอาณาเขตแห่งป่าได้ ฉะนั้นเวลาไปเที่ยวป่าพรานผู้นำทางหรือท่านผู้รู้มักจะเตือนไม่ให้ทำอะไรที่เป็นการดูหมิ่นดูแคลนและให้เคารพเจ้าป่าเจ้าเขา ซึ่งเป็นเสมือนเจ้าของสถานที่ ถ้าหากตัดไม่ก็ควรบอกกล่าวต่อท่าเจ้าป่าเจ้าเขาก่อน ยิ่งโดยเฉพาะตัดต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุยืนด้วยแล้ว ต้องทำพิธีใหญ่ กันเลยทีเดียว

 นอกจากการขออนุญาต เจ้าป่าเจ้าเขาแล้ว ยังต้อง บอกกล่าวต่อบรรดานางไม้หรือรุกขเทวดา ให้ทราบเพื่อท่านจะได้อพยพย้ายไปหาที่สร้างวิมานใหม่ แต่ถ้าตัดส่งเดชไม่บอกกล่าวอาจจะเจอกับอาถรรพ์ก็ได้ อีกทั้ง ยังรวมไปถึงการล่าสัตว์ พรานที่ล่าสัตว์จะต้องตัดเนื้อสัตว์ออกมาส่วนหนึ่งเพื่อวางถวายท่านด้วย นอกจากนี้ ยังรวมไปถึงการปล่อยปลดทุกข์ ของผู้ชายและผู้หญิง ก็ต้องยกมือไหว้ขอขมาต่อท่านด้วย ก่อนธุระ พอระหว่างทำธุระอย่าลืมมองสายซ้ายขวาด้วย อย่าหาว่าไม่เตือน !!!!

 2. กองกอย ซึ่งเป็นหนึ่งในผีไพร มีลักษณะรูปร่างจะเป็นผีที่มีข่างเดียว มีปากเป็นท่อเหมือนแมลงวัน เวลาไปไหนมาไหนจะกระโดดไปด้วยขาเพียงข้างเดียว และส่งเสียงร้องว่า "กองกอย" จึงเป็นที่มาของชื่อที่พากันชาวบ้าน ซึ่งอีกชื่อหนึ่ง ที่นิยมเรียกกันคือ ผี่โป่ง หรือผีโบ่งขาม หน้าตาของผีตนนี้ที่ชาวบ้านพากันเล่า จะมีหน้าตาคล้ายลิงหรือค่าง โดยตามความเชื่อว่ากันผีตนนี้ อยู่ในส่วนหึ่งของผีโป่ง ที่มีหน้าตาคล้ายค่างแก่น่าเกลียด แต่ไม่สามารถปีนต้นไม้ได้ และบางพวกเชื่อกันว่าผีตนนี้จะดื่มเลืดค่างเพื่อความเป็นอมตะ เจ้าผีกองกอย ถูกมาอยู่ในวรรณคดียอดนิยมเรื่องหนึ่ง คือเรื่องพระอภัยมณีด้วย ความเชื่อของผีกองกอย อีกความเชื่อหนึ่ง คือจะนิยมดูดเลือดจากหัวแม่เท้าของคนที่มาค้างแรมในป่า และวิธีการป้องกันคือให้นอน ไขว้ขาหรือเท้าชิดกันทั้งสองข้าง

ความเชื่อของ ผีกองกอย เป็นความเชื่อที่มีการแพร่หลายไปทั่วทุกที่ ไม่ใช่เฉพาะในไทย แต่ยังมีความเชื่อในประเทศมาเลเซีย โดยมีความเชื่อว่าเป็นคนป่าที่มีขาป้างเดียว ไม่มีสะบ้าหัวเข่า รวมถึงที่จีนก็มีความเชื่อของผีตนนี้ ว่าเป็นปีศาจชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามภูเขา มีขาเดียว ตัวเล็ก แต่ผมยาว ตาโต หูแหลม มักจะขโมยอาหารหรือสิ่งของคนเดินทาง และเมื่อถึงวันตรุษจีนจะออกมาอาละวาดในหมู่บ้าน ชาวบ้านที่จีนเชื่อกันว่าเป็นสิ่งอัปมงคล และใครที่จับต้องมันจะเผชิญกับความโชคร้าย หรือเจ็บไข้ได้ป่วย ความเชื่อของผีตนนี้ ไม่หยุดอยู่แค่ในทวีป เอเชียเท่านั้น แต่ในยุโรปก็ยังมี

ทางภาคเหนือมีผีชนิดหนึ่ง ที่สันนิฐานว่าเป็นผีโป่ง ที่เรียกว่า ผีโป๊กกะโหล้ง ซึ่งมีลักษระคล้ายกันว่ามีขาเดียว แต่วิ่งไวเหมือนลมพัด และไม่เคยดูดเลือดคนที่เดินป่า แต่จะชอบที่บแกล้ง บังตา คนเล่น ผีชนิดนี้มีเสียงร้องประจำตัวคือ โป๊กๆๆ กะโหล้ง โป๊กๆๆๆ กะโหล้ง เป็นลักษณะประจำตัว นิสัยประจำตัวอีกอย่างของผีชนิดนี้ คือ หากมีคนตะโกนกันในป่า มันจะเลียนเสียง ทำให้คนที่ตะโกนหลงทางเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ดังนั้นคนเฒ่าคนแก่ถึงได้ห้ามตะโกนในป่า เพราะผีกะโป๊กกะโหล้งจะเลียนเสียงทำให้หลงป่า

3. เสือสมิง เป็นผีสิ่งหนึ่งที่มักจะเจอกันในป่า และผู้คนที่เดินไปมักจะเล่าขาน ถึงความน่ากลัวของผีตนนี้ ผีตนนี้เป็นวิญญาณเสือที่กินคนเข้าไปเป็นจำนวนมาก และจะสามารถจำแลงกายให้ตัวเองเป็นคือต่อใครก็ได้เพื่อหลอกล่อคนมาเป็นเหยื่อ ครั้นยิ่งกินคนเข้าไปมาก วิญญาณก็จะยิ่งสิ่งสู่ในตัวเสือมากขึ้น และจำทำให้ เสือตัวนั้นยิ่งมีฤทธิ์มีอำนาจมากขึ้นเป็นทวีคุณ ความเป็นมาของเสือสมิงนั้น ไม่ใช่แค่วิญญาณที่สิ่งตัวเสือเท่านั้น ยังมีพวกที่เรียนวิชาเสือ นำวิญญาณเสือเข้ามาสิงในตน ผนวกกับคนผู้นั้นร่ำเรียนอาคมในทางเดรัจฉานเมื่อนานเข้า เกิดการรวมตัวกัน ทั้ง วิชาเรียกเสือและอาคม จนทำให้คนผู้นั้น เป็นเสือสมิง เมือเขากลายเป็นเสือก็จะไล่ล่ากินคน จนกลายเป็นเสือสมิงที่สมบูรณ์

ทั้งนี้ ขอให้ทุกท่าน โปรดใช้วิจารณญาณ ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ เป็นการดีที่สุด !!!!!!!!!!

ที่มา: TNews.co.th

12 มกราคม 2557

ผีขึ้นจอ (จบ)

ครูเพลงอาวุโส มนัส ปิติสานต์ ย้อนอดีตให้ฟัง สมจริงสมจังเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นหยกๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง ทั้งๆ ที่ปาเข้าไปราว 40 ปีเห็นจะได้

หลังจากได้ยินเสียงเพลง "ปอบผีฟ้า" ดังโหยหวนเยือกเย็นกลางดึก ขณะที่รถไฟแล่นผ่านจังหวัดสระบุรี เคล้าระคนกับเสียงล้อเหล็กบดรางดังกระหึ่ม อาการหลับๆ ตื่นๆ ก็พลันกลายเป็นหูตาสว่างจ้า

"ผีฟ้าเอย เจ้าสุดโสภา..." กับ "เลือด! ข้าอยากได้เลือด..."

"ผมรีบควักปากกามือไม้สั่น แต่เจ้ากรรมไม่มีกระดาษใกล้มือ" ครูมนัสเล่าจนแทบจะเห็นภาพแน่ะ "สมัยนั้นมีกระดาษชำระแขวนไว้หน้าห้องน้ำ ผมก็อาศัยฉีกมาเป็นกระดาษเขียนเนื้อเพลงกันลืม...กระทั่งรถแล่นถึงสถานี อยุธยาแล้ว ถึงได้เขียนเพลงจบ"

เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ ก็รีบบึ่งเอาไปให้คุณไพรัชทันที!

"แหม! พอเห็นเข้าก็ดีดนิ้วผลัวะ...ได้การ!!"

ว่าแต่ใครล่ะ ที่ล่องลอยตามขบวนรถไฟมาร้องเพลง "ปอบผีฟ้า" ด้วยเสียงโหยหวนเยือกเย็น เสียงเพลง "ผีฟ้าเอย..." ชวนหนาวสันหลังก็ดังวังเวงใจไปเกือบทุกหลังคาเรือนในยุคนั้น...

ต่อ มา พี่ป๋องกับน้องกิ๊ก (มยุริญ ผ่องผุดพันธ์) ก็พาผู้ชมที่ชอบเรื่องสยองขวัญไปดูแหล่งผีดุ ชื่อตอน "คนลองของ" ในรายการ "มิติลี้ลับ" ทางช่อง 7 ทุกคืนวันพุธ...ใครไม่ขนลุกก็ใจแข็งเต็มที

ในเวลาไล่ๆ กัน ปีศาจนิยายก็กลายเป็น "ปีศาจจอแก้ว" ออกอาละวาดเกือบทุกช่อง ทางจอเงินก็มีทั้ง "ตำนานกระสือ" "กระสือสาว 2001" กับ "ปอบหวีดสยอง", "ผีสามบาท", "ผีหัวขาด" และ "ผีละบาท" เป็นต้น

เพิ่ง นึกถึงหนังจอใหญ่เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน "บ้านผีปอบ" ถึงจะเป็นหนังฟอร์มเล็ก แต่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ มีแฟนๆ ที่ชอบบรรยากาศน่าสะพรึงกลัวซื้อตั๋วเข้าไปอุดหนุนกันคับคั่ง โดยเฉพาะโรงชั้นสองกับต่างจังหวัด เล่นเอาหนังฟอร์มใหญ่ค้อนควักตาคว่ำตาหงายไปตามๆ กัน

คิดแล้วก็น่าเห็นใจแฮะ เพราะ "บ้านผีปอบ" ที่มีผีปอบรุ่นน้าคือ "ป้าหยิบ" โผล่ออกมาเลียปากแผล็บๆ น่ะ เบ็ดเสร็จสร้างไปเกือบ 30 ภาคได้แล้วมั้ง ขณะที่หนังฟอร์มใหญ่ยังไม่ทันออกจากโรงหนัง คนสร้างก็แทบจะเข้าไปนอนในห้องไอซียูซะแล้ว

นอกจากภูตผีปีศาจสารพัดรูปแบบจะเป็นนิยาย เป็นภาพยนตร์และละครทีวีแล้ว ก็ยังมีสัมภเวสีหรือผีเร่ร่อน อยู่ตามศาลเจ้าพ่อนั่น เจ้าแม่นี่ ตำหนักโน้นตำหนักนี้อีกมากมายหลายร้อยแห่งทั่วประเทศ

ผู้สันทัดกรณีฟันธงเปรี้ยง บอกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นพวกมิจฉาชีพหลอกลวงหากินกับความงมงายของผู้คน ส่วนที่เหลืออีก 10 เปอร์เซ็นต์ น่ะส่วนมากเป็นพวกสัมภเวสีผีไม่มีศาล อดโซเพราะขาดเครื่องเซ่น เห็นผู้คนแห่แหนมากราบไหว้เซ่นวักตั๊กแตนเจ้าพ่อนั่น เจ้าแม่นี่ ก็เลยฉวยโอกาสเข้าสิงคนทรงเอาดื้อๆ

...หลอกลวงว่าเป็นเจ้าพ่อแท่งทอง เจ้าแม่เนินสะอาด พ่อปู่หลักโลก ฤๅษีตาทิพย์ ฯลฯ แล้วแต่จะแต่งตั้งตัวเองขึ้นมาดื้อๆ ให้คนหลงเชื่อ ที่หนักข้อกว่านั้นก็อ้างเป็นเสด็จโน่นเสด็จนี่ให้ดูขลังๆ น่าเคารพยำเกรง จะได้สวาปามเครื่องเซ่นดีๆ เช่น หมูเห็ดเป็ดไก่ รวมทั้งสุรารสเลิศ จนอิ่มหนำสำราญ เกษมเปรมปรีดิ์ไปตามๆ กัน เพราะหิวโหยแทบไส้ขาดมาเนิ่นนานเต็มที

คล้ายๆ พวก "กระสือตอมห่าเที่ยวหากิน" ไม่มีผิด!

เรียกว่าหลอกลวงได้ทั้งคนทรง ทั้งชาวบ้านร้านช่องให้หลงเชื่อ แต่ใช่ว่าของจริงๆ จะไม่มีเสียเลย เช่น พี่ชายเพื่อนผมไปหาคนทรงแถวหลังวัดญวน สะพานขาว เป็นอาซิ้มวัย 60 ปี อาชีพรับจ้างหาบน้ำตั้งแต่สาวยันแก่ เพื่อขอให้เข้าทรงวิญญาณเพื่อนที่เป็นทหารเยอรมันสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่ายังอยู่หรือตายไปแล้ว

ปรากฏว่าอาซิ้มพูดไทยไม่ค่อยชัด เดี๋ยวเดียวก็พ่นภาษาเยอรมันปร๋อ บอกว่า "อั๊วตายไปนานแล้วเพื่อนเอ๋ย สุขสบายดีทุกอย่างไม่ต้องห่วงน่า...ดังเก้! อัปวีเดอร์เซน!"

เรื่องทำนองนี้ฟังหูไว้หูก็ดีนะครับ จะได้ไม่โดนต้มไง...สวัสดี!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552

10 มกราคม 2557

ผีขึ้นจอ (4)

เรื่องที่เรียกรวมๆ กันว่า "เรื่องสยองขวัญ" ไม่นับเรื่องฆาตกรรมอำพรางหรือวิทยาศาสตร์ล้วนๆ แต่เป็นเรื่องภูตผีกึ่งวิทยาศาสตร์ ผสมกลมกลืนอย่างสนิทเนียน ก็ได้รับความนิยมชมชอบจากแฟนๆ เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องสยองขวัญของ จินตวี วิวัธน์ อย่างที่เล่าไว้ในตอนต้นๆ

นอกจากละครเขย่าขวัญทางทีวีแล้ว ยังมีรายการผีๆ สางๆ เช่น ลองของ, เขย่าขวัญ, สุดสยอง ฯลฯ ค่อนข้างมากมายทางทีวี มีพิธีกรดังๆ เชิญดาราทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเล็กบ้าง นักเขียนเรื่องผีบ้าง หรือไม่ก็นักแต่งเพลง และท่านผู้ชมที่มีประสบการณ์เรื่องผีๆ สางๆ มาพูดคุยกัน ท่ามกลางบรรยากาศน่าขนลุกขนพองซะไม่มี

"ใบหนาด" ไปออกรายการเหล่านี้เกือบทุกรายการ

แม้แต่ "บ้านเลขที่ 5" ของคุณสาวิตรี สามิภักดิ์ "พฤหัสบันเทิง" ของคุณอดิศักดิ์ ศรีสม กับ คุณชลิดา เถาว์ชาลี อดีตนางสาวไทย หรือรายการ "ขนหัวลุก" ของคุณมยุรา ธนะบุตร ก็ยังชวน "ใบหนาด" ไปเล่าเรื่องผีสู่กันฟังนี่นา

อย่าทำเป็นล้อเล่นกับเรื่องผีๆ สางๆ ที่ไม่ว่าคนชาติไหนก็ชอบอ่าน ชอบฟังชอบดูกันทั้งนั้นแหละน่า

เกือบลืมเรื่อง "ปอบผีฟ้า" ของดาราวิดีโอแล้วไหมล่ะ!

ภาพของยายแก่หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนปีศาจดึกดำบรรพ์ในคืนฝันร้าย สารรูปไม่ผิดกับแม่มดหรือ "แร้งทึ้ง" แต่มีแฟนๆ เหนียวแน่นทั้งเมือง โดยเฉพาะเพลง "ปอบผีฟ้า" น่ะ ได้ยินเมื่อไหร่เป็นขนลุกเมื่อนั้น

ตอนไปออก "ชมรมขนหัวลุก" ของคุณมยุรา ธนะบุตร กับ คุณธงชัย ประสงค์สันติ มีครูเพลงชื่อดังผู้แต่งเพลง "ปอบผีฟ้า" กับคุณกพล ทองพลับ (ดีเจ.ป๋อง) ผู้จัดรายการ "ไนน์ตี้ช็อค" ทางวิทยุ เป็นแขกรับเชิญ 3 คนไปเล่าเรื่องผีๆ สางๆ ให้ผู้ชมฟังทางหน้าจอทีวี

พี่ป๋องเคยชวนผมไปคุยเรื่องผีมาก่อน รู้จักมักคุ้นกันดี จำได้ว่าคืนนั้นก่อนเปิดรายการ เพลง "ปอบผีฟ้า" ก็ดังลั่นขึ้นมาเฉยๆ โดยไม่มีใครไปแตะต้องปุ่มหรือสวิตช์ใดๆ ทั้งสิ้น เล่นเอาหน้าตาไม่ค่อยสเบยไปตามๆ กัน

รายการของคุณมยุราวันนั้น ก็เลยได้รู้จักผู้แต่งเพลงนี้เป็นครั้งแรก หน้าตาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ใจดี น่ารักน่านับถือจริงๆ ครับ

คือครูมนัส ปิติสานต์!

ครูเพลงชื่อดัง ผู้แต่งเพลงไทยสากลระดับ "อมตะนิรันดร์กาล" เอาไว้หลายเพลง ที่ยังโด่งดังเมื่อ 30-40 ปีมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ "เสน่หา" กับ "ฝนหยาดสุดท้าย"

ครูมนัสเล่าย้อนความหลัง อันเป็นที่มาของละครสุดฮิตในอดีต "ปอบผีฟ้า" ว่ารับปากกับคุณไพรัช สังวริบุตร ว่าจะแต่งเพลงปอบผีฟ้าเป็นเพลงนำเรื่อง (ไตเติ้ล) ของละครเรื่องนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังแต่งไม่ออกซักที จนต้องขึ้นรถไฟดั้นด้นไปถึงภาคอีสาน อันเป็นแหล่งกำเนิดของ "ปอบผีฟ้า"

ลงรถไฟที่สุรินทร์แล้วว่าจ้างคนนำทางไปดูการแสดงปอบผีฟ้าในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง โดยจ่ายค่าจ้างราว 30-40 บาท เป็นค่ายกครู...ว่างั้น!

เสร็จสรรพมีผู้หญิง 4 คนแต่งกายชุดดำออกมาร่ายรำตามเสียงซึงที่ลานหน้าบ้าน...รวมทั้งได้สัมภาษณ์ผู้คนมากหน้า แต่ก็ยังไม่ปิ๊งหรือถูกอกถูกใจ ได้ไอเดียแต่งเพลงซักที

ในที่สุดเลยยอมแพ้ มานั่งดวดดื่มสุราแก้เซ็งอยู่ที่สถานีสุรินทร์ ตัดสินใจนั่งรถไฟกลับกรุงเทพฯ ดีกว่า...

ตอนดึกๆ กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็ได้ยินเสียงเพลง "ปอบผีฟ้า" ดังแว่วเหมือนกับลอยตามลมมากระทบหู เคล้ากับเสียงฉึกฉักรถไฟ จนประสาทตื่นตัวเต็มที่ ก็ยังได้ยินเพลงที่ว่าร้องซ้ำๆ คลอเสียงซึงอย่างถนัดชัดเจน

"ผีฟ้าเอย เจ้าสุดโสภา..." ติดตามด้วยการร้องขอเสื้อผ้าสวยๆ งามๆ กับได้ร้องรำทำเพลง โดยเฉพาะอาหารที่อดอยากหิวโหยมาเนิ่นนาน...มีเสียงถามว่าอยากจะกินอะไร ก็มีเสียงแหบโหยตอบกระเส่าสั่นว่า...

"เลือด! เลือด...ข้าอยากกินเลือด..."

ใช่เลย! เพลงนี้แหละ "ปอบผีฟ้า" ตัวจริงเสียงจริง! บรื๋ออออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 23 พฤศจิกายน 2552

08 มกราคม 2557

ผีขึ้นจอ (3)

สมัย ก่อนนั้น ถ้าหนังผีเรื่องไหนไม่มีคุณดอกดิน กัญญามาลย์ เล่นด้วย ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นหนังผีที่ไม่สมบูรณ์ หรือมิฉะนั้นก็ขาดรสชาติของหนังผีที่คนดูต้องกลัวไป หัวเราะไป สลับกันบ้าง พร้อมๆ กันบ้าง แต่ส่วนมากมักจะหัวเราะตัวงอกันทั้งนั้น

...หัวเราะในตอนที่หนังผีชาติอื่นน่ะ คนดูจะหัวเราะไม่ออกเด็ดขาด นอกจากจะนั่งอกสั่นขวัญกระเจิงลูกเดียว

นั่นคือตอนผีหลอก!

แต่หนังผีไทยนั้น เมื่อดาวตลกทั้งหลายวิ่งหนีผีชนิดล้มลุกคลุกคลาน คนดูก็จะหัวเราะครืนใหญ่ เช่น ตัวตลกวิ่งหนีผีที่ไล่ตามมาติดๆ จนวิ่งขึ้นไปบนสะพานข้ามคลองสูงชัน พอเห็นจวนตัวเข้า ดาวตลกนั้นก็จะกระโดดหนีลงน้ำตูมใหญ่ แต่ผีก็จะกระโดดน้ำตามชนิดไม่ลดละ

ตัวตลกที่โผล่พรวดขึ้นจากน้ำมาเห็นผีอยู่แค่คืบก็แผดร้องสุดเสียง ลอยละลิ่วขึ้นไปบนสะพานตามเดิม ส่วนผีก็กระทำแบบเดียวกัน ก่อนจะเริ่มต้นวิ่งไล่กันชุลมุนต่อไป จนคนดูหัวเราะแทบจะขาดใจตาย

ยิ่งฉากที่คุณดอกดินวิ่งหนีผี คนดูก็เตรียมหัวเราะไว้ก่อนแล้ว ยิ่งเห็นคุณดอกดินเข้าไปหลบผีอยู่หลังต้นไม้ ผีมาหยุดเหลียวหา คนดูก็แทบกลั้นหัวเราะไม่ไหวเพราะทำใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าคุณดอกดินจะต้อง โผล่หน้าไปจ๊ะเอ๋กับผีแน่นอน

แล้วคุณดอกดินก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกไป พร้อมๆ กับผีที่โผล่หน้าเข้ามา!

คนดูก็ได้โอกาสฮาครืนกันทั้งโรง ที่เรียกกันว่า "ฮาตก ขอบ" เพราะรอที่จะฮากันอยู่แล้ว จนแทบไม่ได้ยินเสียงคุณดอกดินร้องโหยหวน ล้มลุกคลุกคลาน ก่อนจะลุกขึ้นเผ่นหนีผีกระเซอะกระเซิงอีกต่อไป เพื่อที่จะไปพบกับผีตัวเดิมยืนจังก้าขวางหน้า แต่คนดูก็ไม่ได้หวั่นหวาดอะไร ทั้งๆ ที่เห็นผีตาโบ๋ปรากฏตัวเต็มจอ

...นอกจากจะไม่หวาดกลัวแล้วยังหัวเราะกันท้องคลอน จนถึงตัวงอ หรือนิยมเรียกกันว่า "หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล"

อันที่จริง ถึงแม้ว่าจะไม่มีฉากคุณดอกดินวิ่งหนีผี เพียงแต่เห็นหน้าคุณดอกดินในจอก็ฮาครืนกันแล้ว พอๆ กับเห็นหน้าคุณบังเละหรือคุณล้อต๊อกนั่นแหละครับ..

จากจอเงินมาถึงจอแก้ว!

ท่านที่อายุเลย 50-60 ปีขึ้นไป คงจะจำความบันเทิงเกี่ยวกับเรื่องผีๆ สางๆ ในจอทีวีได้ว่ามีเรื่องอะไรมั่ง? แฟนๆ ติดงอมแงม ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จนต้องมานั่งเฝ้าจอกันเป็นประจำ..เพราะช่อง 5 กับช่อง 7 มีรายการหนังชุดเกี่ยวกับภูตผีปีศาจออกมาสนองความต้องการของท่านผู้ชมมากที่ สุด

หุ่นไล่กา, พิภพมัจจุราช, ห้องหุ่น, สุสานคนเป็น, เงินปากผี ฯลฯ ของรัชฟิล์มภาพยนตร์ และทีวีของพันโทพยุง พึ่งศิลป์ กับคณะกันตนาของคุณประดิษฐ์ กัลย์จาฤก ที่เคยโด่งดังทางละครวิทยุมาก่อน ครั้นถึงยุคทีวีก็กลับมารุ่งเรืองเฟื่องฟูตั้งแต่เมื่อ 40-50 ปีก่อนจนถึงปัจจุบันนี้

"ไอ้ห้อย" กับ "ไอ้โหน" ในหุ่นไล่กา ที่เป็นหัวกะโหลก กับแม่มดเจ้านายเปิดเรื่องออกมาเคาะกะโหลก หัวเราะเสียงแหบโหยแฮ่ๆๆ แล้วยกสุภาษิตอะไรที่ฟังดูขลังๆ มาอ้าง ก่อนจะเล่าเรื่องราวให้ไอ้ห้อยไอ้โหนฟัง..สนุกสนานแค่ไหนคงจะจำกันได้หรอก น่า

พิภพมัจจุราช ก็มีเพลงฮิตของคุณมีศักดิ์ นาครัตน์ ประกอบไตเติ้ล โด่งดังจนเด็กๆ ร้องกันได้เกร่อทั้งเมือง

"พิภพมัจจุราชใครถึงฆาตต้องสิ้นชีวิต! ทำความดีล่ะ? ได้ขึ้นสวรรค์! ทำชั่วตกนรกโลกันตร์โดนลงอาญา.." อะไรประมาณนี้แหละครับ

ห้องหุ่น กับ สุสานคนเป็น ก็นำมาสร้างใหม่เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน

ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ตอนริเริ่มทำหนังไซไฟเรื่อง "มันมากับความมืด" จนถึง "เขาชื่อกานต์" และ "เทพธิดาโรงแรม" ก็ทำหนังผีให้ทีวีช่อง 7 ชุด "หมอผี" ในนามพร้อมมิตรภาพยนตร์ ผมยังเคยไปดูตอนถ่ายทำที่วังละโว้หลายครั้ง

ช่วง หลังทำหนังใหญ่ สุริโยไท กับ นเรศวร โกยเงินอั้กๆ ทั้งในประเทศกับขายต่างประเทศ รวมรายได้เบ็ดเสร็จไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท "ท่านมุ้ย" คงทรงขี้เกียจไปทำหนังทีวีอีกแล้วนะครับ พับผ่า!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 20 พฤศจิกายน 2552

06 มกราคม 2557

ผีขึ้นจอ (2)

เมื่อมีการสร้างภาพยนตร์ขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว ไม่ว่า นางสาวสุวรรณ หรือพระเจ้าช้างเผือก เรื่องแนวผีๆ สางๆ ที่อยู่คู่กับคนไทยมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ชนิดที่พอรู้ความได้ก็ได้ยินเรื่องสารพัดผี จากพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายแล้ว

หนังไทยจะไม่สร้างเรื่องผีกันบ้างก็เห็นจะผิดที!

"ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" หนังผีเรื่องแรกของไทย พระเอกคือคุณหลวงพรตกรรมโกศล ต่อมาก็เล่นเป็นผู้ร้ายบ้าง เป็นคุณพ่อคุณลุงไปยันคุณปู่ตามวัยบ้าง จนกระทั่งมีโทรทัศน์ก็ยังมาเล่นหนังเล่นละครอีกหลายเรื่อง

ในละครทีวีเรื่อง "ห้องหุ่น" เล่นเป็นขุนนางชรา ผอมสูง ใบหน้าเรียวยาว เหี่ยวย่น นุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อราชปะแตน นั่งจังก้าเป็นหุ่นผีรวมกับหุ่นตัวอื่นๆ คนดูเห็นเข้าก็ขนลุกขนชันไปตามๆ กัน...จนกระทั่งคุณหลวงท่านถึงแก่อนิจกรรม

คิดๆ แล้วก็แปลกดี ที่คุณหลวงพรตฯ เล่นหนังใหญ่เรื่องแรกคือเรื่องผี จนมาเล่นทีวีในบั้นปลายชีวิต (คงเป็นเรื่องสุดท้าย) เมื่ออายุราว 80 ปีก็เป็นเรื่องผีอีกเหมือนกัน!

เรื่องผีเป็นหนังจอใหญ่หลายเรื่อง พวกปีศาจนิยายดังๆ ที่เล่ามาแล้วน่ะกลายเป็นหนังใหญ่แทบทั้งนั้น เรื่องโด่งดังสุดๆ รับรองว่าไม่มีเรื่องไหนเกิน "แม่นากพระโขนง" ไปได้ สมัยก่อนสงครามยังสร้างไปแล้ว 2 ครั้ง...ห่างกันปีเดียวแฟนๆ ยังดูกันตรึม

ปี 2502 เสน่ห์ โกมารชุน ก็จับ ปรียา รุ่งเรือง ฉายา "อกเขาพระวิหาร" มาเป็นแม่นากคู่กับ สุรสิทธิ์ สัตยวงษ์ ไม่ช้าไม่นานก็เอาปรียามาประกบกับพระเอกหนุ่ม สมบัติ เมทะนี แฟนๆ อุดหนุนกันโรงแทบแตกทั้งสองครั้ง

พวกผู้ชายไม่ว่าหนุ่มน้อยหรือหนุ่มใหญ่ ก็ล้วนแต่อยากทัศนาอกเขาพระวิหารของคุณปรียา รุ่งเรือง กันทั้งนั้นแหละครับ

ต่อมา ละโว้ภาพยนตร์ก็สร้าง "แม่นากพระนคร"

ล่าสุด "นางนาก" ก็เป็นหนังไทยที่ทำรายได้ถล่มทลายถึง 150 ล้านบาท

"กระสือสาว" ที่เคยเป็นการ์ตูนเรื่องยาวของ ทวี วิษณุกร ก็โด่งดังหยอกอยู่หรือนั่น...ศรีสยามภาพยนตร์สร้างหนึ่งนุช เป็นเรื่องแรก ทำรายได้ทะลุเป้า ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ พอทำ กระสือสาว ออกมาก็แทบจะเลิกพิมพ์หนังสือขายไปเลย

ภาพโปสเตอร์กับใบปิดที่เป็นใบหน้าแสนสวยของ พิศมัย วิไลศักดิ์ แต่ต่ำลงมาเป็นตับไตไส้พุงห้อยเป็นพวงระย้า กำลังล่องลอยหาเหยื่อในยามราตรี เรียกแฟนหนังเข้าไปควักเงินซื้อตั๋วกันคึ่กๆ ชนิดมืดฟ้ามัวดินก็ว่าได้!

ขึ้นชื่อว่าหนังผีซะอย่าง ต้องมีฉากสยดสยอง บรรยากาศน่าขนลุกขนพอง เสียงประกอบต่างๆ รวมทั้งเสียงดนตรีก็จะทำหน้าที่เขย่าขวัญสั่นประสาท ทำให้ท่านผู้ชมล้วนหวาดผวาไปตามๆ กัน เพราะถ้าไม่ต้องการอะไรทำนองนี้ก็เชิญไปดูหนังชีวิต หนังตลกหรือหนังบู๊ละเลงเลือดซะปะไร

นอกจากนั้น หนังผียังต้องมีฉากโป๊ๆ เปลือยๆ หรือบทพิศวาสเร่าร้อนผาดโผนหน่อย ให้สมกับเป็นเรื่องภูตผีปีศาจดุร้ายกระหายเลือด ไม่ใช่มัวแต่เธอจ๊ะเธอจ๋า หวานจ๋อยเย็นเจี๊ยบ...เดี๋ยวก็กลายเป็นเรื่องเลิฟสตรอว์เบอร์รี่เข้าไปโน่น

...แต่หนังผีไทย ส่วนใหญ่มักจะเน้นเรื่องตลกโปกฮาไปพร้อมๆ กับความน่าสะพรึงกลัว!

สมัยก่อน จะต้องมีดาวตลกชื่อดังในหนังไทยทุกประเภทก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบู๊หรือเรื่องชีวิต ต้องมีตลกตามพระ ตลกตามนาง เช่น ล้อต๊อก, ดอกดิน, สมพงษ์ พงษ์มิตร, ก๊กเฮง, ทองฮะ จนถึงรุ่น สังข์ทอง สีใส, เทพ เทียนชัย, ศรีเผือก, ศรีสุริยา, จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก, เด่น ดอกประดู่, เด๋อ ดอกสะเดา, ดี๋ ดอกมะดัน, ดู๋ ดอกกระโดน, เทพ โพธิ์งาม

จนถึงยุค โน้ต เชิญยิ้ม, เป็ด เชิญยิ้ม, ถั่วแระ จตุรงค์ มกจ๊ก, เอ็ดดี้ ผีน่ารัก, หม่ำ จ๊กมก, เท่ง เถิดเทิง, โหน่ง ช่าช่าช่า, โก๊ะตี๋, ค่อม ชวนชื่น ฯลฯ

แม้แต่ดาวร้ายก็ยังเล่นตลก โดยเฉพาะพวกสมุนปลายแถว

ที่เห็นชัดๆ ก็คือ ประจวบ ฤกษ์ยามดี เล่นบทดาวร้ายได้เฉียบขาด ขนาดได้รับตุ๊กตาทองตัวประกอบยอดเยี่ยมจากเรื่อง "มือโจร" ของ "คุณาวุฒิ" ยังเปลี่ยนมาเล่นตลกเป็นการเป็นงาน ตั้งแต่เรื่อง "มนต์รักลูกทุ่ง" ของ รังสี ทัศน์พยัคฆ์ กับเรื่องอื่นๆ ต่อมาอีกนับไม่ถ้วน จนได้ฉายาว่า "ดาวร้ายผู้น่ารัก"

หนังผีไม่ว่ายุคก่อนหรือยุคนี้ก็ล้วนแต่ขาดดาวตลกไม่ได้เช่นกัน!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552

03 มกราคม 2557

ผีขึ้นจอ (1)

ย้อนหลังไปถึงรุ่นครูเหม เวชกร คือ "อรวรรณ" (เลียว ศรีเสวก) ผู้โด่งดังสุดขีดในนวนิยายบู๊ล้างผลาญ ก็เคยเขียนเรื่องผีมาโชกโชน ไม่ว่า สมบัติผี, ค้างคาวผี, ราชินีมหากาฬ ฯลฯ ในหนังสือ 10 สตางค์ ขนาด "พี่เลียว" ยังเล่าไว้ว่า

"เรื่องบ้าบอคอแตกผมก็เอากะเค้าเหมือนกัน มหัศจรรย์เสียจนผมเองขนหัวลุกซู่ เพราะสงสัยว่าจะโดนด่าแม่เป็นการใหญ่ ที่อุตริเอาเรื่องบรมโกหกมาเขียน"

ใครจะด่าล่ะครับ มีแต่หาซื้อกันมาอ่านจนหูตาสว่างจ้าทั้งนั้นแหละ

อ.อรรถจินดา (พ.ต.ท.อรรถ อรรถจินดา) ชอบเขียนเรื่องบู๊โชกเลือดรุ่นเดียวกับ "อรวรรณ" เช่น หล่อนเกิดมาฆ่า, หล่อนอยู่เพื่อฆ่า เคยเขียนปีศาจนิยายดังระเบิดคือ โรงแรมผี, ปีศาจกากอยด์ เป็นต้น

นอกจากเรื่องยาว "พี่อรรถ" ยังถนัดเรื่องสั้นแนวผีๆ สางๆ อีกด้วย อาจถนัดกว่าเรื่องยาวด้วยซ้ำ เพราะมีรวมเรื่องผีฉบับกระเป๋าออกวางตลาดเรื่อยๆ ในยุคปีศาจนิยายรุ่งเรืองเฟื่องฟูสุดขีด พร้อมๆ กับ เหม เวชกร และ "ใบหนาด" ทั้ง 2 ท่านแรกน่ะอายุมากกว่าพ่อของ "ใบหนาด" ซะด้วยซ้ำ

สด กูรมะโรหิต ก็เขียนเรื่องผี!

พูดเป็นภาพยนตร์อินเดียไปได้ ผู้เขียน ปักกิ่ง-นครแห่งความหลัง, ระย้า, ขบวนเสรีจีน, เลือดสีแดง, เลือดสีน้ำเงิน หรือ เมื่อหิมะละลาย นี่น่ะนา เขียนเรื่องผี?

แหม! ก็มันเสียราศี หรือเกสรพิกุลร่วงที่ไหนเล่า ถ้าจะเขียนปีศาจนิยายให้คนอ่านขนหัวลุก หรือขนแขนสแตนด์อัพน่ะ?

"วิญญาณพยาบาท" ของ สด กูรมะโรหิต ลงพิมพ์ในสกุลไทยแล้วนำมารวมเล่มหนาปึ้ก 2 เล่มจบโดยสำนักพิมพ์คลังวิทยา ตั้งแต่ พ.ศ.2500 โน่นแน่ะ

ส.เนาวราช ผู้เขียน เหยี่ยวราตรี ดังระเบิดเถิดเทิงรุ่นเดียวกับ อินทรีแดง ของ เศก ดุสิต ก็เขียนเรื่องประเภทปีศาจนิยาย คือ แม่ย่านาง...ต่อมาก็สร้างเป็นหนังใหญ่เรียบร้อย

พ.ต.ต.ประชา พูนวิวัฒน์ ผู้โด่งดังมาจากเรื่องบู๊แสบสันต์อย่าง เข็ดจริงๆ ให้ดิ้นตาย, ป่าลูกกรง, อย่าโกรธผมเลยทูนหัว, ว่าจะไม่แล้วเชียว...ก็ยังมาเขียนเรื่องผี ใช้ฉากกรุงโรม ประเทศอิตาลี เพราะ "เฮียชา" เคยไปดูงานสืบสวน-สอบสวน ที่นั่นสมัยเป็นอัศวินแหวนเพชร ยุคนายพลเผ่า

"พนมเทียน" นักเขียนสารพัดแนว ไม่ว่าจินตนิยายอย่าง ศิวา-ราตรี, จุฬาตรีคูณ หรือเรื่องบู๊ล้างผลาญอย่าง เล็บครุฑ, ทูตนรก รวมทั้งเรื่องรักหวานจ๋อย พ่อแง่แม่งอนอย่าง แววมยุรา, กัลปังหา ฯลฯ รวมทั้งเรื่องผจญภัยในป่าดงสุดดัง เช่น เพชรพระอุมา นั่นปะไร

ก่อนหน้าเรื่องป่าก็บรรเลงเรื่องผีขนาดพ็อกเกตบุ๊กให้ "เฮียชิว" สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นหลายเล่ม เช่น ภูตสีชมพู, รัตติกาลยอดรัก เป็นต้น

หยก บูรพา เขียน อยู่กับก๋ง ดังระบือลือลั่นแทบไม่มีวันจบสิ้น หันมาเขียนเรื่องผีๆ สางๆ ในชื่อ "ปีศาจอาถรรพณ์" สยองขวัญสั่นประสาทซะไม่มี

"ศรีเพชร" หรือ "รัตติกรณ์" นักเขียนรุ่นๆ ผม ถนัดเรื่องบู๊ ราศีสิงห์ ได้รับการยกย่องจากเพื่อนฝูงว่าตั้งชื่อเรื่องได้สุดเจ๋ง พอๆ กับ คมแสนคม ของ รังสี เทพวรสิน...ก็เบนปากกามาบรรเลงปีศาจนิยายด้วยเหมือนกัน

วังไทร, คุ้งตะเคียน...แค่เห็นชื่อเรื่องก็เตรียมขนหัวลุกได้เลย!

ประเสริฐ จันดำ เพื่อนรุ่นน้องที่สนิทสนมกับผมมาตั้งแต่ยุค ขวัญจิตรายสัปดาห์ ชอบเขียนกวีกับเรื่องสั้นเพื่อชีวิต ก็เขียนเรื่องผีสั้นๆ รวมเล่มให้สำนักพิมพ์สยามได้ราว 3-4 เล่มในนาม ดอน ไผ่งาม

เรื่องบู๊ล้างผลาญแนวไสยศาสตร์ที่ออกทางคาถาอาคมกับภูตผีพอเป็นกระสาย ก็มี ภูตเสน่หา ของ "สุชาดา" นักฆ่าตะกรุดโทน ของ ต๊ะ ท่าอิฐ เสาร์ห้า ของ "ดาเรศว์" ล้วนแต่เป็นเรื่องยาวทั้งสิ้น สนุกสนานจนกลายเป็นภาพโลดแล่นในจอเงินอีกต่างหาก

เรื่องสั้นรวมเล่มที่ถือว่าเป็นเจ้าตลาดเรื่องผีๆ สางๆ นี่มีอยู่ 3 คนเท่านั้นแหละครับ ในช่วงปี 2510-2513 น่ะ

เหม เวชกร, อ.อรรถจินดา และ "ใบหนาด"

สองท่านแรกล่วงลับไป 30-40 ปีแล้ว เหลือแต่รายหลังที่ยังเขียนเรื่องผีอยู่ทุกวันนี้...คงไม่ต้องบอกนะครับว่า "ใบหนาด" เป็นนามปากกาของ ณรงค์ จันทร์เรือง

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552

01 มกราคม 2557

ผีอินเตอร์ (จบ)

นอกจากนั้นก็คือสายสิญจน์สำหรับผูกข้อมือไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคเหนือก็เชื่อว่า "ราหูอมจันทร์" เป็นเครื่องรางชนิดหนึ่งที่ช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งหลายแหล่ได้ชะงัดนัก

...แกะจากกะลาตาเดียวในวันขึ้น 15 ค่ำ (วันเสาร์ เดือน 5 ยิ่งดี เรียกว่าเสาร์ 5) ทำเป็นรูปยักษ์หรือราหูกำลังอ้าปากอมพระจันทร์ เคยเห็นที่หน้าจั่วประตูวัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา เมื่อสิบกว่าปีก่อน รูปทรงบ่งบอกว่าเป็นอิทธิพลของพม่า ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าพม่าก็เชื่อถือเรื่องนี้คล้ายๆ คนไทย

นำมาผูกคอเด็กและผู้ใหญ่ ป้องกันภูตผีและอันตรายทั้งปวงได้!

ใน "พระอภัยมณี" ก็มีเรื่องอ้ายย่องตอด หรือผีร้ายชนิดหนึ่งจะไปสูบเลือดนางละเวง แต่พธูเจ้ามี "ตราราหู" คุ้มครองอยู่ ทำให้ไอ้ย่องตอดยกมือไหว้ ยอมแพ้...บอกว่ามันกลัวอยู่อย่างเดียว คือตราพระราหูนี่เอง

คิดๆ แล้วแปลกประหลาดเอาการอยู่

เหนือสุดของเรามีรูปพระราหู ใต้สุดอย่างเกาะลังกา หรือศรีลังกา ที่เชื่อว่าเป็นฉากเมืองลังกาในพระอภัยมณีก็มีตราพระราหู ซึ่งเชื่อถือกันว่าเป็นเครื่องป้องกันภูตผีเช่นกัน...จะว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็คงไม่ผิดนัก เพราะสถานที่ห่างไกลกันราว 3,000 กิโลเมตรแหละหรือว่าจะได้รับอิทธิพลเรื่องนี้มาจากอินเดียเหมือนๆ กันก็เป็นได้

เรื่องสายสิญจน์หรือเครื่องรางที่ว่านั้น เชื่อถือกันในเรื่องปัดเป่าโพยภัยจากผีสาง และเคราะห์กรรมทั้งหลายแหล่ ที่น่าหวาดหวั่นพรั่นสยองก็คือ "ลมเพลมพัด"

เชื่อกันว่า ผู้มีวิชาอาคมทั้งหลายจะ "ปล่อยของ" หรือ "ลองของ" ด้วยการปล่อยภูตผีที่เลี้ยงไว้ออกมาตามลมในยามดึก ถึงได้เรียกว่า "ลมเพลมพัด" พวกผู้ใหญ่จะห้ามปรามเด็กๆ ว่า ถ้าได้ยินเสียงอะไรผิดปกติ ห้ามพูดห้ามถามเด็ดขาดว่าเป็นเสียงอะไร โดยใช้คำว่า "ห้ามทัก"

ถ้าใครทัก ของก็จะเข้าตัวคนนั้น!

ของที่ว่าไม่ใช่สิ่งมงคล ประเภทแก้วแหวนเงินทองใดๆ แต่เป็นของชั่วร้าย เช่น กระดูกผี, เส้นผมผีตายโหง, ตะปูตอกฝาโลง จนถึงหนังควาย ที่เชื่อว่าหมอผีเก่งๆ เสกเข้าท้องคนได้ง่ายดายเป็นว่าเล่น ทำให้คนเคราะห์ร้ายเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส จนกว่าจะมีคนดีมีวิชามาช่วยแก้ไขได้ หรือไม่ก็ด่าวดิ้นสิ้นใจไปเพราะ "โดนของ" ที่ว่า

พูดถึงเรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่อง "ฮู้" หรือ "ยันต์" ของจีนขึ้นมาได้

คิดว่าท่านผู้อ่านคงรู้จักฮู้ที่ว่าพอสมควร ไม่ว่าเด็กๆ เคยเป็นคางทูม พ่อแม่พาไปหาซินแสให้เขียนฮู้ข้างแก้ม โดยเชื่อว่าคางทูมเป็นวัว ส่วนฮู้เป็นเสือที่มีอำนาจเหนือวัว

ยันต์ของคนจีนจึงป้องกันภูตผีได้!

อย่างที่เคยเห็นในหนังจีน ว่าที่ไหนมีผีดุร้ายออกอาละวาด ชาวบ้านร้านช่องก็จะไปหายันต์มาปิดประตูบ้านไว้ บรรดาอสุรกายทั้งหลายแหล่เห็นเข้าก็บังเกิดความหวาดกลัวไม่กล้าบุกบั่นเข้าไปทำอันตรายผู้คนในบ้านได้เด็ดขาด

ในวรรณคดีจีนเรื่อง "ซ้องกั๋ง" ก็มีภูตผีชื่อ "ดาวร้าย 108 ดวง" ถูกฝังอยู่ใต้ดินในวัดบนภูเขา ปิดผนึกด้วยยันต์ที่สลักไว้บนก้อนหินปิดปากหลุม แต่วันดีคืนร้ายก็มีขุนนางขี้เบ่งมาบังคับพระลูกวัดให้เปิดก้อนหินออกมา วิญญาณทั้งนั้นก็เลยโลดลิ่วออกไปสู่อิสรภาพได้สำเร็จ

"ไซอิ๋ว" ก็มีตำนานว่า "ซึงหงอคง" หรือ "เห้งเจีย" เป็นลิงจอมแก่นแสนซน จนพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งนาม "ยูไล" ต้องจับขังแล้วสาปว่า เมื่อไหร่มีพระถังซำจั๋งผ่านมาพบจึงจะหลุดพ้นจากคำสาปได้สำเร็จ กลับเป็นอิสระตามเดิม

ด้วยสาเหตุจากเรื่องราวของภูตผีปีศาจนานาชนิดทั้งหลายแหล่ หรือผีอินเตอร์ที่เล่าสู่กันฟังนี่เอง ที่ทำให้นักเขียนไทยเราเกิดจินตนาการฟุ้งเฟื่องว่า เรื่องผีๆ สางๆ ก็น่าสนใจไปอีกแบบ แถมนักอ่านยังชอบอกชอบใจอีกต่างหาก บอกว่าอ่านแล้วขนพองสยองเกล้าดีไม่หยอก จะบอกให้

อย่ากระนั้นเลย เราจงมาริอ่านเขียนเรื่องผีให้แฟนๆ ปอดอ้า เขย่าขวัญกันให้ครึกครื้นไป ดีกว่าอยู่เปล่าๆ เสียเถิด จะประเสริฐนักแล

ประวัติศาสตร์จึงบันทึกไว้ว่า เรื่องปีศาจอสุรกายทั้งหลายแหล่ได้อุบัติขึ้นในแดนสยาม ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ในรูปแบบเสียดสี ทีเล่นทีจริง จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องผีสมบูรณ์แบบในเวลาต่อมา เมื่อ 73 ปีก่อนนี้เอง!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552