31 ธันวาคม 2556

ผีอินเตอร์ (3)

ถึงแม้เรื่องผีฝรั่งผีจีนจะสนุกสนาน ตื่นเต้นเร้าใจคนไทยแค่ไหน ก่อให้เกิดความนิยมชมชอบในเรื่องสยองขวัญทำนองนี้เพียงใด แต่ก็ยังไม่มีเรื่องผีไทยๆ ปรากฏออกมาเป็นการเป็นงานซักที

หรือว่าผีฝรั่งกับผีไทยไม่เหมือนกัน?

เช่น ผีฝรั่งมักเกลียดกลัวต้นกระเทียม แม้กลิ่นกระเทียม เช่น เคาน์แดร๊กคิวล่า หรือผีดิบดูดเลือดทั้งหลายแหล่ โดยเฉพาะหวาดหวั่นพรั่นสยองต่อรูปไม้กางเขนอันเป็นสัญลักษณ์ ...จะว่าผิดหรือคล้ายกับผีไทยก็ได้ทั้งสองอย่าง

นั่นคือผีไทยกลัวต้นหนาดกับพระเครื่องหรือลูกนิมิต พัทธสีมาอันเรียงรายอยู่รอบโบสถ์

ทำไมผีฝรั่งกลัวกระเทียม?

ถ้าจะตอบแบบฝรั่งก็คงตอบได้ง่ายๆ ว่าฝรั่งทุกชาติทุกภาษาล้วนแต่เกลียดกลิ่นกระเทียมกันทั้งนั้น ยกเว้นแต่อิตาเลียนชาติเดียวที่ชอบกินกระเทียมเหมือนชาวเยอรมันชอบกลิ่นกะหล่ำปลีดอง หรือซาวน์เคลาส์แกล้มไส้กรอกก็ได้ กินกับหมูย่างก็ดีนักแล!

เชื่อกันว่าชาวอิตาเลียนชอบกินกระเทียมเพราะคบหาสมาคมกับพวกยิปซี ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี ก่อนจะร่อนเร่พเนจรไปตามประเทศต่างๆ

อาหารประจำเผ่ายิปซีที่ขึ้นชื่อลือชา แพร่หลายไปทั่วโลกก็คือ "กูราจซุป" เนื้อวัวต้มเปื่อยกับมันฝรั่ง มะเขือเทศ กระเทียม โรยพริกไทยลงไปให้หนักมือหน่อย เดี๋ยวก็หอมหวนชวนน้ำลายสอได้ง่ายๆ

เมื่อชาวบ้านร้านช่องทั่วๆ ไปในยุโรปเกลียดกระเทียม เหม็นกระเทียมจับจิตจับใจ ชาวยุโรปนั้นก็พลอยทึกทักเอาว่า ผีดิบดุร้ายกระหายเลือดอย่างเคาน์แดร๊กคิวล่าและบรรดาสาวกทั้งหลายแหล่ ย่อมจะเกลียดกลัวต้นกระเทียม หรือแม้แต่กลิ่นกระเทียมไปด้วยเป็นธรรมดา

เจอะเจอต้นกระเทียมที่ไหนเป็นเผ่นหนีกระเจิงที่นั่น นอกจากนั้น ก็ยังกลัวไม้กางเขน หรือสัญลักษณ์ของกางเขนเป็นชีวิตจิตใจ!

เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับผีไทยดู ก็ปรากฏว่าหวาดเกรงต้นหนาด ซึ่งดูๆ แล้วก็ไม่มีเหตุผลเหมือนกับผีฝรั่งกลัวกระเทียม ส่วนที่ต้นหนาดหรือแม้แต่ใบหนาดจะมีอะไรลึกซึ้ง น่าพรั่นสยองสำหรับภูตผีปีศาจทั้งหลาย ตอนนี้ยังนึกไม่ออกจริงๆ ครับ

บางตำราถึงกับยืนยันว่า ถ้าเด็ดใบหนาดมาแขวนเชือกผูกคอแล้ว ภูตผีน้อยใหญ่ทั้งหลายแหล่เป็นไม่กล้าเข้ามา กล้ำกราย ทำอันตรายได้เด็ดขาด

แต่ที่ผีฝรั่งกลัวไม้กางเขน ส่วนผีไทยกลัวพระเครื่องพระบูชา พอจะกล้อมแกล้มได้ว่าคล้ายคลึงกันอยู่ไม่น้อย

ผีฝรั่งกลัวสัญลักษณ์ของไม้กางเขน เช่น ไม่ใช่กางเขนจริง แต่เอาไม้หรือเหล็กสองท่อนมาไขว้กันเป็นรูปไม้กางเขน ก็ทำให้ผีดูดเลือดตระหนกอกสั่นไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว ถ้าจะเทียบกับผีไทยก็คงกลัวสายสิญจน์ อันถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพระพุทธศาสนาได้เช่นกัน

...มีสายสิญจน์ล้อมบ้าน ก็รับรองได้ว่าไม่มีภูตผีปีศาจตนไหนกล้ากล้ำกรายเข้ามาเป็นอันขาด เพราะแตะต้องสายสิญจน์เข้าเป็นร้องโอดโอยโหยหวนด้วยความเจ็บปวด แสนสาหัสอย่าบอกใครเชียว

ถ้าเอาสายสิญจน์คล้องคอผี หรือคนที่ถูกผีเข้าสิงไว้ ก็จะทำให้คนหรือผีนั้นต้องดิ้นทุรนทุราย หรือแผดร้องด้วยความปวดแสบปวดร้อนสุดขีด

แต่ผีไทยยังมีเรื่องราววิจิตรพิสดารกว่าผีฝรั่งเป็นไหนๆ

เช่น การรดน้ำมนต์ เฆี่ยนด้วยหวายฝังลูกนิมิต หรือกิ่งมะยมกิ่งหนาดแช่น้ำมนต์ ซัดด้วยข้าวสารเสก แทงด้วยมีดหมอของพระอาจารย์ดังๆ อย่างมีดหลวงพ่อเดิม ซึ่งเรียกขานกันอย่างยกย่องว่า "เทพอาวุธ" หรือมีดหมอของหลวงปู่เทียม แห่งวัดกษัตราธิราชอยุธยา เป็นต้น

นอกจากนั้น ยังมีผ้ายันต์อีกต่างหาก...ผ้ายันต์เกราะเพชรของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุง ชัยนาท ลูกศิษย์ของหลวงพ่อปาน แห่งวัดบางนมโค อยุธยา ก็ถือว่าโด่งดังสุดๆ ทั้งแคล้วคลาดและอยู่ยงคงกระพัน ชนิดตำรวจทหารชายแดนโดนศัตรูยิงตูมเข้ากลางอก กระเด้งไป 3-4 วายังลุกผางขึ้นมาสังหารศัตรูได้นี่นา

มีคำสาปว่า...ใครขายชาติต้องโดนยิงตายกลางหน้าผากทุกคนไป!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 30 ตุลาคม 2552

30 ธันวาคม 2556

ผีอินเตอร์ (2)

ลองหันไปดูทางจีนมั่ง!

ที่นั่นถือว่าเป็นราชาเรื่องผีๆ สางๆ ยิ่งกว่าตะวันตกด้วยซ้ำ เพราะนอกจากจะเป็นประเทศเก่าแก่ มีศิลปวัฒน ธรรมเนิ่นนานหลายพันปี ยังมีประชากรมากมายหลายร้อยล้านคนในยุคนั้น เพราะงั้นเลยมีเรื่องราวเก่าๆ ทั้งวรรณคดี นิยายรักโศกสะเทือนอารมณ์ รวมทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับภูตผีมากมายที่สุดในโลกก็ว่าได้

"ผู่ซ่งหลิง" ได้ชื่อว่าเป็นนักเขียนชื่อเสียงโด่งดังมา 200 กว่าปีแล้วในสมัยราชวงศ์เหม็ง ชอบเขียนเรื่องผีเป็นเรื่องสั้นล้วนๆ จำนวนมากมาย บำเรอผู้อ่านที่ชมชอบเรื่องสยองขวัญจนเป็นที่กล่าวขวัญ และยอมรับนับถือทั่วไป

ได้รับคำยกย่องว่า เรื่องของผู่ซ่งหลิงเป็นเรื่องในแนวแปลก ประหลาด ที่จัดได้ว่าเป็นวรรณกรรมคลาสสิคของจีนได้อย่างเต็มภาคภูมิ ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ หรือละคร เป็นภาพยนตร์จอใหญ่จอเล็ก ล้วนแต่ได้รับความนิยมชมชอบจากแฟนหนังเรื่องสยองขวัญทั้งนั้นแหละ

"โปเยโปโลเย" ถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ทั้งจอแก้วจอเงินออกฉายเกือบทั่วโลก ท่านผู้อ่านที่ชอบดูหนังดูทีวีคงจะเคยผ่านหูผ่านตามาพอสมควร

"เรื่องประหลาดของเหลียวไจ๋" ก็อยู่ในชุดเรื่องประหลาด หรือเรื่องผีที่แต่งโดย ผู่ซ่งหลิง "เนียน" (เนียน กูรมะโรหิต) ภรรยาของ คุณสด กูรมะโรหิต นักเขียนอาวุโสของเราก็เคยนำมาแปลเป็นประจำในนิตยสารศิลปิน ตั้งแต่ฉบับปฐมฤกษ์ เมื่อปี 2485 ที่อยู่ในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดี

"รพีพร" เขียนเรื่องแรกในนามปากกานี้แนวผีๆ สางๆ คือ "ผีก็มีหัวใจ" เป็นละครวิทยุแฟนติดงอมแงม ต่อมาเขียนเป็นนวนิยายลงในแสนสุข เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น "ภูตพิศวาส" โด่งดังไปทั้งประเทศยิ่งกว่าตอนเป็นละครวิทยุด้วยซ้ำไป

พระเอกมารุต กสิกรรม กับนางเอกดาว กลายเป็นคู่พระคู่นางสุดฮิตในยุคนั้นก็ว่าได้...ต่อมากลายเป็นภาพยนตร์และละครทีวีหลายครั้ง เพราะความสนุกสนาน ตื่นเต้นเร้าใจด้วย ลีลาของนักเขียนระดับครูบาอาจารย์ แฟนๆ ก็ตามเกรียวกราวทุกครั้งไป

"พี่ได้พล็อตมาจากเรื่องผีของจีน" "รพีพร" หรือ สุวัฒน์ วรดิลก เคยเล่าให้ผมฟังตอนที่ไปรับต้นฉบับเรื่องนี้ที่บ้านซอยไชยา นางเลิ้ง เมื่อ 40 กว่าปีก่อน แล้วแนะนำด้วยความหวังดีว่า

"ลองอ่านเรื่องจีนเยอะๆ ซี เพราะผู้คนเขามากมาย เรื่องราวแปลกๆ ก็พลอยมากไปด้วย เผื่อจะได้ไอเดียมาเขียนนิยายสไตล์ไทยๆ"

นี่ไงครับ อิทธิพลเรื่องผีจีน!

นอกจากผีจริงๆ แล้ว วรรณกรรมจีนก็ยังมีเรื่องราวทำนอง "แกล้งทำเป็นผีหลอก" เพื่อจุดประสงค์ต่างๆ ทั้งคนดีคน ร้าย เช่น เรื่องดังๆ อย่าง "เปาบุ้นจิ้น" เทพเจ้าแห่งความยุติธรรมแห่งศาลไคฟง ที่คนไทยเรารู้จักกันดี มีเรื่องใช้คนปลอมเป็นผีหลอกหลอนให้คนร้ายปากแข็งยอมรับสารภาพจนได้

เรื่องฆาตกรโดนขังรอขึ้นศาลหลายครั้ง แต่ทำยังไงๆ ก็ไม่ยอมรับสารภาพ "ท่านเปา" เลยต้องใช้ลูกน้องปลอมเป็นผีเข้าไปหลอก โดยปรากฏกายในห้องขังติดๆ กัน จนผู้ร้ายใจ แข็งเกิดอาการขวัญบิน พรั่งพรูสารภาพผิด พร้อมกับขอขมา ลาโทษเบ็ดเสร็จที่ได้ฆ่าแกงโดยไม่ได้เจตนา

รุ่งขึ้นก็โดนคำพิพากษาน่าขนหัวลุกจากท่านเปาน่ะซีครับ

"ใช้เครื่องประหารหัวสุนัข...ประหาร!!"

ติ้วแดงมรณะล่องลอยจากบัลลังก์มาตกลงตรงหน้าของคน ชะตาขาด เดี๋ยวเดียวศีรษะก็ขาดตามชะตาไปทันใด

เรื่องผีๆ สางๆ หรือมีภูตผีปีศาจมาเกี่ยวข้อง หลากหลายรูปแบบ หลั่งไหลเข้ามาในเมืองไทยเมื่อราวร้อยปีก่อน ใครได้อ่านก็ชอบอกชอบใจ คอยติดตามอ่านเล่มต่อๆ ไปเพราะได้รับอรรถรสแปลกๆ ใหม่ๆ ที่ชวนให้ขนลุกซู่ซ่าอยู่เป็นประจำ

สมัยนี้นิยมเรียกขานว่า "ขนแขนสแตนด์อัพ" ไงล่ะครับ! บรื๋ออออ...

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 29 ตุลาคม 2552

28 ธันวาคม 2556

ผีอินเตอร์ (1)

อ้าว? ไหนตั้งชื่อว่า "ตำนานผีไทย" แถมกำลังเล่าเรื่องผีไทยอยู่ดีๆ เชียว แล้วไหงถึงกลายเป็นผีอินเตอร์ไปได้ล่ะวุ้ย? ผู้อ่านหลายท่านอาจจะข้องจิตขึ้นมาก็เป็นได้

ถือโอกาสบอกกล่าวเล่าสิบกันให้แจ่มแจ้งไปเลย ว่าเรื่องผีนี่เชื่อถือกันทุกชาติทุกภาษาก็ว่าได้ ส่วนมากมักจะเล่าขานกันปากต่อปาก เป็นนิทานบ้าง เป็นตำนานบ้าง หรือไม่ก็ยืนยันคอเป็นเอ็นว่าได้ยินปู่เล่าว่าเป็นเรื่องจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ ปู่บอกว่าปู่ของแกก็ยืนยันยังงั้นเหมือนกัน ตอนที่เล่าให้ฟังน่ะ

จะเรียกว่าการเล่าเรื่องผีเป็นนิทานรอบกองไฟก็ยังได้!

แหม! ได้บรรยากาศชะมัดกับนิทานก่อนนอน ที่ชวนให้ขนลุกขนพองดีไม่หยอก จะบอกให้ เด็กๆ ลืมตาโพลงก่อนจะหลับตาปี๋ด้วยความสยดสยองเหลือกำลัง แล้วพานหลับผล็อยไปเลยเพราะทนง่วงนอนไม่ไหวน่ะ ไม่ใช่อะไร

ตอนนั้นยังไม่มีภาพยนตร์หรือละครทีวีอย่างสมัยนี้ ละครเวทีก็เพิ่งจะอุบัติขึ้นมา เรื่องผีแพร่หลายในหนังสือก่อน เพราะมีหลักฐานว่ามนุษย์เราคิดทำกระดาษได้เมื่อราวสองพันปีมาแล้ว...ตอนนี้ยังเถียงกันไม่เสร็จว่าใครคิดกระดาษได้ก่อน ระหว่างจีนกับอียิปต์

ฝ่ายแรกยืนยันหนักแน่นมั่นคงว่า จีนว่ะ! พวกอั๊วเอาผ้าเก่าๆ มาต้มทำกระดาษใช้ในราชสำนักล้วนๆ มาตั้งดึกดำ บรรพ์แล้ว แต่มีไอ้คนผลิตกระดาษเกิดกระทำความผิดอุกฉกรรจ์ เลยหลบหนีไปพร้อมกับสูตรลับ ดุ่มดั้นข้ามป่าเขาไปสวามิภักดิ์กับกษัตริย์ไอยคุปต์ หรือฟาโรห์นั่นปะไร!

ชาวอียิปต์ได้ฟังก็อดหัวเราะมิได้ บอกว่าน้อยๆ หน่อยเพื่อนเอ๋ย กระดาษชนิดแรกของโลกน่ะทำจากต้นปาปิรุสที่ขึ้นดกดื่นอยู่ที่ริมแม่น้ำไนล์เท่านั้น อ้อ! มีที่ซูดานอีกแห่งเดียวเองในโลกใบจ้อยๆ ลูกนี้น่ะ นอกนั้นปลูกต้นปาปิรุสไม่ขึ้นว่ะ ต่อให้เอาไปปลูกที่ไหน ทะนุถนอมปานไข่ในหินปานใด ต้นปาปิรุสก็ล้วนแต่ล้มตายแหงแก๋ทั้งนั้นเลย

แล้วจีนจะทำกระดาษเป็นชาติแรกก่อนชาวไอยคุปต์ได้ยังไง? ปัดโธ่!

เมื่อการผลิตกระดาษแพร่หลายไปทั่วโลก ก็มีการบันทึกเรื่องราวหลากหลาย เกิดตำรับตำราวิชาความรู้ คำคมคารมปราชญ์ โดยเฉพาะพระธรรมคัมภีร์ทางศาสนาต่างๆ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทฤษฎีทางการเมือง ฟุ้งเฟื่องเรื่องปรัชญาสารพัดสำนัก รวมทั้งนิทานพื้นบ้าน สารคดี เรื่องสั้นเรื่องยาวก็พรั่งพรูออกมาเป็นว่าเล่นแทบจะล้นโลก

เรื่องผีออกโรงตอนนี้เอง!

ไม่ว่าผีจีน ผีแขก ผีฝรั่งอั้งม้อ สารพัดสารพัน

ไทยเราได้อิทธิพลการเขียนอ่านมาจากฝรั่ง ที่พิมพ์หนังสือกันเป็นเรื่องเป็นราว ไม่นับที่จดจารึกไว้ในสมุดข่อยอันว่าด้วยตำราวิชาการต่างๆ เช่น วิชาแพทย์แผนโบราณ หรือวรรณคดีเก่าๆ ที่เรารู้จักกันดี เป็นต้น

หรือการเขียนในใบลาน ที่ส่วนหนึ่งก็คือคำสอนในพระพุทธศาสนา เรียกว่า "คัมภีร์" ที่พระท่านถือระหว่างเทศน์บนธรรมาสน์นั่นปะไรเล่า

จีนกับฝรั่งพิมพ์เรื่องสั้นเรื่องยาวให้แพร่หลาย ได้ซื้ออ่านกันทั่วถึง จนกระทั่งพิมพ์เรื่องเขย่าขวัญ หรือเรื่องราวของผีๆ สางๆ ออกมาเกือบร้อยปี ก่อนหน้าเราจะทำแบบนั้นมั่ง เมื่อความเจริญของประเทศทางตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาในยุคต้นรัตนโกสินทร์

ถือว่าเป็นอิทธิพลของต่างชาติ เกี่ยวกับความเจริญทางด้านการพิมพ์ ที่ทำให้เกิดการอ่านเรื่องผีพ่วงตามเข้าไปด้วย

ทำไมถึงเรียกว่าผีอินเตอร์?

สาเหตุเพราะคนไทยได้รู้จัก "เคาต์แดร๊กคิวล่า" ชายสูงศักดิ์ชาวโรมาเนีย อุปนิสัยน่าเกลียดน่ากลัวมาก เพราะพี่แกเล่นดูดดื่มเลือดมนุษย์เป็นอาหาร โดยเฉพาะเลือดสดๆ จากลำคอสาวๆสวยๆ (ที่เห็นในภาพยนตร์น่ะ) เป็นที่โปรดปรานของท่านเคาต์นักเชียว หาเลือดสาวไม่ได้จริงๆ ถึงจะยอมดูดเลือดผู้ชาย

นักวิทยาศาสตร์สมัยนี้ก็บ้าจี้ เชื่อว่าเคาต์แดร๊กคิวล่ามีตัวตนจริงๆ ถึงกับจะทำโคลนนิ่งกันแน่ะ

ผู้เขียนเคาต์แดร๊กคิวล่าจนดังระเบิดโลกก็คือ แบรม สโต เกอร์ พิมพ์เมื่อไหร่ขายดีเมื่อนั้น สร้างหนังทีไรก็เรียกแฟนได้แน่นโรงเหมือนเรื่องแม่นากพระโขนงของเรา

ไหนจะเรื่องผีดิบ "แฟรงเก้นสไตน์" ที่เขย่าขวัญสั่นประสาทคนดูพอๆ กับเรื่อง "ดร.เจนกินส์กับมิสเตอร์ไฮด์" ของโรเบิร์ต หลุยส์ สตีเวนสัน หรือเรื่อง "ความพินาศของตระกูลอัสเชอร์" ของราชาเรื่องผี เอ็ดการ์ อัลลัน โป...อ่านทีไรเป็นขนหัวลุกตั้งทุกทีไป!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 28 ตุลาคม 2552

26 ธันวาคม 2556

ปีศาจนิยาย (4)

สุวรรณี สุคนธา นักเขียนเจ้าของรางวัล ส.ป.อ.จากเรื่อง "เขาชื่อกานต์" สนิทสนมกับผม จนไปโดนผีหลอกด้วยกันที่ถนนสุโขทัยเมื่อราว 40 ปีก่อน คงจะถูกบรรณาธิการชักชวนให้เขียนปีศาจนิยาย ก็เลยมาปรึกษาหารือทำนองว่าไอ้เรื่องผีๆ สางๆ นี่มันเขียนยากมั้ย? ตัวเอง!

คงเห็นผมกำลังปั่นเรื่องผีขายดิบขายดีในนามปากกา "ใบหนาด" ละมั้ง? ผมก็ตอบไปตามที่สัตย์ที่จริงว่า จะว่ายากก็ยาก ก็จะว่าง่ายก็ง่าย ยิ่งนักเขียนที่กลัวผียิ่งเขียนง่ายขึ้นอีกตั้งพะเรอ

ว่าแต่ "เจ๊แต๋ว" กลัวผีหรือเปล่าล่ะ?

สุวรรณี สุคนธา ค้อนขวับๆ ตอบว่า...จะบ้าเหรอ? ผู้หญิงที่ไหนยะไม่กลัวผีน่ะ? คืนนั้นยังต้องขอร้องให้เธอไปส่งถึงบ้านเลยเพราะเพิ่งโดนผีหลอกด้วยกันมาหยกๆ

ผมเลยทำท่าทำทางให้ดูคล้ายนักเขียนใหญ่ ก่อนจะบอกเสียงเคร่งขรึมให้ดูน่าเชื่อถือหน่อย ตามที่เคยเห็นหลายๆ คนชอบกระทำกัน...ว่าถ้างั้นสบายมาก เจ๊เป็นคนพิษณุโลก ติดๆ กับสุโขทัยอยู่แล้ว ใช้ฉากที่นั่นแหละ เพราะมีบรรยากาศโบร่ำโบราณ ชวนให้เยือกเย็นวังเวงใจดี

พระเอกเป็นคน นางเอกเป็นผี อย่าง "ภูตพิศวาส" ของ "รพีพร" นั่นปะไร!

เรื่องฉากนี่สำคัญมากสำหรับเรื่องผี (จำมาจากคำสอนของ ครูเหม เวชกร) ถ้าใช้ฉากพัฒน์พงษ์ หรือสยามสแควร์ สี่แยกราชประสงค์ตอนเที่ยงวัน! ถ้าไม่กินยาผิดซองก็อย่าอุตริเขียนเรื่องผี หรือผีหลอกตอนนั้นดีกว่า เดี๋ยวก็เหนื่อยไม่เสร็จ

อ้อ! แล้วอย่าลืมเรื่องกลิ่นธูปควันเทียน หรือกลิ่นดอกไม้ประเภทดอกซ่อนกลิ่น ดอกสร้อยทองล่ะ...ไหนๆ เจ๊ก็อยู่บ้านในซอยเปลี่ยวใกล้วัดสร้อยทอง พระรามหกนี่นา โดยเฉพาะเสียงหมาหอนอย่าให้ขาดเชียว ตอนผีกำลังจะออกโรงน่ะ อย่าลืมซะล่ะ!

...ว่าแต่เจ๊ช่วยบอกเคล็ดลับมั่งซี ว่าเขียนแบบไหนถึงจะได้รางวัล ส.ป.อ. กะเค้ามั่ง? อยากเอาไปดูเล่นน่ะ ไม่ใช่อะไร

สุวรรณี สุคนธา หัวเราะกลิ้ง แทบน้ำหูน้ำตาไหล บอกว่าเขียนหนังสือบ้าๆ บอๆ อย่างเธอน่ะ อย่าไปคิดถึงเรื่องรางวี่รางวัลอะไรกับเขาเลยน่า...ประสาท!

ไม่ช้าไม่นาน เจ๊แต๋วก็บรรเลง "สามเงา" ออกมา ดูเหมือนจะลงในนิตยสาร "นพเก้า" ของ คุณปรีชา เหตระกูล เสร็จสรรพก็รวมพิมพ์เป็นเล่มปกแข็ง 2 เล่มจบตามสมัยนิยม เซ็นหนังสือให้เรียบร้อย แต่ไม่รู้ว่าเล่ม 1 สูญหายไปไหนหลายปีแล้ว

ทั้งสุวรรณี สุคนธา และคุณปรีชา เหตระกูล ยอดปิยมิตรของผมทั้งคู่ ล้มหายตายจากไป 20 กว่าปีแล้ว...ไม่เคยมาเข้าฝันบอกหวย...เอ๊ย! เล่าสู่กันฟังมั่งเลยว่าโลกหน้าเป็นยังไงมั่ง? ปล่อยให้ บุญเสมอ แดงสังวาลย์ นั่ง เทียนเขียน "ตายแล้วมาทางนี้" กับ "ตายแล้วจะไปไหนไหน" ยังกับเคยตายมาแล้วยังงั้นแหละเอ้า!

แต่คนอ่านบอกว่าสนุกดีแฮะ เรื่องราวของชาวไร้ร่างสารพัดรูปแบบนี่น่ะ...อ่านแล้วบริหารคอดี! คือต้องคอยหันซ้ายหันขวาด้วยความหวาดระแวงอยู่เรื่อยๆ ว่าจะมีใครมาแอบอยู่ข้างหลัง แล้วถอนหายใจรดต้นคอหรือเปล่า?

ปีศาจนิยายไม่เคยตาย! ยืนยงคงกระพันตลอดมา...มีแต่คนเขียนเท่าที่ต้องล้มหายตายจากกันไปเป็นธรรมดา

คำพูน บุญทวี นักเขียนรางวัลซีไรต์คนแรกของเมืองไทยจากเรื่อง "ลูกอีสาน" อันลือลั่น ไหนจะ "นายฮ้อยทมิฬ" ที่เป็นละครทีวี เคยเล่าให้ฟังว่า...เขียนเรื่องผีมาไม่มากแค่ห้า-หกร้อยเท่านั้นแหละ โอ้โฮ!

แพร โสภิณ (แสวง สิงห์โสภณ) นักเขียนที่โด่งดังจากค่ายฟ้าเมืองไทยก็ชอบเขียนเรื่องผี รายนี้มาแปลกที่ชอบนอนคว่ำเขียนหนังสือ ใช้หมอนรองอก เขียนเรื่องได้รอบตัวไม่แพ้รุ่นใหญ่

พี่คำพูนนี่แหละที่เล่าให้ฟังว่า วันดีคืนดี แพร โสภิณ กำลังนอนเขียนเรื่องผีตอนกลางวันแสกๆ เกิดเผ่นผลุงขึ้นมาร้องเอะอะโวยวาย วิ่งอ้าวออกจากบ้านพักหน้าตาตื่น ร้องตะโกนลั่นๆ ว่า "ผีหลอก! ช่วยด้วย...ผีหลอกโว้ย..."

ไม่รู้ว่าโดนเข้าจริงๆ หรือเกิด "อิน" กับเรื่องผีที่กำลังปั่นเหย็งๆ อยู่นั่นจนเกิดอุปาทานกันแน่...แหม! เกือบลืมนักเขียนเรื่องผีใหญ่มหึมาซะแล้วซี!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน 2552

24 ธันวาคม 2556

ปีศาจนิยาย (3)

เมื่อเรื่องผีกลายเป็นเรื่องยอดฮิตติดตลาด นักเขียนส่วนใหญ่ก็เขียนเรื่องผีกันเอิกเกริก ตั้งแต่สมัยก่อนต่อเนื่องกันมาอีกหลายสิบปี ได้รับความสำเร็จมากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่ความถนัด หรือฝีมือของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน

เรื่องนี้นักเขียนที่มากความสามารถ เขียนเรื่องได้รอบตัวประเภท "เมื่อปากกาอยู่ในมือข้าพเจ้า ท่านจะเป็นใครก็เร่งเข้ามา" ถือว่าได้เปรียบกว่าคนที่ถนัดแนวใดแนวหนึ่งโดยเฉพาะ

ป.อินทรปาลิต ผู้เป็นอมตะจากหัสนิยายชุดสามเกลอ นอกจากจะเขียนเรื่องผีๆ สางๆ ในหนังสือชุด "ศาลาปีศาจ" ก็ยังเคยเขียนเรื่องผีหลายเรื่องให้ผม รวบรวมกับนักเขียนอีกหลายๆ ท่าน จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นเมื่อ พ.ศ.2510

พ็อกเกตบุ๊ก "ภูตผีปีศาจ" กับเล่มใหญ่ปกแข็ง "เปิดกรุผี" นำขบวนโดยคึกฤทธิ์ ปราโมช เขียน "เรื่องผีผี"

อุษณา เพลิงธรรม นักเขียนแนวโรแมนติก-อีโรติก ก็เขียน "ทับนาง" อ่านแล้วขนลุกขนชันอย่าบอกใครเชียว

เพ็ญแข ศุกรสูยานนท์ นักเขียนแนวเดียวกันเจ้าของผลงานรวมเรื่องสั้นอื้อฉาว (สำนวนสมัยก่อน) "เมื่อคืนนี้มีผู้หญิงกับผู้ชาย" ก็เขียนเรื่อง "ผีสุภาพ"

"นายรำคาญ" นักเขียนหัสนิยาย หรือเรื่องตลกรุ่นใหญ่ไล่ๆ กับ "ปิงปอง" อ.ร.ด."นายกล้าหาญ" ก็เขียนเรื่องผีแนวตลกเรื่อง "จุมพิตาอ่านเรื่องผี"

สุจิตต์ วงษ์เทศ เจ้าของ "ขุนเดช" อันเลื่องบันลือ รู้ว่าผมรวบรวมเรื่องผีเป็นเล่มใหญ่ปกแข็ง ก็กระวีกระวาดคว้ากระดาษวาดอักษรแต่โดยพลัน แต่เห็นชื่อเรื่องก็ขนหัวลุกกรูเกรียวแล้วครับ คือ "วิญญาณดึกดำบรรพ์ที่สุโขทัย"

อย่าว่าแต่นักเขียนใหญ่น้อยที่โด่งดัง ขนาดนักเขียนการ์ตูนยิ่งใหญ่มหึมายังโดดเข้ามาร่วมวง วางพู่กัน หยิบปากกาบรรเลงเรื่องผีด้วยนี่นา

ประยูร จรรยาวงษ์ หรือ "ศุขเล็ก" ราชาการ์ตูนระดับรางวัลแม็กไซไซเขียนเรื่องผีๆ สางๆ ให้ ตั้งชื่อเรียบๆ ง่ายๆ แต่เห็นปุ๊บก็เข้าใจปั๊บทันที คือเรื่อง "ผีหลอก"

ปีศาจนิยายได้รับความนิยมจากแฟนๆ หนังสือขนาดไหนคงไม่ต้องบอกก็ได้นะครับ

เมื่อคนอ่านชอบเรื่องผีขนาดนี้ เรื่องผีๆ สางๆ ก็ต้องออกมาสะพรึบสะพรั่งแทบจะล้นแผงเป็นธรรมดา

ไม่ว่านักเขียนดังมากหรือดังน้อย รวมทั้งนักเขียนโนเนมที่เขียนเรื่องสั้นแนวอื่นๆ ไม่ว่าแนวบู๊ล้างผลาญ หรือเพ้อฝันหวานหวานแหวว รวมทั้งเรื่องประเภทเบื้องหลังสังคมที่เคยขายดิบขายดี แต่มาตอนนี้กลับขายอืดเป็นเรือเกลือ สำนักพิมพ์บางแห่งก็แนะนำให้ลองเขียนเรื่องผีดูบ้างปะไร!

นอกจากสำนักพิมพ์จะเร่งผลิตเรื่องผีในรูปเล่มพ็อก เกตบุ๊ก เหมาะสำหรับคนเบี้ยน้อยหอยเล็กกันอย่างแพร่หลาย นิตยสารรายสัปดาห์เด่นๆ อย่าง บางกอก สกุลไทย ศรีสยาม นพเก้า สายฝน ฟ้าเมืองไทย ฯลฯ หรือจะพูดกันให้ถึงที่สุดก็คือ นิตยสารแทบทุกฉบับมักจะมีปีศาจนิยาย ไม่ว่าเรื่องยาวหรือเรื่องสั้นลงเป็นประจำ...เพราะบรรณาธิการรู้อกรู้ใจผู้อ่านดีว่ากำลังต้องการเสพสมกับเรื่องแนวไหน

"บ้านวังแดง" ของ "อรอนงค์" ก็ทำให้ยอดขายของบางกอกพุ่งกระฉูด "แก้วขนเหล็ก" กับ "ทายาทอสูร" ของตรี อภิรุม ดังระเบิดจนกลายเป็นละครวิทยุ ต่อมาเป็นหนังใหญ่โกยเงินอั๊กๆ ก่อนจะกลายเป็นละครทีวี

"ทายาทอสูร" น่ะเป็นคนละครทีวีหลายครั้งหลายคราแล้ว คุณยายวรนาฏ เสน่ห์แรงเหลือหลาย คุณชไมพร จตุรภุช ทั้งแสนสวยทั้งสง่างาม แต่นัยน์ตาที่เคยหวานใสในเรื่องอื่น แต่เรื่องนี้กลับเหี้ยมเกรียมแบบเลือดเย็น เล่นเอาคนดูขนหัวลุกกันเป็นทิว

ล่าสุดได้คุณสินจัย หงษ์ไทย เป็นคุณยายวรนาฏ บทบาท เฉียบขาดชนิดไม่รู้ว่าใครเหนือกว่าใครเรียกว่ารักพี่เสียดายน้องก็แล้วกันโดยไม่เกี่ยวกับเพลง "บัวตูม-บัวบาน" ของหลวงพี่ พร ภิรมย์ แต่ประการใด สาบานให้ก็ยังได้ เอ้า!

เจอะเจอปีศาจแสนสวยเสน่ห์แรงเหลือหลายแบบนี้ พวกผู้ชายล้วนแต่คิดตรงกันหมดว่า...จะตายก็ไม่ว่า ขอชีวิตไว้ก็แล้วกัน!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 13 พฤศจิกายน 2552

22 ธันวาคม 2556

ปีศาจนิยาย (2)

ผมมีโอกาสได้ไปพบ ครูเหม เวชกร ที่บ้านถนนตากสินเมื่อราวปี 2510 เมื่อครูเหมรู้ว่าผมเป็นแฟนเรื่องผีของท่านชนิดจับกระดูก ก็ได้กรุณาสละเวลามาพูดคุยเรื่องผีๆ สางๆ กับเด็กคราวลูกคราวหลานโดยไม่ถือเนื้อถือตัว หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส บ่งบอกว่าอารมณ์ดีเหมือนเกิดมาไม่เคยโกรธเคืองใครเลยก็ว่าได้

แถมแนะนำกลเม็ดเด็ดพรายในการเขียนเรื่องผี หรือ "ปีศาจนิยาย" ให้อีกด้วย

"จะได้ช่วยกันเขียนเรื่องแนวนี้บำเรอผู้อ่านต่อๆ ไป" ครูเหมว่า

กลเม็ดที่ว่านั้นก็คือ ต้องสร้างฉากให้สมจริงไม่ใช่เลื่อน ลอยชนิด "ณ ตำบลเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่งในภาคเหนือ" ก็จะไม่น่าเชื่อถือใดๆ ทั้งสิ้น แต่ควรจะระบุบอกให้ชัดเจนว่าเป็นตำบลใด อำเภอไหน จังหวัดอะไร

ยิ่งถ้าได้ชื่อหมู่บ้าน ชื่อวัด รวมทั้งถนนหนทางและร้านรวงต่างๆ ก็จะยิ่งดูสมจริงสมจังมากขึ้น เพราะคนอ่านที่อยู่ไกลลิบลับจากฉากนั้นๆ ก็เกิดความเชื่อถือว่าคงเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงๆ ส่วนคนที่อยู่ในจังหวัดหรืออำเภอนั้น แม้แต่ใกล้เคียง ก็อาจจะรู้จัก หมู่บ้าน ตำบล หรือวัดนั้นวัดนี้ที่เราเขียนถึงเสียเป็นส่วนใหญ่

อ้อ! มีฉากจริงๆ แฮะ...เรื่องราวที่เกิดขึ้นคงจะเป็นเรื่องจริง เพียงแต่เราไม่ได้ข่าวคราวมาก่อนเท่านั้นเอง!

ต่อจากเรื่องฉากก็ต้องเน้นที่ความน่ากลัว "ครูเหม" นิยมใช้คำว่า "บรรยากาศเยือกเย็น ชวนให้วังเวงใจ" แต่เรื่องนี้ก็ต้องขึ้นอยู่ที่ความช่ำชองจากการเขียนบ่อยๆ เข้าไว้

ฝีมือใครฝีมือมัน ว่างั้นเถอะครับ

ย้อนไปเมื่อ เหม เวชกร เขียน "ผี!!" กับเรื่องต่อๆ มาขายดิบขายดีเป็นว่าเล่น ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 อุบัติไม่นานนัก เหม เวชกร ได้เขียนเรื่องผีเล่มพิเศษเป็นรวมเรื่องสั้นค่อนข้างหนา พิมพ์เป็นปกแข็งเล่มแรก

"อสุรกาย" คือหนังสือที่ว่า

"ผี!!" ว่าโด่งดังแล้ว "อสุรกาย" กลับดังระเบิดเถิดเทิงกว่าเป็นไหนๆ

สมัยสงครามกระดาษหายากพอๆ กับทองคำ ต้องใช้กระดาษสาสีเหลืองหยาบมาพิมพ์หนังสือแก้ขัด พอจะประโลมใจผู้คนให้คลายทุกข์จากความฝืดเคืองยากเข็ญของสงครามไปได้บ้าง ครูเหมเคยแยกไปตั้งสำนักพิมพ์ "คณะเหม" อยู่พักหนึ่ง พิมพ์งานของนักเขียนใหม่ผู้ดังระเบิดในเวลาต่อมาในนามปากกา ไม้ เมืองเดิม

สงครามเลิก กระดาษดีๆ เข้ามาได้สะดวก "อสุรกาย" ของ เหม เวชกร ก็พิมพ์ใหญ่ คราวนี้พิมพ์แล้วพิมพ์อีกเพราะขายดีไม่เลิกรา ช่วงหลังๆ บรรณาคารเอามาพิมพ์ใหม่เป็นหนังสือปกอ่อนหลายเล่ม ครั้นหมดชุดก็ไปขอให้ครูเหมเขียนเรื่องใหม่มาทยอยพิมพ์ออกวางแผงเรื่อยๆ จนครูเหมถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2512

เมื่อราว 20 ปีก่อน สำนักพิมพ์บันดาลสาส์นนำมาพิมพ์ซ้ำ แบ่งเป็นเล่มเล็กๆ ราวร้อยกว่าหน้าได้ประมาณ 10 เล่ม เช่น เรื่อง หมอผี, ไปฝังศพ, เมื่อแม่วันทอง, ก็ผีน่ะซี และวิญญาณพเนจร เป็นต้น ราคาเล่มละ 15 บาท ปรากฏว่าขายดิบขายดีไม่แพ้พิมพ์หนแรก

ล่าสุด สำนักพิมพ์ดอกหญ้านำเรื่อง "อสุรกาย" หรือชุด "ปีศาจไทย" ออกมารวมพิมพ์เป็นเล่มหนาๆ ได้อีก 3 เล่ม

ที่น่าสนใจไม่แพ้เรื่องสยองขวัญในเล่ม ก็คือคำนำเปิดอกของครูเหมในชื่อ "จุดประสงค์" ลองอ่านท่อนท้ายดูหน่อยปะไร

"สำหรับการประพันธ์เรื่องปีศาจของไทยของผู้เขียนนี้ จุดประสงค์อยู่ที่ว่าจะชี้ให้ท่านผู้อ่านเห็นว่าการประพันธ์มีหลายแนว และเรื่องชนิดนี้ก็เป็นอีกแนวหนึ่งของการประพันธ์ มิได้มุ่งหวังให้ท่านเชื่อว่าผีมีจริง เพราะการเชื่อไม่เชื่ออยู่แต่ละบุคคล"

คุณอาจินต์ ปัญจพรรค์ นักเขียนอาวุโสเป็นแฟนครูเหมมาดึกดำบรรพ์ เคยเล่าให้ผมฟังว่าครูเหมเขียนเรื่องผีสนุกทุกเรื่องก็ว่าได้ แต่เรื่องที่ถือว่าสุดยอดก็คือเรื่องของหนุ่มขี้เหงาที่ชอบเปิดวิทยุฟังยามค่ำคืน อาศัยเป็นเพื่อนแก้เหงาเพราะสมัยนั้นยังไม่มีทีวี

...ก็เลยได้พูดคุยกับพิธีกรสาวทางโทรศัพท์ เป็นที่ถูกอกถูกใจกันเป็นอย่างยิ่ง จนถึงกับต้องคุยกันเป็นประจำทุกคืน ชีวิตของหนุ่มขี้เหงาก็หายเหงา ของสำคัญที่ชีวิตหนุ่มขาดหายไปก็ดูเหมือนจะเอ่อเต็มขึ้นมา

ถึงตอนจบกลับไม่มีเสียงหวานๆ ของสาวผู้นั้นอีกแล้ว แต่กลายเป็นเสียงของสาวอื่นดังขึ้นแทน ชายหนุ่มฟังจนทนไม่ไหว เพราะความคิดถึงคะนึงหาเจ้าของเสียงคนเดิมเสียนี่กระไร เลยโทรศัพท์ไปหา แต่ปรากฏว่าสาวคนใหม่ที่จัดรายการแทนเป็นผู้รับสาย

เมื่อถามถึงสาวคนเดิมที่เคยคุยกันทุกคืนก็ได้รับคำตอบสั้นๆ ว่า...เธอไปเกิดแล้วค่ะ!

ใครเจอะเจอเข้าแบบนี้ขนแขนไม่สแตนด์อัพขึ้นมาโด่เด่ก็เห็นจะผิดที! บรื๋อออ.....

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 12 พฤศจิกายน 2552

20 ธันวาคม 2556

ปีศาจนิยาย (1)

เรื่องภูตผีปีศาจประเภทผีหลอกวิญญาณหลอน เป็นของคู่กับมนุษย์มาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ โดยเฉพาะผีไทยนี่วิจิตรพิสดารเหลือหลาย มีมากมายหลายหลากที่สุดในโลก ดังที่ได้แยกประเภทต่างๆ ไว้ในตอนแรกๆ

เผลอๆ ยังอาจหลงลืม จนหายหกตกหล่นไปอีกหลายชนิดก็เป็นได้

โดยเฉพาะเปรตนี่ยังไม่เคยได้ยินว่าชาติไหนจะมีอสุรกายสูงโย่งเย่งยิ่งกว่าเสาไฟฟ้า หรือใครเคยได้ยินฟังก็ช่วยบอกกล่าวกันบ้างก็จะเป็นพระเดชพระคุณอย่างยิ่ง

เมื่อมีการพิมพ์เผยแพร่เข้ามาในสยามประเทศ จึงมีการเขียนเรื่องภูตผีขึ้นมา

คุณวิจารณ์ ศตสุข อักษรศาสตรบัณฑิตรุ่นเดียวกับจิตร ภูมิศักดิ์ สนอกสนใจเกี่ยวกับเรื่องราวที่เกี่ยวกับภูตผีปีศาจนานาชาติ สะสมหนังสือสารคดีและนิยายเกี่ยวกับ "ผู้ไม่มีร่างกาย" ไม่ว่าผีฝรั่ง ผีแขก ผีจีน ผีญี่ปุ่นและผีไทยเอาไว้มากมาย เคยเล่าให้ผมฟังว่า...เริ่มแรกเป็นบันทึกเรื่องราวของภูตผีปีศาจที่เล่าต่อๆ กันมา ตั้งแต่ผีที่มีชื่อเสียงอย่างแม่นากพระโขนง หรือผีสางนางไม้ทั้งหลายที่คิดว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น น่ากลัว จนถึงชวนให้สยดสยองพองขน เช่น ผีตายโหง ผีตายทั้งกลม ผีป่า รวมทั้งผีพยาบาทและผีที่มาขอส่วนบุญ เป็นต้น

เรียกว่าเป็นผีจริงๆ ไม่ใช่ผีหลอกๆ แม้ว่าจะเป็นผีที่มาหลอกหลอนให้ผู้คนอกสั่นขวัญกระเจิงก็เถอะน่า

หรือจะเรียกว่าเป็น "สารคดีปีศาจ" ก็คงได้!

หนังสือที่ว่านั้นเป็นการบันทึกเรื่องจริงที่เล่าสู่กันฟัง เรื่องไหนสนุกสนาน หรือน่าสะพรึงกลัวก็จะนำมาบันทึกไว้ เป็นที่ชอบของผู้อ่านที่มีรสนิยมในเรื่องผีๆ สางๆ ซึ่งส่วนมากมักจะกลัวผี และยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน มีส่วนน้อยที่ยืนยันว่าไม่กลัวผีเลย แม้ชอบอ่านเรื่องผี...ใครจะทำไม?

นายพันโท พระพินิจสารา เป็นผู้รวบรวมสารคดีปีศาจดังกล่าว จัดพิมพ์เมื่อประมาณปี 2470

ต่อมา เมื่อคุณเวช กระตุฤกษ์ ได้ก่อตั้งสำนักพิมพ์เพลินจิตต์ขึ้นที่แม้นศรี ตรงข้ามวัดสระเกศ ในพ.ศ. 2475 ได้จัดพิมพ์นิยายซึ่งสมัยนั้นเรียกว่า "เรื่องประโลมโลกย์" ราคาเล่มละ 10 สตางค์ ปรากฏว่าขายดีเหมือนเอาไปทิ้งแม่น้ำครั้งละ 2-3 หมื่นเล่ม ขณะที่นิยายซึ่งถือว่า "ชั้นสูง" ราคาเล่มละ 1 บาท สำนักพิมพ์จะพิมพ์เพียง 1 พันเล่มเท่านั้น

เล่มไหนขายได้ 5-6 ร้อยเล่มก็ถือว่าขายดีเต็มทีแล้ว!

...ยกเว้นแต่จะเป็นนักเขียนชื่อเสียงโด่งดัง แฟนๆ ติดเกรียวกราวอย่าง "ศรีบูรพา" "ดอกไม้สด" "หม่อมเจ้าอากาศ ดำเกิง" จึงจะพิมพ์ 2 พันเล่ม แถมขายได้เกือบหมดหรือต้องพิมพ์ซ้ำอีกต่างหาก

มีการสบประมาทกันเองว่านักเขียน 10 สตางค์ เป็น "นักเขียนตลาด" หรือ เขียนให้แม่ค้าอ่านเท่านั้นแหละ

แต่นักเขียน 10 สตางค์ที่ชื่อ เหม เวชกร นี่เองที่เป็นคนเขียนเรื่องผีๆ สางๆ ในรูปแบบนิยาย หรือจะเรียกว่า "ปีศาจนิยาย" เป็นคนแรกของไทยเมื่อปี 2478

"ผี!!" โดยเหม เวชกร จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์เพลินจิตต์

มีพล็อตเรื่องแบบเรื่องสั้น มีตัวละคร มีฉากที่น่าเชื่อถือ มีบรรยากาศที่ชวนให้เยือกเย็นวังเวงใจ โดยเฉพาะต้องมีผู้ไร้ร่างกายมาปรากฏ บางเรื่องอาจมีเพียงกลิ่นหรือเสียงแปลกประหลาดน่าสะพรึงกลัว หรือไม่ก็คุยกันเป็นนานสองนานถึงได้รู้ว่าคุยกับผี

ขายดิบขายดีขายดีชนิดวางแผงพรึ่บเดียวเกลี้ยง!

ต้องพิมพ์ซ้ำพิมพ์ซากหลายครั้งหลายหน เพราะผู้อ่านที่ชอบเรื่องแนวนี้หาซื้ออ่านกันเป็นว่าเล่น ปากต่อปากบอกต่อๆ กันไปว่า "ผีเหม" สนุกนักหนา

เหม เวชกร เลยเขียนเรื่องผีๆ สางๆ ออกมาอีกหลายเล่ม พร้อมกับเขียนภาพปกและภาพประกอบด้วยฝีมือล้ำเลิศระดับบรมครูเองอีกด้วย คนอ่านไม่ว่าจะดูรูปหรืออ่านเรื่องก็จะมีอาการขนลุกขนชันด้วยความหวาดกลัว แต่ชอบบรรยากาศเยือกเย็นวังเวงใจ หรือชอบขนลุกขนพองจับกระดูกเสียแล้ว...ยิ่งขนลุกบ่อยๆ ยิ่งดี

เดี๋ยวนี้มีสำบัดสำนวนสวิงสวายตามยุคสมัยว่า...อ่านแล้วรับรองว่าขนแขนสแตนด์อัพทันใด!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 11 พฤศจิกายน 2552

18 ธันวาคม 2556

ธรรมเนียมผีไทย (5)

ขั้นตอนต่อมาก็คือการล้างหน้าศพ!

ก่อนจะถูกเผาให้วอดวายกลายเป็นเถ้าถ่านอยู่รอมร่อ โดยสัปเหร่อผู้ยืนจังก้าอยู่บนเมรุ ใช้มีดผ่ามะพร้าวฝีมือช่ำชองขนาดฉัวะเดียวขาดกลาง แล้วเทน้ำมะพร้าวราดหน้าศพ บางรายก็จะใช้น้ำที่เหลือรดราดแบบสาดไปตามเนื้อตัวของศพ ที่นอนพนมมือประกบดอกไม้ธูปเทียนมัดด้วยสายสิญจน์...ราวกับจะเป็นขอขมาลาโทษเป็นครั้งสุดท้าย

รวมทั้งเอาไปกราบไหว้บูชาท่านผู้เป็นใหญ่ในภพหน้า

เนื้อมะพร้าวสองซีกในกะลา ก็โยนให้ญาติมิตรของผู้ตายที่ยืนร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างๆ เมรุไปแบ่งกันกิน ถือซะว่าเป็นลาสต์ซัปเปอร์ละกัน

...เสร็จสรรพก็จัดการพลิกศพให้นอนคว่ำ บางทีก็มีการหักแขนหักขาน่าเสียวไส้ ก่อนจะใช้ฟืนในเมรุนั่น แหละมาทับศพไว้ราว 5-6 ท่อน เพื่อป้องกันมิให้ศพนั้นลุกทะลึ่งตึงตังขึ้นมาตอนที่ไฟกำลังโหมไหม้คึ่กๆ เพราะเส้นเอ็นเกิดปฏิกิริยากับความร้อน จนทำให้คนขวัญอ่อนเป็นลมเป็นแล้งกันมานักต่อนักแล้ว

ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการราดน้ำมันก๊าด จุดไฟลุกคึ่กๆ ขึ้นมา

ไม่ช้าควันสีดำก็พวยพุ่งจากปล่องหลังคา ท่าม กลางเสียงร้องไห้ระงมของญาติสนิทมิตรสหาย โดยมีสัปเหร่อล่าถอยหลบความร้อนในระยะห่างพอสมควร คอยถือไม้ไผ่ท่อนยาวๆ คอยเขี่ยฟืนที่ยุบลงมาบ้าง สาดน้ำใส่ไฟที่ทำท่าว่าจะร้อนแรงเกินไปบ้าง

...เดี๋ยวเกิดฟืนถูกเผาหมดก่อนศพจะเหลือแต่กระดูก ก็จะเดือดร้อนวุ่นวายกันไปเปล่าๆ ปลี้ๆ ไม่ควรการ!

ครั้นไฟเริ่มซา แขกเหลือน้อย ญาติมิตรต่างทยอยกันกลับ จนกว่าจะถึงวันรุ่งขึ้นถึงจะนิมนต์พระท่านมาบังสุกุล ชักผ้า ก่อนจะเก็บกระดูกสำคัญ เช่น ส่วนกะโหลกชิ้นเล็กๆ ไปใส่โกศบูชาที่บ้าน

น่าสังเกตว่าวันนั้นถือเป็นวัน "ออกทุกข์" คนไทยที่แต่งกายชุดดำแบบฝรั่งมังค่ามาตั้งแต่วันที่ญาติตาย แต่วันเก็บอัฐิจะแต่งเขียวแต่งแดง ดูสดใสกันเป็นพิเศษ

แต่ใครที่ผูกพันลึกซึ้งกับผู้ตาย จะไว้ทุกข์ต่อไปอีกเดือนสองเดือนก็มี เป็นปีๆ หรือตลอดชีวิตก็มี ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนนั้นๆ โดยไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมากำหนดหรอกครับเรื่องแบบนี้น่ะ!

เมื่อเผาผีกันเสร็จสรรพ ความกลัวผีก็มักติดตามมาไม่ช้าไม่นานนัก

เคยร้องไห้น้ำตาเป็นเผาเต่าวันตาย วันเผา มาตอนนี้ก็ชักทำนัยน์ตาลอกแลก เหลียวซ้ายแลขวาด้วยความหวาดระแวงว่าผีนั้นจะกลับบ้านกลับช่องหรือเปล่า?

แหม! กระดูกก็ยังอยู่ในโกศตั้งเด่น มองเห็นอยู่ทนโท่

โบราณเชื่อกันว่า เมื่อตายไปครบ 3 วัน ผีจะเข้าบ้านเก็บรอยตีนของตน!

แต่เมื่อคนเราเกิดมาเพื่อจะกลัวผีเสียอย่าง ไม่ว่าจะตายไป 3 วันหรือเผาไป 3 วัน ก็อดหวาดเสียวไม่ได้ว่าผีจะตามมาเก็บรอยตีน หรือเยี่ยมเยียนญาติสนิทมิตรสหายโดยเฉพาะ อยู่ในบ้านที่ตัวเองเคยอยู่ก่อนตายหรือเปล่า?

ว่ากันว่า ที่ผีมาเก็บรอยตีนนั้นก็เพื่อจะได้ลืมเลือนว่าตัวเองเคยเป็นใคร? อยู่ที่ไหนมาก่อน เพื่อตัดปัญหาในเรื่องการจดจำรำลึกชาติได้ มิฉะนั้นจะทำให้เกิดความยุ่งยากจนถึงโกลาหลอลหม่านเปล่าๆ ว่าชาติก่อนเคยเป็นพ่อแม่คนนั้น เคยเป็นลูกหลานคนนี้...

ยิ่งมีหลักฐานยืนยันได้ก็จะเกิดความวุ่นวายกันไม่เสร็จสิ้น

...ยกให้เป็นเรื่องของ "สมี" ที่ชอบอ้างว่าเคยเป็นบุตรของอุบาสิกาที่ร่ำรวยนักหนาในชาตินี้ มาตั้งแต่เมื่อชาติก่อนก็แล้วกัน...แถมจำได้ว่ามีแม่หลายคนในหลายๆ ชาติอีกต่างหาก!

ความเชื่อที่ว่าผีมาเก็บรอยตีน ทำให้เกิดการพิสูจน์กันว่าจะเป็นความจริงหรือไม่ ด้วยการใช้แป้งข้าวเจ้าโรยไว้ที่ลานบ้าน เข้าทำนองตำรวจตรวจหาลายมือคนร้าย...บางรายก็ไม่พบเห็นอะไร แต่บางรายยืนยันว่ารุ่งเช้ารีบไปดูก็เห็นรอยตีนตามแป้งนั้นเปรอะไปหมด

แสดงว่าผีเข้ามาเก็บรอยจริงๆ อย่างที่โบราณว่า

เอาจริงเข้าก็เลยไม่ทราบแน่ว่า ผีมาเก็บรอยตีน หรือมาทิ้งรอยตีนไว้กันแน่นะครับ พับผ่า!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 14 ตุลาคม 2552

16 ธันวาคม 2556

ธรรมเนียมผีไทย (4)

คราวนี้มาดูธรรมเนียมทั่วๆ ไปของไทยเกี่ยวกับงานศพที่ตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ รวมทั้งการป้องกันอันตรายจากผีๆ สางๆ ที่เชื่อถือกันมาตั้งแต่โบร่ำโบราณ ถึงแม้ในปัจจุบันนี้จะซาๆ ไปตามยุคสมัย แต่ตามชนบทอีกมากมายก็ยังรักษาขนบเก่าๆ เอาไว้อย่างเคร่งครัดตามสมควร

อย่างแรกก็คือการอาบน้ำชำระล้างร่างกายของผู้ตาย อาจจะถึงกับทาขมิ้นดินสอพองในวันแรก แต่งกายให้อย่างสวยงามหรือเต็มยศใหญ่ ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะได้ไปเกิดใหม่ด้วยความสะอาดสะอ้าน หรือดูภูมิฐานจนท่านผู้เป็นใหญ่ในยมโลกรู้สึกเคารพนับถือ อย่างน้อยก็เกรงเนื้อเกรงใจ ไม่กล้าทำอะไรหักหาญรุนแรงนัก

ผีมีเส้น! ว่างั้นเถอะ

อย่างต่อมาก็คือการซื้อที่ซื้อทางให้ผี ไม่ว่าจะเป็นตอนบรรจุฮวงซุ้ยหรือยกโลงขึ้นเผาบนเมรุก็ตาม

ถ้าเป็นฮวงซุ้ยก็จะใส่เงินไว้ข้างโลงก่อนที่สัปเหร่อจะโบกปูนปิด แต่ถ้าเป็นตอนเผาจี่ก็จะเอาเงินใส่ในโลงก่อนจุดไฟ แต่บางแห่งก็เอาเงินยัดปากเรียกว่า "เงินปากผี" โดยญาติมิตรผู้ใส่เงินนั้นมักจะทำปากขมุบขมิบ หรือบอกกล่าวให้ชัดแจ้งไปเลยว่า...ให้เอาเงินไปซื้อที่ซื้อทาง!

ที่ทางอะไร?

ในเมืองผี หรือโลกของผีมีการซื้อขายที่ดินกันด้วยหรือ?

สาเหตุก็เพราะเชื่อถือกันว่า ป่าช้าทุกแห่งย่อมมีศพมากมายก่ายกอง ตายทับตายถมกันมาไม่รู้ว่ากี่ร้อยกี่พัน อาจจะนับเป็นหมื่นๆ ศพแล้วก็เป็นได้ ขนาดเป็นบ้านช่องหรือที่ทางทั่วไป คนไทยยังเชื่อถือว่ามีเจ้าที่เจ้าทางคอยดูแลอยู่แท้ๆ นี่นา แล้วนี่เป็นป่าช้าน่าสะพรึงกลัวน้อยอยู่หรือนั่น ก็ย่อมจะมี "นายผี" หรือ "เจ้านายของผี" ผู้เป็นใหญ่คอยดูแลคุ้มครองอยู่เป็นมั่นคง

ขืนน้องใหม่โผล่เข้าไปถึงตัวเปล่าๆ ขัดสนเงินทอง ไม่มี "ส่วย" ไปจิ้มก้อง มีหวังถูกขับไล่กระเจิดกระเจิงเป็นสัมภเวสี-ผีไม่มีศาล เที่ยวเร่ร่อนขอส่วนบุญยาไส้ไปวันๆ หรือไม่งั้นก็จะโดนรังแกต่างๆ นานา เหมือนมนุษย์ที่บากหน้าไปอาศัยในบุญเขาอยู่

เออ! มีเงินทองไปจ่ายเป็นค่าที่ทางที่จะต้องอยู่อาศัยไประยะหนึ่ง นายผีก็คงต้อนรับขับสู้ด้วยความเต็มอกเต็มใจแน่นอน

อย่าหลงคิดว่าในเมืองผีไม่ต้องใช้เงินใช้ทองไปเชียว ไม่ว่าผีไทยหรือผีจีนก็ครือกัน เพราะผีไทยต้องใช้เงินซื้อที่ ผีจีนก็ได้อาศัยเงินกงเต๊กที่ญาติมิตรเผาอุทิศไปให้ใช้สอยในเมืองผี จะได้ซื้อสุราอาหาร หรือจับจ่ายยามเที่ยวเตร่โรงน้ำชา โคมเขียวโคมแดงแก้เหงา อ้อ...ไหนจะจิ้มก้องเงี่ยมล่ออ๋อง-ผู้เป็นนายใหญ่ในเมืองผีให้ได้รับความสะดวกสบายอีกต่างหาก

ผีที่ไหนไม่ชอบเงินมั่งล่ะ? พูดเป็นภาพยนตร์อินเดียไปได้ ภาษิตจีนยังบอกไว้นี่นาว่า...มีเงินก็ใช้ผีโม่แป้งได้!

เมื่อใส่เงินให้ผีติดตัวไปซื้อที่ซื้อทางแล้ว ก็ยังเผาผีไม่ได้ ทั้งเมรุปูนหรือเมรุลอย (ที่เรียงฟืนเผากันบนดิน) ต้องมีการโปรยทานหรือหว่านเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นเหรียญ 10-20 สตางค์ สมัยก่อน มาถึงเหรียญบาท เหรียญ 5 บาท 10 บาทในสมัยนี้ สุดแท้แต่เจ้าภาพว่าจะมีกำลังมากน้อยเพียงไหน

เชื่อกันว่าคนที่มาแย่งทาน ซึ่งส่วนมากเป็นเด็กวัดหรือเด็กๆ ในละแวกนั้น เมื่อตายไปแล้วจะต้องกลายเป็นทาสรับใช้ผีที่ญาติโปรยทานให้ เหมือนกับเป็นการซื้อตัว หรือเบาะๆ ก็จ่ายมัดจำล่วงหน้า

ดูๆ ไปก็เหมือนกับการ "ตกเขียว" แฮะ!

จากนั้นก็มีการแจกดอกไม้จันทน์ให้ญาติมิตร แขกเหรื่อทั้งหลายนำไปวางที่เมรุหน้าโลงศพ เป็นการขอขมาลาโทษ อโหสิกรรมกันเป็นครั้งสุดท้าย กับขอให้วิญญาณจงไปสู่ สุคติในสัมปรายภพเทอญ

มีการร้องห่มร้องไห้ หรือกรีดน้ำตากันตามธรรม เนียมเพื่อแสดงความโศกเศร้า หรือยืนยันว่านี่เป็นงานศพนะยะ ไม่ใช่งานวิวาห์หรอก จะบอกให้...ปัดโธ่!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 13 ตุลาคม 2552

14 ธันวาคม 2556

ธรรมเนียมผีไทย (3)

อันว่า "ตะปูตอกโลงผีตายโหง" ได้ชื่อว่ามีสรรพคุณหลากหลาย แม้แต่นำมาผสมกับเหล็กอื่นๆ เช่น เจดีย์หัก ยอดโบสถ์วัดร้าง เหล็กน้ำพี้ ฯลฯ แล้วตีเป็นดาบสุดยอดแห่งความคมกริบ ฟันเหล็กขาด ใครหน้าไหนมีของดีวิเศษคุ้มครองปานใดก็ต้านไม่อยู่

บางแห่งถึงกับเรียกขานกันว่า "เทพอาวุธ" ไปโน่นเลย!

นอกจากนั้น พวกหมอไสยศาสตร์ หรือพวก "เล่นของ" ก็นิยมนำมาเสกเป่าแล้วทดลองวิชาอาคมของตนด้วยการ "ปล่อยของ" เกิดเสียงซู่ซ่าเกรียวกราวยามราตรี คนแก่เฒ่าจะสั่งสอนลูกหลานว่า ถ้าใครได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ ในตอนกลางคืน "ห้ามทัก" เด็ดขาด เพราะของจะเข้าตัว เรียกกันว่า "โดนของ" ที่จะทำให้ทนทุกข์ทรมานมาก ถ้าแก้ไขไม่ทันอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ง่ายๆ

บางคนเจ็บไข้กระเสาะกระแสะอยู่เสมอ หรือไม่ก็มีเคราะห์หามยามร้ายเรียกว่า "ซวยตลอดศก" ละกัน ไปหาหมอพระบ้าง หมอผีบ้าง ก็จะมีพิธีตรวจตราว่าโดนของหรือคุณไสย อะไรหรือเปล่า?

นิยมใช้ไข่ไก่เรียกของร้ายๆ ออกมาจากร่างกาย เป็นต้นว่ากระดูกผีบ้าง เส้นผมผีตายโหงบ้าง แต่ตะปูยาวๆ แบบนั้นไข่ไก่เห็นจะรับไม่ไหว ต้องใช้อีกวิธีหนึ่ง คือแป้งข้าวเจ้ามานวดคลึงแล้ววางแผ่ไว้หน้าท้อง เมื่อหมอผีหรือผู้ชำนาญคุณไสย นำแป้งออกมาตรวจตราดูก็จะพบของที่ว่า...รวมทั้งตะปูสนิมเขรอะยาวเกือบคืบอีกด้วย

เชื่อกันว่าโดนของใหญ่ขนาดตะปูตอกโลงผีตายโหงนั่นเชียว!

แต่เรื่องทำนองนี้ก็มีการต้มตุ๋นกันมากมาย พอๆ กับพวกที่หากินทางไล่ผีปอบในภาคอีสานนั่นแหละครับ ฟังหูไว้หูก็ดี อย่าไปหลงเชื่อถือจนกลายเป็นความงมงายก็แล้วกัน เดี๋ยวจะตกเป็นเหยื่อ หรือหมูหวานของพวกมิจฉาชีพไปเปล่าๆ ไม่เข้าการ

ความเชื่อถือที่กลายเป็นธรรมเนียมระหว่างคนเป็นกับคนตายนี่เรื่องเยอะครับ โดยเฉพาะถ้าเป็นผีตายโหงออกจะมากมายเป็นพิเศษ

สาเหตุมาจากคนฆ่าหวาดกลัวว่าวิญญาณของคนที่ตัวฆ่าจะติดตามมาเอาชีวิตเป็นการแก้แค้น หรือศพทวงหนี้ว่างั้นเถอะ! อย่างเบาะๆ ก็คอยหลอกหลอนจนอกสั่นขวัญแขวน ประสาทกินจนถึงสติแตกไปเลย

เวลาฆ่าแกงเขาไม่ยักกลัว แต่ฆ่าคนตายแล้วกลับกลัวผีที่ตัวฆ่าเอง...พิลึก!

ทั้งๆ ที่รู้ว่าสัปเหร่อใช้ตะปูตอกฝาโลง ร่ายอาคมสะกดวิญญาณ หรือไม่ก็แอบว่าจ้างให้กระทำการที่ว่านั้นจนเรียบร้อย แต่ก็ยังไม่กล้าวางใจสนิทอยู่ดี กลัวว่าปีศาจหรือวิญญาณผีตายโหงจะเฮี้ยนจัดด้วยแรงอาฆาต จัดการแหกฝาโลง ลุกทะลึ่งตึงตังออกมาตามล่าตามล้างเพื่อเอาชีวิตชดใช้ให้จงได้

แล้วจะทำยังไงกันดีเล่าหนอ?

อย่างแรกก็คือ ห้อยพระ ปลุกพระให้ท่านคุ้มครองตัวเองเป็นประจำทุกวัน อย่าได้หลงลืมอาราธนาให้ท่านติดตามไปด้วยตลอดวันตลอดคืน

เชื่อพระ นับถือพระ แต่ไหงถึงใจคอโหดร้าย ล้างผลาญชีวิตเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเหมือนผักปลาได้ง่ายๆ ก็ไม่ทราบ? ถามเข้าก็คงตอบว่าเพราะถูกหักหลัง โดนทำร้าย ตอบแทนบุญคุณเจ้านาย หรือไม่ก็ได้รับค่าจ้างก้อนโต จนพลอยตาโต...หลงลืมบาปบุญคุณโทษไปชั่วขณะ

ฆ่าคนตายแท้ๆ พระเจ้าที่ไหนท่านจะมาคุ้มครองเล่า? ปัดโธ่!

นอกจากนั้น ก็ยังมีการห้อยตะกรุด พกยันต์หลวงพ่อนั่นหลวงพ่อนี่ ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าป้องกันโพยภัยได้หมดทุกอย่าง ยันต์ผืนเดียวแผ่นเดียวก็มีสรรพคุณครอบจักรวาลว่างั้นเถอะครับ ป้องกันคมหอกคมดาบ ลูกปืนไม่ได้กิน ลูกระเบิดไม่ได้แอ้ม ภูตผีปีศาจเห็นเข้าเป็นเผ่นอ้าว กลับป่าช้าแทบไม่ทัน...ว่าไปโน่นเลย

มีการเอาเสื้อที่ใส่ไปฆ่าเขา ไม่ว่าจะเปรอะเปื้อนคราบเลือดคนตายหรือไม่ก็ตาม ไปให้หมอพระบ้าง หมอผีบ้าง ที่ขึ้นชื่อลือชาว่าเรืองอาคมนักหนา มีเวทมนตร์คาถาสุดฉมังเหลือหลาย จัดการกระทำพิธีเสกเป่าคล้ายๆ ปัดรังควาน ไม่ให้วิญญาณที่โดนพวกตนฆ่าย้อนมาเล่นงานเอาได้ เผลอๆ ก็กลายเป็นหลักฐานเพิ่มเติมให้ตำรวจยื่นฟ้องศาลอีกด้วย

พูดก็พูดเถอะครับ ถ้ากลัวว่าวิญญาณนั้นจะมาสิงสู่อยู่ในเสื้อของตัววันที่ฆ่าเขา แค่โยนทิ้งก็สิ้นเรื่องสิ้นราวแล้ว ไม่ทราบว่าต้องไปหาหมอผีให้ยุ่งยากมากเรื่องไปทำไม

คิดอีกที คนที่เป็นฆาตกรก็ต้องมีวิธีคิดอะไรแปลกๆ ค่อนข้างพิสดารยังงี้แหละครับ ไม่งั้นจะกล้าฆ่าคนได้ยังไง?

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 12 ตุลาคม 2552

12 ธันวาคม 2556

ธรรมเนียมผีไทย (2)

จากพวงหรีดหน้าโลงก็มาถึงการแต่งกายไปงานศพ

สมัยก่อนคนไทยถือว่างานศพเป็นงานรื่นเริง เช่นเดียวกับงานบวชหรืองานแต่งงาน ขึ้นบ้านใหม่ โกนจุก หรือแม้แต่โกนผมไฟ...นิยมแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีแดงสีเขียว หรือสีเหลืองสีชมพูสดใส มีการร้องรำทำเพลงครึกครื้น เพราะถือคติว่าคนตายพ้นทุกข์จากโลกมนุษย์ ไปเกิดใหม่เป็นเทวดา นางฟ้ากันเป็นทิวแถว

ในปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ตรงกับยุคสมัยพระนางวิกตอเรียของอังกฤษ พระนางวิกตอเรียทรงโปรดแต่งชุดดำเป็นประจำ บรรดาข้าราชบริพารก็ตามแห่ด้วยการแต่งชุดดำโดยเสด็จไปด้วย ไม่งั้นก็ไม่ทราบว่าจะเป็นข้าราชบริพารไปทำไม

ชาวบ้านร้านช่องก็พลอยเห็นดีเห็นงาม แต่งชุดดำเมื่อมีงานศพญาติมิตรเป็นการไว้ทุกข์โดยแพร่หลาย

เมื่อกรุงสยามมีความเจริญเหมือนฝรั่งแล้ว จำเป็นต้องแต่งชุดดำไว้ทุกข์ให้เหมือนฝรั่งไปด้วย โดยเฉพาะเป็นฝรั่งที่จ้องเขม็งจะกล่าวหาใครๆ ว่าด้อยพัฒนา ล้าหลังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน ถือเป็นข้ออ้างในการยึดเป็นอาณานิคม

การแต่งชุดดำในงานศพก็เป็นส่วนหนึ่งของความเจริญ และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้กรุงสยามรอดตัวจากการตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษไป

ก็เจริญรุ่งเรืองกันแทบขาดใจมาจนถึงทุกวันนี้แหละครับ!

นอกจากการเชื่อถือว่าห้ามนำศพที่ตายนอกบ้านเข้ามาตั้งสวดในบ้านอย่างเด็ดขาด ก็มีความเชื่อถือคล้ายๆ กันอีกอย่าง คือ ห้ามนำพวงหรีดเข้าบ้านก่อนที่จะนำไปวัด ถือว่าเป็นอัปมงคลพอๆ กับการกางร่มในบ้าน หรือนอนหันหัวไปทางทิศตะวันตกที่เป็นทิศของการเผาผี ฝังผีโดยเฉพาะ

แวะซื้อพวงหรีดแล้วนำไปวัดเลย หรือจะสั่งให้ร้านนำพวงหรีดของตนไปตั้งที่วัดนั้น ศาลานี้ก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว... ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ดีกว่า

...หรือใครเบื่อโลกอยากลองดีก็ไม่ว่ากัน ขอยุให้ทำแบบบ้าบอคอแตก ท้าทายสุดๆ ไปเลย นั่นคือการเอารองเท้าไปวางไว้ที่หัวเตียง! เรื่องนี้ฝรั่งกับไทยถือตรงกันเป๊ะ ว่าจะทำให้ซวยสุดขีด แถมจะประสบเคราะห์กรรมสาหัสสากรรจ์ภายใน 3 วัน 7 วันอีกต่างหาก

คนไทยนิยมเผาศพแบบฮินดู ผิดกับมุสลิมและจีนที่ฝังศพ หรือทำฮวงซุ้ยสวยงามใหญ่โต ยิ่งร่ำรวยเท่าไรก็ยิ่งทำฮวงซุ้ยมหึมากว้างขวางขึ้นเท่านั้น เพราะธรรมเนียมจีนเชื่อว่าการทำฮวงซุ้ยให้บรรพบุรุษยิ่งใหญ่ ทำเลถูกต้องเหมาะสมกับคำแนะนำของซินแส จะทำให้ลูกหลานประสบแต่ความเจริญรุ่งเรืองต่อๆ ไปไม่มีวันสิ้นสุด แต่ถ้าตรงกันข้ามก็จะทำให้ย่อยยับล่มจมได้ง่ายดาย

แต่คนไทยไม่นิยมเผาศพที่ตายเพราะอุบัติเหตุ ถูกฆ่า หรือฆ่าตัวตาย เรียกกันว่า "ผีตายโหง" อย่างน้อยก็ต้องเก็บไว้กุดังสมัยก่อน หรือในฮวงซุ้ยสมัยนี้ อย่างน้อยก็ 1 เดือนบ้าง 100 วันบ้าง หลายๆ รายเก็บศพไว้เป็นปีก็มี กว่าญาติมิตรจะนำมาฌาปนกิจให้สิ้นเรื่องสิ้นราว

ผู้หญิงคลอดลูกตาย หรือตายทั้งแม่ทั้งลูกที่เรียกว่า "ตายทั้งกลม" ก็จะฝังไว้เนิ่นนาน อาจตลอดกาลจนลืมเลือนไปเลยก็เป็นได้

สาเหตุสำคัญก็เพราะเชื่อว่า ผีตายโหงหรือตายทั้งกลมเป็นการตายก่อนถึงอายุขัย โดยเฉพาะผีตายทั้งกลมที่มีทารกอยู่ในท้อง ถ้านำมาเผาจี่คงจะทุลักทุเล ดูๆ แล้วชวนสลดสังเวชนัก เดี๋ยวไฟกำลังลุกคึ่กๆ แล้วทารกที่ตายไปพร้อมแม่เกิดหลุดผลัวะออกมาในกองฟอน ถลันลุกขึ้นมานั่งหรือยืนจังก้าเพราะเส้นเอ็นพลิกตัว ก็จะทำให้คนขวัญอ่อนเผ่นอ้าวชนิด "ป่าช้าแตก"โดยง่ายดาย

หรืออาจทำให้คนแก่คนเฒ่าเป็นลมเป็นแล้ง หัวใจวายได้...อย่าทำล้อเล่นไป

นอกจากนั้นยังต้องทำพิธีสะกดวิญญาณกันอย่างแข็งขันอีกต่างหาก เพราะความเชื่อว่าผีตายโหงกับผีตายทั้งกลมเฮี้ยนนัก มีฤทธิ์เดชแข็งกล้าน่าขนพองสยองเกล้า ผิดกว่าผีที่เจ็บไข้ตายเองเป็นไหนๆ

สัปเหร่อต้องใช้ตะปูพิเศษตอกฝาโลง พลางร่ายอาคมขลังไปด้วย ป้องกันไม่ให้วิญญาณดุร้ายสาหัสออกจากโลงมาเล่นงาน หรือหลอกหลอนผู้คนจนจับไข้หัวโกร๋นไปตามๆ กันได้สำเร็จ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 9 ตุลาคม 2552

08 ธันวาคม 2556

ธรรมเนียมผีไทย (1)

คนไทยทั่วๆ ไปเชื่อว่า เมื่อคนเราตายไปแล้วก็ต้องกลาย เป็นผีแน่นอน ไม่มีอะไรน่าสงสัยทั้งสิ้น!

ส่วนจะเป็นผีดีหรือผีร้ายก็สุดแท้แต่กรรม คือบุญกุศลบ้าง เวรกรรมที่ได้กระทำไว้เมื่อยังมีชีวิตอยู่บ้าง จะเป็นสิ่งดลบันดาลให้เป็นไปในปรโลก หรือไปสู่ภพภูมิดีชั่ว แล้วแต่วิบากกรรมของแต่ละคน ซึ่งไม่เหมือนกัน

ผิดกับพวกฝรั่งที่เชื่อว่า "ตายแล้วตายเลย" ไม่มีนรก-สวรรค์ ไม่มีการเกิดใหม่ให้ยุ่งยาก ตายเมื่อไหร่เป็นได้ดับสูญไปเมื่อนั้น พวกฝรั่งอั้งม้อทั้งหลายแหล่ก็เลยไม่ค่อยแยแส กับการทำดีทำชั่วเท่าไหร่

ถ้าจะมีอะไรมั่ง ก็ต้องไปรอเอาจนถึงวันพิพากษา หรือวันล้างโลกโน่นแน่ะ!

เมื่อคนไทยเชื่อเรื่องบุญเรื่องกรรม ก็จะพยายามกระทำแต่คุณงามความดี หรือพากเพียรถือศีล 5 ข้อตามคำสอนของพระบรมศาสดา ซึ่งก็ถือศีลที่ว่านั้นได้บ้างไม่ได้บ้าง โดยหวังว่าจะทำให้ชีวิตมีความสุขความเจริญ หรืออย่างน้อยก็สงบสุข ไม่มีอะไรมารบกวนให้เดือดร้อนรำคาญใจ...ตายไปก็ไม่ต้องตกนรก ถ้าถือศีล 5 ได้จริงน่ะ!

แต่ถ้าเกิดพลาดพลั้งผิดศีลข้อใดข้อหนึ่งก็ดี หรือผิดพลาดหลายข้อก็ดี ก็มักจะออกเนื้อออกตัวกับผู้อื่นและตนเองอยู่เนืองๆ ว่า "บุญก็ทำ-กรรมก็สร้าง" เป็นเชิงว่าจะให้บุญกับบาปหักลบกลบหนี้กันไปเลย

ไม่ต้องขาดทุนหรือได้กำไรก็ยังดี-ว่างั้น!

ที่แน่ๆ อีกอย่างก็คือ มีความหวังว่าลูกๆ หลานๆ หรือญาติมิตรทั้งหลายจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ ทำให้ตนเองได้รับส่วนบุญกุศลนั้นในปรโลก ชีวิตใหม่ที่อาจจะยังไม่ได้ตระเตรียมเสบียงกรังอะไรไว้ล่วงหน้า ก็จะได้ไม่ถึงกับเดือดร้อนลำเค็ญนัก เพราะมีคนทำบุญกรวดน้ำไปให้อย่างที่ว่า

ส่วนมากลูกหลานและญาติสนิทมิตรสหายก็มักจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้จริงๆ เสียด้วย...ส่วนพระท่านจะเป็นบุรุษไปรษณีย์ให้หรือไม่ก็อย่ามาถกเถียงกันดีกว่า

คนไทยถือว่าคนที่ตายไปแล้วเป็นผีทั้งนั้น แยกประเภท เป็นผีธรรมดา หรือผีตายโหง ผีตายห่าก็ว่ากันไปอย่างที่เคยเล่ามาแล้ว และคนไทยก็มีวิธีปฏิบัติกับผีต่างๆ ที่เป็นญาติมิตรไม่เหมือนกัน ตามแต่วิธีการตายของแต่ละคนที่กลายเป็นผีนั้นๆ หรือตามความเชื่อถือของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน

ส่วนมากก็จดจำมาจากบรรพบุรุษทั้งนั้นแหละครับ

ลองเรียบเรียงให้เข้าใจง่ายขึ้นก็ยังได้

คนที่ล้มตายนอกบ้านจะไม่นำศพมาเข้าบ้านเป็นอันขาด แต่จะนำไปตั้งบำเพ็ญกุศล สวดศพที่วัดเลย ส่วนจะเป็น 3 วัน 7 วัน 100 วัน หรือแม้แต่ 1 ปีก็สุดแล้วแต่เจ้าภาพแต่ละคนจะเห็นสมควร

หรือพูดกันให้ถึงที่สุดก็คือขึ้นอยู่กับฐานะ หรือกำลังทรัพย์ของเจ้าภาพนั่นเอง!

คนจนตายแล้วก็รีบเผา คนรวยมักเก็บไว้นานหน่อย ให้ผู้คนมากราบไหว้ขอขมาหรือเคารพศพ ยิ่งมากมายเท่าไหร่ก็ถือว่าเป็นเกียรติยศแก่ผู้ตาย หรือเป็นหน้าเป็นตาของลูกหลานมากเท่านั้น ทั้งๆ ที่หลายคนอาจจะมากราบไหว้ศพ พลางร้องห่มร้องไห้ว่าทำไมถึงได้อายุยืนเหลือเกิน! ทู่ซี้ก่อกรรมทำเข็ญให้เพื่อนมนุษย์ได้เนิ่นนานนักหนาก็ไม่ทราบได้

...น่าจะตายไม่ให้หนักแผ่นดินตั้งนานแล้ว ก็เพิ่งจะมาตายเอาตอนนี้เอง! เฮ้อ...

เมื่อมางานสวดศพ ก็จำเป็นต้องมีพวงหรีดติดไม้ติดมือมาด้วย ถ้าเป็นพวงหรีดของคนใหญ่คนโตจะต้องติดไว้หน้าโลงศพ หรือโดดเด่นเป็นสง่า ยิ่งมีหลายพวงหรือหลายคนยิ่งดี เพราะแสดงว่าคนตายหรือลูกหลานคนตายมีหน้ามีตา มีเกียรติยศชื่อเสียงไม่ใช่เล่น ไม่งั้นจะมีคนเรืองอำนาจวาสนา หรือมีชื่อเสียงโด่งดังส่งหรีดมาเคารพศพได้ยังไง? ปัดโธ่!

จากหรีดดอกไม้ ดอกไม้สด ก็พัฒนามาเป็นไม้กระถาง จนถึงผ้าห่มที่นำมาใช้ประโยชน์ได้ดีกว่าหรีดดอกไม้สด ที่มีสนนราคาหลายร้อยบาทจนถึงพันกว่าบาท เมื่อเหี่ยวเฉาหรือเสร็จงานแล้วก็โยนทิ้งไป เหลือแต่โครงที่เก็บไปขายให้ร้านทำหรีดประดับดอกไม้ใหม่เท่านั้นเอง

แต่หลายๆ งานก็ประกาศให้ทราบว่า "งดพวงหรีด" เจตนาก็คือต้องการเงินสดไปทำบุญ บริจาคให้การกุศลต่างๆ ตามแต่ผู้ตายหรือลูกหลานได้ตั้งปณิธานไว้ตั้งแต่ต้น

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 8 ตุลาคม 2552

06 ธันวาคม 2556

มันมาจากนรก

"อำนวย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโคราช

เรื่องแปลกประหลาดและน่าขนลุกขนพองที่สุดในชีวิต เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยผมเป็นวัยรุ่นอยู่ที่โคราช แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่นานมาแล้ว แต่มันฝังอยู่ในความทรงจำของผมไม่มีวันลืม

"พี่เลิศ" เป็นหนุ่มหมู่บ้านเดียวกับผม แกอยู่กับลุงเหลือผู้เป็นพ่อ มีน้องชายชื่อล้ำไปเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ สองพ่อลูกยึดอาชีพทำไร่ทำนาเหมือนกับคนในย่านเดียวกัน

หลังบ้านพี่เลิศเป็นลานกว้าง ถัดไปเป็นกอไผ่กับป่าละเมาะรกร้าง เล่ากันว่าที่นั่นเคยเป็นป่าช้าเก่ามาหลายสิบปีแล้ว แต่เด็กๆ ในหมู่บ้านไม่ค่อยมีใครกลัว ตอนบ่ายๆ เย็นๆ ชอบไปวิ่งเล่นเกรียวกราวกันที่นั่น ตั้งแต่ไล่จับ ซ่อนแอบ จนถึงเตะฟุตบอลกันเฮฮาเป็นประจำ

จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่เลิศเล่าให้พวกเราฟังว่าตอนโพล้เพล้แกออกไปเก็บผักหักฟืนตามปกติ ก็บังเอิญเหลือบไปเห็นเด็กสาวคนนั้นเข้าพอดี!

ไม่ใช่คนในหมู่บ้านเราแน่นอน รูปร่างบอบบาง ผิวขาว ตาดำโต ผมยาวประบ่าแต่งตัวชุดดำเหมือนชาวบ้านทั่วไป เมื่อพูดคุยด้วยก็บอกว่าเป็นคนที่อยู่หมู่บ้านถัดไป...ทางด้านหลังของป่าละเมาะที่รกทึบนั่นเอง

ต่อจากวันนั้น พวกเราก็เห็นพี่เลิศชอบเดินเตร่ไปที่ลานหลังบ้านบ่อยหน...เจ้าอั๋นเพื่อนผมมาเล่าว่า เคยเห็นพี่เลิศกับเด็กสาวคนนั้นเดินหายลับเข้าไปในดงไม้นั่นบ่อยๆ

ค่ำหนึ่งก็มีคนเห็นผู้หญิงแปลกหน้านั่นเข้ามาเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านใต้ถุนสูงของพี่เลิศ...ไม่ช้าก็ปรากฏว่าพี่เลิศได้ผู้หญิงคนนั้นเป็นเมีย และพามาอยู่กินอย่างเปิดเผย

พวกเราเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่น่าสนใจอะไรนัก แต่แปลกอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นเมียพี่เลิศในตอนกลางวัน ยกเว้นยามเข้าไต้เข้าไฟจึงจะเห็นรูปเงาวอมแวมของเธอผ่านหน้าต่างไปมา...ไม่รู้ว่าตอนกลางวันหายไปไหนทั้งวัน

ระยะหลังๆ ไม่มีใครกล้าไปเล่นที่ลานนั้นอีกแล้ว แต่น่าสังเกตว่าพี่เลิศผ่ายผอมไปจนผิดตา ผิวพรรณดำคล้ำ แก้มตอบ นัยน์ตาลึกกลวงดูเลื่อนลอย...บางครั้งก็ฉายแววหวั่นกลัวอะไรบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรกันแน่

บ้านนั้นดูทึบทึม ปราศจากชีวิตชีวาเหมือนเดิมอีกต่อไป

บางคืนจะมีเสียงผู้ชายร้องโหยหวน ดังเยือกเย็นเข้าไปถึงหัวใจของคนที่ได้ยิน!

พี่เลิศมักจะหมกอยู่แต่ในบ้าน มีแต่ลุงเหลือที่ออกมาทำไร่กับซื้อของกินของใช้ที่ร้านชำในหมู่บ้าน ถ้าใครถามถึงพี่เลิศแกก็จะตอบอย่างเสียไม่ได้ว่า...มันไม่ค่อยสบายน่ะ หรือไม่ก็ทำเป็นไม่ได้ยินเอาดื้อๆ

วันหนึ่งก็เกิดเรื่องน่าสยดสยองขึ้น เมื่อพี่เลิศผูกคอตายที่ต้นมะขามหลังบ้าน!

ไม่มีใครรู้ว่ามีสาเหตุจากอะไรแน่? ลุงเหลือก็ปิดปากเงียบ...ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ

นานา พี่ล้ำขึ้นมางานศพพี่ชาย แต่ไม่มีใครเห็นวี่แววของเมียพี่เลิศเลย

น่าแปลกอยู่อย่างที่เผาศพพี่เลิศเสร็จ พี่ล้ำก็ไปขนของจากกรุงเทพฯ กลับมาอยู่บ้านเดิม อ้างว่าเพื่อมาช่วยพ่อทำไร่ทำนา...แต่ตอนค่ำคืนก็มีคนเห็นรูปเงาของผู้หญิงคนเดิมเคลื่อนไหวอยู่บนบ้านนั้นเหมือนเมื่อครั้งที่พี่เลิศยังมีชีวิตอยู่!

พี่ล้ำมาอยู่ได้เดือนเศษ รูปร่างที่เคยกำยำล่ำสันก็ผอมโกรกเหมือนพี่ชายในอดีตแววตาบ่งบอกความหวาดกลัวชนิดสยดสยอง...ตอนดึกๆ ก็มีเสียงร้องโหยหวนบาดใจไม่ผิดกับเมื่อครั้งพี่เลิศยังมีชีวิตอยู่ จนชาวบ้านซุบซิบกันว่า...พี่ล้ำได้เมียม่ายของพี่ชาย! ผู้หญิงลึกลับคนนั้นก็ได้ฉายาว่า

"คนกินผัว"

อีกราวสองเดือนต่อมา พี่ล้ำก็พบจุดจบแบบเดียวกับพี่ชาย

นั่นคือ ผูกคอตายที่มะขามต้นเดียวและกิ่งเดียวกัน!!

ลุงเหลือเหมือนคนไม่มีชีวิตวิญญาณ เพื่อนบ้านที่ไปช่วยงานศพเลียบเคียงถามว่าเกิดอะไรขึ้น? แกจะต้องรู้แน่ๆ เพราะอยู่บ้านเดียวกัน! แต่ลุงเหลือปิดปากเงียบ กระทั่งผู้ใหญ่บ้านอดรนทนไม่ไหว ต้องจับมือถามตรงๆ ว่า ลูกชายทั้งสองคนเป็นอะไรกันแน่? ทำไมถึงผูกคอตาย? ผู้หญิงคนนั้นหายไปไหน?

คราวนี้ลุงเหลือทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แก้มกระตุก ปากสั่น นัยน์ตาแดงช้ำ...หลุดปากออกมาว่า...มันมีทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย!

คนที่ได้ยินถึงกับตะลึงพรึงเพริดไปหมด จนกระทั่งเรื่องร้ายกาจที่สุดอุบัติขึ้นมา และเป็นการปิดฉากความลี้ลับทั้งหมด เมื่อคืนหนึ่งเกิดไฟไหม้บ้านลุงเหลือ...ชาวบ้านที่พากันไปช่วยได้ยินเสียงผู้ชายร้องเสียงโหยหวน เยือกเย็น บ่งบอกความเจ็บปวดสุดขีดก่อนจะสิ้นใจ

เมื่อไฟดับมอดแล้ว บ้านหลังนั้นกลายเป็นกองเถ้าถ่านเหมือนกองฟอนในเมรุเผาศพ มีการนิมนต์พระมาสวดมนต์ปัดรังควาน...เพราะเสียงร้องโหยหวนในกองไฟนั้นไม่ใช่เสียงของลุงเหลือ แต่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า...เป็นเสียงของผีนรกนั่นเอง!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 30 พฤศจิกายน 2552

03 ธันวาคม 2556

ผีแขวนคอ

"นพมาศ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเมืองสองแคว

มีผู้ถกเถียงกันมานานแล้วว่าผีมีจริงหรือเปล่า? ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุผลของตนกันทั้งนั้น ยังเอาแพ้เอาชนะ หรือมีข้อสิ้นสุดยุติ ไม่ได้มาจนถึงทุกวันนี้

แต่ที่ดิฉันและครอบครัวได้ไปประสบที่พิษณุโลกเมื่อ 3-4 เดือนนี่เอง คือเรื่องแปลกประหลาด น่าขนลุกขนพองที่สุด จนต้องนำมาเล่าสู่กันฟังเพื่อให้ท่านผู้อ่านได้พิจารณาและลงความเห็นว่าเรื่องผีๆ สางๆ มีจริงหรือไม่?

"ป้าเนื่อง" คือพี่สาวของดิฉันเอง แต่เรียกตามลูกๆ ทั้งสามคนที่เป็นผู้ชายล้วนๆ เป็นม่ายตัวคนเดียว ลูกสาวเข้าไปเรียนหนังสือถึงเชียงใหม่โน่น

เราได้ข่าวว่าป้าเนื่องล้มเจ็บด้วยโรคเบาหวานกับความดันสูง ไหนจะไขมันในเส้นเลือดอีกล่ะ ก็ตามแบบคนที่อายุเลยเลขห้า ไปแล้วนั่นแหละค่ะ...คนเราพอแก่ตัวลงก็มักจะมีโรคภัยไข้เจ็บคอยแวะเวียนมาหาอยู่ร่ำไป

ตอนหลังได้ข่าวว่าอาการหนักถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาล ร้านรวงหน้าตลาดเอกาทศรถก็ต้องให้ญาติห่างๆ กับลูกจ้างช่วยกันดูแล ลูกสาวมาเยี่ยมประเดี๋ยวประด๋าวก็ต้องรีบกลับ

ตอนที่ดิฉันกับสามีและลูกๆ ยกโขยงไปเยี่ยมน่ะ ป้าเนื่องเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมาพักฟื้นที่บ้าน พอมองเห็นพวกเราก็ดีใจจนน้ำตาไหล เพราะญาติสนิทจริงๆ ของเราก็มีอยู่กันแค่สองคนพี่น้องเท่านั้น

ป้าเนื่องลุกมาต้อนรับขับสู้ คะยั้นคะยอให้ค้างคืนด้วยกัน ไม่ต้องไปเช่าโรงแรมให้หมดเปลืองเปล่าๆ ยืนยันว่ารุ่งขึ้นกินอาหารที่ร้านเสร็จจะได้ไปไหว้หลวงพ่อชินราชเสียเลย เพราะวันเสาร์อาทิตย์น่ะคนแน่นเหมือนกับมีตลาดนัดเป็นประจำอยู่แล้ว

"ไหนจะวัดนางพญากับหลวงพ่อเหลืออีกล่ะ" ป้าเนื่องหว่านล้อม "มาคราวนี้จะได้ทัวร์วัดหลายๆ แห่งตามยุคสมัยไงล่ะ"

ดิฉันกับพี่สาวคุยกันในห้องนอนชั้นบน ส่วนห้องข้างๆ เป็นที่นอนของสามีกับลูกชาย...ตอนค่ำพวกหนุ่มๆ เขาก็ไปชมบ้านชมเมืองกัน แต่เรายังคุยไม่หยุดปากด้วยเรื่องจิปาถะ ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กกับสาวๆ เหมือนกับคุยกันถึงเรื่องของคนอื่นยังงั้นแหละค่ะ

เมื่อเอ่ยถึงลุงประสงค์ที่ล่วงลับไปเมื่อปีก่อน ป้าเนื่องก็ยกมือไหว้ทำตาแดงๆ บอกว่าเคยฝันถึงครั้งเดียวเท่านั้น...ไม่เคยมาเยี่ยม เยียนอีกเลย คงจะไปสู่สุคติเรียบร้อยแล้ว

คืนนั้นเอง...เราคุยกันจนผล็อยหลับไป แต่แล้วเสียงอะไรบางอย่างก็ปลุกดิฉันขึ้นมาเงี่ยหูฟัง...ป้าเนื่องหลับสนิทจนได้ยินเสียงลมหายใจสม่ำเสมอ แม้ดิฉันจะยังงัวเงียอยู่ก็ตามแต่เสียงนั้นดังชัดเจนท่ามกลางความเงียบเชียบ นานๆ จะมีเสียงรถยนต์แล่นผ่านหน้าร้านสักครั้ง...ดิฉันแทบจะกลั้นใจฟังเพราะทำให้รู้สึกเย็นสันหลังวูบวาบอย่างบอกไม่ถูก

...เสียงสะอื้นเบาๆ ดังมาจากฝาห้องที่สามีกับลูกๆ นอนอยู่นั่นเอง!

ชั่วขณะหนึ่ง ดิฉันขนลุกเกรียวไปทั้งตัว...ลุงประสงค์ที่ตายไปแล้ว!?

เสียงสะอื้นดังขึ้นทุกที...คุณพระช่วย! เสียงของลูกชายทั้งสามคนของดิฉันนี่นา!

ตกตะลึงจนตัวชา ทำอะไรไม่ถูก พ่อก็นอนอยู่ด้วยแท้ๆ หรือว่าเขาเป็นอะไรไป...เสียงสะอื้นที่ดังชัดเจนขึ้นทำให้แน่ใจว่าพวกลูกๆ กำลังเจ็บปวดหรือหวาดกลัวอะไรอย่างรุนแรง จนทำให้ลุกพรวดพราดขึ้น ร้องออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

"ลูกแม่! เป็นอะไรไป?"

"อะไร แม่นพ?" ป้าเนื่องนอนเร็ว ร้องถามพร้อมกับลุกขึ้นนั่งเช่นกัน แต่ยังช้ากว่าดิฉันที่ลุกถลาไปถอดกลอน แล้วเข้าไปทุบประตูห้องที่ลูกๆ นอนอยู่เสียงโครมคราม...สามีบ่นอะไรเสียงง่วงๆ ก่อนจะเปิดประตูออกมา ดิฉันปราดเข้าไปเปิดไฟสว่างจ้า จ้องมองภาพตรงหน้าอย่างตะลึงงัน

ลูกชายวัยสิบกว่าขวบทั้งสามคนนอนหงายตัวแข็งทื่อ อ้าปาก ลืมตาโพลง น้ำตาไหลรินอาบแก้มทุกคน เสียงครางปนสะอื้นบาดใจปิ่มว่าชีวิตจะแหลกสลายลง

"แม่...ช่วยด้วย..."

"ไม่ต้องกลัวลูกแม่!" ขาดคำก็ถลาเข้าไปกอดรัดลูกๆ เช็ดน้ำตาพลางพร่ำถามแทบจะจับความไม่ได้ "เป็นอะไรลูก? ใครทำอะไร? บอกแม่ซิ...ทำไมไม่ปลุกพ่อ?"

สามียอมรับว่าหลับสนิท ฝันเห็นผู้หญิงวัยกลางคน ผอมบาง มีแต่หนังหุ้มกระดูกผมเป็นกระเซิง นัยน์ตาเหลือกลานแทบถลนออกมานอกเบ้า จ้องมองอย่างน่าเกลียดน่ากลัว...พวกลูกๆ ก็ลุก ขึ้นมาแย่งกันเล่าว่า พวกแกเห็นผู้หญิงยืนแขวนอยู่ที่หน้าต่าง เล่นเอาหวาดกลัวจนพูดไม่ออก นอกจากนอนน้ำตาไหล แล้วสะอึกสะอื้นดังขึ้นทุกทีปิ่มว่าจะขาดใจตาย

ดิฉันหันขวับไปหาพี่สาว แกหลบตา พูดเสียงอ่อยๆ ว่าเมื่อสองสามเดือนก่อนมีญาติห่างๆ จากเหนือ บอบช้ำทรุดโทรมเต็ม ที มาอาศัยอยู่แค่คืนเดียวก็ผูกคอตายที่หน้าต่างนั่นเอง

คืนนั้น ดิฉันนอนกับลูกๆ จนรุ่งเช้า...หลังจากไปกราบขอพรจากหลวงพ่อชินราชแล้วก็ล่ำลาป้าเนื่องกลับกรุงเทพฯ ทันที...แค่นี้ก็ขนหัวลุกเหลือแหล่แล้วค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552

01 ธันวาคม 2556

ปีศาจดร็อก

"ธยันต์" เล่าประสบการณ์ของปีศาจทะเลที่ขั้วโลกเหนือ

ทะเลน้อยใหญ่ไปจนถึงมหาสมุทร มีเนื้อที่กว้างขวางถึงสองในสามของพื้นโลกทั้งหมด แถมมีความมหัศจรรย์พันลึกเหลือหลาย มีสิ่งเร้นลับมากมายที่ยังพิสูจน์ให้แจ่มชัดไม่ได้...ว่าคืออะไรกันแน่?

ทะเลเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์และคนส่วนหนึ่ง ใช้เป็นเส้นทางสัญจรไปมาหาสู่กันและเปลี่ยนสินค้าและวัฒนธรรม หรือหลบหนีศัตรูและโรคระบาด รวมทั้งการโยกย้ายถิ่นฐาน เมื่อพบปะทำเลที่ดีกว่า เหมาะที่จะอยู่อาศัยและทำมาหากินได้สะดวกสบายยิ่งกว่าถิ่นเดิม

สัตว์โลกส่วนใหญ่ถือกำเนิดในทะเล ครั้นถึงอายุขัยก็ล้มตาย ทอดร่างไร้ลมปราณลงสู่ทะเล คนทั้งโลกจึงเชื่อถือกันมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ว่าทะเลนั้นมีปีศาจสิงสู่

ผีดุเหลือหลาย ว่างั้นเถอะ!!

ฝรั่งมีทั้งเทพเจ้าและปีศาจทะเล เทพก็คือ "โพไซดอน" คอยคุ้มครองไม่ให้เรือแตก จมน้ำตาย ส่วนปีศาจคือ "ซีแฮ็ก" เรียกตรงๆ ว่าผีทะเล! สมัยก่อนบาร์ในโรงแรมยูโรป้ามุมถนนสุรวงศ์ก็ชื่อซีแฮ็ก...ย่านนั้นเคยเป็นชุมทางของชาวเรือนานาชาติ ขึ้นฝั่งได้ก็เหมือนขึ้นสวรรค์ รีบบึ่งไปหาสุรานารีให้คุ้มกับที่อดอยากมาเนิ่นนาน...

เข้าไปอุ่นเครื่องเผาหัวกันที่ซีแฮ็กก่อนเป็นไร

พวกไวกิงส์ในอดีตที่ชอบแล่นเรือหัวงอนๆ ออกไปปล้นสะดมเมืองชายทะเลต่างๆ ในยุโรป ฆ่าผู้ชาย ข่มขืนผู้หญิงก่อนฆ่าทิ้ง แล้วขนสมบัติต่างๆ กลับบ้านเมืองของตน ดูเผินๆ เหมือนเก่งกาจกล้าหาญเสียเต็มประดา แต่เอาจริงเข้าก็หวาดกลัวปีศาจทะเลเหมือนคนชาติอื่นนั่นแหละน่า

ก่อนจะออกเรือก็ต้องเซ่นสรวงบูชาเจ้าป่าเจ้าเขา ให้ช่วยคุ้มครองลูกเมียที่อยู่หลังอย่าให้มีนักเลงดีดอดมาตีท้ายครัวได้ รวมทั้งเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ว่าขออย่าได้ประสบพบเห็นปีศาจตนใดเข้ากลางทางเลย เจ้าประคุณเอ๋ย

พวกไวกิงส์ หรือกลายเป็นชาวสแกนดิเนเวียนในยุคนี้เชื่อกันว่า มีผีทะเลชอบแปลงกายเป็นแมวน้ำ

ถ้าฆ่าแมวน้ำไม่ตายมันจะอาฆาตจองเวรไม่ลดละ ด้วยการแปลงเป็นผีมาดักล้างแค้นเอาชีวิต ไม่ชัวร์ป้าบจริงๆ อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมัน หลบได้ต้องหลบเอาไว้ก่อนดีกว่า...อย่าริอ่านทำล้อเล่นกับมันไปเชียว

ทุกวันนี้ชนชาวขั้วโลกเหนือ ไม่ว่าสวีเดนหรือนอร์เวย์ก็ยังกลัว "ผีดร็อก" ชนิดฝั่งจิตฝังใจ ยิ่งชาวทะเลที่ออกหาปลาพูดถึงผีชนิดนี้เมื่อไหร่ เป็นขนพองสยองเกล้าไปตามๆ กัน

คนไทยมีเคล็ดว่าออกป่าอย่าพูดคำว่า "เสือ"

คนเชื้อสายไวกิงส์ออกทะเลก็ห้ามพูดคำว่า "ดร็อก"

"ผีดร็อก" คืออะไรแน่?

"ดร็อก" คือปีศาจทะเลชนิดหนึ่ง เชื่อถือกันมาหลายร้อยปีแล้วว่าเจ้าปีศาจทะเลตนนี้ไม่เหมือนกับภูตผีธรรมดา แต่มันจะแล่นเรือ "ครึ่งลำ" ไปพร้อมกับสมุนที่จมน้ำตายเป็นโขยง ใครออกทะเลแล้วเกิดเห็นปีศาจดร็อกเข้าก็ถือว่าดวงขาด เพราะนั่นเป็นลางมรณะว่าจะต้องเรือแตก จมน้ำตายแน่นอน!

บางทีเห็นเรือแล่นมาข้างหลังในยามค่ำคืน หรืออากาศไม่แจ่มใส ก็มักคิดว่าเป็นเรือหาปลาด้วยกัน จนกระทั่งเรือลำนั้นแล่นกระชั้นเข้ามาใกล้ๆ ชักใบกินลมจนแล่นปราดมาตีคู่ถึงได้เห็นว่าเป็นเรือปีศาจดร็อก

แค่เห็นเรือที่มีแค่ครึ่งลำ (ส่วนท้าย) หัวใจก็แทบจะหล่นตุ๊บไปกองที่ตาตุ่มตามๆ กันแล้วละครับ

ยิ่งเห็นลูกเรือตัวดำๆ หันมามอง พลางแสยะยิ้มเย้ยหยัน โดยเฉพาะชายที่ถือพังงาอยู่ท้ายเรือ ร่างกำยำดำทะมึนหันมาด้วย...ล้วนแต่เป็นหน้าตาเหี้ยมเกรียมของภูตผีปีศาจทั้งนั้นเลย

เท่านั้นยังไม่พอ!

ชักใบแล่นเรือหนี เรือปีศาจก็เร่งขึ้นมาตีคู่ คล้ายจะชวนแข่งกันให้รู้ดีรู้ชั่วไปเลยว่าใครจะเจ๋งกว่ากัน? จุดหมายปลายทางน่ะเรอะ...ขุมนรกใต้ท้องทะเลไงล่ะ! ฮ่ะๆๆ

หนีเร็วแค่ไหนก็หนีไม่พ้นเรืออสุรกาย

ลงเอยด้วยการโดนพายุถล่มจมเรือ...ใครรอดตายได้ก็ถือว่าดวงเฮงเต็มทีแล้วครับ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 26 สิงหาคม 2552