30 กรกฎาคม 2556

การนำศพไปวัด

การเคลื่อนย้ายศพไม่ว่าจะเพื่อนำศพไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัด เคลื่อนศพจากบ้านไปเผามีธรรมเนียมปฏิบัติดังนี้
  • หากเป็นการตั้งศพสวดอภิธรรมที่บ้านในวันเคลื่อนศพไปเผาที่วัด เจ้าภาพจะนิมนต์พระสงฆ์มาฉันเช้าที่บ้านส่วนใหญ่นิยมนิมนต์เพียง ๔ รูปหรือตามต้องการแต่เมื่อฉันเช้าเสร็จแล้วนิมนต์พระเพียง ๔ รูปทำหน้าที่จูงศพไปวัดหากมีลูกหลานผู้ตายบวชเณรหน้าศพ ก็ให้มาร่วมจูงศพด้วย โดยเดินต่อจากพระ 
  • หากต้องการนำศพไปตั้งสวดอภิธรรมที่วัดก็ให้พระมาจูงศพเช่นเดียวกันหลังจากที่สัปเหร่อทำพิธีนำศพใส่โลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่หากมืดค่ำกะทันหันก็อาจตั้งศพไว้ที่บ้านคืนหนึ่งครั้นรุ่งเช้าจึงค่อยนิมนต์พระมาฉันเช้าแล้วจูงศพไปวัด
การเคลื่อนขบวนศพ
ในการเคลื่อนขบวนศพนั้น ให้ลูกหลานของผู้ตายถือกระถางธูป และรูปของผู้ตายนำหน้า ต่อมาจึงเป็นพระสงฆ์ ๔ รูปถือสายสิญจน์ที่ต่อมาจากการมัดตราสังศพและโยงออกมาหน้าโลงซึ่งสัปเหร่อได้จัดเตรียมไว้ไห้แล้วสายสิญจน์ที่ให้พระจับเวลาสวดศพทุกคืนก็ใช้เส้นเดียวกันนี้

สำหรับญาติพี่น้องคนอื่นๆ ก็ช่วยกันแยกโลงศพหรือนำศพตั้งไว้บนรถเข็นช่วยกันเข็นประคองตามกันไปเป็นขบวนเดินไว้อาลัยไปตลอดทางจนกว่าจะถึงวัดหากวัดอยู่ไกลจะใช้รถยนต์เป็นพาหนะในการเคลื่อนศพก็ได้หากไม่ต้องการนำรถของตนเองมาขนศพเพราะเชื่อเกี่ยวกับโชคลางก็สามารถขอเช่ารถของทางวัดหรือมูลนิธิได้

การนำศพออกจากบ้าน
เมื่อจะเริ่มเคลื่อนศพตามคติโบราณจะไม่ยกศพออกทางประตูเหมือนคนปกติ และไม่ให้ศพลอดใต้ขื่อบางทีก็ต้องรื้อฝาบ้านข้างหนึ่งเพื่อนำศพออกก็มีทั้งนี้เพราะเรือนสมัยก่อนประตูค่อนข้างเล็กและขื่อเตี้ยการยกศพต้องช่วยกันหลายคนจึงเบียดเสียดไม่สะดวกฝากระดานของบ้านสมัยก่อนสามารถถอดออกได้สะดวกเพราะใช้วิธีเข้าลิ่มไม่ได้ทำตายตัวเหมือนปัจจุบัน

เมื่อยกศพออกทางฝาบ้าน ต้องทำบันได ๓ขั้นไว้เป็นทางลง ไม่ลงบันไดเดียวกับคนเป็นใช้อยู่ประจำ บันได ๓ขั้นนี้ทำไว้ชั่วคราวไม่แข็งแรงนัก พอคนขึ้นลงก็หักโดยง่าย เป็นเคล็ดความเชื่อว่าทำให้วิญญาณไม่สามารถหาทางย้อนกลับมาบ้านได้ จะได้ไปผุดไปเกิดเสียไม่มัววนเวียนอยู่บนโลกด้วยความเป็นห่วงลูกหลานและทรัพย์สมบัติ

แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยถือเคร่งครัดเท่าไรนักเพราะบางทีฝาบ้านเป็นปูนหรืออิฐหากทลายเพื่อเอาศพออกคงเป็นเรื่องใหญ่แน่

การทำประตูป่า
ประตูป่า คือการนำกิ่งไม้มาปักไว้ตรงประตูที่จะนำศพออกจากบ้านโดยรวบกิ่งไม้มัดไว้เป็นซุ้มหรือคูหา เมื่อนำศพออกไปพ้นประตูแล้วก็ให้รื้อทิ้งเสียเพราะเชื่อกันว่า วิญญาณของผู้ตายจะกลับบ้านไม่ได้เพราะประตูป่าที่จำไว้เป็นเครื่องหมายถูกรื้อไปแล้ว หากมองเป็นปริศนาธรรมก็คือคนที่ตายไปแล้วย่อมไม่สามารถย้อนกลับหรือฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้อีกเมื่อเรายังมีชีวิตอยู่หากไม่เร่งสร้างคุณงามความดีก็เป็นสิ่งที่น่าเสียดายเพราะคนตายนั้นไม่มีโอกาสเช่นเราอีกแล้ว

การชักฟาก ๓ ซี่
เป็นคติความเชื่อเช่นกันสมัยโบราณใช้ไม้ไผ่มาผ่าทำฟากเป็นซี่ๆ สำหรับปูพื้นเรือนและทำฝาเมื่อนำศพออกจากบ้านแล้ว ให้ซักฟากออก ๓ ซี่ เพื่อลวงไม่ให้วิญญาณจำบ้านได้และปริศนาธรรม อธิบายเกี่ยวกับเรื่องไตรลักษณ์ คือ รูป สังขาร วิญญาณล้วนเป็นสิ่งไม่เที่ยงไม่จีรังยั่งยืน เมื่อความตายมาเยือนไม่มีใครสามารถหลีกหนีได้ต้องละสังขารทิ้งร่างไว้เหมือนกับเรือนที่ว่างเปล่า

การตีหม้อน้ำและหม้อไฟนำศพ
ในสมัยโบราณ เมื่อนำศพออกจากบ้านแล้วจะมีการตีหม้อน้ำ ๓ ใบ ด้วยไม้ซีก (ไม่นิยมใช้ไม้ท่อนเพราะต้องหักทิ้ง)เมื่อตีหม้อดินใส่น้ำซึ่งเตรียมไว้แตกแล้ว ก็หักไม้ทิ้งเสียเป็นปริศนาธรรมหมายถึงการแตกสลายของสังขาร หรือธาตุต่างๆ เช่นธาตุน้ำที่มาชุมนุมกันเป็นร่างกายเมื่อแยกออกจากกันแล้วก็ต้องกลับไปเป็นธาตุเหล่านั้นเหมือนเช่นเดิม

สำหรับหม้อไฟ หรือตะเกียงที่จุดไว้หน้าศพนั้นเมื่อเวลาเผาศพก็นำใส่เข้าไปในกองฟืนขณะที่ตีหม้อน้ำทั้ง ๓ ใบทิ้งนั้นคนบนเรือนก็ใช้พัดโบกไปทั้ง ๔ ทิศ

การซัดข้าวสาร
การซัดข้าวสารในปัจจุบันไม่นิยมทำกันแล้วแต่สมัยโบราณเมื่อนำศพออกจากบ้านต้องทำการซัดข้าวสารหรือบางทีก็ซัดเกลือขึ้นไปบนหลังคาด้วย พร้อมว่าคาถา
คจฉ อมุมหิ พุทธปัด แปลใจความได้ว่าจงไปทางโพ้นเถิด พระพุทธเจ้าปัดแล้ว
เป็นการขับไล่เสนียดจัญไรหรือความอัปมงคลทั้งหลายให้จากไป

การโปรยข้าวตอกข้าวสาร 
ในระหว่างที่เคลื่อนศพไปวัดนั้นบางทีมีการโปรยข้าวตอกหรือข้าวสารไปตลอดทาง เป็นปริศนาธรรมเตือนใจว่าข้าวตอกข้าวสารไม่งอกขึ้นมาได้อีกฉันใดคนที่ตายย่อมไม่อาจฟื้นขึ้นมาฉันนั้น

การใช้ไม้ขีดทางนำหน้า
การใช้ไม้ขีดทางนำหน้าเมื่อเคลื่อนขบวนศพ ก็เป็นปริศนาธรรมเช่นกัน หมายถึงการเดินตามกันไปเป็นวัฏสงสาร ในวันนี้เรานำศพคนตายไปเผา วันต่อๆไป ทุกคนก็ต้องไปตามเส้นทางสายนี้เช่นเดียวกันไม่มีใครสามารถหลีกหนีพ้นได้

ขบวนศพห้ามผ่านเรือกสวนไร่นา
ในสมัยโบราณหนทางยังไม่ค่อยสะดวกนัก การหามศพต้องหามไปตามทางเดิน จะลัดผ่านไร่นาของคนอื่นไม่ได้ อาจเพราะมีความเชื่อเกี่ยวกับความตายว่าเป็นอัปมงคล หรือขบวนแห่มีคนเป็นจำนวนมาก หากเดินตัดผ่านไร่นา อาจไปเหยียบข้าวกล้าพืชไร่ได้รับความเสียหาย

การเรียกบอกหนทางแก่วิญญาณผู้ตาย
เมื่อนำศพไปวัดขบวนแห่ศพผ่านที่ไหน ลูกหลานผู้ตายก็จะเอามือเคาะโลง เพื่อบอกให้รู้ตัวไปตลอดทาง เช่น ลงจากบ้านแล้ว เลี้ยวขวาไปตามทาง ผ่านโรงเรียนแล้ว ข้ามสะพานแล้ว ถึงวัดแล้วทั้งนี้เป็นคติความเชื่อว่า เพื่อให้วิญญาณของผู้ตายตามร่างไป

อ้างอิง : ประเพณี พิธีมงคล และวันสำคัญของไทย เรียบเรียงโดย ธนากิต 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น