- เอาไม้ไผ่มาจักเป็นซีกเล็กๆ ทำเป็นบันได 4 ขั้น หรือให้มี 3 ช่อง กว้างยาวเท่ากับโลง สำหรับวางบนปากโลง
- เอาเฝือกผืนหนึ่งทำด้วยไม้ไผ่ 7 ซีกถักติดกันเหมือนแร่งวางก้นโลงเอาผิวไม้ขึ้น ไว้ระยะห่างเพื่อรองรับอย่างเสื่อ
- แล้วจึงเอาไม้ไผ่มาผ่าให้โตขนาดนิ้วก้อย ยาวพอสมควรผ่าข้างหนึ่งสำหรับคาบปากโลงเป็นระยะจนครบ 8 อันเป็นทำนองไม้ตับปิ้งปลาและผ่าอีกข้างหนึ่งสำหรับคาบสายสิญจน์วางทางขวาก่อนให้รอบโลง ไม้นี้เรียกว่าปากกาจับโลง
- เอาเทียน 8 เล่มพาดที่ปากโลงระหว่างปากกาทั้ง 8 ช่อง กับมี กระทงใบตองขนาดเล็ก ใส่กุ้งพล่าปลายำ หรือจะเป็นอาหารอย่างอื่นๆ ก็ได้นำมาวางบนปากโลงทั้ง 8 ช่องใกล้เทียนที่ติดไว้ ให้เป็นเครื่องสังเวยเทพทั้ง 8 ทิศ
- สัปเหร่อจะทำน้ำมนต์สำหรับรดโลงต้องเตรียมขันและเทียนติดพาดปากขันเล่มหนึ่ง เงินค่ายกครู แต่ก่อนประมาณ 6 สลึง
- สัปเหร่อจุดเทียนเป็นคู่ๆ ตั้งแต่ด้านปลายเท้าไปด้านศีรษะแล้วตั้งต้นทำน้ำมนต์ธรณีสาร ใช้สำหรับประพรมแก้เสนียดจัญไรแล้วว่าคาถา
นลาเฏ พรหมเทวตา
หทย นรายกญเจว
เทวหตปรเม สุราฯ
ปาเท วิสสณุกญเจว
สพพกมมา ปสิทธิ เม
เป็นการเชิญ พระพุทธ พระธรรม พระนารายณ์พระปรเมศวร พระวิศวกรรม มาเข้าสิงกายให้ทำกรรมต่างๆ สำเร็จ บทตั้งแต่ สิทธิกิจจเป็นบทให้พระเจ้าเรือน มีดังนี้
สิทธิกิจจ สิทธิกมม
สิทธการิย ตถาคโต
สิทธิลาโภ นิรนตร
สิทธิเตโช ชโย นจจ
สิทธิกมม ปสิทธิเม
สพพสิทธิ ภวนตุ เม
- เสร็จแล้วสัปเหร่อจะนำน้ำมนต์ลูบหน้าเสยผม 3 ครั้งประพรมโลง 3 หน หยิบเทียนที่ติดปากโลงมาจุดด้ายสายสิญจน์ที่วงรอบโลงจุดเทียนเป็นคู่ๆ จากปลายเท้าให้ไหม้ขาดทุกช่อง เว้นช่องด้านสกัดที่จะใช้เป็นหัวโลงเอามีดหมอ กดด้ายสายสิญจน์ที่กลางหัวโลงเสกคาถาว่า "พุทธปจจกขามิ ธมม หจจกขามิ สงฆ ปจจกุขามิ" 3 หน
- ความนี้สัปเหร่อจะถามว่า "โลงของใคร" ลูกหลานก็ตอบว่า "โลงของ...(ชื่อผู้ตาย)" หรือบางที สัปเหร่อก็ถามเองตอบเอง บางทีถามหนเดียวบางทีก็ถามตอบอย่างนั้น 3 หน
- เสร็จแล้วสัปเหร่อจึงเอามีดหมอสับปากโลง 3 ครั้งโดยการสับตรงกลางก่อน แล้วจึงสับซ้ายขวา หรือบางทีสับเป็นรูปกากบาทเพื่อใช้เป็นเครื่องหมายว่าด้านนี้เป็นทิศศีรษะหัวโลง
- ต่อจากนั้น จึงผลักเครื่องเซ่น ไม้ปากกา เทียนและด้ายสายสิญจน์ที่เหลืออยู่ลงไปในโลงให้หมดเอาใบตองบางทับเฝือกและของที่ผลักลงใส่โลงส่วนใหญ่นิยมใช้ใบตองต้นกล้วยตานีที่ใบไม่แตกยอดไม่หัก 3 ยอดมาปู
เฝือก ใบตองที่ใส่ในโลงศพล้วนเป็นปริศนาธรรมทั้งสิ้น คือ ชี้ให้เห็นว่าร่างกายของเราก็เหมือนกับเฝือกที่นำไม้ไผ่มาสานต่อกันเป็นซี่ๆ ในที่สุดก็ต้องแยกสลายจากกัน
พิธีการซื้อโลง
ความจริงโลงที่ใช้ลูกหลานก็ซื้อมาไว้สำหรับใส่ศพคนตายอยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะนำศพใส่โลง จะต้องมี พิธีซื้อโลง อาจเป็นเพราะต้องการเปิดโอกาสให้คนอื่นๆ ช่วยเป็นเจ้าภาพซื้อโลง หรือให้เป็นค่าจ้างพิเศษ สำหรับสัปเหร่อนอกจากเงินที่อยู่ในปากศพ พอสัปเหร่อถามว่าใคร จะซื้อโลงบ้าง ลูกหลานก็จะนำเศษเงินใส่ลงไปในโลง สัปเหร่อคงไปเก็บเอาทีหลัง ซึ่งถ้าเป็นสมัยโบราณ เงินจำนวนนี้คงพอสำหรับค่าจ้าง แต่ในปัจจุบันน่า จะเป็นการทำตาม ประเพณีมากว่า เพราะค่าของเงินเปลี่ยนไปตามกาลเวลา ค่าจ้างในการทำศพ เผาศพ เจ้าภาพ ต้องให้สัปเหร่อ อีกต่างหาก
การนำศพใส่โลง
หลังจากเสร็จพิธีเบิกโลงแล้ว สัปเหร่อจะขอแรงผู้ชายตัวใหญ่ๆ ที่มีพละกำลังดีให้ช่วยกันยก ศพวางลงในโลง เพื่อไม่ให้เกิดการทุลักทุเลเป็นภาพที่ไม่น่าดูจึงต้องช่วยกันหลายคน ควรระวัง อย่าให้ใครข้ามศพ เป็นอันขาด เพราะถือเป็นการไม่ให้ความเคารพ เมื่อนำศพใส่โลงเรียบร้อย แล้วก็ทำการปิดฝา ไม่ต้องตอกตะปู หรือตอกเพียงตัวสองตัวเพื่อยึดไว้ชั่วคราวเท่านั้น
บางทีมีการนำ กระดาษฟาง ใบชา หรือปูนขาว (ที่ใช้โรยตีเส้นสนาม) ใส่ลงไปในโลงด้วย เพราะสามารถช่วยดูดกลิ่นได้ดี เมื่อนำศพใส่โลงต้องนำสายสิญจน์ ที่มัดศพโยงออกมา ไว้ข้างนอกโลงด้วย
อ้างอิง : ประเพณี พิธีมงคล และวันสำคัญของไทย เรียบเรียงโดย ธนากิต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น