"ลักษณ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรมผีสิง
ว่ากันว่า คนดวงซวยจะต้องโดนผีหลอก ไม่ว่าจะหาทางหลบเลี่ยงแค่ไหนก็หนีไม่พ้นหรอกค่ะ วันดีคืนร้ายก็โดนตัวประหลาดโผล่เข้ามาเขย่าขวัญ เล่นเอาหัวใจเกือบหยุดเต้นหรือไม่ก็จับไข้แทบหัวโกร๋นไปตามๆ กัน
แหม! ลองคิดดูซิคะว่าพวกเราสาวๆ แส้ๆ ยังโสดสนิทกันทั้งนั้น ถ้าดันหัวโกร๋นจะพิลึกแค่ไหนล่ะ เจ้าประคุณรุนช่องขา...
อาชีพเซลส์แมนสาว...เอ๊ย! เซลส์สาวค่ะ พลอยติดมาจากคุณกฤษณะ ที่โผล่หน้าหล่อๆ มาเล่าข่าวตอนดึกที่ช่อง 3 น่ะซีคะ เรื่องเซลส์สาวถูกสมุนพระครูทำร้าย ทั้งตีทั้งยิงจนเธอต้องแกล้งทำตายจึงหนีรอดมาได้ กลายเป็นข่าวครึกโครมในเดือนพฤษภาคมไงคะ
คุณกฤษณะบอกว่า...วันเกิดเหตุเนี่ย...เซลส์แมนสาวคนนั้นเนี่ยนะฮะ...เข้าแจ้งความว่าถูกพระครูเนี่ยข่มขืนฮะ เท่านั้นเนี่ยยังไม่พอ พระครูเนี่ยยังส่งลูกน้องเนี่ยมาตามฆ่าเธออีกนะฮะ...เดชะบุญที่เธอรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดฮะ เนี่ย...นะฮะ...
โอ๊ย! สนุกสุดขีดอะไรยังงี้เนี่ย...คืนนั้นเนี่ย พวกเราขำกลิ้งกันตั้งแต่เจอลูกเล่น...เซลส์แมนสาว! แล้วละค่ะ เออ...หรือสาวประเภทสองปลอมเป็นเซลส์แมนละมั้งเนี่ย? ถึงได้เรียกว่าเซลส์แมนสาวนะฮะ! มุขเยอะมากเลยเนี่ย...นะฮะนะฮ้า เนี่ย...หัวเราะนะฮะเนี่ย...
ว่าแต่พวกเราเนี่ยทำไมนอนดึกจังละเจ้าคะ?
เซลส์แมน...ว้าย! เซลส์สาวเจ้าค่ะ ต้องยกโขยงออกต่างจังหวัดบ่อยๆ ประชุมสัมมนา อบรมน้องใหม่ ถือโอกาสแนะนำสินค้าไปด้วย กว่าจะได้กลับโรงแรมก็ดึกดื่น อาบน้ำอาบท่า ล้างหน้าที่โบ๊ะเครื่องสำอางเสร็จก็ได้ดูข่าวเขย่าเส้นก่อนนอน
ส่วนมากมาออกันในห้องเดียว 4-5 คน บริษัทเขาให้นอนห้องละ 2 คน แต่ดิฉันดันเป็นหัวหน้าเลยได้สิทธิ์นอนคนเดียว ไม่ใช่ว่าดีเด่อะไรนะคะ เพราะลูกน้องมันเล่าเรื่องผีกันอยู่ได้ ทั้งๆ ที่คนเล่ามันก็กลัวผี ไม่รู้จะกระแดะเล่าไปทำไมให้ขนลุกขนพองเปล่าๆ
คืนนั้นค่อยยังชั่วหน่อย คือคุยกันเรื่องกฎหมายที่จะออกต้นเดือนหน้า (มิถุนายน) ว่าให้สิทธิ์ผู้หญิงแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว ใช้คำว่า "นางสาวนำหน้าได้" รวมทั้งแม่ม่ายแม่ร้างก็ได้ทั้งนั้น ดูเหมือนจะมีพวกผู้หญิงเราสนใจกันมากๆ นะคะ ป่านนี้คงจะรู้ผลไปแล้วมั้ง?
ต่างคนต่างเม้าธ์กระจาย แสดงความเห็นน่ะซีคะ
เจ้าต่องบอกว่าดีๆ แม่ม่ายกลับมาใช้นางสาวจะได้ไม่มีใครมาถามสะเหร่อๆ ว่าสามีไม่ได้มาด้วยเหรอ? หรือคนตกงานจะไปหางานทำก็สะดวก เพราะใช้คำนำหน้าว่านางนั่นนางนี่ เขาไม่สนใจจะรับเข้าทำงานหรอก สู้นางสาวไม่ได้
เจ้าสวยค้านว่าไม่ชอบ หลอกตัวเองชัดๆ แหม! มีโผเห็นๆ ยังอยากใช้นางสาวให้คนเข้าใจผิดซะอีกแน่ะ! ต่างจิตต่างใจนะคะ แต่ที่ตรงกันเผงก็มีเจ้าค่ะ
เจ้าเพ็ญประกาศอุดมการณ์ว่า คุณขา...พวกหนูๆ ใช้นางสาวนำหน้ามาช้านานจนเบื่อหน่าย ไม่อยากอยู่บนคาน! ต้องการให้มีใครซักคนมาชวนให้หนูได้ใช้คำว่า "นาง" นำหน้าซะที เมื่อไหร่จะสมปรารถนาล่ะเจ้าคะ! ได้ฮากระจายไปตามๆ กัน แทงใจดำทุกคนซะไม่มีละ
มาเกิดเรื่องตรงที่ดิฉันจะกลับเข้าห้องนอนเดียวดาย เจ้าสวยดันมีเรื่องเล่าเขย่าขวัญว่าเมื่อตอนเย็นก่อนจะออกไปหาอะไรกินน่ะ ได้ยินผู้หญิงสองคนที่มาพักโรงแรมนี้ ถามพนักงานหนุ่มที่เคาน์เตอร์ว่า...โรงแรมนี้ผีดุหรือเปล่าฮ้า? เล่าเอาเจ้าสวยตะลึงไปเลย
"ไม่ใช่ตกใจเรื่องผีหรอกย่ะ" มันลอยหน้า "แต่เพราะหนุ่มที่ถูกถามน่ะ สูงสง่านัยน์ตาฝันเหมือนสเตฟานบวกฟิล์ม คูณชาคริต...ขอบอก! ผู้ชายห่...อะไรไม่รู้...หล่อซะ!!"
เสียงใครดังขึ้นว่า "อีบ้า" ก่อนจะถามถึงเรื่องผีว่ามีจริงหรือเปล่า?
"ไม่มีหรอกย่ะ" สวยทำตาเยิ้มเชียว "เฮ้อ...เสียดายจัง อยากให้มีว่ะ จะได้ขอร้องให้สุดหล่อช่วยมาเฝ้าข้างเตียงหน่อย ซักครึ่งคืนก็ยังดี"
เสียงโห่ฮาดังขรมแต่ดิฉันไม่สนใจ ขอตัวกลับเข้าห้องที่อยู่ติดๆ กัน ลูกน้องแสบๆ ยังแซวตามหลังมาว่า...พี่มานอนรวมกับพวกหนูก็ได้ หรือจะลงไปดูหน้าหล่อๆ ล่ะคะ?
ต้องหันไปทำเสียงดุว่า...น้อยๆ หน่อยย่ะ พวกเซลส์แมนสาว! มันฮากันตรึมเลยค่ะ
ดิฉันสวดมนต์ ไหว้เจ้าที่เจ้าทางแล้วดับไฟนอน...ราวตีสามก็ได้ยินเสียงทุบประตูโครมๆ จนนึกว่าไฟไหม้...ครั้นเปิดออกไปก็เจอเจ้าเพ็ญกับเจ้าสวยวิ่งถลาเข้ามาหอบฮั่กๆ หน้าตาทั้งตื่นทั้งซีดเซียว...ปรากฏว่าโดนผีหลอกมาหยกๆ
แย่งกันเล่าว่ากำลังจะเคลิ้มก็ได้ยินเสียงลมพัดอู้ๆ เข้ามาในห้อง ลมบ้าที่ไหนจะพัดเข้าห้องแอร์ ไม่ช้าก็มีเสียงใครร้องเพลงหงิงๆ อยู่ในห้องน้ำ เล่นเอาลุกพรวดขึ้นทั้งสองคนเปิดไฟหัวเตียงแล้วหันหน้ามองกันเลิ่กลั่ก ครั้นหันไปอีกทีก็เห็นผู้หญิงแปลกหน้าเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ...ตาดำปี๋ ปากอ้ากว้างจนเป็นโพรงดำมืด...แว่!!
วิ่งไปร้องไปมาหาดิฉัน คืนนั้นเลยต้องนอนเบียดกันสามคน ขนหัวลุกจริงๆ ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 9 มิถุนายน 2551
Ghosts.in.th
รวมเรื่องราวลี้ลับ น่าสยองขน จากทั่วทุกมุมเว็บ หึหึหึ
09 พฤษภาคม 2560
06 พฤษภาคม 2560
ไปสู่หนไหน?
"ดารกา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปฟังสวดศพ
ญาติมิตรหลายๆ คนของดิฉันพูดตรงกันว่าไม่ชอบไปงานศพ อย่างฝังจิตฝังใจ...จะเป็นงานสวดศพ เผาศพ หรือแม้แต่ทำบุญ 7 วัน 100 วันก็ไม่อยากไปร่วมด้วยทั้งนั้น ส่วนมากมีเหตุผลว่า กลัวจะเคราะห์ร้ายเพราะดวงชงกับผู้ตาย
บางคนยืนยันว่าไม่ใช่เป็นความเชื่อเลื่อนลอย เพราะไปงานศพทีไรมักจะเกิดเหตุทีนั้น ไม่เกิดกับตัวเองก็กับคนในครอบครัวแทบทุกครั้งไป
ตั้งแต่รถชนกัน ลูกเจ็บป่วย โดนหมากัด จนถึงหมาตัวเองออกไปกัดคนนอกบ้านต้องเสียค่าทำขวัญบ้าง จ่ายตามบิลของโรงพยาบาลบ้าง...ล่าสุดญาติที่เพิ่งกลับจากฟังสวดศพหยกๆ ต้องพาคนข้างบ้านที่ถูกหมาตัวเองกัดไปหาหมอที่ร.พ.เอกชน เสียค่าตรวจรักษา ฉีดยากันบาดทะยัก 1 เข็มเป็นเงินถึง 1,550 บาท
เคยซื้อลอตเตอรี่ที่เขาเร่ขายในวัดก็ไม่เคยถูกแม้แต่เลขท้ายสองตัวสักครั้ง
บางคนสารภาพว่าไม่ใช่เพราะหวาดหวั่นเรื่องดวงจะชงหรือไม่ชง แต่ไม่ชอบไปงานศพเพราะกลัวผีหลอกต่างหาก!
เพื่อนคนหนึ่งเล่าว่าไปงานศพญาติที่ตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ ระหว่างที่นั่งฟังพระสวดอภิธรรมเสียงเยือกเย็นอยู่นั้น บังเอิญเหลือบไปเห็นภาพถ่ายของผู้ตายที่ตั้งเด่นอยู่หน้าโลง...จะเป็นเพราะแสงไฟสะท้อนหรือตาฝาดไปเองก็ไม่ทราบ แต่เธอยืนยันว่าเห็นญาติจ้องมองและยิ้มเศร้าๆ จนแทบจะกรีดร้องลั่นศาลา
สำหรับดิฉันเองกลับตรงกันข้ามค่ะ
ใครแจกการ์ดงานแต่งงานหรืองานวันเกิด จะไปงานหรือไม่ก็แล้วแต่สะดวก ถ้าไม่สนิทกันมาก หรือไกลเกินไปสำหรับคนที่วัยใกล้เกษียณอย่างดิฉันก็จะไม่ไป แต่ฝากซองไปช่วยงานบ้าง ส่งจดหมายอวยพรและเช็คของขวัญทางไปรษณีย์บ้าง แล้วแต่ความเหมาะสม
ตรงข้าม ถ้าเป็นงานศพญาติมิตรดิฉันจะต้องไปร่วมงานทุกครั้ง ถือว่าเป็นการล่ำลากันครั้งสุดท้าย ขออโหสิกรรมต่อกัน ถ้ารู้ข่าวจะไปร่วมด้วยทันทีค่ะ
นับวันชีวิตเราก็ก้าวไปสู่เงื้อมมือมัจจุราช...ใกล้เข้าไปทุกทีแล้ว แม้ชีวิตนี้จะเป็นที่รักของตนแค่ไหน แต่วันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว ก็ต้องลงไปนอนพนมมืออยู่ในโลงศพ...ร่างกายที่ไร้ลมหายใจรอให้เขานำไปเผาหรือฝัง
วิญญาณจะมีจริงหรือไม่? ตายแล้วจะไปไหนก็ไม่มีโอกาสรู้ได้เลย!
ไม่ใช่ว่าเพิ่งมารู้ตัวว่าวันหนึ่งต้องตายเพราะไปงานศพหรอกค่ะ แต่ชีวิตคนเราล้วนแต่มีภาระวุ่นวายยุ่งเหยิง ไม่มากก็น้อยด้วยกันทั้งนั้น หลายๆ ครั้งก็วุ่นเสียจนลืมความตายของตัวเองเสียสนิท...มางานศพเมื่อไหร่ก็ได้ทอดถอนใจ ปลงสังเวชชีวิตของคนเราเสียที
ร่างที่นอนหงายหลับตา ยื่นมือให้รดน้ำคล้ายจะบอกกล่าวว่า เคยกระเสือกกระสนไขว่คว้ามาสารพัดชีวิต ทั้งเหน็ดเหนื่อยยากเข็ญ แม้แต่ทรยศคดโกง เอารัดเอาเปรียบหรือเคยเบียดเบียนใครมา แต่เดี๋ยวนี้จบสิ้น...ได้พักผ่อนนอนหลับไปตลอดกาล
มือที่เคยกำแน่นเมื่อแรกเกิด บ่งบอกว่าจะกำเกร็งสรรพสิ่งมาชั่วชีวิต ก็แบออกให้เห็นทั่วกันว่าไม่ได้นำสิ่งใดติดไปโลกหน้าแม้แต่สิ่งเดียว!
งานศพล้วนแต่ทำให้ได้แง่คิดและมุมมองดีๆ สำหรับชีวิตเสมอมา...
จนกระทั่งถึงงานสวดศพครั้งล่าสุด หัวหน้ากองชื่อคุณทนงเสียชีวิตด้วยมะเร็งตับก่อนจะเกษียณราว 3 ปี รุ่นราวคราวเดียวกับดิฉัน แต่หัวหน้ากองเคยเล่าว่าตัวเองใช้ชีวิตสิ้นเปลืองมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม หรือเสเพลทั้งเหล้า บุหรี่ เรียกว่าสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ครบเครื่อง ไม่รู้ว่ารอดมาจนถึงห้าสิบกว่าๆ ได้ยังไง?
พวกรุ่นน้องๆ ในที่ทำงานเคยเล่าว่า หัวหน้าเป็นทั้งโรคเบาหวาน ตับแข็ง ความดันเลือดสูง ไทรอยด์อักเสบ ระยะหลังๆ มีอาการหลงๆ ลืมๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นอัลไซเมอร์ แม้ว่าจะเลิกเหล้าและบุหรี่มาหลายปีแล้ว แต่พิษร้ายก็สะสมอยู่ร่างกายเพียบแปล้
ยกเว้นเรื่องนี้แล้ว หัวหน้าทนงถือว่าเป็นเจ้านายที่ลูกน้องรักมาก สวดศพวันแรกก็มีแขกแน่นจนล้นศาลา ดิฉันไปเร็วจึงได้ที่นั่งด้านในแถวกลางๆ มองดูพวงหรีดทยอยกันมาไม่หยุด ท่ามกลางกลิ่นธูปอวลกรุ่น
ขณะที่พระสวดอภิธรรมอยู่นั้น ผู้หญิงสูงวัยที่นั่งพนมมืออยู่ข้างๆ ดิฉันก็พูดขึ้นว่า...ขอบใจนะที่อุตส่าห์มางานผม! เล่นเอาดิฉันหันขวับไปพบเธอที่กำลังจ้องมองดิฉันเช่นกัน
"ผมเอง...ทนงไงล่ะ? ขอบคุณนะที่มางานศพผม!"
ผู้หญิงร่างท้วมคนนั้นอ้าปากค้าง หน้าซีดเผือด ดิฉันเองก็คงไม่แตกต่างกันขณะที่หันขวับไปทางโลงศพที่ตั้งเด่นอยู่เบื้องหน้า คุณทนงในภาพถ่ายยิ้มเศร้าๆ ดูเหมือนจะพยักหน้านิดๆ เป็นการอำลา ในบรรยากาศที่เยือกเย็นจนขนลุกซ่าไปทั้งตัว
ก่อนจะกลับ ขณะที่ยกมือไหว้โลงศพนั้น ดิฉันอดนึกไม่ได้ว่า...ถ้าวันหนึ่งตัวเองถึงเวลาไปนอนในนั้น จะมีโอกาสได้มาขอบอกขอบใจแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเราหรือเปล่าหนอ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 6 มิถุนายน 2551
ญาติมิตรหลายๆ คนของดิฉันพูดตรงกันว่าไม่ชอบไปงานศพ อย่างฝังจิตฝังใจ...จะเป็นงานสวดศพ เผาศพ หรือแม้แต่ทำบุญ 7 วัน 100 วันก็ไม่อยากไปร่วมด้วยทั้งนั้น ส่วนมากมีเหตุผลว่า กลัวจะเคราะห์ร้ายเพราะดวงชงกับผู้ตาย
บางคนยืนยันว่าไม่ใช่เป็นความเชื่อเลื่อนลอย เพราะไปงานศพทีไรมักจะเกิดเหตุทีนั้น ไม่เกิดกับตัวเองก็กับคนในครอบครัวแทบทุกครั้งไป
ตั้งแต่รถชนกัน ลูกเจ็บป่วย โดนหมากัด จนถึงหมาตัวเองออกไปกัดคนนอกบ้านต้องเสียค่าทำขวัญบ้าง จ่ายตามบิลของโรงพยาบาลบ้าง...ล่าสุดญาติที่เพิ่งกลับจากฟังสวดศพหยกๆ ต้องพาคนข้างบ้านที่ถูกหมาตัวเองกัดไปหาหมอที่ร.พ.เอกชน เสียค่าตรวจรักษา ฉีดยากันบาดทะยัก 1 เข็มเป็นเงินถึง 1,550 บาท
เคยซื้อลอตเตอรี่ที่เขาเร่ขายในวัดก็ไม่เคยถูกแม้แต่เลขท้ายสองตัวสักครั้ง
บางคนสารภาพว่าไม่ใช่เพราะหวาดหวั่นเรื่องดวงจะชงหรือไม่ชง แต่ไม่ชอบไปงานศพเพราะกลัวผีหลอกต่างหาก!
เพื่อนคนหนึ่งเล่าว่าไปงานศพญาติที่ตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ ระหว่างที่นั่งฟังพระสวดอภิธรรมเสียงเยือกเย็นอยู่นั้น บังเอิญเหลือบไปเห็นภาพถ่ายของผู้ตายที่ตั้งเด่นอยู่หน้าโลง...จะเป็นเพราะแสงไฟสะท้อนหรือตาฝาดไปเองก็ไม่ทราบ แต่เธอยืนยันว่าเห็นญาติจ้องมองและยิ้มเศร้าๆ จนแทบจะกรีดร้องลั่นศาลา
สำหรับดิฉันเองกลับตรงกันข้ามค่ะ
ใครแจกการ์ดงานแต่งงานหรืองานวันเกิด จะไปงานหรือไม่ก็แล้วแต่สะดวก ถ้าไม่สนิทกันมาก หรือไกลเกินไปสำหรับคนที่วัยใกล้เกษียณอย่างดิฉันก็จะไม่ไป แต่ฝากซองไปช่วยงานบ้าง ส่งจดหมายอวยพรและเช็คของขวัญทางไปรษณีย์บ้าง แล้วแต่ความเหมาะสม
ตรงข้าม ถ้าเป็นงานศพญาติมิตรดิฉันจะต้องไปร่วมงานทุกครั้ง ถือว่าเป็นการล่ำลากันครั้งสุดท้าย ขออโหสิกรรมต่อกัน ถ้ารู้ข่าวจะไปร่วมด้วยทันทีค่ะ
นับวันชีวิตเราก็ก้าวไปสู่เงื้อมมือมัจจุราช...ใกล้เข้าไปทุกทีแล้ว แม้ชีวิตนี้จะเป็นที่รักของตนแค่ไหน แต่วันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว ก็ต้องลงไปนอนพนมมืออยู่ในโลงศพ...ร่างกายที่ไร้ลมหายใจรอให้เขานำไปเผาหรือฝัง
วิญญาณจะมีจริงหรือไม่? ตายแล้วจะไปไหนก็ไม่มีโอกาสรู้ได้เลย!
ไม่ใช่ว่าเพิ่งมารู้ตัวว่าวันหนึ่งต้องตายเพราะไปงานศพหรอกค่ะ แต่ชีวิตคนเราล้วนแต่มีภาระวุ่นวายยุ่งเหยิง ไม่มากก็น้อยด้วยกันทั้งนั้น หลายๆ ครั้งก็วุ่นเสียจนลืมความตายของตัวเองเสียสนิท...มางานศพเมื่อไหร่ก็ได้ทอดถอนใจ ปลงสังเวชชีวิตของคนเราเสียที
ร่างที่นอนหงายหลับตา ยื่นมือให้รดน้ำคล้ายจะบอกกล่าวว่า เคยกระเสือกกระสนไขว่คว้ามาสารพัดชีวิต ทั้งเหน็ดเหนื่อยยากเข็ญ แม้แต่ทรยศคดโกง เอารัดเอาเปรียบหรือเคยเบียดเบียนใครมา แต่เดี๋ยวนี้จบสิ้น...ได้พักผ่อนนอนหลับไปตลอดกาล
มือที่เคยกำแน่นเมื่อแรกเกิด บ่งบอกว่าจะกำเกร็งสรรพสิ่งมาชั่วชีวิต ก็แบออกให้เห็นทั่วกันว่าไม่ได้นำสิ่งใดติดไปโลกหน้าแม้แต่สิ่งเดียว!
งานศพล้วนแต่ทำให้ได้แง่คิดและมุมมองดีๆ สำหรับชีวิตเสมอมา...
จนกระทั่งถึงงานสวดศพครั้งล่าสุด หัวหน้ากองชื่อคุณทนงเสียชีวิตด้วยมะเร็งตับก่อนจะเกษียณราว 3 ปี รุ่นราวคราวเดียวกับดิฉัน แต่หัวหน้ากองเคยเล่าว่าตัวเองใช้ชีวิตสิ้นเปลืองมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม หรือเสเพลทั้งเหล้า บุหรี่ เรียกว่าสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ครบเครื่อง ไม่รู้ว่ารอดมาจนถึงห้าสิบกว่าๆ ได้ยังไง?
พวกรุ่นน้องๆ ในที่ทำงานเคยเล่าว่า หัวหน้าเป็นทั้งโรคเบาหวาน ตับแข็ง ความดันเลือดสูง ไทรอยด์อักเสบ ระยะหลังๆ มีอาการหลงๆ ลืมๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นอัลไซเมอร์ แม้ว่าจะเลิกเหล้าและบุหรี่มาหลายปีแล้ว แต่พิษร้ายก็สะสมอยู่ร่างกายเพียบแปล้
ยกเว้นเรื่องนี้แล้ว หัวหน้าทนงถือว่าเป็นเจ้านายที่ลูกน้องรักมาก สวดศพวันแรกก็มีแขกแน่นจนล้นศาลา ดิฉันไปเร็วจึงได้ที่นั่งด้านในแถวกลางๆ มองดูพวงหรีดทยอยกันมาไม่หยุด ท่ามกลางกลิ่นธูปอวลกรุ่น
ขณะที่พระสวดอภิธรรมอยู่นั้น ผู้หญิงสูงวัยที่นั่งพนมมืออยู่ข้างๆ ดิฉันก็พูดขึ้นว่า...ขอบใจนะที่อุตส่าห์มางานผม! เล่นเอาดิฉันหันขวับไปพบเธอที่กำลังจ้องมองดิฉันเช่นกัน
"ผมเอง...ทนงไงล่ะ? ขอบคุณนะที่มางานศพผม!"
ผู้หญิงร่างท้วมคนนั้นอ้าปากค้าง หน้าซีดเผือด ดิฉันเองก็คงไม่แตกต่างกันขณะที่หันขวับไปทางโลงศพที่ตั้งเด่นอยู่เบื้องหน้า คุณทนงในภาพถ่ายยิ้มเศร้าๆ ดูเหมือนจะพยักหน้านิดๆ เป็นการอำลา ในบรรยากาศที่เยือกเย็นจนขนลุกซ่าไปทั้งตัว
ก่อนจะกลับ ขณะที่ยกมือไหว้โลงศพนั้น ดิฉันอดนึกไม่ได้ว่า...ถ้าวันหนึ่งตัวเองถึงเวลาไปนอนในนั้น จะมีโอกาสได้มาขอบอกขอบใจแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเราหรือเปล่าหนอ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 6 มิถุนายน 2551
05 พฤษภาคม 2560
มอเตอร์ไซค์สยอง
"ชูชีพ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้วยขวาง
ใครว่าคนไม่กลัวผีมักจะไม่โดนผีหลอก! แหม...ผมคนหนึ่งล่ะครับที่ขอค้านว่าไม่จริงเสมอไป ถ้าไม่เจอะเจอกับตัวเองคงไม่กล้าพูด แต่ผมขอยืนยันจริงๆ เอ้า ว่าคนที่ไม่กลัวผีอย่างผมนี่แหละที่โดนผีหลอกมาอานไปเลย!
ไม่รู้ว่าพวกภูตผีปีศาจมันจะจองล้างจองผลาญอะไรผมนักหนา ตั้งแต่เด็กยันโตเป็นหนุ่มอายุอานามเลยเบญจเพสมาหลายปีนี่ ผมโดนผีหลอกหลอนไม่รู้ว่ากี่หนต่อกี่หน
คิดอีกที พวกผีสางอีนางโกงมันอาจจะเกิดความพิศวาสผมเป็นพิเศษก็ได้มั้ง? ถึงได้ขยันมาหลอกหลอนซะจริง ตรงข้ามกับไอ้แจ้วเพื่อนผมที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ บ้านใกล้กัน โตขึ้นก็ทำงานบริษัทใกล้ๆ กันแถวสะพานควาย...ไอ้นี่มีนิสัยแปลกอย่างตรงที่...ขึ้นชื่อว่าคนแล้วไม่มีกลัว แต่กลัวผีจับจิตจับใจตั้งแต่เด็กจนโตแล้วยังสังกัดบริษัทปอดอ้า-ตาแหกไม่เลิกรา
มันให้เหตุผลกับผมว่า
"คนเราสองมือสองตีนเหมือนกันกูจะไปกลัวทำไม? แต่ขึ้นชื่อว่าผีแล้ว...โธ่! ขนาดนึกถึงกูยังขนลุก มึงคิดดูซีวะว่ามันจะมีกี่มือกี่ตีนก็ไม่รู้ แถมหายตัวได้อีกต่างหาก! พอโผล่มาแบบตากลวงโบ๋ หัวเราะแหบโหย จะเอาอะไรไปสู้กับมันวะ?"
ทั้งๆ ที่กลัวผีสุดขีด แต่ไอ้แจ้วไม่เคยโดนผีหลอกสักครั้งเดียว!
แต่ไอ้แจ้วคนกลัวผี กับผมผู้ไม่หวั่นเกรงภูตผีต้องมาโดนผีหลอกพร้อมๆ กัน...ขนาดว่าไม่กลัวๆ ผมยังต้องยอมรับว่ารายการนี้มันหลอนสุดขีดคลั่งจริงๆ เอ้า! นึกถึงผีที่เคยมาหลอกหลอนผมในอดีตน่ะ กลายเป็นผีเด็กๆ ไปเลย
เรื่องเป็นยังงี้ครับ!
บ้านเราอยู่ในซอยขวามือของถนนสุทธิสาร จากสะพานควายตรงลิ่วข้ามถนนวิภาวดีฯ ไปหน่อยเดียวก็เลี้ยวขวาเข้าถนนซอย...เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา...เอาเป็นว่าไปทะลุออกข้างโรงนวดโพไซดอน ถนนรัชดา ภิเษกได้ก็แล้วกัน
ย่านนั้นมีตึกรามบ้านเรือน ร้านค้าและอู่รถแท็กซี่ ผู้คนคึ่กๆ ตลอดวันกับครึ่งคืน บ้านผมกับไอ้แจ้วอยู่ช่วงกลางๆ อาศัยมอเตอร์ไซค์ในย่านนั้นเข้าออกมาหลายปี จนรู้จักมักคุ้นกันดีหลายคน บางเย็นก็ตั้งวงกันที่ "วิน" กลางทางนั่นแหละ ผลัดกันเป็นเจ้ามือ ไม่ว่าเหล้าหรือเบียร์ก็ซื้อที่ร้านตรงข้ามได้เลย
พูดถึงวินหรือที่พักก็มีทำเลเหมาะเจาะได้การ!
แคร่ไม้ไผ่เก่าๆ อยู่ตรงหัวมุมทางแยกพอดี ต้นมะขามเฒ่าจากที่ดินว่างๆ ด้านหลังร่มครึ้ม แต่ยังหาสังกะสีเก่าๆ มามุงกันแดดกันฝน ตอนกลางวันคนน้อยก็จอดรถคุยกัน ตกเย็นค่ำก็วิ่งรถแทบไม่ได้หยุด ราว 2-3 ทุ่มก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ถึงผมกับไอ้แจ้วจะทำงานใกล้ๆ กัน แต่ก็ไม่ได้ไปกลับพร้อมกันทุกวันหรอกครับ บางวันเราก็มีนัดกับเพื่อนฝูงที่อื่นมั่ง นัดสาวมั่ง นานๆ ก็เกิดจ๊ะเอ๋กลับบ้านพร้อมกัน หามอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายกลับบ้านคนละคัน
บางทีตอนเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ เราติดต่อกันทางมือถือ ออกมาเดินดูสาวตามร้านสะดวกซื้อ ร้านเสริมสวย บางทีก็โต๋เต๋ไปที่วิน...เล่นหมากฮอสมั่ง สั่งเหล้ามาซดกันมั่ง
น้าชื้น ลุงต่อม พี่เพิก ไอ้เดีย...นักบิดอาชีพพวกนี้ล้วนแต่ชอบพอกับเราทั้งนั้น เห็นหน้าก็พยักหงึก โดดซ้อนท้ายได้เลย เงินทองไม่ต้องพูดถึง แต่ผมกับไอ้แจ้วก็หาทางตอบแทนด้วยการหิ้วเหล้าไปฝาก ถือว่ามิตรจิตมิตรใจไงครับ
วันเกิดเหตุตรงกับวันศุกร์ ฟ้าครึ้มฝนเชียว ตอนผมเลิกงานมาเจอไอ้แจ้วพอดี รถราไม่ว่างสักคัน เลยชวนกันเข้าไปซดเหล้าในร้านลาบ...ฝนเทจั้กๆ ลงมาเหมือนฟ้ารั่ว เคราะห์ดีที่ไม่เข้าบ้านเพราะมีหวังเปียกโชกกลางทาง...จนกระทั่งผ่านไปเกือบสองแบนฝนถึงได้ขาดเม็ด
โชคดีเหลือเชื่อที่เห็นลุงต่อมรถว่างๆ กำลังจะเลี้ยวกลับ ไอ้แจ้วกับผมรีบเข้าซ้อนท้ายสองคน ลุงต่อมบอกว่าทนเอาหน่อยแล้วกันเพราะไม่เหลือคันอื่นแล้ว ถ้าขืนรอก็ต้องเสียเงินค่าตุ๊กตุ๊กหรือแท็กซี่
ผมเพิ่งนึกได้ตอนนั้นเองว่าเราไม่ได้สวมหมวกกันน็อกทั้ง 3 คน!
ปกติก็ไม่ได้สวมกันอยู่แล้ว รถมอเตอร์ไซค์ในตรอกซอยน่ะ ตามถนนใหญ่ก็เห็นบ่อยๆ บางคันที่สาวนั่งซ้อนท้ายเกาะเอวหนุ่ม เด็กๆ กอดเอวพ่อแน่น...ทำไมตำรวจไม่จับก็ไม่รู้? แต่ฝนตกถนนลื่นแบบนี้อดเสียวไส้ไม่ได้หรอกครับ ลุงต่อมแกอายุมากแล้วก็จริง แต่ยังชอบซิ่งไม่แพ้หนุ่มๆ โชคดีที่ไม่เกิดเหตุน่าหวาดเสียว ส่งเราถึงบ้านจนเรียบร้อย
รุ่งขึ้นผมนอนตื่นสายตะวันโด่ง ไอ้แจ้วซีครับที่โทร.มาปลุก บอกข่าวร้ายว่าลุงต่อมรถคว่ำตายเมื่อคืนนี้เอง ผมเด้งผางจากที่นอน หลุดปากว่า...โธ่! เพราะแกมาส่งเราแท้ๆ แต่ไอ้แจ้วพูดเสียงสั่นๆ ว่า ลุงต่อมโดนรถแท็กซี่ชนคอหักตายตั้งแต่ตอนฝนตกหนักเมื่อหัวค่ำแล้ว!
ผมเผ่นไปหาเพื่อนที่บ้านก็เจอมันนั่งรอหน้าตาซีดเซียว...พอรู้แน่ว่าผีลุงต่อมมาส่งเราจริงๆ เล่นเอาผมหวิดจับไข้...ขนหัวลุกอยู่ตั้งหลายวันแน่ะครับ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 5 มิถุนายน 2551
ใครว่าคนไม่กลัวผีมักจะไม่โดนผีหลอก! แหม...ผมคนหนึ่งล่ะครับที่ขอค้านว่าไม่จริงเสมอไป ถ้าไม่เจอะเจอกับตัวเองคงไม่กล้าพูด แต่ผมขอยืนยันจริงๆ เอ้า ว่าคนที่ไม่กลัวผีอย่างผมนี่แหละที่โดนผีหลอกมาอานไปเลย!
ไม่รู้ว่าพวกภูตผีปีศาจมันจะจองล้างจองผลาญอะไรผมนักหนา ตั้งแต่เด็กยันโตเป็นหนุ่มอายุอานามเลยเบญจเพสมาหลายปีนี่ ผมโดนผีหลอกหลอนไม่รู้ว่ากี่หนต่อกี่หน
คิดอีกที พวกผีสางอีนางโกงมันอาจจะเกิดความพิศวาสผมเป็นพิเศษก็ได้มั้ง? ถึงได้ขยันมาหลอกหลอนซะจริง ตรงข้ามกับไอ้แจ้วเพื่อนผมที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ บ้านใกล้กัน โตขึ้นก็ทำงานบริษัทใกล้ๆ กันแถวสะพานควาย...ไอ้นี่มีนิสัยแปลกอย่างตรงที่...ขึ้นชื่อว่าคนแล้วไม่มีกลัว แต่กลัวผีจับจิตจับใจตั้งแต่เด็กจนโตแล้วยังสังกัดบริษัทปอดอ้า-ตาแหกไม่เลิกรา
มันให้เหตุผลกับผมว่า
"คนเราสองมือสองตีนเหมือนกันกูจะไปกลัวทำไม? แต่ขึ้นชื่อว่าผีแล้ว...โธ่! ขนาดนึกถึงกูยังขนลุก มึงคิดดูซีวะว่ามันจะมีกี่มือกี่ตีนก็ไม่รู้ แถมหายตัวได้อีกต่างหาก! พอโผล่มาแบบตากลวงโบ๋ หัวเราะแหบโหย จะเอาอะไรไปสู้กับมันวะ?"
ทั้งๆ ที่กลัวผีสุดขีด แต่ไอ้แจ้วไม่เคยโดนผีหลอกสักครั้งเดียว!
แต่ไอ้แจ้วคนกลัวผี กับผมผู้ไม่หวั่นเกรงภูตผีต้องมาโดนผีหลอกพร้อมๆ กัน...ขนาดว่าไม่กลัวๆ ผมยังต้องยอมรับว่ารายการนี้มันหลอนสุดขีดคลั่งจริงๆ เอ้า! นึกถึงผีที่เคยมาหลอกหลอนผมในอดีตน่ะ กลายเป็นผีเด็กๆ ไปเลย
เรื่องเป็นยังงี้ครับ!
บ้านเราอยู่ในซอยขวามือของถนนสุทธิสาร จากสะพานควายตรงลิ่วข้ามถนนวิภาวดีฯ ไปหน่อยเดียวก็เลี้ยวขวาเข้าถนนซอย...เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา...เอาเป็นว่าไปทะลุออกข้างโรงนวดโพไซดอน ถนนรัชดา ภิเษกได้ก็แล้วกัน
ย่านนั้นมีตึกรามบ้านเรือน ร้านค้าและอู่รถแท็กซี่ ผู้คนคึ่กๆ ตลอดวันกับครึ่งคืน บ้านผมกับไอ้แจ้วอยู่ช่วงกลางๆ อาศัยมอเตอร์ไซค์ในย่านนั้นเข้าออกมาหลายปี จนรู้จักมักคุ้นกันดีหลายคน บางเย็นก็ตั้งวงกันที่ "วิน" กลางทางนั่นแหละ ผลัดกันเป็นเจ้ามือ ไม่ว่าเหล้าหรือเบียร์ก็ซื้อที่ร้านตรงข้ามได้เลย
พูดถึงวินหรือที่พักก็มีทำเลเหมาะเจาะได้การ!
แคร่ไม้ไผ่เก่าๆ อยู่ตรงหัวมุมทางแยกพอดี ต้นมะขามเฒ่าจากที่ดินว่างๆ ด้านหลังร่มครึ้ม แต่ยังหาสังกะสีเก่าๆ มามุงกันแดดกันฝน ตอนกลางวันคนน้อยก็จอดรถคุยกัน ตกเย็นค่ำก็วิ่งรถแทบไม่ได้หยุด ราว 2-3 ทุ่มก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ถึงผมกับไอ้แจ้วจะทำงานใกล้ๆ กัน แต่ก็ไม่ได้ไปกลับพร้อมกันทุกวันหรอกครับ บางวันเราก็มีนัดกับเพื่อนฝูงที่อื่นมั่ง นัดสาวมั่ง นานๆ ก็เกิดจ๊ะเอ๋กลับบ้านพร้อมกัน หามอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายกลับบ้านคนละคัน
บางทีตอนเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ เราติดต่อกันทางมือถือ ออกมาเดินดูสาวตามร้านสะดวกซื้อ ร้านเสริมสวย บางทีก็โต๋เต๋ไปที่วิน...เล่นหมากฮอสมั่ง สั่งเหล้ามาซดกันมั่ง
น้าชื้น ลุงต่อม พี่เพิก ไอ้เดีย...นักบิดอาชีพพวกนี้ล้วนแต่ชอบพอกับเราทั้งนั้น เห็นหน้าก็พยักหงึก โดดซ้อนท้ายได้เลย เงินทองไม่ต้องพูดถึง แต่ผมกับไอ้แจ้วก็หาทางตอบแทนด้วยการหิ้วเหล้าไปฝาก ถือว่ามิตรจิตมิตรใจไงครับ
วันเกิดเหตุตรงกับวันศุกร์ ฟ้าครึ้มฝนเชียว ตอนผมเลิกงานมาเจอไอ้แจ้วพอดี รถราไม่ว่างสักคัน เลยชวนกันเข้าไปซดเหล้าในร้านลาบ...ฝนเทจั้กๆ ลงมาเหมือนฟ้ารั่ว เคราะห์ดีที่ไม่เข้าบ้านเพราะมีหวังเปียกโชกกลางทาง...จนกระทั่งผ่านไปเกือบสองแบนฝนถึงได้ขาดเม็ด
โชคดีเหลือเชื่อที่เห็นลุงต่อมรถว่างๆ กำลังจะเลี้ยวกลับ ไอ้แจ้วกับผมรีบเข้าซ้อนท้ายสองคน ลุงต่อมบอกว่าทนเอาหน่อยแล้วกันเพราะไม่เหลือคันอื่นแล้ว ถ้าขืนรอก็ต้องเสียเงินค่าตุ๊กตุ๊กหรือแท็กซี่
ผมเพิ่งนึกได้ตอนนั้นเองว่าเราไม่ได้สวมหมวกกันน็อกทั้ง 3 คน!
ปกติก็ไม่ได้สวมกันอยู่แล้ว รถมอเตอร์ไซค์ในตรอกซอยน่ะ ตามถนนใหญ่ก็เห็นบ่อยๆ บางคันที่สาวนั่งซ้อนท้ายเกาะเอวหนุ่ม เด็กๆ กอดเอวพ่อแน่น...ทำไมตำรวจไม่จับก็ไม่รู้? แต่ฝนตกถนนลื่นแบบนี้อดเสียวไส้ไม่ได้หรอกครับ ลุงต่อมแกอายุมากแล้วก็จริง แต่ยังชอบซิ่งไม่แพ้หนุ่มๆ โชคดีที่ไม่เกิดเหตุน่าหวาดเสียว ส่งเราถึงบ้านจนเรียบร้อย
รุ่งขึ้นผมนอนตื่นสายตะวันโด่ง ไอ้แจ้วซีครับที่โทร.มาปลุก บอกข่าวร้ายว่าลุงต่อมรถคว่ำตายเมื่อคืนนี้เอง ผมเด้งผางจากที่นอน หลุดปากว่า...โธ่! เพราะแกมาส่งเราแท้ๆ แต่ไอ้แจ้วพูดเสียงสั่นๆ ว่า ลุงต่อมโดนรถแท็กซี่ชนคอหักตายตั้งแต่ตอนฝนตกหนักเมื่อหัวค่ำแล้ว!
ผมเผ่นไปหาเพื่อนที่บ้านก็เจอมันนั่งรอหน้าตาซีดเซียว...พอรู้แน่ว่าผีลุงต่อมมาส่งเราจริงๆ เล่นเอาผมหวิดจับไข้...ขนหัวลุกอยู่ตั้งหลายวันแน่ะครับ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 5 มิถุนายน 2551
04 พฤษภาคม 2560
ห้องสยองขวัญ
"แมร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องผีสิง
บ้านของหนูอยู่ปราณบุรี แต่หนูสอบเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฏได้ที่กรุงเทพฯ แม่ฝากให้หนูอยู่ที่บ้านผู้มีพระคุณ...คือนายเก่าของแม่น่ะค่ะ ทีแรกแม่จะหาหอพักให้หนูอยู่ แต่เผอิญคุณป้าเรวดีท่านนี้ทราบเข้า เลยบอกว่าที่บ้านท่านมีห้องว่างอยู่พอดี
ท่านอยากให้หนูไปพักอาศัยในระหว่างเรียนที่กรุงเทพฯ จะได้ไม่เปลืองค่าใช้จ่าย
ห้องที่ว่านี้สวยนะคะ ไม่ใช่ไม่สวย เดิมเป็นห้องของหลานสาวของคุณป้าเรวดี แต่ตอนนี้เธอไม่อยู่แล้ว
"ไปไหนคะ?" หนูหลุดปากถามกับคุณป้าผู้ใจดี
"ไปอยู่เมืองนอกจ้ะ" ท่านตอบเรียบๆ ซึ่งหนูก็ไม่เอะใจเลยแม้แต่น้อย
บ้านคุณป้าเรวดีอยู่สบายมาก เป็นบ้านเก่าแก่สองชั้น ท่านอยู่กับหลานสองคนเองค่ะ นอกนั้นเป็นคนรับใช้ คุณป้าเล่าว่าเมื่อหลานไม่อยู่...ท่านใช้คำว่า "ไม่อยู่" นะคะ หนูขอย้ำตรงนี้เพราะมีความหมายมาก...
เมื่อหลานไม่อยู่ คุณป้าก็เหลือตัวคนเดียวจริงๆ ท่านเหงามากเพราะบ้านทั้งหลังต้องนอนคนเดียวในห้องหนึ่ง ส่วนพวกสาวใช้ก็มีเรือนพักอยู่ต่างหาก
คุณป้าให้กุญแจบ้านและกุญแจห้องไว้กับหนู ซึ่งหนูต้องไม่ทำหายเป็นอันขาด! หนูจะกลับค่ำก็ได้ ท่านไม่ว่า ขอให้โทรศัพท์มารายงานว่าจะกลับเมื่อไหร่ และไขประตูบ้านเข้ามาเอง...หนูรู้สึกเหมือนเป็นหลานท่านจริงๆ
เคยถามคุณป้าว่าหลานชื่ออะไร? คำตอบคือ "ชลลดา" เพราะมากนะคะ!
ที่หนูอยากรู้และอยากให้ท่านเล่าเรื่องของเธอให้ฟัง ก็เพราะหนูมาขออาศัยอยู่ในห้องของเธอไงคะ...และหนูก็ทราบว่า "คุณชล" อายุเท่าหนูเป๊ะเลย! เธอเป็นลูกของลูกสาวคุณป้า ซึ่งมีร้านอาหารไทยอยู่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น คุณป้าเรวดีเลี้ยงคุณชลลดามาตั้งแต่เกิด ท่านรักของท่านมาก
ห้องคุณชลลดาทาสีชมพูอ่อน คุณป้าเคยพูดตลกๆ ว่า
"รู้มั้ยห้องสีชมพูน่ะยุงไม่กัด ยุงมันกลัวสีชมพู"
ในห้องนี้มีรูปของคุณชลลดาด้วยค่ะ เธอสวยเชียวละ หนูตั้งไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่ได้เก็บลงลิ้นชัก เพราะหนูมาคิดว่าตัวเองแค่มาขออาศัย ห้องนี้น่ะของคุณชลลดา! หนูต้องเคารพสถานที่ จริงไหมคะ?
แต่มันไม่แค่นั้นซีคะ หนูแปลกใจสายตาของตัวเองเวลาส่องกระจก สายตาหนูเพี้ยนไป หรือกระจกมันหลอกก็ไม่รู้ เพราะหน้าตาของหนูแปลกๆ ไป ไม่เหมือนตัวหนูเองเลย!
พออยู่ได้ครบสัปดาห์ ความฝันก็เริ่มน่ากลัวขึ้น...
คืนหนึ่ง ขณะที่รู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น มีผู้หญิงมานั่งข้างเตียง เธอเอียงคอมองมาแบบยิ้มๆ ตอนนั้นหนูรู้สึกเปลี้ยๆ แขนขาอ่อนแรงไปหมด แต่ก็พยายามเพ่งให้ชัดๆ และเห็นถนัดตาว่าเธอคือคุณชลลดานั่นเอง!
ใจหนึ่งหนูคิดว่า...เอ๊ะ! เธอกลับมาแล้วเรอะ ถึงได้มานั่งตรงนี้? แต่อีกใจก็เริ่มหวาดๆ มันเป็นเรื่องผิดปกติมากๆ คือ...มันชักยังไงๆ แล้วซิ! คุณชลลดาบอกว่าหนูน่ารัก และพูดต่ออย่างน่าขนลุกว่า "ไปอยู่ด้วยกันมั้ย?"
ทันใดนั้นเอง ประโยคนี้ทำให้หนูนึกได้ว่า เธอต้องไม่ใช่คนที่ยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ เธอถามหนูแบบนี้ได้ไง?
โดยฉับพลัน หน้าของเธอเปลี่ยนไป...จากสาวสวยกลายเป็นใบหน้าของคนตาย...มันซีด แห้ง ปากดำ อ้าปากหวอ...ดวงตาลืมค้างแต่ไร้แวว!
หนูร้องกรี๊ดแล้วสะบัดหลุดจากอาการหนักๆ ไปทั้งร่างคล้ายผีอำ ทันที่ขยับแขนได้ หนูก็รีบเปิดไฟหัวเตียง...อากาศเย็นยะเยือกจนขนลุกซู่ ห้องทั้งห้องดูหลอนมาก หนูรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในห้องนี้ด้วย!!
ใครจะนอนต่อล่ะคะ? หนูถลันออกจากห้องลงไปที่เรือนคนใช้ ไปเคาะประตูพี่สมใจ เธอเปิดรับหนูแล้วพูดว่า "โดนแล้วสิ?!"
หนูไม่โกรธคุณป้าเรวดีหรอกค่ะ สงสารท่านด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องขอกราบลาไปหาหอพักราคาไม่แพงนักดีกว่า...
หนูเข้าใจว่าท่านเหงา และอยากให้หนูไปเป็นตัวแทนหลานท่าน...
แหม! เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ คนตายแล้วชวนไปอยู่ด้วย มันน่ากลัวน้อยอยู่เรอะคะนั่น! ถึงยังไงทุกวันนี้หนูก็ยังไปเยี่ยมคุณป้าเรวดีเสมอค่ะ เพียงแต่ไม่ย่างกรายไปที่ห้องนั้น...แม้แต่จะเงยหน้ามองขึ้นไปที่หน้าต่างยังไม่กล้าเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 4 มิถุนายน 2551
บ้านของหนูอยู่ปราณบุรี แต่หนูสอบเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฏได้ที่กรุงเทพฯ แม่ฝากให้หนูอยู่ที่บ้านผู้มีพระคุณ...คือนายเก่าของแม่น่ะค่ะ ทีแรกแม่จะหาหอพักให้หนูอยู่ แต่เผอิญคุณป้าเรวดีท่านนี้ทราบเข้า เลยบอกว่าที่บ้านท่านมีห้องว่างอยู่พอดี
ท่านอยากให้หนูไปพักอาศัยในระหว่างเรียนที่กรุงเทพฯ จะได้ไม่เปลืองค่าใช้จ่าย
ห้องที่ว่านี้สวยนะคะ ไม่ใช่ไม่สวย เดิมเป็นห้องของหลานสาวของคุณป้าเรวดี แต่ตอนนี้เธอไม่อยู่แล้ว
"ไปไหนคะ?" หนูหลุดปากถามกับคุณป้าผู้ใจดี
"ไปอยู่เมืองนอกจ้ะ" ท่านตอบเรียบๆ ซึ่งหนูก็ไม่เอะใจเลยแม้แต่น้อย
บ้านคุณป้าเรวดีอยู่สบายมาก เป็นบ้านเก่าแก่สองชั้น ท่านอยู่กับหลานสองคนเองค่ะ นอกนั้นเป็นคนรับใช้ คุณป้าเล่าว่าเมื่อหลานไม่อยู่...ท่านใช้คำว่า "ไม่อยู่" นะคะ หนูขอย้ำตรงนี้เพราะมีความหมายมาก...
เมื่อหลานไม่อยู่ คุณป้าก็เหลือตัวคนเดียวจริงๆ ท่านเหงามากเพราะบ้านทั้งหลังต้องนอนคนเดียวในห้องหนึ่ง ส่วนพวกสาวใช้ก็มีเรือนพักอยู่ต่างหาก
คุณป้าให้กุญแจบ้านและกุญแจห้องไว้กับหนู ซึ่งหนูต้องไม่ทำหายเป็นอันขาด! หนูจะกลับค่ำก็ได้ ท่านไม่ว่า ขอให้โทรศัพท์มารายงานว่าจะกลับเมื่อไหร่ และไขประตูบ้านเข้ามาเอง...หนูรู้สึกเหมือนเป็นหลานท่านจริงๆ
เคยถามคุณป้าว่าหลานชื่ออะไร? คำตอบคือ "ชลลดา" เพราะมากนะคะ!
ที่หนูอยากรู้และอยากให้ท่านเล่าเรื่องของเธอให้ฟัง ก็เพราะหนูมาขออาศัยอยู่ในห้องของเธอไงคะ...และหนูก็ทราบว่า "คุณชล" อายุเท่าหนูเป๊ะเลย! เธอเป็นลูกของลูกสาวคุณป้า ซึ่งมีร้านอาหารไทยอยู่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น คุณป้าเรวดีเลี้ยงคุณชลลดามาตั้งแต่เกิด ท่านรักของท่านมาก
ห้องคุณชลลดาทาสีชมพูอ่อน คุณป้าเคยพูดตลกๆ ว่า
"รู้มั้ยห้องสีชมพูน่ะยุงไม่กัด ยุงมันกลัวสีชมพู"
ในห้องนี้มีรูปของคุณชลลดาด้วยค่ะ เธอสวยเชียวละ หนูตั้งไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่ได้เก็บลงลิ้นชัก เพราะหนูมาคิดว่าตัวเองแค่มาขออาศัย ห้องนี้น่ะของคุณชลลดา! หนูต้องเคารพสถานที่ จริงไหมคะ?
แต่มันไม่แค่นั้นซีคะ หนูแปลกใจสายตาของตัวเองเวลาส่องกระจก สายตาหนูเพี้ยนไป หรือกระจกมันหลอกก็ไม่รู้ เพราะหน้าตาของหนูแปลกๆ ไป ไม่เหมือนตัวหนูเองเลย!
พออยู่ได้ครบสัปดาห์ ความฝันก็เริ่มน่ากลัวขึ้น...
คืนหนึ่ง ขณะที่รู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น มีผู้หญิงมานั่งข้างเตียง เธอเอียงคอมองมาแบบยิ้มๆ ตอนนั้นหนูรู้สึกเปลี้ยๆ แขนขาอ่อนแรงไปหมด แต่ก็พยายามเพ่งให้ชัดๆ และเห็นถนัดตาว่าเธอคือคุณชลลดานั่นเอง!
ใจหนึ่งหนูคิดว่า...เอ๊ะ! เธอกลับมาแล้วเรอะ ถึงได้มานั่งตรงนี้? แต่อีกใจก็เริ่มหวาดๆ มันเป็นเรื่องผิดปกติมากๆ คือ...มันชักยังไงๆ แล้วซิ! คุณชลลดาบอกว่าหนูน่ารัก และพูดต่ออย่างน่าขนลุกว่า "ไปอยู่ด้วยกันมั้ย?"
ทันใดนั้นเอง ประโยคนี้ทำให้หนูนึกได้ว่า เธอต้องไม่ใช่คนที่ยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ เธอถามหนูแบบนี้ได้ไง?
โดยฉับพลัน หน้าของเธอเปลี่ยนไป...จากสาวสวยกลายเป็นใบหน้าของคนตาย...มันซีด แห้ง ปากดำ อ้าปากหวอ...ดวงตาลืมค้างแต่ไร้แวว!
หนูร้องกรี๊ดแล้วสะบัดหลุดจากอาการหนักๆ ไปทั้งร่างคล้ายผีอำ ทันที่ขยับแขนได้ หนูก็รีบเปิดไฟหัวเตียง...อากาศเย็นยะเยือกจนขนลุกซู่ ห้องทั้งห้องดูหลอนมาก หนูรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในห้องนี้ด้วย!!
ใครจะนอนต่อล่ะคะ? หนูถลันออกจากห้องลงไปที่เรือนคนใช้ ไปเคาะประตูพี่สมใจ เธอเปิดรับหนูแล้วพูดว่า "โดนแล้วสิ?!"
หนูไม่โกรธคุณป้าเรวดีหรอกค่ะ สงสารท่านด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องขอกราบลาไปหาหอพักราคาไม่แพงนักดีกว่า...
หนูเข้าใจว่าท่านเหงา และอยากให้หนูไปเป็นตัวแทนหลานท่าน...
แหม! เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ คนตายแล้วชวนไปอยู่ด้วย มันน่ากลัวน้อยอยู่เรอะคะนั่น! ถึงยังไงทุกวันนี้หนูก็ยังไปเยี่ยมคุณป้าเรวดีเสมอค่ะ เพียงแต่ไม่ย่างกรายไปที่ห้องนั้น...แม้แต่จะเงยหน้ามองขึ้นไปที่หน้าต่างยังไม่กล้าเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 4 มิถุนายน 2551
30 เมษายน 2560
หนูผี!
"หลานออม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณพเนจร
"ออม! คืนนี้มานอนเป็นเพื่อนยายนะ...ยายกลัว!"
คุณยายบอกกับผมอย่างน่าสงสาร สิ่งที่คุณยายกลัวก็คือเสียงประหลาดคล้ายตัวอะไรมาวิ่งหนักๆ อยู่ในห้อง มันหลอนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องนอนมืดๆ อยู่คนเดียว
บ้านผมมีเนื้อที่เกือบสองไร่อยู่แถวบางนานี่เอง...ในอาณาจักรเล็กๆ ของเรานี้มีคฤหาสน์ใหญ่ของคุณตาคุณยาย แม่กับน้าๆ ของผมก็เติบโตที่นี่ สมัยก่อนน่ะผู้คนคึกคักไปทั้งบ้าน ทั้งนายทั้งบ่าว แต่ตอนนี้น้าๆ แต่งงานแยกกันไปหมดแล้ว เหลือแต่น้าแก้วที่นอนห้องเดียวกับคุณยาย สวนคุณตาอยู่อีกปีกหนึ่งของตัวตึก ไกลจากห้องคุณยายเอาการอยู่
แม่ผมเมื่อแต่งงานก็ไม่ได้ย้ายไปไหน แต่ปลูกเรือนเล็กๆ ชั้นเดียวอยู่กับสี่คนพ่อแม่ลูก คือตัวผมกับน้องชาย เรือนของเราห่างจากตัวตึกใหญ่พอสมควร
ทุกคืนวันหยุดสุดสัปดาห์ น้าแก้วจะไปหัวหินเพื่อดูกิจการรีสอร์ตของเราที่นั่น คุณยายก็จะนอนตามลำพัง ดูๆ แล้วก็เวิ้งว้างเหมือนกันเพราะปิดไฟมืดตึ๊ดตื๋อทั้งตึก บางคืนผมมองขึ้นไปแล้วใจหาย อดสงสารคุณยายไม่ได้ว่าคงจะเหงามาก
บางคืนผมนึกอยากจะไปนอนเป็นเพื่อน แต่พวกผมน่ะนอนดึกครับ บางทีตี 3 ตี 4 แน่ะ เพราะเวลาหยุดเทอมหรือวันหยุดสัปดาห์ ผมชอบบรรยากาศกลางคืนมาก ผมกับน้องจะไม่นอน แต่ออกมานั่งเล่นกีตาร์ ฟังเรื่องผีจากรายการพี่ป๋อง หรือนั่งฟังเพลงอย่างได้อารมณ์ก็เลยปล่อยให้คุณยายนอนคนเดียว...แต่ไม่ต้องกลัวหรอก ผมทำหน้าที่ยามเฝ้าบ้านอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านนี่เอง!
มีอะไรอย่างหนึ่งในบ้านซึ่งเกิดเป็นประจำทุกคืน จนเรามองเป็นเรื่องปกติธรรมดา ผมว่าบ้านของคุณผู้อ่านก็คงมีเหมือนกัน นั่นคือเสียงวิ่งบนหลังคา หรือฝนฝ้าเพดาน มันคงเป็นหนูหรือกระรอก หรืออาจจะเป็นอีเหมียวด้วยซ้ำ
...บางทีมันวิ่งไล่กันตึงๆ เหมือนฟ้าจะถล่ม ฟังแล้วเสียวไส้จริงๆ
เคยมีอยู่คืนหนึ่งที่ผมอยู่ตามลำพัง เพราะพ่อแม่กับน้องชายไปต่างจังหวัด ผมนอนฟังเสียงไล่โครมครามไปทั้งผืนฝ้าเพดานแล้วก็นึกขนลุก แต่ก็ไม่มีอะไร
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง คุณยายมาเล่าว่า คุณตานั่งดูทีวีในห้องคุณยายตอนกลางวัน และได้ยินเสียงประหลาด พอคุณยายกลับจากข้างนอก คุณตาก็บอกว่าในห้องนอนคุณยายมีอะไรแปลกๆ ทีแรกคุณยายไม่เชื่อ คืนนั้นเป็นคืนวันศุกร์ที่ต้องนอนคนเดียว ปรากฏว่าคุณยายโดนเต็มๆ เลยครับ
ทีแรกมันวิ่งบนหลังคาเกรียวกราว แต่จู่ๆ มันก็ย้ายมาวิ่งกันข้างล่าง คือภายในห้องนอน รอบๆ เตียงคุณยายเลยทีเดียว!
ผมฟังแล้วโมโหเลยละครับ มีอย่างที่ไหน มาหลอกคุณยายผมได้ เลยปลอบท่านว่าไม่มีอะไรหรอก หนูเท่านั้นน่ะ! ผมโกรธจริงๆ ด้วย นี่บ้านผมนะ คุณตาคุณยายอยู่กันมาเป็นสิบๆ ปีไม่เคยมีอะไร ผีสางไม่เคยปรากฏ นี่มาจากไหนเนี่ย...มาระรานเราได้ไง?
คืนวันเสาร์ ผมให้คุณยายมานอนห้องผม ตัวผมเองขึ้นไปนอนห้องคุณยายสลับกัน ทีแรกคุณยายไม่ยอมเพราะห่วงผม กลัวหลานจะโดนผีหลอก! แต่ผมบอกว่าไม่ต้องห่วง ผมคิดว่ามันเป็นหนู จะจับมันให้ได้จริงๆ ว่าแล้วก็เอากรงดักหนูขึ้นไปด้วย!
บรรยากาศบนห้องคุณยายนั้น ปกติแล้วอบอุ่นน่าสบายมาก แต่คืนวันเสาร์นั่นผมขนลุกพิกลๆ
หลังจากดูรายการเอเอฟจบ ราวสองยามกว่าๆ ผมก็ปิดทีวี ปิดไฟ นอนลืมตาอยู่บนเตียง ห้องมืดสลัวเพราะมีแสงไฟข้างนอกผ่านหน้าต่างเข้ามา แอร์เย็นฉ่ำ สรรพสิ่งเงียบสงบ...แต่แล้วก็มีเสียงคนย่ำเท้าไปมาบนฝ้าเพดาน
เออ...จริงนะ ผมขนหัวลุก...มันไม่เหมือนเสียงหนูสักหน่อย มันเป็นเสียงคนเดินหนักๆ สักพักมันก็เริ่มวิ่ง เพดานดังตึงๆ แล้วก็เงียบ เดี๋ยวก็วิ่งอีก...
แค่ไม่ถึงอึดใจ เสียงนั้นก็ลงมาดังข้างล่าง คือในห้องผมนี่แหละ!
แปลกมาก...ห้องที่มีแสงสลัวกลับมืดลง มืดสนิทเหมือนเราเข้าถ้ำน่ะครับ แล้วก็มีเสียงกระทืบเท้าดังมากๆ อยู่หลังโต๊ะที่ตั้งทีวี ห่างจากผมราว 5-6 ก้าวเท่านั้นเอง
ผมลุกขึ้นนั่งตัวตรง ปกติผมกลัวผี แต่ตอนนี้บอกแล้วว่าโกรธมาก มันเรื่องอะไร? บ้านผมแท้ๆ ทำมายุ่ง บุกรุกอย่างนี้ได้ไง...มันไม่ถูกต้องจริงไหมครับ? ผมตวาดว่า "หยุดนะ! มาทางไหนไปทางนั้นเลย ผีก็อยู่ส่วนผี นี่มันบ้านเรา เข้ามาไม่ได้ ออกไปเดี๋ยวนี้"
เชื่อไหมครับ? ห้องสว่างขึ้นเหมือนเดิม เออ...มันกลัวผมแน่ะ! ผมรู้สึกได้เลยว่ามันไปแล้ว ไม่มีอะไรอยู่ในห้องอีก ผมสำทับเสียงเขียวว่า "อย่ามาอีกนะ!"
รุ่งขึ้น ผมบอกคุณยายว่าจับหนูได้แล้ว ผมไม่บอกหรอกครับว่ามันเป็นผี ...จากวันนั้นมาถึงวันนี้เกือบ 7 วันแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 3 มิถุนายน 2551
"ออม! คืนนี้มานอนเป็นเพื่อนยายนะ...ยายกลัว!"
คุณยายบอกกับผมอย่างน่าสงสาร สิ่งที่คุณยายกลัวก็คือเสียงประหลาดคล้ายตัวอะไรมาวิ่งหนักๆ อยู่ในห้อง มันหลอนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องนอนมืดๆ อยู่คนเดียว
บ้านผมมีเนื้อที่เกือบสองไร่อยู่แถวบางนานี่เอง...ในอาณาจักรเล็กๆ ของเรานี้มีคฤหาสน์ใหญ่ของคุณตาคุณยาย แม่กับน้าๆ ของผมก็เติบโตที่นี่ สมัยก่อนน่ะผู้คนคึกคักไปทั้งบ้าน ทั้งนายทั้งบ่าว แต่ตอนนี้น้าๆ แต่งงานแยกกันไปหมดแล้ว เหลือแต่น้าแก้วที่นอนห้องเดียวกับคุณยาย สวนคุณตาอยู่อีกปีกหนึ่งของตัวตึก ไกลจากห้องคุณยายเอาการอยู่
แม่ผมเมื่อแต่งงานก็ไม่ได้ย้ายไปไหน แต่ปลูกเรือนเล็กๆ ชั้นเดียวอยู่กับสี่คนพ่อแม่ลูก คือตัวผมกับน้องชาย เรือนของเราห่างจากตัวตึกใหญ่พอสมควร
ทุกคืนวันหยุดสุดสัปดาห์ น้าแก้วจะไปหัวหินเพื่อดูกิจการรีสอร์ตของเราที่นั่น คุณยายก็จะนอนตามลำพัง ดูๆ แล้วก็เวิ้งว้างเหมือนกันเพราะปิดไฟมืดตึ๊ดตื๋อทั้งตึก บางคืนผมมองขึ้นไปแล้วใจหาย อดสงสารคุณยายไม่ได้ว่าคงจะเหงามาก
บางคืนผมนึกอยากจะไปนอนเป็นเพื่อน แต่พวกผมน่ะนอนดึกครับ บางทีตี 3 ตี 4 แน่ะ เพราะเวลาหยุดเทอมหรือวันหยุดสัปดาห์ ผมชอบบรรยากาศกลางคืนมาก ผมกับน้องจะไม่นอน แต่ออกมานั่งเล่นกีตาร์ ฟังเรื่องผีจากรายการพี่ป๋อง หรือนั่งฟังเพลงอย่างได้อารมณ์ก็เลยปล่อยให้คุณยายนอนคนเดียว...แต่ไม่ต้องกลัวหรอก ผมทำหน้าที่ยามเฝ้าบ้านอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านนี่เอง!
มีอะไรอย่างหนึ่งในบ้านซึ่งเกิดเป็นประจำทุกคืน จนเรามองเป็นเรื่องปกติธรรมดา ผมว่าบ้านของคุณผู้อ่านก็คงมีเหมือนกัน นั่นคือเสียงวิ่งบนหลังคา หรือฝนฝ้าเพดาน มันคงเป็นหนูหรือกระรอก หรืออาจจะเป็นอีเหมียวด้วยซ้ำ
...บางทีมันวิ่งไล่กันตึงๆ เหมือนฟ้าจะถล่ม ฟังแล้วเสียวไส้จริงๆ
เคยมีอยู่คืนหนึ่งที่ผมอยู่ตามลำพัง เพราะพ่อแม่กับน้องชายไปต่างจังหวัด ผมนอนฟังเสียงไล่โครมครามไปทั้งผืนฝ้าเพดานแล้วก็นึกขนลุก แต่ก็ไม่มีอะไร
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง คุณยายมาเล่าว่า คุณตานั่งดูทีวีในห้องคุณยายตอนกลางวัน และได้ยินเสียงประหลาด พอคุณยายกลับจากข้างนอก คุณตาก็บอกว่าในห้องนอนคุณยายมีอะไรแปลกๆ ทีแรกคุณยายไม่เชื่อ คืนนั้นเป็นคืนวันศุกร์ที่ต้องนอนคนเดียว ปรากฏว่าคุณยายโดนเต็มๆ เลยครับ
ทีแรกมันวิ่งบนหลังคาเกรียวกราว แต่จู่ๆ มันก็ย้ายมาวิ่งกันข้างล่าง คือภายในห้องนอน รอบๆ เตียงคุณยายเลยทีเดียว!
ผมฟังแล้วโมโหเลยละครับ มีอย่างที่ไหน มาหลอกคุณยายผมได้ เลยปลอบท่านว่าไม่มีอะไรหรอก หนูเท่านั้นน่ะ! ผมโกรธจริงๆ ด้วย นี่บ้านผมนะ คุณตาคุณยายอยู่กันมาเป็นสิบๆ ปีไม่เคยมีอะไร ผีสางไม่เคยปรากฏ นี่มาจากไหนเนี่ย...มาระรานเราได้ไง?
คืนวันเสาร์ ผมให้คุณยายมานอนห้องผม ตัวผมเองขึ้นไปนอนห้องคุณยายสลับกัน ทีแรกคุณยายไม่ยอมเพราะห่วงผม กลัวหลานจะโดนผีหลอก! แต่ผมบอกว่าไม่ต้องห่วง ผมคิดว่ามันเป็นหนู จะจับมันให้ได้จริงๆ ว่าแล้วก็เอากรงดักหนูขึ้นไปด้วย!
บรรยากาศบนห้องคุณยายนั้น ปกติแล้วอบอุ่นน่าสบายมาก แต่คืนวันเสาร์นั่นผมขนลุกพิกลๆ
หลังจากดูรายการเอเอฟจบ ราวสองยามกว่าๆ ผมก็ปิดทีวี ปิดไฟ นอนลืมตาอยู่บนเตียง ห้องมืดสลัวเพราะมีแสงไฟข้างนอกผ่านหน้าต่างเข้ามา แอร์เย็นฉ่ำ สรรพสิ่งเงียบสงบ...แต่แล้วก็มีเสียงคนย่ำเท้าไปมาบนฝ้าเพดาน
เออ...จริงนะ ผมขนหัวลุก...มันไม่เหมือนเสียงหนูสักหน่อย มันเป็นเสียงคนเดินหนักๆ สักพักมันก็เริ่มวิ่ง เพดานดังตึงๆ แล้วก็เงียบ เดี๋ยวก็วิ่งอีก...
แค่ไม่ถึงอึดใจ เสียงนั้นก็ลงมาดังข้างล่าง คือในห้องผมนี่แหละ!
แปลกมาก...ห้องที่มีแสงสลัวกลับมืดลง มืดสนิทเหมือนเราเข้าถ้ำน่ะครับ แล้วก็มีเสียงกระทืบเท้าดังมากๆ อยู่หลังโต๊ะที่ตั้งทีวี ห่างจากผมราว 5-6 ก้าวเท่านั้นเอง
ผมลุกขึ้นนั่งตัวตรง ปกติผมกลัวผี แต่ตอนนี้บอกแล้วว่าโกรธมาก มันเรื่องอะไร? บ้านผมแท้ๆ ทำมายุ่ง บุกรุกอย่างนี้ได้ไง...มันไม่ถูกต้องจริงไหมครับ? ผมตวาดว่า "หยุดนะ! มาทางไหนไปทางนั้นเลย ผีก็อยู่ส่วนผี นี่มันบ้านเรา เข้ามาไม่ได้ ออกไปเดี๋ยวนี้"
เชื่อไหมครับ? ห้องสว่างขึ้นเหมือนเดิม เออ...มันกลัวผมแน่ะ! ผมรู้สึกได้เลยว่ามันไปแล้ว ไม่มีอะไรอยู่ในห้องอีก ผมสำทับเสียงเขียวว่า "อย่ามาอีกนะ!"
รุ่งขึ้น ผมบอกคุณยายว่าจับหนูได้แล้ว ผมไม่บอกหรอกครับว่ามันเป็นผี ...จากวันนั้นมาถึงวันนี้เกือบ 7 วันแล้ว ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 3 มิถุนายน 2551
02 มกราคม 2560
ทาสยมทูต
"บานชื่น" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากเพื่อนบ้าน
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องสูบบุหรี่ ดิฉันสังเกตว่าพวกผู้ชายไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก อาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ใครๆ ก็สูบกัน เขาเองก็เคยสูบบุหรี่มาก่อน ทุกวันนี้บางคนเลิกได้แต่อีกหลายๆคนยังสูบอยู่...ดิฉันเองนอกจากจะไม่สูบแล้วยังรังเกียจมากๆ อีกด้วย
ไม่ใช่มีอคติอะไรหรอก แต่เราเหม็นกลิ่นควันมากกว่าจะคิดถึงเรื่องสุขภาพ เพราะสมัยก่อนไม่ค่อยมีการต่อต้าน โดยเฉพาะการห้ามสูบบุหรี่ตามที่สาธารณะอย่างเป็นการเป็นงาน และเอาจริงเอาจังเหมือนสมัยนี้
จะทำยังไงได้ล่ะคะ? ถึงจะเหม็นแสนเหม็นก็ต้องทนเอา!
ไม่รู้ว่าจะสูบไปหาสวรรค์วิมานอะไร! ทำให้นิ้วเหลือง ปากเขียว ฟันดำเขรอะ ลมหายใจเหม็น ตามเสื้อผ้าก็สกปรกด้วยเถ้าบุหรี่ แถมเสียเงินเสียทองอีกต่างหาก
ที่สำคัญมากๆ ก็คือบุหรี่ทำให้เกิดโรคสารพัด ทั้งมะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง มะเร็งปาก ลิ้น กระเพาะอาหารลำไส้และผิวหนัง ทำให้เส้นเลือดหัวใจตีบ อาจจะทำให้หัวใจวายง่ายๆ โรคสะเก็ดเงินที่เคยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นรังแค โรคภูมิแพ้ต่างๆ ก็มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการสูบบุหรี่นี่แหละค่ะ
คนติดบุหรี่ส่วนมากบอกว่าอยากเลิกสูบ ขนาดเคี้ยวหมากฝรั่ง ดื่มน้ำมากๆ งดน้ำ ชากาแฟ อาบน้ำบ่อยๆ ไม่กินอาหารรสจัด หลายๆ คนเคยใจแข็งเลิกเสพควันพิษได้ระยะหนึ่ง แต่แล้วก็กลับไปหามันอีกเพราะแพ้ใจตัวเอง!
บ้างก็คิดง่ายๆ ว่าเคยเลิกได้แล้ว จะขอสูบสักมวนสองมวนเพื่อให้รางวัลตัวเองแล้วก็ไม่สูบอีก หรือจะเลิกเมื่อไหร่ก็ได้...แต่ของจริงน่ะ การกลับไปสูบมวนเดียวก็เท่ากับเริ่มต้นใหม่ กลายเป็นทาสของมันต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด
การรณรงค์ที่เข้มข้นขึ้นได้ข่าวว่าประสบความสำเร็จน่าชื่นใจค่ะ
ปีก่อนมีผู้ชายสูบบุหรี่ถึง 56 เปอร์เซ็นต์ แต่ปีกลายลดเหลือ 37 เปอร์เซ็นต์ น่าหนักใจตรงที่เด็กๆ อายุ 14-15 หันไปติดบุหรี่กันมากขึ้นพอๆ กับเยาวชนอายุ 17-24 ปี คือเอาอย่างผู้ใหญ่เพราะคิดว่าเท่...ไม่รู้หรอกว่าผู้ใหญ่ที่เห็นน่ะเขาอยากเลิกสูบบุหรี่แค่ไหน?
เพราะพิษภัยของบุหรี่นี่เองที่ทำให้ดิฉันประสบกับเรื่องขนหัวลุกเต็มเปา!
ครอบครัวดิฉันไม่มีใครสูบบุหรี่ ทั้งพ่อแม่ สามีและลูกชายวัยรุ่น บอกตรงๆ ว่า ดิฉันซีเรียสเรื่องนี้มากๆ ค่ะ
พี่ไพสันต์ - คนข้างบ้านติดบุหรี่งอมแงมขนาดสูบวันละ 2 ซอง แม้ว่าจะทำงานมีรายได้สูงก็จริง แต่พี่ปุ้ยผู้ภรรยาเคยมาปรับทุกข์กับดิฉันว่า ค่าบุหรี่ของสามีตกเดือนละสามพันกว่าบาท แต่ยังไม่ร้ายเท่ากับนำควันนรกมาใส่บ้านของตัวเอง!
สังเกตว่าพี่ไพสันต์มักจะกระแอมกระไอ ได้ยินเสียงขากข้ามรั้วมาบ่อยๆ หน้าซีด ผิวกร้าน ดูแก่ก่อนวัย เดินหลังค่อมนิดๆ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นคนผอมมากหรืออ่อนแอขี้โรคกันแน่
พี่ปุ้ยเล่าว่าสามีอยากเลิกสูบมาเป็นปีแล้ว พยายามลดลงจากวันละ 3 ซองลงมาเรื่อยๆ เคยอดได้ไม่กี่วันก็กลับไปสูบอีก เพราะกลายเป็นคนหงุดหงิด เจ้าอารมณ์ โมโหง่ายด้วย เรื่องไม่เป็นเรื่อง รูทั้งรู้ว่าเพราะพิษสงของนิโคตินแท้ๆ แต่ก็แพ้ใจตัวเองจนหันกลับไปสูบมันอีก
สงสารสามีก็สงสาร แต่ไม่รู้จะห้ามปรามยังไง ได้แต่ขอร้องว่าอย่าสูบในบ้าน เพราะลูกเมียจะได้รับพิษร้ายจากควันนรกไปด้วย ยังดีที่พี่ไพสันต์ไม่ดื้อรั้น อยากบุหรี่เต็มทนก็ออกไปสูบนอกบ้าน...
ในที่สุดก็ล้มป่วยด้วยหลอดเลือดหัวใจตีบ!
เพื่อนบ้านได้ข่าวว่าอาการหนัก แพทย์ต้องผ่าตัดทำบายพาส...แต่ยังไม่มีใครไปเยี่ยมเพราะพี่ปุ้ยขอร้องไว้ ได้แต่เล่าอาการว่าเหนื่อยง่ายจนเป็นลมบ่อยๆ แพทย์เทสต์ดูด้วยการให้วิ่งสายพาน แล้วฉีดสีเข้าเส้นเลือดหัวใจจนพบการอุดตันถึง 3 เส้น เกินกว่าจะรักษาด้วยวิธีบอลฃูนได้...ต้องนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลไม่น้อยกว่า 7 วัน
เย็นวันเสาร์นั้น ดิฉันกำลังเดินดูต้นไม้ในกระถางที่สนามและข้างรั้ว ท้องฟ้าหนักอึ้งด้วยเมฆฝน ลมพัดค่อนข้างแรง...ไม่รู้นึกยังไงทำให้หันไปมองทงบ้านพี่ไพสันต์ เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ได้ยินเสียงขาก...เสียงกระแอม...แล้วกลิ่นควันบุหรี่เหม็น ก็ลอยตามลมมาเข้าจมูก
...เบือนหน้าหนีพลางย่นจมูก พริบตานั้นเองก็นึกได้..พี่ไพสันต์กลับบ้านมาแล้ว! แต่ยังสูบบุหรี่อีกหรือนี่? คนอะไรไม่รักตัวเอง...แจ็บแล้วไม่รู้จักจำ!
ถือโอกาสไปเยี่ยมเลยดีกว่า...เมื่อเดินเข้าบ้านนั้นก็เอะใจที่พบแต่ความเงียบเชียบ พอดีแม่บ้านชื่อป้าไหมโผล่ออกมา บอกว่าพี่ปุ้ยกับลูกๆ ไปเยี่ยมพี่ไพสันต์ยังไม่กลับ! เล่นเอาดิฉันยืนตะลึงแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
เสียงขาก...เสียงกระแอมเมื่อตะกี้ของพี่ไพสันต์แน่ๆ ดิฉันได้ยินมาเป็นปีๆ แล้ว ไม่มีทางจะหูแว่วไปเองแน่ๆ แต่เขายังอยู่ที่โรงพยาบาล...เป็นไปได้ยังไงกัน?
พี่ปุ้ยกับลูกๆ กลับบ้านตอนค่ำ ปรากฏว่าพี่ไพสันต์ปลอดภัยค่ะ เสียงที่ดิฉันได้ยินอาจจะเป็นเจตภูตคนเป็นก็ได้...แต่ท่านที่ยังไม่เลิกสูบบุหรี่อาจจะไม่โชคดีเหมือนพี่ไพสันต์นะคะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 2 มิถุนายน 2551
เมื่อเอ่ยถึงเรื่องสูบบุหรี่ ดิฉันสังเกตว่าพวกผู้ชายไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก อาจจะเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดา ใครๆ ก็สูบกัน เขาเองก็เคยสูบบุหรี่มาก่อน ทุกวันนี้บางคนเลิกได้แต่อีกหลายๆคนยังสูบอยู่...ดิฉันเองนอกจากจะไม่สูบแล้วยังรังเกียจมากๆ อีกด้วย
ไม่ใช่มีอคติอะไรหรอก แต่เราเหม็นกลิ่นควันมากกว่าจะคิดถึงเรื่องสุขภาพ เพราะสมัยก่อนไม่ค่อยมีการต่อต้าน โดยเฉพาะการห้ามสูบบุหรี่ตามที่สาธารณะอย่างเป็นการเป็นงาน และเอาจริงเอาจังเหมือนสมัยนี้
จะทำยังไงได้ล่ะคะ? ถึงจะเหม็นแสนเหม็นก็ต้องทนเอา!
ไม่รู้ว่าจะสูบไปหาสวรรค์วิมานอะไร! ทำให้นิ้วเหลือง ปากเขียว ฟันดำเขรอะ ลมหายใจเหม็น ตามเสื้อผ้าก็สกปรกด้วยเถ้าบุหรี่ แถมเสียเงินเสียทองอีกต่างหาก
ที่สำคัญมากๆ ก็คือบุหรี่ทำให้เกิดโรคสารพัด ทั้งมะเร็งปอด ถุงลมโป่งพอง มะเร็งปาก ลิ้น กระเพาะอาหารลำไส้และผิวหนัง ทำให้เส้นเลือดหัวใจตีบ อาจจะทำให้หัวใจวายง่ายๆ โรคสะเก็ดเงินที่เคยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นรังแค โรคภูมิแพ้ต่างๆ ก็มีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากการสูบบุหรี่นี่แหละค่ะ
คนติดบุหรี่ส่วนมากบอกว่าอยากเลิกสูบ ขนาดเคี้ยวหมากฝรั่ง ดื่มน้ำมากๆ งดน้ำ ชากาแฟ อาบน้ำบ่อยๆ ไม่กินอาหารรสจัด หลายๆ คนเคยใจแข็งเลิกเสพควันพิษได้ระยะหนึ่ง แต่แล้วก็กลับไปหามันอีกเพราะแพ้ใจตัวเอง!
บ้างก็คิดง่ายๆ ว่าเคยเลิกได้แล้ว จะขอสูบสักมวนสองมวนเพื่อให้รางวัลตัวเองแล้วก็ไม่สูบอีก หรือจะเลิกเมื่อไหร่ก็ได้...แต่ของจริงน่ะ การกลับไปสูบมวนเดียวก็เท่ากับเริ่มต้นใหม่ กลายเป็นทาสของมันต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด
การรณรงค์ที่เข้มข้นขึ้นได้ข่าวว่าประสบความสำเร็จน่าชื่นใจค่ะ
ปีก่อนมีผู้ชายสูบบุหรี่ถึง 56 เปอร์เซ็นต์ แต่ปีกลายลดเหลือ 37 เปอร์เซ็นต์ น่าหนักใจตรงที่เด็กๆ อายุ 14-15 หันไปติดบุหรี่กันมากขึ้นพอๆ กับเยาวชนอายุ 17-24 ปี คือเอาอย่างผู้ใหญ่เพราะคิดว่าเท่...ไม่รู้หรอกว่าผู้ใหญ่ที่เห็นน่ะเขาอยากเลิกสูบบุหรี่แค่ไหน?
เพราะพิษภัยของบุหรี่นี่เองที่ทำให้ดิฉันประสบกับเรื่องขนหัวลุกเต็มเปา!
ครอบครัวดิฉันไม่มีใครสูบบุหรี่ ทั้งพ่อแม่ สามีและลูกชายวัยรุ่น บอกตรงๆ ว่า ดิฉันซีเรียสเรื่องนี้มากๆ ค่ะ
พี่ไพสันต์ - คนข้างบ้านติดบุหรี่งอมแงมขนาดสูบวันละ 2 ซอง แม้ว่าจะทำงานมีรายได้สูงก็จริง แต่พี่ปุ้ยผู้ภรรยาเคยมาปรับทุกข์กับดิฉันว่า ค่าบุหรี่ของสามีตกเดือนละสามพันกว่าบาท แต่ยังไม่ร้ายเท่ากับนำควันนรกมาใส่บ้านของตัวเอง!
สังเกตว่าพี่ไพสันต์มักจะกระแอมกระไอ ได้ยินเสียงขากข้ามรั้วมาบ่อยๆ หน้าซีด ผิวกร้าน ดูแก่ก่อนวัย เดินหลังค่อมนิดๆ ไม่รู้ว่าเพราะเป็นคนผอมมากหรืออ่อนแอขี้โรคกันแน่
พี่ปุ้ยเล่าว่าสามีอยากเลิกสูบมาเป็นปีแล้ว พยายามลดลงจากวันละ 3 ซองลงมาเรื่อยๆ เคยอดได้ไม่กี่วันก็กลับไปสูบอีก เพราะกลายเป็นคนหงุดหงิด เจ้าอารมณ์ โมโหง่ายด้วย เรื่องไม่เป็นเรื่อง รูทั้งรู้ว่าเพราะพิษสงของนิโคตินแท้ๆ แต่ก็แพ้ใจตัวเองจนหันกลับไปสูบมันอีก
สงสารสามีก็สงสาร แต่ไม่รู้จะห้ามปรามยังไง ได้แต่ขอร้องว่าอย่าสูบในบ้าน เพราะลูกเมียจะได้รับพิษร้ายจากควันนรกไปด้วย ยังดีที่พี่ไพสันต์ไม่ดื้อรั้น อยากบุหรี่เต็มทนก็ออกไปสูบนอกบ้าน...
ในที่สุดก็ล้มป่วยด้วยหลอดเลือดหัวใจตีบ!
เพื่อนบ้านได้ข่าวว่าอาการหนัก แพทย์ต้องผ่าตัดทำบายพาส...แต่ยังไม่มีใครไปเยี่ยมเพราะพี่ปุ้ยขอร้องไว้ ได้แต่เล่าอาการว่าเหนื่อยง่ายจนเป็นลมบ่อยๆ แพทย์เทสต์ดูด้วยการให้วิ่งสายพาน แล้วฉีดสีเข้าเส้นเลือดหัวใจจนพบการอุดตันถึง 3 เส้น เกินกว่าจะรักษาด้วยวิธีบอลฃูนได้...ต้องนอนพักอยู่ที่โรงพยาบาลไม่น้อยกว่า 7 วัน
เย็นวันเสาร์นั้น ดิฉันกำลังเดินดูต้นไม้ในกระถางที่สนามและข้างรั้ว ท้องฟ้าหนักอึ้งด้วยเมฆฝน ลมพัดค่อนข้างแรง...ไม่รู้นึกยังไงทำให้หันไปมองทงบ้านพี่ไพสันต์ เกือบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ได้ยินเสียงขาก...เสียงกระแอม...แล้วกลิ่นควันบุหรี่เหม็น ก็ลอยตามลมมาเข้าจมูก
...เบือนหน้าหนีพลางย่นจมูก พริบตานั้นเองก็นึกได้..พี่ไพสันต์กลับบ้านมาแล้ว! แต่ยังสูบบุหรี่อีกหรือนี่? คนอะไรไม่รักตัวเอง...แจ็บแล้วไม่รู้จักจำ!
ถือโอกาสไปเยี่ยมเลยดีกว่า...เมื่อเดินเข้าบ้านนั้นก็เอะใจที่พบแต่ความเงียบเชียบ พอดีแม่บ้านชื่อป้าไหมโผล่ออกมา บอกว่าพี่ปุ้ยกับลูกๆ ไปเยี่ยมพี่ไพสันต์ยังไม่กลับ! เล่นเอาดิฉันยืนตะลึงแทบไม่เชื่อหูตัวเอง
เสียงขาก...เสียงกระแอมเมื่อตะกี้ของพี่ไพสันต์แน่ๆ ดิฉันได้ยินมาเป็นปีๆ แล้ว ไม่มีทางจะหูแว่วไปเองแน่ๆ แต่เขายังอยู่ที่โรงพยาบาล...เป็นไปได้ยังไงกัน?
พี่ปุ้ยกับลูกๆ กลับบ้านตอนค่ำ ปรากฏว่าพี่ไพสันต์ปลอดภัยค่ะ เสียงที่ดิฉันได้ยินอาจจะเป็นเจตภูตคนเป็นก็ได้...แต่ท่านที่ยังไม่เลิกสูบบุหรี่อาจจะไม่โชคดีเหมือนพี่ไพสันต์นะคะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 2 มิถุนายน 2551
30 ธันวาคม 2559
ควันมฤตยู
"แพร" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากเหยื่อควันพิษ
"เยาวชนรุ่นใหม่ต้านภัยบุหรี่!"
นั่นคือคำขวัญขององค์การอนามัยโลก ที่ดิฉันได้ยินทางวิทยุ และทีวีบ่อยๆ เนื่องใน "วันงดสูบบุหรี่โลก" ประจำปีนี้ บ้านเราก็มีการรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่กันทุกรูปแบบ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีและควรจะสนับสนุนกันมากๆ ค่ะ
บุหรี่ไม่มีอะไรดีเลย นอกจากพิษร้ายแรงล้วนๆ ไม่ว่าใครก็ทราบดี แต่ทำไมจึงยอมเสียเงินเสียทองไปหาซื้อควันพิษมาใส่ตัวเองก็ไม่ทราบ
ถ้าเป็นอันตรายกับพวกขี้ยาเท่านั้นก็ยังดี แต่พิษสงของบุหรี่ทำให้คนใกล้เคียงต้องเดือดร้อน รับเคราะห์ไปด้วยน่ะซีคะ เช่นพ่อบ้านสูบบุหรี่ ขี้ยาที่เดินสูบตามข้างถนนหรือยืนสูบหน้าตาเฉยที่ป้ายรถเมล์ ใครมองแล้วเบือนหน้าหนี หรือแม้แต่ยกมือปัดควันพิษไม่ให้เข้าจมูกคนพวกนี้ก็กลับทำหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้
ไม่ทราบว่ามีจิตสำนึกของคนปกติหรือเปล่าคะ?!
ดิฉันได้ข่าวว่าการเผยแพร่พิษร้ายของบุหรี่ ทำให้คนไทยที่ตกเป็นทาสมันได้ฉุกคิดเลิกเสียเงินซื้อความตายผ่อนส่งมาใส่ตัวได้ราวปีละสองแสนคน แต่น่าเสียใจที่มีคนรุ่นใหม่ริอ่านติดบุหรี่ถึงปีละสองแสนห้าหมื่นคนแน่ะค่ะ
ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น หลงผิดว่าการสูบบุหรี่เป็นสิ่งโก้เก๋ คาบบุหรี่แล้วดูเท่มาก!
เท่าที่ทราบ ผู้ที่ติดบุหรี่แต่อยากเลิกสูบมีถึง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนใหญ่ถอนตัวไม่สำเร็จเพราะแพ้ใจตัวเอง ถ้ายอมรับความหงุดหงิด ไม่สบายใจในช่วงวันแรกๆ ได้แล้ว ก็คงจะไม่หันไปหาเจ้าบุหรี่ตัวนิดๆ แต่อันตรายใหญ่หลวงได้สำเร็จ
สามีดิฉันเคยติดบุหรี่งอมแงมขนาดตื่นมาต้องคว้าบุหรี่ เข้าห้องน้ำก็ต้องสูบ กินอาหารเสร็จก็ต้องสูบ ยิ่งดื่มเหล้า เบียร์ หรือแม้แต่กาแฟก็ต้องมีบุหรี่อยู่ใกล้มือตลอด...ตอนที่ตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ สามีใช้วิธี "หักดิบ" ค่ะ!
ไม่ต้องทำอะไรมากนอกจากหยิบบุหรี่ ไลเตอร์ และที่เขี่ยบุหรี่โยนลงถังขยะทั้งหมด แล้วลืมไปเลยว่าโลกนี้มีบุหรี่!
เอาชนะใจตัวเองด้วยเรื่องแค่นี้ไม่สำเร็จ จะไปเอาชนะใครหรืออะไรได้เล่าคะ?
ญาติผู้ใหญ่และเพื่อนๆ รุ่นพี่ของดิฉันล้มตายเพราะพิษสงของบุหรี่หลายคนแล้วล่ะค่ะ เป็นมะเร็งปอด หลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจวาย ฯลฯ ส่วนที่ยังนอนแซ่วอยู่โรงพยาบาลและที่บ้านด้วยโรคถุงลมโป่งพองก็มี...ไปเยี่ยมแล้วเห็นภาพที่นอนแซ่ว รอคอยความตายอย่างทนทุกข์ทรมาน...รู้สึกหดหู่เกินจะบรรยาย ได้ค่ะ
แม้จะพูดไม่ได้ แต่สายตาเศร้าๆ ที่มองมา บ่งบอกว่าเสียใจและขอโทษลูกเมียที่เขาก่อกรรมขึ้นโดยไม่เจตนา...
ญาติมิตรที่ตายไปอย่างทุรนทุราย วิญญาณไม่มีวังสงบหรือไปสู่สุคติได้เด็ดขาด! บางรายก็มาเข้าฝัน ร้องห่มร้องไห้ขออภัยที่ต้องจากลูกเมียไปก่อนเวลาอันควร บางรายก็มาสะอึกสะอื้นคร่ำครวญในยามราตรี ทำให้สะดุ้งผวาไปตามๆ กัน
ดิฉันเคยประสบกับตัวเองเมื่อน้องสะใภ้ชื่อจิตราต้องตายจากไปเพราะควันบุหรี่
จิตราไม่ได้สูบเองหรอกค่ะ แต่เธอเปิดร้านอาหารที่มีดนตรีย่านซอยอารีย์ มีทั้งโต๊ะที่สนามและทั้งห้องแอร์ด้านใน...เมื่อราวสิบปีก่อน ยังไม่มีการเข้มงวดเรื่องห้ามสูบบุหรี่ ลูกค้าที่เป็นคอสุราและเบียร์ก็พ่นควันโขมงแทบทุกโต๊ะ
น้องชายดิฉันไม่สูบบุหรี่ แต่จิตราได้รับควันพิษแทบจะทั้งวันทั้งคืนก็ว่าได้ เธอเคยบ่นตอนแรกๆ ต่อมาก็คงชิน...จนกระทั่งซูบผอม ซีดเซียว ไอแห้งๆ มีเลือดปนเสมหะ...เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย รักษาตัวอยู่ได้ราวสองเดือนก็เสียชีวิต
วิญญาณจิตราคงไม่ยอมรับรู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว เลยกลับไปที่ร้านอาหารของเธอ!
ระหว่างนั้นมีน้าแหวน-ญาติห่างๆ มาคอยดูแลร้านแทน จนกระทั่งเสร็จงานศพจิตรา น้าแหวนก็รับอาสาจัดการเรื่องร้านให้ น้องชายดิฉันมีลูกคนเดียว บอกว่าหมดกะจิตกะใจจะทำร้านต่อแล้ว ปล่อยให้น้าแหวนดูแลทั้งหมด...เรื่องเงินทองไว้ใจได้ค่ะ
เรื่องน่าขนลุกเกิดขึ้นเมื่อเผาจิตราได้ไม่กี่วัน เพื่อนบ้านก็เห็นจิตราเดินเข้าเดินออกที่ร้าน แม้แต่พนักงานเก่าๆ ก็เห็นผู้หญิงเดินวับๆ แวมๆ แถวห้องครัวบ้าง แถวโต๊ะในห้องแอร์บ้าง...ที่ร้ายกว่านั้นก็คือไปรับแขกที่โต๊ะสนามด้วย!
ความสยองรุนแรงเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ใกล้จะปิดร้านแล้ว น้าแหวนกำลังนั่งเช็กบิลลูกค้าอยู่หลังเคาน์เตอร์ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นจิตราผลักประตูเดินยิ้มระรื่นเข้ามาหา!
แม้ว่าจะเป็นร่างที่มีเลือดเนื้อเหมือนคนธรรมดา แต่เมื่อรู้ดีว่านั่นคือผู้ที่ตายไปแล้ว น้าแหวนก็ทะลึ่งพรวดขึ้นร้องกรี๊ดๆ จนคนในร้านนึกว่าไฟไหม้...วันรุ่งขึ้นก็ยอมแพ้ น้องชายเลยได้โอกาสปิดร้านตั้งแต่นั้น ต่อมาก็ไม่มีใครเห็นจิตราอีกเลยค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 30 พฤษภาคม 2551
"เยาวชนรุ่นใหม่ต้านภัยบุหรี่!"
นั่นคือคำขวัญขององค์การอนามัยโลก ที่ดิฉันได้ยินทางวิทยุ และทีวีบ่อยๆ เนื่องใน "วันงดสูบบุหรี่โลก" ประจำปีนี้ บ้านเราก็มีการรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่กันทุกรูปแบบ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีและควรจะสนับสนุนกันมากๆ ค่ะ
บุหรี่ไม่มีอะไรดีเลย นอกจากพิษร้ายแรงล้วนๆ ไม่ว่าใครก็ทราบดี แต่ทำไมจึงยอมเสียเงินเสียทองไปหาซื้อควันพิษมาใส่ตัวเองก็ไม่ทราบ
ถ้าเป็นอันตรายกับพวกขี้ยาเท่านั้นก็ยังดี แต่พิษสงของบุหรี่ทำให้คนใกล้เคียงต้องเดือดร้อน รับเคราะห์ไปด้วยน่ะซีคะ เช่นพ่อบ้านสูบบุหรี่ ขี้ยาที่เดินสูบตามข้างถนนหรือยืนสูบหน้าตาเฉยที่ป้ายรถเมล์ ใครมองแล้วเบือนหน้าหนี หรือแม้แต่ยกมือปัดควันพิษไม่ให้เข้าจมูกคนพวกนี้ก็กลับทำหน้าตายไม่รู้ไม่ชี้
ไม่ทราบว่ามีจิตสำนึกของคนปกติหรือเปล่าคะ?!
ดิฉันได้ข่าวว่าการเผยแพร่พิษร้ายของบุหรี่ ทำให้คนไทยที่ตกเป็นทาสมันได้ฉุกคิดเลิกเสียเงินซื้อความตายผ่อนส่งมาใส่ตัวได้ราวปีละสองแสนคน แต่น่าเสียใจที่มีคนรุ่นใหม่ริอ่านติดบุหรี่ถึงปีละสองแสนห้าหมื่นคนแน่ะค่ะ
ส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่น หลงผิดว่าการสูบบุหรี่เป็นสิ่งโก้เก๋ คาบบุหรี่แล้วดูเท่มาก!
เท่าที่ทราบ ผู้ที่ติดบุหรี่แต่อยากเลิกสูบมีถึง 70 เปอร์เซ็นต์ แต่ส่วนใหญ่ถอนตัวไม่สำเร็จเพราะแพ้ใจตัวเอง ถ้ายอมรับความหงุดหงิด ไม่สบายใจในช่วงวันแรกๆ ได้แล้ว ก็คงจะไม่หันไปหาเจ้าบุหรี่ตัวนิดๆ แต่อันตรายใหญ่หลวงได้สำเร็จ
สามีดิฉันเคยติดบุหรี่งอมแงมขนาดตื่นมาต้องคว้าบุหรี่ เข้าห้องน้ำก็ต้องสูบ กินอาหารเสร็จก็ต้องสูบ ยิ่งดื่มเหล้า เบียร์ หรือแม้แต่กาแฟก็ต้องมีบุหรี่อยู่ใกล้มือตลอด...ตอนที่ตัดสินใจเลิกสูบบุหรี่ สามีใช้วิธี "หักดิบ" ค่ะ!
ไม่ต้องทำอะไรมากนอกจากหยิบบุหรี่ ไลเตอร์ และที่เขี่ยบุหรี่โยนลงถังขยะทั้งหมด แล้วลืมไปเลยว่าโลกนี้มีบุหรี่!
เอาชนะใจตัวเองด้วยเรื่องแค่นี้ไม่สำเร็จ จะไปเอาชนะใครหรืออะไรได้เล่าคะ?
ญาติผู้ใหญ่และเพื่อนๆ รุ่นพี่ของดิฉันล้มตายเพราะพิษสงของบุหรี่หลายคนแล้วล่ะค่ะ เป็นมะเร็งปอด หลอดเลือดหัวใจตีบ หัวใจวาย ฯลฯ ส่วนที่ยังนอนแซ่วอยู่โรงพยาบาลและที่บ้านด้วยโรคถุงลมโป่งพองก็มี...ไปเยี่ยมแล้วเห็นภาพที่นอนแซ่ว รอคอยความตายอย่างทนทุกข์ทรมาน...รู้สึกหดหู่เกินจะบรรยาย ได้ค่ะ
แม้จะพูดไม่ได้ แต่สายตาเศร้าๆ ที่มองมา บ่งบอกว่าเสียใจและขอโทษลูกเมียที่เขาก่อกรรมขึ้นโดยไม่เจตนา...
ญาติมิตรที่ตายไปอย่างทุรนทุราย วิญญาณไม่มีวังสงบหรือไปสู่สุคติได้เด็ดขาด! บางรายก็มาเข้าฝัน ร้องห่มร้องไห้ขออภัยที่ต้องจากลูกเมียไปก่อนเวลาอันควร บางรายก็มาสะอึกสะอื้นคร่ำครวญในยามราตรี ทำให้สะดุ้งผวาไปตามๆ กัน
ดิฉันเคยประสบกับตัวเองเมื่อน้องสะใภ้ชื่อจิตราต้องตายจากไปเพราะควันบุหรี่
จิตราไม่ได้สูบเองหรอกค่ะ แต่เธอเปิดร้านอาหารที่มีดนตรีย่านซอยอารีย์ มีทั้งโต๊ะที่สนามและทั้งห้องแอร์ด้านใน...เมื่อราวสิบปีก่อน ยังไม่มีการเข้มงวดเรื่องห้ามสูบบุหรี่ ลูกค้าที่เป็นคอสุราและเบียร์ก็พ่นควันโขมงแทบทุกโต๊ะ
น้องชายดิฉันไม่สูบบุหรี่ แต่จิตราได้รับควันพิษแทบจะทั้งวันทั้งคืนก็ว่าได้ เธอเคยบ่นตอนแรกๆ ต่อมาก็คงชิน...จนกระทั่งซูบผอม ซีดเซียว ไอแห้งๆ มีเลือดปนเสมหะ...เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย รักษาตัวอยู่ได้ราวสองเดือนก็เสียชีวิต
วิญญาณจิตราคงไม่ยอมรับรู้ว่าตัวเองตายไปแล้ว เลยกลับไปที่ร้านอาหารของเธอ!
ระหว่างนั้นมีน้าแหวน-ญาติห่างๆ มาคอยดูแลร้านแทน จนกระทั่งเสร็จงานศพจิตรา น้าแหวนก็รับอาสาจัดการเรื่องร้านให้ น้องชายดิฉันมีลูกคนเดียว บอกว่าหมดกะจิตกะใจจะทำร้านต่อแล้ว ปล่อยให้น้าแหวนดูแลทั้งหมด...เรื่องเงินทองไว้ใจได้ค่ะ
เรื่องน่าขนลุกเกิดขึ้นเมื่อเผาจิตราได้ไม่กี่วัน เพื่อนบ้านก็เห็นจิตราเดินเข้าเดินออกที่ร้าน แม้แต่พนักงานเก่าๆ ก็เห็นผู้หญิงเดินวับๆ แวมๆ แถวห้องครัวบ้าง แถวโต๊ะในห้องแอร์บ้าง...ที่ร้ายกว่านั้นก็คือไปรับแขกที่โต๊ะสนามด้วย!
ความสยองรุนแรงเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง ใกล้จะปิดร้านแล้ว น้าแหวนกำลังนั่งเช็กบิลลูกค้าอยู่หลังเคาน์เตอร์ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นจิตราผลักประตูเดินยิ้มระรื่นเข้ามาหา!
แม้ว่าจะเป็นร่างที่มีเลือดเนื้อเหมือนคนธรรมดา แต่เมื่อรู้ดีว่านั่นคือผู้ที่ตายไปแล้ว น้าแหวนก็ทะลึ่งพรวดขึ้นร้องกรี๊ดๆ จนคนในร้านนึกว่าไฟไหม้...วันรุ่งขึ้นก็ยอมแพ้ น้องชายเลยได้โอกาสปิดร้านตั้งแต่นั้น ต่อมาก็ไม่มีใครเห็นจิตราอีกเลยค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 30 พฤษภาคม 2551
29 ธันวาคม 2559
ทารกอสูร
"อนุพันธ์" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากเด็กปีศาจ
เรื่องน่ากลัวนี้เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ตอนนั้นผมอายุได้ 13 ปี มีชีวิตที่สุขสมบูรณ์เพราะพ่อเป็นสถาปนิกที่มีฐานะมั่นคง ผมมีน้าแท้ๆ ชื่อน้าพน บ้านอยู่ในซอยเดียวกัน ห่างไปแค่ไม่กี่หลัง แต่ชีวิตความเป็นอยู่แทบจะตรงข้ามกับบ้านผมราวฟ้ากับดิน
น้าพนเป็นลูกจ้างของบริษัทแห่งหนึ่งได้เงินเดือนไม่สูงนัก แต่ต้องใช้จ่ายมากมายเพราะน้าพนมีลูกๆ ถึง 4 คนแน่ะครับ...คนโตเพิ่งจะอยู่ ป.6 ส่วนคนเล็กกำลังจะเข้าอนุบาล 1
ชะตาชีวิตของคนเราก็เล่นตลกแปลกๆ นะคุณ ทีพ่อผมร่ำรวยมากๆ กลับมีลูกคนเดียว คือผมนี่แหละ ส่วนบ้านน้าพนจนแทบตาย มีลูกยังกับกระต่าย 4 คน ยังไม่พอ ลูกคนที่ 5 กำลังจะลืมตาดูโลกเร็วๆ นี้ คนที่เป็นห่วงเป็นใยและสงสารน้าพนมากที่สุดก็คือยายของผมเอง!
คุณยายอยู่บ้านเดียวกับผม ดูแลผมเวลาที่พ่อแม่ต้องออกไปทำงาน ท่านใจดี ทำอาหารอร่อยมาก แม่จะให้เงินเอาไว้จับจ่ายใช้สอย แต่คุณยายเก็บเงินไม่อยู่หรอกครับ...ไม่ใช่ว่าเอาไปฟุ่มเฟือยอะไร แต่เงินที่ได้มาน่ะ คุณยายเอาไปให้บ้านน้าพนซะเกือบหมด
ตอนนั้นผมยังเด็กมาก ไม่รู้เรื่องของผู้ใหญ่เท่าไรนัก แต่ก็ได้ยินแม่ต่อว่าต่อขานคุณยายที่หมดเปลืองไปกับครอบครัวน้าพน!
ที่จริงแม่ผมก็ดูแลน้องชายอยู่แล้วละครับ ไม่ใช่ว่าจะใจไม้ไส้ระกำซะที่ไหน แต่ก็ดูเหมือนน้าพนจะไม่พอซะที พอผมโตขึ้นถึงได้รู้ว่าปัญหาจริงๆ อยู่ที่น้าตุ๊ เมียน้าพนนั่นเอง! เธอไม่ได้ทำงาน อยู่กับบ้านเฉยๆ เพราะไม่ได้จ้างคนรับใช้ เธอเลี้ยงลูกเอง ทำงานบ้านเอง
ในความเป็นจริง น้าตุ๊เป็นผู้หญิงอวบขาว สวย ตาโต ช่างแต่งตัว แม้จะไม่ได้ออกไปไหนก็ตาม ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมบ้านนั้นกับคุณยาย ก็มักจะเห็นเธอนอนไขว่ห้างอ่านนิยายอย่างสบายอารมณ์ ลูกๆ ก็เล่นกันมอมแมม ไอ้ที่ไปโรงเรียนก็เดินไปเองกลับเอง ไม่เห็นเธอไปรับไปส่ง ส่วนกับข้าวกับปลาน่ะ คุณยายจัดปิ่นโตไปให้ทุกวัน
คิดแล้ววันๆ น้าตุ๊แทบไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดเดียว!
ท้องน้าตุ๊ใหญ่มาก และใหญ่ขึ้นทุกทีๆ ในที่สุดก็ถึงกำหนดคลอด...
ลูกคนที่ 5 เป็นผู้หญิง ตัวใหญ่มาก น้าตุ๊เบ่งไม่ออก หมอต้องผ่าแต่ปรากฏว่าเด็กตายครับ ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น คุณยายเล่าว่าศพเด็กน่ะตัวเขียว มีเลือดออกจากจมูกและปาก ตาลืมค้าง คออ่อนคอพับเหมือนกับว่ามันหักจนหมุนได้รอบ
เด็กตายไปแล้ว และไม่มีการสอบสวนว่าเพราะอะไร หรือใครต้องรับผิดชอบ...น้าตุ๊เสียใจนิดหน่อย ผมไม่เห็นเธอร้องไห้ฟูมฟายอะไรนัก กลับสบายดีด้วยซ้ำ เธออยู่โรงพยาบาลตั้งสัปดาห์ โดยมีแม่ผมออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แถมยังให้ลออ-เด็กรับใช้ของเราคนหนึ่งไปดูแลที่บ้านน้าพนด้วย
คราวนี้น้าตุ๊ยิ่งสบาย เป็นคุณนายชี้นิ้วไปเลยละครับ แต่ไม่กี่วันคนของเราก็เผ่นกลับ ไมใช่เพราะน้าตุ๊...แต่เพราะลูกที่ตายไปแล้วของน้าตุ๊ต่างหากล่ะ! ลออเล่าปากคอสั่นว่า ในบ้านที่มืดสลัวของน้าตุ๊น่ะ มีเสียงทารกลึกลับมาร้องอุแว้ๆ ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ
บ้านน้าตุ๊ปิดม่าน ปิดหน้าต่าง เพราะน้าตุ๊กลัวแดดจะส่องเข้าไปทำลายผิวของเธอ บ้านนั้นจึงมักอับชื้นเสมอๆ ยิ่งหลังคลอด แทนที่จะเปิดให้อากาศระบายถ่ายเท น้าตุ๊ยิ่งปิดทึบกว่าเดิมด้วยซ้ำ อ้างว่าเธอหนาวสะท้าน
เมื่อกลับมาอยู่บ้าน น้าตุ๊ก็โดนผีลูกตัวเองหลอกหลอนเช่นกัน...นอนหลับฝันหวานยามบ่ายอยู่ดีๆ เกิดมีเสียงทารกร้องครวญคราง ทีแรกเธอนึกว่าแมว แต่มันเป็นเสียงทารกจริงๆ มาร้องอยู่ทั้งวัน!
น้าตุ๊เองก็เริ่มกลัว รวมไปถึงลูกๆ ทั้ง 4 คนนั่นด้วย
ลูกพี่ลูกน้องของผมที่ชื่อพลอยเล่าว่า...คนทั้งบ้านแทบไม่ได้หลับได้นอนเลยเพราะเสียงร้องประหลาดนั่น เด็กทุกคนนั่งกอดกันกลมแม้จะเป็นเวลาเที่ยงคืน! ส่วนพิม-ลูกคนเล็กสุดอายุ 3 ขวบกว่า พูดอย่างไร้เดียงสาว่าเห็นน้องคลานไปมาอยู่ทั่วบ้านและน้องที่ว่านี่มีขนาดตัวโตเท่าแม่แน่ะ!
ฟังแล้วผมขนหัวลุกเลยครับ ไม่กล้าไปบ้านนั้นอีก...บอกตรงๆ ว่า พอเข้าไปมันจะมีกลิ่นแปลกๆ น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
น้าตุ๊อาการหนักกว่าเพื่อน ทำท่าเหมือนคนประสาทเสีย สะดุ้งผวาง่าย...ไม่นานเธอก็ไม่สบาย เป็นไข้หนักโดยไม่ทราบสาเหตุ ต้องถูกหามเข้าโรงพยาบาล อยู่ได้ 2 สัปดาห์ก็เสียชีวิต! คุณหมอบอกว่าติดเชื้อ แต่พวกเราพูดกันว่าลูกที่ตายมาเอาไป เพราะตั้งแต่นั้นบ้านก็สงบ ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกเลย
ทุกวันนี้ลูกๆ ของน้าพนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีอาชีพการงานมั่นคง น้าพนตายไปหลายปีแล้ว บ้านนั้นก็ขายและมีคนอื่นมาอยู่...เหลือไว้แต่ความหลังสุดสยองครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 29 พฤษภาคม 2551
เรื่องน่ากลัวนี้เกิดขึ้นเมื่อเกือบ 30 ปีก่อน ตอนนั้นผมอายุได้ 13 ปี มีชีวิตที่สุขสมบูรณ์เพราะพ่อเป็นสถาปนิกที่มีฐานะมั่นคง ผมมีน้าแท้ๆ ชื่อน้าพน บ้านอยู่ในซอยเดียวกัน ห่างไปแค่ไม่กี่หลัง แต่ชีวิตความเป็นอยู่แทบจะตรงข้ามกับบ้านผมราวฟ้ากับดิน
น้าพนเป็นลูกจ้างของบริษัทแห่งหนึ่งได้เงินเดือนไม่สูงนัก แต่ต้องใช้จ่ายมากมายเพราะน้าพนมีลูกๆ ถึง 4 คนแน่ะครับ...คนโตเพิ่งจะอยู่ ป.6 ส่วนคนเล็กกำลังจะเข้าอนุบาล 1
ชะตาชีวิตของคนเราก็เล่นตลกแปลกๆ นะคุณ ทีพ่อผมร่ำรวยมากๆ กลับมีลูกคนเดียว คือผมนี่แหละ ส่วนบ้านน้าพนจนแทบตาย มีลูกยังกับกระต่าย 4 คน ยังไม่พอ ลูกคนที่ 5 กำลังจะลืมตาดูโลกเร็วๆ นี้ คนที่เป็นห่วงเป็นใยและสงสารน้าพนมากที่สุดก็คือยายของผมเอง!
คุณยายอยู่บ้านเดียวกับผม ดูแลผมเวลาที่พ่อแม่ต้องออกไปทำงาน ท่านใจดี ทำอาหารอร่อยมาก แม่จะให้เงินเอาไว้จับจ่ายใช้สอย แต่คุณยายเก็บเงินไม่อยู่หรอกครับ...ไม่ใช่ว่าเอาไปฟุ่มเฟือยอะไร แต่เงินที่ได้มาน่ะ คุณยายเอาไปให้บ้านน้าพนซะเกือบหมด
ตอนนั้นผมยังเด็กมาก ไม่รู้เรื่องของผู้ใหญ่เท่าไรนัก แต่ก็ได้ยินแม่ต่อว่าต่อขานคุณยายที่หมดเปลืองไปกับครอบครัวน้าพน!
ที่จริงแม่ผมก็ดูแลน้องชายอยู่แล้วละครับ ไม่ใช่ว่าจะใจไม้ไส้ระกำซะที่ไหน แต่ก็ดูเหมือนน้าพนจะไม่พอซะที พอผมโตขึ้นถึงได้รู้ว่าปัญหาจริงๆ อยู่ที่น้าตุ๊ เมียน้าพนนั่นเอง! เธอไม่ได้ทำงาน อยู่กับบ้านเฉยๆ เพราะไม่ได้จ้างคนรับใช้ เธอเลี้ยงลูกเอง ทำงานบ้านเอง
ในความเป็นจริง น้าตุ๊เป็นผู้หญิงอวบขาว สวย ตาโต ช่างแต่งตัว แม้จะไม่ได้ออกไปไหนก็ตาม ทุกครั้งที่ผมไปเยี่ยมบ้านนั้นกับคุณยาย ก็มักจะเห็นเธอนอนไขว่ห้างอ่านนิยายอย่างสบายอารมณ์ ลูกๆ ก็เล่นกันมอมแมม ไอ้ที่ไปโรงเรียนก็เดินไปเองกลับเอง ไม่เห็นเธอไปรับไปส่ง ส่วนกับข้าวกับปลาน่ะ คุณยายจัดปิ่นโตไปให้ทุกวัน
คิดแล้ววันๆ น้าตุ๊แทบไม่ต้องทำอะไรเลยสักนิดเดียว!
ท้องน้าตุ๊ใหญ่มาก และใหญ่ขึ้นทุกทีๆ ในที่สุดก็ถึงกำหนดคลอด...
ลูกคนที่ 5 เป็นผู้หญิง ตัวใหญ่มาก น้าตุ๊เบ่งไม่ออก หมอต้องผ่าแต่ปรากฏว่าเด็กตายครับ ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น คุณยายเล่าว่าศพเด็กน่ะตัวเขียว มีเลือดออกจากจมูกและปาก ตาลืมค้าง คออ่อนคอพับเหมือนกับว่ามันหักจนหมุนได้รอบ
เด็กตายไปแล้ว และไม่มีการสอบสวนว่าเพราะอะไร หรือใครต้องรับผิดชอบ...น้าตุ๊เสียใจนิดหน่อย ผมไม่เห็นเธอร้องไห้ฟูมฟายอะไรนัก กลับสบายดีด้วยซ้ำ เธออยู่โรงพยาบาลตั้งสัปดาห์ โดยมีแม่ผมออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด แถมยังให้ลออ-เด็กรับใช้ของเราคนหนึ่งไปดูแลที่บ้านน้าพนด้วย
คราวนี้น้าตุ๊ยิ่งสบาย เป็นคุณนายชี้นิ้วไปเลยละครับ แต่ไม่กี่วันคนของเราก็เผ่นกลับ ไมใช่เพราะน้าตุ๊...แต่เพราะลูกที่ตายไปแล้วของน้าตุ๊ต่างหากล่ะ! ลออเล่าปากคอสั่นว่า ในบ้านที่มืดสลัวของน้าตุ๊น่ะ มีเสียงทารกลึกลับมาร้องอุแว้ๆ ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ
บ้านน้าตุ๊ปิดม่าน ปิดหน้าต่าง เพราะน้าตุ๊กลัวแดดจะส่องเข้าไปทำลายผิวของเธอ บ้านนั้นจึงมักอับชื้นเสมอๆ ยิ่งหลังคลอด แทนที่จะเปิดให้อากาศระบายถ่ายเท น้าตุ๊ยิ่งปิดทึบกว่าเดิมด้วยซ้ำ อ้างว่าเธอหนาวสะท้าน
เมื่อกลับมาอยู่บ้าน น้าตุ๊ก็โดนผีลูกตัวเองหลอกหลอนเช่นกัน...นอนหลับฝันหวานยามบ่ายอยู่ดีๆ เกิดมีเสียงทารกร้องครวญคราง ทีแรกเธอนึกว่าแมว แต่มันเป็นเสียงทารกจริงๆ มาร้องอยู่ทั้งวัน!
น้าตุ๊เองก็เริ่มกลัว รวมไปถึงลูกๆ ทั้ง 4 คนนั่นด้วย
ลูกพี่ลูกน้องของผมที่ชื่อพลอยเล่าว่า...คนทั้งบ้านแทบไม่ได้หลับได้นอนเลยเพราะเสียงร้องประหลาดนั่น เด็กทุกคนนั่งกอดกันกลมแม้จะเป็นเวลาเที่ยงคืน! ส่วนพิม-ลูกคนเล็กสุดอายุ 3 ขวบกว่า พูดอย่างไร้เดียงสาว่าเห็นน้องคลานไปมาอยู่ทั่วบ้านและน้องที่ว่านี่มีขนาดตัวโตเท่าแม่แน่ะ!
ฟังแล้วผมขนหัวลุกเลยครับ ไม่กล้าไปบ้านนั้นอีก...บอกตรงๆ ว่า พอเข้าไปมันจะมีกลิ่นแปลกๆ น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก
น้าตุ๊อาการหนักกว่าเพื่อน ทำท่าเหมือนคนประสาทเสีย สะดุ้งผวาง่าย...ไม่นานเธอก็ไม่สบาย เป็นไข้หนักโดยไม่ทราบสาเหตุ ต้องถูกหามเข้าโรงพยาบาล อยู่ได้ 2 สัปดาห์ก็เสียชีวิต! คุณหมอบอกว่าติดเชื้อ แต่พวกเราพูดกันว่าลูกที่ตายมาเอาไป เพราะตั้งแต่นั้นบ้านก็สงบ ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกเลย
ทุกวันนี้ลูกๆ ของน้าพนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีอาชีพการงานมั่นคง น้าพนตายไปหลายปีแล้ว บ้านนั้นก็ขายและมีคนอื่นมาอยู่...เหลือไว้แต่ความหลังสุดสยองครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 29 พฤษภาคม 2551
28 ธันวาคม 2559
วิญญาณพเนจร
"แต๋ม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากชะอำ
โบราณท่านเตือนว่า ถ้าเห็นอะไรวูบวาบผิดสังเกตในยามวิกาล ห้ามทำปากไวไปทักทายเข้าเชียว เดี๋ยวสิ่งไม่ดีมันจะเข้าตัว หรือถ้าเป็นผีก็จะตามเรามา!
อันหลังนี่หนูไม่แน่ใจนะคะว่าท่านบอกไว้หรือเปล่า แต่หนูเจอมากับตัวไม่ได้มั่วนิ่ม หนูก็เลยเขียนมาเล่าให้ฟัง จะได้ไม่พลาดพลั้งอย่างพวกหนู เรื่องที่หนูเจอมานี่น่ากลัวมากค่ะ
ก่อนเปิดเทอมนี้ พวกเราที่กำลังจะขึ้น ม.6 ก็นัดไปเที่ยวทะเลกัน เพื่อนชื่อกุ้งมีคอนโดฯ อยู่ที่ชะอำ เรารวบรวมเพื่อนๆ ได้ตั้งสิบคนแน่ะ ถ้ารวมพี่เก้า-พี่ชายกุ้งด้วยก็เป็นสิบเอ็ดคนพอดี...พี่เก้าต้องเป็นคนขับรถตู้พาพวกเราเดินทางไปกลับโดยสวัสดิภาพ
หนูเน้นเรื่องรถตู้เพราะเรื่องสยองนี้มีจุดเริ่มต้นบนรถตู้คันนี้ละค่ะ ไม่ใช่ว่ามันเป็นรถผีสิงนะคะ คุณพ่อของกุ้งซื้อมาใหม่เอี่ยม นั่งสบายมากๆ
เราออกเดินทางเย็นวันศุกร์ แวะซื้อขนมนมเนยกันเพียบจากปั๊มเจ็ท จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงดิ่งสู่ชะอำ ซึ่งปกติใช้เวลาไม่เกินสองชั่วโมง
คณะของเรามีผู้ชายห้าคนกับผู้หญิงหกคน ขอบอกก่อนว่าไม่มีใครเป็นแฟนใครเลยนะ เราเป็นเพื่อนเฮฮากันของแท้ แหม...คนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล โตมาด้วยกัน ความรู้สึกเหมือนพี่น้องกันจริงๆ แต่พวกผู้ชายห้องหนูนี่น่ะ มันทโมนสุดฤทธิ์เชียวค่ะ
ราวทุ่มเศษเราก็เลี้ยวเข้าชะอำ สองข้างทางมีไฟถนนส่องสว่างพอสมควร
ทันใดนั้นท่ามกลางแสงไฟ หนูมองเห็นผ้าสีขาวผืนใหญ่ปลิวอยู่เหนือพุ่มไม้ ผ้าขาวผืนขนาดผ้าปูที่นอนออกมาแผ่กางเต็มที่ ร่อนเหมือนค้างคาวตัวใหญ่อยู่อย่างนั้นได้ไง?
หนูเห็นแล้วก็เงียบซะ ถึงแม้จะตกใจไม่น้อยเลย หนูหุบปากนิ่ง ใจหายพิกลมือเย็นเฉียบเลยละค่ะ
ขณะที่กำลังสะกดใจ เม้มปากแน่น เสียงเจ้าเพื่อนตัวดีก็ดังลั่น เจ้าปั้มสิคะมันโวยวาย "นั่นอะไรน่ะ?" ชี้ไม้ชี้มือจนคนอื่นๆ หันไปดูเป็นตาเดียว...พวกเราทุกคนเห็นสิ่งประหลาดนั้น และพวกผู้ชายไม่ยอมเก็บอาการ ไม่ยอมสงบปากคำเลย แถมพูดว่า ซูเปอร์แมนมั้ง? ใครคนหนึ่งโพล่งว่า ผีหรือเปล่า?
อีกคนก็ท้าทาย...เป็นผีจริงตามมาซีวะ! หนูยิ่งฟังยิ่งใจฝ่อ
เราผ่านจุดที่เห็นผ้าขาวผืนนั้นมาแล้ว ใจหนูเต้นตึ๊กๆ เสียวสันหลังวาบๆ พยายามเหลียวไปมอง ยิ่งตกใจเมื่อเห็นผ้าขาวผืนนั้นมันร่อนตามรถเรามา เห็นอยู่ลิบๆ โน่น
พอรถถึงคอนโดฯ เราก็ขนของขึ้นห้อง หนูลงจากรถ ลมเย็นเยือกพัดมาวูบหนึ่ง พาเอากลิ่นสาบๆ น่าคลื่นไส้มาเตะจมูก...เพื่อนปากพล่อยยังดันพูดขึ้นมาอีก...พูดเป็นเชิงคะนองปากว่า...ผีข้างถนนมันตามมาแล้ว!
สาบานได้เลยค่ะว่าลมเย็นๆ ผิดปกติ กับกลิ่นสาบๆ นั่นตามเรามาถึงห้อง...และแล้วตกดึกคืนนั้นก็ได้เรื่อง...
หนูรู้สึกตลอดเวลาว่ามีอะไรอย่างหนึ่งที่น่าสยดสยองเข้ามาอยู่ในห้องกับพวกเรา หางตาหนูจะเห็นอะไรบางอย่างคล้ายศพมัดตราสังมายืนอยู่ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง
แน่ใจว่าเพื่อนๆ หนูสองสามคนก็เห็นสิ่งนั้นเหมือนกับที่หนูเห็น!
โดยเฉพาะกุ้ง-เพื่อนซี้ที่เป็นเจ้าของห้อง เธอบ่นกับหนูว่ามีบางอย่างที่น่าขนลุกอยู่ใกล้ๆ นี้ และยืนยันว่าห้องนี้ไม่เคยมีผีสิง...อย่าว่าแต่ห้องนี้เลย ทั้งคอนโดฯ นี่แหละ รับรองว่าเป็นที่สะอาด ปราศจากภูตผีวิญญาณ...แต่นี่มันมาจากไหนล่ะ
ระหว่างที่เราซุบซิบกัน กลิ่นเน่าๆ ก็แรงขึ้นๆ ตกลงเป็นอันว่าคืนนั้นเราลากที่นอนมาปูรวมกันและเปิดไฟไว้ทั้งคืน...แต่ในห้องผู้ชายสิคะ เกิดเรื่องใหญ่
ราวๆ ตีสามเจ้าปั้มแหกปากร้องลั่นไม่เป็นภาษาคน เปิดประตูพรวดออกมามีเพื่อนที่นอนรวมกันในห้องนั้นวิ่งตาหูเหลือกตามออกมาด้วย
มันเล่าว่านอนอยู่ดีๆ มีมือแข็งๆ สากๆ มาจับหมับที่ข้อเท้าแล้วเขย่าเอาเป็นเอาตาย มันตกใจมาก แต่ทีแรกคิดว่าเพื่อนแกล้ง กำลังจะด่าอยู่แล้วเชียว พอลืมตามองก็แทบหัวใจวาย... เพราะสิ่งที่มาเขย่าขาเป็นผีในผ้าตราสัง ที่ฉีกผ้าที่ปิดหน้าไว้ ทำให้เห็นหน้าที่เน่าเฟะ น่าสยดสยองสุดขีด!
เราสรุปว่า เป็นเพราะปั้มเป็นคนแรกที่ปากเสีย เห็นผ้าขาวร่อนอยู่ข้างทางแล้วพูดจาไม่ดีออกไป แถมยังไปท้าทายเขาอีก เขาเลยตามมาน่ะซี
วันรุ่งขึ้น แทนที่จะได้เที่ยวสนุก เรากลับต้องไปวัดที่หัวหินให้พระท่านช่วย ท่านก็ใจดี เมตตาเรา อุตส่าห์มาที่คอนโดฯ เพื่อนำวิญญาณเร่ร่อนนั้นออกไป
เข็ดซีคะทีนี้ หนูถึงเขียนมาเล่าว่าเวลาเห็นอะไรอย่าไปทักนะคะ เชื่อโบราณไว้ก่อนเป็นดีที่สุดค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 28 พฤษภาคม 2551
โบราณท่านเตือนว่า ถ้าเห็นอะไรวูบวาบผิดสังเกตในยามวิกาล ห้ามทำปากไวไปทักทายเข้าเชียว เดี๋ยวสิ่งไม่ดีมันจะเข้าตัว หรือถ้าเป็นผีก็จะตามเรามา!
อันหลังนี่หนูไม่แน่ใจนะคะว่าท่านบอกไว้หรือเปล่า แต่หนูเจอมากับตัวไม่ได้มั่วนิ่ม หนูก็เลยเขียนมาเล่าให้ฟัง จะได้ไม่พลาดพลั้งอย่างพวกหนู เรื่องที่หนูเจอมานี่น่ากลัวมากค่ะ
ก่อนเปิดเทอมนี้ พวกเราที่กำลังจะขึ้น ม.6 ก็นัดไปเที่ยวทะเลกัน เพื่อนชื่อกุ้งมีคอนโดฯ อยู่ที่ชะอำ เรารวบรวมเพื่อนๆ ได้ตั้งสิบคนแน่ะ ถ้ารวมพี่เก้า-พี่ชายกุ้งด้วยก็เป็นสิบเอ็ดคนพอดี...พี่เก้าต้องเป็นคนขับรถตู้พาพวกเราเดินทางไปกลับโดยสวัสดิภาพ
หนูเน้นเรื่องรถตู้เพราะเรื่องสยองนี้มีจุดเริ่มต้นบนรถตู้คันนี้ละค่ะ ไม่ใช่ว่ามันเป็นรถผีสิงนะคะ คุณพ่อของกุ้งซื้อมาใหม่เอี่ยม นั่งสบายมากๆ
เราออกเดินทางเย็นวันศุกร์ แวะซื้อขนมนมเนยกันเพียบจากปั๊มเจ็ท จากนั้นก็มุ่งหน้าตรงดิ่งสู่ชะอำ ซึ่งปกติใช้เวลาไม่เกินสองชั่วโมง
คณะของเรามีผู้ชายห้าคนกับผู้หญิงหกคน ขอบอกก่อนว่าไม่มีใครเป็นแฟนใครเลยนะ เราเป็นเพื่อนเฮฮากันของแท้ แหม...คนเรียนด้วยกันมาตั้งแต่อนุบาล โตมาด้วยกัน ความรู้สึกเหมือนพี่น้องกันจริงๆ แต่พวกผู้ชายห้องหนูนี่น่ะ มันทโมนสุดฤทธิ์เชียวค่ะ
ราวทุ่มเศษเราก็เลี้ยวเข้าชะอำ สองข้างทางมีไฟถนนส่องสว่างพอสมควร
ทันใดนั้นท่ามกลางแสงไฟ หนูมองเห็นผ้าสีขาวผืนใหญ่ปลิวอยู่เหนือพุ่มไม้ ผ้าขาวผืนขนาดผ้าปูที่นอนออกมาแผ่กางเต็มที่ ร่อนเหมือนค้างคาวตัวใหญ่อยู่อย่างนั้นได้ไง?
หนูเห็นแล้วก็เงียบซะ ถึงแม้จะตกใจไม่น้อยเลย หนูหุบปากนิ่ง ใจหายพิกลมือเย็นเฉียบเลยละค่ะ
ขณะที่กำลังสะกดใจ เม้มปากแน่น เสียงเจ้าเพื่อนตัวดีก็ดังลั่น เจ้าปั้มสิคะมันโวยวาย "นั่นอะไรน่ะ?" ชี้ไม้ชี้มือจนคนอื่นๆ หันไปดูเป็นตาเดียว...พวกเราทุกคนเห็นสิ่งประหลาดนั้น และพวกผู้ชายไม่ยอมเก็บอาการ ไม่ยอมสงบปากคำเลย แถมพูดว่า ซูเปอร์แมนมั้ง? ใครคนหนึ่งโพล่งว่า ผีหรือเปล่า?
อีกคนก็ท้าทาย...เป็นผีจริงตามมาซีวะ! หนูยิ่งฟังยิ่งใจฝ่อ
เราผ่านจุดที่เห็นผ้าขาวผืนนั้นมาแล้ว ใจหนูเต้นตึ๊กๆ เสียวสันหลังวาบๆ พยายามเหลียวไปมอง ยิ่งตกใจเมื่อเห็นผ้าขาวผืนนั้นมันร่อนตามรถเรามา เห็นอยู่ลิบๆ โน่น
พอรถถึงคอนโดฯ เราก็ขนของขึ้นห้อง หนูลงจากรถ ลมเย็นเยือกพัดมาวูบหนึ่ง พาเอากลิ่นสาบๆ น่าคลื่นไส้มาเตะจมูก...เพื่อนปากพล่อยยังดันพูดขึ้นมาอีก...พูดเป็นเชิงคะนองปากว่า...ผีข้างถนนมันตามมาแล้ว!
สาบานได้เลยค่ะว่าลมเย็นๆ ผิดปกติ กับกลิ่นสาบๆ นั่นตามเรามาถึงห้อง...และแล้วตกดึกคืนนั้นก็ได้เรื่อง...
หนูรู้สึกตลอดเวลาว่ามีอะไรอย่างหนึ่งที่น่าสยดสยองเข้ามาอยู่ในห้องกับพวกเรา หางตาหนูจะเห็นอะไรบางอย่างคล้ายศพมัดตราสังมายืนอยู่ตรงนั้นบ้าง ตรงนี้บ้าง
แน่ใจว่าเพื่อนๆ หนูสองสามคนก็เห็นสิ่งนั้นเหมือนกับที่หนูเห็น!
โดยเฉพาะกุ้ง-เพื่อนซี้ที่เป็นเจ้าของห้อง เธอบ่นกับหนูว่ามีบางอย่างที่น่าขนลุกอยู่ใกล้ๆ นี้ และยืนยันว่าห้องนี้ไม่เคยมีผีสิง...อย่าว่าแต่ห้องนี้เลย ทั้งคอนโดฯ นี่แหละ รับรองว่าเป็นที่สะอาด ปราศจากภูตผีวิญญาณ...แต่นี่มันมาจากไหนล่ะ
ระหว่างที่เราซุบซิบกัน กลิ่นเน่าๆ ก็แรงขึ้นๆ ตกลงเป็นอันว่าคืนนั้นเราลากที่นอนมาปูรวมกันและเปิดไฟไว้ทั้งคืน...แต่ในห้องผู้ชายสิคะ เกิดเรื่องใหญ่
ราวๆ ตีสามเจ้าปั้มแหกปากร้องลั่นไม่เป็นภาษาคน เปิดประตูพรวดออกมามีเพื่อนที่นอนรวมกันในห้องนั้นวิ่งตาหูเหลือกตามออกมาด้วย
มันเล่าว่านอนอยู่ดีๆ มีมือแข็งๆ สากๆ มาจับหมับที่ข้อเท้าแล้วเขย่าเอาเป็นเอาตาย มันตกใจมาก แต่ทีแรกคิดว่าเพื่อนแกล้ง กำลังจะด่าอยู่แล้วเชียว พอลืมตามองก็แทบหัวใจวาย... เพราะสิ่งที่มาเขย่าขาเป็นผีในผ้าตราสัง ที่ฉีกผ้าที่ปิดหน้าไว้ ทำให้เห็นหน้าที่เน่าเฟะ น่าสยดสยองสุดขีด!
เราสรุปว่า เป็นเพราะปั้มเป็นคนแรกที่ปากเสีย เห็นผ้าขาวร่อนอยู่ข้างทางแล้วพูดจาไม่ดีออกไป แถมยังไปท้าทายเขาอีก เขาเลยตามมาน่ะซี
วันรุ่งขึ้น แทนที่จะได้เที่ยวสนุก เรากลับต้องไปวัดที่หัวหินให้พระท่านช่วย ท่านก็ใจดี เมตตาเรา อุตส่าห์มาที่คอนโดฯ เพื่อนำวิญญาณเร่ร่อนนั้นออกไป
เข็ดซีคะทีนี้ หนูถึงเขียนมาเล่าว่าเวลาเห็นอะไรอย่าไปทักนะคะ เชื่อโบราณไว้ก่อนเป็นดีที่สุดค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 28 พฤษภาคม 2551
27 ธันวาคม 2559
ควันมรณะ
"เวทิน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากศาลาสวดศพ
วันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันงดสูบบุหรี่โลก!
ทุกประเทศรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่โดยพร้อมเพรียงกัน เพราะควันบุหรี่คือยาพิษที่สูบเข้าไปก็ทำลายอวัยวะต่างๆ ในร่างกายแทบทุกส่วนได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ บุหรี่เป็นสาเหตุของโรคร้ายถึง 40 ชนิด ตั้งแต่ ปาก คอ ทางเดินหายใจ ปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้ ทำให้เส้นเลือดอุดตัน หัวใจวายได้ง่ายๆ และมะเร็งเกือบทุกชนิดมีสาเหตุมาจากควันบุหรี่
ทุก 6 วินาทีมีคนตายเพราะบุหรี่ทั่วโลกวันละ 1 คน เมืองไทยตายชั่วโมงละ 6 คน วันละ 144 คน ปีละสี่หมื่นห้า-ห้าหมื่นคน!
คนไม่สูบบุหรี่แต่ได้รับควันพิษจากคนใกล้เคียง เช่น พ่อ แม่ สามี และเพื่อน เรียกกันว่า สูบบุหรี่มือสอง ต้องรับเคราะห์รุนแรงกว่าคนสูบเอง สาเหตุมาจากควันจากปลายบุหรี่มีพิษสงรุนแรงมากกว่าควันที่อัดเข้าปอดถึง 2 เท่า
สมัยก่อนสูบบุหรี่กันเกร่อ ไม่ว่าในโรงเรียน โรงพยาบาล ร้านอาหาร โรงหนัง ศูนย์การค้า รถเมล์ รถไฟ และรถแท็กซี่ เครื่องบินโดยสารที่เคยจัดที่นั่งสำหรับขี้ยาไว้ตอนท้ายๆ เครื่อง แล้วค่อยๆ ลดที่นั่งลง ห้ามสูบในสายการบินในประเทศหรือช่วงสั้นๆ เท่านั้น คนที่ไม่สูบบุหรี่ก็ต้องกล้ำกลืนสูดควันพิษเข้าปอดโดยไม่มีทางหลบเลี่ยง
เดี๋ยวนี้ห้ามสูบบุหรี่ตามสถานที่ดังกล่าวโดยสิ้นเชิง!
ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็ห้ามสูบบุหรี่ แม้แต่ในผับ บาร์ โรงแรม และสถานบันเทิงต่างก็ห้ามสูบบุหรี่ทั้งนั้น
ป้ายรถเมล์ ตามถนนหนทาง ตามตรอกซอยก็ห้ามสูบ เรียกว่า "ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ" ใครฝ่าฝืนมีโทษปรับ 2,000 บาท แต่ก็เห็นสูบบุหรี่กันเกร่อ ไม่มีใครไปปรับไปจับกุมสักครั้ง ถูกมองอย่างรังเกียจก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าไปทักท้วงก็จะอ้างน้ำขุ่นๆ ว่าห้ามสูบบุหรี่ทั้งที่สาธารณะและที่บ้าน แล้วจะให้ไปสูบที่ไหน?
เท่ากับการสูบบุหรี่ผิดกฎหมาย แล้วทำไมยังมีบุหรี่ขายได้ล่ะ?
"พี่เลิศ" เป็นหัวหน้าในแผนกของเรา ตกเป็นเหยื่อของบุหรี่อย่างน่าเศร้า ทั้งที่อายุเพียง 50 เศษๆ เท่านั้น ต้องล้มป่วยด้วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะโรคมะเร็งปอด จนเสียชีวิตในโรงพยาบาล
พี่เลิศเคยสูงใหญ่กำยำ นิสัยใจคอกว้างขวาง เป็นกันเองกับลูกน้องจนพวกเรารักใคร่แกทุกคน สูบบุหรี่จัดแทบจะเป็นมวนต่อมวน...วันละไม่ต่ำกว่า 3 ซองแล้วกัน
ในระยะหลังๆ มีการห้ามสูบบุหรี่แพร่หลาย พี่เลิศที่ร่วมวงกับพวกเราทุกอาทิตย์ก็ต้องดื่มเหล้าไปบ่นไปที่เขาห้ามสูบบุหรี่ในร้าน...บอกว่าตอนไหนก็สูบบุหรี่ไม่อร่อยเท่าตอนซดเหล้า! อดรนทนไม่ไหวก็ต้องขอตัวไปอัดควันพิษหน้าร้าน
เพื่อนผมมีทั้งคนเลิกบุหรี่ได้แล้วกับพยายามเลิกสูบ ยอมรับว่าจริงของพี่เลิศที่ดื่มเหล้าแล้วอยากบุหรี่มากที่สุด
บางคนใจแข็งก็ไม่สูบ คนใจอ่อนก็ต้องตามพี่เลิศออกไปอัดควันพิษด้วยกัน!
ระยะหลัง พี่เลิศดูซูบผอมลงไปเรื่อยๆ มีไอแห้งๆ บ่อยครั้ง เจ้าตัวบอกว่าคงเป็นเพราะสูบบุหรี่จัด ทำให้ระคายคอ มีเสมหะมาก ต้องขากต้องกระแอมบ่อยๆ ขนาดอยู่ที่บ้านก็ต้องลดบุหรี่ลงเพราะภรรยาขอร้อง ถ้าอยากจริงๆ ก็ต้องออกไปสูบที่สนามหน้าบ้าน
"รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นควันพิษ อยากจะเลิกเหมือนกันแต่ยังเลิกไม่ได้ว่ะ" พี่เลิศพูดเหมือนปรับทุกข์ "อย่างว่านะ...ไอ้เรามันสูบมาตั้งสามสิบกว่าปีแล้ว คงจะเลิกยากเอาการ ลงทุนมาเยอะแล้วนี่หว่า"
มารู้ทีหลังว่าพี่เลิศเบื่ออาหาร น้ำหนักลดฮวบฮาบ ไอจนตัวโก่งตัวงอ จนกระทั่งไอเป็นเลือด ภรรยาเคี่ยวเข็ญให้ไปพบแพทย์...ผลก็คือมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
ในงานศพพี่เลิศที่วัดแถวบางเขน พวกเราไปฟังสวดอภิธรรมในศาลาที่มีเครื่องปรับอากาศตั้งแต่คืนแรก จนกระทั่งถึงคืนสุดท้ายมีเพื่อนชื่อสุนทร ไม่รู้นึกขลังอะไร เอาบุหรี่ยี่ห้อโปรดของพี่เลิศแกะซองไปวางใส่พานไว้หน้าโลง พูดดังๆ ว่า...สูบให้สมอยากนะพี่เลิศนะ!
ในขณะที่พระกำลังสวดอภิธรรมอยู่นั้น ผมก็ได้กลิ่นควันบุหรี่อวลกรุ่นมาเข้าจมูกทั้งๆ ที่ในศาลามีป้ายติดไว้เด่นชัดว่า "ห้ามสูบบุหรี่"
เพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ติดกันเอียงหน้าเข้ามาถามว่า ใครสูบบุหรี่วะ? แต่เมื่อเราเหลียวมองไปทั่วศาลาก็ไม่เห็นมีใคร สุนทรที่มีนิสัยขี้เล่นพูดขึ้นว่า...หรือพี่เลิศแกจะสูบบุหรี่ที่อั๊วเอาไปไว้ให้จริงๆ
ขาดคำ พวกเราก็หันขวับไปทางโลงศพที่มีรูปถ่ายพี่เลิศที่ยิ้มละไมอยู่หน้าโลง...ขณะที่กลิ่นควันบุหรี่ยิ่งรุนแรงคล้ายจะอบอวลไปทั้งศาลา
ภาพถ่ายของพี่เลิศยิ้มเศร้าๆ ให้พวกเรา เหมือนจะยอมรับในชะตากรรมที่เกิดจากควันบุหรี่ และตักเตือนพวกเราให้ถอนตัวจากควันมรณะก่อนที่จะสายเกินไป!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 27 พฤษภาคม 2551
วันที่ 31 พฤษภาคมของทุกปี เป็นวันงดสูบบุหรี่โลก!
ทุกประเทศรณรงค์ให้เลิกสูบบุหรี่โดยพร้อมเพรียงกัน เพราะควันบุหรี่คือยาพิษที่สูบเข้าไปก็ทำลายอวัยวะต่างๆ ในร่างกายแทบทุกส่วนได้อย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ บุหรี่เป็นสาเหตุของโรคร้ายถึง 40 ชนิด ตั้งแต่ ปาก คอ ทางเดินหายใจ ปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้ ทำให้เส้นเลือดอุดตัน หัวใจวายได้ง่ายๆ และมะเร็งเกือบทุกชนิดมีสาเหตุมาจากควันบุหรี่
ทุก 6 วินาทีมีคนตายเพราะบุหรี่ทั่วโลกวันละ 1 คน เมืองไทยตายชั่วโมงละ 6 คน วันละ 144 คน ปีละสี่หมื่นห้า-ห้าหมื่นคน!
คนไม่สูบบุหรี่แต่ได้รับควันพิษจากคนใกล้เคียง เช่น พ่อ แม่ สามี และเพื่อน เรียกกันว่า สูบบุหรี่มือสอง ต้องรับเคราะห์รุนแรงกว่าคนสูบเอง สาเหตุมาจากควันจากปลายบุหรี่มีพิษสงรุนแรงมากกว่าควันที่อัดเข้าปอดถึง 2 เท่า
สมัยก่อนสูบบุหรี่กันเกร่อ ไม่ว่าในโรงเรียน โรงพยาบาล ร้านอาหาร โรงหนัง ศูนย์การค้า รถเมล์ รถไฟ และรถแท็กซี่ เครื่องบินโดยสารที่เคยจัดที่นั่งสำหรับขี้ยาไว้ตอนท้ายๆ เครื่อง แล้วค่อยๆ ลดที่นั่งลง ห้ามสูบในสายการบินในประเทศหรือช่วงสั้นๆ เท่านั้น คนที่ไม่สูบบุหรี่ก็ต้องกล้ำกลืนสูดควันพิษเข้าปอดโดยไม่มีทางหลบเลี่ยง
เดี๋ยวนี้ห้ามสูบบุหรี่ตามสถานที่ดังกล่าวโดยสิ้นเชิง!
ไม่ว่าที่ไหนๆ ก็ห้ามสูบบุหรี่ แม้แต่ในผับ บาร์ โรงแรม และสถานบันเทิงต่างก็ห้ามสูบบุหรี่ทั้งนั้น
ป้ายรถเมล์ ตามถนนหนทาง ตามตรอกซอยก็ห้ามสูบ เรียกว่า "ห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะ" ใครฝ่าฝืนมีโทษปรับ 2,000 บาท แต่ก็เห็นสูบบุหรี่กันเกร่อ ไม่มีใครไปปรับไปจับกุมสักครั้ง ถูกมองอย่างรังเกียจก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ ถ้าไปทักท้วงก็จะอ้างน้ำขุ่นๆ ว่าห้ามสูบบุหรี่ทั้งที่สาธารณะและที่บ้าน แล้วจะให้ไปสูบที่ไหน?
เท่ากับการสูบบุหรี่ผิดกฎหมาย แล้วทำไมยังมีบุหรี่ขายได้ล่ะ?
"พี่เลิศ" เป็นหัวหน้าในแผนกของเรา ตกเป็นเหยื่อของบุหรี่อย่างน่าเศร้า ทั้งที่อายุเพียง 50 เศษๆ เท่านั้น ต้องล้มป่วยด้วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โดยเฉพาะโรคมะเร็งปอด จนเสียชีวิตในโรงพยาบาล
พี่เลิศเคยสูงใหญ่กำยำ นิสัยใจคอกว้างขวาง เป็นกันเองกับลูกน้องจนพวกเรารักใคร่แกทุกคน สูบบุหรี่จัดแทบจะเป็นมวนต่อมวน...วันละไม่ต่ำกว่า 3 ซองแล้วกัน
ในระยะหลังๆ มีการห้ามสูบบุหรี่แพร่หลาย พี่เลิศที่ร่วมวงกับพวกเราทุกอาทิตย์ก็ต้องดื่มเหล้าไปบ่นไปที่เขาห้ามสูบบุหรี่ในร้าน...บอกว่าตอนไหนก็สูบบุหรี่ไม่อร่อยเท่าตอนซดเหล้า! อดรนทนไม่ไหวก็ต้องขอตัวไปอัดควันพิษหน้าร้าน
เพื่อนผมมีทั้งคนเลิกบุหรี่ได้แล้วกับพยายามเลิกสูบ ยอมรับว่าจริงของพี่เลิศที่ดื่มเหล้าแล้วอยากบุหรี่มากที่สุด
บางคนใจแข็งก็ไม่สูบ คนใจอ่อนก็ต้องตามพี่เลิศออกไปอัดควันพิษด้วยกัน!
ระยะหลัง พี่เลิศดูซูบผอมลงไปเรื่อยๆ มีไอแห้งๆ บ่อยครั้ง เจ้าตัวบอกว่าคงเป็นเพราะสูบบุหรี่จัด ทำให้ระคายคอ มีเสมหะมาก ต้องขากต้องกระแอมบ่อยๆ ขนาดอยู่ที่บ้านก็ต้องลดบุหรี่ลงเพราะภรรยาขอร้อง ถ้าอยากจริงๆ ก็ต้องออกไปสูบที่สนามหน้าบ้าน
"รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นควันพิษ อยากจะเลิกเหมือนกันแต่ยังเลิกไม่ได้ว่ะ" พี่เลิศพูดเหมือนปรับทุกข์ "อย่างว่านะ...ไอ้เรามันสูบมาตั้งสามสิบกว่าปีแล้ว คงจะเลิกยากเอาการ ลงทุนมาเยอะแล้วนี่หว่า"
มารู้ทีหลังว่าพี่เลิศเบื่ออาหาร น้ำหนักลดฮวบฮาบ ไอจนตัวโก่งตัวงอ จนกระทั่งไอเป็นเลือด ภรรยาเคี่ยวเข็ญให้ไปพบแพทย์...ผลก็คือมะเร็งปอดระยะสุดท้าย
ในงานศพพี่เลิศที่วัดแถวบางเขน พวกเราไปฟังสวดอภิธรรมในศาลาที่มีเครื่องปรับอากาศตั้งแต่คืนแรก จนกระทั่งถึงคืนสุดท้ายมีเพื่อนชื่อสุนทร ไม่รู้นึกขลังอะไร เอาบุหรี่ยี่ห้อโปรดของพี่เลิศแกะซองไปวางใส่พานไว้หน้าโลง พูดดังๆ ว่า...สูบให้สมอยากนะพี่เลิศนะ!
ในขณะที่พระกำลังสวดอภิธรรมอยู่นั้น ผมก็ได้กลิ่นควันบุหรี่อวลกรุ่นมาเข้าจมูกทั้งๆ ที่ในศาลามีป้ายติดไว้เด่นชัดว่า "ห้ามสูบบุหรี่"
เพื่อนๆ ที่นั่งอยู่ติดกันเอียงหน้าเข้ามาถามว่า ใครสูบบุหรี่วะ? แต่เมื่อเราเหลียวมองไปทั่วศาลาก็ไม่เห็นมีใคร สุนทรที่มีนิสัยขี้เล่นพูดขึ้นว่า...หรือพี่เลิศแกจะสูบบุหรี่ที่อั๊วเอาไปไว้ให้จริงๆ
ขาดคำ พวกเราก็หันขวับไปทางโลงศพที่มีรูปถ่ายพี่เลิศที่ยิ้มละไมอยู่หน้าโลง...ขณะที่กลิ่นควันบุหรี่ยิ่งรุนแรงคล้ายจะอบอวลไปทั้งศาลา
ภาพถ่ายของพี่เลิศยิ้มเศร้าๆ ให้พวกเรา เหมือนจะยอมรับในชะตากรรมที่เกิดจากควันบุหรี่ และตักเตือนพวกเราให้ถอนตัวจากควันมรณะก่อนที่จะสายเกินไป!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 27 พฤษภาคม 2551
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)