ครูเพลงอาวุโส มนัส ปิติสานต์ ย้อนอดีตให้ฟัง สมจริงสมจังเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นหยกๆ เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง ทั้งๆ ที่ปาเข้าไปราว 40 ปีเห็นจะได้
หลังจากได้ยินเสียงเพลง "ปอบผีฟ้า" ดังโหยหวนเยือกเย็นกลางดึก ขณะที่รถไฟแล่นผ่านจังหวัดสระบุรี เคล้าระคนกับเสียงล้อเหล็กบดรางดังกระหึ่ม อาการหลับๆ ตื่นๆ ก็พลันกลายเป็นหูตาสว่างจ้า
"ผีฟ้าเอย เจ้าสุดโสภา..." กับ "เลือด! ข้าอยากได้เลือด..."
"ผมรีบควักปากกามือไม้สั่น แต่เจ้ากรรมไม่มีกระดาษใกล้มือ" ครูมนัสเล่าจนแทบจะเห็นภาพแน่ะ "สมัยนั้นมีกระดาษชำระแขวนไว้หน้าห้องน้ำ ผมก็อาศัยฉีกมาเป็นกระดาษเขียนเนื้อเพลงกันลืม...กระทั่งรถแล่นถึงสถานี อยุธยาแล้ว ถึงได้เขียนเพลงจบ"
เมื่อกลับถึงกรุงเทพฯ ก็รีบบึ่งเอาไปให้คุณไพรัชทันที!
"แหม! พอเห็นเข้าก็ดีดนิ้วผลัวะ...ได้การ!!"
ว่าแต่ใครล่ะ ที่ล่องลอยตามขบวนรถไฟมาร้องเพลง "ปอบผีฟ้า" ด้วยเสียงโหยหวนเยือกเย็น เสียงเพลง "ผีฟ้าเอย..." ชวนหนาวสันหลังก็ดังวังเวงใจไปเกือบทุกหลังคาเรือนในยุคนั้น...
ต่อ มา พี่ป๋องกับน้องกิ๊ก (มยุริญ ผ่องผุดพันธ์) ก็พาผู้ชมที่ชอบเรื่องสยองขวัญไปดูแหล่งผีดุ ชื่อตอน "คนลองของ" ในรายการ "มิติลี้ลับ" ทางช่อง 7 ทุกคืนวันพุธ...ใครไม่ขนลุกก็ใจแข็งเต็มที
ในเวลาไล่ๆ กัน ปีศาจนิยายก็กลายเป็น "ปีศาจจอแก้ว" ออกอาละวาดเกือบทุกช่อง ทางจอเงินก็มีทั้ง "ตำนานกระสือ" "กระสือสาว 2001" กับ "ปอบหวีดสยอง", "ผีสามบาท", "ผีหัวขาด" และ "ผีละบาท" เป็นต้น
เพิ่ง นึกถึงหนังจอใหญ่เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน "บ้านผีปอบ" ถึงจะเป็นหนังฟอร์มเล็ก แต่ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ มีแฟนๆ ที่ชอบบรรยากาศน่าสะพรึงกลัวซื้อตั๋วเข้าไปอุดหนุนกันคับคั่ง โดยเฉพาะโรงชั้นสองกับต่างจังหวัด เล่นเอาหนังฟอร์มใหญ่ค้อนควักตาคว่ำตาหงายไปตามๆ กัน
คิดแล้วก็น่าเห็นใจแฮะ เพราะ "บ้านผีปอบ" ที่มีผีปอบรุ่นน้าคือ "ป้าหยิบ" โผล่ออกมาเลียปากแผล็บๆ น่ะ เบ็ดเสร็จสร้างไปเกือบ 30 ภาคได้แล้วมั้ง ขณะที่หนังฟอร์มใหญ่ยังไม่ทันออกจากโรงหนัง คนสร้างก็แทบจะเข้าไปนอนในห้องไอซียูซะแล้ว
นอกจากภูตผีปีศาจสารพัดรูปแบบจะเป็นนิยาย เป็นภาพยนตร์และละครทีวีแล้ว ก็ยังมีสัมภเวสีหรือผีเร่ร่อน อยู่ตามศาลเจ้าพ่อนั่น เจ้าแม่นี่ ตำหนักโน้นตำหนักนี้อีกมากมายหลายร้อยแห่งทั่วประเทศ
ผู้สันทัดกรณีฟันธงเปรี้ยง บอกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ เป็นพวกมิจฉาชีพหลอกลวงหากินกับความงมงายของผู้คน ส่วนที่เหลืออีก 10 เปอร์เซ็นต์ น่ะส่วนมากเป็นพวกสัมภเวสีผีไม่มีศาล อดโซเพราะขาดเครื่องเซ่น เห็นผู้คนแห่แหนมากราบไหว้เซ่นวักตั๊กแตนเจ้าพ่อนั่น เจ้าแม่นี่ ก็เลยฉวยโอกาสเข้าสิงคนทรงเอาดื้อๆ
...หลอกลวงว่าเป็นเจ้าพ่อแท่งทอง เจ้าแม่เนินสะอาด พ่อปู่หลักโลก ฤๅษีตาทิพย์ ฯลฯ แล้วแต่จะแต่งตั้งตัวเองขึ้นมาดื้อๆ ให้คนหลงเชื่อ ที่หนักข้อกว่านั้นก็อ้างเป็นเสด็จโน่นเสด็จนี่ให้ดูขลังๆ น่าเคารพยำเกรง จะได้สวาปามเครื่องเซ่นดีๆ เช่น หมูเห็ดเป็ดไก่ รวมทั้งสุรารสเลิศ จนอิ่มหนำสำราญ เกษมเปรมปรีดิ์ไปตามๆ กัน เพราะหิวโหยแทบไส้ขาดมาเนิ่นนานเต็มที
คล้ายๆ พวก "กระสือตอมห่าเที่ยวหากิน" ไม่มีผิด!
เรียกว่าหลอกลวงได้ทั้งคนทรง ทั้งชาวบ้านร้านช่องให้หลงเชื่อ แต่ใช่ว่าของจริงๆ จะไม่มีเสียเลย เช่น พี่ชายเพื่อนผมไปหาคนทรงแถวหลังวัดญวน สะพานขาว เป็นอาซิ้มวัย 60 ปี อาชีพรับจ้างหาบน้ำตั้งแต่สาวยันแก่ เพื่อขอให้เข้าทรงวิญญาณเพื่อนที่เป็นทหารเยอรมันสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ว่ายังอยู่หรือตายไปแล้ว
ปรากฏว่าอาซิ้มพูดไทยไม่ค่อยชัด เดี๋ยวเดียวก็พ่นภาษาเยอรมันปร๋อ บอกว่า "อั๊วตายไปนานแล้วเพื่อนเอ๋ย สุขสบายดีทุกอย่างไม่ต้องห่วงน่า...ดังเก้! อัปวีเดอร์เซน!"
เรื่องทำนองนี้ฟังหูไว้หูก็ดีนะครับ จะได้ไม่โดนต้มไง...สวัสดี!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552
12 มกราคม 2557
10 มกราคม 2557
ผีขึ้นจอ (4)
เรื่องที่เรียกรวมๆ กันว่า "เรื่องสยองขวัญ" ไม่นับเรื่องฆาตกรรมอำพรางหรือวิทยาศาสตร์ล้วนๆ แต่เป็นเรื่องภูตผีกึ่งวิทยาศาสตร์ ผสมกลมกลืนอย่างสนิทเนียน ก็ได้รับความนิยมชมชอบจากแฟนๆ เช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องสยองขวัญของ จินตวี วิวัธน์ อย่างที่เล่าไว้ในตอนต้นๆ
นอกจากละครเขย่าขวัญทางทีวีแล้ว ยังมีรายการผีๆ สางๆ เช่น ลองของ, เขย่าขวัญ, สุดสยอง ฯลฯ ค่อนข้างมากมายทางทีวี มีพิธีกรดังๆ เชิญดาราทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเล็กบ้าง นักเขียนเรื่องผีบ้าง หรือไม่ก็นักแต่งเพลง และท่านผู้ชมที่มีประสบการณ์เรื่องผีๆ สางๆ มาพูดคุยกัน ท่ามกลางบรรยากาศน่าขนลุกขนพองซะไม่มี
"ใบหนาด" ไปออกรายการเหล่านี้เกือบทุกรายการ
แม้แต่ "บ้านเลขที่ 5" ของคุณสาวิตรี สามิภักดิ์ "พฤหัสบันเทิง" ของคุณอดิศักดิ์ ศรีสม กับ คุณชลิดา เถาว์ชาลี อดีตนางสาวไทย หรือรายการ "ขนหัวลุก" ของคุณมยุรา ธนะบุตร ก็ยังชวน "ใบหนาด" ไปเล่าเรื่องผีสู่กันฟังนี่นา
อย่าทำเป็นล้อเล่นกับเรื่องผีๆ สางๆ ที่ไม่ว่าคนชาติไหนก็ชอบอ่าน ชอบฟังชอบดูกันทั้งนั้นแหละน่า
เกือบลืมเรื่อง "ปอบผีฟ้า" ของดาราวิดีโอแล้วไหมล่ะ!
ภาพของยายแก่หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนปีศาจดึกดำบรรพ์ในคืนฝันร้าย สารรูปไม่ผิดกับแม่มดหรือ "แร้งทึ้ง" แต่มีแฟนๆ เหนียวแน่นทั้งเมือง โดยเฉพาะเพลง "ปอบผีฟ้า" น่ะ ได้ยินเมื่อไหร่เป็นขนลุกเมื่อนั้น
ตอนไปออก "ชมรมขนหัวลุก" ของคุณมยุรา ธนะบุตร กับ คุณธงชัย ประสงค์สันติ มีครูเพลงชื่อดังผู้แต่งเพลง "ปอบผีฟ้า" กับคุณกพล ทองพลับ (ดีเจ.ป๋อง) ผู้จัดรายการ "ไนน์ตี้ช็อค" ทางวิทยุ เป็นแขกรับเชิญ 3 คนไปเล่าเรื่องผีๆ สางๆ ให้ผู้ชมฟังทางหน้าจอทีวี
พี่ป๋องเคยชวนผมไปคุยเรื่องผีมาก่อน รู้จักมักคุ้นกันดี จำได้ว่าคืนนั้นก่อนเปิดรายการ เพลง "ปอบผีฟ้า" ก็ดังลั่นขึ้นมาเฉยๆ โดยไม่มีใครไปแตะต้องปุ่มหรือสวิตช์ใดๆ ทั้งสิ้น เล่นเอาหน้าตาไม่ค่อยสเบยไปตามๆ กัน
รายการของคุณมยุราวันนั้น ก็เลยได้รู้จักผู้แต่งเพลงนี้เป็นครั้งแรก หน้าตาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ใจดี น่ารักน่านับถือจริงๆ ครับ
คือครูมนัส ปิติสานต์!
ครูเพลงชื่อดัง ผู้แต่งเพลงไทยสากลระดับ "อมตะนิรันดร์กาล" เอาไว้หลายเพลง ที่ยังโด่งดังเมื่อ 30-40 ปีมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ "เสน่หา" กับ "ฝนหยาดสุดท้าย"
ครูมนัสเล่าย้อนความหลัง อันเป็นที่มาของละครสุดฮิตในอดีต "ปอบผีฟ้า" ว่ารับปากกับคุณไพรัช สังวริบุตร ว่าจะแต่งเพลงปอบผีฟ้าเป็นเพลงนำเรื่อง (ไตเติ้ล) ของละครเรื่องนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังแต่งไม่ออกซักที จนต้องขึ้นรถไฟดั้นด้นไปถึงภาคอีสาน อันเป็นแหล่งกำเนิดของ "ปอบผีฟ้า"
ลงรถไฟที่สุรินทร์แล้วว่าจ้างคนนำทางไปดูการแสดงปอบผีฟ้าในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง โดยจ่ายค่าจ้างราว 30-40 บาท เป็นค่ายกครู...ว่างั้น!
เสร็จสรรพมีผู้หญิง 4 คนแต่งกายชุดดำออกมาร่ายรำตามเสียงซึงที่ลานหน้าบ้าน...รวมทั้งได้สัมภาษณ์ผู้คนมากหน้า แต่ก็ยังไม่ปิ๊งหรือถูกอกถูกใจ ได้ไอเดียแต่งเพลงซักที
ในที่สุดเลยยอมแพ้ มานั่งดวดดื่มสุราแก้เซ็งอยู่ที่สถานีสุรินทร์ ตัดสินใจนั่งรถไฟกลับกรุงเทพฯ ดีกว่า...
ตอนดึกๆ กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็ได้ยินเสียงเพลง "ปอบผีฟ้า" ดังแว่วเหมือนกับลอยตามลมมากระทบหู เคล้ากับเสียงฉึกฉักรถไฟ จนประสาทตื่นตัวเต็มที่ ก็ยังได้ยินเพลงที่ว่าร้องซ้ำๆ คลอเสียงซึงอย่างถนัดชัดเจน
"ผีฟ้าเอย เจ้าสุดโสภา..." ติดตามด้วยการร้องขอเสื้อผ้าสวยๆ งามๆ กับได้ร้องรำทำเพลง โดยเฉพาะอาหารที่อดอยากหิวโหยมาเนิ่นนาน...มีเสียงถามว่าอยากจะกินอะไร ก็มีเสียงแหบโหยตอบกระเส่าสั่นว่า...
"เลือด! เลือด...ข้าอยากกินเลือด..."
ใช่เลย! เพลงนี้แหละ "ปอบผีฟ้า" ตัวจริงเสียงจริง! บรื๋ออออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 23 พฤศจิกายน 2552
นอกจากละครเขย่าขวัญทางทีวีแล้ว ยังมีรายการผีๆ สางๆ เช่น ลองของ, เขย่าขวัญ, สุดสยอง ฯลฯ ค่อนข้างมากมายทางทีวี มีพิธีกรดังๆ เชิญดาราทั้งรุ่นใหญ่และรุ่นเล็กบ้าง นักเขียนเรื่องผีบ้าง หรือไม่ก็นักแต่งเพลง และท่านผู้ชมที่มีประสบการณ์เรื่องผีๆ สางๆ มาพูดคุยกัน ท่ามกลางบรรยากาศน่าขนลุกขนพองซะไม่มี
"ใบหนาด" ไปออกรายการเหล่านี้เกือบทุกรายการ
แม้แต่ "บ้านเลขที่ 5" ของคุณสาวิตรี สามิภักดิ์ "พฤหัสบันเทิง" ของคุณอดิศักดิ์ ศรีสม กับ คุณชลิดา เถาว์ชาลี อดีตนางสาวไทย หรือรายการ "ขนหัวลุก" ของคุณมยุรา ธนะบุตร ก็ยังชวน "ใบหนาด" ไปเล่าเรื่องผีสู่กันฟังนี่นา
อย่าทำเป็นล้อเล่นกับเรื่องผีๆ สางๆ ที่ไม่ว่าคนชาติไหนก็ชอบอ่าน ชอบฟังชอบดูกันทั้งนั้นแหละน่า
เกือบลืมเรื่อง "ปอบผีฟ้า" ของดาราวิดีโอแล้วไหมล่ะ!
ภาพของยายแก่หน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนปีศาจดึกดำบรรพ์ในคืนฝันร้าย สารรูปไม่ผิดกับแม่มดหรือ "แร้งทึ้ง" แต่มีแฟนๆ เหนียวแน่นทั้งเมือง โดยเฉพาะเพลง "ปอบผีฟ้า" น่ะ ได้ยินเมื่อไหร่เป็นขนลุกเมื่อนั้น
ตอนไปออก "ชมรมขนหัวลุก" ของคุณมยุรา ธนะบุตร กับ คุณธงชัย ประสงค์สันติ มีครูเพลงชื่อดังผู้แต่งเพลง "ปอบผีฟ้า" กับคุณกพล ทองพลับ (ดีเจ.ป๋อง) ผู้จัดรายการ "ไนน์ตี้ช็อค" ทางวิทยุ เป็นแขกรับเชิญ 3 คนไปเล่าเรื่องผีๆ สางๆ ให้ผู้ชมฟังทางหน้าจอทีวี
พี่ป๋องเคยชวนผมไปคุยเรื่องผีมาก่อน รู้จักมักคุ้นกันดี จำได้ว่าคืนนั้นก่อนเปิดรายการ เพลง "ปอบผีฟ้า" ก็ดังลั่นขึ้นมาเฉยๆ โดยไม่มีใครไปแตะต้องปุ่มหรือสวิตช์ใดๆ ทั้งสิ้น เล่นเอาหน้าตาไม่ค่อยสเบยไปตามๆ กัน
รายการของคุณมยุราวันนั้น ก็เลยได้รู้จักผู้แต่งเพลงนี้เป็นครั้งแรก หน้าตาเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ใจดี น่ารักน่านับถือจริงๆ ครับ
คือครูมนัส ปิติสานต์!
ครูเพลงชื่อดัง ผู้แต่งเพลงไทยสากลระดับ "อมตะนิรันดร์กาล" เอาไว้หลายเพลง ที่ยังโด่งดังเมื่อ 30-40 ปีมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ "เสน่หา" กับ "ฝนหยาดสุดท้าย"
ครูมนัสเล่าย้อนความหลัง อันเป็นที่มาของละครสุดฮิตในอดีต "ปอบผีฟ้า" ว่ารับปากกับคุณไพรัช สังวริบุตร ว่าจะแต่งเพลงปอบผีฟ้าเป็นเพลงนำเรื่อง (ไตเติ้ล) ของละครเรื่องนี้ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังแต่งไม่ออกซักที จนต้องขึ้นรถไฟดั้นด้นไปถึงภาคอีสาน อันเป็นแหล่งกำเนิดของ "ปอบผีฟ้า"
ลงรถไฟที่สุรินทร์แล้วว่าจ้างคนนำทางไปดูการแสดงปอบผีฟ้าในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง โดยจ่ายค่าจ้างราว 30-40 บาท เป็นค่ายกครู...ว่างั้น!
เสร็จสรรพมีผู้หญิง 4 คนแต่งกายชุดดำออกมาร่ายรำตามเสียงซึงที่ลานหน้าบ้าน...รวมทั้งได้สัมภาษณ์ผู้คนมากหน้า แต่ก็ยังไม่ปิ๊งหรือถูกอกถูกใจ ได้ไอเดียแต่งเพลงซักที
ในที่สุดเลยยอมแพ้ มานั่งดวดดื่มสุราแก้เซ็งอยู่ที่สถานีสุรินทร์ ตัดสินใจนั่งรถไฟกลับกรุงเทพฯ ดีกว่า...
ตอนดึกๆ กำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น ก็ได้ยินเสียงเพลง "ปอบผีฟ้า" ดังแว่วเหมือนกับลอยตามลมมากระทบหู เคล้ากับเสียงฉึกฉักรถไฟ จนประสาทตื่นตัวเต็มที่ ก็ยังได้ยินเพลงที่ว่าร้องซ้ำๆ คลอเสียงซึงอย่างถนัดชัดเจน
"ผีฟ้าเอย เจ้าสุดโสภา..." ติดตามด้วยการร้องขอเสื้อผ้าสวยๆ งามๆ กับได้ร้องรำทำเพลง โดยเฉพาะอาหารที่อดอยากหิวโหยมาเนิ่นนาน...มีเสียงถามว่าอยากจะกินอะไร ก็มีเสียงแหบโหยตอบกระเส่าสั่นว่า...
"เลือด! เลือด...ข้าอยากกินเลือด..."
ใช่เลย! เพลงนี้แหละ "ปอบผีฟ้า" ตัวจริงเสียงจริง! บรื๋ออออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 23 พฤศจิกายน 2552
08 มกราคม 2557
ผีขึ้นจอ (3)
สมัย ก่อนนั้น ถ้าหนังผีเรื่องไหนไม่มีคุณดอกดิน กัญญามาลย์ เล่นด้วย ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นหนังผีที่ไม่สมบูรณ์ หรือมิฉะนั้นก็ขาดรสชาติของหนังผีที่คนดูต้องกลัวไป หัวเราะไป สลับกันบ้าง พร้อมๆ กันบ้าง แต่ส่วนมากมักจะหัวเราะตัวงอกันทั้งนั้น
...หัวเราะในตอนที่หนังผีชาติอื่นน่ะ คนดูจะหัวเราะไม่ออกเด็ดขาด นอกจากจะนั่งอกสั่นขวัญกระเจิงลูกเดียว
นั่นคือตอนผีหลอก!
แต่หนังผีไทยนั้น เมื่อดาวตลกทั้งหลายวิ่งหนีผีชนิดล้มลุกคลุกคลาน คนดูก็จะหัวเราะครืนใหญ่ เช่น ตัวตลกวิ่งหนีผีที่ไล่ตามมาติดๆ จนวิ่งขึ้นไปบนสะพานข้ามคลองสูงชัน พอเห็นจวนตัวเข้า ดาวตลกนั้นก็จะกระโดดหนีลงน้ำตูมใหญ่ แต่ผีก็จะกระโดดน้ำตามชนิดไม่ลดละ
ตัวตลกที่โผล่พรวดขึ้นจากน้ำมาเห็นผีอยู่แค่คืบก็แผดร้องสุดเสียง ลอยละลิ่วขึ้นไปบนสะพานตามเดิม ส่วนผีก็กระทำแบบเดียวกัน ก่อนจะเริ่มต้นวิ่งไล่กันชุลมุนต่อไป จนคนดูหัวเราะแทบจะขาดใจตาย
ยิ่งฉากที่คุณดอกดินวิ่งหนีผี คนดูก็เตรียมหัวเราะไว้ก่อนแล้ว ยิ่งเห็นคุณดอกดินเข้าไปหลบผีอยู่หลังต้นไม้ ผีมาหยุดเหลียวหา คนดูก็แทบกลั้นหัวเราะไม่ไหวเพราะทำใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าคุณดอกดินจะต้อง โผล่หน้าไปจ๊ะเอ๋กับผีแน่นอน
แล้วคุณดอกดินก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกไป พร้อมๆ กับผีที่โผล่หน้าเข้ามา!
คนดูก็ได้โอกาสฮาครืนกันทั้งโรง ที่เรียกกันว่า "ฮาตก ขอบ" เพราะรอที่จะฮากันอยู่แล้ว จนแทบไม่ได้ยินเสียงคุณดอกดินร้องโหยหวน ล้มลุกคลุกคลาน ก่อนจะลุกขึ้นเผ่นหนีผีกระเซอะกระเซิงอีกต่อไป เพื่อที่จะไปพบกับผีตัวเดิมยืนจังก้าขวางหน้า แต่คนดูก็ไม่ได้หวั่นหวาดอะไร ทั้งๆ ที่เห็นผีตาโบ๋ปรากฏตัวเต็มจอ
...นอกจากจะไม่หวาดกลัวแล้วยังหัวเราะกันท้องคลอน จนถึงตัวงอ หรือนิยมเรียกกันว่า "หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล"
อันที่จริง ถึงแม้ว่าจะไม่มีฉากคุณดอกดินวิ่งหนีผี เพียงแต่เห็นหน้าคุณดอกดินในจอก็ฮาครืนกันแล้ว พอๆ กับเห็นหน้าคุณบังเละหรือคุณล้อต๊อกนั่นแหละครับ..
จากจอเงินมาถึงจอแก้ว!
ท่านที่อายุเลย 50-60 ปีขึ้นไป คงจะจำความบันเทิงเกี่ยวกับเรื่องผีๆ สางๆ ในจอทีวีได้ว่ามีเรื่องอะไรมั่ง? แฟนๆ ติดงอมแงม ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จนต้องมานั่งเฝ้าจอกันเป็นประจำ..เพราะช่อง 5 กับช่อง 7 มีรายการหนังชุดเกี่ยวกับภูตผีปีศาจออกมาสนองความต้องการของท่านผู้ชมมากที่ สุด
หุ่นไล่กา, พิภพมัจจุราช, ห้องหุ่น, สุสานคนเป็น, เงินปากผี ฯลฯ ของรัชฟิล์มภาพยนตร์ และทีวีของพันโทพยุง พึ่งศิลป์ กับคณะกันตนาของคุณประดิษฐ์ กัลย์จาฤก ที่เคยโด่งดังทางละครวิทยุมาก่อน ครั้นถึงยุคทีวีก็กลับมารุ่งเรืองเฟื่องฟูตั้งแต่เมื่อ 40-50 ปีก่อนจนถึงปัจจุบันนี้
"ไอ้ห้อย" กับ "ไอ้โหน" ในหุ่นไล่กา ที่เป็นหัวกะโหลก กับแม่มดเจ้านายเปิดเรื่องออกมาเคาะกะโหลก หัวเราะเสียงแหบโหยแฮ่ๆๆ แล้วยกสุภาษิตอะไรที่ฟังดูขลังๆ มาอ้าง ก่อนจะเล่าเรื่องราวให้ไอ้ห้อยไอ้โหนฟัง..สนุกสนานแค่ไหนคงจะจำกันได้หรอก น่า
พิภพมัจจุราช ก็มีเพลงฮิตของคุณมีศักดิ์ นาครัตน์ ประกอบไตเติ้ล โด่งดังจนเด็กๆ ร้องกันได้เกร่อทั้งเมือง
"พิภพมัจจุราชใครถึงฆาตต้องสิ้นชีวิต! ทำความดีล่ะ? ได้ขึ้นสวรรค์! ทำชั่วตกนรกโลกันตร์โดนลงอาญา.." อะไรประมาณนี้แหละครับ
ห้องหุ่น กับ สุสานคนเป็น ก็นำมาสร้างใหม่เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน
ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ตอนริเริ่มทำหนังไซไฟเรื่อง "มันมากับความมืด" จนถึง "เขาชื่อกานต์" และ "เทพธิดาโรงแรม" ก็ทำหนังผีให้ทีวีช่อง 7 ชุด "หมอผี" ในนามพร้อมมิตรภาพยนตร์ ผมยังเคยไปดูตอนถ่ายทำที่วังละโว้หลายครั้ง
ช่วง หลังทำหนังใหญ่ สุริโยไท กับ นเรศวร โกยเงินอั้กๆ ทั้งในประเทศกับขายต่างประเทศ รวมรายได้เบ็ดเสร็จไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท "ท่านมุ้ย" คงทรงขี้เกียจไปทำหนังทีวีอีกแล้วนะครับ พับผ่า!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 20 พฤศจิกายน 2552
...หัวเราะในตอนที่หนังผีชาติอื่นน่ะ คนดูจะหัวเราะไม่ออกเด็ดขาด นอกจากจะนั่งอกสั่นขวัญกระเจิงลูกเดียว
นั่นคือตอนผีหลอก!
แต่หนังผีไทยนั้น เมื่อดาวตลกทั้งหลายวิ่งหนีผีชนิดล้มลุกคลุกคลาน คนดูก็จะหัวเราะครืนใหญ่ เช่น ตัวตลกวิ่งหนีผีที่ไล่ตามมาติดๆ จนวิ่งขึ้นไปบนสะพานข้ามคลองสูงชัน พอเห็นจวนตัวเข้า ดาวตลกนั้นก็จะกระโดดหนีลงน้ำตูมใหญ่ แต่ผีก็จะกระโดดน้ำตามชนิดไม่ลดละ
ตัวตลกที่โผล่พรวดขึ้นจากน้ำมาเห็นผีอยู่แค่คืบก็แผดร้องสุดเสียง ลอยละลิ่วขึ้นไปบนสะพานตามเดิม ส่วนผีก็กระทำแบบเดียวกัน ก่อนจะเริ่มต้นวิ่งไล่กันชุลมุนต่อไป จนคนดูหัวเราะแทบจะขาดใจตาย
ยิ่งฉากที่คุณดอกดินวิ่งหนีผี คนดูก็เตรียมหัวเราะไว้ก่อนแล้ว ยิ่งเห็นคุณดอกดินเข้าไปหลบผีอยู่หลังต้นไม้ ผีมาหยุดเหลียวหา คนดูก็แทบกลั้นหัวเราะไม่ไหวเพราะทำใจไว้ล่วงหน้าแล้วว่าคุณดอกดินจะต้อง โผล่หน้าไปจ๊ะเอ๋กับผีแน่นอน
แล้วคุณดอกดินก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกไป พร้อมๆ กับผีที่โผล่หน้าเข้ามา!
คนดูก็ได้โอกาสฮาครืนกันทั้งโรง ที่เรียกกันว่า "ฮาตก ขอบ" เพราะรอที่จะฮากันอยู่แล้ว จนแทบไม่ได้ยินเสียงคุณดอกดินร้องโหยหวน ล้มลุกคลุกคลาน ก่อนจะลุกขึ้นเผ่นหนีผีกระเซอะกระเซิงอีกต่อไป เพื่อที่จะไปพบกับผีตัวเดิมยืนจังก้าขวางหน้า แต่คนดูก็ไม่ได้หวั่นหวาดอะไร ทั้งๆ ที่เห็นผีตาโบ๋ปรากฏตัวเต็มจอ
...นอกจากจะไม่หวาดกลัวแล้วยังหัวเราะกันท้องคลอน จนถึงตัวงอ หรือนิยมเรียกกันว่า "หัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหล"
อันที่จริง ถึงแม้ว่าจะไม่มีฉากคุณดอกดินวิ่งหนีผี เพียงแต่เห็นหน้าคุณดอกดินในจอก็ฮาครืนกันแล้ว พอๆ กับเห็นหน้าคุณบังเละหรือคุณล้อต๊อกนั่นแหละครับ..
จากจอเงินมาถึงจอแก้ว!
ท่านที่อายุเลย 50-60 ปีขึ้นไป คงจะจำความบันเทิงเกี่ยวกับเรื่องผีๆ สางๆ ในจอทีวีได้ว่ามีเรื่องอะไรมั่ง? แฟนๆ ติดงอมแงม ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่จนต้องมานั่งเฝ้าจอกันเป็นประจำ..เพราะช่อง 5 กับช่อง 7 มีรายการหนังชุดเกี่ยวกับภูตผีปีศาจออกมาสนองความต้องการของท่านผู้ชมมากที่ สุด
หุ่นไล่กา, พิภพมัจจุราช, ห้องหุ่น, สุสานคนเป็น, เงินปากผี ฯลฯ ของรัชฟิล์มภาพยนตร์ และทีวีของพันโทพยุง พึ่งศิลป์ กับคณะกันตนาของคุณประดิษฐ์ กัลย์จาฤก ที่เคยโด่งดังทางละครวิทยุมาก่อน ครั้นถึงยุคทีวีก็กลับมารุ่งเรืองเฟื่องฟูตั้งแต่เมื่อ 40-50 ปีก่อนจนถึงปัจจุบันนี้
"ไอ้ห้อย" กับ "ไอ้โหน" ในหุ่นไล่กา ที่เป็นหัวกะโหลก กับแม่มดเจ้านายเปิดเรื่องออกมาเคาะกะโหลก หัวเราะเสียงแหบโหยแฮ่ๆๆ แล้วยกสุภาษิตอะไรที่ฟังดูขลังๆ มาอ้าง ก่อนจะเล่าเรื่องราวให้ไอ้ห้อยไอ้โหนฟัง..สนุกสนานแค่ไหนคงจะจำกันได้หรอก น่า
พิภพมัจจุราช ก็มีเพลงฮิตของคุณมีศักดิ์ นาครัตน์ ประกอบไตเติ้ล โด่งดังจนเด็กๆ ร้องกันได้เกร่อทั้งเมือง
"พิภพมัจจุราชใครถึงฆาตต้องสิ้นชีวิต! ทำความดีล่ะ? ได้ขึ้นสวรรค์! ทำชั่วตกนรกโลกันตร์โดนลงอาญา.." อะไรประมาณนี้แหละครับ
ห้องหุ่น กับ สุสานคนเป็น ก็นำมาสร้างใหม่เมื่อเกือบ 20 ปีก่อน
ม.จ.ชาตรีเฉลิม ยุคล ตอนริเริ่มทำหนังไซไฟเรื่อง "มันมากับความมืด" จนถึง "เขาชื่อกานต์" และ "เทพธิดาโรงแรม" ก็ทำหนังผีให้ทีวีช่อง 7 ชุด "หมอผี" ในนามพร้อมมิตรภาพยนตร์ ผมยังเคยไปดูตอนถ่ายทำที่วังละโว้หลายครั้ง
ช่วง หลังทำหนังใหญ่ สุริโยไท กับ นเรศวร โกยเงินอั้กๆ ทั้งในประเทศกับขายต่างประเทศ รวมรายได้เบ็ดเสร็จไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท "ท่านมุ้ย" คงทรงขี้เกียจไปทำหนังทีวีอีกแล้วนะครับ พับผ่า!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 20 พฤศจิกายน 2552
06 มกราคม 2557
ผีขึ้นจอ (2)
เมื่อมีการสร้างภาพยนตร์ขึ้นเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว ไม่ว่า นางสาวสุวรรณ หรือพระเจ้าช้างเผือก เรื่องแนวผีๆ สางๆ ที่อยู่คู่กับคนไทยมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ชนิดที่พอรู้ความได้ก็ได้ยินเรื่องสารพัดผี จากพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายแล้ว
หนังไทยจะไม่สร้างเรื่องผีกันบ้างก็เห็นจะผิดที!
"ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" หนังผีเรื่องแรกของไทย พระเอกคือคุณหลวงพรตกรรมโกศล ต่อมาก็เล่นเป็นผู้ร้ายบ้าง เป็นคุณพ่อคุณลุงไปยันคุณปู่ตามวัยบ้าง จนกระทั่งมีโทรทัศน์ก็ยังมาเล่นหนังเล่นละครอีกหลายเรื่อง
ในละครทีวีเรื่อง "ห้องหุ่น" เล่นเป็นขุนนางชรา ผอมสูง ใบหน้าเรียวยาว เหี่ยวย่น นุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อราชปะแตน นั่งจังก้าเป็นหุ่นผีรวมกับหุ่นตัวอื่นๆ คนดูเห็นเข้าก็ขนลุกขนชันไปตามๆ กัน...จนกระทั่งคุณหลวงท่านถึงแก่อนิจกรรม
คิดๆ แล้วก็แปลกดี ที่คุณหลวงพรตฯ เล่นหนังใหญ่เรื่องแรกคือเรื่องผี จนมาเล่นทีวีในบั้นปลายชีวิต (คงเป็นเรื่องสุดท้าย) เมื่ออายุราว 80 ปีก็เป็นเรื่องผีอีกเหมือนกัน!
เรื่องผีเป็นหนังจอใหญ่หลายเรื่อง พวกปีศาจนิยายดังๆ ที่เล่ามาแล้วน่ะกลายเป็นหนังใหญ่แทบทั้งนั้น เรื่องโด่งดังสุดๆ รับรองว่าไม่มีเรื่องไหนเกิน "แม่นากพระโขนง" ไปได้ สมัยก่อนสงครามยังสร้างไปแล้ว 2 ครั้ง...ห่างกันปีเดียวแฟนๆ ยังดูกันตรึม
ปี 2502 เสน่ห์ โกมารชุน ก็จับ ปรียา รุ่งเรือง ฉายา "อกเขาพระวิหาร" มาเป็นแม่นากคู่กับ สุรสิทธิ์ สัตยวงษ์ ไม่ช้าไม่นานก็เอาปรียามาประกบกับพระเอกหนุ่ม สมบัติ เมทะนี แฟนๆ อุดหนุนกันโรงแทบแตกทั้งสองครั้ง
พวกผู้ชายไม่ว่าหนุ่มน้อยหรือหนุ่มใหญ่ ก็ล้วนแต่อยากทัศนาอกเขาพระวิหารของคุณปรียา รุ่งเรือง กันทั้งนั้นแหละครับ
ต่อมา ละโว้ภาพยนตร์ก็สร้าง "แม่นากพระนคร"
ล่าสุด "นางนาก" ก็เป็นหนังไทยที่ทำรายได้ถล่มทลายถึง 150 ล้านบาท
"กระสือสาว" ที่เคยเป็นการ์ตูนเรื่องยาวของ ทวี วิษณุกร ก็โด่งดังหยอกอยู่หรือนั่น...ศรีสยามภาพยนตร์สร้างหนึ่งนุช เป็นเรื่องแรก ทำรายได้ทะลุเป้า ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ พอทำ กระสือสาว ออกมาก็แทบจะเลิกพิมพ์หนังสือขายไปเลย
ภาพโปสเตอร์กับใบปิดที่เป็นใบหน้าแสนสวยของ พิศมัย วิไลศักดิ์ แต่ต่ำลงมาเป็นตับไตไส้พุงห้อยเป็นพวงระย้า กำลังล่องลอยหาเหยื่อในยามราตรี เรียกแฟนหนังเข้าไปควักเงินซื้อตั๋วกันคึ่กๆ ชนิดมืดฟ้ามัวดินก็ว่าได้!
ขึ้นชื่อว่าหนังผีซะอย่าง ต้องมีฉากสยดสยอง บรรยากาศน่าขนลุกขนพอง เสียงประกอบต่างๆ รวมทั้งเสียงดนตรีก็จะทำหน้าที่เขย่าขวัญสั่นประสาท ทำให้ท่านผู้ชมล้วนหวาดผวาไปตามๆ กัน เพราะถ้าไม่ต้องการอะไรทำนองนี้ก็เชิญไปดูหนังชีวิต หนังตลกหรือหนังบู๊ละเลงเลือดซะปะไร
นอกจากนั้น หนังผียังต้องมีฉากโป๊ๆ เปลือยๆ หรือบทพิศวาสเร่าร้อนผาดโผนหน่อย ให้สมกับเป็นเรื่องภูตผีปีศาจดุร้ายกระหายเลือด ไม่ใช่มัวแต่เธอจ๊ะเธอจ๋า หวานจ๋อยเย็นเจี๊ยบ...เดี๋ยวก็กลายเป็นเรื่องเลิฟสตรอว์เบอร์รี่เข้าไปโน่น
...แต่หนังผีไทย ส่วนใหญ่มักจะเน้นเรื่องตลกโปกฮาไปพร้อมๆ กับความน่าสะพรึงกลัว!
สมัยก่อน จะต้องมีดาวตลกชื่อดังในหนังไทยทุกประเภทก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบู๊หรือเรื่องชีวิต ต้องมีตลกตามพระ ตลกตามนาง เช่น ล้อต๊อก, ดอกดิน, สมพงษ์ พงษ์มิตร, ก๊กเฮง, ทองฮะ จนถึงรุ่น สังข์ทอง สีใส, เทพ เทียนชัย, ศรีเผือก, ศรีสุริยา, จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก, เด่น ดอกประดู่, เด๋อ ดอกสะเดา, ดี๋ ดอกมะดัน, ดู๋ ดอกกระโดน, เทพ โพธิ์งาม
จนถึงยุค โน้ต เชิญยิ้ม, เป็ด เชิญยิ้ม, ถั่วแระ จตุรงค์ มกจ๊ก, เอ็ดดี้ ผีน่ารัก, หม่ำ จ๊กมก, เท่ง เถิดเทิง, โหน่ง ช่าช่าช่า, โก๊ะตี๋, ค่อม ชวนชื่น ฯลฯ
แม้แต่ดาวร้ายก็ยังเล่นตลก โดยเฉพาะพวกสมุนปลายแถว
ที่เห็นชัดๆ ก็คือ ประจวบ ฤกษ์ยามดี เล่นบทดาวร้ายได้เฉียบขาด ขนาดได้รับตุ๊กตาทองตัวประกอบยอดเยี่ยมจากเรื่อง "มือโจร" ของ "คุณาวุฒิ" ยังเปลี่ยนมาเล่นตลกเป็นการเป็นงาน ตั้งแต่เรื่อง "มนต์รักลูกทุ่ง" ของ รังสี ทัศน์พยัคฆ์ กับเรื่องอื่นๆ ต่อมาอีกนับไม่ถ้วน จนได้ฉายาว่า "ดาวร้ายผู้น่ารัก"
หนังผีไม่ว่ายุคก่อนหรือยุคนี้ก็ล้วนแต่ขาดดาวตลกไม่ได้เช่นกัน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552
หนังไทยจะไม่สร้างเรื่องผีกันบ้างก็เห็นจะผิดที!
"ปู่โสมเฝ้าทรัพย์" หนังผีเรื่องแรกของไทย พระเอกคือคุณหลวงพรตกรรมโกศล ต่อมาก็เล่นเป็นผู้ร้ายบ้าง เป็นคุณพ่อคุณลุงไปยันคุณปู่ตามวัยบ้าง จนกระทั่งมีโทรทัศน์ก็ยังมาเล่นหนังเล่นละครอีกหลายเรื่อง
ในละครทีวีเรื่อง "ห้องหุ่น" เล่นเป็นขุนนางชรา ผอมสูง ใบหน้าเรียวยาว เหี่ยวย่น นุ่งผ้าม่วง สวมเสื้อราชปะแตน นั่งจังก้าเป็นหุ่นผีรวมกับหุ่นตัวอื่นๆ คนดูเห็นเข้าก็ขนลุกขนชันไปตามๆ กัน...จนกระทั่งคุณหลวงท่านถึงแก่อนิจกรรม
คิดๆ แล้วก็แปลกดี ที่คุณหลวงพรตฯ เล่นหนังใหญ่เรื่องแรกคือเรื่องผี จนมาเล่นทีวีในบั้นปลายชีวิต (คงเป็นเรื่องสุดท้าย) เมื่ออายุราว 80 ปีก็เป็นเรื่องผีอีกเหมือนกัน!
เรื่องผีเป็นหนังจอใหญ่หลายเรื่อง พวกปีศาจนิยายดังๆ ที่เล่ามาแล้วน่ะกลายเป็นหนังใหญ่แทบทั้งนั้น เรื่องโด่งดังสุดๆ รับรองว่าไม่มีเรื่องไหนเกิน "แม่นากพระโขนง" ไปได้ สมัยก่อนสงครามยังสร้างไปแล้ว 2 ครั้ง...ห่างกันปีเดียวแฟนๆ ยังดูกันตรึม
ปี 2502 เสน่ห์ โกมารชุน ก็จับ ปรียา รุ่งเรือง ฉายา "อกเขาพระวิหาร" มาเป็นแม่นากคู่กับ สุรสิทธิ์ สัตยวงษ์ ไม่ช้าไม่นานก็เอาปรียามาประกบกับพระเอกหนุ่ม สมบัติ เมทะนี แฟนๆ อุดหนุนกันโรงแทบแตกทั้งสองครั้ง
พวกผู้ชายไม่ว่าหนุ่มน้อยหรือหนุ่มใหญ่ ก็ล้วนแต่อยากทัศนาอกเขาพระวิหารของคุณปรียา รุ่งเรือง กันทั้งนั้นแหละครับ
ต่อมา ละโว้ภาพยนตร์ก็สร้าง "แม่นากพระนคร"
ล่าสุด "นางนาก" ก็เป็นหนังไทยที่ทำรายได้ถล่มทลายถึง 150 ล้านบาท
"กระสือสาว" ที่เคยเป็นการ์ตูนเรื่องยาวของ ทวี วิษณุกร ก็โด่งดังหยอกอยู่หรือนั่น...ศรีสยามภาพยนตร์สร้างหนึ่งนุช เป็นเรื่องแรก ทำรายได้ทะลุเป้า ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ พอทำ กระสือสาว ออกมาก็แทบจะเลิกพิมพ์หนังสือขายไปเลย
ภาพโปสเตอร์กับใบปิดที่เป็นใบหน้าแสนสวยของ พิศมัย วิไลศักดิ์ แต่ต่ำลงมาเป็นตับไตไส้พุงห้อยเป็นพวงระย้า กำลังล่องลอยหาเหยื่อในยามราตรี เรียกแฟนหนังเข้าไปควักเงินซื้อตั๋วกันคึ่กๆ ชนิดมืดฟ้ามัวดินก็ว่าได้!
ขึ้นชื่อว่าหนังผีซะอย่าง ต้องมีฉากสยดสยอง บรรยากาศน่าขนลุกขนพอง เสียงประกอบต่างๆ รวมทั้งเสียงดนตรีก็จะทำหน้าที่เขย่าขวัญสั่นประสาท ทำให้ท่านผู้ชมล้วนหวาดผวาไปตามๆ กัน เพราะถ้าไม่ต้องการอะไรทำนองนี้ก็เชิญไปดูหนังชีวิต หนังตลกหรือหนังบู๊ละเลงเลือดซะปะไร
นอกจากนั้น หนังผียังต้องมีฉากโป๊ๆ เปลือยๆ หรือบทพิศวาสเร่าร้อนผาดโผนหน่อย ให้สมกับเป็นเรื่องภูตผีปีศาจดุร้ายกระหายเลือด ไม่ใช่มัวแต่เธอจ๊ะเธอจ๋า หวานจ๋อยเย็นเจี๊ยบ...เดี๋ยวก็กลายเป็นเรื่องเลิฟสตรอว์เบอร์รี่เข้าไปโน่น
...แต่หนังผีไทย ส่วนใหญ่มักจะเน้นเรื่องตลกโปกฮาไปพร้อมๆ กับความน่าสะพรึงกลัว!
สมัยก่อน จะต้องมีดาวตลกชื่อดังในหนังไทยทุกประเภทก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบู๊หรือเรื่องชีวิต ต้องมีตลกตามพระ ตลกตามนาง เช่น ล้อต๊อก, ดอกดิน, สมพงษ์ พงษ์มิตร, ก๊กเฮง, ทองฮะ จนถึงรุ่น สังข์ทอง สีใส, เทพ เทียนชัย, ศรีเผือก, ศรีสุริยา, จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก, เด่น ดอกประดู่, เด๋อ ดอกสะเดา, ดี๋ ดอกมะดัน, ดู๋ ดอกกระโดน, เทพ โพธิ์งาม
จนถึงยุค โน้ต เชิญยิ้ม, เป็ด เชิญยิ้ม, ถั่วแระ จตุรงค์ มกจ๊ก, เอ็ดดี้ ผีน่ารัก, หม่ำ จ๊กมก, เท่ง เถิดเทิง, โหน่ง ช่าช่าช่า, โก๊ะตี๋, ค่อม ชวนชื่น ฯลฯ
แม้แต่ดาวร้ายก็ยังเล่นตลก โดยเฉพาะพวกสมุนปลายแถว
ที่เห็นชัดๆ ก็คือ ประจวบ ฤกษ์ยามดี เล่นบทดาวร้ายได้เฉียบขาด ขนาดได้รับตุ๊กตาทองตัวประกอบยอดเยี่ยมจากเรื่อง "มือโจร" ของ "คุณาวุฒิ" ยังเปลี่ยนมาเล่นตลกเป็นการเป็นงาน ตั้งแต่เรื่อง "มนต์รักลูกทุ่ง" ของ รังสี ทัศน์พยัคฆ์ กับเรื่องอื่นๆ ต่อมาอีกนับไม่ถ้วน จนได้ฉายาว่า "ดาวร้ายผู้น่ารัก"
หนังผีไม่ว่ายุคก่อนหรือยุคนี้ก็ล้วนแต่ขาดดาวตลกไม่ได้เช่นกัน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 19 พฤศจิกายน 2552
03 มกราคม 2557
ผีขึ้นจอ (1)
ย้อนหลังไปถึงรุ่นครูเหม เวชกร คือ "อรวรรณ" (เลียว ศรีเสวก) ผู้โด่งดังสุดขีดในนวนิยายบู๊ล้างผลาญ ก็เคยเขียนเรื่องผีมาโชกโชน ไม่ว่า สมบัติผี, ค้างคาวผี, ราชินีมหากาฬ ฯลฯ ในหนังสือ 10 สตางค์ ขนาด "พี่เลียว" ยังเล่าไว้ว่า
"เรื่องบ้าบอคอแตกผมก็เอากะเค้าเหมือนกัน มหัศจรรย์เสียจนผมเองขนหัวลุกซู่ เพราะสงสัยว่าจะโดนด่าแม่เป็นการใหญ่ ที่อุตริเอาเรื่องบรมโกหกมาเขียน"
ใครจะด่าล่ะครับ มีแต่หาซื้อกันมาอ่านจนหูตาสว่างจ้าทั้งนั้นแหละ
อ.อรรถจินดา (พ.ต.ท.อรรถ อรรถจินดา) ชอบเขียนเรื่องบู๊โชกเลือดรุ่นเดียวกับ "อรวรรณ" เช่น หล่อนเกิดมาฆ่า, หล่อนอยู่เพื่อฆ่า เคยเขียนปีศาจนิยายดังระเบิดคือ โรงแรมผี, ปีศาจกากอยด์ เป็นต้น
นอกจากเรื่องยาว "พี่อรรถ" ยังถนัดเรื่องสั้นแนวผีๆ สางๆ อีกด้วย อาจถนัดกว่าเรื่องยาวด้วยซ้ำ เพราะมีรวมเรื่องผีฉบับกระเป๋าออกวางตลาดเรื่อยๆ ในยุคปีศาจนิยายรุ่งเรืองเฟื่องฟูสุดขีด พร้อมๆ กับ เหม เวชกร และ "ใบหนาด" ทั้ง 2 ท่านแรกน่ะอายุมากกว่าพ่อของ "ใบหนาด" ซะด้วยซ้ำ
สด กูรมะโรหิต ก็เขียนเรื่องผี!
พูดเป็นภาพยนตร์อินเดียไปได้ ผู้เขียน ปักกิ่ง-นครแห่งความหลัง, ระย้า, ขบวนเสรีจีน, เลือดสีแดง, เลือดสีน้ำเงิน หรือ เมื่อหิมะละลาย นี่น่ะนา เขียนเรื่องผี?
แหม! ก็มันเสียราศี หรือเกสรพิกุลร่วงที่ไหนเล่า ถ้าจะเขียนปีศาจนิยายให้คนอ่านขนหัวลุก หรือขนแขนสแตนด์อัพน่ะ?
"วิญญาณพยาบาท" ของ สด กูรมะโรหิต ลงพิมพ์ในสกุลไทยแล้วนำมารวมเล่มหนาปึ้ก 2 เล่มจบโดยสำนักพิมพ์คลังวิทยา ตั้งแต่ พ.ศ.2500 โน่นแน่ะ
ส.เนาวราช ผู้เขียน เหยี่ยวราตรี ดังระเบิดเถิดเทิงรุ่นเดียวกับ อินทรีแดง ของ เศก ดุสิต ก็เขียนเรื่องประเภทปีศาจนิยาย คือ แม่ย่านาง...ต่อมาก็สร้างเป็นหนังใหญ่เรียบร้อย
พ.ต.ต.ประชา พูนวิวัฒน์ ผู้โด่งดังมาจากเรื่องบู๊แสบสันต์อย่าง เข็ดจริงๆ ให้ดิ้นตาย, ป่าลูกกรง, อย่าโกรธผมเลยทูนหัว, ว่าจะไม่แล้วเชียว...ก็ยังมาเขียนเรื่องผี ใช้ฉากกรุงโรม ประเทศอิตาลี เพราะ "เฮียชา" เคยไปดูงานสืบสวน-สอบสวน ที่นั่นสมัยเป็นอัศวินแหวนเพชร ยุคนายพลเผ่า
"พนมเทียน" นักเขียนสารพัดแนว ไม่ว่าจินตนิยายอย่าง ศิวา-ราตรี, จุฬาตรีคูณ หรือเรื่องบู๊ล้างผลาญอย่าง เล็บครุฑ, ทูตนรก รวมทั้งเรื่องรักหวานจ๋อย พ่อแง่แม่งอนอย่าง แววมยุรา, กัลปังหา ฯลฯ รวมทั้งเรื่องผจญภัยในป่าดงสุดดัง เช่น เพชรพระอุมา นั่นปะไร
ก่อนหน้าเรื่องป่าก็บรรเลงเรื่องผีขนาดพ็อกเกตบุ๊กให้ "เฮียชิว" สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นหลายเล่ม เช่น ภูตสีชมพู, รัตติกาลยอดรัก เป็นต้น
หยก บูรพา เขียน อยู่กับก๋ง ดังระบือลือลั่นแทบไม่มีวันจบสิ้น หันมาเขียนเรื่องผีๆ สางๆ ในชื่อ "ปีศาจอาถรรพณ์" สยองขวัญสั่นประสาทซะไม่มี
"ศรีเพชร" หรือ "รัตติกรณ์" นักเขียนรุ่นๆ ผม ถนัดเรื่องบู๊ ราศีสิงห์ ได้รับการยกย่องจากเพื่อนฝูงว่าตั้งชื่อเรื่องได้สุดเจ๋ง พอๆ กับ คมแสนคม ของ รังสี เทพวรสิน...ก็เบนปากกามาบรรเลงปีศาจนิยายด้วยเหมือนกัน
วังไทร, คุ้งตะเคียน...แค่เห็นชื่อเรื่องก็เตรียมขนหัวลุกได้เลย!
ประเสริฐ จันดำ เพื่อนรุ่นน้องที่สนิทสนมกับผมมาตั้งแต่ยุค ขวัญจิตรายสัปดาห์ ชอบเขียนกวีกับเรื่องสั้นเพื่อชีวิต ก็เขียนเรื่องผีสั้นๆ รวมเล่มให้สำนักพิมพ์สยามได้ราว 3-4 เล่มในนาม ดอน ไผ่งาม
เรื่องบู๊ล้างผลาญแนวไสยศาสตร์ที่ออกทางคาถาอาคมกับภูตผีพอเป็นกระสาย ก็มี ภูตเสน่หา ของ "สุชาดา" นักฆ่าตะกรุดโทน ของ ต๊ะ ท่าอิฐ เสาร์ห้า ของ "ดาเรศว์" ล้วนแต่เป็นเรื่องยาวทั้งสิ้น สนุกสนานจนกลายเป็นภาพโลดแล่นในจอเงินอีกต่างหาก
เรื่องสั้นรวมเล่มที่ถือว่าเป็นเจ้าตลาดเรื่องผีๆ สางๆ นี่มีอยู่ 3 คนเท่านั้นแหละครับ ในช่วงปี 2510-2513 น่ะ
เหม เวชกร, อ.อรรถจินดา และ "ใบหนาด"
สองท่านแรกล่วงลับไป 30-40 ปีแล้ว เหลือแต่รายหลังที่ยังเขียนเรื่องผีอยู่ทุกวันนี้...คงไม่ต้องบอกนะครับว่า "ใบหนาด" เป็นนามปากกาของ ณรงค์ จันทร์เรือง
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552
"เรื่องบ้าบอคอแตกผมก็เอากะเค้าเหมือนกัน มหัศจรรย์เสียจนผมเองขนหัวลุกซู่ เพราะสงสัยว่าจะโดนด่าแม่เป็นการใหญ่ ที่อุตริเอาเรื่องบรมโกหกมาเขียน"
ใครจะด่าล่ะครับ มีแต่หาซื้อกันมาอ่านจนหูตาสว่างจ้าทั้งนั้นแหละ
อ.อรรถจินดา (พ.ต.ท.อรรถ อรรถจินดา) ชอบเขียนเรื่องบู๊โชกเลือดรุ่นเดียวกับ "อรวรรณ" เช่น หล่อนเกิดมาฆ่า, หล่อนอยู่เพื่อฆ่า เคยเขียนปีศาจนิยายดังระเบิดคือ โรงแรมผี, ปีศาจกากอยด์ เป็นต้น
นอกจากเรื่องยาว "พี่อรรถ" ยังถนัดเรื่องสั้นแนวผีๆ สางๆ อีกด้วย อาจถนัดกว่าเรื่องยาวด้วยซ้ำ เพราะมีรวมเรื่องผีฉบับกระเป๋าออกวางตลาดเรื่อยๆ ในยุคปีศาจนิยายรุ่งเรืองเฟื่องฟูสุดขีด พร้อมๆ กับ เหม เวชกร และ "ใบหนาด" ทั้ง 2 ท่านแรกน่ะอายุมากกว่าพ่อของ "ใบหนาด" ซะด้วยซ้ำ
สด กูรมะโรหิต ก็เขียนเรื่องผี!
พูดเป็นภาพยนตร์อินเดียไปได้ ผู้เขียน ปักกิ่ง-นครแห่งความหลัง, ระย้า, ขบวนเสรีจีน, เลือดสีแดง, เลือดสีน้ำเงิน หรือ เมื่อหิมะละลาย นี่น่ะนา เขียนเรื่องผี?
แหม! ก็มันเสียราศี หรือเกสรพิกุลร่วงที่ไหนเล่า ถ้าจะเขียนปีศาจนิยายให้คนอ่านขนหัวลุก หรือขนแขนสแตนด์อัพน่ะ?
"วิญญาณพยาบาท" ของ สด กูรมะโรหิต ลงพิมพ์ในสกุลไทยแล้วนำมารวมเล่มหนาปึ้ก 2 เล่มจบโดยสำนักพิมพ์คลังวิทยา ตั้งแต่ พ.ศ.2500 โน่นแน่ะ
ส.เนาวราช ผู้เขียน เหยี่ยวราตรี ดังระเบิดเถิดเทิงรุ่นเดียวกับ อินทรีแดง ของ เศก ดุสิต ก็เขียนเรื่องประเภทปีศาจนิยาย คือ แม่ย่านาง...ต่อมาก็สร้างเป็นหนังใหญ่เรียบร้อย
พ.ต.ต.ประชา พูนวิวัฒน์ ผู้โด่งดังมาจากเรื่องบู๊แสบสันต์อย่าง เข็ดจริงๆ ให้ดิ้นตาย, ป่าลูกกรง, อย่าโกรธผมเลยทูนหัว, ว่าจะไม่แล้วเชียว...ก็ยังมาเขียนเรื่องผี ใช้ฉากกรุงโรม ประเทศอิตาลี เพราะ "เฮียชา" เคยไปดูงานสืบสวน-สอบสวน ที่นั่นสมัยเป็นอัศวินแหวนเพชร ยุคนายพลเผ่า
"พนมเทียน" นักเขียนสารพัดแนว ไม่ว่าจินตนิยายอย่าง ศิวา-ราตรี, จุฬาตรีคูณ หรือเรื่องบู๊ล้างผลาญอย่าง เล็บครุฑ, ทูตนรก รวมทั้งเรื่องรักหวานจ๋อย พ่อแง่แม่งอนอย่าง แววมยุรา, กัลปังหา ฯลฯ รวมทั้งเรื่องผจญภัยในป่าดงสุดดัง เช่น เพชรพระอุมา นั่นปะไร
ก่อนหน้าเรื่องป่าก็บรรเลงเรื่องผีขนาดพ็อกเกตบุ๊กให้ "เฮียชิว" สำนักพิมพ์ประพันธ์สาส์นหลายเล่ม เช่น ภูตสีชมพู, รัตติกาลยอดรัก เป็นต้น
หยก บูรพา เขียน อยู่กับก๋ง ดังระบือลือลั่นแทบไม่มีวันจบสิ้น หันมาเขียนเรื่องผีๆ สางๆ ในชื่อ "ปีศาจอาถรรพณ์" สยองขวัญสั่นประสาทซะไม่มี
"ศรีเพชร" หรือ "รัตติกรณ์" นักเขียนรุ่นๆ ผม ถนัดเรื่องบู๊ ราศีสิงห์ ได้รับการยกย่องจากเพื่อนฝูงว่าตั้งชื่อเรื่องได้สุดเจ๋ง พอๆ กับ คมแสนคม ของ รังสี เทพวรสิน...ก็เบนปากกามาบรรเลงปีศาจนิยายด้วยเหมือนกัน
วังไทร, คุ้งตะเคียน...แค่เห็นชื่อเรื่องก็เตรียมขนหัวลุกได้เลย!
ประเสริฐ จันดำ เพื่อนรุ่นน้องที่สนิทสนมกับผมมาตั้งแต่ยุค ขวัญจิตรายสัปดาห์ ชอบเขียนกวีกับเรื่องสั้นเพื่อชีวิต ก็เขียนเรื่องผีสั้นๆ รวมเล่มให้สำนักพิมพ์สยามได้ราว 3-4 เล่มในนาม ดอน ไผ่งาม
เรื่องบู๊ล้างผลาญแนวไสยศาสตร์ที่ออกทางคาถาอาคมกับภูตผีพอเป็นกระสาย ก็มี ภูตเสน่หา ของ "สุชาดา" นักฆ่าตะกรุดโทน ของ ต๊ะ ท่าอิฐ เสาร์ห้า ของ "ดาเรศว์" ล้วนแต่เป็นเรื่องยาวทั้งสิ้น สนุกสนานจนกลายเป็นภาพโลดแล่นในจอเงินอีกต่างหาก
เรื่องสั้นรวมเล่มที่ถือว่าเป็นเจ้าตลาดเรื่องผีๆ สางๆ นี่มีอยู่ 3 คนเท่านั้นแหละครับ ในช่วงปี 2510-2513 น่ะ
เหม เวชกร, อ.อรรถจินดา และ "ใบหนาด"
สองท่านแรกล่วงลับไป 30-40 ปีแล้ว เหลือแต่รายหลังที่ยังเขียนเรื่องผีอยู่ทุกวันนี้...คงไม่ต้องบอกนะครับว่า "ใบหนาด" เป็นนามปากกาของ ณรงค์ จันทร์เรือง
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 18 พฤศจิกายน 2552
01 มกราคม 2557
ผีอินเตอร์ (จบ)
นอกจากนั้นก็คือสายสิญจน์สำหรับผูกข้อมือไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคเหนือก็เชื่อว่า "ราหูอมจันทร์" เป็นเครื่องรางชนิดหนึ่งที่ช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัยจากภูตผีปีศาจทั้งหลายแหล่ได้ชะงัดนัก
...แกะจากกะลาตาเดียวในวันขึ้น 15 ค่ำ (วันเสาร์ เดือน 5 ยิ่งดี เรียกว่าเสาร์ 5) ทำเป็นรูปยักษ์หรือราหูกำลังอ้าปากอมพระจันทร์ เคยเห็นที่หน้าจั่วประตูวัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา เมื่อสิบกว่าปีก่อน รูปทรงบ่งบอกว่าเป็นอิทธิพลของพม่า ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าพม่าก็เชื่อถือเรื่องนี้คล้ายๆ คนไทย
นำมาผูกคอเด็กและผู้ใหญ่ ป้องกันภูตผีและอันตรายทั้งปวงได้!
ใน "พระอภัยมณี" ก็มีเรื่องอ้ายย่องตอด หรือผีร้ายชนิดหนึ่งจะไปสูบเลือดนางละเวง แต่พธูเจ้ามี "ตราราหู" คุ้มครองอยู่ ทำให้ไอ้ย่องตอดยกมือไหว้ ยอมแพ้...บอกว่ามันกลัวอยู่อย่างเดียว คือตราพระราหูนี่เอง
คิดๆ แล้วแปลกประหลาดเอาการอยู่
เหนือสุดของเรามีรูปพระราหู ใต้สุดอย่างเกาะลังกา หรือศรีลังกา ที่เชื่อว่าเป็นฉากเมืองลังกาในพระอภัยมณีก็มีตราพระราหู ซึ่งเชื่อถือกันว่าเป็นเครื่องป้องกันภูตผีเช่นกัน...จะว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็คงไม่ผิดนัก เพราะสถานที่ห่างไกลกันราว 3,000 กิโลเมตรแหละหรือว่าจะได้รับอิทธิพลเรื่องนี้มาจากอินเดียเหมือนๆ กันก็เป็นได้
เรื่องสายสิญจน์หรือเครื่องรางที่ว่านั้น เชื่อถือกันในเรื่องปัดเป่าโพยภัยจากผีสาง และเคราะห์กรรมทั้งหลายแหล่ ที่น่าหวาดหวั่นพรั่นสยองก็คือ "ลมเพลมพัด"
เชื่อกันว่า ผู้มีวิชาอาคมทั้งหลายจะ "ปล่อยของ" หรือ "ลองของ" ด้วยการปล่อยภูตผีที่เลี้ยงไว้ออกมาตามลมในยามดึก ถึงได้เรียกว่า "ลมเพลมพัด" พวกผู้ใหญ่จะห้ามปรามเด็กๆ ว่า ถ้าได้ยินเสียงอะไรผิดปกติ ห้ามพูดห้ามถามเด็ดขาดว่าเป็นเสียงอะไร โดยใช้คำว่า "ห้ามทัก"
ถ้าใครทัก ของก็จะเข้าตัวคนนั้น!
ของที่ว่าไม่ใช่สิ่งมงคล ประเภทแก้วแหวนเงินทองใดๆ แต่เป็นของชั่วร้าย เช่น กระดูกผี, เส้นผมผีตายโหง, ตะปูตอกฝาโลง จนถึงหนังควาย ที่เชื่อว่าหมอผีเก่งๆ เสกเข้าท้องคนได้ง่ายดายเป็นว่าเล่น ทำให้คนเคราะห์ร้ายเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส จนกว่าจะมีคนดีมีวิชามาช่วยแก้ไขได้ หรือไม่ก็ด่าวดิ้นสิ้นใจไปเพราะ "โดนของ" ที่ว่า
พูดถึงเรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่อง "ฮู้" หรือ "ยันต์" ของจีนขึ้นมาได้
คิดว่าท่านผู้อ่านคงรู้จักฮู้ที่ว่าพอสมควร ไม่ว่าเด็กๆ เคยเป็นคางทูม พ่อแม่พาไปหาซินแสให้เขียนฮู้ข้างแก้ม โดยเชื่อว่าคางทูมเป็นวัว ส่วนฮู้เป็นเสือที่มีอำนาจเหนือวัว
ยันต์ของคนจีนจึงป้องกันภูตผีได้!
อย่างที่เคยเห็นในหนังจีน ว่าที่ไหนมีผีดุร้ายออกอาละวาด ชาวบ้านร้านช่องก็จะไปหายันต์มาปิดประตูบ้านไว้ บรรดาอสุรกายทั้งหลายแหล่เห็นเข้าก็บังเกิดความหวาดกลัวไม่กล้าบุกบั่นเข้าไปทำอันตรายผู้คนในบ้านได้เด็ดขาด
ในวรรณคดีจีนเรื่อง "ซ้องกั๋ง" ก็มีภูตผีชื่อ "ดาวร้าย 108 ดวง" ถูกฝังอยู่ใต้ดินในวัดบนภูเขา ปิดผนึกด้วยยันต์ที่สลักไว้บนก้อนหินปิดปากหลุม แต่วันดีคืนร้ายก็มีขุนนางขี้เบ่งมาบังคับพระลูกวัดให้เปิดก้อนหินออกมา วิญญาณทั้งนั้นก็เลยโลดลิ่วออกไปสู่อิสรภาพได้สำเร็จ
"ไซอิ๋ว" ก็มีตำนานว่า "ซึงหงอคง" หรือ "เห้งเจีย" เป็นลิงจอมแก่นแสนซน จนพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งนาม "ยูไล" ต้องจับขังแล้วสาปว่า เมื่อไหร่มีพระถังซำจั๋งผ่านมาพบจึงจะหลุดพ้นจากคำสาปได้สำเร็จ กลับเป็นอิสระตามเดิม
ด้วยสาเหตุจากเรื่องราวของภูตผีปีศาจนานาชนิดทั้งหลายแหล่ หรือผีอินเตอร์ที่เล่าสู่กันฟังนี่เอง ที่ทำให้นักเขียนไทยเราเกิดจินตนาการฟุ้งเฟื่องว่า เรื่องผีๆ สางๆ ก็น่าสนใจไปอีกแบบ แถมนักอ่านยังชอบอกชอบใจอีกต่างหาก บอกว่าอ่านแล้วขนพองสยองเกล้าดีไม่หยอก จะบอกให้
อย่ากระนั้นเลย เราจงมาริอ่านเขียนเรื่องผีให้แฟนๆ ปอดอ้า เขย่าขวัญกันให้ครึกครื้นไป ดีกว่าอยู่เปล่าๆ เสียเถิด จะประเสริฐนักแล
ประวัติศาสตร์จึงบันทึกไว้ว่า เรื่องปีศาจอสุรกายทั้งหลายแหล่ได้อุบัติขึ้นในแดนสยาม ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ในรูปแบบเสียดสี ทีเล่นทีจริง จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องผีสมบูรณ์แบบในเวลาต่อมา เมื่อ 73 ปีก่อนนี้เอง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552
...แกะจากกะลาตาเดียวในวันขึ้น 15 ค่ำ (วันเสาร์ เดือน 5 ยิ่งดี เรียกว่าเสาร์ 5) ทำเป็นรูปยักษ์หรือราหูกำลังอ้าปากอมพระจันทร์ เคยเห็นที่หน้าจั่วประตูวัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา เมื่อสิบกว่าปีก่อน รูปทรงบ่งบอกว่าเป็นอิทธิพลของพม่า ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าพม่าก็เชื่อถือเรื่องนี้คล้ายๆ คนไทย
นำมาผูกคอเด็กและผู้ใหญ่ ป้องกันภูตผีและอันตรายทั้งปวงได้!
ใน "พระอภัยมณี" ก็มีเรื่องอ้ายย่องตอด หรือผีร้ายชนิดหนึ่งจะไปสูบเลือดนางละเวง แต่พธูเจ้ามี "ตราราหู" คุ้มครองอยู่ ทำให้ไอ้ย่องตอดยกมือไหว้ ยอมแพ้...บอกว่ามันกลัวอยู่อย่างเดียว คือตราพระราหูนี่เอง
คิดๆ แล้วแปลกประหลาดเอาการอยู่
เหนือสุดของเรามีรูปพระราหู ใต้สุดอย่างเกาะลังกา หรือศรีลังกา ที่เชื่อว่าเป็นฉากเมืองลังกาในพระอภัยมณีก็มีตราพระราหู ซึ่งเชื่อถือกันว่าเป็นเครื่องป้องกันภูตผีเช่นกัน...จะว่าเป็นเรื่องบังเอิญก็คงไม่ผิดนัก เพราะสถานที่ห่างไกลกันราว 3,000 กิโลเมตรแหละหรือว่าจะได้รับอิทธิพลเรื่องนี้มาจากอินเดียเหมือนๆ กันก็เป็นได้
เรื่องสายสิญจน์หรือเครื่องรางที่ว่านั้น เชื่อถือกันในเรื่องปัดเป่าโพยภัยจากผีสาง และเคราะห์กรรมทั้งหลายแหล่ ที่น่าหวาดหวั่นพรั่นสยองก็คือ "ลมเพลมพัด"
เชื่อกันว่า ผู้มีวิชาอาคมทั้งหลายจะ "ปล่อยของ" หรือ "ลองของ" ด้วยการปล่อยภูตผีที่เลี้ยงไว้ออกมาตามลมในยามดึก ถึงได้เรียกว่า "ลมเพลมพัด" พวกผู้ใหญ่จะห้ามปรามเด็กๆ ว่า ถ้าได้ยินเสียงอะไรผิดปกติ ห้ามพูดห้ามถามเด็ดขาดว่าเป็นเสียงอะไร โดยใช้คำว่า "ห้ามทัก"
ถ้าใครทัก ของก็จะเข้าตัวคนนั้น!
ของที่ว่าไม่ใช่สิ่งมงคล ประเภทแก้วแหวนเงินทองใดๆ แต่เป็นของชั่วร้าย เช่น กระดูกผี, เส้นผมผีตายโหง, ตะปูตอกฝาโลง จนถึงหนังควาย ที่เชื่อว่าหมอผีเก่งๆ เสกเข้าท้องคนได้ง่ายดายเป็นว่าเล่น ทำให้คนเคราะห์ร้ายเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัส จนกว่าจะมีคนดีมีวิชามาช่วยแก้ไขได้ หรือไม่ก็ด่าวดิ้นสิ้นใจไปเพราะ "โดนของ" ที่ว่า
พูดถึงเรื่องนี้ทำให้นึกถึงเรื่อง "ฮู้" หรือ "ยันต์" ของจีนขึ้นมาได้
คิดว่าท่านผู้อ่านคงรู้จักฮู้ที่ว่าพอสมควร ไม่ว่าเด็กๆ เคยเป็นคางทูม พ่อแม่พาไปหาซินแสให้เขียนฮู้ข้างแก้ม โดยเชื่อว่าคางทูมเป็นวัว ส่วนฮู้เป็นเสือที่มีอำนาจเหนือวัว
ยันต์ของคนจีนจึงป้องกันภูตผีได้!
อย่างที่เคยเห็นในหนังจีน ว่าที่ไหนมีผีดุร้ายออกอาละวาด ชาวบ้านร้านช่องก็จะไปหายันต์มาปิดประตูบ้านไว้ บรรดาอสุรกายทั้งหลายแหล่เห็นเข้าก็บังเกิดความหวาดกลัวไม่กล้าบุกบั่นเข้าไปทำอันตรายผู้คนในบ้านได้เด็ดขาด
ในวรรณคดีจีนเรื่อง "ซ้องกั๋ง" ก็มีภูตผีชื่อ "ดาวร้าย 108 ดวง" ถูกฝังอยู่ใต้ดินในวัดบนภูเขา ปิดผนึกด้วยยันต์ที่สลักไว้บนก้อนหินปิดปากหลุม แต่วันดีคืนร้ายก็มีขุนนางขี้เบ่งมาบังคับพระลูกวัดให้เปิดก้อนหินออกมา วิญญาณทั้งนั้นก็เลยโลดลิ่วออกไปสู่อิสรภาพได้สำเร็จ
"ไซอิ๋ว" ก็มีตำนานว่า "ซึงหงอคง" หรือ "เห้งเจีย" เป็นลิงจอมแก่นแสนซน จนพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งนาม "ยูไล" ต้องจับขังแล้วสาปว่า เมื่อไหร่มีพระถังซำจั๋งผ่านมาพบจึงจะหลุดพ้นจากคำสาปได้สำเร็จ กลับเป็นอิสระตามเดิม
ด้วยสาเหตุจากเรื่องราวของภูตผีปีศาจนานาชนิดทั้งหลายแหล่ หรือผีอินเตอร์ที่เล่าสู่กันฟังนี่เอง ที่ทำให้นักเขียนไทยเราเกิดจินตนาการฟุ้งเฟื่องว่า เรื่องผีๆ สางๆ ก็น่าสนใจไปอีกแบบ แถมนักอ่านยังชอบอกชอบใจอีกต่างหาก บอกว่าอ่านแล้วขนพองสยองเกล้าดีไม่หยอก จะบอกให้
อย่ากระนั้นเลย เราจงมาริอ่านเขียนเรื่องผีให้แฟนๆ ปอดอ้า เขย่าขวัญกันให้ครึกครื้นไป ดีกว่าอยู่เปล่าๆ เสียเถิด จะประเสริฐนักแล
ประวัติศาสตร์จึงบันทึกไว้ว่า เรื่องปีศาจอสุรกายทั้งหลายแหล่ได้อุบัติขึ้นในแดนสยาม ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ในรูปแบบเสียดสี ทีเล่นทีจริง จนกระทั่งกลายเป็นเรื่องผีสมบูรณ์แบบในเวลาต่อมา เมื่อ 73 ปีก่อนนี้เอง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)