"เป้" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อพบเด็กหญิงที่หาดระยอง
ว่ากันว่า ถ้าคนเราต้องตายก่อนวัยอันควร พูดง่ายๆ คือเกิดเหตุที่ทำให้ตายก่อนถึงวันสิ้นอายุขัยแล้ว วิญญาณจะไม่ไปไหนหรอก ยังคงวนเวียนอยู่ในโลกนี้ด้วยความเป็นห่วงเป็นกังวลว่าภารกิจของตนยังไม่จบสิ้น มีสิ่งคั่งค้างที่จะต้องทำอีกมากมาย
เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นเมื่อเกือบสิบปีก่อน ตอนที่ผมเพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยกำลังหางานทำแต่ก็หายากเหลือเกิน ผมตกที่นั่งเดียวกับเพื่อนๆ คือเตะฝุ่นไปเรื่อยๆ และแบมือขอเงินแม่ใช้ ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรมากหรอกครับ เที่ยวเตร่สนุกสนานไปด้วยซ้ำ
มีอยู่คราวหนึ่งผมไปเที่ยวระยองกับเพื่อนเกือบสิบคน ไปเช่ารีสอร์ตที่ริมทะเล พวกเราสิงสู่อยู่ชายหาดตั้งแต่จวนเย็นจนมืดค่ำ เพื่อนกลุ่มหนึ่งอาสาไปซื้อเหล้าเบียร์และกับ แกล้มมานั่งกินกันให้สำราญแถวชายหาดนั่นแหละ ส่วนผมนั่งผึ่งลมเล่น เฝ้าเสื้อเฝ้าของอยู่กับเพื่อนอีก 2-3 คน
ราวทุ่มกว่าๆ เห็นจะได้ เพื่อนพาแฟนไปเดินเล่นกะหนุง กะหนิง ทิ้งผมนอนดูเดือนข้างขึ้นอยู่คนเดียว บรรยากาศนั้นไม่น่ากลัวหรอก เพราะมีแสงไฟรีสอร์ตค่อนข้างสว่างและไม่เปลี่ยวเท่าไรนัก
ขณะนอนเพลินๆ ผมรู้สึกว่ามีใครเดินมาอยู่ข้างๆ พอลืมตาขึ้นก็เห็นเด็กตัวนิดเดียวยืนอยู่คนหนึ่งเป็นเด็กผู้หญิงอายุราว 7 ขวบ...แสงไฟส่องให้เห็นว่าเธอใส่เสื้อยืดแขนสั้นสีขาวลายการ์ตูน กางเกงขาสั้นสีแดง เปียกโชกไปทั้งตัวรวมทั้งหัวเปียกปอนจนมีน้ำหยดติ๋งๆ
"ไม่หนาวเหรอ?" ผมทัก ในใจคิดว่าเด็กอะไรค่ำมืดยังไม่รู้จักขึ้นบ้าน
"หนาว.." เสียงเศร้าๆ ดังเคล้ากับเสียงคลื่นเซาะหาด เธอห่อไหล่ ตัวสั่นขึ้นมาทันทีจนผมอดเวทนาไม่ได้...หรือว่าเธอจะหลงทาง?
"พ่อแม่ไปไหนล่ะ ทำไมมาคนเดียว หลงกับใครรึเปล่า?"
เด็กน้อยก้มหน้า ตอบเบาๆ ว่าทุกคนกลับบ้านไปหมดแล้ว...เป็นเรื่องละซิ! ผมเจอเด็กหลงทางเข้าจริงๆ ด้วย ผมรีบลุกขึ้นนั่ง ตั้งใจว่าต้องช่วยเด็กคนนี้แล้วละ เลยถามว่าเธอมาจากไหน? บ้านช่องอยู่ที่ใด?
เธอตอบว่าบ้านอยู่อยุธยา มาเที่ยวทะเลกับพ่อแม่พี่น้อง และเธอกลับบ้านไม่ได้...ลมหนาวพัดมาวูบหนึ่ง แปลกมากที่อากาศค่อนข้างอบอ้าว แต่ลมนั่นเป็นลมหนาวจนผม ขนลุกซ่าไปทั้งตัว
"จะให้พี่ช่วยอะไรล่ะ? ไปหาตำรวจด้วยกันมั้ย?"
เธอไม่ตอบ แต่เงยหน้ามองผม...ตอนนั้นเองผมสังเกตว่านัยน์ตาเธอแดงก่ำเหมือนเส้นเลือดตาขาวแตก...เมื่อกี้ยังไม่เป็นไรเลยนี่นา...อากาศยิ่งหนาวเย็น เสียงคลื่นก็คล้ายเสียงใครกำลังร้องไห้อยู่ใกล้ๆ
ผมรู้สึกว่ายิ่งจ้องนาน เธอเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนไปทุกที มีน้ำใสๆ ไหลรินออกจากจมูก และเมื่อเธออ้าปากขึ้นก็มีน้ำไหลออกมาเหมือนกัน สีผิวทั้งใบหน้าและเนื้อตัวของเธอคล้ำลงต่อหน้าต่อตาผมจนดูเขียวไปหมด
คุณพระช่วย! นี่มันศพเด็กจมน้ำตายชัดๆ ผมใจหายวาบ ตัวแข็งทื่อ
"หนูอยากกลับบ้าน..." เสียงปนสะอื้นดังวู่หวิว "อยากไปโรงเรียน หนูกำลังจะสอบด้วย ฮืออออ...ช่วยหนูด้วยเถอะจ้ะ..."
ขนหัวผมลุกซ่า ม่านตาพร่าพราย แต่ยังเห็นว่าเธอพูดโดยไม่เปิดปากแม้แต่น้อย น้ำใสๆ ยังไหลพลั่กๆ ออกจากปากและจมูก แถมยังมีเลือดเป็นสายบางๆ ปนออกมาด้วย ผมรู้สึกหน้ามืด วิงเวียนวูบวาบเหมือนโลกทั้งโลกกำลังหมุนติ้ว...
ทันใดนั้นเสียงเพื่อนก็เรียกชื่อผมอย่างตกใจ พอดีกับที่ผมหงายหลังผลึ่ง...ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนจะหมดสตินั้น เด็กน้อย ยังยืนอยู่ที่เดิม แต่ดูเหมือนเพื่อนผมจะไม่เห็นเธอ
...เมื่อฟื้นขึ้นมา เพื่อนบอกว่าผมหมดสติไปราวห้านาที พวกเขาตกใจมากที่เห็นนั่งพูดอยู่คนเดียว แล้วอยู่ดีๆ ก็โงนเงน ล้มตึงไปเฉยๆ
ทุกคนตื่นเต้นกับเรื่องที่ผมเล่า...เรารีบเก็บข้าวของและม้วนเสื่อขึ้นข้างบน...
ชายหาดแห่งนี้เคยมีเด็กจมน้ำตายแทบทุกปี จนเป็นที่เลื่องลือ นึกไม่ถึงว่าผมจะได้มาเจอกับวิญญาณของเด็กหญิงที่น่าสงสาร ภาพของเธอยังติดหูติดตาผมมาจนถึงทุกวันนี้ น่าสงสารเหลือเกิน...เวลาทำบุญใส่บาตร ผมก็จะอุทิศส่วนกุศลให้เธอสงบสุข
ผมอยากช่วยเธอมากกว่านี้ แต่ไม่รู้จะทำยังไง ในใจคิดอยู่เสมอว่าเด็กน้อยห่วงเรียนห่วงสอบ ผมอธิษฐานจิตบอกเธอเสมอว่าไม่ต้องห่วงอะไรอีกแล้วละ เธอจากโลกนี้ไปแล้วละ ขอให้สู่สุคติเถอะนะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน 2552
29 พฤศจิกายน 2556
27 พฤศจิกายน 2556
ผีน้ำ
"มัธยันต์" เล่าเรื่องภูตผีที่สิงสู่อยู่ตามแม่น้ำลำคลองในอดีต
ผีน้ำคืออะไร?
ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินโครมคราม ก็ต้องบอกว่าเป็นผีที่ไม่ได้อยู่บนบก ยกเว้นแต่ในป่าดงที่มีสระมีบึง หรือห้วยละหานธารใสไหลผ่านก็อาจจะมีผีน้ำสิงสู่อยู่บ้างก็เป็นได้
พูดง่ายๆ ว่า...เป็นผีที่อยู่ในน้ำ!
ขยายความได้ว่า เป็นผีหรือวิญญาณที่สิงสู่อยู่ในน้ำนั้นๆ มาเนิ่นนานแล้ว อาจจะหลายสิบปีหรือเป็นร้อยปีก็ได้ พอจะจัดอยู่ในประเภท "ผีเจ้าที่เจ้าทาง" ชนิดหนึ่งได้เหมือนกัน
แต่ผีน้ำที่ทำให้คนหวาดกลัวกันนักก็คือผีตกน้ำตาย โดดน้ำตายหรือโดนฆ่าตาย...ตั้งแต่จับโยนน้ำ ถ่วงน้ำ จนถึงฆ่าตายบนบก ในบ้านช่องหรือในรถในเรือแล้วเอาศพไปทิ้งน้ำหายสาบสูญไปก็มี โผล่ขึ้นมาให้เห็นก็ปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ
เชื่อว่าศพร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม ให้ตำรวจจับคนร้ายมาชดใช้กรรมในคุก!
ผีน้ำที่ถูกฆ่าหรือฆ่าตัวตาย รวมทั้งอุบัติเหตุเรือล่มจมน้ำตาย อะไรพวกนี้เชื่อกันว่า วิญญาณจะสิงสู่อยู่ที่ตัวตาย เพื่อรอเวลาล้างแค้นบ้าง รอเอาชีวิตคนดวงขาดไปเป็นผีน้ำแทนบ้าง...ตัวเองจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที
เรียกกันว่า ผีน้ำ, ผีพราย หรือพรายน้ำ
คนละชนิดกับ "โหงพราย" และ "ขุนแผน" เพราะโหงพรายของขุนแผนเป็นภูตผีทั่วไปที่ขุนแผนใช้มนต์เรียกตัวมาใช้สอย ดูแลลูกเมียและบ้านช่องเมื่อตัวเองไม่อยู่บ้าน
ขุนแผนเลี้ยงภูตพรายเอาไว้เยอะครับ คนสนิท...เอ๊ย! ผีสนิทประจำตัวก็ยังมีนี่นา!
ขนาดนางบัวคลี่ถูกตาหมื่นหาญผู้พ่อยุให้วางยาพิษผัว (ขุนแผน) เพราะอิจฉาที่ลูกเขยมีคาถาอาคมแก่กล้ากว่าตัวเองลิบลับ ยังไม่อาจเล็ดลอดหูตาโหงพรายไปได้...รีบมากระซิบบอกเจ้านายทันทีว่าบัวคลี่เอาอาหารใส่ยาพิษให้กิน อย่าเผลอไผลสวาปามเข้าไปเชียวนะเจ้าคะ...เดี๋ยวก็เด๊ดสะมอเร่ไม่รู้ตัวหรอกเจ้าค่ะ พระนายขา!
รู้แน่ว่าเมียทรยศ พระเอกของเราก็จัดการผ่าท้อง ควักลูกมาทำพิธีย่างสดจนได้ "กุมารทอง" มาใช้สอยซะอีกตัว
เสภาตอนโหงพรายช่วยชีวิตนายแม้จะสั้นๆ แต่อ่านแล้วเห็นภาพได้ชัดเจนทันที
"ครานั้นโหงพรายเจ้าพรายแก้ว เห็นแล้วว่าเขาเอายาใส่
กระซิบบอกนายพลันด้วยทันใด เดี๋ยวนี้เมียเสียไปใจไม่ตรง
ข้าวแกงที่แต่งในสำรับ มันประกับโรยมาด้วยยาผง
ล้วนยาพิษทั้งนั้นเป็นมั่นคง พ่อจงระวังระไวอย่าได้กิน"
ถ้าไม่มีโหงพรายกระซิบ ขุนแผนก็คงไปเกิดใหม่ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว....ทำให้เกิดสำนวนที่กล่าวถึงคนล่วงรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้แทบไม่น่าเชื่อว่า "เหมือนมีพรายกระซิบ"
ไหนๆ เอ่ยถึงโหงพรายของขุนแผน-นิทานพื้นบ้านของไทยแล้ว ก็น่าจะเล่าถึงผีน้ำของจีนที่ปรากฏในเรื่อง "เปาเล่งถูอัน" หรือเปาบุ้นจิ้น-เทพผู้พิทักษ์ความยุติธรรมแห่งศาลไคฟงเห็นจะดีเป็นแน่เชียว
ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะเป็นตอน "บัณฑิตฆาตกร"
หนุ่มนักศึกษาต้องการสอบเป็นจอหงวน (นายอำเภอ) เกิดมืดหน้าตาลาย ไปข่มขืนม่ายสาวข้างทางในคืนดึกเปลี่ยว แถวเชิงสะพานข้ามคลองใกล้หมู่บ้าน โดนขัดขืนจึงบีบคอตายคาที่ แล้วทิ้งศพไว้ปริ่มน้ำในชายคลองที่เกิดเหตุนั่นเอง
คดีฆาตกรรมรายนี้มีฆาตกรเป็นผู้ต้องสงสัยเพียงผู้เดียว!
สาเหตุเพราะสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้ตาย มีพยานยืนยันหลายคน แต่นักศึกษาหนุ่มปากแข็ง ยืนกรานว่าไม่ได้ทำผิดคิดร้ายใครทั้งสิ้น! เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอจะจับกุมมาลงโทษตามกระบิลเมืองได้ เปาบุ้นจิ้นจึงปล่อยตัวไป
คืนหนึ่ง บัณฑิตฆาตกรเดินผ่านสะพานนั้นก็ต้องขนลุกซู่ ตัวแข็งทื่อ เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญมาจากชายน้ำว่า...คนใจร้าย มาข่มขืนฆ่ากันได้ลงคอ ขอจองล้างจองผลาญไปตลอดกาล...
บัณฑิตหนุ่มตกใจรีบคุกเข่าลงขอขมาปากคอสั่น...ข้าผิดไปแล้ว! มิได้เจตนาฆ่านางเลย สาบานได้...ขอวิญญาณนางโปรดให้อภัย ไปสู่สุคติเสียเถิด!
เปาบุ้นจิ้นกับทหารคู่ใจพลันปรากฏกาย พร้อมกับสาวนกต่อที่ทำเสียงผีมาคร่ำครวญหลอกหลอนให้บัณฑิตฆาตกรสารภาพผิด เพราะคิดว่าโดนผีจริงๆ ที่ตัวฆ่าตามมาทวงชีวิต...โดนท่านเปาสั่งเรียกเครื่องประหารหัวสุนัขมาตัดคอชดใช้กรรมไม่ช้าที!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 24 สิงหาคม 2552
ผีน้ำคืออะไร?
ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดินโครมคราม ก็ต้องบอกว่าเป็นผีที่ไม่ได้อยู่บนบก ยกเว้นแต่ในป่าดงที่มีสระมีบึง หรือห้วยละหานธารใสไหลผ่านก็อาจจะมีผีน้ำสิงสู่อยู่บ้างก็เป็นได้
พูดง่ายๆ ว่า...เป็นผีที่อยู่ในน้ำ!
ขยายความได้ว่า เป็นผีหรือวิญญาณที่สิงสู่อยู่ในน้ำนั้นๆ มาเนิ่นนานแล้ว อาจจะหลายสิบปีหรือเป็นร้อยปีก็ได้ พอจะจัดอยู่ในประเภท "ผีเจ้าที่เจ้าทาง" ชนิดหนึ่งได้เหมือนกัน
แต่ผีน้ำที่ทำให้คนหวาดกลัวกันนักก็คือผีตกน้ำตาย โดดน้ำตายหรือโดนฆ่าตาย...ตั้งแต่จับโยนน้ำ ถ่วงน้ำ จนถึงฆ่าตายบนบก ในบ้านช่องหรือในรถในเรือแล้วเอาศพไปทิ้งน้ำหายสาบสูญไปก็มี โผล่ขึ้นมาให้เห็นก็ปรากฏเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ
เชื่อว่าศพร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม ให้ตำรวจจับคนร้ายมาชดใช้กรรมในคุก!
ผีน้ำที่ถูกฆ่าหรือฆ่าตัวตาย รวมทั้งอุบัติเหตุเรือล่มจมน้ำตาย อะไรพวกนี้เชื่อกันว่า วิญญาณจะสิงสู่อยู่ที่ตัวตาย เพื่อรอเวลาล้างแค้นบ้าง รอเอาชีวิตคนดวงขาดไปเป็นผีน้ำแทนบ้าง...ตัวเองจะได้ไปผุดไปเกิดเสียที
เรียกกันว่า ผีน้ำ, ผีพราย หรือพรายน้ำ
คนละชนิดกับ "โหงพราย" และ "ขุนแผน" เพราะโหงพรายของขุนแผนเป็นภูตผีทั่วไปที่ขุนแผนใช้มนต์เรียกตัวมาใช้สอย ดูแลลูกเมียและบ้านช่องเมื่อตัวเองไม่อยู่บ้าน
ขุนแผนเลี้ยงภูตพรายเอาไว้เยอะครับ คนสนิท...เอ๊ย! ผีสนิทประจำตัวก็ยังมีนี่นา!
ขนาดนางบัวคลี่ถูกตาหมื่นหาญผู้พ่อยุให้วางยาพิษผัว (ขุนแผน) เพราะอิจฉาที่ลูกเขยมีคาถาอาคมแก่กล้ากว่าตัวเองลิบลับ ยังไม่อาจเล็ดลอดหูตาโหงพรายไปได้...รีบมากระซิบบอกเจ้านายทันทีว่าบัวคลี่เอาอาหารใส่ยาพิษให้กิน อย่าเผลอไผลสวาปามเข้าไปเชียวนะเจ้าคะ...เดี๋ยวก็เด๊ดสะมอเร่ไม่รู้ตัวหรอกเจ้าค่ะ พระนายขา!
รู้แน่ว่าเมียทรยศ พระเอกของเราก็จัดการผ่าท้อง ควักลูกมาทำพิธีย่างสดจนได้ "กุมารทอง" มาใช้สอยซะอีกตัว
เสภาตอนโหงพรายช่วยชีวิตนายแม้จะสั้นๆ แต่อ่านแล้วเห็นภาพได้ชัดเจนทันที
"ครานั้นโหงพรายเจ้าพรายแก้ว เห็นแล้วว่าเขาเอายาใส่
กระซิบบอกนายพลันด้วยทันใด เดี๋ยวนี้เมียเสียไปใจไม่ตรง
ข้าวแกงที่แต่งในสำรับ มันประกับโรยมาด้วยยาผง
ล้วนยาพิษทั้งนั้นเป็นมั่นคง พ่อจงระวังระไวอย่าได้กิน"
ถ้าไม่มีโหงพรายกระซิบ ขุนแผนก็คงไปเกิดใหม่ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว....ทำให้เกิดสำนวนที่กล่าวถึงคนล่วงรู้เหตุการณ์ต่างๆ ได้แทบไม่น่าเชื่อว่า "เหมือนมีพรายกระซิบ"
ไหนๆ เอ่ยถึงโหงพรายของขุนแผน-นิทานพื้นบ้านของไทยแล้ว ก็น่าจะเล่าถึงผีน้ำของจีนที่ปรากฏในเรื่อง "เปาเล่งถูอัน" หรือเปาบุ้นจิ้น-เทพผู้พิทักษ์ความยุติธรรมแห่งศาลไคฟงเห็นจะดีเป็นแน่เชียว
ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนจะเป็นตอน "บัณฑิตฆาตกร"
หนุ่มนักศึกษาต้องการสอบเป็นจอหงวน (นายอำเภอ) เกิดมืดหน้าตาลาย ไปข่มขืนม่ายสาวข้างทางในคืนดึกเปลี่ยว แถวเชิงสะพานข้ามคลองใกล้หมู่บ้าน โดนขัดขืนจึงบีบคอตายคาที่ แล้วทิ้งศพไว้ปริ่มน้ำในชายคลองที่เกิดเหตุนั่นเอง
คดีฆาตกรรมรายนี้มีฆาตกรเป็นผู้ต้องสงสัยเพียงผู้เดียว!
สาเหตุเพราะสนิทสนมคุ้นเคยกับผู้ตาย มีพยานยืนยันหลายคน แต่นักศึกษาหนุ่มปากแข็ง ยืนกรานว่าไม่ได้ทำผิดคิดร้ายใครทั้งสิ้น! เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอจะจับกุมมาลงโทษตามกระบิลเมืองได้ เปาบุ้นจิ้นจึงปล่อยตัวไป
คืนหนึ่ง บัณฑิตฆาตกรเดินผ่านสะพานนั้นก็ต้องขนลุกซู่ ตัวแข็งทื่อ เมื่อได้ยินเสียงผู้หญิงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญมาจากชายน้ำว่า...คนใจร้าย มาข่มขืนฆ่ากันได้ลงคอ ขอจองล้างจองผลาญไปตลอดกาล...
บัณฑิตหนุ่มตกใจรีบคุกเข่าลงขอขมาปากคอสั่น...ข้าผิดไปแล้ว! มิได้เจตนาฆ่านางเลย สาบานได้...ขอวิญญาณนางโปรดให้อภัย ไปสู่สุคติเสียเถิด!
เปาบุ้นจิ้นกับทหารคู่ใจพลันปรากฏกาย พร้อมกับสาวนกต่อที่ทำเสียงผีมาคร่ำครวญหลอกหลอนให้บัณฑิตฆาตกรสารภาพผิด เพราะคิดว่าโดนผีจริงๆ ที่ตัวฆ่าตามมาทวงชีวิต...โดนท่านเปาสั่งเรียกเครื่องประหารหัวสุนัขมาตัดคอชดใช้กรรมไม่ช้าที!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 24 สิงหาคม 2552
25 พฤศจิกายน 2556
ผีป่า
" มัธยันต์" เล่าเรื่องขนหัวลุกของผีป่าและผีโขมด
ถึงแม้ผู้คนทั่วโลกจะเชื่อว่าผีมีจริง นอกจากจะชอบหลอกหลอนให้ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว เผลอๆ ก็อาจตามจองล้างจองผลาญศัตรูคู่อาฆาตถึงกับล้มตายได้ แต่ดูเหมือนว่าภูตผีของชาติต่างๆ จะมีน้อยกว่าของไทยเราอย่างชนิดเทียบกันไม่ติด
"ผี" คือคำรวมๆ ที่เรียกคนตายแล้ว ไม่ว่าจะตายแบบไหนก็ตาม แต่คนไทยจะแยกแยะประเภทของคนตายให้เห็นภาพชัดเจนว่าตายเพราะอะไร
คนที่แก่เฒ่าหรือเจ็บไข้ได้ป่วยตายตามปกติก็เรียกว่า "ผี" บางท้องถิ่นเรียกการไปเผาศพว่า "ไปเผาผี" ตรงกับสำนวนไทยที่เอ่ยถึงคนที่ตนเกลียดชังว่า "ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ" คือผูกใจเจ็บจนไม่ยอมให้อภัย แม้ว่าจะล้มหายตายจากไปแล้วก็ตาม
คนที่ตายเพราะโดนฆ่าบ้าง อุบัติเหตุบ้าง จงใจฆ่าตัวตายว่า ถือว่าเป็นการตายผิดปกติ หรือตายก่อนจะสิ้นอายุขัย ก็จะเรียกขานกันว่า "ผีตายโหง"
ผู้หญิงคลอดลูกตายทั้งแม่ทั้งลูกเรียกว่า "ตายทั้งกลม"
สมัยก่อนมีโรคอหิวาต์ระบาดบ่อยๆ ทำให้ผู้คนที่ล้มตายคราวละนับพันนับหมื่นเรียกว่า โรค "ห่าลง" คนที่ตายเพราะโรคนี้จึงเรียกว่า "ตายห่า" ซึ่งนิยมมาสบถสาบานให้คล้องจองกันว่า "ให้ตายโหง-ตายห่า" ซึ่งใช้ทั้งการแช่งตัวเองบ้าง แช่งผู้อื่นบ้าง หรือไม่ก็หัวเสียจนหลุดปากออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจบ้าง
"ผีป่า" เป็นผีอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งออกจะตีความได้หลายแง่หลายมุม แล้วแต่ความเชื่อถือของแต่ละบุคคล หรือไม่ก็ตามแต่สถานการณ์ ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปแน่นอนว่าเป็นผีชนิดไหนกันแน่?
เป็นคนที่ล้มตายในป่าดง หรือเป็นภูตผีที่สิงสู่อยู่ในป่าดิบดงดำนั้นมาเนิ่นนานแล้ว
ผีชนิดแรกพอจะเข้าใจได้กว้างๆ แต่มีปัญหาว่าผีชนิดหลังมาจากไหนกัน?
มีความเชื่อถือมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้วว่า ทุกหนทุกแห่งล้วนแต่มีภูตผีสิงสู่ ครอบครองอยู่ก่อนแล้ว นิยมเรียกขานกันว่า "เจ้าที่เจ้าทาง" ขนาดบ้านช่องในเมืองน้อยใหญ่ยังตั้งศาลพระภูมิเพื่อให้เจ้าที่มีร่มไม้ชายคาอยู่ มีเครื่องเซ่นให้กินเป็นประจำ
นอกจากจะต้องการให้เจ้าที่คุ้มครองคนในบ้านแล้ว ยังเป็น รปภ.ดูแลบ้านช่องคอยจับวิญญาณร่อนเร่หรือสัมภเวสี ผีไม่มีศาล ไม่ให้เข้ามาบุกรุกหรือจุ้นจ้านในเขตบ้านเรือนได้โดยง่าย
ป่าดง ภูเขา แม่น้ำลำธาร ล้วนแต่เชื่อว่ามีเจ้าที่เจ้าทางสิงสู่อยู่ทั้งนั้น!
ต้นไม้ใหญ่ๆ เช่น ต้นโพธิ์ ตันไทร ต้นรัง ฯลฯ ก็ย่อมมีผีอาศัยอยู่ทุกต้น แต่เรียกว่า "รุกขเทวา" เป็นการยกย่องให้เกียรติกันไว้ก่อน
ต้นไม้เหล่านี้ไม่นิยมนำมาปลูกไว้ในเขตบ้าน เพราะคนอยู่อาศัยซึ่งเป็นปุถุชนธรรมดา อาจจะขุ่นมัวโกรธเคืองจนถึงกับด่าทอกัน ถ้อยคำหยาบช้าล่องลอยไประคายโสตรุกขเทวาเข้า เดี๋ยวท่านรำคาญหรือโกรธกริ้ว ก็จะลงโทษให้เดือดร้อนกันทั้งบ้านก็เป็นได้ จึงนิยมปลูกไว้เขตวัดซึ่งถือว่าบริสุทธิ์สะอาดกว่าเขตบ้าน
"ผีป่า" ชนิดแรกคือคนเข้าไปตายในป่าด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น เข้าป่าล่าสัตว์บ้าง หาพืชผักหรือสมุนไพรบ้าง แต่เกิดเจ็บป่วยล้มตายลงก็มี ถูกงูกัด เสือขย้ำกินก็มาก...หรือแม้แต่พลาดพลั้งหล่นเขา ตกเหวตายก็ไม่น้อย
ส่วนมากญาติหรือลูกเมียทางบ้านไม่ค่อยรู้ข่าวเพราะหายสาบสูญไปเฉยๆ ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน บางรายเข้าไปหาก็ไม่พบ จะมีเจอะเจอบ้างก็น้อยรายเต็มที
คนไทยเชื่อเรื่องการทำศพ บำเพ็ญกุศลตามประเพณี ไหนจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตายอีกต่างหาก แต่เมื่อ "ผีป่า" เหล่านั้นตายไปแบบสาบสูญ ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายอย่างไรแน่ จึงมักจะไม่มีการทำบุญแผ่กุศลไปให้ กลายเป็นผีอดอยากปากแห้ง ต้องปรากฏกายออกขอส่วนบุญกับคนเป็นๆ ซึ่งมักจะวิ่งหนีเพราะความหวาดกลัว ยกเว้นแต่พระธุดงค์ หรือผู้ไปบำเพ็ญธรรมในป่าเท่านั้นจึงจะช่วยเหลือได้
"ผีป่า" นั้นเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "ผีโขมด" ต่อมาได้แยกเป็น "โขมดป่าโขมดดง" ส่วนจะมีรายละเอียดวิจิตรพิสดารประการใด ผู้เขียนจะได้มาเรียบเรียงให้ท่านผู้อ่านได้รับทั้งสาระและความบันเทิงต่อไป
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม 2552
ถึงแม้ผู้คนทั่วโลกจะเชื่อว่าผีมีจริง นอกจากจะชอบหลอกหลอนให้ขวัญหนีดีฝ่อแล้ว เผลอๆ ก็อาจตามจองล้างจองผลาญศัตรูคู่อาฆาตถึงกับล้มตายได้ แต่ดูเหมือนว่าภูตผีของชาติต่างๆ จะมีน้อยกว่าของไทยเราอย่างชนิดเทียบกันไม่ติด
"ผี" คือคำรวมๆ ที่เรียกคนตายแล้ว ไม่ว่าจะตายแบบไหนก็ตาม แต่คนไทยจะแยกแยะประเภทของคนตายให้เห็นภาพชัดเจนว่าตายเพราะอะไร
คนที่แก่เฒ่าหรือเจ็บไข้ได้ป่วยตายตามปกติก็เรียกว่า "ผี" บางท้องถิ่นเรียกการไปเผาศพว่า "ไปเผาผี" ตรงกับสำนวนไทยที่เอ่ยถึงคนที่ตนเกลียดชังว่า "ผีไม่เผา เงาไม่เหยียบ" คือผูกใจเจ็บจนไม่ยอมให้อภัย แม้ว่าจะล้มหายตายจากไปแล้วก็ตาม
คนที่ตายเพราะโดนฆ่าบ้าง อุบัติเหตุบ้าง จงใจฆ่าตัวตายว่า ถือว่าเป็นการตายผิดปกติ หรือตายก่อนจะสิ้นอายุขัย ก็จะเรียกขานกันว่า "ผีตายโหง"
ผู้หญิงคลอดลูกตายทั้งแม่ทั้งลูกเรียกว่า "ตายทั้งกลม"
สมัยก่อนมีโรคอหิวาต์ระบาดบ่อยๆ ทำให้ผู้คนที่ล้มตายคราวละนับพันนับหมื่นเรียกว่า โรค "ห่าลง" คนที่ตายเพราะโรคนี้จึงเรียกว่า "ตายห่า" ซึ่งนิยมมาสบถสาบานให้คล้องจองกันว่า "ให้ตายโหง-ตายห่า" ซึ่งใช้ทั้งการแช่งตัวเองบ้าง แช่งผู้อื่นบ้าง หรือไม่ก็หัวเสียจนหลุดปากออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจบ้าง
"ผีป่า" เป็นผีอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งออกจะตีความได้หลายแง่หลายมุม แล้วแต่ความเชื่อถือของแต่ละบุคคล หรือไม่ก็ตามแต่สถานการณ์ ซึ่งยังไม่มีข้อสรุปแน่นอนว่าเป็นผีชนิดไหนกันแน่?
เป็นคนที่ล้มตายในป่าดง หรือเป็นภูตผีที่สิงสู่อยู่ในป่าดิบดงดำนั้นมาเนิ่นนานแล้ว
ผีชนิดแรกพอจะเข้าใจได้กว้างๆ แต่มีปัญหาว่าผีชนิดหลังมาจากไหนกัน?
มีความเชื่อถือมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้วว่า ทุกหนทุกแห่งล้วนแต่มีภูตผีสิงสู่ ครอบครองอยู่ก่อนแล้ว นิยมเรียกขานกันว่า "เจ้าที่เจ้าทาง" ขนาดบ้านช่องในเมืองน้อยใหญ่ยังตั้งศาลพระภูมิเพื่อให้เจ้าที่มีร่มไม้ชายคาอยู่ มีเครื่องเซ่นให้กินเป็นประจำ
นอกจากจะต้องการให้เจ้าที่คุ้มครองคนในบ้านแล้ว ยังเป็น รปภ.ดูแลบ้านช่องคอยจับวิญญาณร่อนเร่หรือสัมภเวสี ผีไม่มีศาล ไม่ให้เข้ามาบุกรุกหรือจุ้นจ้านในเขตบ้านเรือนได้โดยง่าย
ป่าดง ภูเขา แม่น้ำลำธาร ล้วนแต่เชื่อว่ามีเจ้าที่เจ้าทางสิงสู่อยู่ทั้งนั้น!
ต้นไม้ใหญ่ๆ เช่น ต้นโพธิ์ ตันไทร ต้นรัง ฯลฯ ก็ย่อมมีผีอาศัยอยู่ทุกต้น แต่เรียกว่า "รุกขเทวา" เป็นการยกย่องให้เกียรติกันไว้ก่อน
ต้นไม้เหล่านี้ไม่นิยมนำมาปลูกไว้ในเขตบ้าน เพราะคนอยู่อาศัยซึ่งเป็นปุถุชนธรรมดา อาจจะขุ่นมัวโกรธเคืองจนถึงกับด่าทอกัน ถ้อยคำหยาบช้าล่องลอยไประคายโสตรุกขเทวาเข้า เดี๋ยวท่านรำคาญหรือโกรธกริ้ว ก็จะลงโทษให้เดือดร้อนกันทั้งบ้านก็เป็นได้ จึงนิยมปลูกไว้เขตวัดซึ่งถือว่าบริสุทธิ์สะอาดกว่าเขตบ้าน
"ผีป่า" ชนิดแรกคือคนเข้าไปตายในป่าด้วยสาเหตุต่างๆ เช่น เข้าป่าล่าสัตว์บ้าง หาพืชผักหรือสมุนไพรบ้าง แต่เกิดเจ็บป่วยล้มตายลงก็มี ถูกงูกัด เสือขย้ำกินก็มาก...หรือแม้แต่พลาดพลั้งหล่นเขา ตกเหวตายก็ไม่น้อย
ส่วนมากญาติหรือลูกเมียทางบ้านไม่ค่อยรู้ข่าวเพราะหายสาบสูญไปเฉยๆ ไม่รู้จะไปตามหาที่ไหน บางรายเข้าไปหาก็ไม่พบ จะมีเจอะเจอบ้างก็น้อยรายเต็มที
คนไทยเชื่อเรื่องการทำศพ บำเพ็ญกุศลตามประเพณี ไหนจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ตายอีกต่างหาก แต่เมื่อ "ผีป่า" เหล่านั้นตายไปแบบสาบสูญ ไม่มีใครรู้ว่าเป็นตายอย่างไรแน่ จึงมักจะไม่มีการทำบุญแผ่กุศลไปให้ กลายเป็นผีอดอยากปากแห้ง ต้องปรากฏกายออกขอส่วนบุญกับคนเป็นๆ ซึ่งมักจะวิ่งหนีเพราะความหวาดกลัว ยกเว้นแต่พระธุดงค์ หรือผู้ไปบำเพ็ญธรรมในป่าเท่านั้นจึงจะช่วยเหลือได้
"ผีป่า" นั้นเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า "ผีโขมด" ต่อมาได้แยกเป็น "โขมดป่าโขมดดง" ส่วนจะมีรายละเอียดวิจิตรพิสดารประการใด ผู้เขียนจะได้มาเรียบเรียงให้ท่านผู้อ่านได้รับทั้งสาระและความบันเทิงต่อไป
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม 2552
24 พฤศจิกายน 2556
อาถรรพณ์พงไพร
"มัธยันต์" เล่าเรื่องของป่าอาถรรพณ์น่าขนหัวลุก
"อาถรรพณ์" คืออำนาจลึกลับ คล้ายๆ กับ "อาถรรพ์" ที่เป็นพิธีพราหมณ์...เชื่อถือกันว่าจะดลบันดาลสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้น ส่วนมากจะหมายถึงเรื่องไม่ค่อยดีนะครับ เช่นถ้าพูดถึงเคราะห์ หรือคราวเคราะห์ ก็หมายถึงเรื่องร้ายๆ ทั้งนั้น
ถ้าจะให้นึกถึงเรื่องตรงข้ามก็ต้องบอกว่า "เคราะห์ดี" เป็นต้น
คำว่าอาถรรพณ์ก็เช่นกัน!
รถอาถรรพณ์, เรืออาถรรพณ์, บ้านอาถรรพณ์, ห้องอาถรรพณ์ ฯลฯ อะไรพวกนี้น่ะ ฟังแล้วเตรียมขนลุกขนพองล่วงหน้าได้เลย เพราะไม่ได้หมายถึงรถ, เรือ หรือบ้านนำโชคแหงแซะ
ส่วนมากก็คือ รถผีสิง, เรือมรณะ, บ้านผีดุ, ห้องกินคน หรือใครอยู่แล้วมันจะประสบอุบัติเหตุเภทภัยจนถึงล้มตายเป็นว่าเล่น จนต้องเรียกว่า "บ้านกินคน" ให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่มีอะไรต้องเคลือบแคลงหรือสงสัยกันอีกต่อไป
ป่าอาถรรพณ์ก็มาอีหรอบเดียวนี้แหละครับ!
ในบ้านในเมืองที่มีผู้คนคลั่กๆ รถราขวักไขว่น่าเวียนหัว ยังมีเรื่องราวอาถรรพณ์ร้อยแปดอย่างที่รู้ๆ กันดีอยู่ แล้วในป่าในดงที่มีสัตว์ป่าน้อยใหญ่ครอบครองมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ต่อมามีมนุษย์เข้าป่าล่าสัตว์ หาของป่า ไม่ถึงกับตัดไม้เป็นว่าเล่นในยุคหลัง...ก็ยังถือว่าเป็นส่วนน้อยเต็มที
แล้วป่าจะไม่มีอาถรรพณ์ลึกลับ น่าขนหัวลุกยิ่งกว่าอาถรรพณ์ในบ้านในเมืองได้ยังไงกัน?
ขุนเขาเสียดยอดทะมึน บ้างก็เรียงรายราวกำแพงหนาทึบ ที่ซุกซ่อนความลี้ลับน่าพรั่นพรึงเอาไว้ ป่าดิบดงดำที่มีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ คล้ายจะเป็นปราการน่าเกรงขาม หรือไม่ก็คือกับดักที่คอยเล่นงานมนุษย์ตัวกระจ้อยร่อย ผู้บังอาจบุกรุกล่วงล้ำเข้าไปโดยไม่บอกกล่าวด้วยความทะนงตัว
สัตว์ป่าดุร้ายหลายชนิด ราวกับเป็นทหารลาดตระเวน หรือด่านหน้าที่จะรับมือคอยสกัดกั้นมนุษย์ซุกซนไม่ให้ซอกซอนเข้าไปได้ง่ายๆ
คนดื้อรั้นต้องเอาชีวิตไปทิ้งทับถมในป่านับไม่ถ้วนมาแล้ว!
บ้างก็สาบสูญไร้ร่องรอยมาจนถึงทุกวันนี้
สัตว์ร้ายธรรมดาที่ว่าน่ากลัวนักหนาน่ะ ยังไม่น่าขนพองสยองเกล้าเท่ากับสัตว์ที่แปลงร่างเป็นคนได้ เรียกขานกันง่ายๆ ว่า "สัตว์ผีสิง" นั่นปะไร
คนทั่วโลกก็เชื่อถือกัน อย่างเคยได้ยินเรื่องราวที่เล่าต่อๆ กันมาว่า สัตว์หลายชนิดถูกผีสิงจนแปลงร่างเป็นคนได้ เช่น งูผีสิง ค้างคาวผีสิง เสือผีสิง หรือ "เสือสมิง" เป็นต้น
เรื่องทำนองนี้ในเอเชียมีเยอะครับ หรือจะเป็นเพราะสมัยก่อนมีป่าดิบดงดำมากมายก็ไม่ทราบ ไปไหนมาไหนก็มักจะหนีป่าดงไม่ค่อยพ้น ถึงได้เล่าลือถึงความอาถรรพณ์ ประเภทนี้บ่อยๆ จนแทบคุ้นหูแล้วก็ว่าได้...
ขนาดกลัวๆ ก็ยังเข้าป่าด้วยสาเหตุต่างๆ มีเหตุผลว่าเพราะความจำเป็นบ้าง หรือไม่ก็อยากจะพิสูจน์ความจริงให้เห็นกับตัวเองบ้าง ว่าอาถรรพณ์ต่างๆ นานานั่นน่ะจะมีความจริงมากน้อยแค่ไหน?
คนจีนสมัยโบราณเชื่อกันว่า สัตว์บางตัวเฉลียวฉลาดระดับอัจฉริยะนั่นแน่ะ รู้กระทั่งว่าถ้าถือศีลบำเพ็ญธรรมนานๆ เข้าก็จะทำให้อายุยืนยาว ยิ่งตบะเดชะแก่กล้าก็จะมีเวทมนตร์ให้แปลงกายได้ตามใจชอบ
กลายเป็นเซียนไปเลย...ว่างั้น!
คนไทยสมัยก่อนก็เชื่อถือกันว่า ถ้าใครร่ำเรียนคาถาอาคมจนแก่กล้า ก็สามารถแปลงกายเป็นเสือได้ เรียกว่าเสือสมิง
แต่บางแห่งก็เชื่อว่าเสือกินคนเข้าไปมากมาย โดนวิญญาณเข้าสิงจนแปลงร่างเป็นคนได้...เรื่องแบบนี้ก็สุดแท้แต่ใครจะเชื่อฝ่ายไหนก็แล้วกัน รับรองว่าตำรวจไม่จับ
ตอนหน้าจะได้พาไปชมเรื่องราวน่าขนหัวลุกของงูปีศาจ ถึงอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ที่เคยเป็นป่าดิบดงดำ ชุกชุมด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด แถมด้วยไข้ป่าชุกชุมน่าสยองขวัญ...แสนจะทุรกันดารจนเกินกว่าที่จะมีมนุษย์เข้าไปตั้งรกรากอยู่ได้มาตั้งหลายร้อยปีแล้ว
แค่นึกถึงภาพก็ขนลุกขนพองแล้วละครับ พับผ่า!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 7 กันยายน 2552
"อาถรรพณ์" คืออำนาจลึกลับ คล้ายๆ กับ "อาถรรพ์" ที่เป็นพิธีพราหมณ์...เชื่อถือกันว่าจะดลบันดาลสิ่งต่างๆ ให้เกิดขึ้น ส่วนมากจะหมายถึงเรื่องไม่ค่อยดีนะครับ เช่นถ้าพูดถึงเคราะห์ หรือคราวเคราะห์ ก็หมายถึงเรื่องร้ายๆ ทั้งนั้น
ถ้าจะให้นึกถึงเรื่องตรงข้ามก็ต้องบอกว่า "เคราะห์ดี" เป็นต้น
คำว่าอาถรรพณ์ก็เช่นกัน!
รถอาถรรพณ์, เรืออาถรรพณ์, บ้านอาถรรพณ์, ห้องอาถรรพณ์ ฯลฯ อะไรพวกนี้น่ะ ฟังแล้วเตรียมขนลุกขนพองล่วงหน้าได้เลย เพราะไม่ได้หมายถึงรถ, เรือ หรือบ้านนำโชคแหงแซะ
ส่วนมากก็คือ รถผีสิง, เรือมรณะ, บ้านผีดุ, ห้องกินคน หรือใครอยู่แล้วมันจะประสบอุบัติเหตุเภทภัยจนถึงล้มตายเป็นว่าเล่น จนต้องเรียกว่า "บ้านกินคน" ให้ชัดเจนแจ่มแจ้ง ไม่มีอะไรต้องเคลือบแคลงหรือสงสัยกันอีกต่อไป
ป่าอาถรรพณ์ก็มาอีหรอบเดียวนี้แหละครับ!
ในบ้านในเมืองที่มีผู้คนคลั่กๆ รถราขวักไขว่น่าเวียนหัว ยังมีเรื่องราวอาถรรพณ์ร้อยแปดอย่างที่รู้ๆ กันดีอยู่ แล้วในป่าในดงที่มีสัตว์ป่าน้อยใหญ่ครอบครองมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ ต่อมามีมนุษย์เข้าป่าล่าสัตว์ หาของป่า ไม่ถึงกับตัดไม้เป็นว่าเล่นในยุคหลัง...ก็ยังถือว่าเป็นส่วนน้อยเต็มที
แล้วป่าจะไม่มีอาถรรพณ์ลึกลับ น่าขนหัวลุกยิ่งกว่าอาถรรพณ์ในบ้านในเมืองได้ยังไงกัน?
ขุนเขาเสียดยอดทะมึน บ้างก็เรียงรายราวกำแพงหนาทึบ ที่ซุกซ่อนความลี้ลับน่าพรั่นพรึงเอาไว้ ป่าดิบดงดำที่มีแต่ต้นไม้ใหญ่ๆ คล้ายจะเป็นปราการน่าเกรงขาม หรือไม่ก็คือกับดักที่คอยเล่นงานมนุษย์ตัวกระจ้อยร่อย ผู้บังอาจบุกรุกล่วงล้ำเข้าไปโดยไม่บอกกล่าวด้วยความทะนงตัว
สัตว์ป่าดุร้ายหลายชนิด ราวกับเป็นทหารลาดตระเวน หรือด่านหน้าที่จะรับมือคอยสกัดกั้นมนุษย์ซุกซนไม่ให้ซอกซอนเข้าไปได้ง่ายๆ
คนดื้อรั้นต้องเอาชีวิตไปทิ้งทับถมในป่านับไม่ถ้วนมาแล้ว!
บ้างก็สาบสูญไร้ร่องรอยมาจนถึงทุกวันนี้
สัตว์ร้ายธรรมดาที่ว่าน่ากลัวนักหนาน่ะ ยังไม่น่าขนพองสยองเกล้าเท่ากับสัตว์ที่แปลงร่างเป็นคนได้ เรียกขานกันง่ายๆ ว่า "สัตว์ผีสิง" นั่นปะไร
คนทั่วโลกก็เชื่อถือกัน อย่างเคยได้ยินเรื่องราวที่เล่าต่อๆ กันมาว่า สัตว์หลายชนิดถูกผีสิงจนแปลงร่างเป็นคนได้ เช่น งูผีสิง ค้างคาวผีสิง เสือผีสิง หรือ "เสือสมิง" เป็นต้น
เรื่องทำนองนี้ในเอเชียมีเยอะครับ หรือจะเป็นเพราะสมัยก่อนมีป่าดิบดงดำมากมายก็ไม่ทราบ ไปไหนมาไหนก็มักจะหนีป่าดงไม่ค่อยพ้น ถึงได้เล่าลือถึงความอาถรรพณ์ ประเภทนี้บ่อยๆ จนแทบคุ้นหูแล้วก็ว่าได้...
ขนาดกลัวๆ ก็ยังเข้าป่าด้วยสาเหตุต่างๆ มีเหตุผลว่าเพราะความจำเป็นบ้าง หรือไม่ก็อยากจะพิสูจน์ความจริงให้เห็นกับตัวเองบ้าง ว่าอาถรรพณ์ต่างๆ นานานั่นน่ะจะมีความจริงมากน้อยแค่ไหน?
คนจีนสมัยโบราณเชื่อกันว่า สัตว์บางตัวเฉลียวฉลาดระดับอัจฉริยะนั่นแน่ะ รู้กระทั่งว่าถ้าถือศีลบำเพ็ญธรรมนานๆ เข้าก็จะทำให้อายุยืนยาว ยิ่งตบะเดชะแก่กล้าก็จะมีเวทมนตร์ให้แปลงกายได้ตามใจชอบ
กลายเป็นเซียนไปเลย...ว่างั้น!
คนไทยสมัยก่อนก็เชื่อถือกันว่า ถ้าใครร่ำเรียนคาถาอาคมจนแก่กล้า ก็สามารถแปลงกายเป็นเสือได้ เรียกว่าเสือสมิง
แต่บางแห่งก็เชื่อว่าเสือกินคนเข้าไปมากมาย โดนวิญญาณเข้าสิงจนแปลงร่างเป็นคนได้...เรื่องแบบนี้ก็สุดแท้แต่ใครจะเชื่อฝ่ายไหนก็แล้วกัน รับรองว่าตำรวจไม่จับ
ตอนหน้าจะได้พาไปชมเรื่องราวน่าขนหัวลุกของงูปีศาจ ถึงอำเภออุ้มผาง จังหวัดตาก ที่เคยเป็นป่าดิบดงดำ ชุกชุมด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด แถมด้วยไข้ป่าชุกชุมน่าสยองขวัญ...แสนจะทุรกันดารจนเกินกว่าที่จะมีมนุษย์เข้าไปตั้งรกรากอยู่ได้มาตั้งหลายร้อยปีแล้ว
แค่นึกถึงภาพก็ขนลุกขนพองแล้วละครับ พับผ่า!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 7 กันยายน 2552
22 พฤศจิกายน 2556
เสือสมิงที่บ่อพลอย
"มัธยันต์" เล่าเรื่องขนหัวลุกของเสือสมิงจากป่ากาญจนบุรี
เมื่อครั้งกึ่งพุทธกาล เรื่องราวของเสือสมิงที่บ่อพลอยก็ถือว่าเป็นอาถรรพณ์ป่าดงอันน่าสยดสยอง ที่ชาวบ้านโจษจันกันมาถึงลาดหญ้า แพร่หลายไปยันตัวเมืองกาญจนบุรี
ขณะนั้น แม้ว่าจะเป็นกิ่งอำเภอแล้ว แต่บ่อพลอยก็ยังค่อนข้างทุรกันดารนัก จากลาดหญ้าเข้าไปมีแต่ป่าดง หนทางคดเคี้ยววกวนไปตามธรรมชาติ มีแต่รถบรรทุกซุงแล่นผ่านไปมา มีชุมเผาถ่านเป็นระยะ ลึกเข้าไปก็มีชุมตัดไม้และทำไร่เลื่อนลอย ปลูกกระท่อมอยู่ห่างๆ กันแค่ 2-3 หลัง
เสือช้างยังเป็นเจ้าถิ่น วันดีคืนดี "เจ้าหมูกยาว" ก็บุกเข้าไปทลายกระท่อมราบเป็นหน้ากลอง
ใครจะเข้าบ่อพลอยต้องแยกจากเส้นทางรถซุง ย่ำป่าไปเกือบ 10 กิโลเมตร กว่าจะถึงปากทาง เห็นถนนลูกรังสีแดงเส้นเดียวตัดตรง ซ้ายมือเป็นหมู่บ้านและห้องแถวเขรอะฝุ่นเป็นร้านค้า ขวามือเป็นที่ทำการของหลวง มีบ้านพักกระจายอยู่ราว 4-5 หลัง
มีรถกระบะขนของกินของใช้จากจังหวัดมาส่งที่นั่นอาทิตย์ละ 2 วัน คือ วันจันทร์ กับวันพฤหัสบดี
วันนั้นก็จะมีโอเลี้ยง กาแฟเย็น ชาเย็นกินกัน เพราะมีน้ำแข็งเข้ามาส่งด้วย!
วันไหนมีการฆ่าหมู (เสียค่าอาชญาบัตร 50 บาท) ไม่ว่าจะเป็นพวกกะเหรี่ยงบนเขา หรือบ้านไหนก็ตาม ชาวบ้านที่รู้ข่าวตั้งแต่เมื่อวานจะเดินบ้าง ขี่จักรยานบ้าง มาซื้อหมูถึงที่ตั้งแต่เช้า ตกสายก็ขายหมดเกลี้ยง ไม่ว่าเครื่องในหมูหรือแม้แต่เลือดหมู
วันนั้นที่ร้านกาแฟก็จะมีก๋วยเตี๋ยวหมูขาย!!
บ่อพลอยแวดล้อมด้วยป่าดง ขุนเขาลำเนาไพร ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็แบกปืนเข้าป่าล่าสัตว์ ตีผึ้ง หาสมุนไพร โดยเฉพาะหน่อไม้ถือว่าเป็นอาหารสำคัญ เพราะจะมีหน่อไม้รวกต้มใบหญ้านางเดินหาบขายพอๆ กับ "น้ำขาว" ไม่มีอะไรก็เอาหน่อไม้จิ้มเต้าเจี้ยวกินกับข้าวกันได้ทั้งบ้าน
มีน้ำพริก ผักสด ผักต้ม แถมด้วยเนื้อเค็มปลาเค็ม หรือมีแกงส้มสักหม้อก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว
จนเกิดมีข่าวไอ้ลายยาวแปดศอก มาคาบชาวบ้านที่เข้าป่าไปกิน 2 คน!
คนแรกก็ยังพอว่า แต่เมื่อตามไปเจอซากคนต่อมา มีปืนแก๊ปตกอยู่ใกล้ซากที่แทบจะเหลือแต่โครงกระดูก ก็ร่ำลือกันไปต่างๆ นานาว่าเป็นเสือเจ้าบ้าง เสือสมิงยิงไม่อยู่บ้าง จนถึงกับบอกว่ามันคงเป็นเสือลำบาก ล่าคนง่ายกว่าล่าสัตว์อื่น บางคนก็เชื่อว่ามันได้ลิ้มเนื้อมนุษย์แล้วติดใจ ใครเข้าป่าต้องระวังเงาหัวให้ดีๆ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าป่าจะดักซุ่มอยู่ที่ไหน
ถ้าไม่รู้ตัว มัวแต่ตกใจ ได้ยินเสียงโฮกเข้าใส่มีหวังมืออ่อนตีนอ่อน โดนมันขย้ำคอหอยลากไปกินเอาง่ายๆ
ปัญหาว่าเสือโคร่งตัวนี้มาจากไหน?
บ้างก็ว่ามาจากศรีสวัสดิ์ บ้างก็ว่ามาจากเขตอุทัยกับทุ่งใหญ่นเรศวร เพราะได้ข่าวว่ามีพรานป่าพรานกรุงเข้าไปล่าสัตว์กันคึกคัก พวกเสือช้างกวางเก้งก็เตลิดหนีตาย...กระจัดกระจายมาถึงป่าบ่อพลอย
ชาวบ้านแทบไม่เป็นอันทำมาหากิน เมื่อได้ข่าวว่ามีคนเห็นมันมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ บ้าน ทิ้งรอยตีนขนาดชามโคมไว้เขย่าขวัญ ค่ำคืนได้ยินเสียงร้องมาจากป่าดง ฟังแล้วสยองใจประหนึ่งมันมาร้องอยู่หน้าบ้านก็ปานกัน!
มีการจัดคณะล่าเสือกินคนขึ้นมา ตาแก่น-พรานใหญ่เป็นหัวหน้า เจ้ากิ่งกับเจ้าดั่นอาสาตามไปล่าเสือด้วย คิดว่าได้การแน่เพราะเพิ่งได้ข่าวว่ามันลงมากินน้ำที่หนองเบี้ยเมื่อคืนก่อนนี้เอง
กำลังตระเตรียมกันอยู่นั้น สาวเดือนวัย 17 ออกไปหาหน่อไม้ใกล้ๆ บ้าน ก็โดนไอ้ลายลากไปกินแล้ว! ชาวบ้านได้ยินเสียงหวีดร้องรีบไปช่วยก็พบแต่กองเลือดเท่านั้น
เจ้าดั่นแทบจะคลั่งใจตาย เพราะสาวเดือนเป็นญาติลูกผู้น้องของมันเอง
"รีบไปกันเถอะน้าแก่น ไอ้กิ่ง...ถ้ายิงมันไม่อยู่ ข้าสาบานว่าจะไม่กลับมาเหยียบบ่อพลอยเด็ดขาด"
เป็นอันว่าคนทั้งสามหอบหิ้วปืนผาหน้าไม้ กับเสบียงกรังพอสมควรเข้าป่าในวันรุ่งขึ้น...มั่นอกมั่นใจว่าเสือกินคนยังคงป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นอย่างแน่นอน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 7 กันยายน 2552
เมื่อครั้งกึ่งพุทธกาล เรื่องราวของเสือสมิงที่บ่อพลอยก็ถือว่าเป็นอาถรรพณ์ป่าดงอันน่าสยดสยอง ที่ชาวบ้านโจษจันกันมาถึงลาดหญ้า แพร่หลายไปยันตัวเมืองกาญจนบุรี
ขณะนั้น แม้ว่าจะเป็นกิ่งอำเภอแล้ว แต่บ่อพลอยก็ยังค่อนข้างทุรกันดารนัก จากลาดหญ้าเข้าไปมีแต่ป่าดง หนทางคดเคี้ยววกวนไปตามธรรมชาติ มีแต่รถบรรทุกซุงแล่นผ่านไปมา มีชุมเผาถ่านเป็นระยะ ลึกเข้าไปก็มีชุมตัดไม้และทำไร่เลื่อนลอย ปลูกกระท่อมอยู่ห่างๆ กันแค่ 2-3 หลัง
เสือช้างยังเป็นเจ้าถิ่น วันดีคืนดี "เจ้าหมูกยาว" ก็บุกเข้าไปทลายกระท่อมราบเป็นหน้ากลอง
ใครจะเข้าบ่อพลอยต้องแยกจากเส้นทางรถซุง ย่ำป่าไปเกือบ 10 กิโลเมตร กว่าจะถึงปากทาง เห็นถนนลูกรังสีแดงเส้นเดียวตัดตรง ซ้ายมือเป็นหมู่บ้านและห้องแถวเขรอะฝุ่นเป็นร้านค้า ขวามือเป็นที่ทำการของหลวง มีบ้านพักกระจายอยู่ราว 4-5 หลัง
มีรถกระบะขนของกินของใช้จากจังหวัดมาส่งที่นั่นอาทิตย์ละ 2 วัน คือ วันจันทร์ กับวันพฤหัสบดี
วันนั้นก็จะมีโอเลี้ยง กาแฟเย็น ชาเย็นกินกัน เพราะมีน้ำแข็งเข้ามาส่งด้วย!
วันไหนมีการฆ่าหมู (เสียค่าอาชญาบัตร 50 บาท) ไม่ว่าจะเป็นพวกกะเหรี่ยงบนเขา หรือบ้านไหนก็ตาม ชาวบ้านที่รู้ข่าวตั้งแต่เมื่อวานจะเดินบ้าง ขี่จักรยานบ้าง มาซื้อหมูถึงที่ตั้งแต่เช้า ตกสายก็ขายหมดเกลี้ยง ไม่ว่าเครื่องในหมูหรือแม้แต่เลือดหมู
วันนั้นที่ร้านกาแฟก็จะมีก๋วยเตี๋ยวหมูขาย!!
บ่อพลอยแวดล้อมด้วยป่าดง ขุนเขาลำเนาไพร ชาวบ้านส่วนหนึ่งก็แบกปืนเข้าป่าล่าสัตว์ ตีผึ้ง หาสมุนไพร โดยเฉพาะหน่อไม้ถือว่าเป็นอาหารสำคัญ เพราะจะมีหน่อไม้รวกต้มใบหญ้านางเดินหาบขายพอๆ กับ "น้ำขาว" ไม่มีอะไรก็เอาหน่อไม้จิ้มเต้าเจี้ยวกินกับข้าวกันได้ทั้งบ้าน
มีน้ำพริก ผักสด ผักต้ม แถมด้วยเนื้อเค็มปลาเค็ม หรือมีแกงส้มสักหม้อก็ถือว่าเป็นบุญแล้ว
จนเกิดมีข่าวไอ้ลายยาวแปดศอก มาคาบชาวบ้านที่เข้าป่าไปกิน 2 คน!
คนแรกก็ยังพอว่า แต่เมื่อตามไปเจอซากคนต่อมา มีปืนแก๊ปตกอยู่ใกล้ซากที่แทบจะเหลือแต่โครงกระดูก ก็ร่ำลือกันไปต่างๆ นานาว่าเป็นเสือเจ้าบ้าง เสือสมิงยิงไม่อยู่บ้าง จนถึงกับบอกว่ามันคงเป็นเสือลำบาก ล่าคนง่ายกว่าล่าสัตว์อื่น บางคนก็เชื่อว่ามันได้ลิ้มเนื้อมนุษย์แล้วติดใจ ใครเข้าป่าต้องระวังเงาหัวให้ดีๆ เพราะไม่รู้ว่าเจ้าป่าจะดักซุ่มอยู่ที่ไหน
ถ้าไม่รู้ตัว มัวแต่ตกใจ ได้ยินเสียงโฮกเข้าใส่มีหวังมืออ่อนตีนอ่อน โดนมันขย้ำคอหอยลากไปกินเอาง่ายๆ
ปัญหาว่าเสือโคร่งตัวนี้มาจากไหน?
บ้างก็ว่ามาจากศรีสวัสดิ์ บ้างก็ว่ามาจากเขตอุทัยกับทุ่งใหญ่นเรศวร เพราะได้ข่าวว่ามีพรานป่าพรานกรุงเข้าไปล่าสัตว์กันคึกคัก พวกเสือช้างกวางเก้งก็เตลิดหนีตาย...กระจัดกระจายมาถึงป่าบ่อพลอย
ชาวบ้านแทบไม่เป็นอันทำมาหากิน เมื่อได้ข่าวว่ามีคนเห็นมันมาป้วนเปี้ยนใกล้ๆ บ้าน ทิ้งรอยตีนขนาดชามโคมไว้เขย่าขวัญ ค่ำคืนได้ยินเสียงร้องมาจากป่าดง ฟังแล้วสยองใจประหนึ่งมันมาร้องอยู่หน้าบ้านก็ปานกัน!
มีการจัดคณะล่าเสือกินคนขึ้นมา ตาแก่น-พรานใหญ่เป็นหัวหน้า เจ้ากิ่งกับเจ้าดั่นอาสาตามไปล่าเสือด้วย คิดว่าได้การแน่เพราะเพิ่งได้ข่าวว่ามันลงมากินน้ำที่หนองเบี้ยเมื่อคืนก่อนนี้เอง
กำลังตระเตรียมกันอยู่นั้น สาวเดือนวัย 17 ออกไปหาหน่อไม้ใกล้ๆ บ้าน ก็โดนไอ้ลายลากไปกินแล้ว! ชาวบ้านได้ยินเสียงหวีดร้องรีบไปช่วยก็พบแต่กองเลือดเท่านั้น
เจ้าดั่นแทบจะคลั่งใจตาย เพราะสาวเดือนเป็นญาติลูกผู้น้องของมันเอง
"รีบไปกันเถอะน้าแก่น ไอ้กิ่ง...ถ้ายิงมันไม่อยู่ ข้าสาบานว่าจะไม่กลับมาเหยียบบ่อพลอยเด็ดขาด"
เป็นอันว่าคนทั้งสามหอบหิ้วปืนผาหน้าไม้ กับเสบียงกรังพอสมควรเข้าป่าในวันรุ่งขึ้น...มั่นอกมั่นใจว่าเสือกินคนยังคงป้วนเปี้ยนอยู่แถวนั้นอย่างแน่นอน!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 7 กันยายน 2552
21 พฤศจิกายน 2556
เสือสมิง
"มัธยันต์" เล่าเรื่องขนหัวลุกของเสือกินคน
เรื่องราวของเสือสมิง เป็นที่เชื่อถือของคนเอเชียทั่วๆ ไป โดยเฉพาะในชมพูทวีปหรือในประเทศอินเดียที่เคยมีเสือมากที่สุดในโลก เสือพันธุ์เบงกอลได้ชื่อว่าดุร้ายที่สุด และเฉลียวฉลาดมากที่สุดเช่นกัน
รองลงมาก็เมืองไทยกับมลายู หรือมาเลเซียในปัจจุบัน แต่เดี๋ยวนี้บ้านเมืองขยายเข้าไปในป่ามากขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะถูกมนุษย์ตามล่าเอามากินมาขายกันเป็นว่าเล่นตั้งแต่สมัยก่อน เดี๋ยวนี้แทบจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว อยากดูเสือตัวจริงเสียงจริงก็ต้องไปดูที่สวนสัตว์
สาเหตุที่เสือถูกมนุษย์ล้างผลาญย่อยยับ ทั้งๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็น "เจ้าป่า" ก็ตามที เพราะเสือนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งตัวนั่นเอง
ไม่ว่าอวัยวะส่วนไหนก็ขายได้หมด!
ตั้งแต่เนื้อที่กินได้ หนังเสือที่มีพ่อค้ารับซื้อไม่อั้น หัวเสือนิยมนำไปประดับข้างฝาในห้องรับแขก ดูแล้วน่ากลัวไม่หยอกสมฉายาเจ้าป่าที่สู้มนุษย์เจ้าเล่ห์ไม่ไหว เพราะใช้ปืนช่วยเป็นเครื่องทุ่นแรง...อย่างน้อยก็เท่กว่าหัวกระทิงหรือหัวกวางเยอะเลย
เขี้ยวเสือใช้ห้อยคอเป็นเครื่องราง ยิ่งเป็น "เขี้ยวตัน" แล้วยิ่งเชื่อว่าขลังนัก ใครมีติดตัวจะทำให้อยู่ยงคงกระพัน ฟันไม่เข้ายิงไม่ออกไปโน่นแน่ะ
ไม่ยักคิดหรอกแฮะ ว่าเจ้าของเขี้ยวน่ะโดนปืนซัดตูมๆ เข้าให้จนนอนตายแหงแก๋...ขนาดเขี้ยวเต็มปากนะเนี่ย!
เลือดเสือ เล็บเสือ แม้แต่ขนเสือก็เอาไปผสมเครื่องยา ซินแสจีนนิยมกันนัก เชื่อว่าแก้ปวดเมื่อย ช้ำใน กระดูกกับตัวเดียวอันเดียวเสือดองเหล้า ก็เชื่อกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ โดยเฉพาะเพิ่มพลังทางเซ็กซ์ได้มหาศาล...ชายชราแต่หัวใจหนุ่มก็เลยควักกระเป๋าเป็นมันทันใด
เครื่องในเสือก็กินได้ โดยเฉพาะหัวใจเสือนั้นเชื่อว่าใครได้กินแล้วจะทำให้ใจคอกล้าหาญ ฮึกเหิมเหลือเชื่อ จนมีสำนวนว่า "กินดีหมี-หัวใจเสือมาจึงไม่รู้จักกลัวตาย"
เสือก็เลยใกล้จะหมดป่าด้วยประการฉะนี้แล!
แล้วเสือสมิงนี่เป็นเสืออะไร? มาจากไหนกันแน่? ทำไมถึงเรียกขานกันว่า "เสือสมิง" ?
เสือลายพาดกลอน หรือที่เราเรียกว่าเสือโคร่งนั่นแหละครับ ไม่ว่าในอินเดีย มลายู หรือเมืองไทย ยังไม่เคยเจอะเจอใครเห็นเสือสมิงที่เป็นเสือดาว เสือดำ เสือกินปลา หรือเสือไฟ แม้แต่รายเดียว
ไม่มีสาเหตุแน่ชัดว่า ทำไมถึงมีแต่เสือลายพาดกลอนชนิดเดียวเท่านั้น นอกจากสันนิษฐานกันเองว่า สมัยก่อนเสือชนิดนี้มีมากกว่าเสือชนิดอื่นๆ ก็เลยกินคนมากกว่าเป็นธรรมดา
แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องเสือกินคน?
และ...นี่แหละคือคำตอบว่าเสือสมิงมาจากไหน?
เชื่อกันว่าธรรมดาสัตว์ป่ามีวิสัยไม่ชอบยุ่งเกี่ยว หรือเข้าใกล้มนุษย์อยู่แล้ว อาจจะเป็นสัญชาตญาณของพวกมันที่ทำให้รู้ว่า บรรดาส่ำสัตว์ทั้งปวงน่ะ สัตว์มนุษย์อันตรายที่สุด ทั้งดุร้ายและเจ้าเล่ห์แสนกลที่สุด
หลบได้เป็นหลบ หนีได้เป็นหนี!
ส่งเสียงขู่คำรามเพราะสยดสยองเต็มที ก็หาว่ามันดุร้ายซะไม่มี! ยกเว้นแต่จะจวนตัว หนีไม่ทัน ถึงจะหันมาสู้แบบหมาจนตรอก หรือไม่ก็ลงมือเล่นงานคนที่ว่าจะเป็นอันตรายกับมันเสียก่อน
ปัญหาสำคัญของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายแหล่ ย่อมหนีไม่พ้นจากเรื่องอาหารการกินอยู่แล้ว
น้ำท่วม ฝนแล้ง ไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ เสือกินสัตว์อื่นเป็นอาหารก็ต้องซมซานเข้าไปใกล้บ้านคน ด้วยความหิวโหยจนแสบท้อง เกิดมีคนชะตาขาดเดินมาเดี่ยวๆ เข้าทางมันพอดี การตัดสินใจกระโจนเข้ากัดคอหอยจนขาดใจตาย ก่อนจะขย้ำเหยื่อกินอย่างหิวโหยจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดอะไรนัก
เชื่อกันว่าเนื้อมนุษย์โอชะอย่างไม่มีอะไรเปรียบปาน!
ตั้งแต่ล่าเหยื่อ กินสัตว์ต่างๆ มามากมาย ก็ไม่เห็นว่าจะมีสัตว์ชนิดไหนจะมีเนื้อเอร็ดอร่อย นุ่มปากนุ่มลิ้นเหมือนเนื้อมนุษย์ ก็เลยติดอกติดใจตั้งแต่นั้น
เคยกินแล้วก็อยากกินอีกไม่รู้จักเบื่อหน่าย...จนกลายเป็น "เสือสมิง" ไม่รู้ตัว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 3 กันยายน 2552
เรื่องราวของเสือสมิง เป็นที่เชื่อถือของคนเอเชียทั่วๆ ไป โดยเฉพาะในชมพูทวีปหรือในประเทศอินเดียที่เคยมีเสือมากที่สุดในโลก เสือพันธุ์เบงกอลได้ชื่อว่าดุร้ายที่สุด และเฉลียวฉลาดมากที่สุดเช่นกัน
รองลงมาก็เมืองไทยกับมลายู หรือมาเลเซียในปัจจุบัน แต่เดี๋ยวนี้บ้านเมืองขยายเข้าไปในป่ามากขึ้นเรื่อยๆ ไหนจะถูกมนุษย์ตามล่าเอามากินมาขายกันเป็นว่าเล่นตั้งแต่สมัยก่อน เดี๋ยวนี้แทบจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว อยากดูเสือตัวจริงเสียงจริงก็ต้องไปดูที่สวนสัตว์
สาเหตุที่เสือถูกมนุษย์ล้างผลาญย่อยยับ ทั้งๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็น "เจ้าป่า" ก็ตามที เพราะเสือนำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งตัวนั่นเอง
ไม่ว่าอวัยวะส่วนไหนก็ขายได้หมด!
ตั้งแต่เนื้อที่กินได้ หนังเสือที่มีพ่อค้ารับซื้อไม่อั้น หัวเสือนิยมนำไปประดับข้างฝาในห้องรับแขก ดูแล้วน่ากลัวไม่หยอกสมฉายาเจ้าป่าที่สู้มนุษย์เจ้าเล่ห์ไม่ไหว เพราะใช้ปืนช่วยเป็นเครื่องทุ่นแรง...อย่างน้อยก็เท่กว่าหัวกระทิงหรือหัวกวางเยอะเลย
เขี้ยวเสือใช้ห้อยคอเป็นเครื่องราง ยิ่งเป็น "เขี้ยวตัน" แล้วยิ่งเชื่อว่าขลังนัก ใครมีติดตัวจะทำให้อยู่ยงคงกระพัน ฟันไม่เข้ายิงไม่ออกไปโน่นแน่ะ
ไม่ยักคิดหรอกแฮะ ว่าเจ้าของเขี้ยวน่ะโดนปืนซัดตูมๆ เข้าให้จนนอนตายแหงแก๋...ขนาดเขี้ยวเต็มปากนะเนี่ย!
เลือดเสือ เล็บเสือ แม้แต่ขนเสือก็เอาไปผสมเครื่องยา ซินแสจีนนิยมกันนัก เชื่อว่าแก้ปวดเมื่อย ช้ำใน กระดูกกับตัวเดียวอันเดียวเสือดองเหล้า ก็เชื่อกันว่าเป็นยาอายุวัฒนะ โดยเฉพาะเพิ่มพลังทางเซ็กซ์ได้มหาศาล...ชายชราแต่หัวใจหนุ่มก็เลยควักกระเป๋าเป็นมันทันใด
เครื่องในเสือก็กินได้ โดยเฉพาะหัวใจเสือนั้นเชื่อว่าใครได้กินแล้วจะทำให้ใจคอกล้าหาญ ฮึกเหิมเหลือเชื่อ จนมีสำนวนว่า "กินดีหมี-หัวใจเสือมาจึงไม่รู้จักกลัวตาย"
เสือก็เลยใกล้จะหมดป่าด้วยประการฉะนี้แล!
แล้วเสือสมิงนี่เป็นเสืออะไร? มาจากไหนกันแน่? ทำไมถึงเรียกขานกันว่า "เสือสมิง" ?
เสือลายพาดกลอน หรือที่เราเรียกว่าเสือโคร่งนั่นแหละครับ ไม่ว่าในอินเดีย มลายู หรือเมืองไทย ยังไม่เคยเจอะเจอใครเห็นเสือสมิงที่เป็นเสือดาว เสือดำ เสือกินปลา หรือเสือไฟ แม้แต่รายเดียว
ไม่มีสาเหตุแน่ชัดว่า ทำไมถึงมีแต่เสือลายพาดกลอนชนิดเดียวเท่านั้น นอกจากสันนิษฐานกันเองว่า สมัยก่อนเสือชนิดนี้มีมากกว่าเสือชนิดอื่นๆ ก็เลยกินคนมากกว่าเป็นธรรมดา
แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องเสือกินคน?
และ...นี่แหละคือคำตอบว่าเสือสมิงมาจากไหน?
เชื่อกันว่าธรรมดาสัตว์ป่ามีวิสัยไม่ชอบยุ่งเกี่ยว หรือเข้าใกล้มนุษย์อยู่แล้ว อาจจะเป็นสัญชาตญาณของพวกมันที่ทำให้รู้ว่า บรรดาส่ำสัตว์ทั้งปวงน่ะ สัตว์มนุษย์อันตรายที่สุด ทั้งดุร้ายและเจ้าเล่ห์แสนกลที่สุด
หลบได้เป็นหลบ หนีได้เป็นหนี!
ส่งเสียงขู่คำรามเพราะสยดสยองเต็มที ก็หาว่ามันดุร้ายซะไม่มี! ยกเว้นแต่จะจวนตัว หนีไม่ทัน ถึงจะหันมาสู้แบบหมาจนตรอก หรือไม่ก็ลงมือเล่นงานคนที่ว่าจะเป็นอันตรายกับมันเสียก่อน
ปัญหาสำคัญของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายแหล่ ย่อมหนีไม่พ้นจากเรื่องอาหารการกินอยู่แล้ว
น้ำท่วม ฝนแล้ง ไฟไหม้ป่าครั้งใหญ่ เสือกินสัตว์อื่นเป็นอาหารก็ต้องซมซานเข้าไปใกล้บ้านคน ด้วยความหิวโหยจนแสบท้อง เกิดมีคนชะตาขาดเดินมาเดี่ยวๆ เข้าทางมันพอดี การตัดสินใจกระโจนเข้ากัดคอหอยจนขาดใจตาย ก่อนจะขย้ำเหยื่อกินอย่างหิวโหยจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกประหลาดอะไรนัก
เชื่อกันว่าเนื้อมนุษย์โอชะอย่างไม่มีอะไรเปรียบปาน!
ตั้งแต่ล่าเหยื่อ กินสัตว์ต่างๆ มามากมาย ก็ไม่เห็นว่าจะมีสัตว์ชนิดไหนจะมีเนื้อเอร็ดอร่อย นุ่มปากนุ่มลิ้นเหมือนเนื้อมนุษย์ ก็เลยติดอกติดใจตั้งแต่นั้น
เคยกินแล้วก็อยากกินอีกไม่รู้จักเบื่อหน่าย...จนกลายเป็น "เสือสมิง" ไม่รู้ตัว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 3 กันยายน 2552
19 พฤศจิกายน 2556
ปีศาจในดงดำ
"มัธยันต์" เล่าเรื่องงูผี ค้างคาวผีกับผีโป่งค่าง
เชื่อกันว่าในป่าดงดิบยังมีภูตผีปีศาจอีกมากมาย ที่แอบแฝงมาในรูปของสัตว์ต่างๆ เช่น งูผี ค้างคาวผี เป็นต้น ถ้าเป็นงูใหญ่ที่สิงสู่อยู่ตามจอมปลวก โพรงไม้ หรือชายน้ำ ชาวบ้านก็มักจะนับถือว่าเป็นเจ้าพ่อ เป็นพญางูเจ้าที่ เลื่อมใสจนต้องบากบั่นไปขอหวยกันตามระเบียบ
งูผีที่เชื่อกันว่าติดตามอาฆาตคนที่ทำร้ายมัน หรือคู่ของมัน จนคอยติดตามจองล้างจองผลาญจนตายกันไปข้างหนึ่ง มักจะดุร้ายน่ากลัวแทบเหลือเชื่อ
ที่จันทบุรีก็มีข่าวว่าผู้หญิงชาวไร่โดนงูจงอางกัดมือ เคยใช้มีดฟันงูตาย ตัวเองก็ต้องตัดมือทิ้ง เพื่อป้องกันพิษงูแล่นเข้าหัวใจ ปรากฏว่ามีงูตัวเมียตายจองเวรแทบปางตาย
ต้องขโมยไข่ของมันวิ่งหนี ล่อให้ตาม งูร้ายนั่นก็ตามมาติดๆ จนต้องวิ่งกันหืดจับกว่าจะถึงหน้าบ้าน แล้วโยนไข่งูลงไปในกระทะต้มน้ำเดือดๆ งูใจเพชรก็พุ่งลงกระทะเพื่อตามไข่ของมัน...ตายคาน้ำร้อนน่ะซีครับ รายการนี้
แต่คนรอดตายก็แทบหัวใจวายเหมือนกันนะเอ้า!
จากงูมาถึงค้างคาวผี...
ว่ากันว่า ค้างคาวผีมักสิงสู่อยู่ในถ้ำ คล้ายๆ กับค้างคาวทั่วไป กลางวันห้อยหัวนอนเงียบ ตกเย็นค่ำถึงจะออกหากิน ค้างคาวธรรมดาก็กินผลไม้ แต่ค้างคาวผีน่ะคอยจ้องแต่จะกินเลือดมนุษย์ท่าเดียว
ดูๆ ไปแล้วก็เหมือนค้างคาวผีของฝรั่ง ที่เรียกว่า "แวมไพร์" นั่นปะไร
ผิดแปลกกันตรงที่แวมไพร์นั้นเป็นผีดิบแปลงร่าง พอโฉบเข้าห้องนอนเหยื่อซึ่งมักจะเป็นสาวๆ สวยๆ หุ่นอวบอั๋นนอนหลับตาพริ้ม ก็กลับกลายเป็นผีดิบเชื้อสายแดร็กคิวล่า สะกดจิตให้สาวสวยลืมตาตื่นขึ้นมาจนได้
...เห็นชายร่างสูงในชุดเสื้อคลุมสีดำ หน้าซีดขาว นัยน์ตาคมวาวทรงอำนาจก็บังเกิดความเคลิบเคลิ้ม เดินเข้าหาอ้อมกอด ผีดิบก้มลงทำท่าจะจูบไซ้ต้นคอขาวระหง แต่ที่ไหนได้...กลับสยายเขี้ยวฝังฉับลงที่เส้นเลือดใหญ่ในบัดดล!
สาวเจ้าหวีดร้อง แต่ดิ้นไม่หลุด โดนดูดเลือดจนผีดิบอิ่มหนำสำราญ ก่อนจะกลายเป็นแวมไพร์ โบยบินออกไปทางหน้าต่างตามเดิม ปล่อยให้สาวเป็นลมล้มพับหมดสติคาที่
เมื่อฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นผีดิบเรียบร้อย ออกล่าเหยื่อเพื่อดูดเลือดต่อชีวิตตัวเองไม่มีวันสิ้นสุด
ผีดิบนี่กลัวไม้กางเขนพอๆ กับผีไทยกลัวพระ!
ผีดิบต้องใช้ไม้แหลมๆ ทะลวงอกถึงจะตายสนิท หรือโดนแสงแดดแผดเผาถึงจะร้องโหยหวน หมดพิษสง กลับกลายเป็นซากศพเละๆ หรือกองกระดูกป่นๆ แล้วแต่ว่าจะเพิ่งตายไม่นาน หรือตายมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว
คิดแล้วสู้ผีไทยไม่ได้ เพราะต่อให้เอาไม้เอาเหล็กแหลมไปแทงก็เหมือนแทงอากาศ เห็นแสงแดดก็หายตัวแวบไปแล้ว...ไม่มาทู่ซี้ปรากฏตัวจนโดนแดดเผาให้โง่หรอกน่า
ไฟก็ฆ่าผีไทยไม่ได้ บอกไม่เชื่อ!
ผีไทยหายตัวว่อบแว่บเหมือนเงา จะเอาไฟไปเผาได้ยังไง? มีวิธีเดียวเท่านั้น คือใช้อาคมเรียกวิญญาณใส่หม้อ ใช้ผ้ายันต์ปิดฝาเอาไปถ่วงน้ำเหมือนเรื่องแม่นาคพระโขนงนั่นปะไร
นอกจากงูผี ค้างคาวผี ก็ยังมีผีแปลกประหลาดอีกชนิดหนึ่ง ทั้งน่าเกลียดน่ากลัวน่าขยะแขยงชวนคลื่นไส้เบ็ดเสร็จ
คือ...ผีคนรู!!
ลำตัวเหมือนหนอนสีขาวเป็นปล้องๆ ลื่นมากเพราะเมือกเต็มตัว หน้าเหมือนคนแต่ไม่มีผม ไม่มีคิ้ว กลางวันอุบเงียบอยู่ในรู ตกกลางคืนก็เลื้อยคลานกระดืบๆ ออกมาล่าเหยื่อใช้ลำตัวรัดแล้วฝังเขี้ยวดูดเลือดจนพองเป่ง สัตว์หรือคนเคราะห์ร้ายที่ตกเป็นเหยื่อก็นอนตายแหงแก๋อยู่ป่านั่นเอง
คนที่เคยเจอะเจอผีคนรู แต่เผ่นหนีเอาตัวรอดมาได้ เล่าว่าเมือกลื่นๆ ตามลำตัวของมันทำให้ขนลุก แถมเหม็นเขียวเหม็นคาวอย่างบอกไม่ถูก...ยิ่งกว่าศพเน่าๆ ซะด้วยซ้ำไป!
นอกจากนั้นยังมีผีโป่งผีค่าง รูปร่างเหมือนลิงแต่ดุร้ายกว่า คอยจ้องจะฝังเขี้ยวดูดเลือดเหยื่อเหมือนกัน บางคนเรียกรวมๆ ว่า "ผีโป่งค่าง" ไปเลย คงจะเหมือนทั้งลิงทั้งค่างจนแยกไม่ออกก็เป็นได้
ผีอีกชนิดหนึ่งที่ใครๆ ก็เคยได้ยินชื่อเสียงมานมนานแล้ว น่าแปลกที่แปลงตัวได้จากผีกลายเป็นสัตว์ จากสัตว์กลายเป็นคน...นั่นก็คือ "เสือสมิง" เจ้าเก่านั่นแล
ตอนหน้าจะได้เล่าสู่กันฟังให้ละเอียดลออต่อไปเลย!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 2 กันยายน 2552
เชื่อกันว่าในป่าดงดิบยังมีภูตผีปีศาจอีกมากมาย ที่แอบแฝงมาในรูปของสัตว์ต่างๆ เช่น งูผี ค้างคาวผี เป็นต้น ถ้าเป็นงูใหญ่ที่สิงสู่อยู่ตามจอมปลวก โพรงไม้ หรือชายน้ำ ชาวบ้านก็มักจะนับถือว่าเป็นเจ้าพ่อ เป็นพญางูเจ้าที่ เลื่อมใสจนต้องบากบั่นไปขอหวยกันตามระเบียบ
งูผีที่เชื่อกันว่าติดตามอาฆาตคนที่ทำร้ายมัน หรือคู่ของมัน จนคอยติดตามจองล้างจองผลาญจนตายกันไปข้างหนึ่ง มักจะดุร้ายน่ากลัวแทบเหลือเชื่อ
ที่จันทบุรีก็มีข่าวว่าผู้หญิงชาวไร่โดนงูจงอางกัดมือ เคยใช้มีดฟันงูตาย ตัวเองก็ต้องตัดมือทิ้ง เพื่อป้องกันพิษงูแล่นเข้าหัวใจ ปรากฏว่ามีงูตัวเมียตายจองเวรแทบปางตาย
ต้องขโมยไข่ของมันวิ่งหนี ล่อให้ตาม งูร้ายนั่นก็ตามมาติดๆ จนต้องวิ่งกันหืดจับกว่าจะถึงหน้าบ้าน แล้วโยนไข่งูลงไปในกระทะต้มน้ำเดือดๆ งูใจเพชรก็พุ่งลงกระทะเพื่อตามไข่ของมัน...ตายคาน้ำร้อนน่ะซีครับ รายการนี้
แต่คนรอดตายก็แทบหัวใจวายเหมือนกันนะเอ้า!
จากงูมาถึงค้างคาวผี...
ว่ากันว่า ค้างคาวผีมักสิงสู่อยู่ในถ้ำ คล้ายๆ กับค้างคาวทั่วไป กลางวันห้อยหัวนอนเงียบ ตกเย็นค่ำถึงจะออกหากิน ค้างคาวธรรมดาก็กินผลไม้ แต่ค้างคาวผีน่ะคอยจ้องแต่จะกินเลือดมนุษย์ท่าเดียว
ดูๆ ไปแล้วก็เหมือนค้างคาวผีของฝรั่ง ที่เรียกว่า "แวมไพร์" นั่นปะไร
ผิดแปลกกันตรงที่แวมไพร์นั้นเป็นผีดิบแปลงร่าง พอโฉบเข้าห้องนอนเหยื่อซึ่งมักจะเป็นสาวๆ สวยๆ หุ่นอวบอั๋นนอนหลับตาพริ้ม ก็กลับกลายเป็นผีดิบเชื้อสายแดร็กคิวล่า สะกดจิตให้สาวสวยลืมตาตื่นขึ้นมาจนได้
...เห็นชายร่างสูงในชุดเสื้อคลุมสีดำ หน้าซีดขาว นัยน์ตาคมวาวทรงอำนาจก็บังเกิดความเคลิบเคลิ้ม เดินเข้าหาอ้อมกอด ผีดิบก้มลงทำท่าจะจูบไซ้ต้นคอขาวระหง แต่ที่ไหนได้...กลับสยายเขี้ยวฝังฉับลงที่เส้นเลือดใหญ่ในบัดดล!
สาวเจ้าหวีดร้อง แต่ดิ้นไม่หลุด โดนดูดเลือดจนผีดิบอิ่มหนำสำราญ ก่อนจะกลายเป็นแวมไพร์ โบยบินออกไปทางหน้าต่างตามเดิม ปล่อยให้สาวเป็นลมล้มพับหมดสติคาที่
เมื่อฟื้นขึ้นมาก็กลายเป็นผีดิบเรียบร้อย ออกล่าเหยื่อเพื่อดูดเลือดต่อชีวิตตัวเองไม่มีวันสิ้นสุด
ผีดิบนี่กลัวไม้กางเขนพอๆ กับผีไทยกลัวพระ!
ผีดิบต้องใช้ไม้แหลมๆ ทะลวงอกถึงจะตายสนิท หรือโดนแสงแดดแผดเผาถึงจะร้องโหยหวน หมดพิษสง กลับกลายเป็นซากศพเละๆ หรือกองกระดูกป่นๆ แล้วแต่ว่าจะเพิ่งตายไม่นาน หรือตายมาเป็นร้อยๆ ปีแล้ว
คิดแล้วสู้ผีไทยไม่ได้ เพราะต่อให้เอาไม้เอาเหล็กแหลมไปแทงก็เหมือนแทงอากาศ เห็นแสงแดดก็หายตัวแวบไปแล้ว...ไม่มาทู่ซี้ปรากฏตัวจนโดนแดดเผาให้โง่หรอกน่า
ไฟก็ฆ่าผีไทยไม่ได้ บอกไม่เชื่อ!
ผีไทยหายตัวว่อบแว่บเหมือนเงา จะเอาไฟไปเผาได้ยังไง? มีวิธีเดียวเท่านั้น คือใช้อาคมเรียกวิญญาณใส่หม้อ ใช้ผ้ายันต์ปิดฝาเอาไปถ่วงน้ำเหมือนเรื่องแม่นาคพระโขนงนั่นปะไร
นอกจากงูผี ค้างคาวผี ก็ยังมีผีแปลกประหลาดอีกชนิดหนึ่ง ทั้งน่าเกลียดน่ากลัวน่าขยะแขยงชวนคลื่นไส้เบ็ดเสร็จ
คือ...ผีคนรู!!
ลำตัวเหมือนหนอนสีขาวเป็นปล้องๆ ลื่นมากเพราะเมือกเต็มตัว หน้าเหมือนคนแต่ไม่มีผม ไม่มีคิ้ว กลางวันอุบเงียบอยู่ในรู ตกกลางคืนก็เลื้อยคลานกระดืบๆ ออกมาล่าเหยื่อใช้ลำตัวรัดแล้วฝังเขี้ยวดูดเลือดจนพองเป่ง สัตว์หรือคนเคราะห์ร้ายที่ตกเป็นเหยื่อก็นอนตายแหงแก๋อยู่ป่านั่นเอง
คนที่เคยเจอะเจอผีคนรู แต่เผ่นหนีเอาตัวรอดมาได้ เล่าว่าเมือกลื่นๆ ตามลำตัวของมันทำให้ขนลุก แถมเหม็นเขียวเหม็นคาวอย่างบอกไม่ถูก...ยิ่งกว่าศพเน่าๆ ซะด้วยซ้ำไป!
นอกจากนั้นยังมีผีโป่งผีค่าง รูปร่างเหมือนลิงแต่ดุร้ายกว่า คอยจ้องจะฝังเขี้ยวดูดเลือดเหยื่อเหมือนกัน บางคนเรียกรวมๆ ว่า "ผีโป่งค่าง" ไปเลย คงจะเหมือนทั้งลิงทั้งค่างจนแยกไม่ออกก็เป็นได้
ผีอีกชนิดหนึ่งที่ใครๆ ก็เคยได้ยินชื่อเสียงมานมนานแล้ว น่าแปลกที่แปลงตัวได้จากผีกลายเป็นสัตว์ จากสัตว์กลายเป็นคน...นั่นก็คือ "เสือสมิง" เจ้าเก่านั่นแล
ตอนหน้าจะได้เล่าสู่กันฟังให้ละเอียดลออต่อไปเลย!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 2 กันยายน 2552
17 พฤศจิกายน 2556
สองวิญญาณ
"นันทินุช" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโทรศัพท์สยอง
เช้าวันอาทิตย์กลางเดือนพฤศจิกายนนี่เอง จู่ๆ ขณะซักผ้าอย่างเพลิดเพลิน เปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยนั้น ฉันก็คิดถึงโสภิตาขึ้นมาอย่างรุนแรง!
โสอยู่กลุ่มเพื่อนของฉัน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เมื่อเรียนจบต่างคนก็ต่างไป เราไม่เคยติดต่อกันเลยหลังจากนั้น จริงอยู่ ฉันไม่เคยลืมเธอ แต่ก็ไม่เคยคิดถึงแม้แต่นึกถึง แล้วทำไมวันนี้ฉันเกิดคิดถึงเธอจังเลย
ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นมาชัดเจนราวกับวันวาน ฉันถึงกับวางมือจากเครื่องซักผ้า เงยหน้ามองฟ้าที่เป็นสีน้ำเงินใส...ป่านนี้เธอทำอะไรและอยู่ที่ไหนนะ? แต่งงานหรือว่าโสด มีลูกกี่คน?
วูบหนึ่งฉันใจหายนิดๆ คุณเคยเป็นอย่างฉันหรือเปล่าไม่ทราบ เวลาที่เราคิดถึงใครสักคนทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดถึงมาตั้งนาน เขาคนนั้นมักมีอันเป็นไป ฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้มา 3-4 ครั้งแล้ว นึกได้อย่างนี้ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดี โสภิตาเป็นอะไรไปรึเปล่านะ? เอ...เห็นจะต้องหาทางติดต่อถามข่าวคราว ซึ่งคงต้องถามกับสมาคมศิษย์เก่าละมัง? เขามีที่อยู่แน่ๆ
...และแล้วเสียงโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้น ฉันรีบเช็ดมือกับผ้าแห้ง ขณะที่ลูกชายวัยรุ่นโผล่หน้ามาบอกว่า เป็นโทรศัพท์ของฉันเอง
ใช่แล้วค่ะ คุณเดาถูก! โสภิตาโทร.มา น่าอัศจรรย์ไหมล่ะคะ กระแสจิตคนเราช่างแรงจริง ฉันบอกถึงความอัศจรรย์นี้กับโสภิตาทันที
"ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่ แปลกนะอยู่ดีๆ ก็คิดถึง" ฉันบอก เธอหัวเราะเสียงใส...อย่างน้อยฉันก็โล่งอกล่ะค่ะที่โสภิตายังสบายดี ไม่ได้มีอันเป็นไปร้ายแรงอะไร เธอบอกเล่าเก้าสิบว่าหลังจากเรียนจบก็ไปต่างประเทศ มีสามีเป็นชาวฝรั่งเศสก็เลยปักหลักอยู่ทางโน้น นานๆ จะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยซะที คราวนี้เธอเพิ่งกลับมาได้สองอาทิตย์แล้ว และจะอยู่ถึงปีใหม่...เธอคิดถึงเพื่อนเก่าๆ เพราะจัดบ้านเจออัลบั้มภาพสมัยเรียนหนังสือ
"เมื่อกี้โทร.ไปบ้านอ้อม เขายังใช้เบอร์เก่าอยู่เลยนะ" โสภิตา บอกด้วยเสียงร่าเริง
อ้อมไหน? อ้อมวนิดาน่ะเหรอ?! ฉันใจหายวาบ ก็เธอตายไปแล้วนี่นา! ตายไปเมื่อสองปีก่อน ฉันยังไปงานศพเลย!
"คุยกันสนุกเชียว อ้อมบอกว่าคิดถึงเธอมาก ฝากบอกด้วย เธอสองคนไม่ได้เจอกันเหรอจ๊ะ?"
ฉันอึกอัก มือเย็นเฉียบ นี่โสภิตาล้อฉันเล่นรึเปล่า? แรงไปหน่อยนะ!
"โส...อ้อมไม่อยู่แล้วนะ! เป็นมะเร็งที่ปอด เสียไปเมื่อสองปีก่อน..."
"อยู่สิ เขายังไม่ไปไหนสักหน่อย เรานัดกันจะไปหาเธอที่บ้านค่ำนี้!"
โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ ฉันตกตะลึง ขณะเดียวกันสายก็หลุดไปซะงั้น...ปลายทางเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมวกรน ฉันขยับปลั๊ก เสียงครืด...ยาวๆ กลับมา แต่ไม่มีเสียงแจ้วๆ ของโสภิตาอีกต่อไป
ฉันสับสน งงงัน แล้วสักพักก็มือไม้สั่นเทา ขณะหยิบมือถือมากดเบอร์ของแหววเพื่อนรักอีกคนที่พบกันในงานศพอ้อมนั่นแหละเป็นครั้งสุดท้าย
...ข่าวที่ได้จากแหววทำให้ฉันเข่าอ่อนยวบ หน้ามืดจะเป็นลมซะให้ได้
โสภิตาที่ฉันพูดด้วยตะกี้น่ะ แหววบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนอีกคนเพิ่งส่งข่าวร้ายมาบอกว่า เธอรถคว่ำตายที่ฝรั่งเศสพร้อมสามีเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง!
แหววตื่นเต้นตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันหยกๆ เธอขนลุกไปหมดแล้ว
ไม่อยากจะเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนหลับวูบแล้วละเมอฝันไป...แต่ฉันไม่ได้หลับ ลูกชายที่รับโทรศัพท์เป็นพยานได้
เราวุ่นวายกันทั้งบ้านเลยค่ะ ทั้งฉันเอง ลูกชาย สามีและคุณแม่สามี เราถกเถียงกันเรื่องนี้ และสันนิษฐานว่าอาจมีใครแกล้ง แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องเป็นเรื่องตายนี่ถ้าแกล้งหลอกแกล้งอำกัน มันก็ใจร้ายใจดำ อำมหิตไปหน่อยล่ะ!
คืนนั้น...ทันทีที่พลบค่ำ ตะวันตกดิน ฉันถึงกับจับไข้ รู้สึกหนาวจนตัวสั่น...คำที่ว่าโสภิตากับอ้อมนัดกันจะมาหาฉันยังแว่วอยู่ในหู...
คุณแม่สามีให้ฉันจุดธูปบอกกล่าวเพื่อนให้ไปสู่สุคติ ไม่ต้องมาหา จะทำบุญไปให้
ฉันจุดธูปบอกศาลพระภูมิด้วยความหวาดกลัว ว่าอย่าให้วิญญาณ ทั้งสองนี่เข้ามานะ! ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ฉันก็กลัวใจจะขาด ไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ กลัวกันทั้งบ้าน...แต่คืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี...
ไม่มีแม้แต่ความฝันที่น่าสะพรึงกลัวใดๆ
อย่างไรก็ตาม นึกถึงทีไรดิฉันก็สยองจนขนหัวลุก ไม่น่าเชื่อว่าประโยคธรรมดาๆ ที่ว่าจะมาหาที่บ้าน มันจะน่าหวาดหวั่นขนาดนี้...น่ากลัวที่สุดในชีวิตฉันเลยละค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 11 ธันวาคม 2552
เช้าวันอาทิตย์กลางเดือนพฤศจิกายนนี่เอง จู่ๆ ขณะซักผ้าอย่างเพลิดเพลิน เปิดวิทยุฟังเพลงไปด้วยนั้น ฉันก็คิดถึงโสภิตาขึ้นมาอย่างรุนแรง!
โสอยู่กลุ่มเพื่อนของฉัน ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อน เมื่อเรียนจบต่างคนก็ต่างไป เราไม่เคยติดต่อกันเลยหลังจากนั้น จริงอยู่ ฉันไม่เคยลืมเธอ แต่ก็ไม่เคยคิดถึงแม้แต่นึกถึง แล้วทำไมวันนี้ฉันเกิดคิดถึงเธอจังเลย
ภาพเก่าๆ ผุดขึ้นมาชัดเจนราวกับวันวาน ฉันถึงกับวางมือจากเครื่องซักผ้า เงยหน้ามองฟ้าที่เป็นสีน้ำเงินใส...ป่านนี้เธอทำอะไรและอยู่ที่ไหนนะ? แต่งงานหรือว่าโสด มีลูกกี่คน?
วูบหนึ่งฉันใจหายนิดๆ คุณเคยเป็นอย่างฉันหรือเปล่าไม่ทราบ เวลาที่เราคิดถึงใครสักคนทั้งๆ ที่ไม่เคยคิดถึงมาตั้งนาน เขาคนนั้นมักมีอันเป็นไป ฉันเคยมีประสบการณ์แบบนี้มา 3-4 ครั้งแล้ว นึกได้อย่างนี้ฉันก็รู้สึกไม่ค่อยดี โสภิตาเป็นอะไรไปรึเปล่านะ? เอ...เห็นจะต้องหาทางติดต่อถามข่าวคราว ซึ่งคงต้องถามกับสมาคมศิษย์เก่าละมัง? เขามีที่อยู่แน่ๆ
...และแล้วเสียงโทรศัพท์ในบ้านก็ดังขึ้น ฉันรีบเช็ดมือกับผ้าแห้ง ขณะที่ลูกชายวัยรุ่นโผล่หน้ามาบอกว่า เป็นโทรศัพท์ของฉันเอง
ใช่แล้วค่ะ คุณเดาถูก! โสภิตาโทร.มา น่าอัศจรรย์ไหมล่ะคะ กระแสจิตคนเราช่างแรงจริง ฉันบอกถึงความอัศจรรย์นี้กับโสภิตาทันที
"ฉันกำลังคิดถึงเธออยู่ แปลกนะอยู่ดีๆ ก็คิดถึง" ฉันบอก เธอหัวเราะเสียงใส...อย่างน้อยฉันก็โล่งอกล่ะค่ะที่โสภิตายังสบายดี ไม่ได้มีอันเป็นไปร้ายแรงอะไร เธอบอกเล่าเก้าสิบว่าหลังจากเรียนจบก็ไปต่างประเทศ มีสามีเป็นชาวฝรั่งเศสก็เลยปักหลักอยู่ทางโน้น นานๆ จะกลับมาเยี่ยมเมืองไทยซะที คราวนี้เธอเพิ่งกลับมาได้สองอาทิตย์แล้ว และจะอยู่ถึงปีใหม่...เธอคิดถึงเพื่อนเก่าๆ เพราะจัดบ้านเจออัลบั้มภาพสมัยเรียนหนังสือ
"เมื่อกี้โทร.ไปบ้านอ้อม เขายังใช้เบอร์เก่าอยู่เลยนะ" โสภิตา บอกด้วยเสียงร่าเริง
อ้อมไหน? อ้อมวนิดาน่ะเหรอ?! ฉันใจหายวาบ ก็เธอตายไปแล้วนี่นา! ตายไปเมื่อสองปีก่อน ฉันยังไปงานศพเลย!
"คุยกันสนุกเชียว อ้อมบอกว่าคิดถึงเธอมาก ฝากบอกด้วย เธอสองคนไม่ได้เจอกันเหรอจ๊ะ?"
ฉันอึกอัก มือเย็นเฉียบ นี่โสภิตาล้อฉันเล่นรึเปล่า? แรงไปหน่อยนะ!
"โส...อ้อมไม่อยู่แล้วนะ! เป็นมะเร็งที่ปอด เสียไปเมื่อสองปีก่อน..."
"อยู่สิ เขายังไม่ไปไหนสักหน่อย เรานัดกันจะไปหาเธอที่บ้านค่ำนี้!"
โทรศัพท์แทบหลุดจากมือ ฉันตกตะลึง ขณะเดียวกันสายก็หลุดไปซะงั้น...ปลายทางเงียบกริบ ไม่มีแม้แต่เสียงแมวกรน ฉันขยับปลั๊ก เสียงครืด...ยาวๆ กลับมา แต่ไม่มีเสียงแจ้วๆ ของโสภิตาอีกต่อไป
ฉันสับสน งงงัน แล้วสักพักก็มือไม้สั่นเทา ขณะหยิบมือถือมากดเบอร์ของแหววเพื่อนรักอีกคนที่พบกันในงานศพอ้อมนั่นแหละเป็นครั้งสุดท้าย
...ข่าวที่ได้จากแหววทำให้ฉันเข่าอ่อนยวบ หน้ามืดจะเป็นลมซะให้ได้
โสภิตาที่ฉันพูดด้วยตะกี้น่ะ แหววบอกว่าเป็นไปไม่ได้หรอก เพราะเพื่อนอีกคนเพิ่งส่งข่าวร้ายมาบอกว่า เธอรถคว่ำตายที่ฝรั่งเศสพร้อมสามีเมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง!
แหววตื่นเต้นตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นกับฉันหยกๆ เธอขนลุกไปหมดแล้ว
ไม่อยากจะเชื่อ แต่มันเกิดขึ้นจริงๆ ฉันรู้สึกเหมือนหลับวูบแล้วละเมอฝันไป...แต่ฉันไม่ได้หลับ ลูกชายที่รับโทรศัพท์เป็นพยานได้
เราวุ่นวายกันทั้งบ้านเลยค่ะ ทั้งฉันเอง ลูกชาย สามีและคุณแม่สามี เราถกเถียงกันเรื่องนี้ และสันนิษฐานว่าอาจมีใครแกล้ง แต่มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เรื่องเป็นเรื่องตายนี่ถ้าแกล้งหลอกแกล้งอำกัน มันก็ใจร้ายใจดำ อำมหิตไปหน่อยล่ะ!
คืนนั้น...ทันทีที่พลบค่ำ ตะวันตกดิน ฉันถึงกับจับไข้ รู้สึกหนาวจนตัวสั่น...คำที่ว่าโสภิตากับอ้อมนัดกันจะมาหาฉันยังแว่วอยู่ในหู...
คุณแม่สามีให้ฉันจุดธูปบอกกล่าวเพื่อนให้ไปสู่สุคติ ไม่ต้องมาหา จะทำบุญไปให้
ฉันจุดธูปบอกศาลพระภูมิด้วยความหวาดกลัว ว่าอย่าให้วิญญาณ ทั้งสองนี่เข้ามานะ! ถึงจะเป็นเพื่อนแต่ฉันก็กลัวใจจะขาด ไม่เป็นอันทำอะไรเลยค่ะ กลัวกันทั้งบ้าน...แต่คืนนั้นก็ผ่านไปด้วยดี...
ไม่มีแม้แต่ความฝันที่น่าสะพรึงกลัวใดๆ
อย่างไรก็ตาม นึกถึงทีไรดิฉันก็สยองจนขนหัวลุก ไม่น่าเชื่อว่าประโยคธรรมดาๆ ที่ว่าจะมาหาที่บ้าน มันจะน่าหวาดหวั่นขนาดนี้...น่ากลัวที่สุดในชีวิตฉันเลยละค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 11 ธันวาคม 2552
15 พฤศจิกายน 2556
ขอนั่งด้วยคน
"ขวัญ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกบนรถเมล์ปรับอากาศ
ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของคนกรุงเทพฯ คือ ที่ทำงานอยู่ไกลจากบ้าน ดิฉันอาจโชคดีที่บ้านอยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แม้ต้องไปทำงานถึงถนนงามวงศ์วานก็ไร้ปัญหาค่ะ เพราะนั่งรถเมล์รวดเดียวถึง
รถร้อนรถเย็นมีทั้งนั้นเลย!
ถึงที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ ห้างพันธุ์ทิพย์แต่ก็ไม่ค่อยได้แวะดูของ เพราะช่วงเย็นรถติดกับอ่อนล้าจากงานมาทั้งวัน อยากกลับบ้านอาบน้ำ กินข้าวกับพ่อแม่ให้สบายมากกว่า
จู่ๆ ดิฉันก็ต้องพบกับเหตุการณ์น่าขนลุกขนพองบนรถเมล์ปรับอากาศค่ะ
วันเกิดเหตุก็ไปทำงานตามปกติ แม้จะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อยก็ตาม มารู้สาเหตุว่าเกิดจากความจำเป็นในรอบเดือนตามประสาผู้หญิง หลังจากใช้อุปกรณ์ป้องกันเรียบร้อยแล้ว กลับเกิดมีไข้รุมๆ และอ่อนเพลียจนรู้ตัวว่าทำงานต่อไปไม่ไหวแน่ๆ
เมื่อไปปรับทุกข์กับหัวหน้าซึ่งเป็นผู้หญิงด้วยกัน ก็ได้รับคำแนะนำว่าให้รีบกินยาแล้วกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ทุเลาก็หยุดงานไปเลย
เรื่องแบบนี้มีแต่ผู้หญิงด้วยกันเท่านั้นแหละค่ะที่จะเข้าใจและเห็นใจกัน โดยเฉพาะดิฉันมีประวัติทำงานอยู่ในเกณฑ์ดี แทบจะไม่มีวันลาวันหยุดเลยในแต่ละปี ดิฉันยกมือไหว้ขอบคุณหัวหน้า ตัดสินใจว่าขอกลับบ้านละ ส่วนเรื่องกินยาถ้าไม่กินได้จะดีมาก
ถือคติว่า ให้ร่างกายรักษาตัวเองก่อนใช้ยารักษา!
กินอาหารเป็นยา ดีกว่ากินยาเป็นอาหาร!!
ในที่สุดก็ร่ำลาเพื่อนๆ มารอรถเมล์แถวหน้าห้างพันธุ์ทิพย์ ช่วงบ่ายสองโมงกว่าผู้คนยังไม่มากนัก ดิฉันขึ้นรถปอ. ได้ที่นั่งเดี่ยวทางขวามือค่อนไปด้านหลัง ถือว่าโชคดีค่ะที่ไม่ต้องนั่งเบียดกับคนอื่น เดี๋ยวจะเอาเชื้อไข้ไปติดเขาเปล่าๆ โรคหวัด 2009 ยิ่งกลับมาระบาดอยู่ด้วย
ตระเตรียมแบงก์ 20 บาทไว้จ่ายค่ารถ รับเงินทอน 2 บาทมาใส่กระเป๋าถือที่วางอยู่บนตัก นึกภาวนาว่ารถไม่ติดแบบนี้คงจะถึงบ้านเร็วกว่าปกติแน่ๆ
ที่ดิฉันเล่ารายละเอียดให้ฟังเพื่อยืนยันว่ามีอาการไข้อย่างเดียว ไม่ได้งุนงงหรือสับสนขนาดเบลอหรอกค่ะ...จนกระทั่งรถผ่านหน้าเรือนจำ ไม่ช้าก็เลี้ยวขวาไปทางถนนวิภาวดี...รถรายังมีน้อยน่าปลอดโปร่งดีจริงๆ
คิดอยู่ว่า...ถ้าถึงบ้านอาการไข้ยังไม่ลดลงจะกินยาแล้วเข้านอนพักเลย ไม่ช้าคงทุเลาจนอาบน้ำอุ่น ทานอาหารอ่อนๆ แล้วเอนหลังให้ร่างกายพักผ่อนได้อย่างเต็มที่
มีอะไรบางอย่างมากระทบไหล่ดิฉันเบาๆ ตอนแรกนึกวูบไปถึงพวกโรคจิตที่เคยพบบนรถเมล์ แต่เมื่อหันไปมองกลับเป็นนักศึกษาสาว ผิวขาว หน้าตาดี ไว้ผมม้า...เธอนั่งไหล่เบียดไหล่กับดิฉัน และกำลังหันมามองยิ้มๆ น่ารักน่าเอ็นดู ดิฉันก็ยิ้มตอบอย่างจริงใจ โดยมิได้พูดคุยอะไรกัน
และแล้ว ดิฉันก็หันไปมองนอกหน้าต่างด้านขวาตามเดิม ดูตึกรามบ้านช่องที่เห็นอยู่ทุกวันจนรู้ว่าถัดไปจะเป็นอะไร? ใกล้จะถึงไหนแล้ว? อีกไม่เกินห้านาทีก็จะผ่านห้าแยกลาดพร้าว มุ่งหน้าไปดินแดง! และ...
คุณพระช่วย! เหมือนมีฟ้าแลบวูบเข้าสมองจนม่านตาพร่าพรายไปชั่วขณะ!
ดิฉันนั่งเก้าอี้เดี่ยว แล้วนักศึกษาสาวน่ารักผู้นั้นจะมานั่งคู่กับดิฉันได้อย่างไรกัน นอกจากว่าเธอจะ...
หัวใจคล้ายจะหยุดเต้น หนาวสะท้านไปทั้งตัว ขณะที่หันขวับไปมองอีกครั้ง...คุณพระคุณเจ้า! ไม่มีนักศึกษาสาวไว้ผมม้าหน้าตาดีผู้นั้นอีกแล้วค่ะ!
พยายามนึกทบทวนว่าช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่เราหันไปทางขวาน่ะ รถจอดหรือเปล่า? แน่ใจว่าไม่ได้จอดป้ายใดๆ เลย แล้วเธอลุกออกจากรถไปได้ดื้อๆ อย่างไรกัน?
อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับเธอมานั่งปร๋ออยู่เคียงคู่ ไหล่เบียดไหล่กับดิฉันหรอกค่ะ
ถึงจุดหมาย ดิฉันลุกเดินขาสั่นแทบจะลงจากรถไม่ไหว... ผู้คนและรถรามากมายขวักไขว่ไปมา...ดิฉันอาจจะตาฝาด จนเพ้อไปเองเพราะพิษไข้ก็ได้ แต่ในส่วนลึกของหัวใจยังเชื่อมั่นว่าเด็กสาวผู้นั้นคงเป็นภูตวิญญาณ ที่สบโอกาสตอนที่ดิฉันอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจเท่านั้นเอง!
มองในแง่ดีว่าเธอมาปลอบใจ เพราะรุ่งขึ้นดิฉันก็หายไข้เป็นปกติตามเดิมค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 20 ตุลาคม 2553
ปัญหาสำคัญอย่างหนึ่งของคนกรุงเทพฯ คือ ที่ทำงานอยู่ไกลจากบ้าน ดิฉันอาจโชคดีที่บ้านอยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ แม้ต้องไปทำงานถึงถนนงามวงศ์วานก็ไร้ปัญหาค่ะ เพราะนั่งรถเมล์รวดเดียวถึง
รถร้อนรถเย็นมีทั้งนั้นเลย!
ถึงที่ทำงานอยู่ใกล้ๆ ห้างพันธุ์ทิพย์แต่ก็ไม่ค่อยได้แวะดูของ เพราะช่วงเย็นรถติดกับอ่อนล้าจากงานมาทั้งวัน อยากกลับบ้านอาบน้ำ กินข้าวกับพ่อแม่ให้สบายมากกว่า
จู่ๆ ดิฉันก็ต้องพบกับเหตุการณ์น่าขนลุกขนพองบนรถเมล์ปรับอากาศค่ะ
วันเกิดเหตุก็ไปทำงานตามปกติ แม้จะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวนิดหน่อยก็ตาม มารู้สาเหตุว่าเกิดจากความจำเป็นในรอบเดือนตามประสาผู้หญิง หลังจากใช้อุปกรณ์ป้องกันเรียบร้อยแล้ว กลับเกิดมีไข้รุมๆ และอ่อนเพลียจนรู้ตัวว่าทำงานต่อไปไม่ไหวแน่ๆ
เมื่อไปปรับทุกข์กับหัวหน้าซึ่งเป็นผู้หญิงด้วยกัน ก็ได้รับคำแนะนำว่าให้รีบกินยาแล้วกลับไปพักผ่อนที่บ้าน ถ้าพรุ่งนี้ยังไม่ทุเลาก็หยุดงานไปเลย
เรื่องแบบนี้มีแต่ผู้หญิงด้วยกันเท่านั้นแหละค่ะที่จะเข้าใจและเห็นใจกัน โดยเฉพาะดิฉันมีประวัติทำงานอยู่ในเกณฑ์ดี แทบจะไม่มีวันลาวันหยุดเลยในแต่ละปี ดิฉันยกมือไหว้ขอบคุณหัวหน้า ตัดสินใจว่าขอกลับบ้านละ ส่วนเรื่องกินยาถ้าไม่กินได้จะดีมาก
ถือคติว่า ให้ร่างกายรักษาตัวเองก่อนใช้ยารักษา!
กินอาหารเป็นยา ดีกว่ากินยาเป็นอาหาร!!
ในที่สุดก็ร่ำลาเพื่อนๆ มารอรถเมล์แถวหน้าห้างพันธุ์ทิพย์ ช่วงบ่ายสองโมงกว่าผู้คนยังไม่มากนัก ดิฉันขึ้นรถปอ. ได้ที่นั่งเดี่ยวทางขวามือค่อนไปด้านหลัง ถือว่าโชคดีค่ะที่ไม่ต้องนั่งเบียดกับคนอื่น เดี๋ยวจะเอาเชื้อไข้ไปติดเขาเปล่าๆ โรคหวัด 2009 ยิ่งกลับมาระบาดอยู่ด้วย
ตระเตรียมแบงก์ 20 บาทไว้จ่ายค่ารถ รับเงินทอน 2 บาทมาใส่กระเป๋าถือที่วางอยู่บนตัก นึกภาวนาว่ารถไม่ติดแบบนี้คงจะถึงบ้านเร็วกว่าปกติแน่ๆ
ที่ดิฉันเล่ารายละเอียดให้ฟังเพื่อยืนยันว่ามีอาการไข้อย่างเดียว ไม่ได้งุนงงหรือสับสนขนาดเบลอหรอกค่ะ...จนกระทั่งรถผ่านหน้าเรือนจำ ไม่ช้าก็เลี้ยวขวาไปทางถนนวิภาวดี...รถรายังมีน้อยน่าปลอดโปร่งดีจริงๆ
คิดอยู่ว่า...ถ้าถึงบ้านอาการไข้ยังไม่ลดลงจะกินยาแล้วเข้านอนพักเลย ไม่ช้าคงทุเลาจนอาบน้ำอุ่น ทานอาหารอ่อนๆ แล้วเอนหลังให้ร่างกายพักผ่อนได้อย่างเต็มที่
มีอะไรบางอย่างมากระทบไหล่ดิฉันเบาๆ ตอนแรกนึกวูบไปถึงพวกโรคจิตที่เคยพบบนรถเมล์ แต่เมื่อหันไปมองกลับเป็นนักศึกษาสาว ผิวขาว หน้าตาดี ไว้ผมม้า...เธอนั่งไหล่เบียดไหล่กับดิฉัน และกำลังหันมามองยิ้มๆ น่ารักน่าเอ็นดู ดิฉันก็ยิ้มตอบอย่างจริงใจ โดยมิได้พูดคุยอะไรกัน
และแล้ว ดิฉันก็หันไปมองนอกหน้าต่างด้านขวาตามเดิม ดูตึกรามบ้านช่องที่เห็นอยู่ทุกวันจนรู้ว่าถัดไปจะเป็นอะไร? ใกล้จะถึงไหนแล้ว? อีกไม่เกินห้านาทีก็จะผ่านห้าแยกลาดพร้าว มุ่งหน้าไปดินแดง! และ...
คุณพระช่วย! เหมือนมีฟ้าแลบวูบเข้าสมองจนม่านตาพร่าพรายไปชั่วขณะ!
ดิฉันนั่งเก้าอี้เดี่ยว แล้วนักศึกษาสาวน่ารักผู้นั้นจะมานั่งคู่กับดิฉันได้อย่างไรกัน นอกจากว่าเธอจะ...
หัวใจคล้ายจะหยุดเต้น หนาวสะท้านไปทั้งตัว ขณะที่หันขวับไปมองอีกครั้ง...คุณพระคุณเจ้า! ไม่มีนักศึกษาสาวไว้ผมม้าหน้าตาดีผู้นั้นอีกแล้วค่ะ!
พยายามนึกทบทวนว่าช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่เราหันไปทางขวาน่ะ รถจอดหรือเปล่า? แน่ใจว่าไม่ได้จอดป้ายใดๆ เลย แล้วเธอลุกออกจากรถไปได้ดื้อๆ อย่างไรกัน?
อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับเธอมานั่งปร๋ออยู่เคียงคู่ ไหล่เบียดไหล่กับดิฉันหรอกค่ะ
ถึงจุดหมาย ดิฉันลุกเดินขาสั่นแทบจะลงจากรถไม่ไหว... ผู้คนและรถรามากมายขวักไขว่ไปมา...ดิฉันอาจจะตาฝาด จนเพ้อไปเองเพราะพิษไข้ก็ได้ แต่ในส่วนลึกของหัวใจยังเชื่อมั่นว่าเด็กสาวผู้นั้นคงเป็นภูตวิญญาณ ที่สบโอกาสตอนที่ดิฉันอ่อนแอทั้งร่างกายและจิตใจเท่านั้นเอง!
มองในแง่ดีว่าเธอมาปลอบใจ เพราะรุ่งขึ้นดิฉันก็หายไข้เป็นปกติตามเดิมค่ะ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 20 ตุลาคม 2553
13 พฤศจิกายน 2556
กลับบ้านเรา
"เอกชัย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อเห็นวิญญาณกลับบ้าน
ถ้าเอ่ยถึงเรื่องคนโดนผีหลอก ผมเป็นคนหนึ่งล่ะที่ไม่น้อยหน้าใคร เมื่อ "กิ่ง" สาวสวยที่อยู่บ้านตรงข้ามในซอยสุทธิสาร ดินแดง ได้หายสาบสูญไปหลายปีมาแล้ว... จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่มีใครทราบข่าวคราวของเธอ เลยครับ
เรารู้จักกันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นทั้งคู่ แถมสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ทำท่าว่าจะเป็นคู่รัก แต่ของจริงไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่าความเป็นเพื่อนที่ผมรักมากๆ มีความสุขเมื่อได้พูดคุยกับเธอ อยู่ใกล้ชิดกับเธอ
หรือผมยังไม่กล้าหาญพอที่จะสารภาพความรู้สึกที่แท้จริงให้เธอรับรู้ก็เป็นได้!
เมื่อเราเรียนจบ มีงานทำ ความสัมพันธ์ของเราก็ยังแนบแน่นตามเดิม กิ่งเป็นประชาสัมพันธ์อยู่ที่โรงแรมหรูย่านสุขุมวิท ผมทำงานรัฐวิสาหกิจ ค่อนข้างแตกต่างกันพอดู
ผมไปเช้าเย็นกลับ กิ่งทำงานไม่เป็นเวลา บางทีก็กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ คนเดียว ผมอดเป็นห่วงเธอไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
ซอยบ้านเรากว้างขวางพอที่รถจะเข้าออกได้ก็จริง แต่มีแยกเล็กๆ สำหรับคนเดินเข้าบ้าน...ราว 50 เมตรก็จะถึงบ้านเราที่อยู่เยื้องๆ กันพอดี
บางคืนผมรู้ว่ากิ่งกลับบ้านดึก...รถยนต์จอดหน้าซอย ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังแว่วมา ผมลุกไปมองที่หน้าต่าง เห็นร่างสูงเพรียวของเพื่อนสาวเดินผ่านต้นแสงจันทร์หน้าบ้านลุงสมภพเข้ามา...
จนกระทั่งถึงหน้าบ้านผมเธอจะชะงักนิดหนึ่ง ราวจะรู้ว่ามีผมคอยรอดูอยู่ ใบหน้าขาวผ่องในแสงไฟริมทางเงยขึ้นมอง พร้อมกับส่งยิ้มหวานๆ มาให้ บางคืนก็โบกมือทักทายด้วย
นอกจากรอยยิ้มกับโบกมือแล้ว บางคืนกิ่งยังส่งจูบให้ผมแบบยั่วเย้ากึ่งล้อตามแบบของเพื่อนสนิท ก่อนจะเข้าประตูรั้วที่มีต้นชมพู่แก้มแหม่มดกหนา หายลับเข้าไปในบ้าน ส่วนผมเซซังขึ้นเตียง ยกแขนก่ายหน้าผาก นัยน์ตาลืมโพลงและเลื่อนลอย
จนกระทั่งปลายปี 2547 กิ่งบอกว่าเธอต้องไปทำงานที่โรงแรมต่างสาขาถึงภูเก็ต ถ้าว่างก็เชิญลงไปเที่ยวได้ เธอจะต้อนรับขับสู้เต็มที่
"ถ้าเอกคิดถึงก็โทร.คุยกันมั่งนะ กิ่งเองก็จะโทร.มาหาเอกบ่อยๆ ไม่คิดถึงเพื่อนแล้วจะคิดถึงใคร จริงมั้ย?"
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นการลาจากชั่วชีวิต?
เราคุยกันทางมือถือได้ไม่กี่ครั้ง...มหาภัยสึนามิก็พลันอุบัติจนช็อกกันไปทั้งโลก ชายฝั่งอันดามันที่เคยเป็นสวรรค์ก็กลายเป็นนรกบนดิน ผู้คนทั้งไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องสังเวยชีวิตให้ภัยธรรมชาติสุดโหดคราวนั้นนับพันนับหมื่นคน
ผมได้ข่าวก็ใจหายวูบ รีบโทร.หากิ่ง พร้อมกับภาวนาว่ากิ่งต้องไม่เป็นอะไร ภูเก็ตได้รับผลกระทบน้อยกว่ากระบี่และพังงา...แต่กิ่งไม่เคยรับสายเลย ผมกดหาเป็นสิบๆ ครั้งคล้ายคนบ้า แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ จนสัญญาณหายเงียบไป
ครั้นนึกขึ้นได้ก็โทร.ไปโรงแรมที่เธอทำงาน คำตอบก็คือ...กิ่งไปเที่ยวพังงากับเพื่อนๆ ตั้งแต่เมื่อวาน! คิดว่า...
ความหวังครั้งสุดท้ายคือพ่อแม่ของเธอ...ผมพรวด พราดเข้าไปในบ้าน แต่ก็ต้องยืนจังงังเมื่อเห็นพ่อแม่ของกิ่งกำลังร้องไห้อยู่กับลูกๆ ผมกลั้นใจถามว่าได้ข่าวกิ่งแล้วหรือยัง? คำตอบคือการส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง ก่อนที่น้ำตาจะพร่างพรูลงอาบหน้า
ไม่มีข่าวตาย แต่ก็ไม่มีข่าวว่าพบศพ!
เพื่อนรักผมกลายเป็นบุคคลผู้สาบสูญ พ่อแม่และญาติๆ ของเธอรีบบึ่งลงใต้ปะปนกับคนหัวอกเดียวกันอีกนับไม่ถ้วน ผมแทบจะกลั้นใจรอ ความหวังที่เหลืออยู่ริบหรี่พลับดับวูบเมื่อไม่มีใครพบกิ่ง ไม่มีใครพบเพื่อนๆ ที่เธอไปพังงาด้วย...ไม่ว่าเป็นหรือตาย
ความทุกข์ทรมานของพ่อแม่เธอนั้นแสนสาหัส มีญาติแนะนำให้บำเพ็ญกุศลให้วิญญาณกิ่ง แต่พ่อแม่เธอทำใจไม่ได้ ยืนยันว่า...ตราบใดที่ยังไม่พบศพก็จะไม่มีวันเชื่อว่าลูกสาวตายไปแล้ว
หลังจากเกิดเหตุร้ายได้ 7 วัน กิ่งก็กลับมา
คืนนั้นผมไม่ได้ยินเสียงแท็กซี่จอดหน้าซอย แต่เสียงที่ดังแว่วเข้าหูทำให้ฉุกใจวูบ...เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นช่างคุ้นหูเสียจริง...แต่อาจจะเป็นใครในซอยกลับบ้านก็ได้
เพื่อให้แน่ใจ ผมลุกไปที่หน้าต่าง หันมองทางบ้านลุงสมภพ แทบแขม่วท้องกลั้นลมหายใจ จนกระทั่งร่างนั้นโผล่พ้นจากต้นแสงจันทร์เข้ามา
คุณพระช่วย! ร่างสูงเพรียวในชุดสีเข้ม ใบหน้าขาวๆ ที่เงยขึ้นกระทบแสงไฟนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกิ่ง! เธอยิ้มเศร้าๆ ส่งจูบให้ผมก่อนจะผลักประตูรั้วสู่เงาร่มครึ้มของชมพู่...หันมองอีกครั้งก่อนจะละลายหายไปจากม่านตาพร่าพรายของผมในบัดดล
ผมไม่เคยลืมเลือนภาพน่าขนหัวลุกและสะเทือนใจในคืนนั้นจนทุกวันนี้เลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 23 ธันวาคม 2554
ถ้าเอ่ยถึงเรื่องคนโดนผีหลอก ผมเป็นคนหนึ่งล่ะที่ไม่น้อยหน้าใคร เมื่อ "กิ่ง" สาวสวยที่อยู่บ้านตรงข้ามในซอยสุทธิสาร ดินแดง ได้หายสาบสูญไปหลายปีมาแล้ว... จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่มีใครทราบข่าวคราวของเธอ เลยครับ
เรารู้จักกันตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นทั้งคู่ แถมสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ทำท่าว่าจะเป็นคู่รัก แต่ของจริงไม่มีอะไรนอกเหนือไปกว่าความเป็นเพื่อนที่ผมรักมากๆ มีความสุขเมื่อได้พูดคุยกับเธอ อยู่ใกล้ชิดกับเธอ
หรือผมยังไม่กล้าหาญพอที่จะสารภาพความรู้สึกที่แท้จริงให้เธอรับรู้ก็เป็นได้!
เมื่อเราเรียนจบ มีงานทำ ความสัมพันธ์ของเราก็ยังแนบแน่นตามเดิม กิ่งเป็นประชาสัมพันธ์อยู่ที่โรงแรมหรูย่านสุขุมวิท ผมทำงานรัฐวิสาหกิจ ค่อนข้างแตกต่างกันพอดู
ผมไปเช้าเย็นกลับ กิ่งทำงานไม่เป็นเวลา บางทีก็กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ คนเดียว ผมอดเป็นห่วงเธอไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง
ซอยบ้านเรากว้างขวางพอที่รถจะเข้าออกได้ก็จริง แต่มีแยกเล็กๆ สำหรับคนเดินเข้าบ้าน...ราว 50 เมตรก็จะถึงบ้านเราที่อยู่เยื้องๆ กันพอดี
บางคืนผมรู้ว่ากิ่งกลับบ้านดึก...รถยนต์จอดหน้าซอย ไม่ช้าก็ได้ยินเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นดังแว่วมา ผมลุกไปมองที่หน้าต่าง เห็นร่างสูงเพรียวของเพื่อนสาวเดินผ่านต้นแสงจันทร์หน้าบ้านลุงสมภพเข้ามา...
จนกระทั่งถึงหน้าบ้านผมเธอจะชะงักนิดหนึ่ง ราวจะรู้ว่ามีผมคอยรอดูอยู่ ใบหน้าขาวผ่องในแสงไฟริมทางเงยขึ้นมอง พร้อมกับส่งยิ้มหวานๆ มาให้ บางคืนก็โบกมือทักทายด้วย
นอกจากรอยยิ้มกับโบกมือแล้ว บางคืนกิ่งยังส่งจูบให้ผมแบบยั่วเย้ากึ่งล้อตามแบบของเพื่อนสนิท ก่อนจะเข้าประตูรั้วที่มีต้นชมพู่แก้มแหม่มดกหนา หายลับเข้าไปในบ้าน ส่วนผมเซซังขึ้นเตียง ยกแขนก่ายหน้าผาก นัยน์ตาลืมโพลงและเลื่อนลอย
จนกระทั่งปลายปี 2547 กิ่งบอกว่าเธอต้องไปทำงานที่โรงแรมต่างสาขาถึงภูเก็ต ถ้าว่างก็เชิญลงไปเที่ยวได้ เธอจะต้อนรับขับสู้เต็มที่
"ถ้าเอกคิดถึงก็โทร.คุยกันมั่งนะ กิ่งเองก็จะโทร.มาหาเอกบ่อยๆ ไม่คิดถึงเพื่อนแล้วจะคิดถึงใคร จริงมั้ย?"
ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็นการลาจากชั่วชีวิต?
เราคุยกันทางมือถือได้ไม่กี่ครั้ง...มหาภัยสึนามิก็พลันอุบัติจนช็อกกันไปทั้งโลก ชายฝั่งอันดามันที่เคยเป็นสวรรค์ก็กลายเป็นนรกบนดิน ผู้คนทั้งไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติต้องสังเวยชีวิตให้ภัยธรรมชาติสุดโหดคราวนั้นนับพันนับหมื่นคน
ผมได้ข่าวก็ใจหายวูบ รีบโทร.หากิ่ง พร้อมกับภาวนาว่ากิ่งต้องไม่เป็นอะไร ภูเก็ตได้รับผลกระทบน้อยกว่ากระบี่และพังงา...แต่กิ่งไม่เคยรับสายเลย ผมกดหาเป็นสิบๆ ครั้งคล้ายคนบ้า แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ จนสัญญาณหายเงียบไป
ครั้นนึกขึ้นได้ก็โทร.ไปโรงแรมที่เธอทำงาน คำตอบก็คือ...กิ่งไปเที่ยวพังงากับเพื่อนๆ ตั้งแต่เมื่อวาน! คิดว่า...
ความหวังครั้งสุดท้ายคือพ่อแม่ของเธอ...ผมพรวด พราดเข้าไปในบ้าน แต่ก็ต้องยืนจังงังเมื่อเห็นพ่อแม่ของกิ่งกำลังร้องไห้อยู่กับลูกๆ ผมกลั้นใจถามว่าได้ข่าวกิ่งแล้วหรือยัง? คำตอบคือการส่ายหน้าอย่างสิ้นหวัง ก่อนที่น้ำตาจะพร่างพรูลงอาบหน้า
ไม่มีข่าวตาย แต่ก็ไม่มีข่าวว่าพบศพ!
เพื่อนรักผมกลายเป็นบุคคลผู้สาบสูญ พ่อแม่และญาติๆ ของเธอรีบบึ่งลงใต้ปะปนกับคนหัวอกเดียวกันอีกนับไม่ถ้วน ผมแทบจะกลั้นใจรอ ความหวังที่เหลืออยู่ริบหรี่พลับดับวูบเมื่อไม่มีใครพบกิ่ง ไม่มีใครพบเพื่อนๆ ที่เธอไปพังงาด้วย...ไม่ว่าเป็นหรือตาย
ความทุกข์ทรมานของพ่อแม่เธอนั้นแสนสาหัส มีญาติแนะนำให้บำเพ็ญกุศลให้วิญญาณกิ่ง แต่พ่อแม่เธอทำใจไม่ได้ ยืนยันว่า...ตราบใดที่ยังไม่พบศพก็จะไม่มีวันเชื่อว่าลูกสาวตายไปแล้ว
หลังจากเกิดเหตุร้ายได้ 7 วัน กิ่งก็กลับมา
คืนนั้นผมไม่ได้ยินเสียงแท็กซี่จอดหน้าซอย แต่เสียงที่ดังแว่วเข้าหูทำให้ฉุกใจวูบ...เสียงรองเท้าส้นสูงดังกระทบพื้นช่างคุ้นหูเสียจริง...แต่อาจจะเป็นใครในซอยกลับบ้านก็ได้
เพื่อให้แน่ใจ ผมลุกไปที่หน้าต่าง หันมองทางบ้านลุงสมภพ แทบแขม่วท้องกลั้นลมหายใจ จนกระทั่งร่างนั้นโผล่พ้นจากต้นแสงจันทร์เข้ามา
คุณพระช่วย! ร่างสูงเพรียวในชุดสีเข้ม ใบหน้าขาวๆ ที่เงยขึ้นกระทบแสงไฟนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากกิ่ง! เธอยิ้มเศร้าๆ ส่งจูบให้ผมก่อนจะผลักประตูรั้วสู่เงาร่มครึ้มของชมพู่...หันมองอีกครั้งก่อนจะละลายหายไปจากม่านตาพร่าพรายของผมในบัดดล
ผมไม่เคยลืมเลือนภาพน่าขนหัวลุกและสะเทือนใจในคืนนั้นจนทุกวันนี้เลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 23 ธันวาคม 2554
11 พฤศจิกายน 2556
วิญญาณยังอยู่
"คนนอกวัด" เล่าเรื่องขนหัวลุกเมื่อประสบกับวิญญาณกลางวันแสกๆ
"แสกอีสานส่องแสงทุกแห่งหน
แสงธรรมดลคนดีทั้งอีสาน
อีสานสืบวัฒนธรรมสืบตำนาน
สืบสายธารแห่งศักดิ์ศรีอีสานไทย"
บทกวีจากนิตยสาร "แสงอีสาน" ของมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ขอนแก่น ฉบับประจำเดือนธันวาคม 2546-กุมภาพันธ์ 2547
จากนิตยสารเล่มเดียวกันนี้ มีพระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณ พระเทพวรคุณแห่งวัดป่าแสงอรุณ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 9 (ธรรมยุต) ว่าด้วยเรื่อง "อบรมจิตใจให้ดี มีสุขทุกที่"
ที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือการเล่าเรื่องเกี่ยวกับกายและจิต ผีมีจริงหรือไม่? ตายแล้วไปไหน?
ท่านเจ้าคุณเทศนาในตอนหนึ่งว่า
"...สิ่งที่เห็นอยู่เมื่อคนเราตายไปแล้วไม่ใช่หยุด ไม่ใช่หยุดอยู่แค่ว่าตายแล้วจะพ้นทุกข์ หากคนคนนั้นยังมีกิเลสตัณหา ยังมีกรรมดีกรรมชั่วอยู่ ก็ต้องเป็นไปตามกรรมของแต่ละคน ไม่ใช่ตายแล้วก็ตายไป
"คนที่ฆ่าตัวตาย คนที่ทำอะไรสารพัด คิดว่าการตายเป็นการสิ้นสุดแห่งการรับกรรมดีกรรมชั่วในชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ชาติหน้าไม่มี จึงทำอะไรผิดๆ ตามที่เราเห็นกัน เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง"
ท่านเจ้าคุณเทพวรคุณได้ยกตัวอย่างให้อุบาสกอุบาสิกา สดับตรับฟังถึงสองเรื่องด้วยกัน ดังนี้
ที่บ้านหนองโก บ้านตะเกียง พ่อสุนทรเล่าให้ฟังว่า คนไปขายเสื่อขายสาด เกิดเคราะห์หามยามร้ายรถไปคว่ำที่โคราชตอนเที่ยง คือลูกเขยพาแม่ยายไปขายเสื่อกับหมู่คณะราว 6-7 คน เมื่อพ่อสุนทรกลับจากนามากินข้าวเที่ยงที่บ้าน เห็นคนตายคือยายข้างบ้านกันเดินขึ้นไปบนบ้าน จึงถามเมียว่า เอ๊ะ! เห็นยายไปขายเสื่อขึ้นไปบนบ้าน ทำไมกลับมาเร็วนักเล่า?
แต่เมียยอกว่า ไม่ใช่ เขายังไม่กลับมากันเลย จะเห็นกันได้ยังไง?
ส่วนพ่อสุนทรก็ยืนยันว่าตนไม่ได้ตาฝาด เพราะเพิ่งเห็นยายแกเดินขึ้นบ้านไปเมื่อตะกี้นี้เอง!
ฝ่ายเมียกลับยืนยันว่าผัวตาฝาดไปเอง ด้วยความไม่แน่ใจทั้งคู่จึงชวนกันวิ่งขึ้นไปบนบ้าน เปิดหน้าต่างออกมองหาแต่ไม่เจอะเจอใครเลย เกิดสังหรณ์ใจว่าคงจะมีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ครั้นถึงเวลา 5 โมงเย็น ลูกเขยเขากลับมา บอกว่าแม่ยายตายตั้งแต่ตอนเที่ยงวันนี้แล้ว รถคว่ำตายคนเดียว!
สองผัวเมียรู้ข่าวแน่ชัดก็ตกตะลึงตัวชา ได้แต่หันมองสบตา ไม่เข้าใจว่ากลางวันแสกๆ เหตุใดผู้ตายจึงปรากฏกายกลับมาบ้านได้ในเวลานั้น เห็นเป็นรูปร่างปกติเดินขึ้นไปบนบ้านได้เล่าหนอ?
อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นที่บ้านหัวนาคำ
พ่อใหญ่พันธ์เล่าว่า ญาติป่วยหนักอยู่ที่อำเภอโกสุมพิสัย ขณะนั้นพ่อใหญ่พันธ์ขับรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปในบ้าน ได้พบกับญาติที่ป่วยอยู่นั้น...รายนี้ไม่ธรรมดา เนื่องจากได้พูดคุยทักทายกันด้วย ญาติผู้นั้นบอกว่ามีธุระจะไปที่อื่น ขอฝากลูกหลานให้ช่วยดูแลด้วย เขาจะไปในวันที่ 15-16 นี้เอง
พูดคุยกันแล้วก็เดินเข้าบ้านหายลับไป
พ่อใหญ่พันธ์เอารถไปจอดไว้แล้วจึงคุยกับเมียว่า พี่น้องเรามาจากโกสุมฯ เขามาทำไม เมียบอกว่าไม่มีใครมา พ่อใหญ่พันธ์ร้องว่า ไม่มีได้ยังไง เมื่อสักครู่ได้คุยกันก่อนเข้ามาในบ้าน...ว่าแล้วจึงวิ่งตามเข้าไปดูในบ้าน แต่ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว
พ่อใหญ่พันธ์จึงบอกว่าผิดปกติเสียแล้ว จะต้องเดินทางไปโกสุมฯ แล้วจัดเตรียมข้าวของเพื่อเดินทางวันรุ่งขึ้น เพราะคิดว่าคงเกิดเหตุร้ายแน่นอน
ครั้นรุ่งเช้านำกระเป๋าขึ้นรถ ได้แวะซื้ออาหารที่อำเภอเชียงยืน มีคนรู้จักเล่าให้ฟังว่า ญาติที่บ้านหัวนาคำเมื่อคืนนี้ตายแล้ว พ่อใหญ่พันธ์รีบขับรถมอเตอร์ไซค์ไปจนถึงอำเภอโกสุมฯ ถึงบ้านญาติเห็นเขาจัดตั้งศพกำลังประดับประดาอยู่
เป็นไปได้ยังไง คนตายแล้วยังพูดได้ ไม่ใช่เห็นแต่รูปร่างเท่านั้น...ขนลุกหัวครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 19 มกราคม 2553
"แสกอีสานส่องแสงทุกแห่งหน
แสงธรรมดลคนดีทั้งอีสาน
อีสานสืบวัฒนธรรมสืบตำนาน
สืบสายธารแห่งศักดิ์ศรีอีสานไทย"
บทกวีจากนิตยสาร "แสงอีสาน" ของมหามกุฏราชวิทยาลัย วิทยาเขตอีสาน ขอนแก่น ฉบับประจำเดือนธันวาคม 2546-กุมภาพันธ์ 2547
จากนิตยสารเล่มเดียวกันนี้ มีพระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณ พระเทพวรคุณแห่งวัดป่าแสงอรุณ อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเจ้าคณะภาค 9 (ธรรมยุต) ว่าด้วยเรื่อง "อบรมจิตใจให้ดี มีสุขทุกที่"
ที่น่าสนใจเป็นพิเศษก็คือการเล่าเรื่องเกี่ยวกับกายและจิต ผีมีจริงหรือไม่? ตายแล้วไปไหน?
ท่านเจ้าคุณเทศนาในตอนหนึ่งว่า
"...สิ่งที่เห็นอยู่เมื่อคนเราตายไปแล้วไม่ใช่หยุด ไม่ใช่หยุดอยู่แค่ว่าตายแล้วจะพ้นทุกข์ หากคนคนนั้นยังมีกิเลสตัณหา ยังมีกรรมดีกรรมชั่วอยู่ ก็ต้องเป็นไปตามกรรมของแต่ละคน ไม่ใช่ตายแล้วก็ตายไป
"คนที่ฆ่าตัวตาย คนที่ทำอะไรสารพัด คิดว่าการตายเป็นการสิ้นสุดแห่งการรับกรรมดีกรรมชั่วในชาตินี้ชาติเดียวเท่านั้น ชาติหน้าไม่มี จึงทำอะไรผิดๆ ตามที่เราเห็นกัน เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง"
ท่านเจ้าคุณเทพวรคุณได้ยกตัวอย่างให้อุบาสกอุบาสิกา สดับตรับฟังถึงสองเรื่องด้วยกัน ดังนี้
ที่บ้านหนองโก บ้านตะเกียง พ่อสุนทรเล่าให้ฟังว่า คนไปขายเสื่อขายสาด เกิดเคราะห์หามยามร้ายรถไปคว่ำที่โคราชตอนเที่ยง คือลูกเขยพาแม่ยายไปขายเสื่อกับหมู่คณะราว 6-7 คน เมื่อพ่อสุนทรกลับจากนามากินข้าวเที่ยงที่บ้าน เห็นคนตายคือยายข้างบ้านกันเดินขึ้นไปบนบ้าน จึงถามเมียว่า เอ๊ะ! เห็นยายไปขายเสื่อขึ้นไปบนบ้าน ทำไมกลับมาเร็วนักเล่า?
แต่เมียยอกว่า ไม่ใช่ เขายังไม่กลับมากันเลย จะเห็นกันได้ยังไง?
ส่วนพ่อสุนทรก็ยืนยันว่าตนไม่ได้ตาฝาด เพราะเพิ่งเห็นยายแกเดินขึ้นบ้านไปเมื่อตะกี้นี้เอง!
ฝ่ายเมียกลับยืนยันว่าผัวตาฝาดไปเอง ด้วยความไม่แน่ใจทั้งคู่จึงชวนกันวิ่งขึ้นไปบนบ้าน เปิดหน้าต่างออกมองหาแต่ไม่เจอะเจอใครเลย เกิดสังหรณ์ใจว่าคงจะมีอะไรร้ายๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ครั้นถึงเวลา 5 โมงเย็น ลูกเขยเขากลับมา บอกว่าแม่ยายตายตั้งแต่ตอนเที่ยงวันนี้แล้ว รถคว่ำตายคนเดียว!
สองผัวเมียรู้ข่าวแน่ชัดก็ตกตะลึงตัวชา ได้แต่หันมองสบตา ไม่เข้าใจว่ากลางวันแสกๆ เหตุใดผู้ตายจึงปรากฏกายกลับมาบ้านได้ในเวลานั้น เห็นเป็นรูปร่างปกติเดินขึ้นไปบนบ้านได้เล่าหนอ?
อีกเรื่องหนึ่งเกิดขึ้นที่บ้านหัวนาคำ
พ่อใหญ่พันธ์เล่าว่า ญาติป่วยหนักอยู่ที่อำเภอโกสุมพิสัย ขณะนั้นพ่อใหญ่พันธ์ขับรถมอเตอร์ไซค์เข้าไปในบ้าน ได้พบกับญาติที่ป่วยอยู่นั้น...รายนี้ไม่ธรรมดา เนื่องจากได้พูดคุยทักทายกันด้วย ญาติผู้นั้นบอกว่ามีธุระจะไปที่อื่น ขอฝากลูกหลานให้ช่วยดูแลด้วย เขาจะไปในวันที่ 15-16 นี้เอง
พูดคุยกันแล้วก็เดินเข้าบ้านหายลับไป
พ่อใหญ่พันธ์เอารถไปจอดไว้แล้วจึงคุยกับเมียว่า พี่น้องเรามาจากโกสุมฯ เขามาทำไม เมียบอกว่าไม่มีใครมา พ่อใหญ่พันธ์ร้องว่า ไม่มีได้ยังไง เมื่อสักครู่ได้คุยกันก่อนเข้ามาในบ้าน...ว่าแล้วจึงวิ่งตามเข้าไปดูในบ้าน แต่ไม่มีใครเลยแม้แต่คนเดียว
พ่อใหญ่พันธ์จึงบอกว่าผิดปกติเสียแล้ว จะต้องเดินทางไปโกสุมฯ แล้วจัดเตรียมข้าวของเพื่อเดินทางวันรุ่งขึ้น เพราะคิดว่าคงเกิดเหตุร้ายแน่นอน
ครั้นรุ่งเช้านำกระเป๋าขึ้นรถ ได้แวะซื้ออาหารที่อำเภอเชียงยืน มีคนรู้จักเล่าให้ฟังว่า ญาติที่บ้านหัวนาคำเมื่อคืนนี้ตายแล้ว พ่อใหญ่พันธ์รีบขับรถมอเตอร์ไซค์ไปจนถึงอำเภอโกสุมฯ ถึงบ้านญาติเห็นเขาจัดตั้งศพกำลังประดับประดาอยู่
เป็นไปได้ยังไง คนตายแล้วยังพูดได้ ไม่ใช่เห็นแต่รูปร่างเท่านั้น...ขนลุกหัวครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 19 มกราคม 2553
08 พฤศจิกายน 2556
สระผีสิง
"เคน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหัวหิน
ผมชื่อเคนครับ กำลังเรียนอยู่ม.4 เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ตรง คือผมเจอมากับตัวเองเลยครับ
เดือนตุลาคมครอบครัวเราไปเที่ยวหัวหินกัน 5 วันแน่ะ เรามีอยู่ด้วยกัน 4 คนคือตัวผม พ่อกับแม่และน้องสาวชื่อเคลียอายุ 12 มีเค้าว่าโตขึ้นจะโตเป็นสาวสวยเหมือนผมซึ่งคงต้องหล่อแน่ๆ
ที่พักของเราคือรีสอร์ตเล็กๆ แห่งหนึ่งริมชายหาดไม่ไกลจากเขาตะเกียบนัก
บรรยากาศดีมากๆ เลย ด้านที่ติดทะเลนั้นสวยจริงๆ มองเห็นหาดทรายขาวกว้างยาวสุดสายตา ลมพัดโชยไม่ขาดสาย เหมาะสำหรับตั้งร้านอาหารของรีสอร์ต และมีสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นักให้เราเล่นน้ำไป-ดูทะเลไปพลาง
โห...ชีวิตช่างมีความสุขซะเหลือเกิน!
ราวบ่ายสามโมง พวกเราไปอยู่ริมหาดที่ร่มรื่นกัน
พ่อกับแม่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้กึ่งนั่งกึ่งนอนริมสระ ส่วนผมกับเคลียลงเล่นน้ำอย่างสนุก น้ำในสระใสแจ๋วและไม่ลึกมากหรอกครับ แค่อกผมเองแหละ ผมชอบนอนหงายลอยตัวดูท้องฟ้า ส่วนเคลียชอบ ดำน้ำเล่นเป็นนางเงือกอยู่คนเดียว
กำลังเล่นอยู่ดีๆ เคลียก็มาสะกิดผม
"พี่เคน เคลียเห็นเด็กนั่งยองๆ ที่ก้นสระมองดูเราอยู่ด้วยละ...เค้านั่งอยู่น้านนาน แหม! ดำน้ำอึดจัง!"
ผมตกใจหน่อยๆ รีบมุดลงไปดูบ้างแล้วก็เห็นอย่างที่น้องเห็น...คือมีเด็กคนหนึ่งตัวนิดเดียว น่าจะไม่เกิน 4 ขวบ นั่งยองๆ มองตาแป๋วแถมยังยิ้มขำๆ อีกด้วย!
"เฮ้ย! เดี๋ยวก็ตายหรอก" ผมเอ็ดตะโรอยู่ในใจ แล้วพุ่งตัวไปหาเด็กน้อยดำน้ำอึดคนนั้น
คุณพระคุณเจ้าช่วย! พอผมไปถึงเด็กนั่นก็หายตัวแวบเหมือนน้ำตาลละลายไปกับน้ำ...ชนิดต่อหน้าต่อตาเลยละครับ
ผมทะลึ่งพรวด แล้วรีบฉุดมือน้องสาวทันที
"เราขึ้นกันเถอะ ในสระนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล แล้วสิ แถมน่ากลัวอีกต่างหาก"
ผมรีบจูงมือน้องเดินหน้าตื่นเข้าไปหาพ่อกับแม่ ขาสั่นนิดๆ กับเกิดความหวาดระแวงอย่างบอกไม่ถูก หัวใจเต้นแรง ปากคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายติดๆ กัน
ตอนนั้นมีเด็กเสิร์ฟผู้หญิงกำลังวางแก้วน้ำผลไม้ให้แม่พอดี
เราไม่สนใจเธอเลย ขณะที่บอกกับพ่อเสียงดังว่าเราเห็นเด็กนั่งยองๆ อยู่ก้นสระว่ายน้ำ
"ว้าย! ตายแล้ว" เด็กเสิร์ฟสาวหวีดร้อง หันซ้ายหันขวาทำท่าขนลุกขนชัน...นั่นแปลว่าต้องมีอะไรแน่แล้วจริงๆ ด้วย
ผมตรงเข้าไปประชิดตัวเธอแล้วถามเสียงแข็งว่า...เล่ามานะ ว่ามีอะไรขึ้นที่นี่? เธอทำหน้าตาเหยเก กลืนน้ำลายยากเย็นก่อนจะกระซิบกระซาบว่า...รู้แล้วอย่าเอะอะไปนะ! ผมพยักหน้าให้สัญญา เธอจึงเล่าเรื่องน่าสยองให้ฟัง
เมื่อสองเดือนก่อนมีเด็กมาจมน้ำตายในสระนี้ เป็นเด็กท้องถิ่นที่แม่ของแกพามาเดินเล่น แล้วพ่อกับแม่ก็นั่งบนหาดทรายคุยกันเพลิน ส่วนเด็กน้อยเดินขึ้นบันไดอิฐของรีสอร์ต ตรงมาที่สระน้ำสีฟ้าอมเขียวแล้วกระโดดต๋อมลงไปเลย!
ตอนนั้นไม่มีใครรู้เห็น หรือแม้แต่สนใจสักคนเดียว...
จนกระทั่งเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นแขกของรีสอร์ต ได้บอกกับแม่ผู้เป็นนางพยาบาลว่า
"แม่คะ น้องคนนั้นเก่งจัง...เค้าอยู่ใต้น้ำได้ตั้งนานแน่ะค่ะ!"
ผู้เป็นแม่หันไปเห็นภาพน่ากลัวถึงกับร้องลั่น รีบดำน้ำไปแล้วฉุดดึงเอาร่างน้อยๆ ที่อ่อนปวกเปียกขึ้นมาปฐมพยาบาลอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางคนอื่นๆ ที่เข้ามามุงดูพลางวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตื่นเต้นตกใจไปตามๆ กัน
ทุกสิ่งสายเกินไปเสียแล้ว...เด็กน้อยจมน้ำตาย แกตายอยู่ในท่านั่งยองๆ ที่ก้นสระ!
พ่อแม่ของเด็กไม่เอาเรื่อง เพราะเป็นความสะเพร่าของพวกเขาเอง ที่ไม่ได้เอาใจใส่และดูแลลูกให้ดี
เด็กสาวพนักงานเสิร์ฟเล่าว่าทางรีสอร์ตทำบุญแล้ว และอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณของเด็กน้อยเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังมีแขกที่เข้าพักต่อๆ มาได้เห็นเด็กคนนี้อยู่เสมอ บางทีก็ดำผุดดำว่ายปะปนกับแขกอื่นๆ เล่นเอาพนักงานรีสอร์ตที่จำได้ถึงกับเขาอ่อนไป 2-3 คนแล้ว
บางคืนยามดึกสงัดเด็กน้อยก็มากระโดดน้ำตูมๆ จนได้ยินกันทุกคน
นี่ละครับเรื่องที่ผมเจอมา มันน่ากลัวมากและทำให้ผมเชื่อแล้วว่าผีมีจริง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 19 พฤศจิกายน 2555
ผมชื่อเคนครับ กำลังเรียนอยู่ม.4 เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ตรง คือผมเจอมากับตัวเองเลยครับ
เดือนตุลาคมครอบครัวเราไปเที่ยวหัวหินกัน 5 วันแน่ะ เรามีอยู่ด้วยกัน 4 คนคือตัวผม พ่อกับแม่และน้องสาวชื่อเคลียอายุ 12 มีเค้าว่าโตขึ้นจะโตเป็นสาวสวยเหมือนผมซึ่งคงต้องหล่อแน่ๆ
ที่พักของเราคือรีสอร์ตเล็กๆ แห่งหนึ่งริมชายหาดไม่ไกลจากเขาตะเกียบนัก
บรรยากาศดีมากๆ เลย ด้านที่ติดทะเลนั้นสวยจริงๆ มองเห็นหาดทรายขาวกว้างยาวสุดสายตา ลมพัดโชยไม่ขาดสาย เหมาะสำหรับตั้งร้านอาหารของรีสอร์ต และมีสระน้ำขนาดไม่ใหญ่นักให้เราเล่นน้ำไป-ดูทะเลไปพลาง
โห...ชีวิตช่างมีความสุขซะเหลือเกิน!
ราวบ่ายสามโมง พวกเราไปอยู่ริมหาดที่ร่มรื่นกัน
พ่อกับแม่นั่งอ่านหนังสืออยู่บนเก้าอี้กึ่งนั่งกึ่งนอนริมสระ ส่วนผมกับเคลียลงเล่นน้ำอย่างสนุก น้ำในสระใสแจ๋วและไม่ลึกมากหรอกครับ แค่อกผมเองแหละ ผมชอบนอนหงายลอยตัวดูท้องฟ้า ส่วนเคลียชอบ ดำน้ำเล่นเป็นนางเงือกอยู่คนเดียว
กำลังเล่นอยู่ดีๆ เคลียก็มาสะกิดผม
"พี่เคน เคลียเห็นเด็กนั่งยองๆ ที่ก้นสระมองดูเราอยู่ด้วยละ...เค้านั่งอยู่น้านนาน แหม! ดำน้ำอึดจัง!"
ผมตกใจหน่อยๆ รีบมุดลงไปดูบ้างแล้วก็เห็นอย่างที่น้องเห็น...คือมีเด็กคนหนึ่งตัวนิดเดียว น่าจะไม่เกิน 4 ขวบ นั่งยองๆ มองตาแป๋วแถมยังยิ้มขำๆ อีกด้วย!
"เฮ้ย! เดี๋ยวก็ตายหรอก" ผมเอ็ดตะโรอยู่ในใจ แล้วพุ่งตัวไปหาเด็กน้อยดำน้ำอึดคนนั้น
คุณพระคุณเจ้าช่วย! พอผมไปถึงเด็กนั่นก็หายตัวแวบเหมือนน้ำตาลละลายไปกับน้ำ...ชนิดต่อหน้าต่อตาเลยละครับ
ผมทะลึ่งพรวด แล้วรีบฉุดมือน้องสาวทันที
"เราขึ้นกันเถอะ ในสระนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล แล้วสิ แถมน่ากลัวอีกต่างหาก"
ผมรีบจูงมือน้องเดินหน้าตื่นเข้าไปหาพ่อกับแม่ ขาสั่นนิดๆ กับเกิดความหวาดระแวงอย่างบอกไม่ถูก หัวใจเต้นแรง ปากคอแห้งผากจนต้องกลืนน้ำลายติดๆ กัน
ตอนนั้นมีเด็กเสิร์ฟผู้หญิงกำลังวางแก้วน้ำผลไม้ให้แม่พอดี
เราไม่สนใจเธอเลย ขณะที่บอกกับพ่อเสียงดังว่าเราเห็นเด็กนั่งยองๆ อยู่ก้นสระว่ายน้ำ
"ว้าย! ตายแล้ว" เด็กเสิร์ฟสาวหวีดร้อง หันซ้ายหันขวาทำท่าขนลุกขนชัน...นั่นแปลว่าต้องมีอะไรแน่แล้วจริงๆ ด้วย
ผมตรงเข้าไปประชิดตัวเธอแล้วถามเสียงแข็งว่า...เล่ามานะ ว่ามีอะไรขึ้นที่นี่? เธอทำหน้าตาเหยเก กลืนน้ำลายยากเย็นก่อนจะกระซิบกระซาบว่า...รู้แล้วอย่าเอะอะไปนะ! ผมพยักหน้าให้สัญญา เธอจึงเล่าเรื่องน่าสยองให้ฟัง
เมื่อสองเดือนก่อนมีเด็กมาจมน้ำตายในสระนี้ เป็นเด็กท้องถิ่นที่แม่ของแกพามาเดินเล่น แล้วพ่อกับแม่ก็นั่งบนหาดทรายคุยกันเพลิน ส่วนเด็กน้อยเดินขึ้นบันไดอิฐของรีสอร์ต ตรงมาที่สระน้ำสีฟ้าอมเขียวแล้วกระโดดต๋อมลงไปเลย!
ตอนนั้นไม่มีใครรู้เห็น หรือแม้แต่สนใจสักคนเดียว...
จนกระทั่งเด็กผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นแขกของรีสอร์ต ได้บอกกับแม่ผู้เป็นนางพยาบาลว่า
"แม่คะ น้องคนนั้นเก่งจัง...เค้าอยู่ใต้น้ำได้ตั้งนานแน่ะค่ะ!"
ผู้เป็นแม่หันไปเห็นภาพน่ากลัวถึงกับร้องลั่น รีบดำน้ำไปแล้วฉุดดึงเอาร่างน้อยๆ ที่อ่อนปวกเปียกขึ้นมาปฐมพยาบาลอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางคนอื่นๆ ที่เข้ามามุงดูพลางวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตื่นเต้นตกใจไปตามๆ กัน
ทุกสิ่งสายเกินไปเสียแล้ว...เด็กน้อยจมน้ำตาย แกตายอยู่ในท่านั่งยองๆ ที่ก้นสระ!
พ่อแม่ของเด็กไม่เอาเรื่อง เพราะเป็นความสะเพร่าของพวกเขาเอง ที่ไม่ได้เอาใจใส่และดูแลลูกให้ดี
เด็กสาวพนักงานเสิร์ฟเล่าว่าทางรีสอร์ตทำบุญแล้ว และอุทิศส่วนกุศลให้วิญญาณของเด็กน้อยเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังมีแขกที่เข้าพักต่อๆ มาได้เห็นเด็กคนนี้อยู่เสมอ บางทีก็ดำผุดดำว่ายปะปนกับแขกอื่นๆ เล่นเอาพนักงานรีสอร์ตที่จำได้ถึงกับเขาอ่อนไป 2-3 คนแล้ว
บางคืนยามดึกสงัดเด็กน้อยก็มากระโดดน้ำตูมๆ จนได้ยินกันทุกคน
นี่ละครับเรื่องที่ผมเจอมา มันน่ากลัวมากและทำให้ผมเชื่อแล้วว่าผีมีจริง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 19 พฤศจิกายน 2555
07 พฤศจิกายน 2556
ห้องน้ำนรก
"นก" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องน้ำผีสิง
นกเพิ่งจะเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำอำเภอได้ไม่กี่วัน เนื่องจากย้ายโรงเรียนตามพ่อเหมือนลูกข้าราชการส่วนหนึ่ง ที่ต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นที่นี่ บางคนก็มีเพื่อนเก่ามากมายเพราะต้องย้ายบ่อยครั้ง
โรงเรียนนี้เป็นตึกสองชั้น ค่อนข้างเก่าแก่เกือบจะทรุดโทรม สนามกีฬาก็มีแต่หญ้าแห้งเป็นกระจุก พอๆ กับเสาธงที่ตั้งแทบจะไม่ตรง ก่ออิฐล้อมรอบ ส่วนธงชาติก็สีซีดจางเต็มที ด้านหลังเป็นห้องน้ำ สีน้ำตาลที่สีลอกเป็นแผ่นๆ ถัดออกไปมีแต่ทิวไม้หนาครึ้มแทบจะล้อมรอบทั้งหมด
เด็กนักเรียนที่บ้านอยู่ไกล ต้องขึ้นรถสองแถวมาบ้าง ถีบจักรยานมาบ้าง สองข้างทางมีบ้านช่องอยู่ห่างๆ กัน บรรยากาศค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว ชวนให้วังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก
เย็นวันหนึ่งก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้น!
วันนั้นโรงเรียนเลิกแล้ว ฟ้าครึ้มฝนจนไม่มีแสงแดดส่องลงมาเลย แต่นักเรียนชายเล่นฟุตบอลกันเกรียวกราว ส่วนนักเรียนหญิงบ้านใกล้ๆ ก็เดินกลับ บ้างก็ขี่รถจักรยานที่มีเพื่อนซ้อนท้าย แต่ส่วนหนึ่งยังรอรถสองแถว โดยจับกลุ่มกินขนมกันที่โต๊ะใต้ต้นไม้
นกรอรถสองแถวเหมือนกัน แต่รู้สึกปวดท้องเบาเลยปลีกตัวไปที่ห้องน้ำด้านหลังมีต้นกล้วยใหญ่ๆ ขึ้นดกหนาทั้งตามทางเดินและหลังห้องน้ำ
มีการแบ่งเป็นสุขาชาย-หญิงเรียบร้อย ของผู้ชายต้องเดินเลยไปด้านใน ส่วนของผู้หญิงมีประตูมิดชิด เข้าไปด้านในเป็นอ่างล้างมือทางซ้าย ห้องสุขาเรียงรายอยู่ด้านขวา...ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำแม้แต่คนเดียว
จู่ๆ เสียงประตูก็ปิดโครมจนนกสะดุ้งโหยง...
รู้สึกเหมือนโดนขังไม่มีผิด อากาศเย็นวูบลงจนขนลุกซ่า...นกนึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกล เลยเดินกลับไปเปิดประตู แต่ปรากฏว่ามันปิดสนิท!
เอ๊ะ! อะไรกันนี่? ใครต้องแอบย่องตามหลังมาเล่นแกล้งแน่ๆ เลย เล่นเอาเหลียวซ้ายแลขวา มองเห็นช่องลมของอิฐบล็อกแบบโปร่งๆ สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบเชียบเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างโดยสิ้นเชิง
เสียงลมพัดวู่หวิวเหมือนเสียงใครครวญครางอยู่ ข้างนอก
เสียงยอดตองกระทบกันเพราะแรงลมดังพึ่บๆ น่ากลัว อากาศก็เย็นลง...เย็นลงทุกที ทั้งๆ ที่อยู่ในฤดูร้อนแท้ๆ
นกหายปวดท้องเบาเป็นปลิดทิ้ง อยากจะเผ่นออกจากห้องน้ำนี้โดยเร็วที่สุด ดูมันหลอนๆ น่าสยองอย่างบอกไม่ถูก แต่ประตูห้องปิดสนิท...หรือว่าภารโรงเข้ามาปิดประตูใส่กุญแจเสียแล้วเพราะไม่รู้ว่ามีคนอยู่
ทำไมแกไม่เข้ามาดูแลให้แน่ใจก่อนนะ?
ปราดเข้าไปเขย่าประตูก็แล้ว ใช้กำปั้นทุบแรงๆ ก็แล้ว แต่คำตอบคือความเงียบจนน่าใจหาย นกอยากร้องไห้เพราะความกลัวระคนกับอัดอั้นตันใจ ตะเบ็งเสียงแทบแสบแก้วหูตัวเอง
"ช่วยด้วย! เปิดประตูด้วย นกอยู่ในนี้...ช่วยด้วย..."
คราวนี้น้ำตาไหลพรากเลย ไม่มีคำตอบใดๆ นอกจากเสียงตัวเองที่สะท้อนไปมา ตัดสินใจเดินย้อนเข้าไปข้างใน ผ่านประตูห้องน้ำราว 4-5 ห้องที่เปิดแง้มอยู่ทุกห้อง...มองหาลู่ทางว่าจะออกไปจากห้องน้ำนี่ได้ยังไงกัน?
โครม! โครม!!
สะดุ้งโหยงพร้อมกับร้องกรี๊ดๆ อย่างลืมตัว เมื่อเสียงสนั่นหวั่นไหวเกิดจากประตูห้องน้ำกระแทกปิด-เปิดออกแล้วก็ปิดปึงปังให้เห็นต่อหน้าต่อตา
คราวนี้นกสติแตกกระเจิงในบัดดล!
ยกสองมืออุดหู หลับตาร้องกรี๊ดๆๆ ด้วยความหวาดกลัวจนแทบจะเป็นบ้า...ได้ยินเสียงเอะอะดังแว่วๆ ตามด้วยเสียงเรียกชื่อ มีใครมาจับไหล่ทั้งสองข้างเขย่า เล่นเอาสะดุ้งผวากรีดร้องไม่หยุดหย่อน จนแรงเขย่าเพิ่มขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกชื่อดังๆ อยู่ข้างหู จึงได้ลืมตามอง
เห็นหน้าเพื่อนๆ กับครูประจำชั้น ทำให้ปล่อยโฮออกมาอย่างอัดอั้นใจสุดขีด รู้สึกเหมือนเพิ่งรอดตายมาหยกๆ
วันต่อมาจึงได้รู้ความจริงว่า มีนักเรียน ม.3 ผูกคอตายในห้องน้ำเพราะโดนพ่อแม่ดุด่าเรื่องไม่สนใจการเรียน...มีเด็กถูกผีหลอกหลายคนแล้ว ใครจะเข้าห้องน้ำต้องมากันหลายๆ คน แต่นกเป็นเด็กใหม่ ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลยถูกผีหลอกแทบจะช็อกตาย!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555
นกเพิ่งจะเข้าเรียนที่โรงเรียนประจำอำเภอได้ไม่กี่วัน เนื่องจากย้ายโรงเรียนตามพ่อเหมือนลูกข้าราชการส่วนหนึ่ง ที่ต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นที่นี่ บางคนก็มีเพื่อนเก่ามากมายเพราะต้องย้ายบ่อยครั้ง
โรงเรียนนี้เป็นตึกสองชั้น ค่อนข้างเก่าแก่เกือบจะทรุดโทรม สนามกีฬาก็มีแต่หญ้าแห้งเป็นกระจุก พอๆ กับเสาธงที่ตั้งแทบจะไม่ตรง ก่ออิฐล้อมรอบ ส่วนธงชาติก็สีซีดจางเต็มที ด้านหลังเป็นห้องน้ำ สีน้ำตาลที่สีลอกเป็นแผ่นๆ ถัดออกไปมีแต่ทิวไม้หนาครึ้มแทบจะล้อมรอบทั้งหมด
เด็กนักเรียนที่บ้านอยู่ไกล ต้องขึ้นรถสองแถวมาบ้าง ถีบจักรยานมาบ้าง สองข้างทางมีบ้านช่องอยู่ห่างๆ กัน บรรยากาศค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว ชวนให้วังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก
เย็นวันหนึ่งก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้น!
วันนั้นโรงเรียนเลิกแล้ว ฟ้าครึ้มฝนจนไม่มีแสงแดดส่องลงมาเลย แต่นักเรียนชายเล่นฟุตบอลกันเกรียวกราว ส่วนนักเรียนหญิงบ้านใกล้ๆ ก็เดินกลับ บ้างก็ขี่รถจักรยานที่มีเพื่อนซ้อนท้าย แต่ส่วนหนึ่งยังรอรถสองแถว โดยจับกลุ่มกินขนมกันที่โต๊ะใต้ต้นไม้
นกรอรถสองแถวเหมือนกัน แต่รู้สึกปวดท้องเบาเลยปลีกตัวไปที่ห้องน้ำด้านหลังมีต้นกล้วยใหญ่ๆ ขึ้นดกหนาทั้งตามทางเดินและหลังห้องน้ำ
มีการแบ่งเป็นสุขาชาย-หญิงเรียบร้อย ของผู้ชายต้องเดินเลยไปด้านใน ส่วนของผู้หญิงมีประตูมิดชิด เข้าไปด้านในเป็นอ่างล้างมือทางซ้าย ห้องสุขาเรียงรายอยู่ด้านขวา...ตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในห้องน้ำแม้แต่คนเดียว
จู่ๆ เสียงประตูก็ปิดโครมจนนกสะดุ้งโหยง...
รู้สึกเหมือนโดนขังไม่มีผิด อากาศเย็นวูบลงจนขนลุกซ่า...นกนึกสังหรณ์ใจยังไงชอบกล เลยเดินกลับไปเปิดประตู แต่ปรากฏว่ามันปิดสนิท!
เอ๊ะ! อะไรกันนี่? ใครต้องแอบย่องตามหลังมาเล่นแกล้งแน่ๆ เลย เล่นเอาเหลียวซ้ายแลขวา มองเห็นช่องลมของอิฐบล็อกแบบโปร่งๆ สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบเชียบเหมือนโลกนี้กลายเป็นโลกร้างโดยสิ้นเชิง
เสียงลมพัดวู่หวิวเหมือนเสียงใครครวญครางอยู่ ข้างนอก
เสียงยอดตองกระทบกันเพราะแรงลมดังพึ่บๆ น่ากลัว อากาศก็เย็นลง...เย็นลงทุกที ทั้งๆ ที่อยู่ในฤดูร้อนแท้ๆ
นกหายปวดท้องเบาเป็นปลิดทิ้ง อยากจะเผ่นออกจากห้องน้ำนี้โดยเร็วที่สุด ดูมันหลอนๆ น่าสยองอย่างบอกไม่ถูก แต่ประตูห้องปิดสนิท...หรือว่าภารโรงเข้ามาปิดประตูใส่กุญแจเสียแล้วเพราะไม่รู้ว่ามีคนอยู่
ทำไมแกไม่เข้ามาดูแลให้แน่ใจก่อนนะ?
ปราดเข้าไปเขย่าประตูก็แล้ว ใช้กำปั้นทุบแรงๆ ก็แล้ว แต่คำตอบคือความเงียบจนน่าใจหาย นกอยากร้องไห้เพราะความกลัวระคนกับอัดอั้นตันใจ ตะเบ็งเสียงแทบแสบแก้วหูตัวเอง
"ช่วยด้วย! เปิดประตูด้วย นกอยู่ในนี้...ช่วยด้วย..."
คราวนี้น้ำตาไหลพรากเลย ไม่มีคำตอบใดๆ นอกจากเสียงตัวเองที่สะท้อนไปมา ตัดสินใจเดินย้อนเข้าไปข้างใน ผ่านประตูห้องน้ำราว 4-5 ห้องที่เปิดแง้มอยู่ทุกห้อง...มองหาลู่ทางว่าจะออกไปจากห้องน้ำนี่ได้ยังไงกัน?
โครม! โครม!!
สะดุ้งโหยงพร้อมกับร้องกรี๊ดๆ อย่างลืมตัว เมื่อเสียงสนั่นหวั่นไหวเกิดจากประตูห้องน้ำกระแทกปิด-เปิดออกแล้วก็ปิดปึงปังให้เห็นต่อหน้าต่อตา
คราวนี้นกสติแตกกระเจิงในบัดดล!
ยกสองมืออุดหู หลับตาร้องกรี๊ดๆๆ ด้วยความหวาดกลัวจนแทบจะเป็นบ้า...ได้ยินเสียงเอะอะดังแว่วๆ ตามด้วยเสียงเรียกชื่อ มีใครมาจับไหล่ทั้งสองข้างเขย่า เล่นเอาสะดุ้งผวากรีดร้องไม่หยุดหย่อน จนแรงเขย่าเพิ่มขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกชื่อดังๆ อยู่ข้างหู จึงได้ลืมตามอง
เห็นหน้าเพื่อนๆ กับครูประจำชั้น ทำให้ปล่อยโฮออกมาอย่างอัดอั้นใจสุดขีด รู้สึกเหมือนเพิ่งรอดตายมาหยกๆ
วันต่อมาจึงได้รู้ความจริงว่า มีนักเรียน ม.3 ผูกคอตายในห้องน้ำเพราะโดนพ่อแม่ดุด่าเรื่องไม่สนใจการเรียน...มีเด็กถูกผีหลอกหลายคนแล้ว ใครจะเข้าห้องน้ำต้องมากันหลายๆ คน แต่นกเป็นเด็กใหม่ ไม่เคยรู้เรื่องมาก่อนเลยถูกผีหลอกแทบจะช็อกตาย!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 7 พฤศจิกายน 2555
05 พฤศจิกายน 2556
วิญญาณพยาบาท
"ผาแดง" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากแรงอาฆาตบบบเรื่องผีๆ สางๆ มีทั้งเชื่อและไม่เชื่อ คนที่ยืนยันว่าไม่เชื่อเรื่องผี ไม่กลัวผี และไม่เคยถูกผีหลอก มักชอบพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า คนเราตายไปแล้วก็เรียกว่าผีทั้งนั้นแหละ...ถ้าผีมีจริงคนที่ถูกฆ่าก็ต้องกลับไปแก้แค้นคนที่ฆ่าตัวเองแน่ๆ นักโทษคดีฆ่าคนตายคงจะไม่แน่นโรงแน่นศาล หรือแน่นคุกตะรางอย่างทุกวันนี้เป็นแน่
เรื่องนี้น่าคิดนะครับ ผมขอนำประสบการณ์มาเล่าให้ท่านผู้อ่านพิจารณา...ตัดสินว่า "วิญญาณพยาบาท" จะมีจริงๆ หรือเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้นเอง
ผมเป็นเด็กอีสาน เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนชาวบ้านยังเชื่อถือเรื่องภูตผีต่างๆ ไม่ว่าผีฟ้า ผีแผน หรือผีป่า ผีโขมด ถ้าใครประสบกับสิ่งอัปมงคลก็เชื่อกันว่าเกิดจากภูตผีไม่พอใจแน่นอน
หมู่บ้านผมมีหมอไสยศาสตร์ หรือหมอผีชื่อดัง คือหมอคง เป็นชาวเขมรที่อพยพมาตั้งรกรากตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ปลูกบ้านอยู่ใต้หมู่ต้นตาล แถมมีกอไผ่ร่มครึ้มล้อมรอบ บรรยากาศดูเยือกเย็นน่าวังเวงใจจนพวกเด็กๆ ไม่กล้าไปวิ่งเล่นก็แล้วกัน!
หมอคงเป็นพ่อม่ายเมียตาย อยู่กับลูกสาวชื่อคำแก้ว เพียงสองคนพ่อลูกเท่านั้นเอง...ลือกันว่าแกฝังศพเมียแกไว้ที่โคนต้นตาลหลังบ้าน ยิ่งทำให้ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายไปแถวนั้น ยกเว้นแต่จำเป็นจริงๆ
ตอนกลางวันมักจะมีคนเลื่อมใสวนเวียนไปหาหมอคงอยู่เสมอ พวกผู้ชายก็ไปขอของดีประเภทอยู่ยงคงกระพัน กับยาเสน่ห์ที่ทำให้สาวหลง พวกผู้หญิงก็มักจะไปปรึกษาเรื่องผัวขี้เหล้ากับผัวเจ้าชู้ คนที่สมปรารถนาก็จะเอาเงินทองของกำนัลไปให้หมอคงเป็นสิ่งตอบแทน
พี่คำแก้วเป็นสาวสวยคม ผิวพรรณขาวสะอาดผิด กว่าคนส่วนมาก รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นที่มีไอ้หนุ่มบางคนเปรียบเปรยว่า "เหมือนนางอัปสร" แต่ไม่มีใครกล้าตีสนิทด้วย เพราะกลัวคาถาอาคมของอาจารย์คง
ตอนเย็นๆ พี่คำแก้วมักจะเดินมาซื้อเหล้าที่ร้านแป๊ะเห่งไปให้พ่อ พวกหนุ่มๆ ได้แต่มองตาเป็นมัน คนใจกล้าก็ทักทายชวนคุย พี่คำแก้วก็ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดน่ารักกับทุกคน...บางทีก็เย้าแหย่ว่าหมู่นี้ไม่ค่อยไปหาพ่อเธอเลย สงสัยว่าคงจะสมรักสมความปรารถนาแล้วกระมัง?
ค่ำวันเกิดเหตุ หมอคงนุ่งโสร่ง เปลือยอกเห็นรอยสักดำมืด เดินเทิ่งๆ ถือไฟฉายขนาดสามท่อนมาที่ร้านชำถามหาลูกสาว แป๊ะเห่งยืนยันว่าคำแก้วออกจากร้านไปนานแล้ว...
ผู้คนเริ่มเข้ามามุงดูด้วยความสนใจ อาจารย์คงหันกลับเดินจ้ำอ้าว มีชาวบ้านเดินตามห่างๆ ไปจนถึงดงตาลหนาทึบใกล้บ้าน...พี่คำแห้วนอนตะแคงแต่ใบหน้าพลิกหงาย ตาถลนลิ้นจุกปาก ผ้าซิ่นถูกรวบอยู่ที่เอว...โดนบีบคอข่มขืนจนขาดใจตาย
ตำรวจยังคงสืบหาฆาตกรโหด อาจารย์คงจัดการกับศพลูกสาวเงียบๆ ขอร้องแกมสั่งไม่ให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้อง...เชื่อกันว่าคงจะฝังศพพี่คำแก้วข้างๆ กับศพแม่ของเธอนั่นแหละ
ชาวบ้านก็ได้แต่ซุบซิบกันอย่างหวาดระแวงว่าใครเป็นตัวการ? จะโทษคนนั้นคนนี้ก็ไม่มีหลักฐาน พวกคอเหล้าที่อยู่ในร้านวันที่พี่คำแก้วถูกฆ่า ก็ไม่มีใครออกจากร้านในเวลาใกล้ๆ กับตอนพี่คำแก้วออกไปแม้แต่คนเดียว
ฆาตกรไม่ได้อยู่ในร้าน แต่ดักซุ่มอยู่กลางทาง!
ปัญหาก็คือใคร? ช่วงนั้นก็ไม่มีคนต่างถิ่นเข้ามาแม้แต่คนเดียว
ยามค่ำคืนมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังแว่วมากับสายลม ท่ามกลางเสียงหมาหอนโหยหวนน่าขนหัวลุก ชาวบ้านต่างปิดประตูหน้าต่างกางมุ้งนอนเร็วกว่าปกติ บางคืนได้ยินเสียงร้องโหวกโหวย วิ่งพลางร้องพลางว่าโดนผีหลอกไปตลอดทาง
ปรากฏว่าเดินมาดีๆ ก็เห็นพี่คำแก้วเดินร้องห่มร้องไห้สวนทางมา ไม่ว่าใครก็ต้องเผ่นกระเจิงกันทุกคน
อาจารย์คงไม่ต้อนรับแขกเหรื่ออีกต่อไป นานๆ แกก็เดินมาซื้อเหล้าที่ร้านแป๊ะเห่ง ด้วยหน้าตาตายสนิทเหมือนรูปสลัก...หมู่บ้านเรามีแต่ความเยือกเย็นน่าวังเวงใจ หวาดระแวงว่าจะเกิดเหตุร้ายซ้ำรอยเดิมเพราะแรงพยาบาทของอาจารย์คง
เวลาผ่านไปราวเดือนเศษก็เกิดเรื่องน่าขนหัวลุกขึ้นมา!
พระที่ออกบิณฑบาตพบศพชายนอนคว่ำ ตะแคงหน้าอยู่ตรงจุดเดียวกับที่พบศพพี่คำแก้วนั่นเอง...ตามร่างกายไม่มีบาดแผลใดๆ ยกเว้นแต่ลำคอมีรอยเขียวช้ำเหมือนถูกบีบเค้นอย่างรุนแรงจนสิ้นใจ นัยน์ตาเบิกโพลง มีเหล้าขาวที่ยังไม่ได้เปิดขวดหนึ่งกลิ้งอยู่ข้างๆ ศพด้วย
เจ้าเขื่อน-ลูกจ้างไร่ข้าวโพดที่ปลูกกระท่อมอยู่ห่างจากหมู่บ้านนั่นเองที่เป็นคนเคราะห์ร้าย...ชาวบ้านลือกันว่าเป็นเพราะแรงอาฆาตของวิญญาณพี่คำแก้ว และบ้างก็ว่าเกิดจากคาถาอาคมของอาจารย์คงที่ส่งภูตผีมาฆ่า
คนที่ไม่เชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ก็เดาว่าเจ้าเขื่อนคงจะรีบเดินจนพลาดล้ม คอหักตายก็เป็นได้...แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เสียงร้องห่มร้องไห้น่าขนหัวลุกในยามค่ำคืนก็ขาดหายไปตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555
เรื่องนี้น่าคิดนะครับ ผมขอนำประสบการณ์มาเล่าให้ท่านผู้อ่านพิจารณา...ตัดสินว่า "วิญญาณพยาบาท" จะมีจริงๆ หรือเป็นแค่ความบังเอิญเท่านั้นเอง
ผมเป็นเด็กอีสาน เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนชาวบ้านยังเชื่อถือเรื่องภูตผีต่างๆ ไม่ว่าผีฟ้า ผีแผน หรือผีป่า ผีโขมด ถ้าใครประสบกับสิ่งอัปมงคลก็เชื่อกันว่าเกิดจากภูตผีไม่พอใจแน่นอน
หมู่บ้านผมมีหมอไสยศาสตร์ หรือหมอผีชื่อดัง คือหมอคง เป็นชาวเขมรที่อพยพมาตั้งรกรากตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ ปลูกบ้านอยู่ใต้หมู่ต้นตาล แถมมีกอไผ่ร่มครึ้มล้อมรอบ บรรยากาศดูเยือกเย็นน่าวังเวงใจจนพวกเด็กๆ ไม่กล้าไปวิ่งเล่นก็แล้วกัน!
หมอคงเป็นพ่อม่ายเมียตาย อยู่กับลูกสาวชื่อคำแก้ว เพียงสองคนพ่อลูกเท่านั้นเอง...ลือกันว่าแกฝังศพเมียแกไว้ที่โคนต้นตาลหลังบ้าน ยิ่งทำให้ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายไปแถวนั้น ยกเว้นแต่จำเป็นจริงๆ
ตอนกลางวันมักจะมีคนเลื่อมใสวนเวียนไปหาหมอคงอยู่เสมอ พวกผู้ชายก็ไปขอของดีประเภทอยู่ยงคงกระพัน กับยาเสน่ห์ที่ทำให้สาวหลง พวกผู้หญิงก็มักจะไปปรึกษาเรื่องผัวขี้เหล้ากับผัวเจ้าชู้ คนที่สมปรารถนาก็จะเอาเงินทองของกำนัลไปให้หมอคงเป็นสิ่งตอบแทน
พี่คำแก้วเป็นสาวสวยคม ผิวพรรณขาวสะอาดผิด กว่าคนส่วนมาก รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นที่มีไอ้หนุ่มบางคนเปรียบเปรยว่า "เหมือนนางอัปสร" แต่ไม่มีใครกล้าตีสนิทด้วย เพราะกลัวคาถาอาคมของอาจารย์คง
ตอนเย็นๆ พี่คำแก้วมักจะเดินมาซื้อเหล้าที่ร้านแป๊ะเห่งไปให้พ่อ พวกหนุ่มๆ ได้แต่มองตาเป็นมัน คนใจกล้าก็ทักทายชวนคุย พี่คำแก้วก็ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดน่ารักกับทุกคน...บางทีก็เย้าแหย่ว่าหมู่นี้ไม่ค่อยไปหาพ่อเธอเลย สงสัยว่าคงจะสมรักสมความปรารถนาแล้วกระมัง?
ค่ำวันเกิดเหตุ หมอคงนุ่งโสร่ง เปลือยอกเห็นรอยสักดำมืด เดินเทิ่งๆ ถือไฟฉายขนาดสามท่อนมาที่ร้านชำถามหาลูกสาว แป๊ะเห่งยืนยันว่าคำแก้วออกจากร้านไปนานแล้ว...
ผู้คนเริ่มเข้ามามุงดูด้วยความสนใจ อาจารย์คงหันกลับเดินจ้ำอ้าว มีชาวบ้านเดินตามห่างๆ ไปจนถึงดงตาลหนาทึบใกล้บ้าน...พี่คำแห้วนอนตะแคงแต่ใบหน้าพลิกหงาย ตาถลนลิ้นจุกปาก ผ้าซิ่นถูกรวบอยู่ที่เอว...โดนบีบคอข่มขืนจนขาดใจตาย
ตำรวจยังคงสืบหาฆาตกรโหด อาจารย์คงจัดการกับศพลูกสาวเงียบๆ ขอร้องแกมสั่งไม่ให้ใครเข้ามาเกี่ยวข้อง...เชื่อกันว่าคงจะฝังศพพี่คำแก้วข้างๆ กับศพแม่ของเธอนั่นแหละ
ชาวบ้านก็ได้แต่ซุบซิบกันอย่างหวาดระแวงว่าใครเป็นตัวการ? จะโทษคนนั้นคนนี้ก็ไม่มีหลักฐาน พวกคอเหล้าที่อยู่ในร้านวันที่พี่คำแก้วถูกฆ่า ก็ไม่มีใครออกจากร้านในเวลาใกล้ๆ กับตอนพี่คำแก้วออกไปแม้แต่คนเดียว
ฆาตกรไม่ได้อยู่ในร้าน แต่ดักซุ่มอยู่กลางทาง!
ปัญหาก็คือใคร? ช่วงนั้นก็ไม่มีคนต่างถิ่นเข้ามาแม้แต่คนเดียว
ยามค่ำคืนมีเสียงร้องไห้คร่ำครวญดังแว่วมากับสายลม ท่ามกลางเสียงหมาหอนโหยหวนน่าขนหัวลุก ชาวบ้านต่างปิดประตูหน้าต่างกางมุ้งนอนเร็วกว่าปกติ บางคืนได้ยินเสียงร้องโหวกโหวย วิ่งพลางร้องพลางว่าโดนผีหลอกไปตลอดทาง
ปรากฏว่าเดินมาดีๆ ก็เห็นพี่คำแก้วเดินร้องห่มร้องไห้สวนทางมา ไม่ว่าใครก็ต้องเผ่นกระเจิงกันทุกคน
อาจารย์คงไม่ต้อนรับแขกเหรื่ออีกต่อไป นานๆ แกก็เดินมาซื้อเหล้าที่ร้านแป๊ะเห่ง ด้วยหน้าตาตายสนิทเหมือนรูปสลัก...หมู่บ้านเรามีแต่ความเยือกเย็นน่าวังเวงใจ หวาดระแวงว่าจะเกิดเหตุร้ายซ้ำรอยเดิมเพราะแรงพยาบาทของอาจารย์คง
เวลาผ่านไปราวเดือนเศษก็เกิดเรื่องน่าขนหัวลุกขึ้นมา!
พระที่ออกบิณฑบาตพบศพชายนอนคว่ำ ตะแคงหน้าอยู่ตรงจุดเดียวกับที่พบศพพี่คำแก้วนั่นเอง...ตามร่างกายไม่มีบาดแผลใดๆ ยกเว้นแต่ลำคอมีรอยเขียวช้ำเหมือนถูกบีบเค้นอย่างรุนแรงจนสิ้นใจ นัยน์ตาเบิกโพลง มีเหล้าขาวที่ยังไม่ได้เปิดขวดหนึ่งกลิ้งอยู่ข้างๆ ศพด้วย
เจ้าเขื่อน-ลูกจ้างไร่ข้าวโพดที่ปลูกกระท่อมอยู่ห่างจากหมู่บ้านนั่นเองที่เป็นคนเคราะห์ร้าย...ชาวบ้านลือกันว่าเป็นเพราะแรงอาฆาตของวิญญาณพี่คำแก้ว และบ้างก็ว่าเกิดจากคาถาอาคมของอาจารย์คงที่ส่งภูตผีมาฆ่า
คนที่ไม่เชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ก็เดาว่าเจ้าเขื่อนคงจะรีบเดินจนพลาดล้ม คอหักตายก็เป็นได้...แต่ที่แน่ๆ ก็คือ เสียงร้องห่มร้องไห้น่าขนหัวลุกในยามค่ำคืนก็ขาดหายไปตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 15 พฤศจิกายน 2555
03 พฤศจิกายน 2556
วิญญาณดึกดำบรรพ์
"สุบิน" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากอยุธยา
ผมเคยได้ยินบ่อยครั้งว่า คนที่จิตใจเข้มแข็งมักจะไม่ถูกผีหลอก เพราะจิตมีพลังมากกว่าภูตวิญญาณทั่วๆ ไป แต่ถ้าใครจิตใจอ่อนแอ ปกติเป็นคนตกใจง่าย มักหวาดสะดุ้งด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะมีโอกาสถูกผีหลอกได้ง่ายกว่า
ก็แน่ล่ะครับ เพราะคนที่จิตใจบึกบึนห้าวหาญนั้น ต่อให้พบปะเหตุการณ์คับขัน หรือแม้แต่เห็นภูตผีปีศาจก็ควบคุมสติได้จนวิญญาณชั่วร้าย ต้องหลีกหนีไปเอง
นอกจากนั้นก็คือเด็กๆ ที่มีโอกาสถูกผีหลอกมากที่สุด! เชื่อว่านอกจากจิตใจยังไม่เข้มแข็งเหมือนผู้ใหญ่แล้ว สัมผัสทางจิตของเด็กยังค่อนข้างละเอียดอ่อน ภูตผีที่อยู่เหลื่อมซ้อนมิติกับมนุษย์ บางครั้งมีโอกาสเหมาะสมจึงอาจจะปรากฏตัวเข้ามาสู่มิติเดียวกันก็ เป็นได้
สิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้นก็คือ เด็กๆ ที่พบเห็นภูตผีเหล่านั้นอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ใช่มนุษย์เช่นเดียวกับตนเอง
ด้วยเหตุนี้เราจึงมักพบเด็กๆ พูดคุยกับตุ๊กตา หรือของเล่นชิ้นโปรด แต่พวกผู้ใหญ่มักคิดว่าลูกหลานของตนกำลังเล่นกับ "เพื่อนสมมติ" โดยไม่ได้หวาดระแวงแม้แต่น้อยว่าเด็กๆ กำลังพูดคุย หัวเราะต่อกระซิกกับผู้ไม่มีร่างกาย!
ผมมีเรื่องน่าขนลุกขนพองมาเล่าสู่กันฟังครับ
เมื่อราวสองปีก่อน ผมกับภรรยาและลูกชายวัย 7 ขวบไปเที่ยวสิงห์บุรี และอยุธยากับบริษัททัวร์เจ้าประจำ มีรายการนำเที่ยวสนุกๆ มาชักชวนอยู่เสมอ ส่วนมากเป็นจังหวัดใกล้ๆ อย่างชลบุรีและระยองบ้าง เที่ยวสวนผลไม้และตลาดนัดตอนกลางคืนที่อัมพวา สมุทรสงครามบ้าง... ล่าสุดก็ไปไหว้พระเก้าวัดที่เมืองสิงห์
คราวนี้มีเป้าหมายอยู่ที่พระนอนจักรสีห์ สิงห์บุรี และไหว้พระที่อยุธยาราว 4-5 วัด หลวงพ่อมงคลบพิตรเป็นจุดสุดท้าย
มีกำหนดค้างที่สิงห์บุรีและอยุธยา...จนกระทั่งถึงลานจอดรถหลังโบสถ์หลวงพ่อมงคลบพิตร มีรถทัวร์จอดอยู่หลายสิบคัน ผู้คนคับคั่งเพราะเป็นวันอาทิตย์ ไกด์นำเราเดินผ่านร้านค้าด้านขวามือ ทั้งร้านเครื่องดื่ม หนังปลาทอด ผลไม้ดอง ขนมไทย และของที่ระลึกต่างๆ โดยเฉพาะร้านโรตีสายไหมมีมากที่สุด
จนกระทั่งเข้าไปไหว้หลวงพ่อมงคลบพิตรเรียบร้อย ภรรยาพาลูกไปปล่อยนกที่หน้าโบสถ์ ซื้อตั๊กแตนสานด้วยใบมะพร้าว จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับทางเก่า ตั้งใจว่าจะหาซื้อของกินของฝากตามระเบียบ
ก่อนจะถึงปากทางเข้าร้านค้านั่นเอง ตาต้อมลูกชายผมก็กระตุกมือแม่ ได้ยินเสียงถามว่า อะไรลูก? ตาต้อมก็พยักหน้าไปที่ความเวิ้งว้างทางซ้ายมือ เราก็มองตามไปอย่างงุนงง
แสงแดดยามเย็นกำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว...
ที่นั่นคือป่าละเมาะค่อนข้างเปลี่ยว ถัดไปเป็นต้นไม้ใหญ่ๆ เช่นจามจุรีที่รายล้อมเกือบรอบบึง มีจอกแหนกับผักตบชวาอยู่แน่นหนา พงอ้อกอหญ้าขึ้นรกทึบ ฝั่งตรงข้ามมีต้นมะพร้าวใหญ่ขึ้นโดดเด่น...มองผ่านไปเห็นทิวไม้ไกลลิบทางเบื้องหลัง เมฆหนาทึบเต็มท้องฟ้าบรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจชอบกล
ตาต้อมเงยหน้าขึ้นมองแม่ ผู้กำลังย่นคิ้วสงสัยว่าลูกชายชี้ให้ดูอะไรกันแน่?
"เขาถ่ายหนังกันเหรอฮะแม่?"
เสียงถามนั้นทำให้ผมขยี้ผมลูกชายอย่างเอ็นดู
"ถ่ายหนังอะไรกันลูก พ่อไม่เห็นมีอะไรเลยนี่นา"
"ใต้ต้นมะพร้าวนั่นไงฮะ" ตาต้อมหันไปมองพลางชี้มือเล็กๆ ให้เราดู "เหมือนในหนังเรื่องบางระจันเลยฮะ...เหมือนหนังเรื่องพระนเรศวรด้วย! มีทหารไทยกับทหารพม่ายืนถือดาบกันทุกคนเลย"
"อะไรนะ..." แม่ตาต้อมคราง ผมเองก็อ้าปากค้างเมื่อแน่ใจว่าที่นั่นมีแต่ต้นมะพร้าวยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางป่าละเมาะเปล่าเปลี่ยว...ไม่มีภาพของทหารไทยกับทหารพม่าอย่างที่ลูกชายเห็น...ตาต้อมยกมือขึ้นโบกไปมาพลางหัวเราะชอบอกชอบใจ
"นั่นไงฮะ พ่อ ทหารพวกนั้นเขาหันมาโบกมือให้เราทุกคนเลย!"
ลมเย็นๆ พัดซ่ามาจากเหนือบึงเปลี่ยว ผมเห็นภรรยาหน้าซีดเผือด ตัวเองก็ขนลุกซ่า รู้สึกอึดอัดคล้ายจะหายใจไม่ออก รีบจูงมือลูกเมียเดินผ่านร้านค้าที่มีผู้คนหนาตา...แว่วเสียงตาต้อมร้องบอกพลางโบกมือให้ความว่างเปล่านั้นเป็นครั้งสุดท้าย
"ไปก่อนนะ หนังฉายเมื่อไหร่จะไปดู"
ผมเชื่อว่าตาต้อมมองเห็นภาพนั้นจริงๆ โดยที่พ่อแม่มองไม่เห็นอะไรเลย แต่นึกถึงผู้ไม่มีร่างกายกำลังจ้องมองมาที่เราแล้ว...ขนหัวลุกครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555
ผมเคยได้ยินบ่อยครั้งว่า คนที่จิตใจเข้มแข็งมักจะไม่ถูกผีหลอก เพราะจิตมีพลังมากกว่าภูตวิญญาณทั่วๆ ไป แต่ถ้าใครจิตใจอ่อนแอ ปกติเป็นคนตกใจง่าย มักหวาดสะดุ้งด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จะมีโอกาสถูกผีหลอกได้ง่ายกว่า
ก็แน่ล่ะครับ เพราะคนที่จิตใจบึกบึนห้าวหาญนั้น ต่อให้พบปะเหตุการณ์คับขัน หรือแม้แต่เห็นภูตผีปีศาจก็ควบคุมสติได้จนวิญญาณชั่วร้าย ต้องหลีกหนีไปเอง
นอกจากนั้นก็คือเด็กๆ ที่มีโอกาสถูกผีหลอกมากที่สุด! เชื่อว่านอกจากจิตใจยังไม่เข้มแข็งเหมือนผู้ใหญ่แล้ว สัมผัสทางจิตของเด็กยังค่อนข้างละเอียดอ่อน ภูตผีที่อยู่เหลื่อมซ้อนมิติกับมนุษย์ บางครั้งมีโอกาสเหมาะสมจึงอาจจะปรากฏตัวเข้ามาสู่มิติเดียวกันก็ เป็นได้
สิ่งที่ซับซ้อนกว่านั้นก็คือ เด็กๆ ที่พบเห็นภูตผีเหล่านั้นอาจจะไม่รู้ว่าสิ่งที่มองเห็นนั้นไม่ใช่มนุษย์เช่นเดียวกับตนเอง
ด้วยเหตุนี้เราจึงมักพบเด็กๆ พูดคุยกับตุ๊กตา หรือของเล่นชิ้นโปรด แต่พวกผู้ใหญ่มักคิดว่าลูกหลานของตนกำลังเล่นกับ "เพื่อนสมมติ" โดยไม่ได้หวาดระแวงแม้แต่น้อยว่าเด็กๆ กำลังพูดคุย หัวเราะต่อกระซิกกับผู้ไม่มีร่างกาย!
ผมมีเรื่องน่าขนลุกขนพองมาเล่าสู่กันฟังครับ
เมื่อราวสองปีก่อน ผมกับภรรยาและลูกชายวัย 7 ขวบไปเที่ยวสิงห์บุรี และอยุธยากับบริษัททัวร์เจ้าประจำ มีรายการนำเที่ยวสนุกๆ มาชักชวนอยู่เสมอ ส่วนมากเป็นจังหวัดใกล้ๆ อย่างชลบุรีและระยองบ้าง เที่ยวสวนผลไม้และตลาดนัดตอนกลางคืนที่อัมพวา สมุทรสงครามบ้าง... ล่าสุดก็ไปไหว้พระเก้าวัดที่เมืองสิงห์
คราวนี้มีเป้าหมายอยู่ที่พระนอนจักรสีห์ สิงห์บุรี และไหว้พระที่อยุธยาราว 4-5 วัด หลวงพ่อมงคลบพิตรเป็นจุดสุดท้าย
มีกำหนดค้างที่สิงห์บุรีและอยุธยา...จนกระทั่งถึงลานจอดรถหลังโบสถ์หลวงพ่อมงคลบพิตร มีรถทัวร์จอดอยู่หลายสิบคัน ผู้คนคับคั่งเพราะเป็นวันอาทิตย์ ไกด์นำเราเดินผ่านร้านค้าด้านขวามือ ทั้งร้านเครื่องดื่ม หนังปลาทอด ผลไม้ดอง ขนมไทย และของที่ระลึกต่างๆ โดยเฉพาะร้านโรตีสายไหมมีมากที่สุด
จนกระทั่งเข้าไปไหว้หลวงพ่อมงคลบพิตรเรียบร้อย ภรรยาพาลูกไปปล่อยนกที่หน้าโบสถ์ ซื้อตั๊กแตนสานด้วยใบมะพร้าว จากนั้นก็มุ่งหน้ากลับทางเก่า ตั้งใจว่าจะหาซื้อของกินของฝากตามระเบียบ
ก่อนจะถึงปากทางเข้าร้านค้านั่นเอง ตาต้อมลูกชายผมก็กระตุกมือแม่ ได้ยินเสียงถามว่า อะไรลูก? ตาต้อมก็พยักหน้าไปที่ความเวิ้งว้างทางซ้ายมือ เราก็มองตามไปอย่างงุนงง
แสงแดดยามเย็นกำลังจางหายไปอย่างรวดเร็ว...
ที่นั่นคือป่าละเมาะค่อนข้างเปลี่ยว ถัดไปเป็นต้นไม้ใหญ่ๆ เช่นจามจุรีที่รายล้อมเกือบรอบบึง มีจอกแหนกับผักตบชวาอยู่แน่นหนา พงอ้อกอหญ้าขึ้นรกทึบ ฝั่งตรงข้ามมีต้นมะพร้าวใหญ่ขึ้นโดดเด่น...มองผ่านไปเห็นทิวไม้ไกลลิบทางเบื้องหลัง เมฆหนาทึบเต็มท้องฟ้าบรรยากาศเยือกเย็นน่าวังเวงใจชอบกล
ตาต้อมเงยหน้าขึ้นมองแม่ ผู้กำลังย่นคิ้วสงสัยว่าลูกชายชี้ให้ดูอะไรกันแน่?
"เขาถ่ายหนังกันเหรอฮะแม่?"
เสียงถามนั้นทำให้ผมขยี้ผมลูกชายอย่างเอ็นดู
"ถ่ายหนังอะไรกันลูก พ่อไม่เห็นมีอะไรเลยนี่นา"
"ใต้ต้นมะพร้าวนั่นไงฮะ" ตาต้อมหันไปมองพลางชี้มือเล็กๆ ให้เราดู "เหมือนในหนังเรื่องบางระจันเลยฮะ...เหมือนหนังเรื่องพระนเรศวรด้วย! มีทหารไทยกับทหารพม่ายืนถือดาบกันทุกคนเลย"
"อะไรนะ..." แม่ตาต้อมคราง ผมเองก็อ้าปากค้างเมื่อแน่ใจว่าที่นั่นมีแต่ต้นมะพร้าวยืนโดดเด่นอยู่ท่ามกลางป่าละเมาะเปล่าเปลี่ยว...ไม่มีภาพของทหารไทยกับทหารพม่าอย่างที่ลูกชายเห็น...ตาต้อมยกมือขึ้นโบกไปมาพลางหัวเราะชอบอกชอบใจ
"นั่นไงฮะ พ่อ ทหารพวกนั้นเขาหันมาโบกมือให้เราทุกคนเลย!"
ลมเย็นๆ พัดซ่ามาจากเหนือบึงเปลี่ยว ผมเห็นภรรยาหน้าซีดเผือด ตัวเองก็ขนลุกซ่า รู้สึกอึดอัดคล้ายจะหายใจไม่ออก รีบจูงมือลูกเมียเดินผ่านร้านค้าที่มีผู้คนหนาตา...แว่วเสียงตาต้อมร้องบอกพลางโบกมือให้ความว่างเปล่านั้นเป็นครั้งสุดท้าย
"ไปก่อนนะ หนังฉายเมื่อไหร่จะไปดู"
ผมเชื่อว่าตาต้อมมองเห็นภาพนั้นจริงๆ โดยที่พ่อแม่มองไม่เห็นอะไรเลย แต่นึกถึงผู้ไม่มีร่างกายกำลังจ้องมองมาที่เราแล้ว...ขนหัวลุกครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 2 พฤศจิกายน 2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)