31 ตุลาคม 2556

ลางมรณะ

"กชวรรณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากลางร้าย

คนโบราณแทบทั้งโลกล้วนแต่เชื่อเรื่องภูตผีปีศาจ โชคลางต่างๆ นานา เพราะเป็นที่พึ่งทางใจสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคน แต่เมื่อโลกเจริญ วิทยาศาสตร์ก้าวหน้า ผู้คนมีการศึกษามากขึ้น ความเชื่อเก่าๆ ก็ลดน้อยถอยลงไปทุกที

ความเชื่อเรื่องภูตผีกับโชคลางของคนสมัยก่อนค่อนข้างจะมากมายหลายประการ ตั้งแต่ธรรมชาติ เช่น ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ลมพายุที่ทำให้เกิดดินถล่ม ต้นไม้หักโค่น น้ำท่วม ก็มักจะเชื่อว่าเกิดจากอำนาจของสิ่งลึกลับที่เรียกรวมๆ กันว่าผี! จนถึงเชื่อโชคลางต่างๆ ที่เกิดจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เป็นต้น

แม้แต่สัตว์ก็นับว่าเป็นโชคลางด้วยเหมือนกัน แต่เป็นลางร้าย!

สัตว์ที่มนุษย์เชื่อว่าเป็นสื่อ หรือตัวแทนของภูตผี ได้แก่ งู แมวดำ นกที่หากินกลางคืน เช่น นกแสก นกเค้าแมว แม้แต่นกสีดำ เช่น กา ก็เชื่อว่าเป็นตัวแทนของลางร้ายเช่นกัน

พวกฝรั่งที่คนส่วนมากคิดว่าเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ยิ่งกว่าคนเอเชีย กลับดูเหมือนจะเชื่อถือในโชคลางมากที่สุด

บ้านไหนมีคนเจ็บป่วยอยู่ ถ้ามีนกสีดำมาเกาะหน้าต่างก็เชื่อกันว่าคนป่วยนั้นจะต้องตายแน่นอน หรือถ้าตะเกียงเกิดดับแล้วติดเอง 3 ครั้ง เจ้าของบ้านมักจะเสียชีวิตในเร็ววัน

นอกจากนั้นยังมีการเชื่อถือว่า ถ้าออกจากบ้านแล้วมีแมวดำวิ่งหรือเดินตัดหน้า จะเกิดเคราะห์ร้าย ต้องหันหลังกลับบ้านจะปลอดภัยที่สุด ไหนจะเรื่องการทำไวน์หกรดเพื่อน, ทำมีดตก, กระจกแตก...เหล่านี้ถือว่าเป็นลางที่บอกเหตุร้ายทั้งสิ้น

กระจกแตกเป็นลางร้ายที่เชื่อถือตรงกันไม่ว่าฝรั่งหรือไทย!

มีเหตุผลว่า กระจกเป็นสิ่งสะท้อนภาพเจ้าของ ในกรณีที่เป็นกระจกส่วนตัว เมื่อมีการส่องกระจกดูหน้าตาของตัวเองบ่อยๆ จิตวิญญาณก็จะเข้าไปสิงสู่อยู่ในกระจกนั้น ถ้ากระจกแตกก็เป็นสัญญาณว่าวิญญาณจะต้องออกจากร่างแน่นอน

ดิฉันได้ประสบกับลางร้ายดังกล่าวจากเพื่อนรุ่นน้องที่ทำงานบริษัทเดียวกัน จะว่าเป็นเรื่องประหลาดก็ได้ค่ะ แต่ที่แน่ๆ คือเป็นความประหลาดที่ทำให้เพื่อนฝูงต่างขนหัวลุกไปตามๆ กัน

"แต้ว" เป็นสาวสวยระดับดาราของพวกเรา ตอนที่เธอเรียนจบมาทำงานใหม่ๆ ยังมีคนทักว่าทำไมไม่ประกวดนางงาม หรือไม่ก็เป็นดาราหนังดาราละครเสียเลย? รับรองว่ารุ่งโรจน์สดใสในวงการบันเทิงแน่ๆ แต่แต้วตอบอย่างมั่นใจว่าไม่ชอบ ไม่อยากเป็นดารา แม้จะมีแมวมองมาทาบทาม 2-3 รายแล้วก็ตาม

"ใจมันไม่รักนี่นา หมอดูก็บอกว่าดวงไม่สมพงศ์กับอาชีพนักแสดง...ไม่รุ่งทางนี้ แต้วเองก็ไม่อยากดัง ไม่ชอบเป็นจุดเด่น กลายเป็นเป้าสายตาใครๆ ชีวิตมันไม่อิสระยังไงก็ไม่รู้"

แต่ทั้งๆ ที่บอกว่าไม่อยากเด่น แต้วกลับชอบแต่งตัวเก๋ไก๋ เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า แบรนด์เนม อินเทรนด์ตลอด แต่งหน้าตาสะสวยทุกวันก็ว่าได้ เล่นเอาพนักงานผู้ชายชอบแวะมาเจ๊าะแจ๊ะที่โต๊ะเธอเป็นประจำ

แต้วยังไม่มีแฟนจริงๆ จังๆ นอกจากคบกันแบบเพื่อนฝูง...การที่เธอมีรถยนต์ใช้ มีเสื้อผ้าและของใช้หรูหราก็ไม่น่าแปลกอะไร...พ่อแม่เธอมีฐานะระดับเศรษฐีค่ะ!

วันหนึ่งก็เกิดเรื่องใหญ่...

หลังจากกลับจากกินอาหารกลางวันใกล้ๆ บริษัทที่สุรวงศ์ แต้วเปิดกระเป๋าหยิบกระจกมาดูหน้าตาตามประสาคนรักสวยรักงาม แต่กระจกหลุดมือลงมาแตกออกเป็นสองเสี่ยง...แต้วหวีดร้องจนเพื่อนฝูงตกอกตกใจไปตามๆ กัน

พอรู้เรื่องเข้าก็ซุบซิบกันว่าเป็นลางร้าย แต่หลายๆ คนรวมทั้งดิฉันก็ปลอบว่าอย่าไปคิดอะไรมาก...ตอนนี้เราก็อยู่ในยุค 3 จี อยู่แล้ว ญี่ปุ่นเข้า 4 จี 5 จี ก็่ช่างเขาเถอะ...อย่ามัวแต่เชื่อถือโชคลางเป็นคนแก่ไปดีกว่า

แต้วยังหน้าตาซีดเซียว บ่นแต่ว่ากระจกตกเตี้ยๆ ไม่น่าจะแตกนี่นา! วันต่อมาก็ปรับทุกข์ว่าหมู่นี้ฝันร้าย...ฝันเห็นแต่คนที่ตายไปแล้วทั้งนั้นเลย!

บางคนปลอบว่าการฝันเห็นคนตายหมายถึงผีมาให้พลัง อย่าคิดมากไปเลยเดี๋ยวจะหมดสวยเปล่าๆ แต้วได้แต่กลืนน้ำลาย พยักหน้า แววตาบอกว่ากำลังสับสนหรือเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง...จนกระทั่งเวลาผ่านไปสิบกว่าวัน ใครๆ ก็พากันลืมเรื่องลางร้ายของแต้วไปหมดแล้ว แม้แต่เธอเองก็ดูสะสวยสดชื่น กระปรี้กระเปร่าและมีชีวิตชีวายิ่งกว่าเดิมด้วยซ้ำไป

วันหนึ่งพวกเราก็ได้รับข่าวร้าย...แต้วตกบันไดบ้านลงมาคอหักตายคาที่ ขณะที่รีบร้อนจะมาทำงาน...ลางร้ายของเธอกลายเป็นความจริงแทบไม่น่าเชื่อ นึกถึงแล้วขนหัวลุกค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 14 พฤศจิกายน 2555

29 ตุลาคม 2556

คืนข้ามโขง

"คุณโกร่ง" เล่าเรื่องสยองขวัญที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง หนองคาย

เมื่อปลายปี 2543 ผมไปเที่ยวจังหวัดหนองคายตามคำชักชวนของเพื่อนชื่อดำรง ซึ่งเป็นข้าราชการอยู่ที่นั่น โดยจองห้องโรงแรมฮอลิเดย์อินน์ให้พักผ่อนอย่างสบาย ตอนบ่ายแก่ๆ เพื่อนก็เอารถมารับไปชมเมืองกัน

ผมเคยเที่ยวหนองคายและท่าบ่อ บึงกาฬ มาสิบกว่าปีแล้ว เคยลงเรือหางยาวข้ามฟากไปท่าเดื่อด้วย ตอนนั้นหน้าแล้ง ตลิ่งสูงมากจนแหงนคอตั้งบ่า แม่น้ำโขงแคบและขุ่นข้นจนนึกถึงเพลง "ขุ่นลำโขง" ของหม่อมถนัดศรีที่เคยชอบเมื่อสมัยเด็กๆ

มาถึงตอนนี้แทบจะจำหนองคายไม่ได้ เพราะเจริญผิดหูผิดตา ตึกรามสูงๆ โรงแรมหรูหรา ห้างสรรพสินค้าก็มาก รถราขวักไขว่ ผู้คนพลุกพล่านหนาตาเหมือนอยู่ในกรุงเทพฯ ทั้งคนพื้นเมืองและนักท่องเที่ยว คนไทยคนลาวเดินปะปนกันคึ่กๆ แทบไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

ดำรงบอกว่าภรรยาพาลูกๆ ไปเยี่ยมพ่อแม่ที่สกลนครพอดี ไม่งั้นคงจะชวนมากินอาหารเย็นกันที่ริมโขง ต่อจากนั้นจึงค่อยตระเวนราตรีหนองคายกันให้สนุกถึงใจ เหมือนผมเคยพาเขาเที่ยวกรุงเทพฯ เมื่อตอนต้นปี

ในที่สุดเราก็ไปนั่งดื่มเบียร์กันที่ร้านเรือนแพหายโศก ริมหาดแม่น้ำโขง

ดำรงจัดการสั่งกับแกล้มพวกปลาล้วนๆ ทั้งปลาลวกจิ้ม ปลาทอด บอกว่าของสำคัญที่ขาดไม่ได้คือ ปลาบึกผัดเผ็ด ใครไม่ได้กินถือว่ายังมาไม่ถึงหนองคาย

บรรยากาศเย็นสบาย ผู้คนแทบเต็มหาดจอมมณี ทั้งนั่งกินลมชมวิว ทั้งเดินเล่นบ้าง ตั้งวงดื่มกินบ้าง ดำรงบอกว่าหาดจอมมณีได้ฉายาว่า

"พัทยาอีสาน" คิดดูแล้วกันว่างดงามและโด่งดังขนาดไหน

จู่ๆ เขาก็เล่าเรื่องแปลกประหลาด น่าขนหัวลุกให้ฟัง

เมื่อปีที่แล้วมีญาติคนหนึ่งเดินทางจากอเมริกามาเยี่ยมบ้าน เป็นหลานชายชื่อแจ๊ก ไปเรียนหนังสือจนจบแล้วทำงานอยู่ที่นิวยอร์กหลายปีจนได้สัญชาติอเมริกา ดำรงมีศักดิ์เป็นอาก็พาเที่ยว และได้ความรู้แปลกๆ จากหลานว่าที่ประเทศนั้นไม่ต้องมีบัตรประชาชนเหมือนบ้านเรา แต่ส่วนมากจะมีใบอนุญาตขับรถยนต์กันแทบทุกคน

วันหนึ่ง หลานชายเกิดข้ามฟากไปเที่ยวฝั่งลาวโดยไม่ได้บอกกล่าว จนขากลับมาตอนค่ำก็มีเรื่องแปลกๆ มาเล่าให้ฟัง

เป็นที่รู้กันว่าขาไปทางด่านไม่ค่อยเข้มงวดนัก แต่เวลาขากลับตรงกันข้ามเนื่องจากมีคนลาวชอบลักลอบข้ามแดนมา ทั้งเยี่ยมญาติบ้าง มาหางานทำบ้าง ต้องตรวจตรากันรอบคอบพอสมควร

ถ้าเป็นแม่ค้าพ่อค้าที่ข้ามไปมาเพื่อค้าขายจนคุ้นหน้ากันก็ไม่มีปัญหา เพราะส่วนมากจะมาเช้ากลับเย็น แต่คนไทยที่ข้ามไปลาวมักตรงกันข้าม คือไปเช้ากลับมาตอนเย็น

ต้องตรวจใบผ่านแดนบ้าง บัตรประชาชนบ้าง เรื่องนี้ทำให้เกิดความสับสนได้เอาการ เพราะมีการทำบัตรประชาชนปลอมกันบ้าง หรือคนไทยถูกหาว่าเป็นคนลาวใช้บัตรปลอมบ้าง

ขนาดอดีตรัฐมนตรีท่านหนึ่งยังเคยโดนกักตัวที่ด่านมาแล้ว เพราะเจ้าหน้าที่ไม่รู้จัก แถมยังคิดว่าเป็นคนลาวปลอมเป็นไทย ต้องการจะหลบหนีเข้าเมือง! กว่าจะมีคนไปยืนยันก็เสียเวลาไปนานโข

ค่ำนั้น แจ๊กกลับมาฝั่งไทยก็ถูกตรวจบัตร แจ๊กจึงหยิบใบขับขี่ของอเมริกาให้ดู อธิบายว่าไม่ได้อยู่เมืองไทยหลายปีแล้วจึงไม่มีบัตรประชาชนของไทย มีแต่บัตรแผ่นนี้เท่านั้นแหละ

การพูดจาฉาดฉาน สำเนียงไทยชัดเจน ไม่มีสิ่งใดส่อพิรุธ เจ้าหน้าที่ก็หมดความสงสัย แต่พิจารณาดูใบขับขี่ที่ติดรูปแจ๊กอยู่นานพอควร ก่อนจะส่งคืนให้พร้อมกับพูดยิ้มๆ ว่า เกิดมาก็เพิ่งเคยเห็นบัตรชนิดนี้เป็นครั้งแรกในชีวิต

"ไปเถอะคุณ เชื่อแล้วว่าคุณเป็นคนไทยจริงๆ ขอโทษที่ทำให้เสียเวลา...พาแฟนไปเถอะครับ ไม่ต้องตรวจอีกคนก็ได้ เสียเวลาคนอื่นเขาเปล่าๆ"

แจ๊กขอบคุณแล้วเดินออกมาได้ 2-3 ก้าวก็ชะงัก เขากลับมาคนเดียวแท้ๆ ไม่มีแฟนที่ไหนหรอก เจ้าหน้าที่คงเข้าใจผิดว่าผู้หญิงข้างหลังคงจะมาด้วยกัน...จึงหันไปดูโดย สัญชาตญาณมากกว่าตั้งใจ

ชายหนุ่ม 2 คนสะพายกล้อง หยุดให้ตรวจบัตรแล้วเดินตามเขามาด้วยท่าทางปกติ...ไม่มีผู้หญิงในช่วงนั้นแม้แต่คนเดียว

ลมเย็นๆ จากแม่น้ำโขงพัดวูบจนขนลุกซ่า แจ๊กตัดสินใจเดินย้อนกลับไปถามเจ้าหน้าที่คนเดิมว่า ทำไมถึงบอกให้เขาพาแฟนไปได้ ในเมื่อเขามาคนเดียว คนที่รอ***ู่ข้างหลังก็ไม่ใช่ผู้หญิง แต่ได้รับการยืนยันว่าตอนที่ตรวจบัตรแจ๊ก มีผู้หญิงผมยาวแต่งชุดดำยืนอยู่ติดๆ กับแจ๊กนั่นเอง

"พอคุณออกไปเธอก็เดินตามหลัง อ้าว? หายไปไหนแล้วล่ะ หรือว่า..."

แจ๊กรีบนั่งรถกลับบ้านมาเล่าให้อาฟัง...อดระแวงไม่ได้ว่ามีใครตามหลังมาจาก ฝั่งลาวอยู่หรือเปล่า? ต้องปลอบว่าเกิดการตาฝาดหรือเจ้าหน้าที่ล้อเล่นเท่านั้นเอง

ดำรงเล่าเรื่องจบ สายลมก็พัดวูบมาพอดีจนทำให้ผมเย็นสันหลังชอบกล...คิดเสียว่าลาว-ไทยคือพี่ น้องกัน ข้ามโขงไปมาหาสู่กันได้ไม่ว่าคนหรือผีก็ตาม จริงไหมครับ?

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 25 - ฉบับวันที่ 23 มิถุนายน 2547

27 ตุลาคม 2556

หนังสือรวมคาถาโบราณ

หนังสือรวมคาถาโบราณ เป็นไฟล์ PDF รวบรวมคาถาต่างๆมากมาย จำนวน 124 หน้า ฉบับจัดพิมพ์เป็นธรรมทาน เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดพระราชทานตั้งสมณศักดิ์ให้ พระมหาบุญจันทร์ เขมกาโม เจ้าอาวาสวัดบางบำหรุ เป็นพระครูสัญญาบัตร ในราชทินนามที่ พระครูสิริจันทนิวิฐ เมื่อ 5 ธันวาคม 2549

Download ไฟล์ PDF (124 หน้า) ได้ที่ http://j.gs/2yx9

26 ตุลาคม 2556

วิญญาณร้องไห้

"พิมพ์มาดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเตือนใจทาสสุรา

น้องเพียวเป็นผู้หญิงที่ดิฉันรู้จัก ถึงจะไม่สนิทสนมแต่ก็ทักทายกันทุกวัน เธออยู่ถัดจากบ้านดิฉันที่ดินแดงไปแค่สองหลัง ตอนเช้าตรู่เวลาออกมาใส่บาตร ก็จะแลเห็นเธอซ้อนรถจักรยานของพี่สาวไปโรงเรียนด้วยกัน เมื่อเห็นดิฉันเธอก็ยิ้ม โบกมือหย็อยๆ

ดิฉันเอ็นดูเธอจริงๆ เห็นกันมาตั้งแต่อนุบาล ตอนนี้จวนจบป.6 เข้า ม.1 แล้ว ซึ่งก็คงไม่แคล้วโรงเรียนใกล้บ้านนี่ล่ะค่ะ ได้ข่าวว่าเรียนเก่ง ชอบคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ด้วย นับว่าเป็นความหวังของพ่อแม่เชียวละ

ครอบครัวเธอหาเช้ากินค่ำ แม่ขายข้าวแกง พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย พี่สาววัยรุ่นนั้นถึงจะเรียนไม่เก่งแต่ก็เป็นเด็กดี ช่วยแม่ตัวเป็นเกลียว

ท่าทางครอบครัวนี้คงจะไปได้สวย แต่โชคชะตาก็โหดเหี้ยมกับพวกเขาเหลือเกิน นึกแล้วสงสารจับใจ

เช้าวันหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ย่างเข้าหน้าหนาวแบบนี้ล่ะค่ะ ตอนนั้นดิฉันใส่บาตรเสร็จพอดี ฟ้าสางแล้วล่ะ พระท่านกำลังเดินกลับวัด เกือบเจ็ดโมงเช้าแล้ว พี่พรกับน้องเพียวเพิ่งขี่จักรยานผ่านหน้าไป เรายิ้มทักทายและโบกมือให้กันเหมือนเช่นทุกวัน...

ทันใดนั้น ดิฉันได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์บึ้นๆ มาแต่ไกล และแล้วก็...ปัง! ดังสนั่น

ด้วยความสังหรณ์ใจ ดิฉันรีบวางถาด แล้ววิ่งออกไปชะเง้อมอง...นั่นไง!

ชาวบ้าน 2-3 คนวิ่งผ่าน รวมทั้งคนขับตุ๊กตุ๊ก ที่มารับแม่ของน้องเพียวขนของไปขายตลาด เสียงแม่น้องเพียวกรีดร้องไม่เป็นภาษา คนเป็นพ่อหน้าซีดเผือด ตาเบิกโพลง ทั้งคู่วิ่งไปพร้อมๆ กับชาวบ้าน

ตรงโค้งแรกห่างออกไปราว 20 เมตรนั่น...จักรยานล้มคว่ำ มีมอเตอร์ไซค์ล้มกระเด็นไปคนละทาง ร่างของเด็กสองคนกองอยู่กับพื้นเหมือนตุ๊กตาผ้าที่ใครขว้างทิ้ง

ดิฉันไปถึงพอดีกับที่น้องพรยันตัวลุกขึ้นอย่างมึนงง แต่น้องเพียวที่กระเด็นห่างออกไปซิคะ เลือดกำลังไหลจากศีรษะเป็นลิ่มๆ อย่างน่ากลัว มันแดงฉานนองพื้นถนน ใครบางคนจับเธอพลิกหงาย...ดิฉันเห็นใบหน้าที่เคยน่ารักกลับถลอกปอกเปิก เปื้อนฝุ่น สีหน้านั้นเฉยเมยดวงตาลืมโพลงแต่ไร้จุดหมาย ไร้ชีวิต สงบนิ่งโดยไม่มีวี่แววตระหนกตกใจ...

เธอตายสนิทในชุดนักเรียนประถมปลาย สะพายเป้อยู่ข้างหลัง!

งานศพน้องเพียวเศร้ามาก แม่เป็นลมแล้วเป็นลมอีก ลูกสาวเธอเสียชีวิตเพราะคนเมาเหล้าที่บึ่งมอเตอร์ไซค์โดยใช้ซอยเราเป็นทางลัด

ดิฉันยังจำได้ถึงค่ำคืนที่หนาวเยือก ลมพัดกรูเกรียว ใบไม้แห้งระไปกับพื้นเสียงกรอบกราว...ซอยเราเหงาจับใจ ไฟถนนที่สว่างจ้าไม่ได้ช่วยให้รู้สึกอบอุ่นเลย ผู้คนหลบเข้าบ้านเงียบกริบตั้งแต่หัวค่ำ เด็กๆ ไม่ขี่จักรยานไปซื้อของกินเหมือนปกติ...

พวกเขากลัวผีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ค่ะ

ใครๆ ก็ได้ยินเสียงร้องไห้ฮือๆ ในยามดึกสงัดกัน ทั้งนั้น!

แม้แต่ดิฉันเองก็ยอมรับว่ากลัวมาก ไม่กล้าแม้แต่จะเดินออกจากตัวบ้านไปยังสนามหญ้าเช่นเคย ได้แต่อยู่ในบ้านกับลูกๆ เปิดทีวีเสียงดังๆ และเปิดไฟรอบๆ ด้าน เจ้าหมาตัวเล็กก็เห่าบ๊อกๆ แล้วครางโหยหวน มันเห็นสิ่งที่เราไม่เห็นแน่ๆ

ทุกคนพูดกันว่า น้องเพียวมาแต่เข้าบ้านไม่ได้ มีแต่พ่อกับแม่ของเธอเท่านั้นที่ออกมาชะเง้อหาลูกที่เหลือแต่วิญญาณ และพยายามพาลูกเข้าบ้านแต่ไม่สำเร็จ

น้องเพียวร้องไห้ให้ชาวบ้านได้ยินทุกคืน!!

ในที่สุดซอยเราก็ร่วมใจกันทำบุญครั้งใหญ่ บอกน้องเพียวให้รู้ว่าเธอตายแล้วไปสู่สุคติเถิด ไม่ต้องห่วงอะไรทั้งนั้น

หลังจากคืนนั้น น้องเพียวก็เงียบเสียงไป แต่อีกนานเชียวล่ะกว่าทุกคนจะกล้าออกจากบ้านยามที่ค่ำมืด...

ครอบครัวของน้องเพียงนั้นย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้วค่ะ บ้านเดิมก็มีคนมาอยู่ใหม่แล้ว ทิ้งไว้แต่ตำนานและเรื่องเล่าขานที่แสนเศร้า เด็กดีคนหนึ่งซึ่งเป็นความหวังของพ่อแม่ ต้องจบชีวิตด้วยน้ำมือของคนขี้เมา

ใครชอบดื่มเหล้าดื่มเบียร์ก็เชิญตามสบายนะคะ ไม่มีใครห้ามหวง ขอร้องแต่อย่าขับรถเท่านั้น เพราะอุบัติเหตุเกิดจากความมึนเมามากมายเหลือเกิน...ถ้าเดือดร้อนเฉพาะตัวเองก็แล้วไป แต่ส่วนใหญ่พลอยทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ได้รับบาดเจ็บจนถึงเสียชีวิต ส่วนหนึ่งกลายเป็นคนพิกลพิการ หมดอนาคตไปชั่วชีวิต

"ดื่มไม่ขับ" เพื่อตัวของคุณเองและคนที่ใช้รถใช้ถนนร่วมกับคุณด้วยนะคะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 27 พฤศจิกายน 2555

24 ตุลาคม 2556

บ้านมรณะ

"ใบปอ" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากบ้านร้างผีสิง

ฉันไม่เชื่อว่าผีจะหลอกคนให้ถึงตายได้ แต่เรื่องราวต่อไปนี้มันน่าคิดมากเชียวล่ะค่ะ

เรื่องเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนกับพี่ชายเพื่อนสนิทของฉันเอง ตอนนั้นพี่จี๊ดของจุ๋งอายุสิบเจ็ดปีเท่านั้น เราเรียนจบ ม.6 หมาดๆ ยังสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ก็เลยขออยู่ว่างๆ สักปี

ปีหน้าค่อยลองสอบใหม่!

การอยู่เฉยๆ ไม่ได้เรียน ไม่ได้ทำงานอะไรทำให้พี่จี๊ดสนุกกับชีวิตวัยรุ่นอย่างเต็มที่

เขามีเพื่อนเยอะค่ะ ทั้งเพื่อนที่โรงเรียนกับเพื่อนวัยรุ่นในซอยเดียวกัน พวกนี้ชอบทำอะไรแผลงๆ ริอ่านสูบบุหรี่ กินเหล้ากินเบียร์ สนุกสนานจนกลับบ้านตีสามตีสี่เป็นประจำ

ที่แผลงที่สุดก็คือชอบพากันไปลองของตามสถานที่ต่างๆ ที่เขาลือกันว่าผีดุ!!

คืนหนึ่งในเดือนตุลาคม พี่จี๊ดนั่งกินเหล้ากับเพื่อนๆ ตั้งแต่เย็นที่บ้านตัวเอง จุ๋งได้ยินเขาคุยเรื่องผี แล้วก็ท้าทายกันว่าจะไปลองของที่บ้านหลังหนึ่งแถวพุทธมณฑล ซึ่งไม่ไกลจากบ้านเรา

มันเป็นบ้านร้าง! เพื่อนของพี่จี๊ดเล่า ร้างเพราะเจ้าของบ้านไปรถคว่ำตายยกครอบครัว แค่นี้ก็น่ากลัวแล้ว แต่ที่สยองไปกว่านี้คือมีผู้หญิงเข้าไปผูกคอตายในบ้านที่ผุพังทรุดโทรม...และตั้งแต่นั้นมาก็ลือกันว่าผีดุมากๆ

นั่นคือ ผีผู้หญิงที่ตายจะปรากฏให้ผู้คนที่ผ่านไปมาเห็นคนยืนตรงหน้าต่างชั้นสองนั่นเอง!

เล่ากันว่าเธอผมยาวมาก แต่งชุดกางเกงขาสั้นและเสื้อสีขาว ยืนคอพับแบบคนคอหัก มีเลือดไหลออกจากตา จมูกและปาก บางทีเธอก็ยืนบนเพดาน ห้อยหัวลงมา ให้ผมยาวกวัดแกว่งลงถึงพื้น

ว่ากันว่าผีตนนี้เต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น เพราะถูกคนรักทิ้งไปเมื่อเธอบอกว่าเธอท้อง...คิดดูแล้วกันว่าเธอจะเกลียดชังผู้ชายขนาดไหน?

ถึงแม้ผีจะดุนักหนาจนเป็นที่เลื่องลือ แต่ก็ยังมีคนเข้าไปในบ้านหลังนี้อย่างไม่กลัวเกรง ส่วนมากจะเป็นพวกเร่ร่อนแถวนั้น หรือไม่ก็พวกลักเล็กขโมยน้อย โดยคิดจะไปรื้อค้นข้าวของมีค่าในบ้าน

แน่ล่ะค่ะ ทุกคนล้วนแต่เจอดีจนเผ่นกระเจิงไปตามๆ กัน!

เรื่องที่เล่านั้นน่ากลัวนัก

ผีผู้หญิงตายทั้งกลมตนนี้มักจะปรากฏตัวอยู่ในห้องที่เธอตาย ตอนแรกก็ดูเหมือนคนธรรมดา แต่อีกไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็จัดการแขวนคอให้ดูซะงั้น!

คนเคราะห์ร้ายที่โดนหลอกหลอนสาหัส ล้วนแต่บอกกล่าวตรงกันว่า...คอของเธอหักดัง กร๊อบ! แล้วร่างของเธอก็ค่อยๆ เน่าเฟะ ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง

บางรายเห็นเด็กอ่อนๆ ในท้องหลุดผลัวะออกมา แล้วสำแดงเดชลุกขึ้นยืนจังก้า แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอนทันใด!

คืนนั้นมีการท้าทายว่าถ้าใครเก่งจริงก็ให้ค้างคืนในบ้านร้างผีสิงหลังนั้น แล้วรุ่งเช้าเพื่อนฝูงจะมารับ

คนที่รับคำท้าคือพี่จี๊ด เขาอยู่ในบ้านคนเดียวท่ามกลางความมืดมิด บรรยากาศเยือกเย็นและเปล่าเปลี่ยวน่าวังเวงใจ มีแต่เสียงหมาเห่าหอนโหยหวน เสียงลมพัดตามยอดไม้ดังซู่ซ่าเกรียวกราว ฟังเหมือนเสียงใครกลุ่มใหญ่กำลังหัวเราะเย้ยหยันอย่างสาสมใจ

รุ่งเช้า เพื่อนฝูงก็ยกโขยงไปรับตามสัญญา!

น่าแปลกประหลาดที่ไร้เสียงขานตอบ ไม่ว่าจะร้องตะโกนเรียกแค่ไหนก็ไม่มีเสียงตอบตามเดิม จนกระทั่งพวกเพื่อนๆ ต้องเดินเข้าบ้านที่มีฝุ่นจับเขรอะ เสียงลมพัดประตูหน้าต่างดังเอี๊ยดอ๊าดเขย่าขวัญแทบตลอดเวลา

ทุกคนต่างเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความหวาดระแวงไปตามๆ กัน!

จนกระทั่งขึ้นไปถึงชั้นสอง...

ภาพที่เห็นทำให้เพื่อนฝูงหยุดชะงัก...นั่นคือพี่จี๊ดนั่งพิงฝา ขาแผ่กาง นัยน์ตาแข็งค้างเบิกโพลง ฉายแววหวาดกลัวน่าขนหัวลุก ท่าทางเหม่อลอยไม่ได้สติ และมีไข้ขึ้นสูงปรี๊ดจนต้องรีบนำส่งโรงพยาบาล

พี่จี๊ดมีชีวิตอยู่ต่อมาได้เพียงสองวัน เขาเพ้อว่าจะไปอยู่กับผู้หญิงในบ้านหลังนั้น

แพทย์ลงความเห็นถึงการตายของพี่จี๊ดว่าไวรัสขึ้นสมอง แต่พวกเราเชื่อว่าเขาถูกผีหลอกจนตาย และที่ร้ายสุดๆ คือผีตนนั้นเอาเขาไปอยู่ด้วยได้สำเร็จ...เสร็จผีมันเลยล่ะค่ะ!!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555

22 ตุลาคม 2556

หนี้แค้น

โอม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณเด็กๆ ผู้ติดตามทวงหนี้ชีวิต

คุณยายแจ่มของผมอายุ 84 ปี มีอาการสมองเสื่อม จอประสาทตาเสื่อม เส้นเอ็นหลังเข่ายึดจนเหยียดขาไม่ได้ ต้องนั่งๆ นอนๆ อยู่บนเตียงเท่านั้น

แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือท่านเห็นภาพหลอนเป็นประจำเลยครับ มันน่ากลัวมากเชียวละ!

ภาพหลอนของคุณยายมีทั้งเด็กทั้งผู้ใหญ่ ชายและหญิง บ้างคุณยายก็รู้จัก บ้างก็ยังมีชีวิตอยู่ บ้างก็ตายไปแล้ว แต่ตอนหลังๆ นี่คุณยายเห็นคนที่ไม่รู้จัก บางรายเหมือนคนธรรมดา บางรายหน้าตาประหลาด พิกลพิการ ผมจะยกตัวอย่างให้เห็นภาพกันนะครับ

ตอนที่เป็นใหม่ๆ คุณยายบอกผมว่า

"นี่โอม หนูลองโทร.ไปหาป้าตุ๊กซิ เขาเป็นอะไรรึเปล่าก็ไม่รู้ เมื่อกี้ยายเห็นเขาเดินเข้ามาข้างเตียง มากราบแล้วก็นั่งจ้องยาย ถามอะไรก็ไม่พูด"

น้าตุ๊กสบายดีครับ คุณยายแจ่มเห็นเองเป็นตุเป็นตะ อาการแบบนี้เป็นมาสองปีกว่าแล้ว ตอนแรกๆ ผมก็ตกใจ แต่หลังๆ นี่ชินแล้วครับ

"โอมเอ๊ยมานั่งตรงนี้ซิ ข้างๆ ยายนี่แหละ แล้วมองไปที่กระจกโต๊ะแต่งตัวนั่น ดูซิ! เห็นสองคนนั่นมั้ย เป็นผู้หญิงกับผู้ชาย ผู้หญิงน่ะหน้าเป็นคนธรรมดา แต่ผู้ชายปากยาวเหมือนนกเลย อุ๊ย...เขาหันมามองเราแล้ว!"

ผมได้แต่บอกว่าไม่เห็น คุณยายเห็นไปเอง ไม่มีอะไรหรอก ไม่ต้องกลัว!

คุณยายไปพบหมอทุกสองเดือนได้ยามากิน แล้วก็มียาเป็นแผ่นบางเท่ากระดาษ เส้นผ่าศูนย์กลาง 3 เซนติเมตรไว้ปะอก แก้อาการหลงลืม แผ่นละตั้งสามร้อยกว่าบาทแน่ะครับ กล่องละหมื่นกว่าๆ ใช้ได้หนึ่งเดือน...ผมทราบเพราะเป็นคนปะยาให้คุณยายเอง

เรื่องยานี่เป็นหน้าที่ผมหลังจากกลับจากโรงเรียน และผมก็นอนกับคุณยายด้วย

แหม! บางคืนก็ตกใจแทบตาย เพราะท่านละเมอว่าช่วยด้วย!! ลั่นห้องเลย ท่านฝันว่ามีคนจะมาทำร้ายน่ะครับ เวลาที่กลัวแล้วเพ้ออย่างนี้ก็มียาให้กินเหมือนกัน

ระยะหลังๆ คุณยายมักเห็นใครต่อใครเดินออกมาจากฝาผนัง

"โอมเอ๊ย พรุ่งนี้ซื้อหนังสือ ก.ไก่มาให้ยายนะ นั่น...เด็กๆ พวกนั้นน่ะอยู่กลางห้อง จะมาขอเรียนหนังสือกับยาย ซื้อขนมมาด้วยล่ะ สำหรับ 6-7 คนนะ"

บางวันผมกลับจากโรงเรียน เห็นขนมของคุณยายใส่จานมาวางอยู่กลางห้อง คุณยายนั่นละครับ อุตส่าห์ถัดจากเตียงเอาจานขนมไปวาง บอกว่าเด็กๆ จะมากิน พอผมเก็บมาไว้ที่ข้างเตียง คุณยายก็บอกว่าเด็กๆ โกรธกันใหญ่ ผมต้องเอาไปวางไว้กลางห้องตามเดิม

ผมสงสัยจริงๆ ว่าทำไมคุณยายมักจะเห็นเด็กอยู่เสมอ?

มาวิ่งเล่นบ้าง ขอขนมบ้าง เรื่องนี้ผมไปถามแม่จึงได้คำตอบที่น่าขนลุกว่า คุณยายแจ่มน่ะเป็นพยาบาลใจดี คนไข้รักมาก แต่ข้อเสียก็คือมักมีผู้หญิงรุ่นๆ มาขอให้คุณยายทำแท้งให้ด้วยปัญหาจำเป็นร้อยแปด คุณยายก็ทำให้โดยคิดว่าตัวอ่อนในท้องยังไม่เป็นมนุษย์

ถ้าผู้หญิงที่มีท้องมีปัญหาเลี้ยงลูกไม่ได้หรือไม่ให้พ่อแม่รู้ก็ไม่เป็นไร เอาออกซะก็หมดเรื่องกันไป!

แต่มาถึงทุกวันนี้ คุณยายทราบดีว่าสิ่งที่เคยทำไปในอดีตนั้นมันผิดและบาปมากเท่ากับการทำลายชีวิตเด็กที่เป็นตัวอ่อนนั้น

ดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสในมดลูกที่เคยเป็นสวรรค์อันอบอุ่น อวัยวะอ่อนๆ ล้วนกระสับกระส่ายแดดิ้นด้วยความเจ็บและปรารถนาที่จะรอดชีวิตดุจเดียวกับสัตว์โลกทั่วๆ ไป

ขนาดคาดเดาตามประสาเด็ก ผมยังขนลุกซ่าไปทั้งตัว หนาวยะเยือกไปตามแผ่นหลังเหมือนถูกนาบด้วยก้อนน้ำแข็ง ปากคอแห้งผาก...กลืนน้ำลายจนแทบจะกลั่นไม่ทัน!

เป็นไปได้มั้ยครับ ว่าภาพหลอนต่างๆ นานาล้วนแต่เกิดจากจิตใต้สำนึกที่เก็บกดความผิดบาปในอดีตกาลเอาไว้นั่นเอง

กรรมเวรที่เราก่อไว้ในอดีต ไม่ช้าก็เร็วผลกรรมก็ย่อมจะติดตามมาจนทันเรา...แม้ในวาระสุดท้ายอย่างแน่นอน!

แต่ภาพหลอนที่ว่านั้นมันช่างดูเป็นจริงเป็นจังซะจนผมอดคิดไม่ได้ว่ามันไม่ใช่ภาพหลอน ทว่าเป็นวิญญาณของเด็กๆ ที่ยังไม่ไปผุดไปเกิด คอยติดตามทวงหนี้แค้น...หนี้ชีวิตจากคุณยายอย่างไม่ลดละ

คิดแบบนี้แล้วเล่นเอาผมหนาวเยือกไปทั้งตัว ขนหัวลุกเลยครับ! บรื๋อออ....

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 21 พฤศจิกายน 2555

20 ตุลาคม 2556

คืนหนึ่งที่อยุธยา!

"ครูเล็ก" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อพาเด็กไปทัศนศึกษา

ดิฉันเป็นครูของเด็กนักเรียนระดับประถม โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ นี่ล่ะค่ะ เหตุการณ์ขนหัวลุกที่จะเล่านี้ เกิดขึ้นเมื่อดิฉันต้องดูแลเด็กๆ ไปเข้าค่ายที่อยุธยา

โรงเรียนดังกล่าวนี้เป็นโรงเรียนแบบสองภาษา ค่าเล่าเรียนค่อนข้างสูง แถมยังมีการสอนพิเศษอื่นๆ เพื่อเพิ่มทักษะให้กับนักเรียนให้ดีที่สุด เช่น ว่ายน้ำ, คอมพิวเตอร์, บัลเลต์ แต่ละคอร์สนั้นมีค่าใช้จ่ายคนละหลายพัน เช่นเดียวกับการออกไปทัศนศึกษานอกสถานที่ ซึ่งแต่ละครั้งผู้ปกครองต้องจ่ายไม่ต่ำกว่าห้าพันบาท

ที่บอกมานี้ไม่ได้อวด หรือทำให้ท่านผู้อ่านเกิดอาการขนหัวลุกกับค่าใช้จ่ายนะคะ!

สมัยนี้ก็แบบนี้ล่ะค่ะ ดิฉันเพียงแต่จะให้เห็นภาพว่า สิ่งแวดล้อมโดยรวมของโรงเรียนและลูกศิษย์ตัวน้อยนั้น ทุกอย่างต้องชั้นหนึ่งเสมอ

การพาเด็กไปเข้าค่ายทุกครั้ง เราก็ไม่ได้พาเด็กไปนอนกลางดินกินกลางทรายตามค่ายพักแรมทั่วๆ ไปนะคะ แต่เราไปเหมาชั้นของโรงแรมระดับสี่ดาวขึ้นไป ผู้ปกครองจะตามไปดูก็ได้ค่ะ และทุกท่านพอใจมากในการที่เห็นลูกๆ ได้อยู่สบายและปลอดภัยที่สุด...ลูกศิษย์ดิฉันนอนห้องแอร์ ตื่นเช้าก็กินเบรกฟาสต์อย่างดี และขึ้นรถทัวร์ไปทัศนศึกษา

การพาเด็กไปเข้าค่ายคราวนี้ เราไปถึงสุโขทัยแน่ะค่ะ เด็กๆ สนุกมาก ขากลับเข้ากรุงเทพฯ เราก็ค้างที่อยุธยากัน 2 คืน

โรงแรมหรูที่อยุธยานี่สะดวกสบายมากค่ะ เราให้เด็กนอนห้องละ 3-4 คน โดยแยกเด็กหญิงกับเด็กชาย รวม เด็กทั้งหมดร้อยคนเศษ เป็นเด็กป.4 กำลังน่ารักน่าเอ็นดูกันทั้งนั้น

คืนแรกที่ไปถึง เด็กๆ ตื่นเต้นสนุกสนาน แม้จะเดินทางไกลกลับมาจากสุโขทัยก็ตาม พวกเขามีพลังเหลือเฟือจริงๆ พวกครูๆ ซิคะชักจะเหนื่อยแล้วล่ะ แต่พอเห็นสีหน้าท่าทางของเด็กๆ แล้วเราก็ชื่นใจหายเหนื่อย

ราว 4 ทุ่ม ดูแลความเรียบร้อย พาลูกศิษย์เข้านอนครบทุกคน น่าสังเกตว่าเด็กๆ ส่วนใหญ่นอนหัวค่ำ ราว 3-4 ทุ่มแกก็ง่วงกันแล้วค่ะ ทำให้งานของครูๆ เบาลงเยอะเชียว

ดิฉันอยู่ในบรรยากาศที่น่าสบายใจมาก หลังจากไปเซย์กู๊ดไนต์กับเด็กทุกห้องแล้ว ดิฉันก็กลับมานอนกับลูกศิษย์ 3 คนในห้องพัก ที่อยู่ในช่วงกลางของห้องทั้งหมดในฟลอร์นั้น

ห้องนี้ก็อยู่หน้าลิฟต์พอดีเป๊ะ!

เมื่อเด็กๆ หลับกันหมดแล้ว ดิฉันก็เขียนรายงานประจำวันอีก 2-3 หน้าจากนั้นก็อาบน้ำแล้วปิดไฟนอน

กลางดึกสงัด และเสียงเบาๆ ของเครื่องปรับอากาศ ดิฉันลืมตาขึ้นในความมืด หูแว่วเสียงเด็กจำนวน มากมาเล่นกันอยู่ที่หน้าห้อง...มันเป็นเสียงเจี๊ยวจ๊าวราวกับพวกแกกำลังสนุก สนานกันสุดขีด สงสัยว่าจะวิ่งเล่นไล่จับกันมั้ง นั่นน่ะ?

ดิฉันนอนนิ่ง ลืมตาโพลง ท่านผู้อ่านคงจะเห็นใจดิฉัน นะคะ ว่าคนเพิ่งตื่นใหม่ๆ ช่วง 2-3 วินาทีแรกมันมึนงง น่าดูเลย จับต้นชนปลายไม่ถูกทีเดียว...หลังจากนั้น สติก็ เริ่มมา...

ดิฉันขนลุกซ่า...มันอะไรกันนี่? เป็นไปไม่ได้แน่!

ขณะผุดลุกขึ้นนั่ง เสียงหัวเราะเฮฮาของเด็กๆ หน้า ห้องก็ยังได้ยินอยู่อย่างชัดเจน...เป็นเด็กธรรมดาๆ นี่ล่ะค่ะ ลองนึกภาพตามมานะคะ...เสียงนั้นไม่ผิดอะไรกับเด็กสักสิบคนมาวิ่งเล่นกันจริงๆ แต่ดิฉันก็ตระหนักดีว่ามันเป็นไปไม่ได้...ยิ่งเมื่อหยิบนาฬิกาขึ้นมาดูและพบว่าเป็นเวลาตี 2 ดิฉันก็ยิ่งขนลุก แต่เสียงที่เหมือนมนุษย์ธรรมดาๆ ทำให้ดิฉันชักลังเล

เอ...รึว่าลูกศิษย์แสนซนจะนอนไม่หลับเลยลุกมาวิ่งเล่นกัน แต่...มันเป็นไปไม่ได้!

ไม่รู้อะไรมาดลใจ ดิฉันลุกขึ้นอย่างไม่ค่อยรู้ตัวนัก แล้วเดินไปที่ประตู...หลังจากชะงักอยู่อึดใจ ดิฉันก็ปลดโซ่ ปลดล็อก เปิดประตูออกดูว่ามันเกิดอะไรขึ้นข้างนอกนั่น?

คุณพระช่วย! ดิฉันเย็นวาบไปทั้งร่าง คิดว่าจะเจอแต่ความว่างเปล่า...แต่ไม่ใช่ค่ะ! มีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งอยู่ที่หน้าห้อง เธอนุ่งผ้าถุงสีแดง ใส่เสื้อคอกระเช้าสีขาวสะอาด ผมสั้นแค่หูเหมือนเด็กนักเรียน...

เธอกำลังกระโดดเชือกเล่นอยู่คนเดียว และหันหลังให้ดิฉันด้วย

ไม่ต้องเดาหรอกค่ะ เห็นแค่นั้น...ดิฉันก็รู้ว่าผี!!

ทันใดที่ดิฉันนึกถึงคำว่า "ผี" เด็กน้อยก็หยุดกึก ยืนนิ่ง มือทั้งสองที่แต่ละข้างถือปลายเชือกห้อยอยู่ข้างตัว และแล้ว...เธอก็ค่อยๆ หันมา...หันมา...แต่ส่วนไหล่และช่วงลำตัวยังนิ่งสนิทคล้ายรูปปั้น เธอหันเหมือนลินดา แบลร์ ในหนังเรื่อง "เอ็กโซซิสต์" ยังไงยังงั้น

ใบหน้าเธอสะสวยน่ารัก และเธอยิ้มให้อย่างแจ่มใสที่สุด แต่ดิฉันหน้ามืด วูบไปเลยค่ะ

เป็นอันรู้กันว่าดิฉันเหนื่อยจนลมจับกลางดึก ขณะจะมาตรวจความเรียบร้อยของเด็กๆ อีกรอบ มีเพื่อนครูของดิฉันไม่กี่คนที่รู้ความจริง...ความจริงที่น่าขนหัวลุกที่สุดค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 5 พฤศจิกายน 2555

16 ตุลาคม 2556

คาถา: สำหรับหมอดู

  • คาถาพระพุทธเจ้าเปิดโลก
  • คาถาอารธนาปู่ฤาษี พรหมนารอด (ปู่ครูหมอดู)
  • หลักการพยากรณ์โหราศาสตร์เลข ๗ ตัว 9 ฐาน
Download ไฟล์ PDF (68 หน้า) ได้ที่ http://j.gs/2yx3

14 ตุลาคม 2556

ผูกสายสิญจน์ ให้หนูด้วยยยยย

เพื่อนผมซื้อกะบะ izusu มือสองมา 2 สัปดาห์ ให้ทายว่าเมื่อคืนเจออะไร

เมื่อสองสัปดาห์ก่อน เพื่อนไปซื้อ กะบะ izusu มือสองเอาไว้ขนของ ราคา140000 เครื่องนิ่ง วิ่งดี ช่วงล่างดี ไม่เคยชนหนัก ดูประวัติแล้ว รถ 10 กว่าปี ได้ขนาดนี้ ราคานี้ คุ้มครับ

มันก็ซื้อเอาไว้ส่งของแทนคันเก่าที่วันดีคืนดี ไอ้นั้นพังไอ้นี่ซ่อม

เมื่อคืนนี้เอง มันมาหาผมที่บ้าน ผมชะโงกหน้าออกไปดูมันที่หน้าต่าง ผมเห็นรถมันก็ไม่ได้สนใจอะไร เลยเดินออกไปเปิดกลอนประตูบ้านให้
มันก็ลงจากรถจอดไว้ริมรั้ว แล้วเดินเข้ามาแบบวิ่งๆ แต่ทีนี้พอมันเดินมาถึงประตูผมก็ แซวๆมัน

"เฮ้ย มรึงไม่เอาน้องเขาลงมาด้วยละ"

เท่านั้นแหละครับ มันว่า ...

"เออ มรึงไปนอนเลย วันนี้กรูจะนอนที่นี่ แล้วห้ามถามมากเดี๋ยวโดนกรูต่อย"

อ่ะ ผมก็งงๆนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะมันก็ปกติของมันอยู่แล้ว พาหญิงมาแต่ไม่แนะนำเพื่อน

เมื่อเช้ามันมาเคาะห้องผมแล้วปลุกผมไปวัด ผมก็ไปงงๆกับมัน พอถึงวัด ก็บ้างอ้อ มันร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลขอให้หลวงพ่อ รดน้ำมนต์ที่รถมันหน่อย มันว่า

ตอนที่ซื้อมาวันแรกขับรถกลับบ้านก็โดนเลย แม่ทักว่าทำไมพาผู้หญิงมาแล้วไม่เรียกเข้าบ้าน เพื่อนผมก็งงๆ ก็มาคนเดียว แล้วก็แบบนี้ทุกคืน ยิ่งคืนไหนวิ่งไปส่งของตอนดึกละ โดนลูกค้าทักทุกราย ตอนนั้นมันรู้ตัวแล้ว แต่ก็ยังใจดีสู้เสือ (ก็ไม่เคยเห็นกะตา) จนคืนที่มันมาหาผม มันว่า เมื่อตอนเย็นตอนกำลังส่งของ บังเอิญเจอพระธุดงข้างทางเลยนิมนต์ถามท่าน ท่านว่าจะไปอีกวัดหนึ่ง มันก็ว่าเป็นทางผ่าน อ้อมนิดหน่อยไม่เป็นไร เลยอาสาไปส่งท่านก็ไป แต่พอท่านลงรถ ท่านให้สายสินญ์มาสองเส้น 1 เส้น ท่านให้เพื่อนผม อีกหนึ่งเส้นท่านว่า ให้น้องเขาด้วย เขาไม่ได้มาร้าย

เท่านั้นแหละเพื่อนผมมันว่ามันไม่ไหวแล้ว แต่เด็ดสุดอยู่ที่

ตอนมันกำลังวิ่งมาหาผมนี่แหละ มันได้ยินเสียงในรถว่า..."ผูกสายสิญจน์ ให้หนูด้วยยยยย" เท่านั้นหและ  มันเหยียบอู้ถึงบ้านผมนี่แหละ

วันนี้ผมเลยมาทำงานสาย ส่วนมัน มันว่าเดี๋ยวจะเอารถไปที่เต้นท์ไม่ไหวเหมือนกัน

หุ หุ หุ หุ

11 ตุลาคม 2556

ผีเด็กในโรงเรียน

เรื่องนี้เกิดขึ้นตอนเราอยู่ป.4 ตอนนี้อยู่ม.2 นะคะ เราชื่อกิ่ง  

วันนั้นที่โรงเรียนได้จัดให้มีการเข้าค่ายระดับจังหวัด ซึ่งมีอยู่หลายโรงเรียนมากเลย โดยที่แต่ละคนอาจจะไม่ได้อยู่กะดรงเรียนตัวเอง คือมีการแบ่งห้องนอนโดยการจับฉลาก และกิ่งก้อได้เบอร์ 13 ห้องทั้งหมดมีอยู่ 15 ห้อง

เมื่อได้หมายเลขกิ่งเลยไปอยู่กลุ่มที่จับได้หมายเลขนั้น ในกลุ่มมีคนอยู่ 48 คน ซึ่งกิ่งไม่รู้จักใครเลยและสักพักก้อมีคนมาทักกิ่งบอกว่า-นี่ๆเทอเบอร์13อยู่กลุ่มใหนหรอ-
กิ่งเลยตอบว่า -ก้อกลุ่มนี้แหละค่ะ --หรอคะขอบใจมากนะเราไม่รุจักใครเลยเทอชื่ออารัยอ่ะ - เราชื่อกิ่งเทออ่ะ - เราชื่อฝนนะ - หลังจากนั้นฉันหรือกิ่งก้อได้เข้าประชุมห้องที่ฉันอยู่และก้อเข้านอนแต่กิ่งไม่ชินกับสถานที่จึงนอนไม่หลับ

ก้อเห็นว่าคนอื่นหลับกันหมดแล้ว เราก้อเปงคนกลัวความมืด จึงจะหาเพื่อนมาเดินตากลมด้วย และก้อเห็นฝนลุกขึ้นมา กิ่งตกใจมาก กิ่งก้อถามฝนว่าจะไปใหน ฝนก้อไม่ตอบเหมือนไม่เห็นฝนอยู่ในสายตา กิ่งจึงเดินตามในคืนนั้นน่ากลัวมาก กิ่งก้อเดินออกไปเหนฝนยืนจ้องเด้กอีกคนหนึ่งและเด็กคนนั้นก้อเดินตามฝนไปกิ่งงมากแต่ก้อยังตามไปดุเสียงหมาเริ่มหอนกิ่งคิดว่ามันเริ่มผิดสังเกตุ กิ่งจึงีบวิ่งไปดุว่าเกิดอารัยขึ้นเพราะว่าสองคนนั้นเดินเร็วากจนกิ่งเดินไม่ทันสักพักทั้งสองคนก้อหยุดกิ่งก้อเหนเหมือนฝนกำลังผลักเด็กคนนั้นให้ตกน้ำ

แต่เด็กคนนั้นเหมือนว่ายน้าเป็นจึงตะเกียกตะกายขึ้นมาและร้องขอความช่วยเหลือและร่างของฝนกลายเปงอารัยที่น่ากลัวและน่าสยดสยอง กิ่งจึงกรี๊ด และทันใดนั้นฝนก้อมาอยู่ตรงหน้ากิ่งและบอกว่าเทอไม่ควรทำอย่างนี้เลย และกิ่งก้อกรี๊ดอีกรอบและตื่นขึ้นมาโดยมีฝนนั่งอยู่ข้างๆว่าเทอเปนอารัยกิ่งจึงตอบว่า ปล่าวนอนต่อแต่กิ่งก้อสังเกดว่าคนที่อยุ่รอบตัวกิ่งมองกิ่งแปลกๆและพอช่วงอาบนำก้อได้เกิดเรื่องราวน่ากลัวขึ้นเมื่อเด็กคนที่กิ่งฝันเหนเมื่อคืนนอนสลบอยุ่ข้างสระนำเนื้อตัวเปนเมือก

กิ่งตกใจมาจึงเป็นลม เพื่อนที่อยู่โรงเรียนเดียวกันก้อมาช่วยพาไปที่ห้องพยาบาล และเมื่อกิ่งตื่นขึ้นมาเพื่อนๆของกิ่งจึงถามว่า เป็นอารัยเด่วนี้ชอบพูดคนเดียวอยู่บ่อยๆ กิ่งงงมากจึงถามกลับว่าตอนใหนก้อตอนที่เทอเข้าแถว เทอก้อคุยอยู่คนเดียวอ่ะ เมื่อวานน่ะตอนที่ประชุมห้องอ่ะเมื่อกิ่งรู้ซึ้งถึงขนาดนั้นแล้วจึงไม่กล้าคุยกับฝนซึ่งอยุ่ข้างๆกิ่งโดยที่ไม่มีใครมองเหนเลย

วันต่อมาวันที่3 กิ่งก้อไปเหนฝนคุยกับคนอื่นและย้ายไปนอนห้องอื่นกิ่งตกใจมากและคิดว่าคืนนี้ต้องมีอารัยที่แปลกๆแน่ๆ จึงไปดักดูอยู่ในช่วงกลางคืนเปนอย่างนั้นจิงๆด้วยเด้กคนนั้นเดินตามฝนออกมาและฝนก้อมาหยุดตรงหน้าและบอกว่าเดินตามมา กิ่งก้อเดินตามไปและเมื่อถึงสระนำฝนก้อบอกว่าเทอไม่หน้าตามฉันมาในคืนวันก่อนและพยายามจะผลักฝนให้ตกสระนำแต่ฝนก้อผลักออกมา และรู้สึกเหมือนไม่มีเรี่ยวแรงจึงสลบไปและเมื่อตื่นมากิ่งก้อพบว่าตัวเองอยู่ที่โรงพยาบาลแล้วและเด็กคนนั้นล่ะ

เป็นความเชื่อส่วนบุคคล ทุกท่านที่อ่านโปรดใช้วิจารณญาณเองนะค่ะ

ที่มา Navy22

09 ตุลาคม 2556

หมอดู คนทำแท้ง (วิญญาณ) และเสาไฟฟ้าแรงสูง

ขอประทานอภัยที่ยาวไป แต่หากจะมีประโยชน์กับบุคคลทั่วไปและกำลังหาทางออก โปรดอ่าน  (หากบทความนี้คิดว่า ช่วยสังคมได้กรุณาแสดงไว้แบบนี้ แต่หากเห้นว่าขัดต่อผลประโยชน์ของท่าน ลบได้เลย เพราะทางเรามืได้หวังผลประโยชน์มากมายเพียงแต่ต้องการให้คนที่กำลังมีทุกข์ และหาทางออกไม่ได้ ได่ยิ้มพร้อมเห้นทางออกอีกครั้ง ขอบคุณ)

เรื่องประหลาดที่เกิดขึ้นจริงในระหว่างที่ผมไปดูหมอที่แถวเมืองทองธานี เรื่องนี้เป็นเรื่องที่แปลกมากเลยครับ

และก่อนอื่นผมต้องขอเตือนก่อนว่าคนที่กลัวผีก็ไม่ควรที่จะอ่านคนเดียว เพราะมันอาจทำให้คุณรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมาได้ง่าย ๆ เรื่องมันเริ่มจากเย็นวันหนึ่งมีลูกค้าที่จัดว่าสนิทกับผมติดต่อมาว่า จะให้ผมช่วยไปดูดวงให้ญาติของเขาหน่อยบรรยากาศในวันนั้นท้องฟ้าเริ่มมืดอากาศเริ่มเย็น เพราะว่าวันนั้นผมมีนัดตอนช่วงเวลาค่ำๆพอดีในตอนนั้นมองดูว่าเรื่องอากาศที่เกิดขึ้นแบบนั้น มันคงเป็นเรื่องที่เป็นปกติของมันอย่างนั้นเองคงไม่มีอะไรที่แปลกประหลาดอะไรนัก แต่เอาเข้าจริงๆวันนั้นเหตุการณ์มันไม่ได้มีความราบเรียบแบบที่ผมคิดว่ามันจะเป็น วันนั้นมีคนที่มาดูดวงกับผมอยู่หลายคน และหนึ่งในนั้นเป็นผู้หญิงคนหนึ่งที่เป็นญาติกับลูกค้าผมมาดูดวงกับผมด้วย

 ผู้หญิงคนนี้เริ่มดูดวงกับผมเป็นคนแรก คนนี้หละครับคนที่จะมีปัญหาทำให้ผมและใครบางคนที่อ่านอยู่คนเดียวในตอนนี้ เกิดความรู้สึกหวาดเสียวได้ในแบบที่คุณไม่คาดคิดมาก่อนเลย ในตอนที่เริ่มดูดวงผมถาม วันเดือนปีเกิด ก่อนเป็นอันดับแรกและมาเปิดตำราดูว่าตรงกับวันและเดือนอะไรปีนักษัตรอะไร เวลาที่ผมเริ่มตั้งดวงตอนแรกก็เริ่มมีความรู้สึกที่ไม่ค่อยจะสบายใจเท่าไรนัก ตอนนั้นรู้สึกเหมือนถูกรบกวนจากสิ่งลี้ลับบางอย่าง ที่มันมีความรู้สึกขัดและเหมือนมีใครบางคนที่ไม่ได้คิดจะดูดวงแต่เข้ามาอยู่ในบ้านหลังนั้นด้วย รู้สึกเหมือนถูกมองจากสายตาที่ไม่สบอารมณ์กับการกระทำของผมนักผมเริ่มเขียนตัวเลขดูดวงก็มีความรู้สึกเหมือนขัดๆ

และเหมือนมีอะไรบ่างอย่างหรือใครบางคนไม่อยากที่จะให้ผมดูดวงให้ผู้หญิงคนนี้เท่าไรนัก แต่ตอนนั้นผมเองก็ไม่สนใจกับพลังงานที่ถูกส่งมาเท่าไรหรอกครับเพราะผมมีความคิด ว่าทุกคนที่มาให้ผมดูดวงให้ส่วนใหญ่ก็จะเป็นคนที่มีเจ้ากรรมนายเวรด้วยกันทั้งนั้นหละครับ เพราะฉะนั้นใครๆที่มาดูดวงกับผมก็ต้องมีอะไรสักอย่างมาขัดๆ เป็นเรื่องปกติเกือบจะทุกคนหละครับเลยไม่สนใจอะไร โดยนิสัยส่วนตัวผม สมัยก่อนๆ หากมีอะไรที่เป็นสิ่งลี้ลับมาขวางในระหว่างที่ผมดูดวงให้ลูกค้า ผมจะไม่ค่อยสนใจกับสิ่งที่ขวางผมมากนักเพราะผมมองว่าเป็นหน้าที่ๆผมจะต้องช่วยลูกค้าให้สามารถผ่านช่วงเวลาอันเลวร้ายนั้นไปให้ได้

และวันนั้นผมก็คิดอย่างนั้นหละครับผมไม่สนใจหรอกเพราะผมคิดว่าถ้าลูกค้าเขามาเจอเรา เข้าให้ความไว้วางใจเราเขาจะมีเจ้ากรรมนายเวร หรือสิ่งลี้ลับที่แรงขนาดไหนผมก็คิดว่าผมสามารถช่วยเข้าได้แต่วันนั้นมันกลับไม่เป็นแบบที่ผมคิด คือยิ่งผมพยายามเขียนดวงยิ่งคำนวณดวง มันก็ยิ่งมีแรงอะไรบางอย่างที่มาต้านทานกับพลังในตัวผมมากขึ้น และมันยิ่งมีพลังงานที่แรงมากขึ้นที่มีผลกับการทำงานของผม ในตอนนั้นผมก็มีความรู้สึกที่อยากจะฝืนเอาชนะมันให้ได้ จนมีความรู้สึกเหมือนพลังงานหรือใครบางคนที่อยู่แถวนั้น คนที่พวกเราไม่ได้เชิญเขาเกิดความรู้สึกหงุดหงิดหรือเกิดความรู้สึกทนไม่ไหวเลยต้องมีการสื่ออะไรบางอย่างให้ผมรู้ว่า ?อย่าไปยุ่งกับมันปล่อยให้มันทรมารอยู่แบบนี้หละ? ในตอนนั้นผมได้ยินเสียงผู้ชายคนหนึ่งเป็นเสียงที่มีความทุ้มลึก มากระซิบที่ข้างๆหูของผม ในตอนนั้นที่ผมได้ยินผมเองก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อะไรและทำเป็นเหมือนไม่ได้ยิน

 เพราะคิดว่าคงเป็นแค่เจ้ากรรมนายเวรของลูกค้าผมธรรมดาไม่สนใจอะไรมากนัก และตั้งหน้าตั้งตาดูดวงหรือคำนวณดวงให้เสร็จๆไป ยิ่งพยายามดูดวงต่อไปก็ยิ่งมีแรงต้านทานมากกว่าเดิมไปอีกหลายเท่า พูดถึงแล้วก็ยิ่งรู้สึกไม่ค่อยปลอดภัยในตอนนั้นเท่าไรนัก เพราะผมยิ่งฝืนทำต่อไปก็ยิ่งมีสิ่งที่น่ากลัวมากขึ้นเกิดมากกว่าเก่าไปอีกคือเริ่มมีฝนตกพรำๆ อากาศเริ่มมีความเย็นยะเยือกมากขึ้น และมีเรื่อที่ไม่ปลอดภัยมากขึ้นกับชีวิตของผมและคนที่อยู่ในที่นั้นด้วย คือเสาไฟฟ้าแรงสูงที่อยู่หน้าบ้านที่ผมไปดูดวงซึ่งห่างจากที่ผมนั่งดูดวงอยู่ไม่ไกลจากตรงนั้นมากนักเริ่มมีปัญหาอะไรบางอย่างเกิดขึ้นในตอนนั้นแรกๆผมเริ่มได้ยินเสียงแปรบๆ เบาๆก่อน

ตอนที่ได้ยินก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก เพราะเราคิดว่าเราไม่สนใจเดียวอะไรที่มันวุ่นวายรอบๆตัวมันก็คงหายไปเอง แต่เอาเข้าจริงๆ มันไม่เป็นอย่างนั้น เพราะยิ่งผมไม่สนใจเหตุการณ์มันก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากกว่าเดิมไปอีกและยิ่งน่ากลัวมากขึ้น คือนอกจากที่จะมีเสียงดังแปรบๆ ออกมาจากเสาไฟฟ้าแรงสูง แล้วมันยังเริ่มมีประกายไฟแลบออกมาอีกและยิ่งนานขึ้นมันก็ยิ่งมีประกายไฟตกลงมาจากเสาไฟฟ้ามากขึ้นมากขึ้นตามลำดับ และตอนที่ผมหันไปดูผมก็ตกใจมากและเริ่มคิดว่าถ้าหากสายไฟขาดลงมามันคงเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากเลยทีเดียว เพราะว่าด้านล่าง แถวต้นเสามีน้ำฝนที่ตกก่อนน่านี้ขังอยู่ และที่ผมลืมบอกไปก็คือในระหว่างที่มันเริ่มดังและมีประกายไฟใหม่นั้น ก็เริ่มมีคนแถวๆนั้นเดินออกมาดูและถ้าผมจำไม่ผิดคนที่มายืนดูรอบๆเสาไฟฟ้าแรงสูงตอนนั้นมีอยู่ประมาณสิบกว่าคน

ในตอนนั้นผมยอมรับเลยว่าผมรู้สึกเกิดความกลัวมาก เพราะผมคิดว่าถ้าสายไฟแรงสูงตรงนั้นมันเกิดขาดลงจริงๆคงมีใครได้ตายกันบ่างหละครับ เพราะว่าถนนมันเปียกน้ำฝนมาก และคนที่อาจต้องตายในวันนั้นมันอาจเป็นผมกับคนที่นั่งอยู่ในบ้านด้วยเพราะว่าผื่นบ้านมันเป็นปูน ไฟฟ้าตั้งเป็นหมื่นๆโวลต์ มันคงไม่ใจดีให้พวกเรารอดตายไปได้หรอกนะครับ และที่สำคัญผมไม่เคยเจอเหตุการณ์ที่เป็นผีๆสางๆที่มีไฟฟ้าแรงสูงปนกันแบบนี้มาก่อนเลย ที่เคยเจอคือแค่มีผีมาวุ้นวายอย่างเดียวเท่านั้น ถ้าเป็นผีอย่างเดียวเวลามันมาหลอกมันก็แค่น่ากลัวแต่ถ้าเราไม่กลัวมัน มันก็มาทำอะไรเราไม่ได้ แต่อันนี้มันเสือกมีไฟฟ้าแรงสูงอยู่ด้วยตอนนั้นสงสัยว่าถ้ามันขาดลงมาจริงๆคงดำเป็นตอตะโกกันหมดแน่ๆเลย ไม่ใครก็ใครละต้องโดนกันสักคนหนึ่งหรือโดนกันหมดทุกคนมั่ง

ในระหว่างที่ผมอยู่ในเหตุการณ์นั้นผมเริ่มคิดว่าเราทำอะไรผิดไปหรือเปล่า เราทำอะไรที่เป็นการไปลบหลู่ใครหรือเปล่า คิดแล้วคิดอีกคิดอยู่สักพักหนึ่งก็ไม่เจอว่าตัวเองทำอะไรผิดกับใคร แต่ระหว่างคิดก็นึกได้ว่าตอนที่ดูดวงให้ผู้หญิงคนนี้ตอนแรกมีเสียงผู้ชายคนหนึ่งมากระซิบข้างหูเราบอกว่า ? อย่าไปยุ่งกับมันปล่อยให้มันทรมารอยู่แบบนี้หละ? ในตอนที่คิดได้ว่ามีเสียงแบบนั้นมาบอกก็เริ่มคิดได้ว่าต้องมีอะไรที่ผิดปกติเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นแน่ๆเลย ผมเลยหันไปถามผู้หญิงคนนั้นว่าคุณเคยไปทำแท้งมาหรือเปล่า ผู้หญิงคนนั้นเงียบและไม่ตอบอะไรกับผมแต่มองหน้าผมแล้วยิ้มแบบแห้งๆให้ผม ในระหว่างที่ผมมองหน้าเธอและใช้สายตาถามเธออยู่นั้นก็มีเสียงผู้ชายคนหนึ่งพูดดังๆขึ้นมาว่า "ใช่้ มันเคยทำแท้ง มันทำมาตั้งสี่ห้ารอบแล้ว กูพามันไปทำเองหละ"

ผมหันไปมองหน้าคนที่พูด ผู้ชายคนนั้นพูดให้ผมฝังอีกครั้งหนึ่งว่า มันเคยไปทำแท้งตั้ง สี่ห้า ครั้งแล้วครับ ? มันชอบไปเอากับผู้ชายคนนั้นคนนี้มากมายไปหมดจนท้องตั้งหลายครั้ง ผมเป็นพี่ชายของมัน ผมไม่รู้จะทำไงดี ผมเลยต้องพามันไปทำแท้งผมไม่รู้ว่าจะทำอย่างไงกับมันดีแย่จัง?

ผมเองก็ไม่อยากที่จะทำบาปแบบนั้นหรอกครับหมอ แต่ทำไปเพราะความจำเป็นจริงๆ ผมเลยเข้าใจเลยครับว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับผมวันนี้ มันคงเป็นเรื่องที่เจ้ากรรมนายเวรของผู้หญิงคนนั้นหละที่มาขวางไม่ให้ผมดูดวงและแก้อะไรให้กับเขา ผมดูดวงต่อไปไม่ได้แน่ผมเลยบอกว่าไม่ดูแล้วหละ ดูไม่ได้แน่ๆ คุณต้องไปทำบุญก่อนทำให้เจ้ากรรมนายเวรและเด็กที่คุณไปทำแท้งมา แล้วค่อยมาดูดวงกับผมอีกทีหนึ่งไม่นั้นคงดูไม่ได้หรอก เพราะว่าดวงคุณมันมีอะไรก็ไม่รู้มาขวางทางทำให้ผมดูอะไรให้ยากมากเลย
พอผมรู้อย่างนี้ผมก็ตั้งจิตว่าขออภัยสิ่งลี้ลับและบอกว่าจะให้ผู้หญิงคนนี้ไปทำบุญให้ แล้วก็ขอให้เขามีโอกาสได้กลับมาดูดวงกับผมอีกครั้งหนึ่งละกันก็เป็นเรื่องที่แปลกมากเมื่อผมรู้และตั้งจิตไปแบบนั้น ประกรายไฟที่ตกลงมาจากเสาฟฟ้าแรงสูงที่เกิดขึ้นหน้าบ้านมันก็หยุดตกลงมาแบบไม่น่าเชื่อเลย ต่อจากนั้นอีกสักพักหนึ่งก็มีรถของการไฟฟ้าที่เป็นรถที่ทำหน้าที่ซ่อมสายไฟฟ้ามาจอดหน้าบ้านที่ผมดูดวงอยู่ แล้วก็ฉายไฟขึ้นไปทำท่าทางแปลกๆหันซ้ายหันขวา และถามว่าตะกี้มีคนโทรแจ้งไปว่าเสาต้นนี้มีประกายไฟตกลงมาดูน่ากลัวมาก แต่ทำไมตอนนี้มาไม่เห็นมีอะไรที่ผิดปกติเลยละ ทำท่าทางตรวจอยู่สักพักหนึ่งแล้วบอกว่ามันคงไม่มีอะไรแล้วมั้งกลับดีกว่า ชาวบ้านที่มายืนมุงดูตอนที่มีลูกไฟตกลงมาก็บอกว่าตอนแรกตกลงมาดูน่ากลัวมาก

 และเสียงดังมากเลยทีเดียวดังจนชาวบ้านเขาแตกตื่นกันไปหมดเลยนะเนี่ย

แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่ามันเป็น (ขออภัยไม่สุภาพแต่เพื่อให้ได้อารมณ์จากเหตุการณ์จริง ) อะไรมันของมันเสือกหายดังไปเสียเฉยๆเลยตลกดีนะข้อคิดที่ได้จากเรื่องนี้ก็คือคนเรานั้นถ้าทำบาปอะไรเอาไว้มากๆแล้วไม่มีการแก้บาปหรือแก้ไขสิ่งเหล่านั้นให้ถูกต้องเสียก่อนขนาดที่ว่าจะมีการดูดวงเพื่อให้รู้ว่าทำอย่างไรให้มันดีขึ้นก็ยังมีเจ้ากรรมนายเวรหรือสิ่งลี้ลับมาขวางทางไม่ให้ทำอะไรได้ง่ายๆเลย และถ้าหากว่าใครที่เคยทำแท้งหรือว่าเคยเข้าไปเกี่ยวพันธุ์กับเรื่องนี้ไม่ทางตรงก็ทางอ้อมแล้วรู้สึกไม่ดีนัก บางที่บาปหรือความไม่สบายใจที่มันอยู่ใจของคุณมานาน

คำว่าทางตรงคือทำเองเลย คำว่าทางอ้อมคือเป็นที่ปรึกษาและแนะนำให้ไปทำแท้ง
หรือพาเขาไปทำแท้ง หรือให้เขายืมเงินไปทำแท้งหรือพักอยู่กับคนที่เคยทำแท้ง หรือมีสามีหรือภรรยาที่เคยเกี่ยวพันธุ์กับการทำแท้งมาก่อนหรือมีนามสกุลเดียวกับคนที่เคยทำแท้ง หรือคนละนามสกุลแต่มีความเกี่ยวพันธุ์กันทางสายเลือดเหล่านี้เป็นต้น คนเหล่านี้มักมีชิตที่เหมือนต้องคำสาบมักทำมาหากินไม่ค่อยขึ้น มักเสียโอกาสดีๆในชีวิตทำอะไรไม่ค่อยที่จะประสพความสำเร็จ

07 ตุลาคม 2556

มอเตอร์ไซค์สยอง

สมัยก่อนถนนสายพุทธมลฑลสาย5 ยังสร้างไม่เสร็จดี ตามข้างทางยังมีท้องนาทุ่งนา เกือบตลอดเส้นทาง และในท้องนาข้างทางจะมีร้านพวกน้ำตกส้มตำขายเยอะมาก และเขาจะทำสะพานขึ้นมาจากทุ่งนาให้คนบนถนนเดินลงไป (มโนภาพเอานะ!!!) สมัยก่อนทุกสิ้นเดือนผมจะต้องเดินทางไปซื้อของที่กรุงเทพมาขาย โดยอาศัยเส้นทางนี้ โดยขี่มอเตอร์ไซค์ไปกับเมีย ยุคนั้นก็ ซูซูกิเจทคูล อ่ะ

วันนั้นเราซื้อของมาหลายอย่างเยอะมาก พะลุงพะรัง เลย (ถนนหลวงเส้นนี้ที่เขาเรียกกันว่าเส้นปิ่นเกล้านครชัยศรี ) ขากลับวันนั้นมืดแล้ว ก็ขี่ผ่านสาย4มา (พุทธมณฑล) แยกซ้ายหน้าก็คือ ถนนพุทธมณฑลสาย5 ซ้ายมือก่อนถึงทางแยกเลี้ยวซ้ายหน้า จะมีร้านส้มอาหารอิสานอยู่ในท้องนา ซึ่งเขาทำสะพานขึ้นมาติดกับถนนใหญ่ เพื่อให้ลูกค้าลงไปใช้บริการได้ ขณะที่ขี่กำลังจะผ่านร้านนี้ (พูดทีไร ขนลุกทุกที) พลันผมก็เหลือบไปเห็น มอเตอร์ไซค์จอดขวางทางลงไปร้านอาหารในทุ่งนาแต่คนบนรถนั่งซ้อนกัน 3 คนตาคาที่อยู่บนรถตาปูดโปนทะลัก แต่นึกดูอีกทีในร้านนั้นคนเต็มร้านเขาไม่เห็นเลย หรือยังนั่งกินกันเฉย

ว่าแล้วก็รู้และ โดนเข้าแล้วก็ท่องนะโมในใจ ก็กำลังจะขับผ่านไป เมียหันไปเห็นเข้า และเธอก็ทัก เท่านั้นและ  ใจเสียแล้วพอเราเลี้ยวรถเข้าทางแยกรถมอเตอร์ไซค์ของเราก็ไม่รู้โดนอะไรคว่ำ ข้าวของกระจาย พอผมรวบรวมสติได้ ลุกขึ้นมาเก็บของที่พอใช้ได้กลับ บึ่งกลับบ้านปิดบ้านนอนไม่พูดอะไรกับใคร จนเช้า และเราก็ไปสืบดู มีคนตายตรงนั้นจริงๆ แต่หลายวันแล้ว (รดน้ำมนต์ชุดใหญ่ )

ที่มา navy22

03 ตุลาคม 2556

บ้านผีสิง ย่านประชาชื่น

"ใบไผ่" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบ้านผีสิง

เมื่อราวสิบปีเศษมาแล้ว ดิฉันได้พบกับเหตุการณ์สยดสยองสุดๆ อย่างเต็มหูเต็มตา ขณะนั้น ดิฉันอายุ 25 ปี บริบูรณ์ มีการงานทำเป็นหลักเป็นที่บริษัทการเงินแห่งหนึ่งที่ถนนรัชดาภิเษก ไม่ไกลจากบ้านย่านอโศก-ดินแดงเท่าไรนัก สุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ ถ้าจะเชื่อตามโชคลางก็คือ "วัยเบญจเพส" นั่นเอง!

สาเหตุที่ทำให้ขนหัวลุก สติแตกไปชั่วครู่ก็เพราะไปบ้านเพื่อนค่ะ

ดิฉันมีเพื่อนสนิทชื่อเอ้ เราคบกันตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย บ้านเอ้อยู่ถึงหมู่บ้าน แถวคลองประปา ประชาชื่นโน่นแน่ะ เป็นบ้านจัดสรร เป็นบ้านตึกสองชั้นปลูกคล้ายๆ กัน แถมทาสีขาวๆ นวลๆ มองไกลๆ สวยเหมือนบ้านตุ๊กตาไม่มีผิด

เรายังอยู่กับพ่อแม่เหมือนกัน แถมมีน้องชายน้องสาวอย่างละคนเหมือนกันอีกด้วย
ครอบครัวเราก็พลอยสนิทสนม ไปมาหาสู่กันตลอด บางทีก็ไปต่างจังหวัดด้วยกัน เอ้เคยมาค้างกับดิฉัน ส่วนดิฉันก็เคยไปค้างบ้านเอ้ มีของกินดีๆ ก็ฝากไปถึงบ้านของกันและกัน

สาเหตุที่ทำให้เกิดเรื่องขนหัวลุก มาจากครอบครัวเราไปเที่ยวมหาชัยกันในตอนเช้าวันเสาร์ ดิฉันโทร.ไปชวนเอ้แล้ว แต่ปรากฏว่าแม่เธอไม่ค่อยสบาย ตอนนี้น้าจุ๋มแม่บ้านกำลังขี่จักรยานไปซื้อยาที่คลินิกปากซอย
"ขากลับซื้อของทะเลมาฝากด้วยละกัน" เอ้บอก

ระยะทางใกล้ๆ ที่มีแต่สวนผลไม้ นาเกลือ และแม่น้ำท่าจีนที่อุดมสมบูรณ์ด้วยอาหารทะเลสารพัดชนิด อากาศปลอดโปร่งกว่ากรุงเทพฯ หลายเท่า...พวกเราสนุกกันมากค่ะ ไปเที่ยวมหาชัยนี่ไปเช้ากลับเย็นได้สบายๆ

รถขาเข้ายังบางตา ดิฉันขับรถถึงบ้านราวห้าโมงเย็น นึกยังไงก็ไม่ทราบ ส่งพ่อแม่กับน้องๆ เข้าบ้านแล้วบึ่งต่อไปบ้านเอ้...ฟ้ามืดครึ้มมาตั้งแต่เลี้ยวเข้าประชาชื่นแล้วค่ะ ครู่เดียวฝนก็เทกระหน่ำ รถที่เคยแล่นลิ่วก็ต้องคลานช้าๆ คอยเพ่งมองสะพานข้ามคลองประปาที่มีป้าย หมู่บ้าน โชคดีที่เลี้ยวเข้าไปหน่อยเดียวฝนก็ซาลง แต่ฟ้ายังหนักอึ้งเหมือนเดิม

ครู่ใหญ่ๆ ก็มากดแตรหน้าบ้าน...น้าจุ๋มกางร่มวิ่งมาเปิดประตูรั้วให้ ดิฉันไปจอดรถใต้ถุนห้องนอนเพื่อน ด้านขวามือเป็นห้องรับแขก ของฝากวางอยู่บนเบาะหน้าแล้ว ทำให้คว้าติดมือลงไปได้ทันที

ก้าวเข้าไปก็ชะงักกึกเมื่อได้กลิ่นเหม็นอับ สาบสางโชยมาเข้าจมูก ดิฉันเหลียวซ้ายแลขวาก็ไม่เห็นเอ้ สงสัยจะยังอยู่ชั้นบน หรือไม่ก็เพิ่งแต่งตัวเพราะไม่รู้ว่าเพื่อนจะมาเยี่ยม

น้าจุ๋มวิ่งผ่านรถหายเข้าไปในห้องพักของแกแล้ว...แสงไฟน้อยแรงเทียนจากเพดาน ส่องให้เห็นร่างที่นอนห่มผ้าอยู่บนเตียงเตี้ยๆ ชิดฝา กลิ่นเหม็นกวนประสาทอ้อยอิ่งอยู่รอบๆ ตัว...ทำไมเอ้ถึงปล่อยให้แม่ลงมานอนคนเดียวนะ? พ่อกับน้องๆ หายไปไหนหมด?

"โอยยย..." เสียงนั้นทำให้ดิฉันเกือบสะดุ้ง หันขวับไปมองก็เห็นแม่เอ้พลิกหน้าไปมาช้าๆ "ขอน้ำ...หิวน้ำเหลือเกิน..."

"ได้ค่ะ" ดิฉันรับปากโดยอัตโนมัติ ได้ยินเสียงบันไดลั่นเอี๊ยดๆ เอ้คงจะลงมาแล้วแต่ก็ไม่เห็นวี่แวว...อากาศหลังฝนเยือกเย็นลงทุกทีจนแทบหนาวสะท้าน ดิฉันเหลือบไปเห็นแก้วน้ำบนโต๊ะเตี้ยๆ หัวเตียง รีบก้าวไปหยิบแก้วน้ำมาให้แม่เอ้ ตั้งใจว่าจะป้อนให้ท่าน...

"คุณพระช่วย!" ดิฉันหลุดอุทาน เมื่อเห็นใบหน้าดำเกรียมจนแทบจำไม่ได้ ผมสีเทากระจายอยู่เต็มหมอน...นัยน์ตาขาวๆ เหลือกไปมา แถมแลบลิ้นเข้าๆ ออกๆ สีแดงสดเหมือนลิ้นตุ๊กแก จนแก้วน้ำหวิดร่วงจากมือ

เอ๊ะ! นั่นไม่ใช่คุณป้าอรทัย-แม่ของเอ้นี่นา! สำนึกนั้นทำให้ดิฉันถอยกรูดๆ แข้งขาสั่น ใจสั่น หัวหมุนติ้วแทบระเบิด...เกิดอะไรขึ้น? ทำไมดิฉันต้องมาพบภาพสยองขวัญนี้ด้วย? ขณะนั้นเองเสียงบันไดก็ลั่นเอี๊ยดๆ อีกครั้ง ขายาวๆ ของใครคนหนึ่งกำลังก้าวลงมาช้าๆ

"เอ้! เอ้เหรอ..." ดิฉันถามเสียงสั่นๆ แต่ไม่มีคำตอบ นัยน์ตาเบิกค้างจ้องมอง หญิงชราร่างร้ายที่นอนอยู่ตรงหน้า ทันใดนั้น...เหมือนนรกบันดาลให้เป็นไปในพริบตา

ร่างร้ายนั้นมีอาการคล้ายหุ่นกระบอกที่นอนแน่นิ่ง แต่มีผู้ชักให้ผลุนผลันลุกขึ้น...จากท่านอนพรวดพราดเป็นท่ายืนทันที ศีรษะก้มต่ำ ผมยาวปรกหน้า สองแขนลีบเล็กแกว่งไกวไปมาจนดิฉันผงะหน้า กรีดร้องออกมาสุดเสียง

"ช่วยด้วย...!!" ม่านตาพร่าพราย สรรพสิ่งหมุนเคว้งคว้าง...ดิฉันวิ่งเตลิดเหมือนคนบ้าออกจากบ้านนรกจกเปรตนั้น...ชนกับเอ้ที่หน้าประตูก่อนจะสิ้นสติไป

เมื่อมารู้ตัวอีกทีก็พบตัวเองนอนบนโซฟาในห้องรับแขกบ้านเอ้ พ่อแม่กับน้องๆ จ้องมองด้วยความห่วงใย...เอ้เล่าว่าได้ยินเสียงกรีดร้องก็วิ่งออกไปดู เห็นรถยนต์ดิฉันจอดอยู่ที่นั่นกับดิฉันวิ่งกระเจิงออกมา...จากบ้านร้างผีสิงนั่นแหละค่ะ

เพราะฝนฟ้าและบ้านที่คล้ายๆ กันทำให้ดิฉันเข้าบ้านผิด...ไม่ช็อกตายคาที่ก็ถือว่าเป็นบุญแล้วค่ะ!

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่  29 ตุลาคม 2555

01 ตุลาคม 2556

ประสบการณ์ขนหัวลุกหน้าห้องเช่าที่ประชาชื่น

"สนธิชัย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกหน้าห้องเช่าที่ประชาชื่น

ผมเป็นคนตจว. มาทำงานในกรุงเทพฯ ได้หลายปีแล้ว ล่าสุดมาเช่าห้องพักอยู่กับเพื่อนที่ประชาชื่น ตรงข้ามกับคลองประชา วันอาทิตย์หยุดงานก็ไม่ค่อยได้ออกไปไหน มักจะซักผ้ารีดผ้า อ่านหนังสือหรือดูทีวีอยู่ในห้องมากกว่า

ห้องเราอยู่ชั้น 3 ด้านหน้า มองผ่านทางเข้าออกไปถึงถนนใหญ่ เห็นต้นไม้ดกหนาเรียงรายริมคลองประปา มีทั้งต้นสัก หางนกยูง อินทนิล ฯลฯ ดูแล้วร่มรื่นน่าเย็นตาเย็นใจดีครับ ข้ามคลองประปาไปฝั่งโน้น เห็นป้ายร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมง เพราะมีทั้งตึกแถวและผู้คนแน่นหนา ตอนค่ำๆ ดูคึกคักมากเลย

มีเพื่อนข้างห้องเล่าว่าที่นี่ผีดุเอาการ! คือมีทั้งคนฆ่าตัวตายกับถูกฆ่าตาย เขาอยู่มา 4-5 ปีแล้ว จำได้ว่ามีเรื่องน่ากลัวเกิดขึ้นราว 10 รายเห็นจะได้

มีทั้งผูกคอตาย กินยาตาย เชือดคอตาย ปาดข้อมือให้เลือดไหลจนตายบนเตียง มีอยู่รายหนึ่งกระโดดจากชั้น 5 ลงไปคอหักตายคาที่...คนที่มาเช่าอยู่ใหม่ก็ไม่รู้หรอกครับ ว่าในห้องนั้นมีคนฆ่าตัวตาย บนเตียงที่นอนอยู่ทุกคืนก็มีคนเคยนอนตายอย่างทรมานเพราะทำลายชีวิตตนเอง

คิดแล้วก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะว่าโรงแรมหรือห้องเช่าทั่วๆ ไปก็มักจะมีคนถูกฆ่า หรือไม่ก็ฆ่าตัวตายกันทั้งนั้น..ไม่ค่อยรอดหรอกครับ แต่คิดอีกทีก็สยองเหมือนกัน คือสงสัยว่าห้องที่เราอยู่จะเคยมีเหตุการณ์น่าหวาดเสียวเกิดขึ้นมาก่อนหรือเปล่า?

เพื่อนข้างห้องไม่ได้เล่า ผมก็ไม่อยากถาม เพราะคิดว่าถ้าไม่รู้เรื่องเลยจะเป็นการดีที่สุด

ตอนค่ำ ผมกับเพื่อนมักชอบนั่งโจ้เหล้ากันที่ริมหน้าต่าง พินิจเพื่อนผมชอบทำกับแกล้มกินเอง พวกยำกุนเชียง ยำเนื้อ เนื้อย่างน้ำตกจิ้มแจ่ว บางวันก็ผัดผักบุ้ง ผักคะน้า หมูผัดกะเพรา แม้แต่ไข่เจียวหมูสับก็เป็นกับแกล้มได้ เป็นกับข้าวได้ตอนปิดรายการ

พวกมันฝรั่งทอด ถั่วอบเกลือ ปลาหมึกปรุงรส จะมีติดห้องเป็นกับแกล้มง่ายๆ เปิดถุงก็กินได้ทันที บางวันก็ตบท้ายด้วยมาม่า ยำยำ ทั้งเมาทั้งอิ่ม หลับสนิทไม่ต้องนึกถึงเรื่องผีให้เสียเวลา

ระยะหลังๆ มานี่ผมรู้สึกผิดหูผิดตายังไงชอบกล

นั่นคือ ตอนค่ำๆ ที่เรานั่งดวดเหล้ากัน พลางมองผ่านหน้าต่างไปที่รถราแล่นขวักไขว่ มีคนเดินเข้าออกที่อพาร์ตเม้นต์ (เรียกซะหรู) ค่อนข้างหนาตา เพราะมีห้องเช่าหลายสิบ มีทั้งคนทำงานกลางวันบ้าง กลางคืนบ้าง แต่พอเลยสามทุ่มก็ค่อยๆ บางตาลง

ชายร่างผอมสูง แต่งตัวสีทึบเดินช้าๆ เข้ามาที่ตัวตึก ห่างจากถนนใหญ่ราว 20 เมตร แสงไฟจากยอดเสาทำให้เห็นหน้าไม่ถนัดนัก พอเราเพิ่งมองได้ไม่นานเขาก็หายลับเข้ามาด้านล่างแล้ว

น่าแปลกอย่างตรงที่ ผมไม่เคยเห็นตอนเขาเลี้ยวมาจากถนนใหญ่สักครั้ง..เห็นทีไรเขาก็เดินใกล้ตัวตึกทุกที..สังเกตว่าเขาไม่เคยกลับมาก่อนสามทุ่มสักคืนเดียว!

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรทำให้ผมสนใจชายคนนี้?

ถ้าเขากลับค่ำๆ ทุกคืนก็แสดงว่าต้องไปทำงานตอนเช้า แต่ทำไมผมจึงไม่เคยเห็นเขาเลยตอนนั้น แม้จะไม่เห็นหน้าถนัด แต่รูปร่างผอมสูง แต่งกายสีทึบ เสื้อแขนยาวไม่พับแขนก็เป็นจุดสังเกตได้ดี...แต่ก็ไม่เคยพบใครจะคล้ายคลึงเขาเลยแม้แต่คนเดียว

ที่น่าประหลาดอีกอย่างก็คือ เขาไม่เคยหยุดงานวันเสาร์-อาทิตย์ เพราะผมเห็นเขาเดินตัวตรงกลับมาตอนสามทุ่มเศษทุกคืน

คืนเกิดเหตุทำให้ผมได้รับคำตอบน่าขนหัวลุกที่สุดในชีวิต!

เกือบสามทุ่มคืนวันอาทิตย์ พินิจแกงป่าเนื้อ ปลาสลิดทอดกรอบ กับผัดผักรวมมิตร ผมพูดขึ้นอย่างไม่ได้ตั้งใจว่า..หมอนี่ขยันจริงๆ ขนาดวันอาทิตย์ยังไปทำงานอีก

เพื่อนถามว่าใคร? ผมจะเอ่ยปากตอบอยู่แล้ว แต่พอนึกขึ้นได้ก็ขนลุกซ่าไปทั้งตัว...ผมไม่เคยพูดเรื่องนี้กับพินิจ นึกว่าเขาเห็นเหมือนกับผม แต่พินิจกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทำให้ผมต้องจ้องหน้าเขาอย่างงุนงง ย้อนถามว่าไม่เคยเห็น "ผู้ชายสามทุ่ม" หรือ?

พินิจส่ายหน้า ผมเย็นหลังวาบ หันไปเห็นชายผู้นั้นเดินมาได้ครึ่งทางตามเคย รีบชี้ให้เพื่อนดูพลางบอกเสียงดังว่า..คนนั้นไง มาแล้ว!

นรกเถอะ! พินิจจ้องมอง อ้าปากค้างก่อนจะหันมามองผมคล้ายจะเป็นห่วง

"เมาแล้วเรอะ? ไม่เห็นมีใครซักคนเดียว!"

ผมแทบจะร้องตะโกนด้วยความอัดอั้น มองไปอีกทีเขาก็ลับตาไปตามเคย รีบชงเหล้าหนาๆ มือไม้สั่น เทอั๊กๆ ลงคอ เพื่อนส่ายหน้าพลางบ่นอะไรพึมพำ

ครู่เดียวผมก็สะดุ้งโหยงเมื่อมีเสียงเคาะประตู

พินิจลุกเดินไปเปิดดู รู้สึกเหมือนมีอากาศเย็นเฉียบแผ่ซ่านเข้ามาในห้อง..ผมแทบกลั้นใจเมื่อเห็นเพื่อนมองซ้ายมองขวา ก่อนจะปิดประตูใส่กลอน เดินส่ายหน้ากลับมา บอกว่าไม่เห็นมีใครซักคน...ผมอยากจะร้องว่าแล้วเราหูแว่วไปเองทั้งคู่ได้ยังไง? แต่ก็พูดอะไรไม่ออกจริงๆ

"ชายสามทุ่ม" เป็นใครแน่? ผมไม่อยากถามเพื่อนข้างห้องเพื่อหาความรู้เพราะแค่นี้ก็ขนหัวลุกพอแล้ว การมาเคาะประตูแต่ไม่ปรากฏตัวก็อาจจะเป็นคำตอบเรื่องนี้ เพราะตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมาผมก็ไม่เคยเห็นชายประหลาดผู้นั้นอีกเลย

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 28 - ฉบับวันที่ 12 พฤษภาคม 2547