27 มิถุนายน 2556

ผีดุ คณะสถาปัตย์ จุฬาฯ

เรื่องเล่าที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สี่สิบปีก่อนหน้านั้น ยุคสมัยที่เปิดคณะใหม่ๆ ไฟฟ้าที่คณะฯ จะดับบ่อยมาก ห้องน้ำห้องส้วมจะอยู่ใกล้ๆ กับตึกคณะฯ นิสิตที่คณะฯ ต้องมีการทำภาคนิพนธ์ให้ผ่านการพิจารณาของอาจารย์ จึงจะจบและสำเร็จการศึกษาได้ตามหลักสูตร

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มีหลักสูตรการเรียนห้าปี แต่บางคนเรียนหกปี เจ็ดปี ถึงปีที่เก้าแล้วก็มี เพราะเรียนตกหรือเรียนซ้ำชั้น หรือยังไม่ผ่านภาคนิพนธ์ตามรายวิชาที่กำหนดไว้ ทำให้นิสิตส่วนมากต้องอยู่กันดึกๆ เพื่อทำงานที่คั่งค้างหรืองานที่มอบหมายให้แล้วเสร็จ หรือเพื่อให้เกิดมีไอเดียบรรเจิดในการทำภาคนิพนธ์/แก้ไขภาคนิพนธ์ ส่วนมากมักจะนอนค้างคืนกันที่คณะของมหาวิทยาลัยเป็นประจำ เพื่อทำงานภาคนิพนธ์จนกว่าจะเสร็จ/แก้ไขตามคำแนะนำของอาจารย์

มีวันหนึ่ง ด้วยความที่ปวดท้องมาก รุ่นพี่คนหนึ่งของคณะสถาปัตย์จึงเดินไปยังห้องน้ำ ทั้งๆที่ไฟฟ้าดับ ไม่มีแสงสว่าง ด้วยความจำเป็นอย่างยิ่งยวด เลยเข้าไปในห้องน้ำโดยไม่ได้พกเทียนหรือไฟฉายไปด้วย เมื่อนั่งลงบนโถส้วม ปรากฎว่านั่งลงบนขาของคนที่นั่งอยู่ในส้วม แกร้องจ๊ากว่า "ผีหลอก" แล้ววิ่งหน้าตื่นกลับเข้าไปที่ห้องทำงาน เพื่อนๆ ต้องช่วยกันปลอบและพัดวีกันอย่างใหญ่ให้หายตกใจ ตกลงว่าแตกตื่นทั้งคณะแล้วรู้กันไปทั่วภายในมหาวิทยาลัย กลายเป็นเรื่องเล่าและตำนานสยองขวัญของมหาวิทยาลัยว่า ผีดุมาก ที่ห้องน้ำคณะสถาปัตย์ฯ

ทำให้ในเวลาต่อมา ภายในคณะสถาปัตย์ฯ การไปห้องน้ำแต่ละครั้งของนิสิตที่ต้องทำงานในกลางคืน จะต้องมีคนไปเป็นเพื่อนประจำตลอดมายิ่งเวลาไฟดับก็ไม่มีใครอยากไปห้องน้ำกันเลย

เรื่องนี้เพิ่งมาเฉลย ในวันครบรอบสถาปนาของคณะสถาปัตย์ฯ จุฟาฯ ที่ครบรอบมากว่าสี่สิบปีแล้ว มีการจัดงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง มีการเล่าเรื่องผีดุของคณะสถาปัตย์ จากรุ่นพี่คนที่นั่งบนขาของผีในห้องน้ำ

จู่ๆ รุ่นน้องคนหนึ่งได้รับสารภาพต่อหน้ารุ่นพี่ที่เจอผีว่ากำลังนั่งอยู่พอดีจะลุกขึ้น รู้สึกว่ามีใครเดินเข้ามาในห้องน้ำ กลัวก็กลัว  แต่ไม่กล้าลุกขึ้นและแล้วปรากฏว่ามีคนนั่งลงบนขาของตนเอง แล้วมีเสียงกรีดร้องวิ่งออกจากห้องน้ำไปตนเองแต่งตัวเสร็จ  รีบลุกวิ่งตามออกไปภายหลัง
เห็นว่ารุ่นพี่ยิ่งวิ่งเร็วขึ้นไปอีก

เมื่อรู้ความว่า รุ่นพี่ไปแจ้งกับเพื่อนๆ ในคณะฯว่า มีผีหลอกในห้องน้ำของคณะแล้ว ก็ไม่กล้าไปรับสารภาพกับรุ่นพี่และเพื่อน ๆ ในคณะ เพราะถ้าสารภาพคงถูกรุ่นพี่และเพื่อนๆ ยำแน่ เลยเฉยๆ ไว้ รวมทั้งสะใจที่สร้างตำนานผีหลอกไว้ที่คณะได้ด้วยส่วนหนึ่ง เมื่อได้รับสารภาพเสร็จต่อหน้ารุ่นพี่และเพื่อนๆแล้ว ผลทั้งคู่และผู้ร่วมงานต่างหัวเราะกันด้วยความสนุกสนาน และยกโทษให้ซึ่งกันและกัน เพราะต่างคนต่างแก่ด้วยกันแล้วทั้งคู่

ที่มา เก็บความจาก ต่วยตูน (จำเล่มที่ไม่ได้แล้ว)

24 มิถุนายน 2556

รวมเรื่องอาถรรพ์ในจุฬา


ห้องสมุดวิศวกรรมศาสตร์
เราไม่เคยเข้านะเลยไม่รู้ว่าห้องนี้ยังใช้อยู่หรือเปล่า แต่ที่ได้ยินมาคือ เป็นห้องที่ดัดแปลงจากอาคารที่เดิม เป็นตึกเรียนเก่า กลางวันแสกๆ วันหนึ่งมีอาจารย์ท่านหนึ่ง เข้าไปค้นหนังสือในส่วนที่ห้ามนิสิตเข้า คือยืมได้แต่ห้ามเดิน เข้าไปเองน่ะ ทีนี้อาจารย์ท่านนั้นกำลังก้มหน้าส่องหาหนังสือ อยู่ตามชั้นต่างๆ พอขยับหน้าผ่านไปตรงช่องว่างระหว่างหนังสือ ก็เห็นฝั่งตรงข้ามมีหน้าจ้องผ่านร่องหนังสือเข้ามา เห็นว่าใส่ ชุดนิสิตอยู่ด้วย อาจารย์ตกใจและโกรธด้วยเลยเดินไปถามว่า นิสิตเข้ามาได้ยังไง แต่พอเดินไปถึงช่องนั้นก็ไม่มีใครอยู่เลย ที่สำคัญพออาจารย์เดินหาจนทั่วพบว่าแม้แต่เจ้าหน้าที่ห้องสมุด เองก็ไม่อยู่ด้วยซ้ำไม่มีทางที่ใครจะมาโผล่หน้าให้เห็นได้ แต่เมื่ออาจารย์เดินกลับไปหาหนังสือที่ชั้นเดิมก็ได้กลิ่นฉุน กลิ่นเหม็นไหม้ที่แรงมาก พอมองไปที่พื้นก็เห็นควันลอยขึ้น มาจากพื้น อาจารย์เลยเผ่นแนบ มาทราบภายหลังว่าตรงนั้น เคยเป็นห้องแล็บ มีนิสิตเผาตัวตาย

ลานพระรูป
เย็นวันหนึ่งเมื่อประมาณปี 37 -38 เวลาราวๆ หกโมงเย็น เพื่อนเรา (รัฐศาสตร์รหัส 34) เดินกับแฟนจากฝั่งสถาปัตย์มาด้านวิทยาฯ ผ่านทางเดินหน้าพระรูป ขณะที่กำลังเดินมาใกล้พระรูป มองเห็นว่าบนรั้วเตี้ยๆ ที่เลียบทางเดินข้างพระรูปออกไปยังเสาธง (ซึ่งมันจะเป็นกึ่งๆ ที่นั่ง - คงจะนึกกันออก) มีชายหนุ่มกับหญิงสาวคู่หนึ่งนั่งหันหลังให้ สองคนนี้สวีทกันมากจนเพื่อนเราหมั่นไส้ เพราะหญิงสาวผมยาวนั่งเอาหัวเกยไหล่ฝ่ายชายอยู่ เท่าที่เห็นผู้ชายใส่เสื้อขาวกางเกงแสล็คเหมือนชุดนิสิต แต่ผู้หญิงใส่เสื้อขาวจุดดำคล้ายๆ ชุดไปงานศพ เพื่อนเราก็อยากเห็นหน้าสองคนนี้มาก เนื่องจากเห็นว่าอะไรจะมาสวีทกันในที่สาธารณะอย่างนี้ ทีนี้นึกออกมั้ยว่าก่อนที่เพื่อนเราจะเห็นหน้าสองคนนี้ได้ก็ต้องเดินผ่านน้ำพุและโดนน้ำพุบังสายตาไปแว้บนึง ปรากฏว่าพอเดินเลยน้ำพุมาแล้วหันไปดู ทั้งสองคนเล่าเหมือนกันว่า ผู้ชายคนนั้นดูท่าทางไม่ปกติ ดูเอ๋อๆ ชอบกล ที่สำคัญคือ ...เห็นผู้ชายนั่งอยู่คนเดียวไม่มีผู้หญิง ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะมองไม่เห็นหากผู้หญิงหลบไปที่อื่น เพราะแวบเดียวจริงๆ และพุ่มไม้ที่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างไปตั้ง 5 - 6 เมตร นอกจากว่าผู้หญิงคนนั้นจะอุตริกระโดดไปหมอบหลังที่นั่งอันนั้นเท่านั้นเอง (แล้วต้องนอนราบด้วยจึงจะมองไม่เห็นเพราะที่กั้นนั้นเตี้ยมาก) เพื่อนเรานั้นซึ่งไม่ได้พูดกับแฟนเลยตั้งแต่แรกเลยรีบจูงมือแฟนเดินมาจนถึงคณะแล้วถามว่าเห็นหรือเปล่า ปรากฏว่าแฟนมันก็เห็นเหมือนกัน (ลืมบอกไป ว่าเพื่อนเราเป็นคู่หวานแหววมากอันดับต้นๆ ในคณะ ย่อมจะทนเห็นคนหวานแหววกว่าได้ยาก) ขอย้ำว่าเรื่องนี้เกิดตอนหกโมงเย็น หน้าลานพระรูป และแดดยังออกอยู่ด้วยแหละ

ห้องล้างรูป คณะศิลปกรรมศาสตร์
ว่ากันว่าห้องล้างรูปรวมของศิล'กรรมน่ากลัวที่สุด นอกจากเรื่องเห็นขาแกว่งแล้ว ยังมีแสงลูกไฟสีต่างๆ แวบไปแวบมาในห้องล้างรูปด้วย (ซึ่งห้องล้างรูปจะต้องมืดหรืออาจให้มีแสงสีแดงได้สีเดียว) บางทีก็มีเสียงเก้าอี้้นั่งรอล้างรูปดังอี๊๊ดอ๊าด ทั้งๆ ที่ไม่มีคนนั่งรอ หรือนิสิตบางคนได้ยินเสียงคนตบแท็งค์น้ำในห้องล้างรูปทั้งๆ ที่ไม่มีคนอื่นในห้อง ว่ากันว่านิสิตขอให้คณะย้ายห้องหลายครั้งแต่คณะไม่มีงบ - อันนี้เป็นข้อมูลหลายปีแล้ว ไม่รู้ป่านนี้ย้ายห้องหรือยัง


ล๊อกเกอร์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ 
ที่นั่นเคยมีคนเห็นคนนั่งห้อยขาอยู่บนล๊อกเกอร์ทีแรกเห็นแต่ขา แต่ว่าเมื่อมองขึ้นไปกลับไม่มีตัวตนอยู่เลย


ห้องสมุด คณะอักษรศาสตร์ 
ห้องสมุดที่ตึกเก่าของอักษร มีนิสิตชายคนหนึ่งไปอ่านหนังสือ เห็นนิสิตผู้หญิงที่นั่งตรงข้ามก้มหน้าอ่านหนังสือนานมากไม่เงยหน้าซะที เลยถามว่าเป็นอะไรรึเปล่า ผู้หญิงเลยเงยหน้าขึ้นมา ปรากฏว่า...ไม่มีหน้า

ห้อง Sound Lab คณะอักษรศาสตร์
ห้องไหนไม่รู้และไม่รู้ด้วยว่าตึกที่ถูกทุบไปหรือตึกที่ยังอยู่ปัจจุบัน เพราะอักษรมี Sound Lab เยอะมาก อาจารย์หญิงท่านหนึ่งรับฝากชั้นเรียนไว้ ได้รับคำฝากฝังให้เปิดเทปให้นิสิตฟังและคอยเช็คชื่อก็พอ ขณะกำลังเปิดเทปมีนิสิตหญิงคนหนึ่งนั่งอยู่หลังห้องไม่ยอมใส่หูฟัง อาจารย์เดินไปถามก็ตอบว่าเจ็บคอ พอตอนออกจากห้อง อาจารย์คอยเช็คชื่อเห็นคนครบแต่ไม่มีชื่อเด็กคนที่ไปคุยด้วยและเด็กก็ไม่ยอมออกมาสักที เลยเดินกลับไปหา ไปดูที่โต๊ะก็ไม่เจอ แต่พอหันออกมาจะกลับ เห็นเด็กยืนอยู่กลางห้องสายหูฟังพันคออยู่และโยงไปที่เพดาน อาจารย์หมดสติไปเลย มาทราบทีหลังว่ามีเด็กเพิ่งฆ่าตัวตายในห้องนั้น

ตึกชีววิทยาทางทะเล คณะวิทยาศาสตร์
ชั้น 4 หรือชั้น 5 ไม่รู้ นิสิตที่อยู่ดึกบอกว่าเห็นเงาคนและแสงไฟวูบวาบบ่อยมากทั้งที่ไม่มีคน ลิฟต์ก็ชอบเปิดชั้นนี้ทั้งที่ไม่มีคนกดเรียก ห้องน้ำแถวภาควิชาเคมี - อยู่ดีๆ บานประตูก็ปิดเอง (และล้อคด้วย) บ่อยมากๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีลม - และแน่นอน ไม่มีคนเข้า - พอนิสิตไปถามยามยามก็บอกว่าชินแล้ว บอกอย่างทำใจได้ว่าถ้าเจอก็มาตามก็แล้วกัน จะไปช่วยไขกุญแจให้

ห้องประชุมชั้นล่างตึกสาม คณะรัฐศาสตร์
(ปี 36 - 37) กลางวันแสกๆ นิสิตรัฐประศาสนศาสตร์รหัส 34 นั่งสอบอยู่ นิสิตบางคน (ซึ่งคงมีสัมผัสที่หก) มาบอกทีหลังว่ารู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูกและได้ยินเสียงเพลงแว่วๆ ซึ่งเป็นไปไม่ได้เพราะเป็นห้องเก็บเสียงดีมาก เพื่อนเรา (คนที่เล่าให้ฟัง) นั่งอยู่หลังห้อง เห็นอาจารย์เดินไปท้ายห้องประชุมทำเสียงดุๆ ใส่ห้องว่างๆ แต่จับใจความไม่ได้ว่าพูดอะไร ภายหลังทราบว่าอาจารย์เห็นนิสิต "ตน" หนึ่ง (จำไม่ได้ว่าหญิงหรือชาย) ยืนร้องเพลงของเบิร์ด - ตามข่าวน่ะยืนยันว่าเพลงเบิร์ดด้วยนะ ขอบอก - อยู่หลังห้องประชุม อาจารย์เลยไปดุว่าขอให้หยุดเพราะน้องๆ สอบอยู่ ที่สำคัญ...วันนั้นไม่ได้มีแค่ตนเดียว มีอีกตนหนึ่งไม่ใช่นิสิต นั่งห้อยขาอยู่บนลำโพงห้องประชุมด้วย

ประตูอังรีฯ
เพื่อนเราอยู่คณะวิทยาศาสตร์ (สำหรับเพื่อนสาธิตรามขอบอกว่าคือ แนน) ขับรถมาทางประตูรัฐศาสตร์ อังรีฯ จะวกรถออกไปแยกสุรวงศ์ เลยต้องไปรอเลี้ยวรถกลางถนน พอไฟส่องไปที่ใต้สะพานลอยฝั่งโรงพยาบาลจุฬา ก็เห็นคนนั่งยองๆ อยู่ใต้สะพาน ทุกอย่างเหมือนคนทั่วไป นอกจากหน้าเหมือนปูนปลาสเตอร์ที่ยังไม่แห้งแล้วโดนสาดน้ำน่ะ คือขาวๆ ย้อยๆ ไฟหน้ารถเธอจับอยู่นานพอดูเพราะต้องรอกลับรถ เมื่อเธอหันไปดูเพื่อนผู้หญิงอีกคนที่นั่งมาด้วยกันก็ไม่มีทีท่าว่าเห็นอะไรเหมือนเธอเลย เธอก็เลยทำเฉยๆ กลัวว่าเพื่อนจะกลัว

คณะเศรษฐศาสตร์
ประตูชั้นล่างที่จะออกไปโรงอาหารด้านหลัง - ถูกกั้นไม่ให้เข้าออกเพราะเป็นทางผีผ่าน มีคนเห็นอะไรแปลกประหลาดมามากมาย ใครที่มีเรื่องขยายโปรดเพิ่มเติมมาด้วยจักเป็นพระคุณ (โดยเฉพาะน้องบี๊ช่วยเสริมมาด้วยก็จะดี)

ชั้นที่มีห้องพักนิสิต ป.โท (ไม่รู้ชั้นไหน)
เพื่อนเราเพิ่งจบโทมาปีสองปี (สำหรับเพื่อนสาธิตรามขอบอกว่าคือ โอชิน) เล่าว่า วันหนึ่งค่ำแล้วฝนตกหนักทุกคนกำลังจะกลับบ้าน แต่เลอะเทอะกันมากเลยกลับมาห้องพักนิสิตปริญญาโทเพื่อหลบฝนและล้างโคลน เพื่อนเราไปล้างโคลนคนเดียวในห้องน้ำซึ่งอยู่ไม่ไกลจากห้องพัก พอดีไฟดับ เพื่อนเราเลยโผล่ออกมาดูคนอื่นๆ ว่าเป็นไงบ้าง เห็นเงาดำๆ อยู่ห่างออกไปตรงทางเดิน ทำท่าเหมือนกำลังเดินเข้ามาหา เธอดูรูปร่างแล้วเลยเรียกชื่อเพื่อนผู้ชายในกลุ่มที่หุ่นแบบนี้ แต่เงาดำไม่ตอบ และเดินเท่าไหร่ก็ไม่ใกล้เข้ามาสักที แป๊บนึงอยู่ดีๆ เงาดำก็หายไป เพื่อนเราคนนี้ก็เหมือนคนที่แล้ว คือ ไม่ยอมบอกเพื่อน กลัวเพื่อนจะกลัว เดินกลับเข้าห้องไปรวมกลุ่มเฉยๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หอหญิง (ตึกดำ)
เพื่อนเราเคยอยู่หอหญิงบอกว่าชั้น 10 เนี่ยดุสุดๆ คืนหนึ่ง ก่อนนอนกลัวว่าจะร้อนเลยเปิดประตูมุ้งลวดให้ลมเข้า คนที่นอนริมในสุดบังเอิญเป็นคนที่มีสัมผัสที่หกพอดี เล่าว่ากลางดึกอยู่ดีๆ เธอก็ตื่นมา เมื่อมองไปนอกมุ้งลวด เห็นคนคลุมหัวเดินอยู่ ตอนแรกเธอนึกว่าเป็นเพื่อนที่เป็นมุสลิมในชั้นเดียวกันนั้น แต่ร่างที่ว่าเดินเท่าไรก็ไม่พ้นหน้าห้องซักที เธอเลยรู้ว่าเจอดีเข้าแล้ว ก็เลยคลุมโปงนอนต่อ

ห้องมืด (ห้องล้างฟิลม์) คณะนิเทศศาสตร์ 
เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อก่อนมีรุ่นพี่คนหนึ่งได้เข้าไปล้างฟิลม์ในห้องนี้แล้วไม่ได้กลับออกมากเลย มีคนเข้าไปหาตั้งหลายครั้งแล้วแต่ก็ไม่มีใครพบ ได้มีนิสิตรุ่นน้องต่อ ๆ มาเล่าให้ฟังว่า ยังมีเรื่องแปลก ๆ เกิดขึ้นอีกเช่น มีนิสิตได้เข้าไปล้างฟิลม์ในห้องนี้ ขณะที่เข้าไปนั้นก็คิดว่าตนนั้นเข้าไปกับเพื่อน ก็มีการพูดคุยกัน แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบจากเพื่อน บอกให้หยิบของส่งให้ก็มีคนหยิบส่งให้ แต่พอออกมาเห็นเพื่อนของตนอยู่นอกห้อง จึงได้รู้ว่าตนเข้าคนเดียว แล้วใครล่ะที่เป็นคนหยิบของส่งให้ ยังคงเป็นปริศนาอยู่

บันไดวน คณะเภสัชศาสตร์ 
เป็นบันไดที่ปิดตายไม่ใช้แล้ว มีคนเล่าว่ามีคนเคยเห็นผู้หญิงใส่ชุดขาวตลอดทั้งตัวยืนอยู่ที่บันไดนี้

ห้อง 415 หอพักนิสิตหญิงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 
เล่ากันว่าถ้าหากวันไหนตื่นขึ้นมาตอนดึก ๆ คนที่ตื่นขึ้นมาจะเห็นผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนอยู่ที่ปลายเตียง

ดาดฟ้า ตึกพยาธิวิทยา 
ตอนดึก ๆ หรือตอนเย็น ๆ ใกล้ค่ำ ถ้าหากมีใครขึ้นไปบนดาดฟ้าจะเห็นคนยืนนุ่งชุดสไบสีขาว

ทางเดินระหว่างตึก คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 
ทางเดินที่ว่านี้มีประวัติอยู่ว่า สมัยก่อนมีสามีภรรยานักการของคณะสถาปัตย์ได้ทะเลาะกัน ฝ่ายภรรยาได้เอาปืนยิงสามีจนเสียชีวิต เลือดสาดไปทั่วหน้าห้องทางเดินนี้ ต่อมาเมื่อทางคณะได้มีการปรับปรุงพื้นชั้นหนึ่งได้มีการเทปูนไว้ แต่มีเฉพาะหน้าห้องนี้เท่านั้นที่ไม่ยอมแห้ง ทิ้งไว้นานสักเท่าไรก็ไม่ยอมแห้ง ทางคณะจึงต้องปูไม้กระดานทับไว้อย่าที่เห็นกันทุกวันนี้

ที่มา http://www.waiza.com/

23 มิถุนายน 2556

9 เรื่อง อาถรรพ์ มหิดล ศาลายา


1. ที่มาของชื่อ "ศาลายา" 
เชื่อกันว่าชื่อ "ศาลายา" นี้มาจากในสมัยก่อนพื้นที่บริเวณนี้เกิดโรคระบาดหรือโรคห่าลง เด็ก ผู้ใหญ่ ฯลฯ ผู้คนมากมายนอนตายทับถมเป็นกองสูง ศพที่ไม่ได้นำไปเผาก็ถูกทิ้งให้แร้งจิกกินเป็นที่น่าสังเวช เช่นเดียวกับประตูผีที่ วัดสระเกศ บริเวณภูเขาทองในปัจจุบัน ทางการจึงตั้งศาลาแห่งหนึ่งไว้เพื่อส่งมอบยาแก่ชาวบ้าน ต่อมาจึงเรียกพื้นที่ดังกล่าวว่า "ศาลายา"

2. เพลงรับน้อง 
"เจ้านกน้อย ล่องลอยโผบิน จากแผ่นดินทะเลสีคราม..." นั่นคือเนื้อเพลงรับน้อง หรือเจ้านกน้อยอย่างที่ใครหลายๆคนพูดจนชินปาก เพลงอาถรรพ์ของชาวศาลายา

มีเรื่องเล่ากันว่านักศึกษาพยาบาลคนหนึ่ง ถูกผู้เป็นพ่อแม่บังคับให้เรียนในสายที่ไม่เต็มใจ ด้วยความเสียใจกอปรกับคิดว่าไม่มีใครเข้าใจอีกแล้ว นักศึกษาพยาบาลคนนั้นจึงปีนขึ้นไปบนดาดฟ้าของหอพัก และเขียนข้อความสั้นๆนี้ไว้ จึงทิ้งร่างลงมาสู่พื้นด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ เพลงรับน้อง จึงเป็นเครื่องหมายที่บ่งบอกความระลึกถึงนักศึกษาพยาบาลคนนั้น

ชาวศาลายาจะถือกันว่า เพลงนี้ห้ามร้องในเวลากลางคืน และถ้าใครคนใดคนหนึ่งร้องขึ้นมาแล้ว ต้องร้องต่อจนจบเพลง มิฉะนั้นจะเท่ากับเป็นการเรียกนักศึกษาพยาบาลคนนั้นจากพื้นดินมาสู่เจ้าของเสียง ในบางครั้งก็ปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นน้องที่เข้าใหม่เห็นในลักษณะกระโดดลงจากดาดฟ้าหอพัก เมื่อนักศึกษาคนนั้นตั้งสติได้และเรียกให้คนมาช่วย พอไปถึงจุดเกิดเหตุกลับปรากฏว่า ไม่มีร่องรอยใดๆอยู่เลย

3. SI วันมหิดล เตียง C 
อีกหนึ่งความเชื่อเกี่ยวกับวันสำคัญของมหาวิทยาลัยมหิดล ซึ่งกล่าวถึงนักศึกษาคณะแพทย์ศิริราช (ต่อไปจะขอเรียกสั้นๆว่า SI) ที่จะกลับมาเยี่ยมเยียนหอพักในวันนี้ของทุกๆปี แต่งกายด้วยชุดนักศึกษา เสื้อนั้นย้อมด้วยเลือด และร่างเต็มไปด้วยบาดแผล เรื่องนี้จัดเป็นอันดับต้นๆของความสุดยอดในวิทยาเขตศาลายา

นักศึกษาแพทย์คนนี้ประสบอุบัติเหตุรถชนขณะข้ามถนนมายังมหาวิทยาลัย อาจเป็นเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เขาจึงไม่รู้ตัวว่าได้เสียชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว ห้องพักดังกล่าวที่นักศึกษาแพทย์คนนี้อาศัยอยู่กลายเป็นเรื่องถูกปิดตาย ทราบแต่เพียงว่า เตียง Cของนักศึกษา SI ในคืนวันมหิดลเท่านั้นที่จะพบเห็นเค้าได้ ถ้าอยากทราบว่าความเฮี้ยนนั้นจัดขนาดไหน? ก็ลองสัมผัสได้จากบรรยากาศที่ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ในคืนนี้ ไม่ว่าก่อนหน้านี้จะเป็นที่สนุกปากขนาดไหนก็ตาม

4. เชือกในห้องน้ำ 
เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ไม่นานประมาณปีกว่าๆ มีข่าวแพร่สะพัดตามหอพักว่า ช่วงปิดเทอมเดือนตุลาแม่บ้านที่ทำความสะอาดประจำชั้นนั้นก็หายหน้าหายตาไป เจ้าหน้าที่หอก็ชี้แจงต่อข่าวลือน้ำขุ่นๆว่า "เค้ากลับต่างจังหวัด"

แม่บ้านคนนั้นได้ผูกคอตายในห้องน้ำชาย ห้องดังกล่าวได้ถูกปิดตายไปพักใหญ่ เจ้าหน้าที่หอพักแก้ต่างเป็นพัลวันว่า "ห้องน้ำเสีย"

นักศึกษาชายที่อยู่ตรงข้ามกับห้องน้ำนั้น มักได้ยินเสียงร้องไห้ระงมจากประตูเจ้ากรรมเสมอๆ เมื่อมองผ่านจากหอตรงข้าม มีคนสังเกตว่าบริเวณขื่อมีเชือกผูกอยู่จริง

ในปัจจุบันห้องน้ำดังกล่าวได้เปิดใช้งานตามปกติแล้ว ถ้าเข้าไปแล้วเห็นแม่บ้านผิวดำผมหยักศกยิ้มให้ ก็อย่าลืมยิ้มตอบหล่อนด้วย คุณคือผู้โชคดีแล้ว

5. ผีถ้วยแก้ว 
ขอยกเรื่องเล็กๆให้ฟังพอหอมปากหอมคอละกัน ก็มีอยู่ว่า... นักศึกษากลุ่มหนึ่งได้เล่นผีถ้วยแก้วในบริเวณหอพัก ทีนี้เมื่อเล่นจบก็ถกเถียงกันว่าใครเป็นคนดันแก้ว เมื่อไม่มีข้อสรุป และด้วยความไม่เชื่อในเรื่องผีสางทั้งหมดก็เดินออกไปหน้า ม.เพื่อหาข้าวกิน เพื่อนต่างคณะที่นั่งรถแท็กซี่เข้ามาได้สวนกับนักศึกษากลุ่มนั้นพอดี

ภาพที่เห็นก็คือ ชายแก่คนหนึ่งเดินออกมาจากบริเวณศาลใกล้คณะอินเตอร์ และได้ยกมือชี้ร้องไล่ให้ผู้หญิงในกลุ่มออกไป แต่ทุกคนกลับไม่มีใครใส่ใจ เมื่อมาถึงหอนักศึกษาคนหนึ่งก็เล่าให้เพื่อนฟังว่า "นี่ เมื่อกี๊เล่นผีถ้วย มันบอกว่าเป็นผู้หญิงว่ะ อย่าให้กูจับได้นะว่าใครเป็นคนดัน" เพื่อนก็รีบเล่าเรื่องที่ชายแก่ไล่หญิงสาวในกลุ่มให้ฟัง ทุกคนก็ยืนยันว่ามีแต่ผู้ชายล้วนๆ

ชายแก่คนดังกล่าวอาจเป็นวิญญาณเจ้าที่เจ้าทางที่รู้จักกันในนาม "พ่อปู่จันธูป"หรือ "เจ้าขุนทุ่ง" ส่วนผู้หญิงคนดังกล่าว จะเป็นคนเดียวกับในถ้วยหรือเปล่า?

6. เรือนไทย 
เรือนไทยเป็นเรือนสีแดงสดตั้งอยู่ตรงข้ามตึกวิทย์เก่า เดินเข้ามาไม่ไกลก็จะพบได้อย่างง่ายดาย ด้วยความสวยงามและอากาศเย็นสบาย ทำให้เรือนไทยกลายเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจยอดนิยม นักศึกษาหลายกลุ่มมานั่งติวหนังสือกันที่นี่ และบางกลุ่มก็ใช้เป็นที่พลอดรักกันอย่างน่าอิจฉา เรื่องเล่าเกี่ยวกับเรือนไทยมีมากมาย เพราะความคลุมเครือในที่มาของเรือนไทยโบราณหลังนี้

เมื่อ 2 ปีก่อน นักศึกษาหญิงคนหนึ่งเข้าไปอ่านหนังสือบริเวณเรือนไทย เวลาผ่านไปจนเริ่มเย็น ขณะนักศึกษาคนนั้นเก็บของเตรียมตัวกลับไปหอพัก ก็เหลือบไปเห็นเส้นสีดำๆคล้ายผมของใครบางคน ปลิวไสวอยู่ไม่ไกล เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆก็พบว่า เส้นผมที่ว่านั่น...เป็นเส้นผมของผู้หญิงใส่ชุดไทยโบราณ และกำลังห้อยหัวลงมาจากเสาเรือน ปากยิ้มแสยะเห็นฟันดำขลับ

นักศึกษาคนนั้นกรีดร้องและเป็นลมทันที พี่ยามได้ยินเสียงจึงเข้าช่วยเหลือ-ทำการปฐมพยาบาล รุ่นพี่เล่าต่อๆกันมาว่าเสาต้นหนึ่งในเรือนไทยตกน้ำมันได้ ถ้าคุณไม่เชื่อเกี่ยวกับ"ความแรง"ของที่นี่ มีเรื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีว่าที่เรือนไทยนี้อากาศเย็นสะท้านตลอดเวลา ไม่ว่าจะฤดูอะไร และวันนั้นแดดจะแรงขนาดไหนก็ตาม

7. หอชาย 
เชื่อหรือไม่? ในสมัยก่อนหอชายของมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา เป็นหอหญิงมาก่อน บางคนอยู่มาเป็นปีๆไม่เคยจะรู้ ไม่เคยจะใส่ใจกับความเป็นมาตรงนี้เลย

หอชายในปัจจุบันนั้นมีสภาพค่อนข้างใหม่กว่าหอหญิง (ยกเว้นแต่หอ10) ก็มีเรื่องเล่ากันว่า นักศึกษาหญิงคนหนึ่งได้ฆ่าตัวตายภายในหอพัก วิญญาณก็ยังวนเวียนไม่ไปไหน คอยปรากฏตัวให้นักศึกษารุ่นหลังได้ประสาทกินเป็นพักๆ และในแต่ละปีจะมีนักศึกษาชายจำนวนมากที่โวยวายกับเจ้าหน้าที่หอพักเรื่องผู้หญิงชุดขาวที่เดินไปมาในบริเวณหอพัก ส่วนสถานที่หลักๆที่จะพบได้ก็คือ
1. บันไดหนีไฟ ใครที่ชอบเดินทางนี้บ่อยๆ ระวังให้ดี คุณไม่มีทางหนี นอกจากวิ่งชนหรือลงไปติดแหง็กอยู่ด้านล่าง
2. ทางเชื่อมระหว่างหอ เมื่อมองจากระเบียง หรือด้านล่างของหอ นี่คือสามแพร่งที่ทุกคนต้องผ่านเข้าออกในแต่ละวัน

โถฉี่ในหอพักหญิงเป็นเครื่องยืนยันอย่างดี แต่อย่าหวังคำตอบจากเจ้าหน้าที่หอเกี่ยวกับสาเหตุที่ย้ายมา
เพราะต่อให้ตาย "...เค้าก็ไม่ตอบคุณหรอก"

8. คอนโด C ห้อง xxxx 
คอนโดบริเวณประตูสาม จะถูกจองตั้งแต่เดือนเมษา แต่จะมีอยู่ห้องหนึ่งในคอนโด C ซึ่งปิดขอบประตูโดยรอบด้วยยันต์ และประไว้ที่หน้าประตูอีกหนึ่งแผ่น ลองนึกภาพดูว่าบรรยากาศของห้องจะหม่นๆ เหมือนมีสายตาเฝ้ามองอยู่ตลอด ใครที่เคยอาศัยอยู่ย่อมรู้ถึงความกดดันได้เป็นอย่างดี

ประวัติของห้องนี้ก็มีอยู่ว่า ช่วงปิดเทอมเมื่อ 4-5 ปีก่อนมีเด็กอินเตอร์คนหนึ่งกรอกยาฆ่าตัวตาย กว่าเพื่อนจะไปพบ ศพมันก็อืด เน่า เฟะ เละจนแทบจำไม่ได้ เด็กคนนี้เป็นผู้หญิงอยู่ปี 2 น้อยใจแฟน ก็เลยประชดด้วยการลาโลก พองานศพเสร็จ เพื่อนๆทำใจไม่ได้ก็เลยขอย้ายไปพักที่อื่น คนที่ย้ายเข้ามาอยู่ใหม่ๆไม่รู้เรื่องรู้ราว ตกกลางคืนมักได้ยินเสียงเปิดก็อกในห้องน้ำ บางครั้งก็ได้ยินเสียงกุกกักทั้งๆที่ไม่มีใคร แต่นั่น...ไม่ร้ายแรงเท่านักศึกษาบางคนที่กำลังนอนหลับ เหลือบไปเห็นผู้หญิงหน้าตาบวมปูดเหมือนศพ จับขาและกระชากลงจากเตียง เพื่อนที่เคยไปอาศัยอยู่ในห้องเจ้าปัญหา การันตีความเฮี้ยนระดับห้าดาว!!! รูมเมทบางคนมองเห็นผู้หญิงเดินไปเดินมาในเวลากลางคืน และมักได้ยินเสียงร้องไห้ ปนโกรธแค้นที่ถูกทอดทิ้ง หลายคนก็ถูกผีอำจนอยู่ไม่ได้ เครื่องใช้ไฟฟ้า-ข้าวของ เปิดปิด เคลื่อนที่ได้เองอย่างน่าสงสัย เป็นอีกเรื่องที่ฮอทสุดๆและเฮี้ยนสุดๆในรั้วศาลายา

9. ตู้ผี 
ฟังชื่อแล้วต้องบอกว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนังผีเกาหลีเกรดบี แต่นี่คือเรื่องจริงของนักศึกษาดวงซวยสุดๆในคืนวันมหิดล เมื่อสองปีก่อน ช่วงสอบกลางภาคตรงกับวันมหิดลพอดี นักศึกษาหญิงคนหนึ่งซึ่งอ่านหนังสือเตรียมสอบอยู่ภายในห้องพัก กำลังจะไขกุญแจตู้เสื้อผ้าไปอาบน้ำ เครียดก็เครียด อ่านก็ไม่ทัน ไหนจะไม่ค่อยรู้เรื่องอีก ความซวยก็เข้าเยือนต่อทันที

ขณะเดียวกันเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น มีมือข้างหนึ่งยืนออกมาจากข้างใน ขว้าท่อนแขนนักศึกษาโชคร้ายและพยายามดึงเข้าไปในตู้ เท่านั้นแหละ...เสียงกรี๊ดดังลั่นมาถึงหอชาย เพื่อนร่วมห้องได้ยินก็กระวีกระวาดมาดู เห็นเจ้าหล่อนเป็นลมนอนฟุบอยู่กับพื้นห้อง จึงโทรศัพท์เรียกเจ้าหน้าที่หอให้รับตัวไปโรงพยาบาลทันทีสอบถามจากเจ้าหน้าที่หอพักก็ตีหน้าซื่อ แก้ตัวกับเหตุการณ์นี้ว่า "สงสัยเค้าจะเครียดมากไป" เป็นอันว่าเรื่องสยองในคืนวันมหิดลก็ยังเป็นปริศนาต่อไป

ที่มา http://ghost.osk119.net

21 มิถุนายน 2556

วิญญาณหมอ โรงพยาบาลศิริราช

"วิญญาณ" หรือ "ผี" เป็นคำใช้เรียกผู้ที่ตายไปแล้ว ไม่มีกายหยาบหรือกายเนื้อที่สัมผัสได้ห่อหุ้ม มีเพียงดวงจิต หรือกลุ่มพลังงานที่ตาเนื้อของคนธรรมดามองไม่เห็น วิญญาณจึงมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทุกสถานที่ บางคนอาจสัมผัสวิญญาณได้ หากเขาปรากฏให้เห็นในรูปของ "กายทิพย์" และว่ากันว่าสถานที่แห่งใดมีคนตายบ่อยๆ ตายเยอะๆ ที่นั่นพลังวิญญาณย่อมแรง

เรื่องราวชวนขวัญผวาทำนองนี้เคยเกิดขึ้นที่โรงพยาบาลศิริราช มีเรื่องเล่าถึงประสบการณ์ทางวิญญาณจากคนไข้ที่มานอนรักษาตัวภายในโรงพยาบาล หลายรายเจอะเจอวิญญาณในหลายรูปแบบ ทั้งผีคนโบราณ ผีคนไทย และผีฝรั่ง

สถานที่ตั้งของโรงพยาบาลศิริราช
เดิมเป็นที่ดินของเจ้านายเชื้อพระวงศ์ที่สืบสายมาจากรัชกาลที่ 1 ประวัติมีอยู่ว่า ที่ตั้งของโรงพยาบาลเคยเป็นบริเวณนิวาสสถานเดิมของพระเจ้าพี่นาง ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เรียกกันว่า บ้านสวนลิ้นจี่ อยู่ ต.สวนมังคุด แต่มาภายหลัง เมื่อ "นายทองอิน" (ภายหลังเป็น "กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข เจ้าฟ้ากรมหลวงอนุรักษ์เทเวศร์") พระเจ้าหลานเธอในรัชกาลที่ 1 ได้มีบทบาทสำคัญในการปราบปรามเหตุการณ์จลาจลในปลายรัชสมัย สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สำเร็จเมื่อ ร.1 เสด็จปราบดาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติ จึงทรงสถาปนานายทองอินให้ทรงกรมเป็น "กรมพระราชวังบวรสถานพิมุข" หรือ "วังหลัง" แล้วพระองค์ยังได้พระราชทานที่ดินฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาฟากตะวันตกให้เป็นวังที่ประทับด้วย ครั้นเมื่อกรมพระราชวังบวรสถานพิมุขฯ ทิวงคต พระบรมวงศานุวงศ์ได้ดูแลครอบครองต่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินบริเวณนี้ให้เป็นโรงพยาบาลศิริราชเมื่อพ.ศ. 2431

และเรื่องของวิญญาณในโรงพยาบาลศิริราชที่จะเล่าให้ฟังนี้เกิดขึ้นมานานหลายสิบปีแล้ว เมื่อคนไข้ผู้หญิงคนหนึ่งเกิดป่วยด้วยโรคนิ่วในไต แล้วไปทำการผ่าตัดรักษาที่โรงพยาบาลศิริราช และระหว่างที่รอการผ่าตัดในคืนหนึ่งเวลาราวตี 3 ก็ปรากฏว่าเธอได้เห็นคุณหมอที่จะทำการผ่าตัดให้เปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมหมอฝรั่งคนหนึ่ง ลักษณะรูปร่างสูง มีเครายาวแบบเคราแพะสีขาว สวมเสื้อเชิ้ตลายคอตั้ง คล้ายพวกนักบวช นุ่งกางเกงลายขาแคบแบบโบราณ เมื่อเห็นเธอก็ไม่รู้สึกแปลกใจว่าหมอฝรั่งคนนี้เป็นใคร เพราะเห็นมากับหมอประจำตัว และคุณหมอก็ยังให้หมอฝรั่งช่วยตรวจดูด้วย ซึ่งแพทย์ชาวต่างชาติตรวจแล้วก็พยักหน้า และพากันเดินออกไปจากห้อง

จนถึงวันผ่าตัด ขณะที่คนไข้ผู้นี้กำลังนอนอยู่บนรถเข็นรอที่จะเข้าห้องผ่าตัด ระหว่างนั้นเธอก็เห็นหมอฝรั่งคนเดิมเดินมาหา เธอจึงพูดกับหมอคนนั้นว่า กลัวว่าหลังผ่าตัดแล้วจะหิวน้ำ เพราะหลังผ่าตัดแล้วคนไข้จะดื่มหรือกินอะไรไม่ได้เลย แต่หมอฝรั่งก็ไม่ได้พูดอะไร ได้แต่ยิ้ม ส่ายหน้าทำนองปลอบใจ แล้วก็เดินออกไปจากห้อง และน่าประหลาดที่พอหลังจากผ่าตัดเสร็จแล้ว คนไข้ก็ไม่มีอาการกระหายน้ำอย่างที่คิดไว้แต่แรกเลย

แล้วในคืนสุดท้ายก่อนจะออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน เวลาประมาณตี 3 เธอก็เห็นคุณหมอที่ทำการผ่าตัดให้และหมอฝรั่งเข้ามาในห้องอีก หมอฝรั่งทำการตรวจให้ เสร็จแล้วก็เดินออกไปจากห้องพร้อมกัน โดยไม่พูดอะไรเลย รุ่งเช้าได้เวลาออกจากโรงพยาบาล แพทย์คนหนึ่งซึ่งรู้จักกับคนป่วยเป็นการส่วนตัว ได้เข้ามาเยี่ยม คนไข้จึงถามถึงหมอฝรั่งคนนั้นว่าเป็นใคร แพทย์ที่รู้จักกันก็ทำท่างงๆ บอกว่าต้องถามหมอเจ้าของไข้ แต่ตอนนี้คุณหมอออกเวรไปแล้ว จึงไม่ได้รู้ความจริง จนเมื่อกลับไปพักฟื้นที่บ้านแล้ว แพทย์ที่รู้จักกันก็ไปเยี่ยมที่บ้าน พร้อมบอกเล่าเรื่องจริงบางอย่างว่า ที่แท้แล้วหมอฝรั่งคนที่เธอเห็นในโรงพยาบาลนั้นเสียชีวิตไปนานแล้วด้วยโรคเลือด และมักจะไปปรากฏตัวให้คนไข้ที่ป่วยเป็นโรคเลือดเห็น

ครั้งหนึ่งเล่ากันว่ามีคนไข้หนักต้องการถ่ายเลือด พยาบาลจึงเดินไปเอาเลือดมาจากห้องเลือด และมีผู้เห็นหมอฝรั่งที่ตายไปเดินตามหลังพยาบาลออกมาจากห้องเลือดด้วย ที่เล่ากันชวนสยองก็คือ มีแพทย์คนหนึ่งเข้าไปในห้องเลือดเพื่อเอาเลือดไปให้คนไข้หนัก พอเดินเข้าไปก็เห็นผีหมอฝรั่งคนนั้นกำลังยกขวดเลือดดื่มอย่างกระหาย เลยต้องวิ่งออกมาแทบไม่ทัน

และที่แพทย์ซึ่งรู้จักกับคนป่วยไม่ได้เล่าเรื่องนี้ให้ฟังแต่แรกในโรงพยาบาลก็เพราะกลัวเธอจะกลัว จึงตามมาเล่าให้ฟังที่บ้าน และแพทย์คนนี้ก็ได้ถามคุณหมอที่เป็นคนผ่าตัดให้เธอแล้วได้ความว่า คุณหมอไม่รู้เรื่องเลย ไม่เคยเข้าไปเยี่ยมไข้ใครในเวลาดึกเช่นนั้น และเวลาที่ว่านั่นก็เป็นเวลาที่หมอกำลังหลับสนิทอยู่ที่หอพักแพทย์

ที่มา http://www.xraythai.com/

20 มิถุนายน 2556

โรงพยาบาลผีสิง จังหวัดระยอง

"โรงพยาบาลผีสิง" หลอกหลอนผู้คนจนร่ำลือทั้งระยอง

ขนลุกกันทั้งเมือง "โรงพยาบาลผีสิง" หลอกหลอนผู้คนจนร่ำลือทั้งระยอง เป็นโรงพยาบาลเก่าที่หยุดกิจการปล่อยให้ร้างมา 3-4 ปี ทิ้งตู้ยาเตียงคนไข้ไว้เกลื่อน ประตูหน้าต่างกระจกแตก ผู้คนที่ผ่านไปมาบางคนเห็นรถพยาบาลวิ่งเข้าวิ่งออก เห็นคนเข็นเตียงคนไข้เดินไปมา ได้ยินเสียงคนไข้ร้องโหยหวน ทั้งๆ ที่ตึกทั้งตึกไม่มีใครอยู่ รกร้างมีหญ้าขึ้นเต็มไปหมด จนไม่มีใครกล้าผ่าน ขณะเดียวกันก็มีคนเข้าไปพิสูจน์เป็นระยะๆ แต่ก็ต้องวิ่งหน้าตาตื่นตัวสั่นออกมาแทบทุกคน หลายคนบอกถูกตบหัว

เมื่อวันที่ 1 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีชาวบ้านร่ำลือกันไปทั่วเมืองระยองว่า มีผีอาละวาดเที่ยวตามหลอกหลอนผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาจนหวาดผวาไปตามๆ กัน ที่โรงพยาบาลร้างแห่งหนึ่ง ชื่อโรงพยาบาลเอกชน ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ต.เชิงเนิน อ.เมือง ระยอง ริมถนนสาย 36 โดยเสียงร่ำลือของชาวบ้านบอกว่าเห็นผีเข็นรถคนไข้ไปมาภายในโรงพยาบาล และมีเสียงร้องโหยหวนชวนให้ขนลุกขนพองอย่างยิ่ง จนไม่มีใครกล้าเดินผ่านเส้นทางดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน

ห้องดับจิตและโรงอาหาร ทั้งหมดอยู่ในสภาพเก่า
จากการตรวจสอบบริเวณดังกล่าวพบว่า มีเนื้อที่ประมาณ 50 ไร่ ด้านหน้าเป็นอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น ติดถนนสาย 36 ของโครงการระยองคอมเพล็กซ์ ด้านหลังโครงการมีพื้นที่โล่งเนื่องจากโครงการหยุดชะงัก ห่างจากถนนออกไปประมาณ 1 ก.ม.พบตึก 4 ชั้นขนาดใหญ่ ด้านหน้าเขียนข้อความว่า "โรงพยาบาลเอกชน ศูนย์บริการ 24 ช.ม." มีหญ้ารกปกคลุม สภาพเก่าตัวอาคารมีสีแดง ชั้นล่างเป็นห้องฉุกเฉินที่ยังมีป้ายติดอยู่ ชั้นสองเป็นห้องคอมพิวเตอร์และห้องผู้ป่วย ส่วนชั้นล่างมุมขวาเป็นห้องดับจิตและโรงอาหาร ทั้งหมดอยู่ในสภาพเก่า

นอกจากนี้ตามห้องต่างๆ ยังมีเตียงคนไข้เก่าๆ เรียงรายกระจัดกระจายเต็มไปหมด หน้าต่างทุกบานกระจกแตกไม่อยู่ในสภาพใช้การได้ เมื่อมองสังเกตเข้าไปด้านในมีรอยคล้ายรอยเลือด 2 กองติดอยู่พื้นผนังหน้าห้องฉุกเฉิน ส่วนห้องดับจิตก็ยังมีตะแกรงวางศพปรากฏให้เห็น ขณะที่ห้องเย็นสำหรับเก็บศพอยู่ติดกับโรงอาหารชั้นล่าง มีสภาพเก่าๆ ทึมๆ สร้างความวิเวกวังเวงอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเวลามีสายลมอ่อนๆ พัดผ่านมา

เหตุใดโรงพยาบาลต้องหยุดกิจการ
นายสุชาติ พฤษศานิตย์ อายุ 40 ปี คนงานที่เฝ้าสถานที่ดังกล่าวเปิดเผยว่า เดิมโรงพยาบาลแห่งนี้ชื่อโรงพยาบาลเอกชน ก่อนจะหยุดกิจการไป อีกประมาณ 1 ปีต่อมากลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งในชื่อโรงพยาบาลสุนทรภู่ แต่ละวันมีคนไข้เข้ามาใช้บริการจำนวนมากจนกลายเป็นโรงพยาบาลชื่อดังของจังหวัด แต่ไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุใดโรงพยาบาลต้องหยุดกิจการอีกครั้ง และปิดยาวกลายเป็นอาคารร้างมาประมาณ 3-4 ปีแล้ว ส่วนตนได้รับว่าจ้างจากบริษัทแห่งหนึ่งที่ซื้อตึกนี้ให้ดูแลคอยถางหญ้าถางป่าไม่ให้รกรุงรัง

แต่ละวันจะมีคนเข้ามาพิสูจน์ผีเป็นระยะๆ และก็ต้องวิ่งเผ่นหนีออกมากันแทบทุกคน

นายสุชาติกล่าวอีกว่า ที่ผ่านมามีคนมาบอกว่าที่นี่ผีดุ และโดนหลอกเป็นประจำ แต่ละวันจะมีคนเข้ามาพิสูจน์ผีเป็นระยะๆ และก็ต้องวิ่งเผ่นหนีออกมากันแทบทุกคน ล่าสุดมีนักเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่งเข้ามาพิสูจน์ความจริง และก็วิ่งหน้าตาตื่นตัวสั่นออกมาบอกกับตนว่า ถูกตบหัว

"มีชาวบ้านเห็นคนเข็นรถเข็นคนไข้และมีคนไข้เข้าๆ ออกๆ เป็นประจำเหมือนปกติ แต่พอมองดูช้าๆ ชัดๆ ก็กลายเป็นป่าไม้ บางทีก็มองไม่เห็นอะไรเลย บางทีก็มีรถพยาบาลวิ่งเข้าไปข้างใน มีเสียงคนไข้ร้องโหยหวน แต่ผมไม่เคยเจอกับตาเสียที" ผู้ดูแลโรงพยาบาลผีสิง กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สาเหตุที่โรงพยาบาลดังกล่าวต้องหยุดกิจการปล่อยให้รกร้างมานาน เนื่องจากมีปัญหาถูกร้องเรียนเรื่องขาดแคลนแพทย์ และการให้บริการ

ที่มา เรื่องนี้บอกเล่าใน xchange.teenee.comบอร์ดลึกลับ โดยคุณฟ้า http://happy.teenee.com/xfile/ghosthorror/16.html

19 มิถุนายน 2556

เรื่องสยองขวัญจากซอยราชครู ในอดีต

เมื่อประมาณสิบปีเศษมาแล้ว ผมเช่าห้องอยู่กับเพื่อนชื่อพิชัย ในซอยอารีสัมพันธ์ 1 เข้าทางพหลโยธิน 5 (ซอยราชครู) เพราะเห็นว่าใกล้ที่ทำงานของเราที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ตอนเย็นๆ งานเลิก เรามักแวะร้านเหล้าในเวิ้งหลังป้ายรถเมล์ ใกล้ๆ กับย่านก๋วยเตี๋ยวเรือ

ร้านขาประจำของเราขายอาหารอีสาน เน้นเรื่องรสชาติอร่อย ราคาถูก ไม่สนใจเรื่องบรรยากาศหรือความสะอาดเท่าไหร่นัก

โขงแบน โซดาสอง น้ำแข็งเหยือก ลาบ ก้อย ส้มตำปูใส่ปลาร้า บางวันก็เป็นตับหวาน ซุปหน่อไม้ เนื้อเค็ม ข้าวเหนียวขาดไม่ได้ ต้นเดือนมีการสั่งแบนที่สอง แต่ปลายเดือนแบนเดียวก็พอ อาศัยชงเหล้าหนาๆ หน่อยก็เมาเร็วได้เหมือนกัน ประหยัดเงินดี

บางเย็นเราแวะเดินห้างก่อน ดูของสวยๆ งามๆ กับมองสาวน่ารัก ไม่ว่าคนซื้อหรือคนขาย กว่าจะขึ้นสะพานลอยเดินอ้อมอนุสาวรีย์ ผ่านโรงพยาบาลราชวิถี ข้ามถนนที่จะไปทางโรงพยาบาลพระมงกุฎ เดินถึงร้านขาประจำได้ก็ราวทุ่มเศษแล้ว

เหนื่อยๆ มาแบบนี้ซดเหล้าชุ่มฉ่ำดีนักละครับ ยอมรับว่าตอนนั้นกำลังห้าว เลยไม่ค่อยได้นึกถึงสุขภาพเท่าไหร่ ขากลับมักจะเดินทอดหุ่ยจนแทบส่างเมา

คนที่เช่าห้องอยู่ใกล้ๆ กันเล่าว่าซอยนี้ผีดุ หมายถึงซอยราชครู ที่เลี้ยวซ้ายแล้วเลี้ยวขวาไปเข้าอารีสัมพันธ์ 1 สาเหตุเพราะเข้าซอยมาเคยมีโรงพยาบาลอยู่ด้านซ้าย แต่เลิกกิจการก่อนผมไปอยู่แถวนั้นหลายปีแล้ว

เคยมีคนไปเปิดค็อกเทลเลานจ์อยู่ตรงหัวมุม เลยโรงพยาบาลที่ว่าไม่ไกลนัก แต่ก็ไปไม่รอด มิหนำซ้ำครอบครัวแตกแยกกัน พอมีคนไปทำใหม่ก็ไร้ผล เสียงลือก็มาฟอร์มเดิมๆ น่ะแหละครับ คือบอกว่า...เจ้าที่แรง!

ผมกับเพื่อนไม่ค่อยเชื่อถือเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ กลางวันก็เห็นปกติ แม้ว่าตอนนั้นจะดูโล่งตา ตอนกลางคืนเดินผ่าน หรือเมามากนั่งตุ๊ก-ตุ๊ก กลับก็ไม่เห็นมีอะไรเลย

คืนนั้นค่อนข้างมึน ออกจากร้านราว 4 ทุ่มเพราะเขาจะปิดอยู่แล้ว ชวนกันย่ำต๊อกมาเรื่อยๆ ให้หายมึนกับเซฟค่ารถ บางครั้งก็มีสะดุดมีเซแซดๆ เหมือนกัน เอ้ๆ แอ่นๆ เข้าซอยราชครูเกือบ 5 ทุ่มได้ รถราแทบจะไม่มีแล้วแต่ก็ไม่ได้เอะใจอะไร

พอเดินผ่านโรงพยาบาลร้าง พิชัยบอกว่าเห็นไฟเปิดอยู่ชั้น 2 ผมว่าถ้าไม่ตาฝาดก็คงมีขี้ยาไปมั่วสุม...เราก้าวเท้ากันเร็วขึ้น อาการเดินเซหายเป็นปลิดทิ้ง

จู่ๆ มีเสียงผู้หญิงร้องโหยหวนน่าขนลุก ดังมาจากดงละเมาะโรงพยาบาลนั้น เล่นเอาเราชะงักกึก คิดว่าหูหาเรื่องไปเอง...พอดีมีเสียงเด็กแรกเกิดร้องแว้ๆ มากระทบหู พอเงียบไปพักก็แผดร้องเอาเป็นเอาตายยิ่งกว่าเดิม

ผมบอกเพื่อนว่าอย่าคิดอะไรมาก พลันได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เดินตามดังก้อง อาจจะเป็นคนในย่านเดียวกันก็ได้...คงมีใครเดินย่ำหนักๆ รีบกลับบ้านกันละมั้ง?

เราหันไปมองแล้วรีบหันกลับ กลืนน้ำลายเอื๊อก เมื่อเห็นชายชุดดำร่างสูงใหญ่เดินมาใต้โคมไฟรุบหรู่ ท่าทางเร่งร้อนจนใกล้เข้ามาทุกทีอย่างน่าหวาดระแวง

ใกล้ถึงหัวมุมที่เคยเป็นค็อกเทลเลานจ์ เสียงต่างๆ ก็เงียบหายไป เราเลยถอนใจกันอย่างโล่งอก ก่อนจะสะดุ้งเฮือกเมื่อมีเสียงเด็กอ่อนๆ ร้องไห้จ้า...ฟังเหมือนดังลั่นอยู่ในยามดึกที่มีแสงไฟส่องสลัวจนน่าใจหาย

พิชัยหันขวับไปมอง แล้วร้องครางเบาๆ ก่อนจะโผเข้าเกาะแขนผมแน่น

ไม่ทราบว่ามีอะไรดลใจให้ผมหันไปดูมั่ง! โลกทั้งโลกคล้ายจะแตกเป็นเสี่ยงๆ พยายามบอกตัวเองว่าเราเมา...ขืนเมามากกว่านี้มีหวังสติแตกแน่ๆ

ภาพที่เห็นไม่ใช่ชายร่างใหญ่ในตอนแรก แต่กลายเป็นหญิงร่างเล็กในชุดคนไข้สีขาว เดินตามมาใกล้ๆ พลางอุ้มทารกที่ร้องจ้าน่าเวทนา อาจจะเพิ่งคลอดได้ 3-4 วัน อ้าว? แล้วอุ้มลูกออกมาดึกๆ ดื่นๆ ยามนี้ทำไมกันเล่า? ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย

เราสองคนจ้ำอ้าวเป็นควายหาย คล้ายจะโดนเสียงร้องกรี๊ดๆ รบกวนสุดขีด แต่แม่ลูกคู่นั้นกลับดูจะเคลื่อนใกล้เข้ามาหาเรายิ่งกว่าเดิม ราว 4-5 ก้าวเท่านั้นเอง!

"วิ่งโว้ย!" ไม่รู้ใครตะโกน พอเลี้ยวหัวมุมที่เป็นเลานจ์ร้าง ก็ได้ยินเสียงหัวเราะครืนมากระทบหู คราวนี้ผมกระโจนพรวดออกนำหน้า เลี้ยวผ่านทาวน์เฮ้าส์สร้างใหม่ด้านขวา ได้ยินพิชัยร้องลั่นๆ ตามมาว่า...ช่วยด้วย!

หันไปมองหอบฮักๆ ก็เห็นแม่ลูกอ่อนเข้าประชิดตัว ส่งเด็กให้ แทนที่จะบอกรับหรือปฏิเสธ เพื่อนกลับร้องจ้าเหมือนคนสติแตก ตะโกนลั่นซอยว่า "ผีหลอกโว้ย"

ขณะที่ผมยืนตะลึงเหมือนถูกสาป ก็เห็นเพื่อนพุ่งพรวดเหมือนนักวิ่ง 100 เมตรจะสปีดเข้าเส้นชัย แซงหน้าผมหวือไป เสียงนรกจกเปรตยังแผดจ้า...เขย่าขวัญจนผมห้อเหยียดตามเพื่อนไปอย่างไม่คิดชีวิต

ไม่รู้ว่าเราเข้าไปหอบฮักๆ ในห้องพักชั้นล่างได้ยังไง หน้าซีดเป็นผีตายพอๆ กัน...เสียงเด็กเจ้ากรรมยังร้องจ้าๆ ดังเข้ามาในห้องตั้งนานกว่าจะไป

รุ่งขึ้น เราตัดสินใจย้ายที่ซุกหัวนอนไปเช่าห้องอยู่แถววัดสะพาน

พระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรกแท้ๆ

ไปอยู่ได้อาทิตย์กว่า ก็มีผู้ประสงค์ดีมาเล่าให้ฟังว่า วัดทัศนารุณสุนทริการาม หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าวัดสะพาน (หรือวัดตะพาน) ขึ้นชื่อลือชาว่ามีผีปอบดุร้ายที่สุดในประเทศไทย...เป็นงั้นไป!

ที่มาของเรื่อง http://variety.teenee.com/world/6499.html

18 มิถุนายน 2556

โรงพยาบาลผีสิง ซอยอารีย์ กรุงเทพ

โรงพยาบาลผีสิงที่ระยองกำลังเป็นข่าวดังสุดๆ ถึงกับมีคนอยากไปลองของ ท้าพิสูจน์กันมากมาย เพื่อให้เห็นดำเห็นแดงว่ามีผีสิงจริงหรือเปล่า? ถ้ามีจริงจะปรากฏกายให้เห็นหรือไม่?

ผู้คนหลั่งไหลเข้าไปดูคืนละเป็น ร้อยๆ จนคนเฝ้าต้องเก็บเงินค่าผ่านประตูหัวละ 10 บาท คนอยากรู้อยากเห็นก็ยินยอมจ่ายให้โดยดี พอเห็นเข้าก็สติแตก ร้องไห้โฮก็มี วิ่งหนีกระเซอะกระเซิงก็มี อาการหนักกว่าเพื่อนถึงกับสลบค่าที่ เมื่อช่วยกันแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้ก็รีบกลับไปจุดธูปขอขมาว่าไม่ได้เจตนาลบ หลู่อะไรหรอก เจ้าประคุณเอ๋ย...นอกจากอยากรู้อยากเห็นเท่านั้นแหละ ข่าวสดลงข่าวอื้อฉาว พี่ป๋องออกรายการทางวิทยุ ทีวียกกองไปตั้งกล้องถ่าย ผู้คนสนใจแห่กันมาดูคับคั่ง พ่อค้าแม่ขายหลายเจ้าก็พลอยขายดิบขายดีไปตามๆ กัน

เรื่องนี้ทำให้ผมนึกถึงโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ อยู่กลางซอยราชครู สนามเป้าเมื่อประมาณ 20 ปีที่ผ่านมานี่เอง

เข้าซอยไปราว 100 เมตรเศษ อยู่ทางซ้ายมือ ด้านหน้ามีรั้วและสนามหน้าตึกสามชั้น รับตรวจรักษาโรคต่างๆ เหมือนโรงพยาบาลทั่วไป คนไข้ก็เข้าออกกันหนาตา รวมทั้งญาติมิตรที่ไปเยี่ยมคนป่วยต้องนอนโรงพยาบาล

จู่ๆ โรงพยาบาลนี้ก็เลิกกิจการไปโดยที่ไม่มีใครทราบสาเหตุแน่ชัด

ลือกัน ว่าขาดทุนบ้าง ขาดแพทย์และพยาบาลบ้าง เจ้าที่แรงบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือ กลายเป็นโรงพยาบาลร้าง ประตูรั้วปิดตาย ไม่ช้าก็มีเถาไม้เลื้อยพันขึ้นมารกรุงรัง ยามค่ำคืนคนที่ผ่านไปมามองเห็นตึกร้าง มีแต่ความทึบทึมเปล่าเปลี่ยว นอกจากจะเกิดความวังเวงใจแล้วยังรู้สึกเสียวสันหลังวูบวาบไปตามๆ กัน

คน แถวนั้นที่ผ่านไปมาตอนกลางคืน เล่าว่าได้ยินเสียงผู้หญิงร้องครวญครางโหยหวนน่าขนลุกดังมาจากตึกชั้นบน

อาหมู - คนรับเหมาก่อสร้างเดินกลับบ้านมาพร้อมกับเมียชื่อเจ๊แดง บอกว่าได้ยินเสียงเด็กร้องไห้เยือกเย็นมาจากตึกร้าง พอหันไปมองอย่างลืมตัวก็เห็นผู้หญิงยืนอุ้มลูกอยู่ที่หน้าต่างชั้น 2 เล่นเอาวิ่งแข่งกันเป็นลมพัด...เจ๊แดงจับไข้อยู่หลายวัน สบถสาบานว่าจะไม่ยอมเดินผ่านโรงพยาบาลผีสิงตอนกลางคืนอีกต่อไป

น้าวีระ - เซลส์แมนสบถสาบานว่า ขนาดนั่งตุ๊กตุ๊ก เข้าซอยมาแท้ๆ ยังเห็นรถเข็นคนไข้เปล่าๆ แล่นไปมาอยู่หน้าตึกร้าง ไม่มีทั้งคนนั่งและคนเข็น หมาเจ้ากรรมก็โก่งคอหอนโหยหวนขึ้นทั้งซอย คนขับตุ๊กตุ๊กคงจะเห็นเหมือนกันเลยห้อตะบึงจนเลยทางเข้าบ้าน น้าวีระสั่งจอด พอโดดลงมาคนขับก็บึ่งรถไปโดยไม่แยแสค่าโดยสาร...ขวัญหนีดีฝ่อไปตามๆ กัน

ป้าณี - แม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยวเนื้อวัวที่ก้นซอยอารีสัมพันธ์ 1 เล่าว่า ออกไปซื้อของที่ตลาดสะพานควายตอนเช้ามืด พอเดินผ่านโรงพยาบาลร้างที่ตั้งตะคุ่มอยู่ในความมืดสลัว หันไปมองโดยไม่ตั้งใจก็เห็นไฟสว่างพรึ่บบนชั้น 2 กับชั้น 3 ที่เป็นห้องพักคนไข้ รวดเดียว ป้าณีวิ่งไม่คิดชีวิตไปถึงถนนใหญ่...ตั้งแต่นั้นมาจะไม่ยอมออกไปซื้อของก่อน สว่างเป็นอันขาด

น้าอ้วน - อยู่ใกล้ๆ บ้านป้าณี เป็นสาวโสดฐานะดี มีอาชีพออกเงินกู้ อยู่กับแม่ที่ชรามากแล้ว เจอฤทธิ์เดชของปีศาจโรงพยาบาลร้างรุนแรงยิ่งกว่าทุกคน ขนาดเอาชีวิตเป็นเครื่องสังเวย!

วันนั้น น้าอ้วนไปเก็บดอกเบี้ยไปถึงซอยอารี ซอยสีฟ้า ลูกหนี้ชวนไปดื่มเบียร์ฟังเพลงที่คาเฟ่หน้าโรงหนังนิวยอร์ก...ติดลมจนเกือบ สองยาม ถึงได้เดินเซนิดๆ มาขึ้นแท็กซี่แยกกันกลับบ้าน แทนที่จะเข้า ซอยอารี เลี้ยวซ้ายผ่านโรงแรมมายเฮ้าส์ไปอารีสัมพันธ์ 1 จะได้ไม่ผ่านดงผีดุ แต่กลับเลยไปเข้าทางซอยราชครูจนได้ ท่ามกลางบรรยากาศเยือกเย็นชวน ให้วังเวงใจ แท็กซี่เจ้ากรรมคันนั้นเกิดเบรกเอี๊ยดที่หน้าประตูรั้วสนิมเขรอะดื้อๆ เล่นเอาน้าอ้วนแทบสร่างเมา ชะโงกหน้าเข้าไปถามว่าจอดที่นี่ทำไม? คำตอบเล่นเอาขนหัวลุกพรึ่บทันที

"ก็รถพยาบาลเขาจะเลี้ยวเข้าไป พี่ไม่เห็นรึ?"

"รถผีสิงน่ะซี..." น้าอ้วนหลุดปากได้แค่นั้นก็ลิ้นแข็ง เบิกตาโพลงบัดดล

นรกเป็นพยาน! รถตู้สีขาวคันหนึ่งกำลังเลี้ยวช้าๆ ผ่านหน้ารถแท็กซี่ แล่นทะลุประตูเหล็กที่มีไม้เลื้อยรุงรังเข้าไปในโรงพยาบาลร้าง...ก่อนจะจาง หายไปต่อหน้าต่อตา

น้าอ้วนร้องด่าอย่างลืมตัว รู้สึกเหมือนมีความมืดสาดพรึ่บเข้ามาเต็มหน้า แท็กซี่ร้องเฮ้ย! เข้าเกียร์ออกรถมือไม้สั่น ขับพรวดพราดไปจอดหน้าซอย บอกว่าไม่ยอมเข้าไปเด็ดขาด เดี๋ยวจะบึ่งตรงไปออกทางคลองประปา น้าอ้วนจะอ้อนวอนเท่าไหร่ก็ไร้ผล เดินร้องไห้ซมซานมาถึงบ้านก็เป็นลม ไป รุ่งขึ้นเพื่อนบ้านได้ข่าวก็ไปเยี่ยม น้าอ้วนเล่าเรื่องขนหัวลุกให้ฟังกระท่อนกระแท่น เดี๋ยวหัวเราะร่วน เดี๋ยวก็ร้องไห้โหยหวนเยือกเย็นไปถึงหัวใจของทุกคนที่ได้ยิน

อีกราว 3-4 วันต่อมา น้าอ้วนก็ผูกคอตายในห้องน้ำชั้นล่าง ไม่มีใครทราบสาเหตุแท้จริงว่าเป็นเพราะอะไรแน่...แต่ก็ลือกันว่าโดนวิญญาณ ร้ายมาเอาชีวิตเพราะปากคอร้ายกาจของแกเอง

ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 38 - ฉบับวันที่ 16 กค 2547

17 มิถุนายน 2556

สระว่ายน้ำมรณะ กาญจนบุรี

โรงแรมแห่งหนึ่งซึ่งมีเนื้อที่อาณาเขตใหญ่พอ ๆ กับสนามบิน ได้มีการเปลี่ยนชื่อของโรงแรมมาประมาณ 4 ครั้ง ความงดงามของโรงแรมกึ่งรีสอร์ทแห่งนี้เป็นที่โจษขานถึงความงดงามเกินบรรยาย ถูกใจให้ติดอันดับโรงแรมที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของภาคกลาง  จำนวนแขกที่เข้าพักมีมากมายโดยเฉพาะวันหยุด โดยตึกของโรงแรมเรียงรายกันไปเป็นส่วนของริมสวน ริมสระว่ายน้ำ ริมแม่น้ำ ริมสระบัว

พนักงานหลายคนได้รับการกล่าวขาน ถึงตำนานสยอง ของตึกหนึ่งตึก ซึ่งตั้งอยู่ค่อนข้างเปลี่ยวกว่าตึกอื่น ตึกนี้หันหน้าเข้าสระบัว มีสะพานไม้ตรงกลางสระ ตึกนี้จะเป็นตึกสำรอง ถ้าตึกที่พักตึกอื่นเต็ม ก็จะส่งลูกค้ามายังตึกนี้ หรือ ถ้าได้บัตรพักฟรี ในลักษณะของ Gift Voucher ก็จะถูกส่งมานอนที่ตึกนี้ ซึ่งเป็นตึกสองชั้น

ตำนานสยองกล่าวกันว่า มีแขกผู้เข้าพักคนหนึ่ง เป็นสตรี หน้าตาสระสวย เป็นภรรยาของชาวต่างชาติรายหนึ่ง ได้ฆ่าตัวตายในห้อง เพราะทนความเจ้าชู้ของสามีไม่ไหว โดยสามีนั้นได้เกี้ยวพาราสีพนักงานหญิงของโรงแรมแห่งนี้ และได้เสียกันที่ห้องซาวน่า ภรรยาเห็นภาพทนไม่ไหวจึงกลับมาฆ่าตัวตาย หลังจากสาปแช่งสามีตนเอง และพนักงานสาวตัวต้นเหตุ  ซึ่งเจ้าของโรงแรมที่เป็นบุคคลที่มีอำนาจในการปิดข่าวได้สนิทนัก ทำการทำบุญตึก และปัดรังควาญอย่างครบสูตร กระนั้นยังคงได้ยินเสียงแปลก ๆ บางครั้งจากตึกที่ไม่มีคนเข้าพัก และจะเปิดบริการเฉพาะช่วงวันหยุด หรือ วันที่ตึกอื่น ๆ มีแขกเข้าพักจนเต็ม

บ้างก็เล่าว่า ตึกนั้น มีพนักงานหญิง ฆ่าตัวตายจากความกดดันเรื่องงาน และทนไม่ได้ที่มีสัมพันธ์ลึกกับผู้บริหาร และถูกทอดทิ้ง จึงฆ่าตัวตายเป็นที่ระลึกให้ชายหนุ่มได้รู้ซึ้งถึงคำว่ารักที่เธอมีให้

สระว่ายน้ำของโรงแรม เคยมีเด็กจมน้ำตาย เด็กคนนี้เป็นหลานของนักธุรกิจชื่อดังคนหนึ่งในตลาดชุกโดน จังหวัดกาญจนบุรี ไม่ปรากฏรายละเอียดของความอาถรรพ์ใด ๆ นอกจากเป็นข่าวอุบัติเหตุในหน้าหนังสือพิมพ์

คุณปลาทู ผู้เข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้ ได้เล่าให้ฟัง ถึงประสบการณ์ขนพองผ่านทางเว็บไซต์  วัยซ่าส์.คอม ว่า  “ ผมไปสัมมนา ซึ่งบริษัทได้จัดห้องพักฟรีไว้ให้ เราไปกัน 5 คน ได้นอนตึกหนึ่งที่ค่อนข้างไกลจากสระว่ายน้ำ ขณะที่กำลังดูฟุตบอลอยู่นั้น ( ใกล้จบ ประมาณ 5 ทุ่ม ) ก็ได้ยินเสียงเคาะประตู เมื่อมองผ่านตาแมวตรงประตู เห็นเป็นผู้หญิงผมยาวยืนหันหลังให้ จึงคิดว่าเคาะประตูผิด ก็เลยเปิดประตูไปเพื่อจะแจ้งให้เธอทราบ แต่หน้าห้องไม่มีใครอยู่ มองไปทางซ้ายและขวาก็ไม่มีใคร ตอนแรกก็นึกว่ามีคนเล่นตลก หรือเพื่อนจ้างใครมาแกล้งอำ  จึงกลับมาดูถ่ายทอดฟุตบอลต่อ  และก็ได้ยินเสียงเคาะประตูอีกครั้ง จึงเดินไปดูผ่านตาแมว และก็เป็นผู้หญิงคนเดิมยืนหันหลัง เพราะจำเสื้อผ้าที่เธอใส่ได้ สีออกเขียว ๆ มีลายคล้ายดอกไม้ แต่การมองผ่านตาแมวทำให้ภาพเพื้ยนและเล็ก แต่กระนั้นผมก็จำได้ว่าเป็นเธอแน่ ๆ จึงเปิดประตูออกมาด้วยความรวดเร็ว กลัวเธอจะหนีไปอีก คราวนี้ไม่พบเจอเธออีกเช่นกัน แต่มีลมแรง ๆ วูบหนึ่งพัดผ่านผมเข้ามาในห้อง ผมจึงปิดประตู และรีบกลับไปยังเตียงเพราะเริ่มรู้สึกไม่ค่อยดีเอามาก ๆ ผมดูทีวีต่อจนง่วงและค่อย ๆ หลับไป “

“ ผมรู้สึกตัวอีกที เพราะได้ยินเสียงหยดน้ำแถว ๆ ปลายเตียง ผมจึงลืมตาขึ้น ผมตกใจถึงขีดสุด ผู้หญิงคนนั้น คนที่ผมเห็นหน้าประตู นั่งอยู่ที่เตียงเปล่าที่ผมวางกระเป๋าไว้ มีเพียงช่องว่างระหว่างเตียงที่ผมนอน กับเตียงที่เธอนั่ง มันใกล้กันมาก เธอนั่งก้มหน้า มีผมยาว ๆ ปรกหน้าตาไว้ แขนวางพาดที่หน้าตัก เหมือนจะร้องไห้อยู่ ผมเหลือบไปมองที่แขนมีแผลเหวอะหวะ เลือดไหลนองลงบนผ้าปูเตียงสีขาว
ผมกลัวมาก รีบลุกขึ้นเตรียมวิ่งออกนอกห้อง ตอนนี้เองที่เธอได้มองหน้ามายังผม และผมก็ต้องช็อคสุดขีด เพราะเธอไม่มีนัยน์ตา อาจเพราะไฟสลัวจากหัวเตียงสว่างไม่พอให้ผมมองเห็น แต่ผมไม่คิดอะไรแล้ว ผมวิ่ง วิ่ง และออกไปจากห้องโดยไม่ย้อนกลับมาอีกเลย “

“ที่แปลกมาก ก็คือ เมื่อผมไปแจ้ง รีซีฟชั่น ไม่มีใครมีทีท่าตกใจ หรือ แปลกใจกับสิ่งที่ผมพูดเล่าให้พวกเขาฟัง ผมนั่งอยู่ที่ล็อบบี้จนเช้า ไม่กล้านอนอีกเลย จนเช้า ให้เพื่อนเข้าไปช่วยเก็บของ เตียงว่างเปล่า ไม่มีรอยเลือด ทุกคนคงหาว่าผมบ้า แต่ผมไม่ได้บ้า“

ที่มา http://www.teenkan.com/column-nana.php?id=3

16 มิถุนายน 2556

โรงแรมลิฟท์สยอง กาญจนบุรี

เป็นโรงแรมริมแม่น้ำ ไกลจากตัวเมืองกาญจนบุรีพอประมาณ ว่ากันว่า พนักงานทำความสะอาด ได้ทำไม้กวาดหล่นเข้าไปในใต้ซอกลิฟท์ จึงได้ก้มตัวลงไปหยิบ ทันใดนั้น คราวเคราะห์ได้มาเยือน ลิฟต์เคลื่อนตัวและทับศรีษะของพนักงานคนนั้นจนเสียชีวิต

ทีมงานสอบถามไปยังเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่าง ๆ ซึ่งได้รับการปฏิเสธ จึงได้ทำการสอบถามกับพนักงาน และเจ้าหน้าที่ทำความสะอาด โดยสัญญาว่าจะไม่เอ่ยชื่อของโรงแรมให้ได้รับผลกระทบ ได้ความว่า ตอนดึก ๆ ห้องที่อยู่ติดกับลิฟท์มักจะได้ยินเสียงครางประหลาด บ้างก็เห็นเป็นเงาของศรีษะคนอยู่ที่ริมหน้าต่าง ซึ่งไม่มีระเบียงและอยู่สูงกว่าจะปีนได้ สร้างความสยองแก่ผู้คนที่พบเจอ แต่ก็เป็นแค่คำกล่าวขาน ยังไม่มีผู้ใดยืนยันกับคำบอกเล่าเหล่านี้

คุณ Jamo ซึ่งเป็นผู้ที่เข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้ ได้เล่าประสบการณ์ถึงการเข้าพักที่โรงแรมแห่งนี้ว่า “วันนั้นเป็นวันเสาร์ ผมไปเที่ยวกาญจนบุรีถึงตอนห้าโมงเย็น เก็บของเข้าห้องพัก แล้วลงมากินข้าว ได้ยินพนักงานเล่าให้พนักงานใหม่ฟัง ( ซึ่งตอนนั้นผมนั่งอยู่ใกล้ ๆ แต่พวกเค้าไม่ทราบเลขที่ห้องของผม ) ว่า มีพนักงานโดนลิฟท์ทับใกล้ ๆ กับห้องหมายเลข *** ซึ่งมันเป็นเลขห้องของผม แต่ผมก็ไม่คิดอะไร คิดซะว่าเป็นข่าวลือ ตอนเข้านอน มีลมแรงมาก ๆ มาพัดหน้าต่าง ผมจึงลุกไปปิดและล็อค ลมเริ่มแรงขึ้นแรงขึ้น ผมลุกไปเข้าห้องน้ำตอนประมาณสี่ทุ่ม  แต่ความรู้สึกเสียวสันหลังเกิดขึ้น เหมือนมีคนแอบมองอยู่ตลอดเวลา เหมือนมีใครคอยจ้องอยู่ ทำให้ผมรู้สึกไม่ดีเอามาก ๆ  ผมเลยพนมมือและแผ่ส่วนกุศลไปให้ สัญญาว่าจะกรวดน้ำไปให้ด้วยหากได้ใส่บาตรทำบุญ จู่ ๆ ความรู้สึกนั้นก็หายไป ลมจากที่แรง ๆ ก็หยุดพัด ผมจึงนอนต่อและเมื่อตื่นเช้า ก็รีบออกจากโรงแรมแห่งนี้ไปโดยเร็ว และไม่ลืมที่จะกรวดน้ำไปให้ ”

แท้จริงแล้ว อาจเป็นเสียงลือเท่านั้น แต่ก็สร้างตำนานโรงแรมลิฟต์สยองให้กระพือไปจนวัยรุ่นทั้งจังหวัดเกิดความสะพรึงกลัว และรอเวลาให้มีคนพิสูจน์เรื่องเล่าขาน

ที่มา http://www.teenkan.com/column-nana.php?id=3

15 มิถุนายน 2556

บ้านผีเหยื่อเสือ กาญจนบุรี

บ้านหลังหนึ่ง ตรงข้ามโรงเรียนคริสเตียนชื่อดังของจังหวัดกาญจนบุรี เจ้าของบ้านเลี้ยงเสือดุร้ายไว้ตัวหนึ่ง ภรรยาจับได้ว่าสามีได้แอบไปมีสัมพันธ์ลึกกับหญิงสาวคนหนึ่ง จึงเอาเลือดไก่สด ๆ สาดไปที่สามี และปล่อยเสือออกมากัดสามีจนตาย แต่แล้ว เสือร้าย สัตว์หน้าขนตัวนั้นก็แว้งกัดกินภรรยาจนตายตามกันไป

บ้านหลังนี้ เจ้าของบ้านเลี้ยงเสือไว้เพื่อทำพิธีกรรมเกี่ยวกับการเข้าทรง จากตำนานที่เล่าขาน สู่ความน่าสะพรึง ว่ากันว่า เสียงชายหญิงที่ร้องโอดโอยอย่างทรมานดังแว่วมาให้เพื่อนบ้านได้ขนลุกอยู่เสมอ โดยเฉพาะวันแรมแปดค่ำ

ที่มา http://www.teenkan.com/column-nana.php?id=3

14 มิถุนายน 2556

บ้านผีอาฆาต (บ้านผีมอญ) กาญจนบุรี

ชาวมอญผัวเมียคู่หนึ่ง เดินทางมาจาก รามัญประเทศ หวังไว้ว่าจะมีอนาคตที่ดีในสยามประเทศ เมื่อขยันทำงานได้เงินก้อนหนึ่ง จึงนำมาปลูกบ้านตามความฝัน มีบ้าน มีสวน มีอณาเขตให้ครอบครัว
สวนของบ้านชาวมอญหลังนี้ มีต้นไม้มากมาย ทั้งไม้ดอกและไม้ผล มะม่วง ขนุน ปลูกเรียงรายกันริมรั้ว สองผัวเมียมักหงุดหงิดทุกครั้ง ที่ถูกผู้คนมากมายมาขโมยผลไม้ในสวนของตน สร้างสมอารมณ์โกรธ และอาฆาตมาดร้ายกับผู้ที่มาขโมย

ด้วยอุปนิสัยของชาวมอญที่มีความอารมณ์ร้อนและดุร้าย จึงมักมีปากเสียงรุนแรงกับผู้ที่ลอบมาขโมยของบ่อยครั้ง ซึ่งนำมาถึงสาเหตุของการถูกฆาตกรรมของสองสามีภรรยาเจ้าของบ้าน แม้จะไม่มีผู้ทราบสาเหตุอย่างแน่ชัด แต่หลักฐานที่ปรากฏจากปากคำของผู้อาศัยในหมู่บ้าน คือการพบศพของสามีภรรยาชาวมอญในสวนบ้านของตนเอง

เหตุการณ์สะพรึงขวัญ ไม่ได้ทำให้หัวขโมยลดละ ต่างเข้ามาขโมยผลไม้ในสวนของบ้านร้างอยู่เสมอ แต่ที่สร้างความตระหนกให้กับผู้คนในละแวก เพราะมีคำเล่าอ้างถึงการทวงคืนจากวิญญาณผัวเมีย ซึ่งมีอุปนิสัยที่หวงทรัพย์สินของตนเองมาก จนคนที่ขโมยไปถูกตามจองเวรจนต้องนำมาคืน
บ้านหลังนี้ ยังเป็นที่ฝังศพของผู้อื่นที่ไม่ใช่เจ้าของบ้านอีกด้วย  9 ศพกะเหรี่ยงที่ถูกวิสามัญฆาตกรรม นอนอยู่ใต้ดินบริเวณสวนของบ้าน  ไม่มีผู้ทราบสาเหตุที่การนำศพกะเหรี่ยงไปฝังในบ้านของชาวมอญ ซึ่งมักเป็นสองสัญชาติที่ไม่ค่อยจะลงรอยกัน และนั่นยิ่งเพิ่มความน่าสะพรึงกลัวให้กับบ้านหลังนี้เพิ่มขึ้นอีกเก้าเท่า

ที่มา http://www.teenkan.com/column-nana.php?id=3

13 มิถุนายน 2556

บ้านผีโสเภณีนคร (สุสานโสเภณี) กาญจนบุรี

สมัยก่อนอาคารหลังนี้ เป็นสถานบริการทางเพศชื่อดัง มีสตรีน้อยใหญ่ เสียงเพลงขับกล่อมสุรา กลิ่นคลุ้ง ๆ ของน้ำกามโชยอับจากพื้นสู่เพดาน นารีลูบคลำแผงอกชายหนุ่มวัยกลัดมัน ยั่วยุกำหนัด ก่อนจะชักชวนกันสู่ห้องพักที่มีจัดเตรียมไว้ให้บำเรอกามกันอย่างจุใจ

แต่มันก็ไม่ใช่ว่า ผู้หญิงที่ทำงานในสถานบริการแห่งนี้ จะเต็มใจทุกคน กลับเป็นส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ ที่ถูกหลอกมาทำงาน หรือบังคับให้รับงานจนเกินกำลัง

สมัยก่อน การเที่ยวซ่องโสเภณี เป็นเรื่องที่ตำรวจกวดขันมากกว่าปัจจุบันมาก ซ่องแห่งนี้มีการจ่ายใต้โต๊ะมากมาย จึงไม่ค่อยมีปัญหากับบุคคลสีกากี และนั่น นำมาซึ่งลูกค้ามากมาย หนุ่มหื่น ๆ จากทุกสาขาอาชีพ คนขับสิบล้อ สามล้อรับจ้าง กรรมกรแบกหาม คนทำไร่ คนสวน ซึ่งมีรายได้ต่ำ แต่มีอารมณ์ทางเพศสูง

เนื่องจากเน้นรับลูกค้าระดับกรรมาชีพ เพราะสถานบริการคิดค่าบริการถูก กอปรกับการมีห้องหับมิดชิดถูกใจผู้ใช้บริการ ตกดึกจึงคลาคล่ำไปด้วยผู้คน หญิงสาวคนแล้วคนเล่าถูกนำพาไปยังห้องสังเวย และเมื่อเป็นพวกคนขายแรงงาน มาอยู่กับคนขายบริการ โรคร้ายต่าง ๆ ก็ย่างกรายมามากมาย

แมงดาใช้มือซ้ายจิกผมของเด็กสาว ก่อนจะใช้มือขวาที่หยาบกร้านตบหน้าของโสเภณีอย่างทารุณ เด็กหญิงในสถานบริการ ถูกบังคับให้ร่วมหลับนอนกับลูกค้ามากมาย โดยเฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์ บ้างก็เป็นเด็กพม่า บ้างก็เป็นเด็กหญิงไทย ซึ่งนำมาจากตำบลไกล ๆ ยิ่งสถานที่ซึ่งทุรกันดารเท่าไหร่ ก็จะยิ่งมีพ่อแม่ชั่ว ๆ ที่ขายลูกตัวเองมาบำเรอกามในเมืองหลวง แลกกับเงินทองประทังชีวิต

เล่ากันว่า หากเด็กสาวไม่เต็มใจ ก็จะถูกทารุณกรรมจนกว่าจะยอม หากเด็กบางคนไม่ยอมจริง ๆ ก็จะถูกทรมาน ถูกซ้อมจนบางครั้งเสียชีวิต บางคนเป็นโรคร้ายตาย บ้างก็ถูกรีดเด็กออกจากการท้องโดยไม่ตั้งใจ เด็กที่ถูกซื้อมาเพื่อขาย บ้างก็ยังอายุไม่ถึงสิบห้าด้วยซ้ำ

เมื่อมีคนเสียชีวิตมากขึ้น จนเป็นข่าวคราว เริ่มมีทางการเข้ามาดูแลจนทำให้กิจการประเภทนี้หลายรายค่อย ๆ ปิดไปตามกาลเวลา สถานีโสเภณีแห่งนี้ก็ปิดไปด้วยความอาลัยของหนุ่มน้อยใหญ่ผู้มักมากในกามตัณหา  ทิ้งไว้เป็นปริศนาถึงยอดผู้เสียชีวิตในกามะสถานแห่งนี้ ไม่อาจทราบได้เลยว่ามีดวงวิญญาณหัวขนที่ไม่ได้เกิดกี่ตน และมีจิตอาฆาตของเด็กสาวอีกกี่ราย แต่นั่นมันก็เป็นเพียงรอยด่างของประวัติศาสตร์การค้ามนุษย์อันอดสู

ทุกวันนี้ ผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกต่างนอนตาไม่หลับ เพราะตกดึกมักมีเสียงผู้หญิงร้องโหยหวน กรีดร้อง สะอื้นร้องไห้ เสียงต่าง ๆ ตามจินตนาการของผู้ได้ยินจะคิดไป หลายครั้งหลายหน มีหนุ่มสาวคึกคะนองแอบเข้าไปพิสูจน์เรื่องลี้ลับอันโด่งดัง แต่ก็ไม่พบวิญญาณใด ๆ ทิ้งไว้แต่เพียงเสียงร้องขอความช่วยเหลือซึ่งหาที่มาไม่ได้ เลื้อยรอดออกมาตามหน้าต่าง ประตู ทิ้งไว้ให้ผู้คนได้รำลึกถึงความอัปยศที่เกิดขึ้นในอดีตอันขมขื่น

ที่มา http://www.teenkan.com/column-nana.php?id=3

12 มิถุนายน 2556

บ้านผีผมยาว กาญจนบุรี

เคยรู้สึกบ้างไหม ว่าความหดหู่และเศร้าสร้อยมันกระทบจิตใจเราได้เพียงไหน ลองนึกดูว่าหากเป็น “เธอ” บ้าง  เธอผู้เป็นเจ้าของบ้านแห่งนี้  กับคนที่เรารัก เริ่มตายลงทีละคน อย่างช้า ๆ ไม่ทราบสาเหตุ ไร้ร่องรอย คนแล้วคนเล่า จะรุ่นสู่รุ่น กำลังใจที่จะอยู่ในโลกใบนี้ต่อไปคงไม่มี

เจ้าของบ้านหลังนี้ เป็นหญิงผู้บอบช้ำจากสถานการณ์ดังกล่าว จากคำบอกเล่าของผู้คนในหมู่บ้าน คนในละแวกคาดเดากันว่าเธอตรอมใจเสียชีวิตอยู่ภายในบ้านซึ่งปิดตาย และกลายสภาพคล้ายบ้านร้างมาเนิ่นนาน ในกลางใจตัวอำเภอแห่งหนึ่ง ในจังหวัดกาญจนบุรี

ตอนดึกๆ ในคืนเดือนมืด มีเสียงแว่วออกมาจากบ้าน แมวดำมากมายขู่ร้องออกมาจากตัวบ้าน สร้างความขนลุกให้แก่ผู้คนในแถบนั้นไม่น้อย

จนในที่สุด ชาวบ้านจึงรวมตัวกัน ผลักประตูบานใหญ่นั้นเข้าไป ในบ้านที่ปิดตาย มีเพียงกองผมที่ปลิวว่อนอยู่บนพื้นจากแรงลม เส้นผมที่เต็มพื้นห้อง

บางคนก็บอกว่า แท้จริงแล้วเธอก้าวเข้าสู่บรรพชิตเพศ อาจด้วยความโศกา แต่การหันหน้าเข้าสู่พระธรรมเป็นทางเลือกที่จะลืมความเจ็บปวดของเธอ แต่ก็ไม่ได้รับการยืนยัน เพราะไม่มีใครทราบข่าวของเธอนับจากที่เธอหายหน้าไป

บ้างก็ว่า เธอตรอมใจตายในบ้าน แต่ร่างกายถูกสัตว์แทะกิน เหลือแต่ผมยาวสลวยของเธอมีไว้ให้ดูต่างหน้า ส่วนเสียงคนพูดคุยกันตอนกลางคืนที่ดังแว่วมา อาจเป็นเด็กติดยาที่เข้ามาอาศัยเพราะไม่มีคนอยู่นั่นเอง

แต่ก็มีกระแสข่าวไม่น้อย ที่บอกว่า เธอโกนผมของศพคนที่เคยอยู่ในบ้านซึ่งแล้วแต่เสียชีวิตลงกันไปหมด เธอยังเก็บผมของทุก ๆ คนไว้

จะเป็นไปตามข้อสันนิษฐานใด ๆ ก็ตาม หากเธอจากโลกนี้ไปแล้ว ก็ได้แต่ขอให้ดวงวิญญาณผู้เศร้าสร้อยไปสู่สุขติ ได้กลับไปอยู่เคียงข้างคนที่เธอรักอีกครั้ง                  

ที่มา http://www.teenkan.com/column-nana.php?id=3

11 มิถุนายน 2556

บ้านผีคู่รัก กาญจนบุรี

ตำนานเล่าว่าบ้านสวยแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็น เรือนหอรอรัก ของหนุ่มกรุงเทพฯ ผู้เดินทางมาทำงานที่จังหวัดกาญจนบุรี เก็บหอมรอมริบ หวังว่าวันหนึ่ง เค้าจะนำผู้หญิงที่เค้ารัก มาใช้ชีวิตคู่อย่างเป็นสุข ที่เมืองกาญจน์ จังหวัดที่เค้ารัก

ช่วงแรกๆ ผู้คนที่สัญจรไปมาในตำบลปากแพรก ต่างจ้องมองดูบ้านหลังนี้ด้วยความชื่นชม เนื่องจากเป็นบ้านที่มีการสร้างไว้อย่างงดงาม รั้วโปร่ง ๆ แสดงถึงความมั่งคั่งของผู้เป็นเจ้าของ วัสดุก่อสร้างไม้ราคาแพง ตลอดจนชานระเบียงอันโอ่อ่า

เรือนหอถูกบรรจงสร้างอย่างประณีต ใช้เวลาข้ามปี ระหว่างที่ตบแต่งอยู่นั้น ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น คู่รักเจ้าของเรือนหอที่ยังไม่ได้ถูกใช้งานนั้น เกิดประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตทั้งคู่ ปล่อยบ้านหลังนี้ไว้รกร้าง ไม่มีใครเข้ามาอยู่อาศัย

ผู้คนที่อาศัยบริเวณถนนเส้นนี้เล่าให้ฟังว่า ช่วงแรกๆ ญาติของฝ่ายชายและหญิงต่างจะมาครอบครองบ้านหลังสวยแห่งนี้ แต่ก็ต้องมีเหตุน่าสะพรึง อีกทั้งมีคนเจอเหตุการณ์ร้าย ๆ จนเรียกกันว่าเป็น เรือนหออาถรรพ์

นายหน้าอสังหาริมทรัพย์มากมาย เคยอยากจะหาประโยชน์จากสินทรัพย์ของคู่รักอาภัพ ก็มีอันต้องเจอกับเรื่องวิบัติและต้องกระเด็นออกไปอย่างหาสาเหตุไม่ได้

แม้จะไม่มีใครเจอะเจอกับวิญญาณใดๆ ในบ้านหลังนี้ให้เป็นข่าวคราว แต่ก็มีผู้คนไม่น้อยที่ไม่กล้ามองเรือนหอร้างอย่างเต็มใจยามที่สัญจรผ่าน  อาจเพราะเนื่องจากมันเป็นเรื่องสะเทือนใจมากเกินไป หรือไม่ก็กลัวที่จะเห็นในสิ่งที่ไม่อยากเห็น

คนโบราณในชุมชน บอกว่า อาจเป็นเพราะบ้านนั้นล้อมรั้วมิดชิดก่อนสร้างบ้าน ซึ่งเป็นเรื่องที่คนสมัยก่อนถือสากัน ว่ามันไม่มงคลกับผู้อยู่อาศัย บ้างก็ว่าเป็นเพราะเจ้าของบ้านชายต้องขับรถราอยู่บ่อย ๆ จึงอาจเกิดการหลับใน

อีกตำนานของบ้านหลังนี้ เล่าว่าเจ้าของบ้านเป็นคู่รักสูงอายุ ที่ตายไปตามอายุ แต่ว่าตายในบ้าน อีกกระแสก็เล่าว่า เจ้าของบ้านผู้หญิงเสียใจที่ฝ่ายชายเสียชีวิตลง จึง ผูกคอตายในบ้านหลังนี้

ที่มา http://www.teenkan.com/column-nana.php?id=3

10 มิถุนายน 2556

12 บ้านผีสิง ในประเทศไทย

1. สุสานโสเภณี จ.กาญจนบุรี
สถานบันเทิงเก่าแก่ของจังหวัด เปิดให้บริการกับผู้ชายที่มีความต้องการทางเพศได้มาใช้บริการ ที่แห่งนี้มีหญิงบริการถูกกักขังหน่วงเหนี่ยวถูกบังคับให้รับแขกอย่างทารุณ ไม่ได้พักผ่อน บ้างก็ถูกทำร้ายร่างกาย บ้างก็เป็นโรคร้าย จนสุดท้ายหญิงสาวทั้งหมดได้เสียชีวิตลงที่นี้อย่างมากมาย จนเราเรียกได้ว่าเป็น "สุสานโสเภณี" ซึ่งชาวบ้านบริเวณนั้น มักได้ยินเสียงผู้หญิงและเด็กร้องขอความช่วยเหลือ เมื่อเข้าไปดูก็ไม่พบใครเลย

2. บ้านผีมอญ จ.กาญจนบุรี
คู่สามี-ภรรยาเจ้าของบ้านเป็นคนมอญที่มีนิสัยหวงของมาก จะดุด่าคนที่แอบมาขโมยผลไม้ในสวน ด้วยความที่เป็นคนหวงของและดุด่าเก่งมาก จึงทำให้ถูกฆ่าตายแล้วนำศพมาทิ้งไว้ที่ท้ายสวน วันหนึ่งมีคนเข้ามาเก็บผลไม้ในสวน แกก็ตามไปทวงถึงบ้าน จนคนที่เก็บไปรีบนำมาคืนแทบไม่ทัน นอกจากนี้ ยังมีศพชาวกะเหรี่ยง ๙ ศพ ที่ถูกวิสามัญฝังอยู่บริเวณบ้านหลังนี้

3. บ้านผมผี จ.กาญจนบุรี
หญิงผู้เป็นเจ้าของบ้านตัดสินใจลาบวชด้วยความเสียใจที่คนในบ้านตายที่ละคนโดยไม่ทราบสาเหตุ หลังจากนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ปล่อยบ้านทิ้งไว้จนกลายเป็นสภาพบ้านร้าง ชาวบ้านบริเวณนั้น นึกว่าเจ้าของบ้านเสียชีวิตไปแล้ว จึงเข้าไปดูในบ้าน ปรากฏว่าเส้นผมเต็มไปหมด บางคนก็ได้ยินเสียงคนคุยกันอยู่ในบ้าน

4. โรงพยาบาลสยอง จ.ระยอง

ด้วยพิษทางเศรษฐกิจเมื่อหลายปีก่อน ทำให้โรงพยาบาลแห่งนี้ปิดกิจการลง กลายเป็นโรงพยาบาลร้างในที่สุด ในเวลากลางคืนชาวบ้านมักเห็นไฟเปิดสว่างเต็มไปหมด บางคนเข้าไปก็เห็นเตียงนอนคนไข้เข็นเองได้ กลายเป็นเรื่องราวชวนสยองเลื่องลือถึงกิตติศัพท์ความน่ากลัวมาถึงปัจจุบัน

5. สุสานศพไร้ญาติ จ.ชลบุรี

ศพไร้ญาติทั้งหลายเหล่านี้ ถูกนำมาขุดหลุมฝังเป็นสุสานไร้ญาตินับร้อยนับพัน ขุดเรียงรายกันเป็นทิวแถวยาว จนทำให้หลาย ๆ คนเล่ากันว่าเป็นฮวงซุ้ยที่น่ากลัวมาก ๆ หลายครั้งที่ได้ออก TV รายการต่าง ๆ มักไปทำที่นั่น

6. บ้าน 4 ศพ จ.ชลบุรี
ครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูก ๒ คน เดินทางไปท่องเที่ยว
แต่ระหว่างทางประสบอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำเสียชีวิตทั้งหมด บ้านหลังนั้นกลายเป็นบ้านร้าง แต่คนที่ผ่านไปมาเห็นเงาคนเหมือนมีคนอยู่ในบ้านอยู่เสมอ และยังเป็นที่พบศพถูกฆาตกรรมอย่างปริศนา มีห่วงเชือกผูกเป็นปมมัดอยู่ในบ้างหลังนั้น

7. บ้านผีนายพล จ.ชลบุรี

เป็นบ้านพักตากอากาศชายทะเลที่ครอบครัวนายทหารมาพักผ่อน และถูกฆาตกรรมทั้งครอบครัว ศพทั้งหมดถูกยัดไว้ในห้องใต้ดินของบ้านพักตากกาศหลังนี้
มีคนเคยเห็นควันธูปลอยขึ้นมาในบริเวณบ้านหลังนี้ด้วย

8. บ้านผียายสรวง จ.อยุธยา
หญิงชราเจ้าของบ้านผู้ชอบกินหมาก ได้เสียชีวิตลงภายในบ้าน
พร้อมกับโลงศพที่พบภายในบ้านจนถึงทุกวันนี้
ผู้คนแถวนั้นยังคงได้ยินเสียงคนแก่พูด และเสียงตำหมากอยู่ทุกค่ำคืน

9. บ้านผีโหด อ.บางเลน จ.นครปฐม
เกิดเหตุทะเลาะวิวาทฆ่ากันตาย พ่อตายิงลูกเขยเสียชีวิตลง แล้วนำศพไปทิ้งไว้ในบ่อหลังบ้าน ปัจจุบันยังคงมีคราบเลือดที่ขอบกำแพง

10. บ้านผีตายโหง หนองจอก
เป็นบ้านร้างมาเกือบ ๑๐ ปี มีการเล่ากันว่า นอกจากจะมีการฆ่ากันตายในบ้านแล้ว
ยังมีผู้หญิงเข้ามาผูกคอตายในบ้านหลังนี้อีก และยังมีการนำเอาศพมาทิ้งไว้ใต้บันไดเพื่ออำพรางคดีอีกด้วย

11. บ้านตรอมใจ หนองจอก
หญิงสาวเจ้าของบ้านนับถือศาสนาพุทธรับการกระทำของสามีที่นับถือศาสนาอิสลามเกี่ยวกับเรื่องผู้หญิงไม่ได้ ทั้งสองจึงทะเลาะวิวาทกัน ฝ่ายชายหนีออกจากบ้านไป ฝ่ายหญิงได้แต่เฝ้ารออยู่ที่บ้าน จนกระทั่งล้มป่วยเพราะตรอมใจและเสียชีวิตลงในที่สุด ชาวบ้านแถวนั้นมักได้เสียงร้องไห้คร่ำครวญของผู้หญิงเสมอ

12. บ้านเสาตกน้ำมัน จ.ราชบุรี
บ้านทรงไทยที่มีเสาตกน้ำมันไหลจากข้างบนลงมาข้างล่าง ด้วยความที่เป็นบ้านร้างก็มีเถาตำลึงขึ้นเต็มไปหมด ชาวบ้านไปเก็บปรากฏว่ามีผู้หญิงใส่ชุดไทยมายืนชี้หน้าอยู่

ที่มา : http://www.choncity.com/ghost/index.htm

09 มิถุนายน 2556

10 อันดับบ้านผีสิงอันลือชื่อ (ใกล้ๆกรุงเทพ)

1. ซอยรามคำแหง 32

ปล่อยให้ ทิ้งร้างเก่าทรุดโทรมอย่างน่าใจหาย ประวัติของบ้านมีว่าเจ้าของบ้านเป็น ชาวต่างชาติ
วันหนึ่งเจ้าของบ้านขับรถออกไปทำงานตามปกติ ที่บ้านมี สาวใช้อยู่เพียงคนเดียว คนร้ายไม่ทราบจำนวน ซึ่งคงมาแอบสังเกตการณ์นาน พอสมควรได้ฉวยโอกาสเข้าปล้น และฆ่าสาวใช้ตายคาที่ นับตั้งแต่นั้นมักจะได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ช่วย ดังโหยหวนน่าสยดสยอง และยังเห็นผู้หญิง (เข้าใจว่าเป็นสาวใช้ที่ถูกฆ่าตาย ) เดินวน เวียนวูบวาบอยู่ในบ้าน

เจ้าของบ้านทนอยู่ไม่ไหวต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น เล่ากันว่า หลังจากนั้นมีคนได้ยินเสียงผู้หญิงร้องให้ช่วย ดังมาจากบ้านร้างบ่อยๆ และมีคนเห็นผู้หญิงลึกลับยืนอยู่หน้าบ้าน เป็นประจำเมื่อเข้าไปใกล้ก็หายไป

2. วัดมหาบุศย์ พระโขนง

ที่ วัดมหาบุศย์ ยังมีศาลย่านาคตั้งอยู่สืบเนื่องมาจากตำนานรักของแม่นาค พระโขนง ที่รู้กันแพร่หลาย เล่ากันว่า เมื่อผีแม่นาคอาลวาดหลอกหลอนจน ชาวบ้านหาปกติสุขมิได้ เจ้าประคุณสมเด็จโต ( วัดระฆัง ) ได้มานำวิญญาณแม่นาคไป พร้อมกับกระดูกกระโหลกหน้าผาก แล้วอบรมสั่งสอนให้ รักษาศีล ปฏิบัติธรรมนัยว่าแม่นาคเลื่อนภพเป็นเทพแล้ว หากยังมีผี วนเวียนที่วัดมหาบุศย์ คงมิใช่วิญญาณแม่นาคอย่างแน่นอน

3. อู่รถเมล์เก่า ซอยสายหยุด

ที่นี่เป็นสุสานรถเมลล์หรือรถโดยสาร ประจำทางที่ประสบอุบัติเหตุร้ายแรงจนใช้การไม่ได้ ซากรถเมลล์แต่ละ คันมีประวัติคนตายโหงคารถในสภาพสยดสยองมาแล้ว และเป็นที่เล่าลือกันว่าอยู่ดีๆ ไฟในรถกลับเปิดสว่างขึ้นมาเอง หรือมีคนมายืนโบกรถหน้าอู่ แท๊กซี่จะเข้าไปจอดรับก็หายไป บางครั้งมีคนวิ่งตัดหน้า และหายไปดื้อๆ

4. ซอยรอดอนันต์ 1 ถนนสุขาภิบาล 1

เป็นบ้านร้างทรงไทยอยู่ริมบึงไกลจากบ้านอื่นๆในระแวกนั้น บริเวณบ้านรกครึ้มด้วยต้นไม้ใหญ่น้อย คุณยาย เจ้าของบ้าน เสียชีวิตที่บ้านหลังนี้ และน่าเชื่อว่าวิญญาณของคุณยายไม่ยอมไปผุดไปเกิด แต่ยังคงวนเวียนอยู่ในบ้าน จนกระทั่งลูกหลานไม่กล้าอยู่ ต่างแยกย้ายไปอยู่ที่อื่นหมด ปล่อยบ้านทิ้งร้างชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา และที่บ้านหลังนี้เล่าลือกันว่า ผีดุนัก คนอยู่ระแวกใกล้เคียงเคยเห็นผีคุณยายมายืนชี้นิ้วอยู่ที่หน้าบ้าน เมื่อมีเด็กๆ วิ่งเล่นอยู่ในบริเวณหน้าบ้าน เคยมีคนใจกล้าเข้าไปในบ้าน ได้ยินเสียงผู้หญิงแก่ๆขู่ตะคอก จนต้องเผ่นออกมาแทบไม่ทัน

5. รังสิต คลอง 13

จากถนนใหญ่เข้าไปประมาณ 2 กิโลเมตรมีบ้านพักถูกไฟไหม้เกือบหมดทั้งหลังแต่ยังเหลือซาก บ้านอยู่ส่วนหนึ่ง ข้อมูลบางกระแสเล่าว่ามีผู้หญิงตายในไฟ บ้านหลังนี้อยู่ในสวนมะขามหวาน แต่ถูกทิ้งให้รกร้างคนในระแวกใกล้เคียง ต่างยืนยันกันว่าตอนกลางคืนจะได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องโหยหวน มาจากซากบ้านบ่อยๆพร้อมกันนั้นเคยมีคนเห็นผีผู้หญิงในบริเวณซากบ้าน ด้วย

6. ซอยมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ถนนพัฒนาการ

เป็นโรงงานร้าง เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำปากกาและเป็นโรงกลึงขนาดใหญ่ ตั้งอยู่ในพื้นที่ 80 ไร่ เหตุที่กลายเป็นโรงงานร้าง ชำรุดทรุดโทรมมี วัชพืชขึ้นปกคลุมรกครึ้มเช่นทุกวันนี้ว่ากันว่าเจ้าที่เจ้าทางแรง ระหว่างที่ดำเนินงานอยู่มีคนเสียชีวิตจากอุบัติเหตุหลายคนผู้ลง ทุนขาดทุนย่อยยับจนต้องเลิกกิจการหากเดินเข้าไปในอาณาเขตโรงงานร้างจะ สัมผัสบรรยากาศยะเยือกผิดปกติ และเล่าลือกันว่า หากไปเคาะแท้งก์น้ำซึ่ง ตั้งอยู่ 3 ใบ 3 ครั้ง จะปรากฏเจ้าที่เจ้าทางออกมาให้เห็นทันที

7. วัด ปราสาท จ.นนทบุรี

เป็นวัดเก่าแก่โบราณ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนกลาง เคยขุดพบกำแพงเมืองรอบอุโบสถอายุ 300 ปีด้าน หลังอุโบสถ มีคุ้มเก่าแก่ชำรุดทรุดโทรมว่ากันว่าเจ้าของสถานที่คือ พระนางอุษาวดีเทวีชาวบ้านระแวกนั้นเรียกว่า "แม่" และ" เจ้าแม่ "เวลา กลางคืน หากไปที่บริเวณคุ้มจะมีบรรยากาศวังเวงน่ากลัวมากผู้ใดไปแสดงกิริยาวาจาจ้วงจาบหยาบคาย ไม่เคารพผู้เป็นเจ้าของสถานที่มักจะพบกับ เหตุการณ์แปลกๆน่าขนหัวลุก

8. โรงงานร้างอยู่ในอุตสาหกรรม บางปู (ฝั่งเดียวกับเมืองโบราณ)

สถานที่อยู่สุดซอย 2 เมื่อก่อนนี้เป็นโรงงานทำรองเท้า ขณะที่กิจการกำลังดำเนินงานไปด้วยดี ได้เกิดอุบัติเหตุร้างแรงคือเครื่องปั้มลมเกิดระเบิดคนงานหลายคนเสียชีวิตสยอง นับตั้งแต่นั้น คนงานที่ทำงานอยู่ ถูกผีหลอกวิญญาณหลอนจน ต้องทะยอยลาออกไปเรื่อยๆจนหมด กิจการประสบความวินาศเจ้าของโรงงาน ยิงตัวตายในห้องทำงานชั้นบนของโรงงานและกลายเป็นสถานที่รกร้างเรื่อยมา เล่าลือกันว่าผีดุมากปัจจุบันนี้ยังมีเศษรองเท้ากระจายเกลื่อนและปั้ม ลมมรณะก็ยังอยู่

9. บ้านทรงยุโรป (ซอยวัชรพล)

เป็นบ้านทรงยุโรป หลังใหญ่ ซึ่งยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จถูกทิ้งร้างค้างคาอยู่ในสภาพเดิม เวลากลางคืนดูน่ากลัวชวนขนลุกยิ่งและว่ากันว่ามีคนพบเห็นวิญญาณของชาย หญิงและเด็ก ปรากฏวูบวาบบ่อยๆสาเหตุที่บ้านหรูหลังใหญ่ กลายเป็นบ้านร้างเนื่องจากเจ้าของบ้านหลังนี้ พาครอบครัวขับรถไปเที่ยวต่างจังหวัดและประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิตหมดทุกคน

10. หมู่บ้านปิยพร (ซอยวัชรพล)

เป็นหมู่บ้านร้าง ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ ชื่อหมู่บ้านปิยพร คนเก่าคนแก่ในพื้นที่เล่าว่า ที่ดินส่วนนี้เคยเป็นป่าช้ามาก่อน เจ้าของโครงการไม่ได้ทำพิธีบอกกล่าวขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทาง ดังนั้นพอเริ่มงานก่อสร้างจึงพบกับอุปสรรคนานาประการ ต่อมามีคนงานเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุหลายคน ในเขตหมู่บ้านมีบึงใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง ก็มีเด็กตกไปตาย 2-3 คนประกอบกับบ้านในโครงการ ไม่มีผู้สนใจอย่างที่ประเมินเอาไว้จึงต้องยุติโครงการ กลายเป็นหมู่บ้านร้างกลางกรุง พร้อมกันนั้นก็มีเสียงเล่าลือว่าผู้ที่เข้าไปในเขตหมู่บ้านยามวิกาล มักจะพบวิญญาณแสดงตัวหลอกหลอน เล่นเอาขวัญหนีดีฝ่อ ไม่บังอาจกล้ำกลายเข้าไปอีก

ที่มา: http://board.postjung.com/468764.html

08 มิถุนายน 2556

วิธีการเห็นผีทั้ง 21 วิธี

1. นอนหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก
เวลาในการทำพิธี: ควรปฏิบัติในคืนวันเพ็ญ
วิธีการทำพิธี: ให้ผู้ทดลองหันศีรษะไปทางทิศตะวันตก และทำงานจุดธูปหนึ่งดอกไว้บริเวณหัวนอน เชื่อกันว่าถ้านอนไปได้ระยะหนึ่ง ผีจะมาปรากฏให้เห็น

2. วิ่งแตะเสา
สถานที่ในการทำพิธี: โบสถ์หรือวัดที่มีเสา 4 ต้น แต่ถ้าไม่ได้ก็สามารถใช้บ้านที่มีลักษณะเดียวกันทำพิธีก็ได้

วิธีการทำพิธี
  1. จำนวนผู้ทำพิธีต้องมีแค่ 4 คนเท่านั้น
  2. ก่อนทำพิธีต้องปิดไฟทุกดวงให้หมด และถอดเครื่องรางของขลังในตัวออกให้หมด
  3. ให้ทุกคนยืนประจำเสาคนละ 1 ต้น
  4. ให้ทุกคนตั้งสติให้ดี ให้คนที่ 1 วิ่งไปแตะคนที่ 2 แล้วเข้ามายืนแทนที่คนที่2
  5. ให้คนที่ 2 วิ่งไปแตะคนที่ 3 แล้วเข้ามายืนแทนที่คนที่ 3
  6. ให้คนที่ 3 วิ่งไปแตะคนที่ 4 แล้วเข้ามายืนแทนที่คนที่ 4
  7. ให้คนที่ 4 วิ่งไปแตะคนที่ 1 แล้วเข้ามายืนแทนที่คนที่ 1
ให้ทำตามข้อ 4-7 ไปเรื่อยๆ พอทำพิธีไปสักระยะ เชื่อกันว่าจะมีผู้ทำพิธีทั้งหมด 5 คน

3. ขี้เถ้าป้ายตา
อุปกรณ์ในการทำพิธี
  1. ขี้เถ้าจากเชิงตะกอน 1 ช้อนโต๊ะ ห่อด้วยผ้าสีดำมัดไว้
  2. ใบบอนดำ 1 ใบ
  3. น้ำจากบ่อน้ำ 7 วัด วัดละครึ่งช้อนโต๊ะ
สถานที่ในการทำพิธี
ต้องเป็นในวัดร้าง หรือวัดที่มีอายุตั้งแต่ 100 ปีขึ้นไป

เวลาในการทำพิธี
ต้องเป็นวัน 8 ค่ำ,14 ค่ำ หรือ 15 ค่ำ (จะเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ได้) เวลาระหว่าง 22.00-02.00 น.

วิธีการทำพิธี
  1. หัวหน้าในการทำพิธีต้องเป็นผู้ที่เคยผ่านการบวชมาแล้ว ไม่ต่ำกว่า 3 พรรษา ผู้ทำพิธีต้องมีจำนวนระหว่าง 3-6 คน และทุกคนต้องใส่ชุดสีดำทั้งหมด
  2. ก่อนทำพิธีต้องดับไฟทุกดวงในวัดให้หมด เปิดประตูในอุโบสถ หรือวิหาร แล้วจุดเทียนหน้าพระประธาน 1 เล่ม
  3. ให้ผู้ทำพิธีมายืนหน้าวิหาร แล้วหงายใบบอนดำที่เตรียมไว้ เทขี้เถ้าลงไปพอประมาณแล้วเทน้ำผสม ขณะผสมให้ท่องคาถา "มะมะ มามา" 3 จบ พร้อมกันทุกคน
  4. เมื่อผสมเสร็จให้ทุกคนที่ใช้นิ้วที่ถนัด แตะลงในน้ำที่ผสม แล้วเอามาป้ายที่หน้าผาก หรือที่คิ้วทั้งสองข้าง
  5. ให้หัวหน้าในการทำพิธีถือใบบอน แล้วเดินวนรอบอุโบสถทวนเข็มนาฬิกา 2 รอบ แล้วมาหยุดที่จุดเริ่มต้น ให้ทุกคนหันหน้าเข้าหาโบสถ์ เชื่อกันว่าผีจะมาปรากฏให้เห็น
ข้อห้ามระหว่างการทำพิธี
  1. เมื่อผีปรากฏร่างให้เห็น ห้ามคนในพิธีคนใดคนหนึ่งวิ่งหนี
  2. ห้ามดื่มสุราก่อนทำพิธี
  3. ห้ามนำขี้เถ้าที่ทำพิธีเข้าบ้าน
  4. ในขณะที่ผีปรากฏร่างให้เห็น ห้ามใครพูดคุยเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้น
4. วิธีออกจากพิธีในข้อที่ 1-3
  1. ให้ท่องคาถา "วะวะวะตัง วะวะวะนัง" 3 จบ
  2. ให้ผู้ทำพิธีถ่มน้ำลายลงพื้น 3 ครั้ง
  3. เมื่อออกจากพิธีให้ไปล้างหน้าด้วยน้ำส้มป่อย และนำขี้เถ้าที่เหลือจากการใช้ไปไว้ที่วัด
5. มองลอดใต้หว่างขา
สถานที่ในการทำพิธี: เมรุวัดใดก็ได้
เวลาในการทำพิธี: เที่ยงคืนหรือใกล้เที่ยงคืนจะดีที่สุด
วิธีการทำพิธี
ก่อนทำพิธีให้ตั้งจิตอธิษฐาน เดินวนรอบเมรุตามเข็มนาฬิกา 3 รอบ แล้วมาหยุดตรงหน้าเมรุ
หันหลังให้แล้วก้มลงมองลอดใต้หว่างขา เชื่อกันว่าผีจะมาปรากฏตัวให้เห็น

6. น้ำตาสุนัขสีดำป้ายตา
วิธีการทำพิธี
ให้นำน้ำตาของสุนัขสีดำมาทารอบขอบตาบนและล่าง จากนั้นให้เพ่งมองไปยังจุดที่ต้องการจะเห็นผี
เขื่อกันว่าจะเห็นผี

7. ผีถ้วยแก้ว
อุปกรณ์ในการทำพิธี
  1. กระดาษแผ่นใหญ่ที่มีตัวพยัญชนะไทยและสระไทยทั้งหมด มีเลข 0-9 มีคำว่า "เข้า" และ"ออก"
  2. ธูป 36 ดอก และเทียน 1 เล่ม
  3. ถ้วยแก้วใสขนาดเล็ก
  4. กระจกเงา
วิธีการทำพิธี
  1. จุดธูป 35 ดอก และเทียน 1 เล่มไว้ตรงนอกบริเวณทำพิธี
  2. ตั้งจิตอธิษฐานขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางด้วยคาถา "นะมะทะพะ พุทโธทายะ" 3 จบ
  3. จุดธูปอีก 1 ดอก แล้วบอกกล่าวแก่ดวงวิญญาน ก่อนจะเชื้อเชิญวิญญาณ โดยเอามือไขว้หลัง เพื่อให้กลิ่นธูปนำดวงวิญญาณเข้ามาภายในบริเวณที่ทำพิธี
  4. นำถ้วยแก้วมาใส่ควันธูป แล้วคว่ำถ้วยแก้วลงกับกระดาษตรงคำว่า "เข้า" ปักธูปไว้ใกล้ๆกับกระดาษ
  5. ให้ผู้เล่นตั้งสมาธิ แล้วให้ผู้ทำพิธีทุกคนใช้นิ้วแตะที่ก้นถ้วยแก้วด้านบนเบาๆ หลังจากนั้นคอยถามในสิ่งที่อยากรู้
  6. ถ้าอยากเห็นดวงวิญญาณที่เชิญมา ก่อนทำพิธีก็ให้นำกระจกมาตั้งข้างๆกระดาษ ถ้าอยากเห็นก็มองในกระจกเงา
  7. พอถามจนหายสงสัยแล้ว ก็เชิญดวงวิญญาณออกจากถ้วยแก้ว
ข้อห้ามในระหว่างทำพิธี
  1. ในระหว่างทำพิธีห้ามให้ควันธูปออกจากถ้วยแก้ว
  2. อย่าเอานิ้วออกระหว่างการเล่น
  3. ถ้าเกิดวิญญาณไม่ยอมออกจากถ้วยแก้ว ให้พยายามถามว่าต้องการอะไรถึงจะออกจากถ้วยแก้ว
8. ปอกแอปเปิ้ลหน้ากระจก
อุปกรณ์ในการทำพิธี
  1. กระจกเงาบานใหญ่
  2. แอปเปิ้ลที่มีเปลือกหนา 3-4 ลูก
  3. เทียนไขแท่งใหญ่ 3-4 เล่ม
  4. มีดปอกผลไม้ 1 เล่ม
เวลาในการทำพิธี: ต้องเริ่มพิธีตอนเที่ยงคืนพอดี

วิธีการทำพิธี
  1. จุดเทียนทั้งหมด รอเวลาเริ่มทำพิธีตรงหน้ากระจก
  2. เมื่อถึงเวลา ท่องคาถา"นะมะทะพา พุทโธทายะ" 3 จบ
  3. เริ่มปอกแอปเปิ้ล โดยไม่ให้เปลือกแอปเปิ้ลขาด และตั้งจิตอธิษฐานในขณะปอก
  4. ปอกแอปเปิ้ลสลับกับการชำเลืองมองกะจกเงาไปเรื่อยๆ เขื่อกันว่าภาพในกระจกจะเริ่มปรากฏภาพผีที่อยู่ในบริเวณนั้น

9. ต้นโพธิ์อ่อน
วิธีการทำพิธี
หาต้นโพธิ์อ่อนที่งอกออกมาใต้ต้นโพธิ์ใหญ่ จากนั้นนำต้นโพธิ์อ่อนมาตำหรือคั้นให้ได้น้ำออกมา
จากนั้นนำน้ำที่ได้มาทาเปลือกตาด้านบนและล่าง ตั้งจิตอธิษฐานบอกกล่าวแก่ดวงวิญญาณ
จากนั้นลืมตา เชื่อกันว่าจะเห็นผี

10. น้ำตาวัวดำ
วิธีการทำพิธี
วิธีนี้เป็นความเชื่อของชาวจีน โดยนำน้ำตาของวัวสีดำทั้งตัวมาทาเปลือกตาด้านบนและล่าง แล้ว
ตั้งจิตอธิษฐานบอกกล่าวแก่ดวงวิญญาณ จากนั้นลืมตาขึ้น เชื่อกันว่าจะเห็นผี

11. ทำนายวันตาย
อุปกรณ์ในการทำพิธี
  1. เทียนไข
  2. โต๊ะที่มีขนาดพอที่คน 4 คน จะจับมือประสานกันได้
วิธีการทำพิธี
  1. จุดเทียนไขตรงกลางโต๊ะ ให้ผู้ทำพิธีทั้ง 4 คน นั่งรอบโต๊ะ จับมือประสานกัน
  2. ให้เวียนกันเล่าเรื่องผีโดยเริ่มจากใครก็ได้ โดยวนตามเข็มนาฬิกา จนครบ 4 คน
  3. ให้ทั้ง 4 คนตั้งสมาธิจ้องมองไปที่เปลวเทียน
  4. ให็ดูว่าเปลวเทียนหันไปทางใคร มองไปที่คนนั้น เชื่อกันว่าจะเห็นเงาร่างลึกลับอยู่ข้างหลังคนนั้น และเชื่อกันว่า คนที่มีเงาร่างลึกลับยืนอยุ่ข้างหลัง จะต้องตายเป็นคนแรกในคนในพิธี
12. ขี้เถ้าป้ายตา (2)
วิธีการทำพิธี
นำผงเถ้ากระดูกมาทาขอบตาบนและล่าง และเปลือกตาด้านบน จากนั้นให้มาสถานที่ที่อยากจะเจอผี แล้วเพ่งมองไปที่จุดที่ต้องการจะเห็น เชื่อกันว่าจะเห็นผีในบริเวณนั้น

13. เรื่องผีร้อยเรื่อง
วิธีการทำพิธี
วิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ค่อยนิยมมากนัก เพราะเชื่อว่าเป็นการเปิดประตูนรกปล่อยวิญญาณออกมา วิธีการคือให้ใครก็ได้
กี่คนก็ได้ มานั่งเล่าเรื่องผีให้ครบร้อยเรื่อง โดยต้องเล่าภายในเวลาพระอาทิตย์ตกดินจนถึงก่อนพระอาทิตย์
ระหว่างการเล่าให้จุดเทียนไขไว้ตลอด เป็นการนำทางแก่ดวงวิญญาณ แล้วห้ามให้เทียนดับเด็ดขาด เชื่อกันว่า
ถ้าเล่าครบร้อยเรื่อง จะเห็นผีในบริเวณนั้นทั้งหมด

14. ผีตะกร้า (อาโกว)
อุปกรณ์ในการทำพิธี
  1. โต๊ะหรือตั่งเตี้ย
  2. กระถางธูป
  3. น้ำชา 1 ถ้วย ขนมเปี๊ยะ 1 จาน
  4. ตะกร้าแบบจีน (ลักษณะกลมคล้ายปิ่นโตมีฝาปิด คนจีนเรียกว่า "ฮวยน้า")
  5. เสื้อผู้หญิงแบบมีกระดุมหน้า 1 ตัว
  6. ยอดทับทิม 2-3 ยอด และถ้วยใส่น้ำสำหรับแช่น้ำทับทิม
  7. กระดาษทอง
วิธีการทำพิธี
  1. สวมเสื้อให้ตะกร้าโดยติดกระดุม ผูกชายเสี้อไว้เป็นปม 2 ข้างสำหรับจับ นำยอดทับทิม 1 ยอดผูกไว้กับหูตะกร้าด้านบนสุด
  2. นำกระถางใส่ทราย น้ำชา ขนมเปี๊ยะ กระดาษทองตั้งไว้บนโต๊ะ และเตรียมน้ำแช่ยอดทับทิมเอาไว้
  3. จุดธูป 5 ดอก บอกกล่าวแก่เจ้าที่ขออนุญาตให้ผีตะกร้าเข้าบ้านได้ นำธูปไปปักไว้หน้าบ้านด้านซ้ายและขวาอย่างละ 2 ดอก ปักในกระถาง อีก 1 ดอกปักหรือผูกไว้ที่หูตะกร้าด้านบนสุด อย่าให้ธูปดับตลอดการทำพิธี ถ้าธูปจะหมดให้ต่อ
  4. จากนั้นให้คนในพิธี 2 คน ยกตะกร้าเชิญผีที่บริเวณที่มีน้ำ แต่ห้ามเชิญในบ้าน ถ้าผีตะกร้าเข้าแล้วตะกร้าจะหนักและโยกได้ให้นำเข้าพิธี และให้เรียกผีว่า "อาโกว"
  5. เมื่อถึ งบริเวณพิธี ห้ามวางตะกร้า ให้ถือตลอดพิธี จะนั่ง ยืน หรือคุกเข่าก็ได้ (ถ้าจะเปลี่ยนคนต้องถามอาโกวก่อนว่า จะให้เปลี่ยนหรือไม่)
  6. ซักถามอาโกวในเรื่องที่อยากรู้จนหายสงสัย
  7. เมื่อจะออกจากพิธี ต้องกลับไปยังจุดเดิมที่เชิญมา แล้วบอกเชิญอาโกวกลับไปพักผ่อน (สังเกตจากถ้าตะกร้าเบาลง แสดงว่าอาโกวไปแล้ว)
  8. ถอนธูปและยอดทับทิมที่ปักเผากระดาษทองทิ้ง ณ จุดที่เชิญมา
  9. นำน้ำที่แช่ยอดทับทิมมาพรมศีรษะของผู้ร่วมพิธีทุกคน

15. ทดลองตาย (ห้ามทำเด็ดขาด!)
อุปกรณ์ในการทำพิธี
  1. ขี้เถ้าจากเชิงตะกอนห่อผ้าดำมัดเอาไว้
  2. ด้ายสายสิญจน์
  3. ดอกไม้และธูปเทียน
  4. โลงศพที่เคยใช้แล้ว
วิธีการทำพิธี
  1. ให้คนทดลองและผู้ช่วย(กี่คนก็ได้)แต่งกายด้วยสีดำไปที่วัดร้างแห่งใดแห่งหนึ่ง
  2. เลือกทำเลที่เหมาะสม ให้ผู้ทดลองจุดธูปแล้วนำธูปไปปักรอบโลงศพ
  3. ให้ผู้ทดลองและผู้ช่วยนำขี้เถ้าจากเชิงตะกอนป้ายรอบตา จากนั้นให้ผู้ทดลองลงไปในโลงศพ
  4. ให้ผู้ช่วยมัดตราสังข์ผู้ทดลอง แล้วผู้ทดลองที่อยู่ในโลงศพตั้งจิตอธิษฐาน
เชื่อกันว่าผู้ช่วยจะเห็นวิญญาณของผู้ทดลองลอยออกมาจากโลง พร้อมกับยมทูตเพื่อมารับวิญญาณของผู้ทดลองไปด้วยกัน

16. ผีปากกา (Guardian Angel)
อุปกรณ์ในการทำพิธี
  1. ปากกา(ปากกาที่นำมาทำพิธีจะนำมาใช้งานไม่ได้ 1 สัปดาห์)
  2. กระดาษที่มีรูปบ้าน อาหาร ต้นไม้ 2 ต้น อยู่ริมกระดาษ ต้นซ้ายมีคำว่า "ใช่" ต้นขวามีคำว่า "ไม่ใช่" มีคำว่า เข้า-ออก พยัญชนะและสระของไทยและอังกฤษ ละตัวเลข 0-9 ได้
วิธีการทำพิธี
  1. ให้ผู้ร่วมพิธีทุกคนจับปากกาด้วยมือข้างที่ถนัด
  2. กล่าวเชิญดวงวิญญาณเข้ามาสิงในปากกาด้วยคำว่า "Guardian Angels ... Guardian Angels Please come to play with us" 2 จบ
  3. จากนั้นพูดว่า"ถ้ามาขอให้ไปที่ใช่" ถ้ามาแล้ว ปากกาจะเคลื่อนที่ไปยังคำว่า"ใช่"
  4. ให้ผู้ร่วมพิธีถามจนหายสงสัย
  5. เมื่อจะออกจากพิธี ให้กล่าวเชิญออกจากปากกา ถ้าออกแล้วให้ไปที่ใช่ ถ้าปากกาเคลื่อนไปยังคำว่า"ใช่" และหยุดเคลื่อนที่แล้ว แสดงว่าวิญญาณออกจากปากกาแล้ว
17. วิธีการเห็นเปรต
อุปกรณ์ในการทำพิธี
  1. ข้าวต้มมัด 3-4 มัด
  2. เชือกฟางหรือเชือกไนลอน
วิธีการทำพิธี
นำข้าวต้มมัดทั้งหมดมามัดกับเอว แล้วไปยังวัดที่ต้องการเห็นเปรต เมื่อเข้าวัดแล้วให้ไปยังโบสถ์ จากนั้น เดินพนมมือ วนรอบโบสถ์ 3 รอบ โดยวนทวนเข็มนาฬิกา แล้วหยุดตรงบริเวณหน้าโบสถ์ แล้วเดินไปที่ทางเข้าของวัดตอนแรก พอจะพ้นเขตวัด ให้หันกลับไปมองหลังคาโบสถ์ เชื่อกันว่าจะเห็นเปรตยืนค้ำหลังคาโบสถ์อยู่

18. วิธีหาศพที่จมน้ำ
อุปกรณ์ในการทำพิธี
  1. ธูป 1 ดอก
  2. กระทงใบตอง
วิธีการทำพิธี
  1. ให้ญาติของคนตายทั้งหมด มารวมกันที่ที่คนตายได้จมน้ำ แล้วให้ญาติที่ใกล้ชิดกับผู้ตายมากที่สุด จุดธูป 1 ดอก
  2. ตั้งจิตอธิษฐาน แล้วปักธูปไว้ที่ริ่มฝั่ง นำกระทงไปลอยน้ำ เชื่อกันว่า จุดที่กระทงจมน้ำคือจุดที่ผู้ตายได้จมน้ำ
19. ผีกะลา (นวัตกรรม(ไม่)ใหม่ของการขอหวย)
อุปกรณ์ในการทำพิธี
  1. กระด้ง
  2. กะลาตาเดียวครึ่งซีก
  3. ข้าวสารเหนียว
วิธีการทำพิธี
วางกระด้งไว้กับพื้น เขียนเลข 0-9 ไว้รอบๆกระด้ง แล้วนำข้าวสารใส่ในกระด้งแล้วเกลี่ยให้กระจายเป็นวงกลม แต่ไม่ให้ทับตัวเลข จากนั้นนำกะลาไปวางไว้ตรงกลางกระด้ง ให้ผู้ทำพิธีตั้งจิตอธิษฐานเชิญพระแม่โพสพเข้ามาในกะลา โดยภาวนาว่า "พระแม่โพสพโปรดบอกเลขด้วย พระแม่โพสพโปรดบอกเลขด้วย" เชื่อกันว่า กะลาจะหมุนไปรอบๆ ให้ภาวนาไปเรื่อยๆ เมื่อกะลาหยุดที่ตัวเลขใด ก็จดเลขเอาไว้ จนได้เลขตามที่ต้องการแล้ว ให้ผู้ทำพิธีตั้งจิตอธิษฐาน ขอบคุณพระแม่โพสพ เป็นการเชิญพระแม่โพสพออกจากกะลา

20. การเข้าฝันคนอื่น
อุปกรณ์ในการทำพิธี
  1. ธูป 1 ดอก
  2. ใบพลู 1 ใบ
  3. ชุดขาวทั้งชุด(ไม่เว้นชุดชั้นในด้วย)
วิธีการทำพิธี
  1. ให้ผู้ทำพิธีใส่ชุดขาวทั้งชุด แล้วจุดธูปปักไว้บนหัวนอน
  2. เอาใบพลูมาคาบที่ปาก เอามือทั้งสองข้างประสานไว้ข้างหลัง แล้วท่องชื่อคนที่เราต้องการไปหาเขาในฝันให้ครบ 99 ครั้ง จากนั้น เชื่อกันว่าจิตของผู้ทำพิธีจะสื่อไปถึงจิตของผู้ที่ต้องการไปเข้าฝันได้ และผู้ทำพิธีก็จะไปอยู่ในฝันของคนที่ต้องการ
ข้อควรระวังในการทำพิธี
  1. ต้องทำพิธีตั้งแต่เที่ยงคืนเป็นต้นไป
  2. ทำได้เฉพาะคืนวันศุกร์
  3. เวลาจะออกจากฝันให้นึกถึงตัวเรา แล้วจะกลับมาสู่สภาพเดิมได้ และต้องกลับมาก่อนถึงรุ่งเช้า
  4. หากในความฝันมีคนมาชวนให้ไปที่ที่ไม่เคยไป ห้ามไปเด็ดขาด เพราะอาจไม่ได้กลับมา
  5. ไม่ควรทำเกิน 2 ครั้งใน 1 อาทิตย์ ถ้าทำเกิน 2 ครั้ง อายุของผู้ทำพิธีจะลดลง 99 วัน

21. ว้นเกิดบอกลางเห็นผี
วันอาทิตย์
ถ้าอยู่ในช่วงที่เจ็บป่วยด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ ควรหลีกเลี่ยงหญิงมีครรภ์ เพราะการอยู่ใกล้กับหญิงมีครรภ์ พลังหญิงมีครรภ์ อาจทำให้ผู้ที่เกิดวันนี้ได้เห็นผี

วันจันทร์
หลีกเลี่ยงการส่องกระจกร้าว หรือกระจกโบราณในเฉพาะเวลาดึกๆ หลังเที่ยงคืนเป็นต้นไป และอีกอย่างคือ ถ้าได้ยินเสียงคนเรียกแว่วๆ ห้ามทัก เนื่องจากอาจเป็นเสียงวิญญาณเร่ร่อนที่จะพาไปอยู่ด้วย

วันอังคาร
ถ้าพบเจอห้องน้ำตามต่างถิ่นและรู้สึกแปลกๆ ก็ไม่ควรเข้าไป ให้เลือกห้องน้ำที่ดูปลอดโปร่ง และรู้สึกดี มิเช่นนั้น อาจมีวิญญาณตามติดตัวไปด้วย

วันพุธ
ไม่ค่อยถูกโฉลกกับงานศพ เชื่อกันว่าหลังจากไปงานศพมัaกจะมีสัมภเวสีติดตามมาด้วย วิธีแก้ไข คือ หลังจากกับจากงานศพ ให้รีบอาบน้ำที่แช่ด้วยว่านก่อนเที่ยงคืนของวันนั้น

วันพฤหัสบดี
ตอนกลางคืนห้ามขานรับเสียงแปลกๆที่เรียกชื่อเด็ดขาด เชื่อกันว่า เสียงแว่วที่ได้ยิน คือ เสียงสัมภเวสีที่ต้องการสื่อสารด้วย หากขานรับจะถือว่าเป็นการตอบรับให้วิญญาณเข้ามาได้ วิธีแก้ไขคือ ให้เดินถอยหลังไป 1 ก้าว เชื่อกันว่าเสียงจะหายไป

วันศุกร์

เชื่อว่ายังมีกรรมเก่าจากอดีตตามติดมาด้วย ให้ระมัดระวังการเดินทางน้ำให้มาก หากหลีกเลียงได้ควรหลีกเลี่ยง เพราะธาตุน้ำ น้ำสำหรับคนที่เกิดวันนี้เป็นทางเชื่อมระหว่างโลกวิญญาณและโลกมนุษย์ น้ำจะเป็นตัวเชื่อมให้สื่อสารกับวิญญาณได้ง่ายขึ้น

วันเสาร์

เชื่อกันว่ามีดวงแข็ง จู่ๆได้ยินเสียงสุนัขเห่าหอนขึ้นมารอบตัวอย่างไม่มีสาเหตุ เชื่อกันว่ารอบๆผู้ที่เกิดวันนี้จะมีวิญญาณมา ปรากฏตัวใกล้ๆ ควรหลีกเลี่ยงการจ้องมองศาลพระภูมิในเวลากลางคืน เพราะอาจจะเห็นผี

ที่มา http://bbs.pramool.com/webboard/view.php3?katoo=O55592

07 มิถุนายน 2556

วิธีเห็นผีเปรต

อุปกรณ์ในการทำพิธี
  1. ข้าวต้มมัด 3-4 มัด
  2. เชือกฟางหรือเชือกไนลอน
วิธีการทำพิธี
นำข้าวต้มมัดทั้งหมดมามัดกับเอว แล้วไปยังวัดที่ต้องการเห็นเปรต เมื่อเข้าวัดแล้วให้ไปยังโบสถ์ จากนั้น เดินพนมมือวนรอบโบสถ์ 3 รอบ โดยวนทวนเข็มนาฬิกา แล้วหยุดตรงบริเวณหน้าโบสถ์ แล้วเดินไปที่ทางเข้าของวัดตอนแรก พอจะพ้นเขตวัด ให้หันกลับไปมองหลังคาโบสถ์ เชื่อกันว่าจะเห็นเปรตยืนค้ำหลังคาโบสถ์อยู่

ที่มา http://bbs.asiasoft.co.th/archive/index.php/t-148837.html

06 มิถุนายน 2556

วิธีเห็นผีตามวันเกิด

เกิดวันอาทิตย์
ช่วงไหนที่คุณเจ็บป่วย ไม่สบาย หรือไม่ก็อ่อนแอทางจิตใจ ให้หลีกเลี่ยงที่จะใกล้ชิดกับผู้หญิงที่กำลังตั้งท้อง เพราะพลังอะไรบางอย่างที่ลึกลับ อาจจะทำให้คุณเห็นผี หรือ วิญญาณ ได้

เกิดวันจันทร์
สำหรับคุณแล้ว จะส่องกระจกน่ะส่องได้ แต่อย่าส่องหลังเวลาเที่ยงคืนถึงเช้า โดยเฉพาะในกระจกร้าว และถ้าได้ยินเสียงอะไรแปลกๆ หรือเสียงเรียกเวลาค่ำคืน อย่าพูดทัก หรือขานตอบ เพราะนั่นอาจจะเป็นเสียงที่ทวงถามวิญญาณของคุณก็ได้

เกิดวันอังคาร
คนเกิดวันอังคารลำบากกว่าคนเกิดวันอื่นเสียแล้ว เพราะคุณไม่ควรเข้าห้องน้ำนอกบ้าน ถ้าไม่มีธุระ คุณควรจะอยู่ให้ห่างจากห้องน้ำที่ไม่น่าไว้ใจเอาไว้ เพราะอาจมีบางอย่างแอบติดตามคุณออกมา หรือปรากฏให้คุณเห็น

เกิดวันพุธ
คุณไม่ควรไปงานศพ เพราะอาจจะมีวิญญาณติดตามตัวคุณกลับออกมา แต่ถ้าหากว่าเป็นงานที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากที่กลับมาจากงานศพแล้ว ให้รีบอาบน้ำก่อนเที่ยงคืน และถ้าจะให้ดีน้ำที่อาบควรเป็นน้ำว่าน

เกิดวันพฤหัส
ในยามวิกาล มืดๆ อย่ามองไปที่หัวบันได เพราะคุณอาจจะมีอะไรบางอย่างปรากฏให้คุณเห็นที่ตรงนั้น หากว่าได้ยินเสียงแปลกๆ คล้ายๆ กับเรียกชื่อคุณ อย่าขานตอบ ให้ก้าวเท้าถอยหลัง 1 ก้าว แล้วเสียงนั้นจะหายไป

เกิดวันศุกร์
เคยได้ยินหรือเปล่าว่าธาตุน้ำ อาจจะเป็นเหมือนประตูเชื่อมระหว่างโลกมนุษย์ กับ โลกวิญญาณ ดังนั้น คนที่เกิดวันศุกร์อย่างคุณควรหลีกเลี่ยงการเดินทางทางน้ำ

เกิดวันเสาร์
ศาลพระภูมิ คือ สิ่งต้องห้ามสำหรับคนเกิดวันเสาร์ ไหว้ เคารพ ได้ แต่อย่ามองจ้อง หากได้ยินเสียงหมาเห่า หอน เกรียวกราว ใกล้ๆ ตัว นั่นอาจแปลได้ว่าคุณกำลังโดนติดตามโดยภูตผี วิญญาณ

ที่มา http://www.gnv3.net/bbs/viewthread.php?tid=97712

05 มิถุนายน 2556

เทคนิคการเห็นผี

1. ตัดเล็บสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน ให้ตัดเล็บในเวลาสี่ทุ่มถึงเที่ยงคืน เริ่มจากเล็บมือขวาก่อนแล้วตามด้วยมือซ้าย พอครบ 10 นิ้ว ก็ห่อด้วยผ้าดำเอาไปวางไว้ทางทิศตะวันตกของบ้าน ในคืนนั้นเวลาคุณหลับจะมีแขกไม่ได้รับเชิญแวะมาเยี่ยมคุณ

2. ลูกคิดเรียกวิญญาณ ให้ทำในคืนพระจันทร์เต็มดวง รอจนเลยเที่ยงคืนไปแล้ว นำลูกคิดที่มีรางยาวๆมา แล้วจับรางตั้งขึ้น ให้ลูกคิดทั้งหมดไหลมารวมกันทางตัวคุณ จากนั้นวางรางลงทำใจให้ว่างแล้วค่อยๆ ดีดลูกคิดออกจากตัว ทีละรางๆจนถึงรางสุดท้าย เสร็จแล้วก็จับรางตั้งขึ้นอีกครั้ง ให้ลูกคิดทั้งหมดไหลกลับที่เดิม จากนั้นก็มาถึงนาทีสำคัญ ให้มองลอดช่องว่างระหว่างรางลูกคิดออกไป คุณจะได้เห็นสิ่งที่ต้องการจากช่องว่างนั้น หลังจบพิธีแล้วให้ทิ้งลูกคิดรางนี้ทันที ห้ามเอากลับมาใช้อีก

3. ใส่เสื้อกลับหัว พิธีกรรมนี้ไม่มีอะไรมากแต่ต้องอาศัยเทคนิคยิมนาสติกนิดหน่อย เริ่มด้วยการใส่เสื้อกลับด้านเอาข้างหลังมาไว้ข้างหน้าจากนั้นก็ขอเชิญคนอยากลองเอนกายลงนอน เอาขาพาดเตียงไว้ส่วนหัวห้อยลงมา เตรียมเสียงกรี๊ดเยอะๆ แล้วมองขึ้นไปบนเพดานได้เลย

4. น้ำตาคือสัญญา เวลาไปงานศพ ถ้าอยากให้คนตายกลับมาหา ให้ร้องไห้แล้วเอาน้ำตาไปป้ายที่ตาของศพอีกไม่กี่คืนต่อมา เขาจะกลับมาทักทายกับคุณ

5. ผีขนมต้ม วิธีนี้จดลิขสิทธิ์แล้วว่าเป็นของไทยแท้แต่โบราณ เป็นเรื่องที่คนเฒ่าคนแก่เขายืนยันมาว่าเห็นจริง !! ในเวลาตีหนึ่งให้ผูกขนมต้มไว้รอบเอว เดินพนมมือทวนเข็มนาฬิการอบโบสถ์ 3 รอบจนไปจบที่หน้าโบสถ์พอดี จากนั้นก็เดินออกประตูวัดไปแล้วหันกลับมามอง คุณจะได้เห็นเปรตสัมภเวสียืนรอชิมขนมต้มอยู่ตรงนั้นแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก Horolive

04 มิถุนายน 2556

วิธีเห็นผีตอนกลางวัน

คุณจะต้องตื่นแต่เช้า ประมาณ 7:00 น. เอาพอมีแดดบ้างจะต้องเดินทางไปยังวัดเพื่อให้บารมีพระคุ้มครอง หลังจากไปวัดอย่าลืมเอาขวดใส่น้ำที่บรรจุน้ำเปล่าไปด้วย เมื่อฟังพระสวดเสร็จคุณควรเริ่มพิธีได้

วิธีทำ
  1. นำน้ำที่ถือมาไปที่กำแพงวัด เน้นตรงเสากำแพง
  2. สาธุหนึ่งครั้งแล้วกรวดน้ำขอขมาผู้ที่ล่วงลับไปแล้วที่อยู่ในบริเวณวัด
  3. จากนั้นคุณกลั้นหายใจแล้วค่อยๆเงยหน้าขึ้นดูตรงเสากำแพงวัด
  4. คุณจะเจอผีจริงๆๆ บางครั้งก็เห็นเป็นภาพสีต่างๆ  บางครั้งก็เห็นเป็นภาพขาวดำ
  5. แค่นี้คุณก็จะได้เห็นผีตอนกลางวันแสกๆ   เหอๆๆ
ที่มา http://ghost.osk119.net/forum/index.php?topic=1185.0

03 มิถุนายน 2556

10 วิธีเห็นผีแบบไทย

อันดับที่ 10 ใส่เสื้อผ้าของคนตาย ใส่เสื้อผ้าของคนตายและกลั้นหายใจ ลองทำแบบนี้ที่วัด คุณจะเห็นเจ้าของเสื้อผ้าตัวจริงที่ตายไปแล้ว
อันดับที่ 9 เล่นผีถ้วยแก้ว เตรียมผังกระดาษกับถ้วยแก้ว และลองเล่นผีถ้วยแก้ว เมื่อเล่นเสร็จ ตอนจะเชิญวิญญาณออกจากถ้วย กลับถ้วยแก้วให้อยู่ข้างบน คุณจะเห็นวิญญาณที่มาเล่นกับคุณ
อันดับที่ 8 นอนในโลงศพ ถ้าอยากรู้ว่าชีวิตในโลกหน้าเป็นยังไง ลองนอนในโลงศพดูสิ อย่าลืมใส่เหรียญไว้ในปาก จะมีใครซักคนพาคุณไปทัวร์โลกหน้า
อันดับที่ 7 ก้มมองทะลุหว่างขา เรา ทุกคนล้วนเกิดมาจากหว่างของมารดา ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบริเวณที่ติดต่อกันระหว่างโลกและโลกของวิญญาณ ลองก้มหัวมองทะลุหว่างขาที่วัดจะทำให้คุณเห็นวิญญาณได้ อย่าดูนานเกินไปละ ไม่เช่นนั้นอาจจะได้ไปอยู่กับวิญญาณเหล่านั้น
อันดับที่ 6 กางร่ม การกางร่มภายในอาคารตอนกลางคืนจะทำให้ผีและวิญญาณติดตามคุณ
อันดับที่ 5 ดูเงาในกระจก เที่ยงคืน ปิดไฟทั้งหมด และจุดเทียน นั่งอยู่หน้ากระจกและใช้หวี หวีผม มองตัวเองในกระจกเงา สิ่งที่เห็นในกระจกอาจจะไม่ใช่ตัวคุณ
อันดับที่ 4 ใช้ดินจากสุสานมาทาเปลือกตา เชื่อกันว่าดินที่ใช้ขุดหลุมฝังศพจะซึมซับวิญญาณและความตายเอาไว้ ยิ่งลึกลงไปก็ยิ่งซึมซับได้มากขึ้น เมื่อใช้ดินทาเปลือกตาจะทำให้เรามองเห็นว่าวิญญาณกำลังทำอะไรกันอยู่
อันดับที่ 3 เล่นซ่อนหา เล่นซ่อนหาตอนกลางคืนเป็นอีกทางหนึ่งที่จะทำให้คุณเจอผี ผีจะทำให้คนที่ซ่อนอยู่ไม่มีใครเห็น ส่วนคนที่กำลังหาก็จะหาไม่พบ และคนที่ซ่อนก็จะมองไม่เห็นสิ่งที่อยู่ข้างหน้าตัวเอง ผีจะลวงตาทำให้ไม่เห็นคนที่พยายามหาเค้าอยู่ วิธีแก้คือ ต้องให้แมวดำวิ่งผ่าน ถ้าไม่มีแมวดำ คุณจะไม่เห็นสิ่งใดๆอีกตลอดกาลจนตาย เพราะมีความเชื่อว่าผีต้องการใครไปอยู่ด้วย
อันดับที่ 2 เรียกผีมาทานอาหาร ผี ตายโหง หรือ คนที่ตายแบบฉับพลันจากอุบัติเหตุ จะยังไม่สามารถรับสภาพความตายนั้นได้ วิญญาณเหล่านั้นยังคงเชื่อว่าตัวเองยังมีชีวิตอยู่และทำสิ่งต่างๆเสมือนคนปกติ ลองวางอาหารไว้ในที่ที่เกิดอุบัติเหตุ หรือ ทางสามแพร่ง(เชื่อกันว่าเป็นทางผีผ่าน) เคาะช้อนหรือส้อม เสียงเคาะจะทำให้ผีคิดว่าถึงเวลามาทานอาหาร สิ่งที่จะเห็นคืออาหารจะค่อยๆหายไป
อันดับที่ 1 ใช้น้ำตาของสุนัขดำมาป้ายเปลือกตา สุนัขดำเป็นสัญลักษ์ของโชคร้ายและสัตว์ที่เชื่อว่ามองเห็นสิ่งลี้ลับได้ ลองใช้น้ำตาของสุนัขดำทาเปลือกตา มีความเชื่อกันว่าถ้าลืมตาขึ้น จะทำให้เราสามารถมองเห็นสิ่งลี้ลับจากโลกอื่นได้
ขอบคุณข้อมูลจาก www.toptenthailand.com