"ลักษณ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรมผีสิง
ว่ากันว่า คนดวงซวยจะต้องโดนผีหลอก ไม่ว่าจะหาทางหลบเลี่ยงแค่ไหนก็หนีไม่พ้นหรอกค่ะ วันดีคืนร้ายก็โดนตัวประหลาดโผล่เข้ามาเขย่าขวัญ เล่นเอาหัวใจเกือบหยุดเต้นหรือไม่ก็จับไข้แทบหัวโกร๋นไปตามๆ กัน
แหม! ลองคิดดูซิคะว่าพวกเราสาวๆ แส้ๆ ยังโสดสนิทกันทั้งนั้น ถ้าดันหัวโกร๋นจะพิลึกแค่ไหนล่ะ เจ้าประคุณรุนช่องขา...
อาชีพเซลส์แมนสาว...เอ๊ย! เซลส์สาวค่ะ พลอยติดมาจากคุณกฤษณะ ที่โผล่หน้าหล่อๆ มาเล่าข่าวตอนดึกที่ช่อง 3 น่ะซีคะ เรื่องเซลส์สาวถูกสมุนพระครูทำร้าย ทั้งตีทั้งยิงจนเธอต้องแกล้งทำตายจึงหนีรอดมาได้ กลายเป็นข่าวครึกโครมในเดือนพฤษภาคมไงคะ
คุณกฤษณะบอกว่า...วันเกิดเหตุเนี่ย...เซลส์แมนสาวคนนั้นเนี่ยนะฮะ...เข้าแจ้งความว่าถูกพระครูเนี่ยข่มขืนฮะ เท่านั้นเนี่ยยังไม่พอ พระครูเนี่ยยังส่งลูกน้องเนี่ยมาตามฆ่าเธออีกนะฮะ...เดชะบุญที่เธอรอดตายมาได้อย่างหวุดหวิดฮะ เนี่ย...นะฮะ...
โอ๊ย! สนุกสุดขีดอะไรยังงี้เนี่ย...คืนนั้นเนี่ย พวกเราขำกลิ้งกันตั้งแต่เจอลูกเล่น...เซลส์แมนสาว! แล้วละค่ะ เออ...หรือสาวประเภทสองปลอมเป็นเซลส์แมนละมั้งเนี่ย? ถึงได้เรียกว่าเซลส์แมนสาวนะฮะ! มุขเยอะมากเลยเนี่ย...นะฮะนะฮ้า เนี่ย...หัวเราะนะฮะเนี่ย...
ว่าแต่พวกเราเนี่ยทำไมนอนดึกจังละเจ้าคะ?
เซลส์แมน...ว้าย! เซลส์สาวเจ้าค่ะ ต้องยกโขยงออกต่างจังหวัดบ่อยๆ ประชุมสัมมนา อบรมน้องใหม่ ถือโอกาสแนะนำสินค้าไปด้วย กว่าจะได้กลับโรงแรมก็ดึกดื่น อาบน้ำอาบท่า ล้างหน้าที่โบ๊ะเครื่องสำอางเสร็จก็ได้ดูข่าวเขย่าเส้นก่อนนอน
ส่วนมากมาออกันในห้องเดียว 4-5 คน บริษัทเขาให้นอนห้องละ 2 คน แต่ดิฉันดันเป็นหัวหน้าเลยได้สิทธิ์นอนคนเดียว ไม่ใช่ว่าดีเด่อะไรนะคะ เพราะลูกน้องมันเล่าเรื่องผีกันอยู่ได้ ทั้งๆ ที่คนเล่ามันก็กลัวผี ไม่รู้จะกระแดะเล่าไปทำไมให้ขนลุกขนพองเปล่าๆ
คืนนั้นค่อยยังชั่วหน่อย คือคุยกันเรื่องกฎหมายที่จะออกต้นเดือนหน้า (มิถุนายน) ว่าให้สิทธิ์ผู้หญิงแต่งงานจดทะเบียนสมรสแล้ว ใช้คำว่า "นางสาวนำหน้าได้" รวมทั้งแม่ม่ายแม่ร้างก็ได้ทั้งนั้น ดูเหมือนจะมีพวกผู้หญิงเราสนใจกันมากๆ นะคะ ป่านนี้คงจะรู้ผลไปแล้วมั้ง?
ต่างคนต่างเม้าธ์กระจาย แสดงความเห็นน่ะซีคะ
เจ้าต่องบอกว่าดีๆ แม่ม่ายกลับมาใช้นางสาวจะได้ไม่มีใครมาถามสะเหร่อๆ ว่าสามีไม่ได้มาด้วยเหรอ? หรือคนตกงานจะไปหางานทำก็สะดวก เพราะใช้คำนำหน้าว่านางนั่นนางนี่ เขาไม่สนใจจะรับเข้าทำงานหรอก สู้นางสาวไม่ได้
เจ้าสวยค้านว่าไม่ชอบ หลอกตัวเองชัดๆ แหม! มีโผเห็นๆ ยังอยากใช้นางสาวให้คนเข้าใจผิดซะอีกแน่ะ! ต่างจิตต่างใจนะคะ แต่ที่ตรงกันเผงก็มีเจ้าค่ะ
เจ้าเพ็ญประกาศอุดมการณ์ว่า คุณขา...พวกหนูๆ ใช้นางสาวนำหน้ามาช้านานจนเบื่อหน่าย ไม่อยากอยู่บนคาน! ต้องการให้มีใครซักคนมาชวนให้หนูได้ใช้คำว่า "นาง" นำหน้าซะที เมื่อไหร่จะสมปรารถนาล่ะเจ้าคะ! ได้ฮากระจายไปตามๆ กัน แทงใจดำทุกคนซะไม่มีละ
มาเกิดเรื่องตรงที่ดิฉันจะกลับเข้าห้องนอนเดียวดาย เจ้าสวยดันมีเรื่องเล่าเขย่าขวัญว่าเมื่อตอนเย็นก่อนจะออกไปหาอะไรกินน่ะ ได้ยินผู้หญิงสองคนที่มาพักโรงแรมนี้ ถามพนักงานหนุ่มที่เคาน์เตอร์ว่า...โรงแรมนี้ผีดุหรือเปล่าฮ้า? เล่าเอาเจ้าสวยตะลึงไปเลย
"ไม่ใช่ตกใจเรื่องผีหรอกย่ะ" มันลอยหน้า "แต่เพราะหนุ่มที่ถูกถามน่ะ สูงสง่านัยน์ตาฝันเหมือนสเตฟานบวกฟิล์ม คูณชาคริต...ขอบอก! ผู้ชายห่...อะไรไม่รู้...หล่อซะ!!"
เสียงใครดังขึ้นว่า "อีบ้า" ก่อนจะถามถึงเรื่องผีว่ามีจริงหรือเปล่า?
"ไม่มีหรอกย่ะ" สวยทำตาเยิ้มเชียว "เฮ้อ...เสียดายจัง อยากให้มีว่ะ จะได้ขอร้องให้สุดหล่อช่วยมาเฝ้าข้างเตียงหน่อย ซักครึ่งคืนก็ยังดี"
เสียงโห่ฮาดังขรมแต่ดิฉันไม่สนใจ ขอตัวกลับเข้าห้องที่อยู่ติดๆ กัน ลูกน้องแสบๆ ยังแซวตามหลังมาว่า...พี่มานอนรวมกับพวกหนูก็ได้ หรือจะลงไปดูหน้าหล่อๆ ล่ะคะ?
ต้องหันไปทำเสียงดุว่า...น้อยๆ หน่อยย่ะ พวกเซลส์แมนสาว! มันฮากันตรึมเลยค่ะ
ดิฉันสวดมนต์ ไหว้เจ้าที่เจ้าทางแล้วดับไฟนอน...ราวตีสามก็ได้ยินเสียงทุบประตูโครมๆ จนนึกว่าไฟไหม้...ครั้นเปิดออกไปก็เจอเจ้าเพ็ญกับเจ้าสวยวิ่งถลาเข้ามาหอบฮั่กๆ หน้าตาทั้งตื่นทั้งซีดเซียว...ปรากฏว่าโดนผีหลอกมาหยกๆ
แย่งกันเล่าว่ากำลังจะเคลิ้มก็ได้ยินเสียงลมพัดอู้ๆ เข้ามาในห้อง ลมบ้าที่ไหนจะพัดเข้าห้องแอร์ ไม่ช้าก็มีเสียงใครร้องเพลงหงิงๆ อยู่ในห้องน้ำ เล่นเอาลุกพรวดขึ้นทั้งสองคนเปิดไฟหัวเตียงแล้วหันหน้ามองกันเลิ่กลั่ก ครั้นหันไปอีกทีก็เห็นผู้หญิงแปลกหน้าเดินเช็ดผมออกมาจากห้องน้ำ...ตาดำปี๋ ปากอ้ากว้างจนเป็นโพรงดำมืด...แว่!!
วิ่งไปร้องไปมาหาดิฉัน คืนนั้นเลยต้องนอนเบียดกันสามคน ขนหัวลุกจริงๆ ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 9 มิถุนายน 2551
09 พฤษภาคม 2560
06 พฤษภาคม 2560
ไปสู่หนไหน?
"ดารกา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปฟังสวดศพ
ญาติมิตรหลายๆ คนของดิฉันพูดตรงกันว่าไม่ชอบไปงานศพ อย่างฝังจิตฝังใจ...จะเป็นงานสวดศพ เผาศพ หรือแม้แต่ทำบุญ 7 วัน 100 วันก็ไม่อยากไปร่วมด้วยทั้งนั้น ส่วนมากมีเหตุผลว่า กลัวจะเคราะห์ร้ายเพราะดวงชงกับผู้ตาย
บางคนยืนยันว่าไม่ใช่เป็นความเชื่อเลื่อนลอย เพราะไปงานศพทีไรมักจะเกิดเหตุทีนั้น ไม่เกิดกับตัวเองก็กับคนในครอบครัวแทบทุกครั้งไป
ตั้งแต่รถชนกัน ลูกเจ็บป่วย โดนหมากัด จนถึงหมาตัวเองออกไปกัดคนนอกบ้านต้องเสียค่าทำขวัญบ้าง จ่ายตามบิลของโรงพยาบาลบ้าง...ล่าสุดญาติที่เพิ่งกลับจากฟังสวดศพหยกๆ ต้องพาคนข้างบ้านที่ถูกหมาตัวเองกัดไปหาหมอที่ร.พ.เอกชน เสียค่าตรวจรักษา ฉีดยากันบาดทะยัก 1 เข็มเป็นเงินถึง 1,550 บาท
เคยซื้อลอตเตอรี่ที่เขาเร่ขายในวัดก็ไม่เคยถูกแม้แต่เลขท้ายสองตัวสักครั้ง
บางคนสารภาพว่าไม่ใช่เพราะหวาดหวั่นเรื่องดวงจะชงหรือไม่ชง แต่ไม่ชอบไปงานศพเพราะกลัวผีหลอกต่างหาก!
เพื่อนคนหนึ่งเล่าว่าไปงานศพญาติที่ตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ ระหว่างที่นั่งฟังพระสวดอภิธรรมเสียงเยือกเย็นอยู่นั้น บังเอิญเหลือบไปเห็นภาพถ่ายของผู้ตายที่ตั้งเด่นอยู่หน้าโลง...จะเป็นเพราะแสงไฟสะท้อนหรือตาฝาดไปเองก็ไม่ทราบ แต่เธอยืนยันว่าเห็นญาติจ้องมองและยิ้มเศร้าๆ จนแทบจะกรีดร้องลั่นศาลา
สำหรับดิฉันเองกลับตรงกันข้ามค่ะ
ใครแจกการ์ดงานแต่งงานหรืองานวันเกิด จะไปงานหรือไม่ก็แล้วแต่สะดวก ถ้าไม่สนิทกันมาก หรือไกลเกินไปสำหรับคนที่วัยใกล้เกษียณอย่างดิฉันก็จะไม่ไป แต่ฝากซองไปช่วยงานบ้าง ส่งจดหมายอวยพรและเช็คของขวัญทางไปรษณีย์บ้าง แล้วแต่ความเหมาะสม
ตรงข้าม ถ้าเป็นงานศพญาติมิตรดิฉันจะต้องไปร่วมงานทุกครั้ง ถือว่าเป็นการล่ำลากันครั้งสุดท้าย ขออโหสิกรรมต่อกัน ถ้ารู้ข่าวจะไปร่วมด้วยทันทีค่ะ
นับวันชีวิตเราก็ก้าวไปสู่เงื้อมมือมัจจุราช...ใกล้เข้าไปทุกทีแล้ว แม้ชีวิตนี้จะเป็นที่รักของตนแค่ไหน แต่วันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว ก็ต้องลงไปนอนพนมมืออยู่ในโลงศพ...ร่างกายที่ไร้ลมหายใจรอให้เขานำไปเผาหรือฝัง
วิญญาณจะมีจริงหรือไม่? ตายแล้วจะไปไหนก็ไม่มีโอกาสรู้ได้เลย!
ไม่ใช่ว่าเพิ่งมารู้ตัวว่าวันหนึ่งต้องตายเพราะไปงานศพหรอกค่ะ แต่ชีวิตคนเราล้วนแต่มีภาระวุ่นวายยุ่งเหยิง ไม่มากก็น้อยด้วยกันทั้งนั้น หลายๆ ครั้งก็วุ่นเสียจนลืมความตายของตัวเองเสียสนิท...มางานศพเมื่อไหร่ก็ได้ทอดถอนใจ ปลงสังเวชชีวิตของคนเราเสียที
ร่างที่นอนหงายหลับตา ยื่นมือให้รดน้ำคล้ายจะบอกกล่าวว่า เคยกระเสือกกระสนไขว่คว้ามาสารพัดชีวิต ทั้งเหน็ดเหนื่อยยากเข็ญ แม้แต่ทรยศคดโกง เอารัดเอาเปรียบหรือเคยเบียดเบียนใครมา แต่เดี๋ยวนี้จบสิ้น...ได้พักผ่อนนอนหลับไปตลอดกาล
มือที่เคยกำแน่นเมื่อแรกเกิด บ่งบอกว่าจะกำเกร็งสรรพสิ่งมาชั่วชีวิต ก็แบออกให้เห็นทั่วกันว่าไม่ได้นำสิ่งใดติดไปโลกหน้าแม้แต่สิ่งเดียว!
งานศพล้วนแต่ทำให้ได้แง่คิดและมุมมองดีๆ สำหรับชีวิตเสมอมา...
จนกระทั่งถึงงานสวดศพครั้งล่าสุด หัวหน้ากองชื่อคุณทนงเสียชีวิตด้วยมะเร็งตับก่อนจะเกษียณราว 3 ปี รุ่นราวคราวเดียวกับดิฉัน แต่หัวหน้ากองเคยเล่าว่าตัวเองใช้ชีวิตสิ้นเปลืองมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม หรือเสเพลทั้งเหล้า บุหรี่ เรียกว่าสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ครบเครื่อง ไม่รู้ว่ารอดมาจนถึงห้าสิบกว่าๆ ได้ยังไง?
พวกรุ่นน้องๆ ในที่ทำงานเคยเล่าว่า หัวหน้าเป็นทั้งโรคเบาหวาน ตับแข็ง ความดันเลือดสูง ไทรอยด์อักเสบ ระยะหลังๆ มีอาการหลงๆ ลืมๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นอัลไซเมอร์ แม้ว่าจะเลิกเหล้าและบุหรี่มาหลายปีแล้ว แต่พิษร้ายก็สะสมอยู่ร่างกายเพียบแปล้
ยกเว้นเรื่องนี้แล้ว หัวหน้าทนงถือว่าเป็นเจ้านายที่ลูกน้องรักมาก สวดศพวันแรกก็มีแขกแน่นจนล้นศาลา ดิฉันไปเร็วจึงได้ที่นั่งด้านในแถวกลางๆ มองดูพวงหรีดทยอยกันมาไม่หยุด ท่ามกลางกลิ่นธูปอวลกรุ่น
ขณะที่พระสวดอภิธรรมอยู่นั้น ผู้หญิงสูงวัยที่นั่งพนมมืออยู่ข้างๆ ดิฉันก็พูดขึ้นว่า...ขอบใจนะที่อุตส่าห์มางานผม! เล่นเอาดิฉันหันขวับไปพบเธอที่กำลังจ้องมองดิฉันเช่นกัน
"ผมเอง...ทนงไงล่ะ? ขอบคุณนะที่มางานศพผม!"
ผู้หญิงร่างท้วมคนนั้นอ้าปากค้าง หน้าซีดเผือด ดิฉันเองก็คงไม่แตกต่างกันขณะที่หันขวับไปทางโลงศพที่ตั้งเด่นอยู่เบื้องหน้า คุณทนงในภาพถ่ายยิ้มเศร้าๆ ดูเหมือนจะพยักหน้านิดๆ เป็นการอำลา ในบรรยากาศที่เยือกเย็นจนขนลุกซ่าไปทั้งตัว
ก่อนจะกลับ ขณะที่ยกมือไหว้โลงศพนั้น ดิฉันอดนึกไม่ได้ว่า...ถ้าวันหนึ่งตัวเองถึงเวลาไปนอนในนั้น จะมีโอกาสได้มาขอบอกขอบใจแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเราหรือเปล่าหนอ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 6 มิถุนายน 2551
ญาติมิตรหลายๆ คนของดิฉันพูดตรงกันว่าไม่ชอบไปงานศพ อย่างฝังจิตฝังใจ...จะเป็นงานสวดศพ เผาศพ หรือแม้แต่ทำบุญ 7 วัน 100 วันก็ไม่อยากไปร่วมด้วยทั้งนั้น ส่วนมากมีเหตุผลว่า กลัวจะเคราะห์ร้ายเพราะดวงชงกับผู้ตาย
บางคนยืนยันว่าไม่ใช่เป็นความเชื่อเลื่อนลอย เพราะไปงานศพทีไรมักจะเกิดเหตุทีนั้น ไม่เกิดกับตัวเองก็กับคนในครอบครัวแทบทุกครั้งไป
ตั้งแต่รถชนกัน ลูกเจ็บป่วย โดนหมากัด จนถึงหมาตัวเองออกไปกัดคนนอกบ้านต้องเสียค่าทำขวัญบ้าง จ่ายตามบิลของโรงพยาบาลบ้าง...ล่าสุดญาติที่เพิ่งกลับจากฟังสวดศพหยกๆ ต้องพาคนข้างบ้านที่ถูกหมาตัวเองกัดไปหาหมอที่ร.พ.เอกชน เสียค่าตรวจรักษา ฉีดยากันบาดทะยัก 1 เข็มเป็นเงินถึง 1,550 บาท
เคยซื้อลอตเตอรี่ที่เขาเร่ขายในวัดก็ไม่เคยถูกแม้แต่เลขท้ายสองตัวสักครั้ง
บางคนสารภาพว่าไม่ใช่เพราะหวาดหวั่นเรื่องดวงจะชงหรือไม่ชง แต่ไม่ชอบไปงานศพเพราะกลัวผีหลอกต่างหาก!
เพื่อนคนหนึ่งเล่าว่าไปงานศพญาติที่ตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ ระหว่างที่นั่งฟังพระสวดอภิธรรมเสียงเยือกเย็นอยู่นั้น บังเอิญเหลือบไปเห็นภาพถ่ายของผู้ตายที่ตั้งเด่นอยู่หน้าโลง...จะเป็นเพราะแสงไฟสะท้อนหรือตาฝาดไปเองก็ไม่ทราบ แต่เธอยืนยันว่าเห็นญาติจ้องมองและยิ้มเศร้าๆ จนแทบจะกรีดร้องลั่นศาลา
สำหรับดิฉันเองกลับตรงกันข้ามค่ะ
ใครแจกการ์ดงานแต่งงานหรืองานวันเกิด จะไปงานหรือไม่ก็แล้วแต่สะดวก ถ้าไม่สนิทกันมาก หรือไกลเกินไปสำหรับคนที่วัยใกล้เกษียณอย่างดิฉันก็จะไม่ไป แต่ฝากซองไปช่วยงานบ้าง ส่งจดหมายอวยพรและเช็คของขวัญทางไปรษณีย์บ้าง แล้วแต่ความเหมาะสม
ตรงข้าม ถ้าเป็นงานศพญาติมิตรดิฉันจะต้องไปร่วมงานทุกครั้ง ถือว่าเป็นการล่ำลากันครั้งสุดท้าย ขออโหสิกรรมต่อกัน ถ้ารู้ข่าวจะไปร่วมด้วยทันทีค่ะ
นับวันชีวิตเราก็ก้าวไปสู่เงื้อมมือมัจจุราช...ใกล้เข้าไปทุกทีแล้ว แม้ชีวิตนี้จะเป็นที่รักของตนแค่ไหน แต่วันหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว ก็ต้องลงไปนอนพนมมืออยู่ในโลงศพ...ร่างกายที่ไร้ลมหายใจรอให้เขานำไปเผาหรือฝัง
วิญญาณจะมีจริงหรือไม่? ตายแล้วจะไปไหนก็ไม่มีโอกาสรู้ได้เลย!
ไม่ใช่ว่าเพิ่งมารู้ตัวว่าวันหนึ่งต้องตายเพราะไปงานศพหรอกค่ะ แต่ชีวิตคนเราล้วนแต่มีภาระวุ่นวายยุ่งเหยิง ไม่มากก็น้อยด้วยกันทั้งนั้น หลายๆ ครั้งก็วุ่นเสียจนลืมความตายของตัวเองเสียสนิท...มางานศพเมื่อไหร่ก็ได้ทอดถอนใจ ปลงสังเวชชีวิตของคนเราเสียที
ร่างที่นอนหงายหลับตา ยื่นมือให้รดน้ำคล้ายจะบอกกล่าวว่า เคยกระเสือกกระสนไขว่คว้ามาสารพัดชีวิต ทั้งเหน็ดเหนื่อยยากเข็ญ แม้แต่ทรยศคดโกง เอารัดเอาเปรียบหรือเคยเบียดเบียนใครมา แต่เดี๋ยวนี้จบสิ้น...ได้พักผ่อนนอนหลับไปตลอดกาล
มือที่เคยกำแน่นเมื่อแรกเกิด บ่งบอกว่าจะกำเกร็งสรรพสิ่งมาชั่วชีวิต ก็แบออกให้เห็นทั่วกันว่าไม่ได้นำสิ่งใดติดไปโลกหน้าแม้แต่สิ่งเดียว!
งานศพล้วนแต่ทำให้ได้แง่คิดและมุมมองดีๆ สำหรับชีวิตเสมอมา...
จนกระทั่งถึงงานสวดศพครั้งล่าสุด หัวหน้ากองชื่อคุณทนงเสียชีวิตด้วยมะเร็งตับก่อนจะเกษียณราว 3 ปี รุ่นราวคราวเดียวกับดิฉัน แต่หัวหน้ากองเคยเล่าว่าตัวเองใช้ชีวิตสิ้นเปลืองมาตั้งแต่สมัยหนุ่ม หรือเสเพลทั้งเหล้า บุหรี่ เรียกว่าสุรา นารี พาชี กีฬาบัตร ครบเครื่อง ไม่รู้ว่ารอดมาจนถึงห้าสิบกว่าๆ ได้ยังไง?
พวกรุ่นน้องๆ ในที่ทำงานเคยเล่าว่า หัวหน้าเป็นทั้งโรคเบาหวาน ตับแข็ง ความดันเลือดสูง ไทรอยด์อักเสบ ระยะหลังๆ มีอาการหลงๆ ลืมๆ แต่ยังไม่ถึงขั้นอัลไซเมอร์ แม้ว่าจะเลิกเหล้าและบุหรี่มาหลายปีแล้ว แต่พิษร้ายก็สะสมอยู่ร่างกายเพียบแปล้
ยกเว้นเรื่องนี้แล้ว หัวหน้าทนงถือว่าเป็นเจ้านายที่ลูกน้องรักมาก สวดศพวันแรกก็มีแขกแน่นจนล้นศาลา ดิฉันไปเร็วจึงได้ที่นั่งด้านในแถวกลางๆ มองดูพวงหรีดทยอยกันมาไม่หยุด ท่ามกลางกลิ่นธูปอวลกรุ่น
ขณะที่พระสวดอภิธรรมอยู่นั้น ผู้หญิงสูงวัยที่นั่งพนมมืออยู่ข้างๆ ดิฉันก็พูดขึ้นว่า...ขอบใจนะที่อุตส่าห์มางานผม! เล่นเอาดิฉันหันขวับไปพบเธอที่กำลังจ้องมองดิฉันเช่นกัน
"ผมเอง...ทนงไงล่ะ? ขอบคุณนะที่มางานศพผม!"
ผู้หญิงร่างท้วมคนนั้นอ้าปากค้าง หน้าซีดเผือด ดิฉันเองก็คงไม่แตกต่างกันขณะที่หันขวับไปทางโลงศพที่ตั้งเด่นอยู่เบื้องหน้า คุณทนงในภาพถ่ายยิ้มเศร้าๆ ดูเหมือนจะพยักหน้านิดๆ เป็นการอำลา ในบรรยากาศที่เยือกเย็นจนขนลุกซ่าไปทั้งตัว
ก่อนจะกลับ ขณะที่ยกมือไหว้โลงศพนั้น ดิฉันอดนึกไม่ได้ว่า...ถ้าวันหนึ่งตัวเองถึงเวลาไปนอนในนั้น จะมีโอกาสได้มาขอบอกขอบใจแขกเหรื่อที่มาร่วมงานเราหรือเปล่าหนอ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 6 มิถุนายน 2551
05 พฤษภาคม 2560
มอเตอร์ไซค์สยอง
"ชูชีพ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้วยขวาง
ใครว่าคนไม่กลัวผีมักจะไม่โดนผีหลอก! แหม...ผมคนหนึ่งล่ะครับที่ขอค้านว่าไม่จริงเสมอไป ถ้าไม่เจอะเจอกับตัวเองคงไม่กล้าพูด แต่ผมขอยืนยันจริงๆ เอ้า ว่าคนที่ไม่กลัวผีอย่างผมนี่แหละที่โดนผีหลอกมาอานไปเลย!
ไม่รู้ว่าพวกภูตผีปีศาจมันจะจองล้างจองผลาญอะไรผมนักหนา ตั้งแต่เด็กยันโตเป็นหนุ่มอายุอานามเลยเบญจเพสมาหลายปีนี่ ผมโดนผีหลอกหลอนไม่รู้ว่ากี่หนต่อกี่หน
คิดอีกที พวกผีสางอีนางโกงมันอาจจะเกิดความพิศวาสผมเป็นพิเศษก็ได้มั้ง? ถึงได้ขยันมาหลอกหลอนซะจริง ตรงข้ามกับไอ้แจ้วเพื่อนผมที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ บ้านใกล้กัน โตขึ้นก็ทำงานบริษัทใกล้ๆ กันแถวสะพานควาย...ไอ้นี่มีนิสัยแปลกอย่างตรงที่...ขึ้นชื่อว่าคนแล้วไม่มีกลัว แต่กลัวผีจับจิตจับใจตั้งแต่เด็กจนโตแล้วยังสังกัดบริษัทปอดอ้า-ตาแหกไม่เลิกรา
มันให้เหตุผลกับผมว่า
"คนเราสองมือสองตีนเหมือนกันกูจะไปกลัวทำไม? แต่ขึ้นชื่อว่าผีแล้ว...โธ่! ขนาดนึกถึงกูยังขนลุก มึงคิดดูซีวะว่ามันจะมีกี่มือกี่ตีนก็ไม่รู้ แถมหายตัวได้อีกต่างหาก! พอโผล่มาแบบตากลวงโบ๋ หัวเราะแหบโหย จะเอาอะไรไปสู้กับมันวะ?"
ทั้งๆ ที่กลัวผีสุดขีด แต่ไอ้แจ้วไม่เคยโดนผีหลอกสักครั้งเดียว!
แต่ไอ้แจ้วคนกลัวผี กับผมผู้ไม่หวั่นเกรงภูตผีต้องมาโดนผีหลอกพร้อมๆ กัน...ขนาดว่าไม่กลัวๆ ผมยังต้องยอมรับว่ารายการนี้มันหลอนสุดขีดคลั่งจริงๆ เอ้า! นึกถึงผีที่เคยมาหลอกหลอนผมในอดีตน่ะ กลายเป็นผีเด็กๆ ไปเลย
เรื่องเป็นยังงี้ครับ!
บ้านเราอยู่ในซอยขวามือของถนนสุทธิสาร จากสะพานควายตรงลิ่วข้ามถนนวิภาวดีฯ ไปหน่อยเดียวก็เลี้ยวขวาเข้าถนนซอย...เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา...เอาเป็นว่าไปทะลุออกข้างโรงนวดโพไซดอน ถนนรัชดา ภิเษกได้ก็แล้วกัน
ย่านนั้นมีตึกรามบ้านเรือน ร้านค้าและอู่รถแท็กซี่ ผู้คนคึ่กๆ ตลอดวันกับครึ่งคืน บ้านผมกับไอ้แจ้วอยู่ช่วงกลางๆ อาศัยมอเตอร์ไซค์ในย่านนั้นเข้าออกมาหลายปี จนรู้จักมักคุ้นกันดีหลายคน บางเย็นก็ตั้งวงกันที่ "วิน" กลางทางนั่นแหละ ผลัดกันเป็นเจ้ามือ ไม่ว่าเหล้าหรือเบียร์ก็ซื้อที่ร้านตรงข้ามได้เลย
พูดถึงวินหรือที่พักก็มีทำเลเหมาะเจาะได้การ!
แคร่ไม้ไผ่เก่าๆ อยู่ตรงหัวมุมทางแยกพอดี ต้นมะขามเฒ่าจากที่ดินว่างๆ ด้านหลังร่มครึ้ม แต่ยังหาสังกะสีเก่าๆ มามุงกันแดดกันฝน ตอนกลางวันคนน้อยก็จอดรถคุยกัน ตกเย็นค่ำก็วิ่งรถแทบไม่ได้หยุด ราว 2-3 ทุ่มก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ถึงผมกับไอ้แจ้วจะทำงานใกล้ๆ กัน แต่ก็ไม่ได้ไปกลับพร้อมกันทุกวันหรอกครับ บางวันเราก็มีนัดกับเพื่อนฝูงที่อื่นมั่ง นัดสาวมั่ง นานๆ ก็เกิดจ๊ะเอ๋กลับบ้านพร้อมกัน หามอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายกลับบ้านคนละคัน
บางทีตอนเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ เราติดต่อกันทางมือถือ ออกมาเดินดูสาวตามร้านสะดวกซื้อ ร้านเสริมสวย บางทีก็โต๋เต๋ไปที่วิน...เล่นหมากฮอสมั่ง สั่งเหล้ามาซดกันมั่ง
น้าชื้น ลุงต่อม พี่เพิก ไอ้เดีย...นักบิดอาชีพพวกนี้ล้วนแต่ชอบพอกับเราทั้งนั้น เห็นหน้าก็พยักหงึก โดดซ้อนท้ายได้เลย เงินทองไม่ต้องพูดถึง แต่ผมกับไอ้แจ้วก็หาทางตอบแทนด้วยการหิ้วเหล้าไปฝาก ถือว่ามิตรจิตมิตรใจไงครับ
วันเกิดเหตุตรงกับวันศุกร์ ฟ้าครึ้มฝนเชียว ตอนผมเลิกงานมาเจอไอ้แจ้วพอดี รถราไม่ว่างสักคัน เลยชวนกันเข้าไปซดเหล้าในร้านลาบ...ฝนเทจั้กๆ ลงมาเหมือนฟ้ารั่ว เคราะห์ดีที่ไม่เข้าบ้านเพราะมีหวังเปียกโชกกลางทาง...จนกระทั่งผ่านไปเกือบสองแบนฝนถึงได้ขาดเม็ด
โชคดีเหลือเชื่อที่เห็นลุงต่อมรถว่างๆ กำลังจะเลี้ยวกลับ ไอ้แจ้วกับผมรีบเข้าซ้อนท้ายสองคน ลุงต่อมบอกว่าทนเอาหน่อยแล้วกันเพราะไม่เหลือคันอื่นแล้ว ถ้าขืนรอก็ต้องเสียเงินค่าตุ๊กตุ๊กหรือแท็กซี่
ผมเพิ่งนึกได้ตอนนั้นเองว่าเราไม่ได้สวมหมวกกันน็อกทั้ง 3 คน!
ปกติก็ไม่ได้สวมกันอยู่แล้ว รถมอเตอร์ไซค์ในตรอกซอยน่ะ ตามถนนใหญ่ก็เห็นบ่อยๆ บางคันที่สาวนั่งซ้อนท้ายเกาะเอวหนุ่ม เด็กๆ กอดเอวพ่อแน่น...ทำไมตำรวจไม่จับก็ไม่รู้? แต่ฝนตกถนนลื่นแบบนี้อดเสียวไส้ไม่ได้หรอกครับ ลุงต่อมแกอายุมากแล้วก็จริง แต่ยังชอบซิ่งไม่แพ้หนุ่มๆ โชคดีที่ไม่เกิดเหตุน่าหวาดเสียว ส่งเราถึงบ้านจนเรียบร้อย
รุ่งขึ้นผมนอนตื่นสายตะวันโด่ง ไอ้แจ้วซีครับที่โทร.มาปลุก บอกข่าวร้ายว่าลุงต่อมรถคว่ำตายเมื่อคืนนี้เอง ผมเด้งผางจากที่นอน หลุดปากว่า...โธ่! เพราะแกมาส่งเราแท้ๆ แต่ไอ้แจ้วพูดเสียงสั่นๆ ว่า ลุงต่อมโดนรถแท็กซี่ชนคอหักตายตั้งแต่ตอนฝนตกหนักเมื่อหัวค่ำแล้ว!
ผมเผ่นไปหาเพื่อนที่บ้านก็เจอมันนั่งรอหน้าตาซีดเซียว...พอรู้แน่ว่าผีลุงต่อมมาส่งเราจริงๆ เล่นเอาผมหวิดจับไข้...ขนหัวลุกอยู่ตั้งหลายวันแน่ะครับ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 5 มิถุนายน 2551
ใครว่าคนไม่กลัวผีมักจะไม่โดนผีหลอก! แหม...ผมคนหนึ่งล่ะครับที่ขอค้านว่าไม่จริงเสมอไป ถ้าไม่เจอะเจอกับตัวเองคงไม่กล้าพูด แต่ผมขอยืนยันจริงๆ เอ้า ว่าคนที่ไม่กลัวผีอย่างผมนี่แหละที่โดนผีหลอกมาอานไปเลย!
ไม่รู้ว่าพวกภูตผีปีศาจมันจะจองล้างจองผลาญอะไรผมนักหนา ตั้งแต่เด็กยันโตเป็นหนุ่มอายุอานามเลยเบญจเพสมาหลายปีนี่ ผมโดนผีหลอกหลอนไม่รู้ว่ากี่หนต่อกี่หน
คิดอีกที พวกผีสางอีนางโกงมันอาจจะเกิดความพิศวาสผมเป็นพิเศษก็ได้มั้ง? ถึงได้ขยันมาหลอกหลอนซะจริง ตรงข้ามกับไอ้แจ้วเพื่อนผมที่คบกันมาตั้งแต่เด็กๆ บ้านใกล้กัน โตขึ้นก็ทำงานบริษัทใกล้ๆ กันแถวสะพานควาย...ไอ้นี่มีนิสัยแปลกอย่างตรงที่...ขึ้นชื่อว่าคนแล้วไม่มีกลัว แต่กลัวผีจับจิตจับใจตั้งแต่เด็กจนโตแล้วยังสังกัดบริษัทปอดอ้า-ตาแหกไม่เลิกรา
มันให้เหตุผลกับผมว่า
"คนเราสองมือสองตีนเหมือนกันกูจะไปกลัวทำไม? แต่ขึ้นชื่อว่าผีแล้ว...โธ่! ขนาดนึกถึงกูยังขนลุก มึงคิดดูซีวะว่ามันจะมีกี่มือกี่ตีนก็ไม่รู้ แถมหายตัวได้อีกต่างหาก! พอโผล่มาแบบตากลวงโบ๋ หัวเราะแหบโหย จะเอาอะไรไปสู้กับมันวะ?"
ทั้งๆ ที่กลัวผีสุดขีด แต่ไอ้แจ้วไม่เคยโดนผีหลอกสักครั้งเดียว!
แต่ไอ้แจ้วคนกลัวผี กับผมผู้ไม่หวั่นเกรงภูตผีต้องมาโดนผีหลอกพร้อมๆ กัน...ขนาดว่าไม่กลัวๆ ผมยังต้องยอมรับว่ารายการนี้มันหลอนสุดขีดคลั่งจริงๆ เอ้า! นึกถึงผีที่เคยมาหลอกหลอนผมในอดีตน่ะ กลายเป็นผีเด็กๆ ไปเลย
เรื่องเป็นยังงี้ครับ!
บ้านเราอยู่ในซอยขวามือของถนนสุทธิสาร จากสะพานควายตรงลิ่วข้ามถนนวิภาวดีฯ ไปหน่อยเดียวก็เลี้ยวขวาเข้าถนนซอย...เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา...เอาเป็นว่าไปทะลุออกข้างโรงนวดโพไซดอน ถนนรัชดา ภิเษกได้ก็แล้วกัน
ย่านนั้นมีตึกรามบ้านเรือน ร้านค้าและอู่รถแท็กซี่ ผู้คนคึ่กๆ ตลอดวันกับครึ่งคืน บ้านผมกับไอ้แจ้วอยู่ช่วงกลางๆ อาศัยมอเตอร์ไซค์ในย่านนั้นเข้าออกมาหลายปี จนรู้จักมักคุ้นกันดีหลายคน บางเย็นก็ตั้งวงกันที่ "วิน" กลางทางนั่นแหละ ผลัดกันเป็นเจ้ามือ ไม่ว่าเหล้าหรือเบียร์ก็ซื้อที่ร้านตรงข้ามได้เลย
พูดถึงวินหรือที่พักก็มีทำเลเหมาะเจาะได้การ!
แคร่ไม้ไผ่เก่าๆ อยู่ตรงหัวมุมทางแยกพอดี ต้นมะขามเฒ่าจากที่ดินว่างๆ ด้านหลังร่มครึ้ม แต่ยังหาสังกะสีเก่าๆ มามุงกันแดดกันฝน ตอนกลางวันคนน้อยก็จอดรถคุยกัน ตกเย็นค่ำก็วิ่งรถแทบไม่ได้หยุด ราว 2-3 ทุ่มก็แยกย้ายกันกลับบ้าน
ถึงผมกับไอ้แจ้วจะทำงานใกล้ๆ กัน แต่ก็ไม่ได้ไปกลับพร้อมกันทุกวันหรอกครับ บางวันเราก็มีนัดกับเพื่อนฝูงที่อื่นมั่ง นัดสาวมั่ง นานๆ ก็เกิดจ๊ะเอ๋กลับบ้านพร้อมกัน หามอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายกลับบ้านคนละคัน
บางทีตอนเย็นวันเสาร์-อาทิตย์ เราติดต่อกันทางมือถือ ออกมาเดินดูสาวตามร้านสะดวกซื้อ ร้านเสริมสวย บางทีก็โต๋เต๋ไปที่วิน...เล่นหมากฮอสมั่ง สั่งเหล้ามาซดกันมั่ง
น้าชื้น ลุงต่อม พี่เพิก ไอ้เดีย...นักบิดอาชีพพวกนี้ล้วนแต่ชอบพอกับเราทั้งนั้น เห็นหน้าก็พยักหงึก โดดซ้อนท้ายได้เลย เงินทองไม่ต้องพูดถึง แต่ผมกับไอ้แจ้วก็หาทางตอบแทนด้วยการหิ้วเหล้าไปฝาก ถือว่ามิตรจิตมิตรใจไงครับ
วันเกิดเหตุตรงกับวันศุกร์ ฟ้าครึ้มฝนเชียว ตอนผมเลิกงานมาเจอไอ้แจ้วพอดี รถราไม่ว่างสักคัน เลยชวนกันเข้าไปซดเหล้าในร้านลาบ...ฝนเทจั้กๆ ลงมาเหมือนฟ้ารั่ว เคราะห์ดีที่ไม่เข้าบ้านเพราะมีหวังเปียกโชกกลางทาง...จนกระทั่งผ่านไปเกือบสองแบนฝนถึงได้ขาดเม็ด
โชคดีเหลือเชื่อที่เห็นลุงต่อมรถว่างๆ กำลังจะเลี้ยวกลับ ไอ้แจ้วกับผมรีบเข้าซ้อนท้ายสองคน ลุงต่อมบอกว่าทนเอาหน่อยแล้วกันเพราะไม่เหลือคันอื่นแล้ว ถ้าขืนรอก็ต้องเสียเงินค่าตุ๊กตุ๊กหรือแท็กซี่
ผมเพิ่งนึกได้ตอนนั้นเองว่าเราไม่ได้สวมหมวกกันน็อกทั้ง 3 คน!
ปกติก็ไม่ได้สวมกันอยู่แล้ว รถมอเตอร์ไซค์ในตรอกซอยน่ะ ตามถนนใหญ่ก็เห็นบ่อยๆ บางคันที่สาวนั่งซ้อนท้ายเกาะเอวหนุ่ม เด็กๆ กอดเอวพ่อแน่น...ทำไมตำรวจไม่จับก็ไม่รู้? แต่ฝนตกถนนลื่นแบบนี้อดเสียวไส้ไม่ได้หรอกครับ ลุงต่อมแกอายุมากแล้วก็จริง แต่ยังชอบซิ่งไม่แพ้หนุ่มๆ โชคดีที่ไม่เกิดเหตุน่าหวาดเสียว ส่งเราถึงบ้านจนเรียบร้อย
รุ่งขึ้นผมนอนตื่นสายตะวันโด่ง ไอ้แจ้วซีครับที่โทร.มาปลุก บอกข่าวร้ายว่าลุงต่อมรถคว่ำตายเมื่อคืนนี้เอง ผมเด้งผางจากที่นอน หลุดปากว่า...โธ่! เพราะแกมาส่งเราแท้ๆ แต่ไอ้แจ้วพูดเสียงสั่นๆ ว่า ลุงต่อมโดนรถแท็กซี่ชนคอหักตายตั้งแต่ตอนฝนตกหนักเมื่อหัวค่ำแล้ว!
ผมเผ่นไปหาเพื่อนที่บ้านก็เจอมันนั่งรอหน้าตาซีดเซียว...พอรู้แน่ว่าผีลุงต่อมมาส่งเราจริงๆ เล่นเอาผมหวิดจับไข้...ขนหัวลุกอยู่ตั้งหลายวันแน่ะครับ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 5 มิถุนายน 2551
04 พฤษภาคม 2560
ห้องสยองขวัญ
"แมร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องผีสิง
บ้านของหนูอยู่ปราณบุรี แต่หนูสอบเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฏได้ที่กรุงเทพฯ แม่ฝากให้หนูอยู่ที่บ้านผู้มีพระคุณ...คือนายเก่าของแม่น่ะค่ะ ทีแรกแม่จะหาหอพักให้หนูอยู่ แต่เผอิญคุณป้าเรวดีท่านนี้ทราบเข้า เลยบอกว่าที่บ้านท่านมีห้องว่างอยู่พอดี
ท่านอยากให้หนูไปพักอาศัยในระหว่างเรียนที่กรุงเทพฯ จะได้ไม่เปลืองค่าใช้จ่าย
ห้องที่ว่านี้สวยนะคะ ไม่ใช่ไม่สวย เดิมเป็นห้องของหลานสาวของคุณป้าเรวดี แต่ตอนนี้เธอไม่อยู่แล้ว
"ไปไหนคะ?" หนูหลุดปากถามกับคุณป้าผู้ใจดี
"ไปอยู่เมืองนอกจ้ะ" ท่านตอบเรียบๆ ซึ่งหนูก็ไม่เอะใจเลยแม้แต่น้อย
บ้านคุณป้าเรวดีอยู่สบายมาก เป็นบ้านเก่าแก่สองชั้น ท่านอยู่กับหลานสองคนเองค่ะ นอกนั้นเป็นคนรับใช้ คุณป้าเล่าว่าเมื่อหลานไม่อยู่...ท่านใช้คำว่า "ไม่อยู่" นะคะ หนูขอย้ำตรงนี้เพราะมีความหมายมาก...
เมื่อหลานไม่อยู่ คุณป้าก็เหลือตัวคนเดียวจริงๆ ท่านเหงามากเพราะบ้านทั้งหลังต้องนอนคนเดียวในห้องหนึ่ง ส่วนพวกสาวใช้ก็มีเรือนพักอยู่ต่างหาก
คุณป้าให้กุญแจบ้านและกุญแจห้องไว้กับหนู ซึ่งหนูต้องไม่ทำหายเป็นอันขาด! หนูจะกลับค่ำก็ได้ ท่านไม่ว่า ขอให้โทรศัพท์มารายงานว่าจะกลับเมื่อไหร่ และไขประตูบ้านเข้ามาเอง...หนูรู้สึกเหมือนเป็นหลานท่านจริงๆ
เคยถามคุณป้าว่าหลานชื่ออะไร? คำตอบคือ "ชลลดา" เพราะมากนะคะ!
ที่หนูอยากรู้และอยากให้ท่านเล่าเรื่องของเธอให้ฟัง ก็เพราะหนูมาขออาศัยอยู่ในห้องของเธอไงคะ...และหนูก็ทราบว่า "คุณชล" อายุเท่าหนูเป๊ะเลย! เธอเป็นลูกของลูกสาวคุณป้า ซึ่งมีร้านอาหารไทยอยู่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น คุณป้าเรวดีเลี้ยงคุณชลลดามาตั้งแต่เกิด ท่านรักของท่านมาก
ห้องคุณชลลดาทาสีชมพูอ่อน คุณป้าเคยพูดตลกๆ ว่า
"รู้มั้ยห้องสีชมพูน่ะยุงไม่กัด ยุงมันกลัวสีชมพู"
ในห้องนี้มีรูปของคุณชลลดาด้วยค่ะ เธอสวยเชียวละ หนูตั้งไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่ได้เก็บลงลิ้นชัก เพราะหนูมาคิดว่าตัวเองแค่มาขออาศัย ห้องนี้น่ะของคุณชลลดา! หนูต้องเคารพสถานที่ จริงไหมคะ?
แต่มันไม่แค่นั้นซีคะ หนูแปลกใจสายตาของตัวเองเวลาส่องกระจก สายตาหนูเพี้ยนไป หรือกระจกมันหลอกก็ไม่รู้ เพราะหน้าตาของหนูแปลกๆ ไป ไม่เหมือนตัวหนูเองเลย!
พออยู่ได้ครบสัปดาห์ ความฝันก็เริ่มน่ากลัวขึ้น...
คืนหนึ่ง ขณะที่รู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น มีผู้หญิงมานั่งข้างเตียง เธอเอียงคอมองมาแบบยิ้มๆ ตอนนั้นหนูรู้สึกเปลี้ยๆ แขนขาอ่อนแรงไปหมด แต่ก็พยายามเพ่งให้ชัดๆ และเห็นถนัดตาว่าเธอคือคุณชลลดานั่นเอง!
ใจหนึ่งหนูคิดว่า...เอ๊ะ! เธอกลับมาแล้วเรอะ ถึงได้มานั่งตรงนี้? แต่อีกใจก็เริ่มหวาดๆ มันเป็นเรื่องผิดปกติมากๆ คือ...มันชักยังไงๆ แล้วซิ! คุณชลลดาบอกว่าหนูน่ารัก และพูดต่ออย่างน่าขนลุกว่า "ไปอยู่ด้วยกันมั้ย?"
ทันใดนั้นเอง ประโยคนี้ทำให้หนูนึกได้ว่า เธอต้องไม่ใช่คนที่ยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ เธอถามหนูแบบนี้ได้ไง?
โดยฉับพลัน หน้าของเธอเปลี่ยนไป...จากสาวสวยกลายเป็นใบหน้าของคนตาย...มันซีด แห้ง ปากดำ อ้าปากหวอ...ดวงตาลืมค้างแต่ไร้แวว!
หนูร้องกรี๊ดแล้วสะบัดหลุดจากอาการหนักๆ ไปทั้งร่างคล้ายผีอำ ทันที่ขยับแขนได้ หนูก็รีบเปิดไฟหัวเตียง...อากาศเย็นยะเยือกจนขนลุกซู่ ห้องทั้งห้องดูหลอนมาก หนูรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในห้องนี้ด้วย!!
ใครจะนอนต่อล่ะคะ? หนูถลันออกจากห้องลงไปที่เรือนคนใช้ ไปเคาะประตูพี่สมใจ เธอเปิดรับหนูแล้วพูดว่า "โดนแล้วสิ?!"
หนูไม่โกรธคุณป้าเรวดีหรอกค่ะ สงสารท่านด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องขอกราบลาไปหาหอพักราคาไม่แพงนักดีกว่า...
หนูเข้าใจว่าท่านเหงา และอยากให้หนูไปเป็นตัวแทนหลานท่าน...
แหม! เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ คนตายแล้วชวนไปอยู่ด้วย มันน่ากลัวน้อยอยู่เรอะคะนั่น! ถึงยังไงทุกวันนี้หนูก็ยังไปเยี่ยมคุณป้าเรวดีเสมอค่ะ เพียงแต่ไม่ย่างกรายไปที่ห้องนั้น...แม้แต่จะเงยหน้ามองขึ้นไปที่หน้าต่างยังไม่กล้าเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 4 มิถุนายน 2551
บ้านของหนูอยู่ปราณบุรี แต่หนูสอบเข้ามหาวิทยาลัยราชภัฏได้ที่กรุงเทพฯ แม่ฝากให้หนูอยู่ที่บ้านผู้มีพระคุณ...คือนายเก่าของแม่น่ะค่ะ ทีแรกแม่จะหาหอพักให้หนูอยู่ แต่เผอิญคุณป้าเรวดีท่านนี้ทราบเข้า เลยบอกว่าที่บ้านท่านมีห้องว่างอยู่พอดี
ท่านอยากให้หนูไปพักอาศัยในระหว่างเรียนที่กรุงเทพฯ จะได้ไม่เปลืองค่าใช้จ่าย
ห้องที่ว่านี้สวยนะคะ ไม่ใช่ไม่สวย เดิมเป็นห้องของหลานสาวของคุณป้าเรวดี แต่ตอนนี้เธอไม่อยู่แล้ว
"ไปไหนคะ?" หนูหลุดปากถามกับคุณป้าผู้ใจดี
"ไปอยู่เมืองนอกจ้ะ" ท่านตอบเรียบๆ ซึ่งหนูก็ไม่เอะใจเลยแม้แต่น้อย
บ้านคุณป้าเรวดีอยู่สบายมาก เป็นบ้านเก่าแก่สองชั้น ท่านอยู่กับหลานสองคนเองค่ะ นอกนั้นเป็นคนรับใช้ คุณป้าเล่าว่าเมื่อหลานไม่อยู่...ท่านใช้คำว่า "ไม่อยู่" นะคะ หนูขอย้ำตรงนี้เพราะมีความหมายมาก...
เมื่อหลานไม่อยู่ คุณป้าก็เหลือตัวคนเดียวจริงๆ ท่านเหงามากเพราะบ้านทั้งหลังต้องนอนคนเดียวในห้องหนึ่ง ส่วนพวกสาวใช้ก็มีเรือนพักอยู่ต่างหาก
คุณป้าให้กุญแจบ้านและกุญแจห้องไว้กับหนู ซึ่งหนูต้องไม่ทำหายเป็นอันขาด! หนูจะกลับค่ำก็ได้ ท่านไม่ว่า ขอให้โทรศัพท์มารายงานว่าจะกลับเมื่อไหร่ และไขประตูบ้านเข้ามาเอง...หนูรู้สึกเหมือนเป็นหลานท่านจริงๆ
เคยถามคุณป้าว่าหลานชื่ออะไร? คำตอบคือ "ชลลดา" เพราะมากนะคะ!
ที่หนูอยากรู้และอยากให้ท่านเล่าเรื่องของเธอให้ฟัง ก็เพราะหนูมาขออาศัยอยู่ในห้องของเธอไงคะ...และหนูก็ทราบว่า "คุณชล" อายุเท่าหนูเป๊ะเลย! เธอเป็นลูกของลูกสาวคุณป้า ซึ่งมีร้านอาหารไทยอยู่ในสหรัฐอเมริกาเท่านั้น คุณป้าเรวดีเลี้ยงคุณชลลดามาตั้งแต่เกิด ท่านรักของท่านมาก
ห้องคุณชลลดาทาสีชมพูอ่อน คุณป้าเคยพูดตลกๆ ว่า
"รู้มั้ยห้องสีชมพูน่ะยุงไม่กัด ยุงมันกลัวสีชมพู"
ในห้องนี้มีรูปของคุณชลลดาด้วยค่ะ เธอสวยเชียวละ หนูตั้งไว้บนโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่ได้เก็บลงลิ้นชัก เพราะหนูมาคิดว่าตัวเองแค่มาขออาศัย ห้องนี้น่ะของคุณชลลดา! หนูต้องเคารพสถานที่ จริงไหมคะ?
แต่มันไม่แค่นั้นซีคะ หนูแปลกใจสายตาของตัวเองเวลาส่องกระจก สายตาหนูเพี้ยนไป หรือกระจกมันหลอกก็ไม่รู้ เพราะหน้าตาของหนูแปลกๆ ไป ไม่เหมือนตัวหนูเองเลย!
พออยู่ได้ครบสัปดาห์ ความฝันก็เริ่มน่ากลัวขึ้น...
คืนหนึ่ง ขณะที่รู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่น มีผู้หญิงมานั่งข้างเตียง เธอเอียงคอมองมาแบบยิ้มๆ ตอนนั้นหนูรู้สึกเปลี้ยๆ แขนขาอ่อนแรงไปหมด แต่ก็พยายามเพ่งให้ชัดๆ และเห็นถนัดตาว่าเธอคือคุณชลลดานั่นเอง!
ใจหนึ่งหนูคิดว่า...เอ๊ะ! เธอกลับมาแล้วเรอะ ถึงได้มานั่งตรงนี้? แต่อีกใจก็เริ่มหวาดๆ มันเป็นเรื่องผิดปกติมากๆ คือ...มันชักยังไงๆ แล้วซิ! คุณชลลดาบอกว่าหนูน่ารัก และพูดต่ออย่างน่าขนลุกว่า "ไปอยู่ด้วยกันมั้ย?"
ทันใดนั้นเอง ประโยคนี้ทำให้หนูนึกได้ว่า เธอต้องไม่ใช่คนที่ยังมีชีวิตอยู่แน่ๆ เธอถามหนูแบบนี้ได้ไง?
โดยฉับพลัน หน้าของเธอเปลี่ยนไป...จากสาวสวยกลายเป็นใบหน้าของคนตาย...มันซีด แห้ง ปากดำ อ้าปากหวอ...ดวงตาลืมค้างแต่ไร้แวว!
หนูร้องกรี๊ดแล้วสะบัดหลุดจากอาการหนักๆ ไปทั้งร่างคล้ายผีอำ ทันที่ขยับแขนได้ หนูก็รีบเปิดไฟหัวเตียง...อากาศเย็นยะเยือกจนขนลุกซู่ ห้องทั้งห้องดูหลอนมาก หนูรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างอยู่ในห้องนี้ด้วย!!
ใครจะนอนต่อล่ะคะ? หนูถลันออกจากห้องลงไปที่เรือนคนใช้ ไปเคาะประตูพี่สมใจ เธอเปิดรับหนูแล้วพูดว่า "โดนแล้วสิ?!"
หนูไม่โกรธคุณป้าเรวดีหรอกค่ะ สงสารท่านด้วยซ้ำ แต่ก็ต้องขอกราบลาไปหาหอพักราคาไม่แพงนักดีกว่า...
หนูเข้าใจว่าท่านเหงา และอยากให้หนูไปเป็นตัวแทนหลานท่าน...
แหม! เกือบไปแล้วมั้ยล่ะ คนตายแล้วชวนไปอยู่ด้วย มันน่ากลัวน้อยอยู่เรอะคะนั่น! ถึงยังไงทุกวันนี้หนูก็ยังไปเยี่ยมคุณป้าเรวดีเสมอค่ะ เพียงแต่ไม่ย่างกรายไปที่ห้องนั้น...แม้แต่จะเงยหน้ามองขึ้นไปที่หน้าต่างยังไม่กล้าเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 31 - ฉบับวันที่ 4 มิถุนายน 2551
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)