"วรินทร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหน้ากากผีสิง
เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อเก้ง อาชีพรับราชการ แต่งานอดิเรกคือสะสมของเก่าเอาไว้แทบเต็มบ้าน ทั้งปากกา ไฟแช็ก ขวดเหล้า ปฏิทิน วิทยุ โทรทัศน์ และเครื่องเล่นวิดีโอรุ่นแรกๆ
เชิงบันไดมีรูปปั้นนางเงือกกับกินรีอยู่ข้างสระบัว มีสิงโตโลหะนั่งเด่นเป็นสง่าแผงคอเป็นวงกลมคล้ายดวงอาทิตย์ เก้งบอกว่าเขาเรียก "สิงโตรมเขียว" เป็นของเทียมที่ซื้อมาจากพนมเปญเมื่อสิบกว่าปีก่อน
ถ้าไม่บอกก็ต้องนึกว่าเป็นของเก่าล้ำค่าจริงๆ
เข้าไปในบ้านก็มีบรรยากาศคล้ายย้อนเวลาหาอดีต ดูสงบเยือกเย็นชวนให้วังเวงใจ...โดยเฉพาะหน้ากากต่างๆ ที่ติดอยู่ตามเสาและข้างฝา!
มีทั้งหน้ากากธรรมดากับแบบสวมหัว แป๊ะยิ้มที่ยิ้มแป้นจนน่าขนลุก ผีตาโขนที่เขาถือกัน แต่เพื่อนไม่ถือ หน้ากากไม้เรื่องรามเกียรติ์ของชวา รูปยักษ์ทาสีแดง-ดำน่าสยอง หน้ากากอินคาและหน้ากากอินเดียนแดง หน้ากากตัวตลกกำลังหัวเราะ-ร้องไห้ อย่างที่นิยมติดกันตามหน้าโรงหนังสมัยก่อน แม้แต่หน้ากากโจรสลัดก็มี
หน้ากากผีตาโบ๋ทำด้วยกระดาษที่พวกเด็กๆ ชอบซื้อมาคาดหน้าหลอกกัน หน้ากากพัมกิ้นในคืนฮัลโลวีน หน้ากากสีขาวทาปากแดงของเวนิซ หน้ากากเลียนแบบคาบูกิ-โนะ ละครใบ้ของญี่ปุ่น ถึงจะดูสะสวยแต่เมื่อมองนานๆ ก็น่าขนลุกขนพองบอกไม่ถูก
เวลาผมไปหาเก้งคนเดียวบ้าง พาลูกเมียไปด้วยบ้าง ระหว่างนั่งคุยกันเพลินๆ ก็มักจะรู้สึกว่าหน้ากากนับสิบๆ ในห้องนั้นกำลังจ้องมองมาที่ผมเหมือนมีชีวิตวิญญาณจริงๆ
น่าแปลกอย่างที่เจ้าต้น-ลูกชายวัย 10 ขวบของผม นอกจากจะเดินไปดู แถมหยุดเงยหน้าจ้องมองหน้ากากเหล่านั้นอย่างสนอกสนใจ ผมเองด้วยซ้ำที่รู้สึกหวาดๆ ชอบกล บางครั้งก็แว่วเสียงใครถอนใจยาวด้วยความเหน็ดเหนื่อย จนต้องหันขวับไปมองแต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ
เก้งเล่าว่าภรรยาเคยพาเพื่อนผู้หญิงรุ่นน้องมาบ้าน ตอนแรกๆ เห็นเข้าถึงกับร้องวี้ดว้ายไปหลายคน หน้าซีดเผือดเหมือนโดนผีหลอกกลางวันแสกๆ
"ผมเองก็เคยเห็นนะ" เก้งยอมรับ "แต่คิดว่าคงตาฝาดหรือหูแว่วไปเอง หน้ากากเวนิซยิ้มกว้างกว่าเดิม ได้ยินเสียงคำรามเบาๆ จากหน้ากากทศกัณฐ์ของชวา แป๊ะยิ้มก็ดันหัวเราะคิกคัก หน้ากากผีตาโบ๋ก็อ้าปากจนฟันกว้างถึงกกหูแน่ะ...ของในบ้านเราแท้ๆ จะกลัวมันทำไม"
วันหนึ่งก็เกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้น เมื่อผมพาลูกเมียไปเที่ยวก่อนจะแวะหาเก้ง...ขณะที่เรานั่งซดเบียร์กันในห้องรับแขก พูดคุยกันเพลิดเพลิน ส่วนเมียเจ้าเก้งพาลูกเมียผมออกไปดูสวนดอกไม้พร้อมขนม และน้ำหวาน แต่แล้วเจ้าต้นก็แอบย่องกลับมาเอียงคอ มองหน้ากากเก่าๆ เหมือนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ผมคุยกับเพื่อน แต่แว่วเสียงลูกชายคุยกับหน้ากากต่างๆ บางทีมีเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังขึ้นมาด้วย...
คืนนั้นกลับบ้านอาบน้ำแล้วก็เข้านอนหลับสนิท จนกระทั่งถูกเขย่าตัวเบาๆ เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นภรรยานั่งหน้าซีดปากสั่น ชี้มือไปทางห้องลูกชาย...หูตาสว่างทันทีเมื่อแว่วเสียงหัวเราะชอบใจดังแว่วมากระทบหู!
เจ้าต้นคุยกับใครกัน?
เรารีบออกไปเคาะประตูเรียก ลูกเปิดรับทันที... ท่ามกลางแสงไฟนั้นภาพของหน้ากากกะโหลกผีวางพิงหมอน จมูกยุบ ตากลวง แสยะยิ้มเห็นฟันขาวเต็มปาก ทำให้ผมปากคอแห้งผากบัดดล...เมียผมปราดเข้าไปในห้อง ถามว่าทำไมถึงขโมยหน้ากากของอาเก้งมา? แต่เจ้าต้นส่ายหน้า ยืนยันว่าไม่ได้ขโมย
"พอเข้าห้องเปิดไฟ ต้นก็เห็นหน้ากากนี่วางพิงหมอนอยู่แล้วฮะ สงสัยเขาจะชอบต้นเลยตามมา แล้วคุยกับต้นด้วย...เหมือนที่เราคุยกันตอนอยู่บ้านอาเก้งเลยฮะแม่"
เรามองสบตากัน กลืนน้ำลาย ผมบอกลูกให้คุยกับหน้ากากอีก พ่ออยากฟัง! แต่เจ้าต้นตอบว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยหน้ากากไม่ยอมพูดหรอก ผมเลยบอกว่า คืนนี้คุยกันให้พอ พรุ่งนี้จะได้เอาไปคืนอาเก้ง!
นึกกังวลเรื่องมีลูกมือไวใจเร็ว ถ้ายังไม่เลิกนิสัยแบบนี้เติบโตขึ้นมีหวังได้พบกับความเดือดร้อนแน่นอน
รุ่งเช้า ผมรีบโทร.ไปหาเพื่อน ขอโทษขอโพยที่ลูกชายดอดคว้าหน้ากากผีมา เย็นนี้เลิกงานจะแวะเอาไปคืนให้ที่บ้าน แต่เก้งกลับหัวเราะชอบใจ
"หน้ากากผียังยิ้มปากฉีกแหงแก๋อยู่นี่เอง...แวะมาซดเบียร์กันได้เลย"
ผมตะลึงพรึงเพริด รีบวิ่งไปที่ห้องเจ้าต้น แต่ไม่เห็นหน้ากากนั่นแล้ว ลูกชายบอกหน้าตาเฉยว่า...เขารีบกลับไปตั้งแต่ตอนเช้ามืดแล้ว พ่อไม่ต้องกลัวหรอก! แต่ผมเข่าอ่อน...กลัวว่าหน้ากากผีจะดอดมาคุยกับเจ้าต้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้น่ะซีครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น