ชาวสวน เล่าเรื่องขนหัวลุกของผีแขวนคอ
สมัยเด็กผมอยู่ที่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ใกล้ๆ กรุงเทพฯ นี่เอง พวกรุ่นพี่ที่เรียนสูงๆ แบบเช้าไป-เย็นกลับน่ะ ต้องตื่นตั้งแต่ตี 4 อาบน้ำแต่งตัวกินข้าวแล้วออกจากบ้านไม่เกินตี 5 ต้องใช้เวลาเดินทางอีก 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงกรุงเทพฯ
พวกเด็กรุ่นไล่เลี่ยกับผมหลายคนไปเรียนต่อที่ตัวจังหวัด โดยพ่อแม่พาไปฝากเป็นอารามบอย ให้อยู่วัดกับหลวงลุงหลวงน้าหลวงอา เช่น ที่วัดเขมา วัดท้ายเมือง วัดบางขวาง เป็นต้น
บ้านเราอยู่ริมคลอง ผมกับพี่ชายเช้าขึ้นมาเราก็ช่วยกันพายเรือบดไปโรงเรียน พ่อบอกว่าเรียน จบ ม.6 ก็พอ โตขึ้นจะได้ช่วยทำงานในสวนทุเรียนซะเลย!
ชาวสวนทำงานหนักครับ ไหนจะปลูกต้นไม้ ดูแลรักษา ถางหญ้า ลอกท้องร่อง...โอ๊ย! สารพัดละ ลูกจ้างก็ไม่มีหรอก สวนใครสวนมัน ถึงจะเป็นญาติๆ กันแต่ก็ต้องคอยดูแลเรือกสวนของตน...ต่างคนต่างเหนื่อยกันทั้งนั้น
ถ้ามีผลไม้เยอะๆ ก็ขนใส่เรือแจวไปขาย เช่น ทุเรียน ส้ม กล้วย มะละกอ...แจวกันไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมงกว่าจะถึงกรุงเทพฯ ขากลับก็ซื้อเครื่องดองของเค็มกับผักต่างๆ มากินมาขายที่บางใหญ่...ถึงจะดินดีน้ำดี แต่ชาวบ้านส่วนมากไม่นิยมปลูกผักกันหรอกครับ
ถึงงานเทศกาลหรืองานวัด งานบวช งานแต่งงานนี่สนุกนักเชียว...พวกผู้ใหญ่ไปช่วยงาน พวกเด็กๆ วิ่งกันครืน อาหารการกินกับขนมนมเนยเหลือเฟือ เล่นเอาอิ่มตื้อท้องกางไปตามๆ กัน
สมัยก่อนการรดน้ำสังข์ในพิธีแต่งงานยังไม่มี แต่มีการ ซัดน้ำให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวชนิดที่ซัดกันจริงๆ จนเปียกปอนชุ่มโชกไปทั้งตัว ในวันสุกดิบจะใช้เครื่องสายมโหรีขับกล่อมไพเราะเสนาะหู บางตำบลก็มี ทำขวัญหอหรือเรียกว่า กล่อมหอ?
ตำบลบางม่วงน่ะเป็นแหล่งรวมดนตรีไทยที่มีชื่อเสียงหลายวง เอ่ยถึงครูหยด ครูเฉลิม ครูกาหลง คนเก่าๆ รู้จักดีทั้งนั้น แม้ว่าเดี๋ยวนี้พวกท่านจะสิ้นบุญไปแล้ว แต่ยังมีทายาทสืบทอด รับแสดงในงานต่างๆ เรื่อยมา
วันดีคืนดีก็เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้นในสวนใกล้ๆ กับบ้านผม!
พี่เพ็ญเป็นสาวสวย พูดจาอ่อนหวาน ช่วยพ่อแม่ทำงานขยันขันแข็ง มีข้อเสียอยู่ที่เป็นคนใจน้อย อะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็น้ำตาร่วงแล้ว...กำลังรักใคร่กับพี่มากเป็นที่รู้กัน
ความที่นิสัยใจน้อย ทำให้มีเรื่องกะบึงกะบอน เง้างอด แสนงอนเป็นช้อนหอยอยู่บ่อยๆ พี่มากต้องเป็นฝ่ายงอนง้อขอคืนดีเป็นประจำ
จนกระทั่งเกิดเหตุใหญ่โตเพราะนิสัยใจน้อย ขี้หึงแบบไม่ลืมหูลืมตาของพี่เพ็ญนี่เอง!
วันหนึ่งเห็นพี่มากพูดคุยหัวเราะต่อกระซิกกับสาวแปลกหน้าที่มาจากจังหวัด...แค่นั้นพี่เพ็ญก็ร้องไห้โฮวิ่งกลับบ้าน ตกดึกก็ออกไปแขวนคอตายที่ต้นทุเรียน ทั้งที่สาวคนนั้นมาหาเพื่อนแต่ไปไม่ถูกเลยถามทางพี่มากเท่านั้นแหละ!
คราวนี้ก็มีเรื่องซีครับ แม้ว่าร่างกายพี่เพ็ญจะถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้ว แต่หลายๆ คนยืนยันว่าโดนผีแกหลอกเข้าจังๆ
ลุงหนิดพายเรือผ่านท่าน้ำตอนค่ำ เห็นผู้หญิงนั่งอยู่บนขั้นบันไดตอนล่าง ติดกับสะพานแคบๆ สำหรับเทียบเรือ นึกว่าป้าพริ้ง-แม่พี่เพ็ญ เลยร้องถามยั่วเย้าว่าค่ำมืดแล้วยังไม่อาบน้ำอีกหรือ? ไม่กลัวไอ้เข้หรือไง...
เสียงลุงหนิดขาดหายเมื่อเห็นหญิงนั้นเงยหน้าช้าๆ ก่อนจะหันหลังขึ้นบันไดไป...
ไม่ใช่ป้าพริ้งแต่เป็นพี่เพ็ญน่ะเอง! หมาเจ้ากรรมโก่งคอหอนโจ๋ ลุงหนิดตาลีตาเหลือกจ้ำพายจนน้ำบานแทบไม่คิดชีวิต แผดร้องโหวกโหวยแต่ว่า...ผีหลอกโว้ย ผีหลอกแล้ว...ถึงบ้านก็นอนจับไข้หนักอยู่ตั้ง 3-4 วัน
ท่าน้ำใกล้กันนั้นมีลูกสาวสองคนชื่อพี่บัวกับพี่บุญ กำลังแรกรุ่นจำเริญวัย ได้ข่าวเรื่องลุงหนิดถูกผีพี่เพ็ญหลอกเอาตอนค่ำ แถมทั้งสองยังสนิทกับพี่เพ็ญอีกด้วย เล่นเอาใจตุ๊มๆ ต้อมๆ รีบลงบันไดอาบน้ำที่ท่าหน้าบ้านตั้งแต่ก่อนค่ำเพื่อความไม่ประมาท
ขณะที่กำลังอาบน้ำสำราญใจ จู่ๆ ก็หนาวเยือกจนแข็งทื่อไปทั้งคู่!
ใครคนหนึ่งยืนแช่น้ำครึ่งตัว แทรกกลาง มีเสียงแหบโหยน่าขนลุกดังขึ้นว่า...ขอฉันอาบน้ำด้วยคน...
สองสาวร้องจ้าผงะหน้า นัยน์ตาเหลือกลาน เมื่อเห็นปีศาจพี่เพ็ญหน้าเขียวอื๋อ ตาถลนออกมานอกเบ้า แย่งกันตะเกียกตะกายขึ้นบันได พลัดตกน้ำลงมาก็ร้องกรี๊ดๆ ก่อนตะกายขึ้นไปใหม่...คนหนึ่งลืมผ้านุ่งไว้ที่บันได ไม่รู้ว่าวิ่งตัวเปล่าๆ เข้าบ้านได้ยังไง?
พ่อแม่พี่เพ็ญต้องไปตามหมอไสยศาสตร์ชาวมอญจากบางกรวยมาทำพิธีที่ต้นทุเรียนอันเป็นจุดตายของลูกสาว...วิญญาณของพี่เพ็ญก็สงบสุขตั้งแต่นั้นมา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2555
28 มิถุนายน 2558
27 มิถุนายน 2558
ปีศาจคะนอง
สาวน้อย เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหอพัก
พ่อแม่เคยเตือนฉันแล้วว่าอย่าไปเช่าห้องอยู่คนเดียว ทางที่ดีคือพักอยู่บ้านญาติดีกว่า อย่างน้อยก็มีผู้ใหญ่คอยดูแล คอยตักเตือนถ้าเห็นอะไรไม่ชอบมาพากลขึ้นน่ะ
อันที่จริงบ้านน้าสาวฉันก็อยู่ที่สะพานใหม่ ใกล้ๆ กับสถานศึกษานะ น้าอิ๋วก็ใจดีมาก ลูกๆ ก็น่ารัก เสียแต่น้าเขยนี่ซีคะ รูปหล่อปากหวานชอบพูดจาเจ๊าะแจ๊ะแบบหมาหยอกห่านอยู่ร่ำไป นัยน์ตาที่มองก็เหมือนตางู ยิ่งตอนดื่มเหล้าด้วยแล้วนัยน์ตายังกะมีมือมาแตะต้องลูบคลำเนื้อตัวยังงั้นแหละค่ะ
นึกถึงแล้วขนลุกขนชันไปหมด ตัดสินใจว่าไปอยู่หอดีกว่า เดี๋ยวฉันซวย!
โชคดีที่ได้ห้องติดๆ กับจุ๋มเพื่อนซี้ ปากจัดราวกับอมตำแย ใครเผลอเป็นโดนกัด...ถัดไปก็คือเสริมศักดิ์ หวานแหววแต๋วจ๋าทั้งที่ตัวสูงใหญ่เหมือนหมี น้ำหนักคงไม่ต่ำกว่า 80 ก.ก. พวกเราล้วนอยู่คนเดียว เพราะชอบไปรเวซี่มากๆ แต่ก็ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ
ตอนเย็นวันนั้นก็เช่นกัน
จุ๋มซื้อซาลาเปาหมูแดงมากินกันในห้องฉัน โทร.เรียกเสริมศักดิ์มาร่วมวง ปรากฏว่าเพิ่งจะกลับหอ ผลักประตูเดินเลื้อยเหมือนงูเขียวเข้ามา พร้อมกับฝรั่งดอง มะกอก มะยมกับองุ่นดองถุงใหญ่ จุ๋มถามว่าแพ้ท้องหรือไง? เพื่อนเราก็ทำตาลอยแบบเคลิ้มฝันทันที
'จวนแล้ว! เชื่อมั้ยตัวเอง ฉันไปเจอสุดหล่อที่หน้าหอเมื่อตะกี้! โหย...เห็นแล้วเสียววาบ เข่าอ่อน แต่...ตัวแข็งทื่อไปหมด ผู้ชายอะไรมันจะหล่อลากดินซะ! ทอลล์ ดาร์กแอนด์แฮนซั่มซะไม่มี แถมไม่ใช่พวก กทม.เก๊กทำแมน! เขาถามว่าชมพู่ซื้อของกินไปฝากใครเยอะแยะ? ว้าย...ตายแล้ว! เสียงเอ๊กโค่ฟังแล้วเปรี้ยวปากเปรี้ยวลิ้น...'
'อยากกินหญ้าปั่นมั้ยนังบ้า? เดี๋ยวจะทำให้กิน' จุ๋มเลิกคิ้วขัดคอ เล่นเอาเสริมศักดิ์ค้อนควักๆ
'หล่อนเอาไว้ยัดทานเองเถอะย่ะ ฉันอยากหม่ำซาลาเปามากกว่า'
'กินมากๆ นะเสริม แกยิ่งซูบๆ อยู่
'ฮ้า? อย่างฉันน่ะเรอะซูบ...'
'ฮื่อ! ซูบกว่าช้างหน่อยนะ'
'นังชะนีบ้า! ปากไม่มีหูรูด เดี๋ยวเอาซาลาเปายัดปากเลย! แต่ฉันยัดปากตัวเองดีกว่า...นึกถึงสุดหล่อคนนั้นแล้วใจมันวิ้วหวิว'
ขณะที่เรากำลังเย้าแหย่กันเพลินๆ เสียงร้องเอะอะ ก็ดังมาจากหน้าห้อง พอเปิดประตูไปดูก็ได้ข่าวว่านัก ศึกษาห้องชั้นล่างโดนรถเบรกแตกพุ่งเข้าชนตายใกล้ๆ รถเข็นขายผลไม้ดอง...อาการสาหัสทั้งคู่
เสริมศักดิ์เผ่นนำหน้าพวกเราไปดู รถตำรวจกับมูลนิธิเพิ่งมา...ท้องฟ้ายามเย็นดูร่มครึ้ม ร่างคนเคราะห์ร้ายทั้งสองนอนจมกองเลือดแน่นิ่ง รถเข็นพังยับเยินเสริมศักดิ์ผวาเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วต้องผงะหน้า เข่าอ่อนจนทรุดลงนั่งกับพื้นซีเมนต์ หลุดปากเสียงสั่น...คนที่เพิ่งคุยกับฉันน่ะเอง!
ร่างทั้งสองถูกหามร่องแร่งไปขึ้นรถ...เท่าที่เห็นน่ะคิดว่าเขาคงหมดลมหายใจไปแล้วทั้งคู่ ฉันกับจุ๋มช่วยกันประคองเพื่อนกลับขึ้นห้อง
คืนนั้นทั้งจุ๋มกับเสริมศักดิ์ต้องอาศัยนอนในห้องฉัน ขอร้องให้เปิดไฟห้องน้ำไว้ด้วย อากาศที่เคยเย็นสบายก็กลับหนาวยะเยือกผิดปกติ จุ๋มนอนห่มผ้าหันหน้ามาหาฉันตลอดเวลา อดด่าเพื่อนไม่ได้ว่ากระแดะออกไปซื้อของกินแท้ๆ ถึงมีเรื่องกลัวผี...
เสริมศักดิ์ได้แต่พลิกไปพลิกมาบนพื้นปลายเตียง สลับกับการท่องคาถางึมๆ งำๆ อยู่แทบตลอดเวลา
ราวห้าทุ่มเศษ ขณะที่เรากำลังเคลิ้มๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ แต่เราสะดุ้งตื่นกันทุกคน จุ๋มร้องถามว่าใคร? คำตอบคือเสียงถอนหายใจเหน็ดเหนื่อยยืดยาว...
'อย่าเปิดนะแก' เสริมศักดิ์ครางกระเส่า 'เขามาหาฉันแหงๆ เลย'
จุ๋มด่าเผ็ดๆ ออกไปเป็นชุดว่าจะเรียกผีมาหา จนกระทั่งเสียงต่างๆ เงียบไป สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบเชียบน่าใจหาย...ฉันกำลังจะเคลิ้มหลับต่อก็พอดีได้ยินเสียงเสริมศักดิ์กรีดร้องลั่นห้องจนต้องลุกพรวดขึ้นนั่ง
สวรรค์ทรงโปรดด้วยเถิด! แสงไฟสลัวๆ จากห้อง น้ำส่องให้เห็นร่างสูงตระหง่านใบหน้าแหลกยับชุ่มด้วยเลือดสดๆ ยืนจังก้าเขม็งอยู่ที่นั่น...ได้ยินเสียงจุ๋ม ร้องกรี๊ดๆ อยู่ใกล้หูจนกระทั่งความรู้สึกของฉันดับ วูบไป
ถึงจะรักเพื่อนแค่ไหนก็ไม่ยอมให้เสริมศักดิ์มานอนด้วยอีกแล้วค่ะ! บรื๋อออ....
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555
พ่อแม่เคยเตือนฉันแล้วว่าอย่าไปเช่าห้องอยู่คนเดียว ทางที่ดีคือพักอยู่บ้านญาติดีกว่า อย่างน้อยก็มีผู้ใหญ่คอยดูแล คอยตักเตือนถ้าเห็นอะไรไม่ชอบมาพากลขึ้นน่ะ
อันที่จริงบ้านน้าสาวฉันก็อยู่ที่สะพานใหม่ ใกล้ๆ กับสถานศึกษานะ น้าอิ๋วก็ใจดีมาก ลูกๆ ก็น่ารัก เสียแต่น้าเขยนี่ซีคะ รูปหล่อปากหวานชอบพูดจาเจ๊าะแจ๊ะแบบหมาหยอกห่านอยู่ร่ำไป นัยน์ตาที่มองก็เหมือนตางู ยิ่งตอนดื่มเหล้าด้วยแล้วนัยน์ตายังกะมีมือมาแตะต้องลูบคลำเนื้อตัวยังงั้นแหละค่ะ
นึกถึงแล้วขนลุกขนชันไปหมด ตัดสินใจว่าไปอยู่หอดีกว่า เดี๋ยวฉันซวย!
โชคดีที่ได้ห้องติดๆ กับจุ๋มเพื่อนซี้ ปากจัดราวกับอมตำแย ใครเผลอเป็นโดนกัด...ถัดไปก็คือเสริมศักดิ์ หวานแหววแต๋วจ๋าทั้งที่ตัวสูงใหญ่เหมือนหมี น้ำหนักคงไม่ต่ำกว่า 80 ก.ก. พวกเราล้วนอยู่คนเดียว เพราะชอบไปรเวซี่มากๆ แต่ก็ไปมาหาสู่กันบ่อยๆ
ตอนเย็นวันนั้นก็เช่นกัน
จุ๋มซื้อซาลาเปาหมูแดงมากินกันในห้องฉัน โทร.เรียกเสริมศักดิ์มาร่วมวง ปรากฏว่าเพิ่งจะกลับหอ ผลักประตูเดินเลื้อยเหมือนงูเขียวเข้ามา พร้อมกับฝรั่งดอง มะกอก มะยมกับองุ่นดองถุงใหญ่ จุ๋มถามว่าแพ้ท้องหรือไง? เพื่อนเราก็ทำตาลอยแบบเคลิ้มฝันทันที
'จวนแล้ว! เชื่อมั้ยตัวเอง ฉันไปเจอสุดหล่อที่หน้าหอเมื่อตะกี้! โหย...เห็นแล้วเสียววาบ เข่าอ่อน แต่...ตัวแข็งทื่อไปหมด ผู้ชายอะไรมันจะหล่อลากดินซะ! ทอลล์ ดาร์กแอนด์แฮนซั่มซะไม่มี แถมไม่ใช่พวก กทม.เก๊กทำแมน! เขาถามว่าชมพู่ซื้อของกินไปฝากใครเยอะแยะ? ว้าย...ตายแล้ว! เสียงเอ๊กโค่ฟังแล้วเปรี้ยวปากเปรี้ยวลิ้น...'
'อยากกินหญ้าปั่นมั้ยนังบ้า? เดี๋ยวจะทำให้กิน' จุ๋มเลิกคิ้วขัดคอ เล่นเอาเสริมศักดิ์ค้อนควักๆ
'หล่อนเอาไว้ยัดทานเองเถอะย่ะ ฉันอยากหม่ำซาลาเปามากกว่า'
'กินมากๆ นะเสริม แกยิ่งซูบๆ อยู่
'ฮ้า? อย่างฉันน่ะเรอะซูบ...'
'ฮื่อ! ซูบกว่าช้างหน่อยนะ'
'นังชะนีบ้า! ปากไม่มีหูรูด เดี๋ยวเอาซาลาเปายัดปากเลย! แต่ฉันยัดปากตัวเองดีกว่า...นึกถึงสุดหล่อคนนั้นแล้วใจมันวิ้วหวิว'
ขณะที่เรากำลังเย้าแหย่กันเพลินๆ เสียงร้องเอะอะ ก็ดังมาจากหน้าห้อง พอเปิดประตูไปดูก็ได้ข่าวว่านัก ศึกษาห้องชั้นล่างโดนรถเบรกแตกพุ่งเข้าชนตายใกล้ๆ รถเข็นขายผลไม้ดอง...อาการสาหัสทั้งคู่
เสริมศักดิ์เผ่นนำหน้าพวกเราไปดู รถตำรวจกับมูลนิธิเพิ่งมา...ท้องฟ้ายามเย็นดูร่มครึ้ม ร่างคนเคราะห์ร้ายทั้งสองนอนจมกองเลือดแน่นิ่ง รถเข็นพังยับเยินเสริมศักดิ์ผวาเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วต้องผงะหน้า เข่าอ่อนจนทรุดลงนั่งกับพื้นซีเมนต์ หลุดปากเสียงสั่น...คนที่เพิ่งคุยกับฉันน่ะเอง!
ร่างทั้งสองถูกหามร่องแร่งไปขึ้นรถ...เท่าที่เห็นน่ะคิดว่าเขาคงหมดลมหายใจไปแล้วทั้งคู่ ฉันกับจุ๋มช่วยกันประคองเพื่อนกลับขึ้นห้อง
คืนนั้นทั้งจุ๋มกับเสริมศักดิ์ต้องอาศัยนอนในห้องฉัน ขอร้องให้เปิดไฟห้องน้ำไว้ด้วย อากาศที่เคยเย็นสบายก็กลับหนาวยะเยือกผิดปกติ จุ๋มนอนห่มผ้าหันหน้ามาหาฉันตลอดเวลา อดด่าเพื่อนไม่ได้ว่ากระแดะออกไปซื้อของกินแท้ๆ ถึงมีเรื่องกลัวผี...
เสริมศักดิ์ได้แต่พลิกไปพลิกมาบนพื้นปลายเตียง สลับกับการท่องคาถางึมๆ งำๆ อยู่แทบตลอดเวลา
ราวห้าทุ่มเศษ ขณะที่เรากำลังเคลิ้มๆ ก็ได้ยินเสียงเคาะประตูเบาๆ แต่เราสะดุ้งตื่นกันทุกคน จุ๋มร้องถามว่าใคร? คำตอบคือเสียงถอนหายใจเหน็ดเหนื่อยยืดยาว...
'อย่าเปิดนะแก' เสริมศักดิ์ครางกระเส่า 'เขามาหาฉันแหงๆ เลย'
จุ๋มด่าเผ็ดๆ ออกไปเป็นชุดว่าจะเรียกผีมาหา จนกระทั่งเสียงต่างๆ เงียบไป สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบเชียบน่าใจหาย...ฉันกำลังจะเคลิ้มหลับต่อก็พอดีได้ยินเสียงเสริมศักดิ์กรีดร้องลั่นห้องจนต้องลุกพรวดขึ้นนั่ง
สวรรค์ทรงโปรดด้วยเถิด! แสงไฟสลัวๆ จากห้อง น้ำส่องให้เห็นร่างสูงตระหง่านใบหน้าแหลกยับชุ่มด้วยเลือดสดๆ ยืนจังก้าเขม็งอยู่ที่นั่น...ได้ยินเสียงจุ๋ม ร้องกรี๊ดๆ อยู่ใกล้หูจนกระทั่งความรู้สึกของฉันดับ วูบไป
ถึงจะรักเพื่อนแค่ไหนก็ไม่ยอมให้เสริมศักดิ์มานอนด้วยอีกแล้วค่ะ! บรื๋อออ....
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2555
24 มิถุนายน 2558
กบผีที่หนองผือ
"หลานฤดี" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากหนองน้ำผีสิง
หนูเป็นเด็กอีสาน มีเรื่องผีที่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังเยอะแยะ เช่นผีแถน ผีฟ้า ผีกระสือ ผีปอบและผีป่าผีไพร รวมทั้งผีตายโหงต่างๆ ล้วนแต่ดุร้ายโหดเหี้ยม น่ากลัวทั้งนั้นแหละค่ะ
บ้านหนูอยู่ ต.นานวล อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ที่มีคนชอบพูดเล่นๆ ว่า "เป็นคนสุรินทร์ต้องกินสุรา" ทั้งๆ ที่จังหวัดหนูมีคำขวัญเพราะๆ มีความหมายดีๆ มากมายเลย
"สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม"
วันนี้หนูจะเล่าเรื่องขนหัวลุกให้ฟังนะคะ!
ขึ้นชื่อว่า "หนองผือ" ในรัตนบุรีนี่ถือว่าผีดุที่สุดค่ะ เป็นผีเจ้าที่เจ้าทางที่ชาวบ้านรู้จัก และนับถือกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายแล้ว แถมยังสิงสู่อยู่เพื่อปกป้องคุ้มครองหนองน้ำแห่งนั้นไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนเด็ดขาด
น้ำในหนองผือใสแจ๋ว อุดมด้วยกุ้งหอยปูปลา เต่ากับตะพาบก็ชุกชุมจนคอเหล้าหลายคนน้ำลายไหลไปตามๆ กัน แต่รู้ฤทธิ์เดชร้ายแรงของเจ้าที่ดีก็เลยเกรงกลัว ไม่กล้าล่วงเกินหนองน้ำแห่งนั้น
เคยมีคนหัวดื้อ 2-3 ราย อายุราว 20 ต้นๆ เคยดันทุรังไปลองของกันค่ะ!
รายแรกเมาดีก็ไปหนองผือคนเดียว ไม่รู้ว่าเห็นอะไรน่ากลัวเข้าถึงกับร้องโว้ยๆ วิ่งเตลิดเปิดเปิงจนถึงบ้าน ปิดหน้าปิดตาร้องไห้พูดจาพร่ำเพ้อไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ พลางโบกมือว่อน "อย่าเข้ามา! กลัวแล้ว..โอ๊ยยย
คนอื่นๆ ขนลุกเกรียวแต่มองไม่เห็นอะไรเลย ญาติๆ พาไปรักษาที่ศรีสะเกษแล้วข่าวคราวก็เงียบหายไป
อีกรายเกิดคึกก็ชวนเพื่อนไปหาปลาที่หนองผือ โดนผีหลอกกระเจิดกระเจิงทั้งคู่พอจับความได้ว่ากำลังจับปลาอยู่ดีๆ ก็มีร่างดำทะมึนพุ่งพรวดขึ้นจากน้ำเสียงดังโพล่ง! ซ่า..เป็นปีศาจเจ้าที่ยืนจังก้า ตาแดงก่ำ ส่งเสียงคำรามดังกระหึ่ม "อย่ามาจับปลาของกู!"
สองเกลอผงะหงายร้องจ้า วิ่งกระเจิงกลับบ้าน..อาการหนักจนจับไข้หัวโกร๋นทั้งคู่ ต้องตามหมอไสยศาสตร์มารดน้ำมนต์ ใช้คาถาอาคมปัดเป่าอยู่หลายวันกว่าจะค่อยทุเลาลง
ต่อมา นายวนกับครอบครัวอพยพจาก อ.ท่าตูม มาอยู่ละแวกนั้นใกล้ๆ บ้านญาติ ทำให้เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้นมาอีก เพราะญาติไม่ได้ตักเตือนเรื่องผีดุที่หนองผือไว้ก่อน หรือนายวนเป็นคนดื้อรั้นก็ไม่ทราบแน่ ชาวบ้านมารู้เอาเมื่อเรื่องสยดสยองเกิดขึ้นแล้ว!
นั่นคือ คืนหนึ่งฝนตกหนักมาตั้งแต่เย็น พอตกค่ำก็มีเสียงกบเขียดร้องระงมไปทั่ว ชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็ออกไปตีกบกันสนุก นายวนก็ร่วมทางไปกับคนอื่นๆ เช่นกัน
ข้องสะพายบ่า มือซ้ายถือตะเกียงตาวัว มือขวากำท่อนไม้เหมาะๆ ดุ่มดั้นออกไปหาเหยื่อเนื้อหวานๆ มากินกันให้สำราญในวันรุ่นขึ้น ถ้าได้มากยังเอาไปขายได้อีกด้วย
ชาวบ้านไปหาตีกบที่อื่นๆ กันถมเถ แต่นายวนดันมุ่งหน้าไปทางหนองผือผู้เดียว!
เสียงร้องอ๊บๆ ดังเซ่งแซ่มาเข้าหู คล้ายจะยั่วหรือท้าทายให้คนแปลกถิ่นเข้าไปหาเสียโดยไว นายวนไปถึงก็ส่องตะเกียงดู ตกตะลึงแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง
กบตัวเบ้งๆ นับสิบนับร้อยเกาะเต็มขอบบ่อ แถมจ้องมองสู้แสงไฟอีกต่างหาก..นายวนย่องเข้าหา แต่เหยื่อไม่มีทีท่าว่าจะเผ่นหนี ได้โอกาสก็หวดไม้ไม่ยั้งด้วยความมันมือ ตีทีไรได้กบทีนั้นจนแทบจับใส่ตะข้องไม่ทัน นายวนยิ่งย่ามใจไล่ตีกบจนตะข้องใหญ่หนักอึ้ง..เดินฝันหวานกลับบ้านว่าพรุ่งนี้คงจะขายกบได้เงินเป็นกอบเป็นกำแน่นอน
จัดการเทกบตัวอ้วนๆ ใส่ไห ปิดฝาแล้วเอาก้อนหินทับไว้..ถ้ามันฟื้นจากสลบจะได้กระโดดหนีไม่ได้
คืนนั้นก็เข้านอนฝันดีไปตลอดคืน!
รุ่งเช้า รีบเปิดไหจะคว้ากบใส่ตะข้องไปขายที่ตลาด แต่แล้วก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อไม่เห็นกบเลยซักตัวเดียว..มิหน้ำซำยังต้องผงะหน้า เบิกตาโพลง เมื่อเห็นมีกระดูกผีขาวโพลนเกือบเต็มไหด้วยซ้ำ
นายวนแหกปากร้องจ้า เสียงแผดร้องโหยหวน วิ่งออกไปด้วยความตกใจจนชนต้นไม้สลบคาที่!
ชาวบ้านรู้เรื่องก็มาช่วยกันแก้ไข ตามหมอไสยศาสตร์มารักษาด้วยเวทมนตร์จนค่อยทุเลา..เล่าเนื้อความทั้งหมดให้ฟังอย่างละเอียดลออ แต่เมื่อคืนอื่นๆ ไปดูก็เห็นแต่ไหเปล่าไม่มีกระดูกผีแม้แต่ชิ้นเดียว
เชื่อกันว่านายวนคงจับกบผีที่หนองผือมาแน่ๆ หนูเล่าเองยังขนหัวลุกเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555
หนูเป็นเด็กอีสาน มีเรื่องผีที่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังเยอะแยะ เช่นผีแถน ผีฟ้า ผีกระสือ ผีปอบและผีป่าผีไพร รวมทั้งผีตายโหงต่างๆ ล้วนแต่ดุร้ายโหดเหี้ยม น่ากลัวทั้งนั้นแหละค่ะ
บ้านหนูอยู่ ต.นานวล อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ที่มีคนชอบพูดเล่นๆ ว่า "เป็นคนสุรินทร์ต้องกินสุรา" ทั้งๆ ที่จังหวัดหนูมีคำขวัญเพราะๆ มีความหมายดีๆ มากมายเลย
"สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม"
วันนี้หนูจะเล่าเรื่องขนหัวลุกให้ฟังนะคะ!
ขึ้นชื่อว่า "หนองผือ" ในรัตนบุรีนี่ถือว่าผีดุที่สุดค่ะ เป็นผีเจ้าที่เจ้าทางที่ชาวบ้านรู้จัก และนับถือกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายแล้ว แถมยังสิงสู่อยู่เพื่อปกป้องคุ้มครองหนองน้ำแห่งนั้นไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนเด็ดขาด
น้ำในหนองผือใสแจ๋ว อุดมด้วยกุ้งหอยปูปลา เต่ากับตะพาบก็ชุกชุมจนคอเหล้าหลายคนน้ำลายไหลไปตามๆ กัน แต่รู้ฤทธิ์เดชร้ายแรงของเจ้าที่ดีก็เลยเกรงกลัว ไม่กล้าล่วงเกินหนองน้ำแห่งนั้น
เคยมีคนหัวดื้อ 2-3 ราย อายุราว 20 ต้นๆ เคยดันทุรังไปลองของกันค่ะ!
รายแรกเมาดีก็ไปหนองผือคนเดียว ไม่รู้ว่าเห็นอะไรน่ากลัวเข้าถึงกับร้องโว้ยๆ วิ่งเตลิดเปิดเปิงจนถึงบ้าน ปิดหน้าปิดตาร้องไห้พูดจาพร่ำเพ้อไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ พลางโบกมือว่อน "อย่าเข้ามา! กลัวแล้ว..โอ๊ยยย
คนอื่นๆ ขนลุกเกรียวแต่มองไม่เห็นอะไรเลย ญาติๆ พาไปรักษาที่ศรีสะเกษแล้วข่าวคราวก็เงียบหายไป
อีกรายเกิดคึกก็ชวนเพื่อนไปหาปลาที่หนองผือ โดนผีหลอกกระเจิดกระเจิงทั้งคู่พอจับความได้ว่ากำลังจับปลาอยู่ดีๆ ก็มีร่างดำทะมึนพุ่งพรวดขึ้นจากน้ำเสียงดังโพล่ง! ซ่า..เป็นปีศาจเจ้าที่ยืนจังก้า ตาแดงก่ำ ส่งเสียงคำรามดังกระหึ่ม "อย่ามาจับปลาของกู!"
สองเกลอผงะหงายร้องจ้า วิ่งกระเจิงกลับบ้าน..อาการหนักจนจับไข้หัวโกร๋นทั้งคู่ ต้องตามหมอไสยศาสตร์มารดน้ำมนต์ ใช้คาถาอาคมปัดเป่าอยู่หลายวันกว่าจะค่อยทุเลาลง
ต่อมา นายวนกับครอบครัวอพยพจาก อ.ท่าตูม มาอยู่ละแวกนั้นใกล้ๆ บ้านญาติ ทำให้เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้นมาอีก เพราะญาติไม่ได้ตักเตือนเรื่องผีดุที่หนองผือไว้ก่อน หรือนายวนเป็นคนดื้อรั้นก็ไม่ทราบแน่ ชาวบ้านมารู้เอาเมื่อเรื่องสยดสยองเกิดขึ้นแล้ว!
นั่นคือ คืนหนึ่งฝนตกหนักมาตั้งแต่เย็น พอตกค่ำก็มีเสียงกบเขียดร้องระงมไปทั่ว ชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็ออกไปตีกบกันสนุก นายวนก็ร่วมทางไปกับคนอื่นๆ เช่นกัน
ข้องสะพายบ่า มือซ้ายถือตะเกียงตาวัว มือขวากำท่อนไม้เหมาะๆ ดุ่มดั้นออกไปหาเหยื่อเนื้อหวานๆ มากินกันให้สำราญในวันรุ่นขึ้น ถ้าได้มากยังเอาไปขายได้อีกด้วย
ชาวบ้านไปหาตีกบที่อื่นๆ กันถมเถ แต่นายวนดันมุ่งหน้าไปทางหนองผือผู้เดียว!
เสียงร้องอ๊บๆ ดังเซ่งแซ่มาเข้าหู คล้ายจะยั่วหรือท้าทายให้คนแปลกถิ่นเข้าไปหาเสียโดยไว นายวนไปถึงก็ส่องตะเกียงดู ตกตะลึงแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง
กบตัวเบ้งๆ นับสิบนับร้อยเกาะเต็มขอบบ่อ แถมจ้องมองสู้แสงไฟอีกต่างหาก..นายวนย่องเข้าหา แต่เหยื่อไม่มีทีท่าว่าจะเผ่นหนี ได้โอกาสก็หวดไม้ไม่ยั้งด้วยความมันมือ ตีทีไรได้กบทีนั้นจนแทบจับใส่ตะข้องไม่ทัน นายวนยิ่งย่ามใจไล่ตีกบจนตะข้องใหญ่หนักอึ้ง..เดินฝันหวานกลับบ้านว่าพรุ่งนี้คงจะขายกบได้เงินเป็นกอบเป็นกำแน่นอน
จัดการเทกบตัวอ้วนๆ ใส่ไห ปิดฝาแล้วเอาก้อนหินทับไว้..ถ้ามันฟื้นจากสลบจะได้กระโดดหนีไม่ได้
คืนนั้นก็เข้านอนฝันดีไปตลอดคืน!
รุ่งเช้า รีบเปิดไหจะคว้ากบใส่ตะข้องไปขายที่ตลาด แต่แล้วก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อไม่เห็นกบเลยซักตัวเดียว..มิหน้ำซำยังต้องผงะหน้า เบิกตาโพลง เมื่อเห็นมีกระดูกผีขาวโพลนเกือบเต็มไหด้วยซ้ำ
นายวนแหกปากร้องจ้า เสียงแผดร้องโหยหวน วิ่งออกไปด้วยความตกใจจนชนต้นไม้สลบคาที่!
ชาวบ้านรู้เรื่องก็มาช่วยกันแก้ไข ตามหมอไสยศาสตร์มารักษาด้วยเวทมนตร์จนค่อยทุเลา..เล่าเนื้อความทั้งหมดให้ฟังอย่างละเอียดลออ แต่เมื่อคืนอื่นๆ ไปดูก็เห็นแต่ไหเปล่าไม่มีกระดูกผีแม้แต่ชิ้นเดียว
เชื่อกันว่านายวนคงจับกบผีที่หนองผือมาแน่ๆ หนูเล่าเองยังขนหัวลุกเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2555
23 มิถุนายน 2558
ผีพยาบาท
"พงษ์เพชร" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณอาฆาต
ผมอายุครบ 18 ปีมีสิทธิ์เข้าคูหาเลือกตั้งได้แล้ว แต่พอจะไปเที่ยวบาร์เที่ยวผับกลับโดนห้ามเฉยเลย บอกว่าอายุยังไม่ถึง 20 เป็นเยาวชน ไม่มีสิทธิ์เที่ยวอย่างผู้ใหญ่ เราเองเลยไม่รู้ตัวว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่กันแน่..คิดดู!
เรื่องผีๆ สางๆ พวกผมก็ไม่เชื่อกันหรอกครับ เหลวไหลไร้สาระ! พิสูจน์ไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่แห่ไปหาพระดังๆ มาคล้องคอ แห่ไปสักหลังสักไหล่กันตึมเลย
ใครไม่มีพระไม่มีรอยสักถือว่าเชยโคตร ตกเทรนด์จนต้องเอาปี๊บคลุมหัวซะ!
ไม่มีเงินไปหาอาจารย์สักก็ไม่เป็นไร เราซื้อเหล็กซื้อหมึก ออกแบบตามใจชอบแล้วให้เพื่อนสัก ผลัดกันไงครับ แต่เวลาไม่ชอบใจจะลบออก โอย..เจ็บชิบเป๋งเลย งานนี้น่ะ
ไม่เชื่อเรื่องผีหาว่าเหลวไหล แต่เชื่อว่ารอยสักจะทำให้หนังเหนียว ของขึ้น จิตใจฮึกเหิม เจอศัตรูเมื่อไหร่ลุยมันเลย เรามีของดีซะอย่าง..เพี้ยนมั้ยเนี่ย?
เพราะความเพี้ยนของพวกผมนี่เอง ทำให้โดนผีหลอกเอาปางตายไปตามๆ กัน!
ผมมีเพื่อนซี้ชื่อไอ้เก่งอยู่แจ้งวัฒนะ บ้านเข้าซอยข้างวัด ตอนกลางวันไม่เท่าไหร่แต่พอตกกลางคืนเปลี่ยวน่าดู ผมอยู่งามวงศ์วานใกล้ๆ กัน ตอนเย็นๆ เลิกเรียนแล้วก็เดินห้างดูสาวกัน บางวันก็รวมกลุ่มกันไปซดเบียร์ตามร้านหมูกระทะ ผลัดกันเลี้ยงมั่ง แชร์เงินกันมั่ง
น่ารำคาญที่มีขี้เมาแซวกัน เกือบจะเกิดเรื่องก็หลายครั้ง
วันหนึ่งเจอคู่อริแถวปากซอยบ้านไอ้เก่ง เราเกือบจะงัดมีดสปริงกับดาบสั้นออกมาแล้วเพราะมันมากันเยอะ พอดีมีตำรวจผ่านมาเลยแตกกระเจิงกันไป
เสาร์อาทิตย์ ไอ้เก่งหิ้วเบียร์มาหาผมที่บ้าน หลบมุมไปนั่งโจ้กันใต้ร่มไม้ด้านหลัง โดนพ่อเหล่บ่อยเข้า ผมก็เป็นฝ่ายหิ้วเบียร์ไปบ้านมันมั่ง แม่ไอ้เก่งใจดีครับ มีกับข้าวอร่อยๆ ก็ยกมาให้เราที่ม้าหินใต้ซุ้มสายหยุดข้างรั้ว
จนกระทั่งถึงวันเกิดเหตุขนหัวลุก!
ผมหิ้วเบียร์ที่ร้านปากซอย ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์วินไปบ้านเพื่อนเกลอ ดวดดื่มกันสองคนสำราญใจ มีเลย์กับโก๋แก่เป็นกับแกล้ม ไอ้เก่งบอกแม่กำลังผัดกะเพราเนื้อ เดี๋ยวก็ได้อร่อยปากกันแล้ว
เราว่าไม่ได้ติดเหล้าติดเบียร์นะครับ แต่ทำไมมันหงุดหงิดก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้กินน่ะ? พ่อบอกว่านั่นแหละเขาเรียกว่าติดเหล้าแล้ว! อยู่ในวัยเรียนอย่าริติดบุหรี่ ยิ่งติดเหล้าจะเสียคน..แต่ถ้าจะสนุกกับเพื่อนฝูงก็นานๆ ที ไม่เป็นไร
เอาน่า..วันนี้ขอสนุกกับเพื่อนก่อนละกัน!
แม่ไอ้เก่งน่ารักจริงๆ ครับ ยกเนื้อผัดกะเพราหอมฉุยกับเนื้อเค็มทอดมาให้บอกว่าอย่าเมากันนะลูก เดี๋ยวเก่งต้องขับรถไปส่งเพื่อน..แม่เป็นห่วง
นี่ละครับพ่อแม่ เหมือนกันทั้งนั้นเรื่องรักและตามใจลูกเป็นเทวดา..พ่อดีแม่บอกว่า ตอนที่เก่งยังไม่ตื่นน่ะมีเพื่อนขี่รถมาหา พ่อบอกว่ายังหลับก็เลยกลับไปก่อน
เอ๊ะใคร? ไอ้เก่งสงสัย พอแม่เข้าบ้านก็หยิบมือถือมาดูแต่ไม่มีใครเรียกเข้าเลย!
เพิ่งจะเลยค่ำไปหยกๆ รถราที่แล่นผ่านหน้าบ้านเริ่มน้อยลงทุกที..
ไอ้เก่งบอกว่าเมื่อวานมีเรื่องที่ปากซอย อริเก่าตามฟอร์ม! มันขับรถปาดหน้า แต่ไอ้เก่งพุ่งชนบ้าบิ่น..กระเด็นไปทั้งคู่ ไอ้นั่นตะกายขึ้นรถได้ก็เผ่นอ้าว แล้วไอ้เก่งก็ยืดอกแบมือให้ดู อวดว่ารอยสักของมันขลังที่สุด ขนาดล้มกลิ้งล้มหงายยังไม่มีรอยเท่าแมวข่วน
เสียงมอเตอร์ไซค์แล่นผ่านไปช้าๆ เดี๋ยวเดียวก็ตีวงกลับมาอีกครั้ง ไอ้เก่งขมวดคิ้วหันไปมอง โพล่งว่า..ไอ้นี่เองที่มีเรื่องกับกูเมื่อวาน สงสัยมันแหละที่มาตามหากูตอนบ่าย!
ลมพัดฮือจนเย็นสะท้าน ไอ้เก่งคว้าขวดเบียร์เปล่าเดินปราดไปที่ประตู ผมล้วงกระเป๋ากำมีดสปริง ขณะที่รถคันนั้นมาจอดหน้าบ้าน แสงไฟส่องให้เห็นใบหน้าด้านข้างยิ้มแสยะ แต่ดูแปลกประหลาดพิลึก..ก่อนที่มันจะหันมาหาเราช้าๆ
โลกทั้งโลกแตกเปรี้ยงในพริบตา!
ใบหน้าอีกซีกเละเทะ เลือดแดงฉานทะลักออกมาตามรอยแผลที่เห็นกระดูกแก้มขาวโพลน นัยน์ตาแดงจ้าจ้องมองเกรี้ยวกราด อาฆาตจองเวรจนน่าขนหัวลุก เสียงหัวเราะแหบโหยบาดลึกเข้าไปถึงหัวใจ
ไอ้เก่งผงะหน้าร้องเฮ้ย! ขวดเบียร์หล่นลงแตกกระจาย มอเตอร์ไซค์อุบาทว์คันนั้นแล่นช้าๆ ออกไปทางปากซอยจนลับตาเรา
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น? แต่สันนิษฐานว่าคู่อริของไอ้เก่งคงเจ็บหนักจากรถล้ม อาจไปตายที่บ้านก็ได้ แต่วิญญาณพยาบาทยังตามมาหลอกหลอน..จองเวรไม่สุดสิ้น
เดี๋ยวนี้ผมเชื่อเรื่องผีแล้วครับ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2555
ผมอายุครบ 18 ปีมีสิทธิ์เข้าคูหาเลือกตั้งได้แล้ว แต่พอจะไปเที่ยวบาร์เที่ยวผับกลับโดนห้ามเฉยเลย บอกว่าอายุยังไม่ถึง 20 เป็นเยาวชน ไม่มีสิทธิ์เที่ยวอย่างผู้ใหญ่ เราเองเลยไม่รู้ตัวว่าเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่กันแน่..คิดดู!
เรื่องผีๆ สางๆ พวกผมก็ไม่เชื่อกันหรอกครับ เหลวไหลไร้สาระ! พิสูจน์ไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ แต่แห่ไปหาพระดังๆ มาคล้องคอ แห่ไปสักหลังสักไหล่กันตึมเลย
ใครไม่มีพระไม่มีรอยสักถือว่าเชยโคตร ตกเทรนด์จนต้องเอาปี๊บคลุมหัวซะ!
ไม่มีเงินไปหาอาจารย์สักก็ไม่เป็นไร เราซื้อเหล็กซื้อหมึก ออกแบบตามใจชอบแล้วให้เพื่อนสัก ผลัดกันไงครับ แต่เวลาไม่ชอบใจจะลบออก โอย..เจ็บชิบเป๋งเลย งานนี้น่ะ
ไม่เชื่อเรื่องผีหาว่าเหลวไหล แต่เชื่อว่ารอยสักจะทำให้หนังเหนียว ของขึ้น จิตใจฮึกเหิม เจอศัตรูเมื่อไหร่ลุยมันเลย เรามีของดีซะอย่าง..เพี้ยนมั้ยเนี่ย?
เพราะความเพี้ยนของพวกผมนี่เอง ทำให้โดนผีหลอกเอาปางตายไปตามๆ กัน!
ผมมีเพื่อนซี้ชื่อไอ้เก่งอยู่แจ้งวัฒนะ บ้านเข้าซอยข้างวัด ตอนกลางวันไม่เท่าไหร่แต่พอตกกลางคืนเปลี่ยวน่าดู ผมอยู่งามวงศ์วานใกล้ๆ กัน ตอนเย็นๆ เลิกเรียนแล้วก็เดินห้างดูสาวกัน บางวันก็รวมกลุ่มกันไปซดเบียร์ตามร้านหมูกระทะ ผลัดกันเลี้ยงมั่ง แชร์เงินกันมั่ง
น่ารำคาญที่มีขี้เมาแซวกัน เกือบจะเกิดเรื่องก็หลายครั้ง
วันหนึ่งเจอคู่อริแถวปากซอยบ้านไอ้เก่ง เราเกือบจะงัดมีดสปริงกับดาบสั้นออกมาแล้วเพราะมันมากันเยอะ พอดีมีตำรวจผ่านมาเลยแตกกระเจิงกันไป
เสาร์อาทิตย์ ไอ้เก่งหิ้วเบียร์มาหาผมที่บ้าน หลบมุมไปนั่งโจ้กันใต้ร่มไม้ด้านหลัง โดนพ่อเหล่บ่อยเข้า ผมก็เป็นฝ่ายหิ้วเบียร์ไปบ้านมันมั่ง แม่ไอ้เก่งใจดีครับ มีกับข้าวอร่อยๆ ก็ยกมาให้เราที่ม้าหินใต้ซุ้มสายหยุดข้างรั้ว
จนกระทั่งถึงวันเกิดเหตุขนหัวลุก!
ผมหิ้วเบียร์ที่ร้านปากซอย ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์วินไปบ้านเพื่อนเกลอ ดวดดื่มกันสองคนสำราญใจ มีเลย์กับโก๋แก่เป็นกับแกล้ม ไอ้เก่งบอกแม่กำลังผัดกะเพราเนื้อ เดี๋ยวก็ได้อร่อยปากกันแล้ว
เราว่าไม่ได้ติดเหล้าติดเบียร์นะครับ แต่ทำไมมันหงุดหงิดก็ไม่รู้ ถ้าไม่ได้กินน่ะ? พ่อบอกว่านั่นแหละเขาเรียกว่าติดเหล้าแล้ว! อยู่ในวัยเรียนอย่าริติดบุหรี่ ยิ่งติดเหล้าจะเสียคน..แต่ถ้าจะสนุกกับเพื่อนฝูงก็นานๆ ที ไม่เป็นไร
เอาน่า..วันนี้ขอสนุกกับเพื่อนก่อนละกัน!
แม่ไอ้เก่งน่ารักจริงๆ ครับ ยกเนื้อผัดกะเพราหอมฉุยกับเนื้อเค็มทอดมาให้บอกว่าอย่าเมากันนะลูก เดี๋ยวเก่งต้องขับรถไปส่งเพื่อน..แม่เป็นห่วง
นี่ละครับพ่อแม่ เหมือนกันทั้งนั้นเรื่องรักและตามใจลูกเป็นเทวดา..พ่อดีแม่บอกว่า ตอนที่เก่งยังไม่ตื่นน่ะมีเพื่อนขี่รถมาหา พ่อบอกว่ายังหลับก็เลยกลับไปก่อน
เอ๊ะใคร? ไอ้เก่งสงสัย พอแม่เข้าบ้านก็หยิบมือถือมาดูแต่ไม่มีใครเรียกเข้าเลย!
เพิ่งจะเลยค่ำไปหยกๆ รถราที่แล่นผ่านหน้าบ้านเริ่มน้อยลงทุกที..
ไอ้เก่งบอกว่าเมื่อวานมีเรื่องที่ปากซอย อริเก่าตามฟอร์ม! มันขับรถปาดหน้า แต่ไอ้เก่งพุ่งชนบ้าบิ่น..กระเด็นไปทั้งคู่ ไอ้นั่นตะกายขึ้นรถได้ก็เผ่นอ้าว แล้วไอ้เก่งก็ยืดอกแบมือให้ดู อวดว่ารอยสักของมันขลังที่สุด ขนาดล้มกลิ้งล้มหงายยังไม่มีรอยเท่าแมวข่วน
เสียงมอเตอร์ไซค์แล่นผ่านไปช้าๆ เดี๋ยวเดียวก็ตีวงกลับมาอีกครั้ง ไอ้เก่งขมวดคิ้วหันไปมอง โพล่งว่า..ไอ้นี่เองที่มีเรื่องกับกูเมื่อวาน สงสัยมันแหละที่มาตามหากูตอนบ่าย!
ลมพัดฮือจนเย็นสะท้าน ไอ้เก่งคว้าขวดเบียร์เปล่าเดินปราดไปที่ประตู ผมล้วงกระเป๋ากำมีดสปริง ขณะที่รถคันนั้นมาจอดหน้าบ้าน แสงไฟส่องให้เห็นใบหน้าด้านข้างยิ้มแสยะ แต่ดูแปลกประหลาดพิลึก..ก่อนที่มันจะหันมาหาเราช้าๆ
โลกทั้งโลกแตกเปรี้ยงในพริบตา!
ใบหน้าอีกซีกเละเทะ เลือดแดงฉานทะลักออกมาตามรอยแผลที่เห็นกระดูกแก้มขาวโพลน นัยน์ตาแดงจ้าจ้องมองเกรี้ยวกราด อาฆาตจองเวรจนน่าขนหัวลุก เสียงหัวเราะแหบโหยบาดลึกเข้าไปถึงหัวใจ
ไอ้เก่งผงะหน้าร้องเฮ้ย! ขวดเบียร์หล่นลงแตกกระจาย มอเตอร์ไซค์อุบาทว์คันนั้นแล่นช้าๆ ออกไปทางปากซอยจนลับตาเรา
ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น? แต่สันนิษฐานว่าคู่อริของไอ้เก่งคงเจ็บหนักจากรถล้ม อาจไปตายที่บ้านก็ได้ แต่วิญญาณพยาบาทยังตามมาหลอกหลอน..จองเวรไม่สุดสิ้น
เดี๋ยวนี้ผมเชื่อเรื่องผีแล้วครับ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2555
22 มิถุนายน 2558
สองวิญญาณ
"นิดหน่อย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อวิญญาณกลับบ้าน
ไม่ว่าใครๆ ก็คงรังเกียจพวกมือบอน ชอบขีดเขียนตามกำแพงหรือรั้วบ้านของคนอื่นให้เปรอะไปหมด ยิ่งกว่านั้นยังใช้สีสเปรย์มาฉีดพ่นข้อความบ้าๆ บอๆ เหมือนคนโรคจิต
แต่ในกองขยะก็ยังมีเพชรส่องประกายเหลือเชื่อ เห็นตอนแรกดิฉันแทบไม่เชื่อตาตัวเอง ต้องหยุดมองอย่างยกย่องชื่นชมผู้ที่ขีดเขียนข้อความดังนี้
"คนขี่ตายก่อน คนซ้อนตายทีหลัง!!"
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมายถึงรถมอเตอร์ไซค์ เตือนใจพวกบ้าระห่ำ ชอบซิ่งท้ามฤตยูเหมือนคนเบื่อโลก อยากตาย หรือไม่ก็ดูถูกตัวเอง เห็นว่าเกิดมาชาติหนึ่งแสนจะไร้ค่านัก ก็เลยเร่งเครื่องบรื้นๆ ล้อมฤตยูเล่นไปวันๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีอักษรสีแดงตัวเบ้งๆ จากสเปรย์พ่นอยู่ใกล้ๆ ข้อความแรกตัวโตกว่า มีใจความคล้ายๆ กัน แต่หักมุมนิดหน่อย อารมณ์ขันแบบตลกร้ายน่ารักเชียวค่ะ
"คนซ้อนตายคาที่ คนขี่ไปตายโรงพยาบาล!"
ญาติผู้พี่ดิฉันชื่อโก๋ อยู่บ้านเดียวกัน อายุเบญจเพสพอดี แต่งตัวรุ่มร่ามรุงรัง นุ่งยีนส์ผมยาว สวมรองเท้ายางแต่ไม่ได้สะพายย่าม ทำงานฝ่ายศิลป์อยู่โรงพิมพ์ใกล้บ้านย่านบางพลัด พี่โก๋บอกว่าชอบใจคำขวัญที่เลอะกำแพงบ้านใกล้ๆ เหมือนกัน
"โดนว่ะ! พี่ซ้อนท้ายรถไอ้ใช้จะระวังมากๆ รับรองไม่ลืมหมวกนิรภัยเด็ดขาด!"
พี่ใช้เป็นเพื่อนพี่โก๋ ทำงานโรงพิมพ์เหมือนกัน แต่อยู่คนละแห่ง คู่ซี้นี่ชอบไปไหนมาไหนด้วยกัน พี่ใช้มีแมงกะไซค์คันเก่งมารับพี่โก๋ซ้อนท้าย เทียวรับเทียวส่งกันเป็นประจำ
บางคืนห้าทุ่มสองยามกว่าจะกลับบ้าน ดิฉันอยู่ชั้นบนได้ยินเสียงรถพี่ใช้ก็จำได้ เดี๋ยวพี่โก๋ก็ไขกุญแจประตูรั้วเข้ามา...เขานอนชั้นล่างค่ะ พี่โก๋เป็นคนสุภาพเรียบร้อย แต่เห่อของแปลกตามนิสัยวัยรุ่น สมัยก่อนเป็นขาร็อกต่อมาเปลี่ยนเป็นขาแร็พ ฮิพฮอพและเร็กเก้ตามลำดับ
ระยะหลังคลั่งเร็กเก้ทั้งคู่ พี่ใช้ลงทุนถักเปียเป็นพวงเต็มหัวเลย แต่มีผ้าคลุมไว้อีกที เห็นแต่ชายหางเปียห้อยตุ๊กติ๊ก ดิฉันแซวว่าอยากเป็นเร็กเก้ตัวจริงก็อย่าใช้ผ้าคลุมซี่...เขาบอกว่ามันเป็นแฟชั่นค่ะ!
พี่โก๋ยังไม่ถึงกับถักเปีย หรือ "ทรงหมูหย็อง" แต่เขามีศัพท์เฉพาะว่า "เดดล็อก" นิยมกันขนาดมีคนรับจ้างถักผมทรงนี้ให้ด้วย ช่างผมเก่งๆ มีเข็มเล่มเดียวก็ตั้งแผงหากินที่ถนนข้าวสารได้สบาย พวกสาวกเร็กเก้ทั้งไทยและนักท่องเที่ยวมารอคิวให้ถักผมทรงหมูหย็อง ฟูเต็มหัวแทบทั้งคืน...ที่มาดั้งเดิมคือ Rasta ดูเหมือนจะเป็นภาษาสเปนอะไรประมาณนี้แหละค่ะ
ขนาดยังใจไม่ถึง พี่โก๋ยังมีเรื่องราวของเร็กเก้มาเล่าเป็นประจำ เช่นบอกว่าศาสดาเร็กเก้คือ บ๊อบ มาร์เลย์ เพลงสุดฮิตคือ one love โด่งดังไปทั้งโลก หนุ่มๆ สาวๆ คลั่งไคล้กันหลายร้อยล้านคนแทบไม่น่าเชื่อ
ดิฉันเห็นพวกพี่ๆ เขาออกไปตะลอนๆ กันแทบทุกคืนแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ คอยเตือนให้จดจำคำขวัญสีแดงตัวโตๆ นั่นใหดีเน้อ!
"คนซ้อนตายคาที่ คนขี่ไปตายโรงพยาบาล!"
พี่ใช้ขำกลิ้ง บอกว่าขี่แมงกะไซค์มาหลายปีจนเปลี่ยนตั้ง 3 คันแล้ว ยังไม่เคยเกิดอุบัติเหตุซักครั้งเดียว! ดิฉันไม่ยอมแพ้หรอก เลยย้อนให้ว่า
"ระวังให้ดีๆเถอะ พี่ใช้ ลืมแล้วเหรอที่เขาบอกว่า...ทุกอย่างย่อมมีครั้งแรกทั้งนั้นแหละ! เผลอๆ ก็มีครั้งเดียวด้วยนะ อย่าลืม"
จนกระทั่งถึงคืนเกิดเหตุ!
ต้นเดือนมกราคมอากาศค่อนข้างหนาว ดิฉันเซฟค่าไฟด้วยการไม่เปิดแอร์แต่เปิดหน้าต่างโล่ง มีมุ้งลวดไว้กันยุงก็เย็นสบายพอแล้วค่ะ...คืนนั้นพี่ใช้มารับพี่โก๋ออกไปตั้งแต่เย็น เห็นว่านัดเพื่อนไปอุ่นเครื่องกันที่ประตูน้ำก่อน
ราวสองยามได้ ดิฉันกำลังเคลิ้มๆ ก็สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงหมาเห่าเกรียวมาจากปากซอย พร้อมๆ กับเสียงมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มเข้ามา...ดิฉันจำเสียงรถพี่ใช้ได้ค่ะ!
จริงด้วยซีคะ รถมาจอดที่หน้าบ้านเสียงล่ำลาดังเอะอะ เสียงไขประตูรั้ว...แล้วมอเตอร์ไซค์ก็แล่นกลับออกไปทางเดิม หมาเห่าเกรียวกราวอีกครั้ง แต่คราวนี้มีการโก่งคอหอนโหยหวนเหมือนพวกมันจะหอนส่งพี่ใช้ยังงั้นแหละ
พี่โก๋เข้าห้องได้ก็เงียบเชียบ...คงจะเมามากจนหลับสนิทไปเลย
รุ่งเช้า...พี่โก๋ไม่ได้กลับบ้านหรอกค่ะ พี่ใช้ก็เหมือนกัน...คุณๆ คงจะคาดเดาว่าเหตุการณ์เป็นเหมือนกับคำขวัญที่พ่นเอาไว้ข้างรั้วใช่ไหมคะ?
ถูกครึ่งเดียวค่ะ...เพราะตอนขากลับพี่ใช้พุ่งชนท้ายรถตู้ที่เชิงสะพานกรุงธนฝั่งบางพลัด...ตูมเดียวตายคาที่ทั้งคู่! วิญญาณยังไม่รู้ตัว ถึงได้พากันมาส่งตามเคยเหมือนกับยังมีชีวิตอยู่ไงคะ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555
ไม่ว่าใครๆ ก็คงรังเกียจพวกมือบอน ชอบขีดเขียนตามกำแพงหรือรั้วบ้านของคนอื่นให้เปรอะไปหมด ยิ่งกว่านั้นยังใช้สีสเปรย์มาฉีดพ่นข้อความบ้าๆ บอๆ เหมือนคนโรคจิต
แต่ในกองขยะก็ยังมีเพชรส่องประกายเหลือเชื่อ เห็นตอนแรกดิฉันแทบไม่เชื่อตาตัวเอง ต้องหยุดมองอย่างยกย่องชื่นชมผู้ที่ขีดเขียนข้อความดังนี้
"คนขี่ตายก่อน คนซ้อนตายทีหลัง!!"
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมายถึงรถมอเตอร์ไซค์ เตือนใจพวกบ้าระห่ำ ชอบซิ่งท้ามฤตยูเหมือนคนเบื่อโลก อยากตาย หรือไม่ก็ดูถูกตัวเอง เห็นว่าเกิดมาชาติหนึ่งแสนจะไร้ค่านัก ก็เลยเร่งเครื่องบรื้นๆ ล้อมฤตยูเล่นไปวันๆ
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีอักษรสีแดงตัวเบ้งๆ จากสเปรย์พ่นอยู่ใกล้ๆ ข้อความแรกตัวโตกว่า มีใจความคล้ายๆ กัน แต่หักมุมนิดหน่อย อารมณ์ขันแบบตลกร้ายน่ารักเชียวค่ะ
"คนซ้อนตายคาที่ คนขี่ไปตายโรงพยาบาล!"
ญาติผู้พี่ดิฉันชื่อโก๋ อยู่บ้านเดียวกัน อายุเบญจเพสพอดี แต่งตัวรุ่มร่ามรุงรัง นุ่งยีนส์ผมยาว สวมรองเท้ายางแต่ไม่ได้สะพายย่าม ทำงานฝ่ายศิลป์อยู่โรงพิมพ์ใกล้บ้านย่านบางพลัด พี่โก๋บอกว่าชอบใจคำขวัญที่เลอะกำแพงบ้านใกล้ๆ เหมือนกัน
"โดนว่ะ! พี่ซ้อนท้ายรถไอ้ใช้จะระวังมากๆ รับรองไม่ลืมหมวกนิรภัยเด็ดขาด!"
พี่ใช้เป็นเพื่อนพี่โก๋ ทำงานโรงพิมพ์เหมือนกัน แต่อยู่คนละแห่ง คู่ซี้นี่ชอบไปไหนมาไหนด้วยกัน พี่ใช้มีแมงกะไซค์คันเก่งมารับพี่โก๋ซ้อนท้าย เทียวรับเทียวส่งกันเป็นประจำ
บางคืนห้าทุ่มสองยามกว่าจะกลับบ้าน ดิฉันอยู่ชั้นบนได้ยินเสียงรถพี่ใช้ก็จำได้ เดี๋ยวพี่โก๋ก็ไขกุญแจประตูรั้วเข้ามา...เขานอนชั้นล่างค่ะ พี่โก๋เป็นคนสุภาพเรียบร้อย แต่เห่อของแปลกตามนิสัยวัยรุ่น สมัยก่อนเป็นขาร็อกต่อมาเปลี่ยนเป็นขาแร็พ ฮิพฮอพและเร็กเก้ตามลำดับ
ระยะหลังคลั่งเร็กเก้ทั้งคู่ พี่ใช้ลงทุนถักเปียเป็นพวงเต็มหัวเลย แต่มีผ้าคลุมไว้อีกที เห็นแต่ชายหางเปียห้อยตุ๊กติ๊ก ดิฉันแซวว่าอยากเป็นเร็กเก้ตัวจริงก็อย่าใช้ผ้าคลุมซี่...เขาบอกว่ามันเป็นแฟชั่นค่ะ!
พี่โก๋ยังไม่ถึงกับถักเปีย หรือ "ทรงหมูหย็อง" แต่เขามีศัพท์เฉพาะว่า "เดดล็อก" นิยมกันขนาดมีคนรับจ้างถักผมทรงนี้ให้ด้วย ช่างผมเก่งๆ มีเข็มเล่มเดียวก็ตั้งแผงหากินที่ถนนข้าวสารได้สบาย พวกสาวกเร็กเก้ทั้งไทยและนักท่องเที่ยวมารอคิวให้ถักผมทรงหมูหย็อง ฟูเต็มหัวแทบทั้งคืน...ที่มาดั้งเดิมคือ Rasta ดูเหมือนจะเป็นภาษาสเปนอะไรประมาณนี้แหละค่ะ
ขนาดยังใจไม่ถึง พี่โก๋ยังมีเรื่องราวของเร็กเก้มาเล่าเป็นประจำ เช่นบอกว่าศาสดาเร็กเก้คือ บ๊อบ มาร์เลย์ เพลงสุดฮิตคือ one love โด่งดังไปทั้งโลก หนุ่มๆ สาวๆ คลั่งไคล้กันหลายร้อยล้านคนแทบไม่น่าเชื่อ
ดิฉันเห็นพวกพี่ๆ เขาออกไปตะลอนๆ กันแทบทุกคืนแล้วอดเป็นห่วงไม่ได้ คอยเตือนให้จดจำคำขวัญสีแดงตัวโตๆ นั่นใหดีเน้อ!
"คนซ้อนตายคาที่ คนขี่ไปตายโรงพยาบาล!"
พี่ใช้ขำกลิ้ง บอกว่าขี่แมงกะไซค์มาหลายปีจนเปลี่ยนตั้ง 3 คันแล้ว ยังไม่เคยเกิดอุบัติเหตุซักครั้งเดียว! ดิฉันไม่ยอมแพ้หรอก เลยย้อนให้ว่า
"ระวังให้ดีๆเถอะ พี่ใช้ ลืมแล้วเหรอที่เขาบอกว่า...ทุกอย่างย่อมมีครั้งแรกทั้งนั้นแหละ! เผลอๆ ก็มีครั้งเดียวด้วยนะ อย่าลืม"
จนกระทั่งถึงคืนเกิดเหตุ!
ต้นเดือนมกราคมอากาศค่อนข้างหนาว ดิฉันเซฟค่าไฟด้วยการไม่เปิดแอร์แต่เปิดหน้าต่างโล่ง มีมุ้งลวดไว้กันยุงก็เย็นสบายพอแล้วค่ะ...คืนนั้นพี่ใช้มารับพี่โก๋ออกไปตั้งแต่เย็น เห็นว่านัดเพื่อนไปอุ่นเครื่องกันที่ประตูน้ำก่อน
ราวสองยามได้ ดิฉันกำลังเคลิ้มๆ ก็สะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงหมาเห่าเกรียวมาจากปากซอย พร้อมๆ กับเสียงมอเตอร์ไซค์ดังกระหึ่มเข้ามา...ดิฉันจำเสียงรถพี่ใช้ได้ค่ะ!
จริงด้วยซีคะ รถมาจอดที่หน้าบ้านเสียงล่ำลาดังเอะอะ เสียงไขประตูรั้ว...แล้วมอเตอร์ไซค์ก็แล่นกลับออกไปทางเดิม หมาเห่าเกรียวกราวอีกครั้ง แต่คราวนี้มีการโก่งคอหอนโหยหวนเหมือนพวกมันจะหอนส่งพี่ใช้ยังงั้นแหละ
พี่โก๋เข้าห้องได้ก็เงียบเชียบ...คงจะเมามากจนหลับสนิทไปเลย
รุ่งเช้า...พี่โก๋ไม่ได้กลับบ้านหรอกค่ะ พี่ใช้ก็เหมือนกัน...คุณๆ คงจะคาดเดาว่าเหตุการณ์เป็นเหมือนกับคำขวัญที่พ่นเอาไว้ข้างรั้วใช่ไหมคะ?
ถูกครึ่งเดียวค่ะ...เพราะตอนขากลับพี่ใช้พุ่งชนท้ายรถตู้ที่เชิงสะพานกรุงธนฝั่งบางพลัด...ตูมเดียวตายคาที่ทั้งคู่! วิญญาณยังไม่รู้ตัว ถึงได้พากันมาส่งตามเคยเหมือนกับยังมีชีวิตอยู่ไงคะ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2555
21 มิถุนายน 2558
ผีต้นนุ่น
"หนุ่มสุรินทร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากต้นนุ่นผีสิง
ผมเป็นคนสุรินทร์ครับ เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เหมือนกับคนอื่นๆ อีกนับแสนนับล้าน ตอนแรกๆ ผมก็เหงาเอาเรื่องตามคนไกลบ้าน แต่ไม่นานนักพรหมลิขิตก็ขีดเขี่ยให้ผมได้เจอกับสาวน้อยแสนสวยคนหนึ่งชื่ออ้อย ผมเลยหายเหงาเป็นปลิดทิ้ง
แหม...แค่เชื่อก็หวานขนาดนี้แล้ว ยิ่งได้เธอมาเป็นหวานใจผมงี้หลงซะจนคิดว่า อ้อ! ที่เขาว่าความรักทำให้คนตาบอดมันเป็นอย่างนี้นี่เอง! เล่นเอาผมลืมคิดถึงบ้านไปเลย
แต่อ้อยซิครับ เวลาวันหยุด วันตรุษหรือเทศกาลเธอก็ชอบกลับบ้านนอกเป็นประจำ ไม่ใช่กลับเปล่า เธอยังชวนผมไปเที่ยวบ้านด้วย...บ้านอ้อยอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านผมนิดเดียว! แฮ่ะๆ บอกแล้วว่าคนเป็นเนื้อคู่กันก็ยังงี้แหละ ถ้าอยู่ที่บ้านก็คงไม่ได้เจอ นี่พรหมลิขิตเขียนให้เรามาพบกันที่กรุงเทพฯ
เมื่อเดือนห้าที่ผ่านมานี้ก็เช่นกัน เป็นอีกวาระโอกาสหนึ่งซึ่งอ้อยได้กลับบ้าน และเธอก็ชวนให้ผมไปบ้านเธอให้ได้เช่นเคย
คืนวันที่ผมไปบ้านอ้อยน่ะ บรรยากาศช่างเป็นใจเหลือเกินครับ พระจันทร์แจ่มจ้าเต็มดวงพอดี โรแมนติกซะนี่กระไร ผมชวนน้อยที่เป็นเพื่อนรักซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปด้วยกันเพราะน้อยเองก็มีแฟนอยู่ใกล้ๆ นี้ ชื่อเต่า
พอถึงหมู่บ้านของอ้อย ผมกับน้อยก็แยกกันไปคนละทาง คือน้อยไปหาสาวเต่า ผมตรงดิ่งไปหาสาวอ้อย และน้อยก็ขอเอารถเครื่องไป ผมก็ เออ...เอาไปเถอะไม่เป็นไร ผมเดินไปได้แค่นี้เอง เวลากลับก็ใช้มือถือโทร.หากันละกัน จะได้นัดแนะให้เอารถมารับที่ปากทางเข้าหมู่บ้านตรงนี้ ว่าแล้วก็บึ่งรถไป หน้าบานเชียว
ผมเองก็กระหยิ่มยิ้มย่อง เดินทอดน่องสู่บ้านอ้อยตามหัวใจมันพาเดินไป...ทั้งๆ ที่ทางเข้าหมู่บ้านไปยังบ้านอ้อยจะเป็นถนนเล็กๆ สองข้างทางดูเปล่าเปลี่ยว แต่ผมไม่ยักกลัวแฮะ
ระหว่างทางมีต้นนุ่นใหญ่สูงทะมึน ลูกนุ่นห้อยระโยงระยางอยู่กลางแสงจันทร์ ผมมองว่ามันสวยน่ารักดีนะ ต้นไม้เนี่ย...ใจผมมันครึ้มครับ เดิมฮัมเพลงไปตลอดทาง
พอถึงบ้านสาวอ้อย ได้ไหว้พ่อแม่และทักทายพี่น้องเธอแล้ว เราก็มานั่งคุยกันที่แคร่หน้าบ้าน
เฮ้อ...คุยกันเหมือนไม่ได้เจอะเจอกันมานาน คนเรายามรักนี่ไม่รู้สรรหาอะไรมาพร่ำพลอดกันได้ไม่รู้เบื่อ เวลาก็ช่างผ่านไปเร็วไวซะเหลือเกินนะ เหลือบมองนาฬิกาอีกที เอ๊ะ! เกือบตีสอง...เร็วเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?
พอดีได้ยินเสียงพ่อของอ้อยกระแอมกระไออยู่ที่หน้าต่างเหนือแคร่นั้น ผมก็เลยจำใจต้องลาจาก...เอ๊ย! ลากลับบ้าน อากาศเริ่มเย็น ผมโทร.มือถือไปบอกน้อยให้มารับที่ปากทาง น้อยบอกว่าไม่ต้องรีบนะ ยังไม่หายมันส์เลย...
อย่างไรก็ตาม ผมเกรงใจบ้านอ้อยเขาน่ะครับ เลยค่อยๆ เดินกลับท่ามกลางฟ้าสว่างด้วยจันทร์เพ็ญ ลมพัดโชยมาเอื่อยๆ...ผมเดินมาตามถนน ในใจไม่กลัวอะไรตามเคย เพราะมัวแต่คิดถึงคำหวานและตาหวานๆ ของสาวอ้อย
เอ๊ะ! กลิ่นอะไร ทะแม่งๆ
ผมทำจมูกฟุดๆ ฟิดๆ มันเป็นกลิ่นเหมือนปลาเค็มเน่าๆ ผสมผสานกับกลิ่นธูปเอียนๆ ขนเริ่มลุกละครับท่านผู้ชม...
ทันใดนั้น ไม่รู้อะไรดลใจให้เงยหน้าขึ้นไป ผมเพิ่งรู้ตัวว่ามาหยุดอยู่ที่ต้นนุ่นพอดี...คุณพระช่วย! บนกิ่งนุ่นนั่นมันตัวอะไรหว่า? กลิ่นฉุนรุนแรงจนผมต้องยกมือปิดจมูก กลั้นลมหายใจ...และแล้ว ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็ชัดขึ้นทันที
มันเป็นร่างของผู้หญิงยืนอยู่บนกิ่งนุ่น มือไม้กางเกร็งแบบแข็งๆ เขม้นมองจ้องกลับลงมา ผมหนาวเยือกเข้ากระดูกดำ มีบางสิ่งบางอย่างคล้ายลูกเห็บตกใส่ตัวผมด้วย
ผีหลอก!! ผมวิ่งแน่บไม่คิดชีวิต หลับหูหลับตาวิ่งเตลิดเปิดเปิงชนิดที่เรียกว่าแหกป่า...มารู้ตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงน้อยเรียก ผมวิ่งมาถึงบ้านแฟนน้อยแน่ะครับ ไม่น่าเชื่อ!
น้อยถามว่าวิ่งหนีอะไรมา? ผมตัวสั่นปากสั่นบอกว่าโดนผีหลอก
สาวเต่าร้องหวีดแล้วซุกตัวเข้าหาเจ้าน้อย เธอว่าก่อนผมมาน่ะมีผู้หญิงผูกคอตายที่ต้นนุ่น เพิ่งเผาไปเมื่อสองวันก่อนนี่เอง!
เรื่องที่ผมถูกผีหลอก วิ่งหนีผมตั้งนี้ถูกเล่าแพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้าน ผมเลยพูดแก้เขินว่า นี่นะ...ถ้ารู้ว่าผีสาวละก็จะปล้ำซะให้เข็ดอยากหลอกดีนัก! แต่พูดก็พูดเถอะครับ คราวหน้าผมจะเดินไปบ้านอ้อยอีท่าไหนยังนึกไม่ออกเลยคุณ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555
ผมเป็นคนสุรินทร์ครับ เข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ เหมือนกับคนอื่นๆ อีกนับแสนนับล้าน ตอนแรกๆ ผมก็เหงาเอาเรื่องตามคนไกลบ้าน แต่ไม่นานนักพรหมลิขิตก็ขีดเขี่ยให้ผมได้เจอกับสาวน้อยแสนสวยคนหนึ่งชื่ออ้อย ผมเลยหายเหงาเป็นปลิดทิ้ง
แหม...แค่เชื่อก็หวานขนาดนี้แล้ว ยิ่งได้เธอมาเป็นหวานใจผมงี้หลงซะจนคิดว่า อ้อ! ที่เขาว่าความรักทำให้คนตาบอดมันเป็นอย่างนี้นี่เอง! เล่นเอาผมลืมคิดถึงบ้านไปเลย
แต่อ้อยซิครับ เวลาวันหยุด วันตรุษหรือเทศกาลเธอก็ชอบกลับบ้านนอกเป็นประจำ ไม่ใช่กลับเปล่า เธอยังชวนผมไปเที่ยวบ้านด้วย...บ้านอ้อยอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้านผมนิดเดียว! แฮ่ะๆ บอกแล้วว่าคนเป็นเนื้อคู่กันก็ยังงี้แหละ ถ้าอยู่ที่บ้านก็คงไม่ได้เจอ นี่พรหมลิขิตเขียนให้เรามาพบกันที่กรุงเทพฯ
เมื่อเดือนห้าที่ผ่านมานี้ก็เช่นกัน เป็นอีกวาระโอกาสหนึ่งซึ่งอ้อยได้กลับบ้าน และเธอก็ชวนให้ผมไปบ้านเธอให้ได้เช่นเคย
คืนวันที่ผมไปบ้านอ้อยน่ะ บรรยากาศช่างเป็นใจเหลือเกินครับ พระจันทร์แจ่มจ้าเต็มดวงพอดี โรแมนติกซะนี่กระไร ผมชวนน้อยที่เป็นเพื่อนรักซ้อนมอเตอร์ไซค์ไปด้วยกันเพราะน้อยเองก็มีแฟนอยู่ใกล้ๆ นี้ ชื่อเต่า
พอถึงหมู่บ้านของอ้อย ผมกับน้อยก็แยกกันไปคนละทาง คือน้อยไปหาสาวเต่า ผมตรงดิ่งไปหาสาวอ้อย และน้อยก็ขอเอารถเครื่องไป ผมก็ เออ...เอาไปเถอะไม่เป็นไร ผมเดินไปได้แค่นี้เอง เวลากลับก็ใช้มือถือโทร.หากันละกัน จะได้นัดแนะให้เอารถมารับที่ปากทางเข้าหมู่บ้านตรงนี้ ว่าแล้วก็บึ่งรถไป หน้าบานเชียว
ผมเองก็กระหยิ่มยิ้มย่อง เดินทอดน่องสู่บ้านอ้อยตามหัวใจมันพาเดินไป...ทั้งๆ ที่ทางเข้าหมู่บ้านไปยังบ้านอ้อยจะเป็นถนนเล็กๆ สองข้างทางดูเปล่าเปลี่ยว แต่ผมไม่ยักกลัวแฮะ
ระหว่างทางมีต้นนุ่นใหญ่สูงทะมึน ลูกนุ่นห้อยระโยงระยางอยู่กลางแสงจันทร์ ผมมองว่ามันสวยน่ารักดีนะ ต้นไม้เนี่ย...ใจผมมันครึ้มครับ เดิมฮัมเพลงไปตลอดทาง
พอถึงบ้านสาวอ้อย ได้ไหว้พ่อแม่และทักทายพี่น้องเธอแล้ว เราก็มานั่งคุยกันที่แคร่หน้าบ้าน
เฮ้อ...คุยกันเหมือนไม่ได้เจอะเจอกันมานาน คนเรายามรักนี่ไม่รู้สรรหาอะไรมาพร่ำพลอดกันได้ไม่รู้เบื่อ เวลาก็ช่างผ่านไปเร็วไวซะเหลือเกินนะ เหลือบมองนาฬิกาอีกที เอ๊ะ! เกือบตีสอง...เร็วเกินไปหรือเปล่าเนี่ย?
พอดีได้ยินเสียงพ่อของอ้อยกระแอมกระไออยู่ที่หน้าต่างเหนือแคร่นั้น ผมก็เลยจำใจต้องลาจาก...เอ๊ย! ลากลับบ้าน อากาศเริ่มเย็น ผมโทร.มือถือไปบอกน้อยให้มารับที่ปากทาง น้อยบอกว่าไม่ต้องรีบนะ ยังไม่หายมันส์เลย...
อย่างไรก็ตาม ผมเกรงใจบ้านอ้อยเขาน่ะครับ เลยค่อยๆ เดินกลับท่ามกลางฟ้าสว่างด้วยจันทร์เพ็ญ ลมพัดโชยมาเอื่อยๆ...ผมเดินมาตามถนน ในใจไม่กลัวอะไรตามเคย เพราะมัวแต่คิดถึงคำหวานและตาหวานๆ ของสาวอ้อย
เอ๊ะ! กลิ่นอะไร ทะแม่งๆ
ผมทำจมูกฟุดๆ ฟิดๆ มันเป็นกลิ่นเหมือนปลาเค็มเน่าๆ ผสมผสานกับกลิ่นธูปเอียนๆ ขนเริ่มลุกละครับท่านผู้ชม...
ทันใดนั้น ไม่รู้อะไรดลใจให้เงยหน้าขึ้นไป ผมเพิ่งรู้ตัวว่ามาหยุดอยู่ที่ต้นนุ่นพอดี...คุณพระช่วย! บนกิ่งนุ่นนั่นมันตัวอะไรหว่า? กลิ่นฉุนรุนแรงจนผมต้องยกมือปิดจมูก กลั้นลมหายใจ...และแล้ว ภาพที่ปรากฏแก่สายตาก็ชัดขึ้นทันที
มันเป็นร่างของผู้หญิงยืนอยู่บนกิ่งนุ่น มือไม้กางเกร็งแบบแข็งๆ เขม้นมองจ้องกลับลงมา ผมหนาวเยือกเข้ากระดูกดำ มีบางสิ่งบางอย่างคล้ายลูกเห็บตกใส่ตัวผมด้วย
ผีหลอก!! ผมวิ่งแน่บไม่คิดชีวิต หลับหูหลับตาวิ่งเตลิดเปิดเปิงชนิดที่เรียกว่าแหกป่า...มารู้ตัวอีกทีตอนได้ยินเสียงน้อยเรียก ผมวิ่งมาถึงบ้านแฟนน้อยแน่ะครับ ไม่น่าเชื่อ!
น้อยถามว่าวิ่งหนีอะไรมา? ผมตัวสั่นปากสั่นบอกว่าโดนผีหลอก
สาวเต่าร้องหวีดแล้วซุกตัวเข้าหาเจ้าน้อย เธอว่าก่อนผมมาน่ะมีผู้หญิงผูกคอตายที่ต้นนุ่น เพิ่งเผาไปเมื่อสองวันก่อนนี่เอง!
เรื่องที่ผมถูกผีหลอก วิ่งหนีผมตั้งนี้ถูกเล่าแพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้าน ผมเลยพูดแก้เขินว่า นี่นะ...ถ้ารู้ว่าผีสาวละก็จะปล้ำซะให้เข็ดอยากหลอกดีนัก! แต่พูดก็พูดเถอะครับ คราวหน้าผมจะเดินไปบ้านอ้อยอีท่าไหนยังนึกไม่ออกเลยคุณ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2555
20 มิถุนายน 2558
วิญญาณคนเป็น
"รสสุคนธ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกหน้าตลาด อ.ต.ก.
ดิฉันมีญาติสนิทเป็นพี่สาวของพ่อ เรียกท่านว่าคุณป้าๆ มาตั้งแต่จำความได้ บ้านท่านอยู่ซอยสายลม สนามเป้า ส่วนดิฉันอยู่กับครอบครัวที่ซอยสีฟ้า ไม่ไกลกันนัก
คุณป้ามีลูกหลายคน ที่แต่งงานแล้วก็ปลูกบ้านอยู่ในรั้วเดียวกันนั่นเอง
ดิฉันเคยไปเยี่ยมเยียนที่นั่นบ่อยๆ นอกจากหลานย่าหลานยายแล้ว ดิฉันยังเป็น "หลานป้า" ที่สนิทสนมกับท่านมากๆ สมัยเด็กคุณป้าเคยขอดิฉันเป็นลูก แต่พ่อหัวเราะเฉยเสีย ถ้าถูกคะยั้นคะยอมากๆ ก็บอกว่า...ถ้ารักมากก็ทำพินัยกรรมแบ่งมรดกให้ก็แล้วกัน!
คุณป้าถอนใจ ดึงดิฉันเข้าไปกอด พึมพำว่า...ป้ามีลูกหลายคนก็จริง แต่ทำไมรู้สึกผูกพันกับหนูเหมือนเป็นลูกในไส้ก็ไม่รู้? สงสัยว่าชาติก่อนคงเคยเป็นลูกป้าจริงๆ แน่เลย!
ไม่มีใครคิดอะไรมากหรอกค่ะ นอกจากจะหัวเราะกันเป็นเรื่องสนุก บางคนยังหาว่าพ่อโง่ที่ไม่ยกลูกให้คุณป้า เพราะใครๆ ก็รู้ว่าคุณป้าร่ำรวย มีบ้านใหญ่ๆ ให้เช่าหลายหลัง
ญาติบางคนอยากยกลูกสาวให้เป็นลูกบุญธรรมคุณป้า แต่ท่านไม่เล่นด้วย จิตใจรู้สึกจะผูกพันกับดิฉันเป็นพิเศษ ซื้อของดีๆ แพงๆ ให้เป็นของขวัญประจำ แม้แต่ตอนแต่งงานก็ได้เครื่องเพชรเครื่องทองที่เป็นของเก่าล้ำค่า จนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เคราะห์ดีที่พวกพี่ๆ ลูกของท่านรักใคร่ดิฉันทุกคนเลยไม่มีปัญหาอะไร
จนกระทั่งเวลาผ่านไป คุณป้าอายุ 70 เศษก็ล้มป่วยกระเสาะกระแสะ ทั้งหัวใจ เบาหวาน ความดันสูง ที่สุดก็เป็นอัมพฤกษ์ มีอาการอัลไซเมอร์ระดับแรกๆ ด้วย
ดิฉันหาโอกาสไปเยี่ยมท่านบ่อยๆ จำได้ว่าท่านชอบไปซื้อผลไม้ที่อ.ต.ก.หน้าตลาดสวนจตุจักร ก็ไปซื้อผลไม้จากเจ้าประจำของคุณป้าไปฝาก ทั้งลูกพลับ สาลี่ องุ่น ส้มบางมด ลูกพรุนสด...ถึงจะแพงก็ไม่เสียดมเสียดายหรอกค่ะ เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณท่าน
ตอนแรกคุณป้าก็บ่นว่าเปลืองเงินทอง ไม่รู้จะขนซื้อมาทำไม? แต่เมื่อดิฉันปอกผลไม้ให้ทานก็ทานได้มากจนพวกพี่ๆ ล้อว่า...ต้องให้ลูกสาวคนโปรดมาป้อน ไม่งั้นกินไม่ลง!
ต่อมาคุณป้าต้องเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาล ร่างท้วม ผลสีดอกเลา นอนแซ่วหน้าตาอิดโรย อาหารหลงๆ ลืมๆ ชักจะเพิ่มขึ้นทุกที บางครั้งถึงกับจำหน้าลูกหลานไม่ได้ก็มี
น่าแปลกที่ท่านจำดิฉันได้ทุกครั้งค่ะ พอเข้าไปกราบที่อกท่านก็จับมือไว้ พึมพำว่า...มาแล้วหรือลูก? แม่รอทั้งวันเลย ดิฉันแสบร้อนทั้งเบ้าตา นัยน์ตาคุณป้าก็เปียกชุ่มเช่นกัน
คุณป้ามักกุมมือดิฉันไว้ตลอด เพ่งมองไม่รู้เบื่อ จะลากลับเพื่อให้ท่านได้พักผ่อนก็ไม่ยอม ต้องรอจนกว่าท่านจะหลับไปเองถึงจะปลีกตัวมาได้
ตอนหลังๆ หมอให้กลับมารักษาตัวที่บ้าน จ้างพยาบาลไว้ดูแล ดิฉันเลิกงานก็ไปเยี่ยมทุกวัน บางทีต้องทำหน้าที่ป้อนอาหารป้อนน้ำ เพราะคุณป้าบอกว่าจะไม่ยอมกินอะไรจนกว่าดิฉันจะมา
เหตุการณ์ขนหัวลุกเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เอง!
พ่อแม่ไปเยี่ยมท่านเมื่อ 2-3 วันก่อน คุณป้าบอกว่าอยากกิน "ลูกไหน" พวกลูกๆ ท่านไม่มีใครรู้จัก พ่อแม่ดิฉันก็งงๆ พอดีคุณตาท่านหนึ่งอยู่บ้านใกล้ๆ กัน บอกว่า "ลูกไหน" คล้ายองุ่นลูกโตๆ สีแดงอมม่วง เปลือกบาง รสเปรี้ยวอมหวาน เคยเห็นมีขายที่ อ.ต.ก.
วันเสาร์นั้น ดิฉันขับรถไปซื้อลูกไหนให้คุณป้าได้สำเร็จ ลูกโตพวงใหญ่ดูน่ากิน ลองชิมดูก็ชุ่มฉ่ำดี แต่คิดว่าเปรี้ยวมากกว่าหวาน เห็นมังคุดลูกเล็กๆ ที่เรียกว่า "ดอกมังคุด" รสหวานดีกว่าลูกโตๆ ส่วนมากไม่มีเม็ดด้วย อ้อ! ได้ลิ้นจี่มาอีกสองกิโล
จู่ๆ เหมือนมีอะไรดึงดูดสายตา ดิฉันหันไปเห็นคุณป้ากำลังก้าวขึ้นตุ๊กตุ๊กพอดี!
"คุณป้า..." ร้องตะโกนอย่างลืมตัว ดูเหมือนหน้าอูมๆ จะหันมามองยิ้มๆ หน่อยหนึ่ง ผมสีดอกเลาปลิวไสว...รถตุ๊กตุ๊กคนนั้นก็เลี้ยวออกไปเสียแล้ว ดิฉันได้แต่ยืนตะลึงเมื่อนึกว่าคุณป้านอนเจ็บหนักอยู่แท้ๆ จะลุกมาถึงนี่ได้ยังไง จะว่าอยากกินลูกไหนเต็มทีก็ให้ใครมาซื้อได้นี่นา...นี่อุตส่าห์ลุกมาเองโดยไม่มีใครประคับประคองดูแลด้วยซ้ำ!
หรือคุณป้าจะหายแล้ว...ในช่วงเวลา 2-3 วันนี่เอง?
ไม่ได้คิดเรื่องผีๆ สางๆ หรอกค่ะ กลางวันแสกๆ แดดเปรี้ยง...รีบขึ้นรถบึ่งไปบ้านคุณป้าทันที คิดจะต่อว่าพวกพี่ๆ เรื่องปล่อยให้ท่านมาซื้อผลไม้ที่ อ.ต.ก.คนเดียว
ปรากฏว่าพบคุณป้านอนแซ่วอยู่ตามเดิม ลูกๆ หลานๆ ล้วนหน้าตาไม่ค่อยดีไปตามๆ กัน...ดิฉันยั้งปากไว้ทันบอกว่าไปหาลูกไหนให้คุณป้าได้แล้ว พวกพี่ๆ กับหลานๆ ขอดูกันใหญ่ ทันใดคุณป้าก็ลืมตาขึ้น...ได้ลูกไหนมาแล้วหรือ?
จัดการล้างลูกไหนแล้วผ่าเป็นชิ้นเล็กๆ ให้ท่านกิน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ขอชิมกันทุกคน ส่วนมากทำหน้าเบ้ คุณป้ากินลูกไหนได้ 2-3 คำก็พึมพำว่า...ชื่นใจ! ขอบใจนะลูก...แล้วก็หลับไป
รุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าคุณป้าสิ้นลมเมื่อคืนนี้เอง ดิฉันเล่าเรื่องขนหัวลุกให้พ่อแม่ฟัง...หายสงสัยแล้วค่ะว่าเห็นคุณป้าที่ตลาด อ.ต.ก.วันนั้นได้ยังไง?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555
ดิฉันมีญาติสนิทเป็นพี่สาวของพ่อ เรียกท่านว่าคุณป้าๆ มาตั้งแต่จำความได้ บ้านท่านอยู่ซอยสายลม สนามเป้า ส่วนดิฉันอยู่กับครอบครัวที่ซอยสีฟ้า ไม่ไกลกันนัก
คุณป้ามีลูกหลายคน ที่แต่งงานแล้วก็ปลูกบ้านอยู่ในรั้วเดียวกันนั่นเอง
ดิฉันเคยไปเยี่ยมเยียนที่นั่นบ่อยๆ นอกจากหลานย่าหลานยายแล้ว ดิฉันยังเป็น "หลานป้า" ที่สนิทสนมกับท่านมากๆ สมัยเด็กคุณป้าเคยขอดิฉันเป็นลูก แต่พ่อหัวเราะเฉยเสีย ถ้าถูกคะยั้นคะยอมากๆ ก็บอกว่า...ถ้ารักมากก็ทำพินัยกรรมแบ่งมรดกให้ก็แล้วกัน!
คุณป้าถอนใจ ดึงดิฉันเข้าไปกอด พึมพำว่า...ป้ามีลูกหลายคนก็จริง แต่ทำไมรู้สึกผูกพันกับหนูเหมือนเป็นลูกในไส้ก็ไม่รู้? สงสัยว่าชาติก่อนคงเคยเป็นลูกป้าจริงๆ แน่เลย!
ไม่มีใครคิดอะไรมากหรอกค่ะ นอกจากจะหัวเราะกันเป็นเรื่องสนุก บางคนยังหาว่าพ่อโง่ที่ไม่ยกลูกให้คุณป้า เพราะใครๆ ก็รู้ว่าคุณป้าร่ำรวย มีบ้านใหญ่ๆ ให้เช่าหลายหลัง
ญาติบางคนอยากยกลูกสาวให้เป็นลูกบุญธรรมคุณป้า แต่ท่านไม่เล่นด้วย จิตใจรู้สึกจะผูกพันกับดิฉันเป็นพิเศษ ซื้อของดีๆ แพงๆ ให้เป็นของขวัญประจำ แม้แต่ตอนแต่งงานก็ได้เครื่องเพชรเครื่องทองที่เป็นของเก่าล้ำค่า จนแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง เคราะห์ดีที่พวกพี่ๆ ลูกของท่านรักใคร่ดิฉันทุกคนเลยไม่มีปัญหาอะไร
จนกระทั่งเวลาผ่านไป คุณป้าอายุ 70 เศษก็ล้มป่วยกระเสาะกระแสะ ทั้งหัวใจ เบาหวาน ความดันสูง ที่สุดก็เป็นอัมพฤกษ์ มีอาการอัลไซเมอร์ระดับแรกๆ ด้วย
ดิฉันหาโอกาสไปเยี่ยมท่านบ่อยๆ จำได้ว่าท่านชอบไปซื้อผลไม้ที่อ.ต.ก.หน้าตลาดสวนจตุจักร ก็ไปซื้อผลไม้จากเจ้าประจำของคุณป้าไปฝาก ทั้งลูกพลับ สาลี่ องุ่น ส้มบางมด ลูกพรุนสด...ถึงจะแพงก็ไม่เสียดมเสียดายหรอกค่ะ เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณท่าน
ตอนแรกคุณป้าก็บ่นว่าเปลืองเงินทอง ไม่รู้จะขนซื้อมาทำไม? แต่เมื่อดิฉันปอกผลไม้ให้ทานก็ทานได้มากจนพวกพี่ๆ ล้อว่า...ต้องให้ลูกสาวคนโปรดมาป้อน ไม่งั้นกินไม่ลง!
ต่อมาคุณป้าต้องเวียนเข้าเวียนออกโรงพยาบาล ร่างท้วม ผลสีดอกเลา นอนแซ่วหน้าตาอิดโรย อาหารหลงๆ ลืมๆ ชักจะเพิ่มขึ้นทุกที บางครั้งถึงกับจำหน้าลูกหลานไม่ได้ก็มี
น่าแปลกที่ท่านจำดิฉันได้ทุกครั้งค่ะ พอเข้าไปกราบที่อกท่านก็จับมือไว้ พึมพำว่า...มาแล้วหรือลูก? แม่รอทั้งวันเลย ดิฉันแสบร้อนทั้งเบ้าตา นัยน์ตาคุณป้าก็เปียกชุ่มเช่นกัน
คุณป้ามักกุมมือดิฉันไว้ตลอด เพ่งมองไม่รู้เบื่อ จะลากลับเพื่อให้ท่านได้พักผ่อนก็ไม่ยอม ต้องรอจนกว่าท่านจะหลับไปเองถึงจะปลีกตัวมาได้
ตอนหลังๆ หมอให้กลับมารักษาตัวที่บ้าน จ้างพยาบาลไว้ดูแล ดิฉันเลิกงานก็ไปเยี่ยมทุกวัน บางทีต้องทำหน้าที่ป้อนอาหารป้อนน้ำ เพราะคุณป้าบอกว่าจะไม่ยอมกินอะไรจนกว่าดิฉันจะมา
เหตุการณ์ขนหัวลุกเกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เอง!
พ่อแม่ไปเยี่ยมท่านเมื่อ 2-3 วันก่อน คุณป้าบอกว่าอยากกิน "ลูกไหน" พวกลูกๆ ท่านไม่มีใครรู้จัก พ่อแม่ดิฉันก็งงๆ พอดีคุณตาท่านหนึ่งอยู่บ้านใกล้ๆ กัน บอกว่า "ลูกไหน" คล้ายองุ่นลูกโตๆ สีแดงอมม่วง เปลือกบาง รสเปรี้ยวอมหวาน เคยเห็นมีขายที่ อ.ต.ก.
วันเสาร์นั้น ดิฉันขับรถไปซื้อลูกไหนให้คุณป้าได้สำเร็จ ลูกโตพวงใหญ่ดูน่ากิน ลองชิมดูก็ชุ่มฉ่ำดี แต่คิดว่าเปรี้ยวมากกว่าหวาน เห็นมังคุดลูกเล็กๆ ที่เรียกว่า "ดอกมังคุด" รสหวานดีกว่าลูกโตๆ ส่วนมากไม่มีเม็ดด้วย อ้อ! ได้ลิ้นจี่มาอีกสองกิโล
จู่ๆ เหมือนมีอะไรดึงดูดสายตา ดิฉันหันไปเห็นคุณป้ากำลังก้าวขึ้นตุ๊กตุ๊กพอดี!
"คุณป้า..." ร้องตะโกนอย่างลืมตัว ดูเหมือนหน้าอูมๆ จะหันมามองยิ้มๆ หน่อยหนึ่ง ผมสีดอกเลาปลิวไสว...รถตุ๊กตุ๊กคนนั้นก็เลี้ยวออกไปเสียแล้ว ดิฉันได้แต่ยืนตะลึงเมื่อนึกว่าคุณป้านอนเจ็บหนักอยู่แท้ๆ จะลุกมาถึงนี่ได้ยังไง จะว่าอยากกินลูกไหนเต็มทีก็ให้ใครมาซื้อได้นี่นา...นี่อุตส่าห์ลุกมาเองโดยไม่มีใครประคับประคองดูแลด้วยซ้ำ!
หรือคุณป้าจะหายแล้ว...ในช่วงเวลา 2-3 วันนี่เอง?
ไม่ได้คิดเรื่องผีๆ สางๆ หรอกค่ะ กลางวันแสกๆ แดดเปรี้ยง...รีบขึ้นรถบึ่งไปบ้านคุณป้าทันที คิดจะต่อว่าพวกพี่ๆ เรื่องปล่อยให้ท่านมาซื้อผลไม้ที่ อ.ต.ก.คนเดียว
ปรากฏว่าพบคุณป้านอนแซ่วอยู่ตามเดิม ลูกๆ หลานๆ ล้วนหน้าตาไม่ค่อยดีไปตามๆ กัน...ดิฉันยั้งปากไว้ทันบอกว่าไปหาลูกไหนให้คุณป้าได้แล้ว พวกพี่ๆ กับหลานๆ ขอดูกันใหญ่ ทันใดคุณป้าก็ลืมตาขึ้น...ได้ลูกไหนมาแล้วหรือ?
จัดการล้างลูกไหนแล้วผ่าเป็นชิ้นเล็กๆ ให้ท่านกิน ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ขอชิมกันทุกคน ส่วนมากทำหน้าเบ้ คุณป้ากินลูกไหนได้ 2-3 คำก็พึมพำว่า...ชื่นใจ! ขอบใจนะลูก...แล้วก็หลับไป
รุ่งขึ้นก็ได้ข่าวว่าคุณป้าสิ้นลมเมื่อคืนนี้เอง ดิฉันเล่าเรื่องขนหัวลุกให้พ่อแม่ฟัง...หายสงสัยแล้วค่ะว่าเห็นคุณป้าที่ตลาด อ.ต.ก.วันนั้นได้ยังไง?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2555
17 มิถุนายน 2558
เพื่อนมาส่ง
"กชวรรณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณเพื่อนรัก
สมัยเด็กๆ อยู่ต่างจังหวัด ดิฉันเคยได้ฟังเรื่องผีต่างๆ มากมาย ไม่ว่าผีบ้านหรือผีป่า ยิ่งผีตายโหงกับผีตายทั้งกลมด้วยแล้วเขาเชื่อกันว่าเฮี้ยนนัก มีคนโดนหลอกหลอนจนแทบเป็นบ้าเป็นหลังมานับไม่ถ้วน
น่าสงสัยว่าผีตายโหงที่โดนฆ่าหลายราย เหตุใดวิญญาณจึงไม่อาฆาต ตามไปเอาชีวิตคนที่ฆ่าตน? แต่เชื่อกันว่าวิญญาณทั้งหลายก็เหมือนผู้คนทั่วไป คือมีทั้งดีและร้าย สุภาพเรียบร้อยก็มี เกะกะเกเรก็มี ไม่ใช่ว่าเมื่อกลายเป็นภูตผีแล้วจะต้องดุร้ายน่าสะพรึงกลัวเสมอไป
ฆาตกรอาจมีคาถาสะกดวิญญาณผีตายโหง ไหนจะมีการนำเสื้อผ้าชุดที่สวมใส่ตอนกระทำการร้ายไปเผาไฟทิ้งทันที ทำให้วิญญาณของผู้ตายไม่อาจจะติดตามฆาตกรได้สำเร็จ
เมื่อครอบครัวเราย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ดิฉันเติบโตและมีการศึกษาพอสมควร ก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องต่างๆ ที่เคยได้ยินมาล้วนแต่เหลวไหล งมงายไร้เหตุผลทั้งนั้น แม้ว่าจะชอบอ่านเรื่องผี ดูหนังผีมานักต่อนัก แต่ตัวเองไม่กลัวผีหรอกค่ะ...
ไม่เชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ว่ามีจริงด้วยซ้ำ!
จนกระทั่งได้พบกับสิ่งแปลกประหลาด น่าขนหัวลุกเข้าอย่างจังๆ ขอให้ผู้อ่านช่วยพิจารณาด้วยค่ะ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้เป็นผีหลอก หรือเป็นปรากฏการณ์เหนือคำอธิบาย
ดิฉันเป็นข้าราชการอยู่แถวๆ เสาชิงช้า แต่บ้านอยู่ถึงสุทธิสารด้านใกล้ๆ กับสะพานควาย ใช้รถเมล์เป็นพาหนะทั้งไปและกลับ ใกล้ๆ ที่ทำงานมีของขายสารพัดคล้ายตลาดนัดย่อมๆ ไม่ว่าเสื้อผ้าสวยๆ ของใช้และของเล่น ขนมและผลไม้ เดินผ่านก็อดแวะดูแวะซื้อไม่ได้หรอกค่ะ เพื่อฝากพ่อแม่ที่บ้าน จนแม่ต้องขอร้องว่าอย่าซื้ออะไรมาทุกวันเลย
ไหนจะหมดเปลืองเงินทอง ไหนจะลำบากลำบนหอบหิ้วขึ้นรถเมล์!
ข้อสำคัญคือต้องเดินเข้าซอยบ้านอีกสองร้อยกว่าเมตร ไม่อยากใช้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างหรอกค่ะ บอกตรงๆ ว่าไม่เคยนั่ง ไม่กล้านั่ง สู้เดินเอาดีกว่า มีผู้คนหนาตาไม่ต้องกลัว แถมได้เดินออกกำลังอีกด้วย
จู่ๆ วันหนึ่งก็ได้ข่าวเศร้า...
เพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานคนหนึ่งชื่อติ๋ม เราสนิทกันมาก รักกันเหมือนพี่น้อง ดิฉันเรียกพี่ติ๋มทุกคน เธอเป็นสาวเหนือผิวขาวเหลือง สวยน่ารักคล้ายตุ๊กตา นิสัยร่าเริง ช่างพูดช่างเล่น...ข้อสำคัญคือมีน้ำใจไมตรีกับเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะกับดิฉัน...ขนาดวันหยุดถึงกับมาเยี่ยมเยียนที่บ้านบ่อยครั้ง พ่อแม่ก็ถูกชะตากับพี่ติ๋มมากค่ะ
เรายังโสดทั้งคู่ ไปไหนไปกัน บางทีก็ไปเที่ยวต่าง จังหวัดใกล้ๆ กับทัวร์ เช่น ไปไหว้พระ 9 วัดที่อ่างทองบ้าง ไปเที่ยวระยองและเกาะสีชังบ้าง ส่วนมากจะค้างแค่คืนเดียวเท่านั้น
กระทั่งพี่ติ๋มมีแฟนเราก็ห่างกันไป เพราะเธอต้องให้เวลากับคนรักมากกว่าเพื่อนอยู่แล้ว แม่เห็นพี่ติ๋มหายไปก็ถามถึงบ่อยๆ แต่พอรู้สาเหตุก็ยิ้มๆ อย่างเข้าใจดีค่ะ
วันนั้นเป็นวันจันทร์ พี่ติ๋มพาแฟนไปเยี่ยมบ้านที่ลำปางตั้งแต่ตอนเย็นวันศุกร์ กำหนดกลับเช้าวันจันทร์ บอกว่าขับรถออกจากลำปางคืนวันอาทิตย์ มาถึงกรุงเทพฯ เช้ามืด...ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็จะอาบน้ำแต่งตัวมาทำงานเลย
แต่เมื่อถึงวันนั้นก็ไม่มีวี่แววพี่ติ๋ม สงสัยจะเพลียจากการเดินทางไกล? จนกระทั่งตกบ่ายถึงได้มีโทรศัพท์จากทางบ้านพี่ติ๋มมาถึงหัวหน้า บอกข่าวร้ายที่ทำให้ตกตะลึงไปตามๆ กัน
พี่ติ๋มกับแฟนเกิดอุบัติเหตุเมื่อออกจากลำปางมาไม่ไกลนัก บาดเจ็บสาหัสทั้งคู่...ตอนนี้อยู่ในห้องไอซียู อาการเป็นตายเท่าๆ กัน!
หัวหน้าโทร.ไปเช็กที่โรงพยาบาลในลำปางก็ได้รับคำยืนยันว่า ข่าวร้ายนั้นเป็นความจริง...พวกเราปรึกษาหารือกันว่าจะไปเยี่ยมพี่ติ๋มดีไหม? แต่จะไปได้ยังไงเพราะไกลเหลือเกิน แถมไม่ใช่วันหยุดอีกต่างหาก...หัวหน้าบอกว่า ตอนนี้เราได้แต่หวังว่าพี่ติ๋มคงจะอาการดีขึ้นแล้ววันศุกร์จะชวนเพื่อนๆ ที่สนิทกันไปเยี่ยมที่ลำปาง...
เย็นนั้นดิฉันหดหู่จนคิดอะไรไม่ออก หมดกะจิตกะใจแวะดูของกินของใช้เหมือนเคย ได้แต่เดินใจลอยไปที่ป้ายรถเมล์...ขณะเดินทางกลับบ้านก็ยังนึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของเพื่อนรัก! โธ่ พี่ติ๋ม...
ขณะเดินเข้าซอยบ้าน ท่ามกลางผู้คนหนาตา รถราคึกคักตามเดิม...ดิฉันเพิ่งนึกได้ว่าน่าจะนั่งแท็กซี่กลับ เพราะอ่อนล้าอิดโรยเหลือเกิน...กลิ่นอะไรคุ้นๆ จมูกอวลอยู่ใกล้ๆ
พี่ติ๋มเหรอคะ? ดิฉันขนลุกซ่า เหลียวซ้ายแลขวาอย่างลืมตัวแต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูรั้ว มองเห็นแม่เดินดูต้นไม้อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะมาเปิดประตูให้ใบหน้ายิ้มละไม...ยกมือไหว้มาทางดิฉันที่ยืนอ้าปากค้าง
"แหม! วันนี้มาเยี่ยมแม่ได้ เข้ามาก่อนซีติ๋ม..."
แม่ทักทาย เมื่อกี้คงจะรับไหว้พี่ติ๋ม! ส่วนดิฉันเข่าอ่อน ตาลายพร่า ใจหวิวๆ จะเป็นลม...คืนนั้นโทร.ไปที่ร.พ.ลำปางก็ทราบว่าพี่ติ๋มกับคนรักสิ้นลมไล่ๆ กันในตอนเย็น
พี่ติ๋มอุตส่าห์เดินมาส่งถึงบ้าน แต่แม่ดิฉันเป็นลมไปเลยเมื่อรู้ข่าวน่ะซีคะ!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555
สมัยเด็กๆ อยู่ต่างจังหวัด ดิฉันเคยได้ฟังเรื่องผีต่างๆ มากมาย ไม่ว่าผีบ้านหรือผีป่า ยิ่งผีตายโหงกับผีตายทั้งกลมด้วยแล้วเขาเชื่อกันว่าเฮี้ยนนัก มีคนโดนหลอกหลอนจนแทบเป็นบ้าเป็นหลังมานับไม่ถ้วน
น่าสงสัยว่าผีตายโหงที่โดนฆ่าหลายราย เหตุใดวิญญาณจึงไม่อาฆาต ตามไปเอาชีวิตคนที่ฆ่าตน? แต่เชื่อกันว่าวิญญาณทั้งหลายก็เหมือนผู้คนทั่วไป คือมีทั้งดีและร้าย สุภาพเรียบร้อยก็มี เกะกะเกเรก็มี ไม่ใช่ว่าเมื่อกลายเป็นภูตผีแล้วจะต้องดุร้ายน่าสะพรึงกลัวเสมอไป
ฆาตกรอาจมีคาถาสะกดวิญญาณผีตายโหง ไหนจะมีการนำเสื้อผ้าชุดที่สวมใส่ตอนกระทำการร้ายไปเผาไฟทิ้งทันที ทำให้วิญญาณของผู้ตายไม่อาจจะติดตามฆาตกรได้สำเร็จ
เมื่อครอบครัวเราย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ดิฉันเติบโตและมีการศึกษาพอสมควร ก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องต่างๆ ที่เคยได้ยินมาล้วนแต่เหลวไหล งมงายไร้เหตุผลทั้งนั้น แม้ว่าจะชอบอ่านเรื่องผี ดูหนังผีมานักต่อนัก แต่ตัวเองไม่กลัวผีหรอกค่ะ...
ไม่เชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ว่ามีจริงด้วยซ้ำ!
จนกระทั่งได้พบกับสิ่งแปลกประหลาด น่าขนหัวลุกเข้าอย่างจังๆ ขอให้ผู้อ่านช่วยพิจารณาด้วยค่ะ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้เป็นผีหลอก หรือเป็นปรากฏการณ์เหนือคำอธิบาย
ดิฉันเป็นข้าราชการอยู่แถวๆ เสาชิงช้า แต่บ้านอยู่ถึงสุทธิสารด้านใกล้ๆ กับสะพานควาย ใช้รถเมล์เป็นพาหนะทั้งไปและกลับ ใกล้ๆ ที่ทำงานมีของขายสารพัดคล้ายตลาดนัดย่อมๆ ไม่ว่าเสื้อผ้าสวยๆ ของใช้และของเล่น ขนมและผลไม้ เดินผ่านก็อดแวะดูแวะซื้อไม่ได้หรอกค่ะ เพื่อฝากพ่อแม่ที่บ้าน จนแม่ต้องขอร้องว่าอย่าซื้ออะไรมาทุกวันเลย
ไหนจะหมดเปลืองเงินทอง ไหนจะลำบากลำบนหอบหิ้วขึ้นรถเมล์!
ข้อสำคัญคือต้องเดินเข้าซอยบ้านอีกสองร้อยกว่าเมตร ไม่อยากใช้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างหรอกค่ะ บอกตรงๆ ว่าไม่เคยนั่ง ไม่กล้านั่ง สู้เดินเอาดีกว่า มีผู้คนหนาตาไม่ต้องกลัว แถมได้เดินออกกำลังอีกด้วย
จู่ๆ วันหนึ่งก็ได้ข่าวเศร้า...
เพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานคนหนึ่งชื่อติ๋ม เราสนิทกันมาก รักกันเหมือนพี่น้อง ดิฉันเรียกพี่ติ๋มทุกคน เธอเป็นสาวเหนือผิวขาวเหลือง สวยน่ารักคล้ายตุ๊กตา นิสัยร่าเริง ช่างพูดช่างเล่น...ข้อสำคัญคือมีน้ำใจไมตรีกับเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะกับดิฉัน...ขนาดวันหยุดถึงกับมาเยี่ยมเยียนที่บ้านบ่อยครั้ง พ่อแม่ก็ถูกชะตากับพี่ติ๋มมากค่ะ
เรายังโสดทั้งคู่ ไปไหนไปกัน บางทีก็ไปเที่ยวต่าง จังหวัดใกล้ๆ กับทัวร์ เช่น ไปไหว้พระ 9 วัดที่อ่างทองบ้าง ไปเที่ยวระยองและเกาะสีชังบ้าง ส่วนมากจะค้างแค่คืนเดียวเท่านั้น
กระทั่งพี่ติ๋มมีแฟนเราก็ห่างกันไป เพราะเธอต้องให้เวลากับคนรักมากกว่าเพื่อนอยู่แล้ว แม่เห็นพี่ติ๋มหายไปก็ถามถึงบ่อยๆ แต่พอรู้สาเหตุก็ยิ้มๆ อย่างเข้าใจดีค่ะ
วันนั้นเป็นวันจันทร์ พี่ติ๋มพาแฟนไปเยี่ยมบ้านที่ลำปางตั้งแต่ตอนเย็นวันศุกร์ กำหนดกลับเช้าวันจันทร์ บอกว่าขับรถออกจากลำปางคืนวันอาทิตย์ มาถึงกรุงเทพฯ เช้ามืด...ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็จะอาบน้ำแต่งตัวมาทำงานเลย
แต่เมื่อถึงวันนั้นก็ไม่มีวี่แววพี่ติ๋ม สงสัยจะเพลียจากการเดินทางไกล? จนกระทั่งตกบ่ายถึงได้มีโทรศัพท์จากทางบ้านพี่ติ๋มมาถึงหัวหน้า บอกข่าวร้ายที่ทำให้ตกตะลึงไปตามๆ กัน
พี่ติ๋มกับแฟนเกิดอุบัติเหตุเมื่อออกจากลำปางมาไม่ไกลนัก บาดเจ็บสาหัสทั้งคู่...ตอนนี้อยู่ในห้องไอซียู อาการเป็นตายเท่าๆ กัน!
หัวหน้าโทร.ไปเช็กที่โรงพยาบาลในลำปางก็ได้รับคำยืนยันว่า ข่าวร้ายนั้นเป็นความจริง...พวกเราปรึกษาหารือกันว่าจะไปเยี่ยมพี่ติ๋มดีไหม? แต่จะไปได้ยังไงเพราะไกลเหลือเกิน แถมไม่ใช่วันหยุดอีกต่างหาก...หัวหน้าบอกว่า ตอนนี้เราได้แต่หวังว่าพี่ติ๋มคงจะอาการดีขึ้นแล้ววันศุกร์จะชวนเพื่อนๆ ที่สนิทกันไปเยี่ยมที่ลำปาง...
เย็นนั้นดิฉันหดหู่จนคิดอะไรไม่ออก หมดกะจิตกะใจแวะดูของกินของใช้เหมือนเคย ได้แต่เดินใจลอยไปที่ป้ายรถเมล์...ขณะเดินทางกลับบ้านก็ยังนึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของเพื่อนรัก! โธ่ พี่ติ๋ม...
ขณะเดินเข้าซอยบ้าน ท่ามกลางผู้คนหนาตา รถราคึกคักตามเดิม...ดิฉันเพิ่งนึกได้ว่าน่าจะนั่งแท็กซี่กลับ เพราะอ่อนล้าอิดโรยเหลือเกิน...กลิ่นอะไรคุ้นๆ จมูกอวลอยู่ใกล้ๆ
พี่ติ๋มเหรอคะ? ดิฉันขนลุกซ่า เหลียวซ้ายแลขวาอย่างลืมตัวแต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูรั้ว มองเห็นแม่เดินดูต้นไม้อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะมาเปิดประตูให้ใบหน้ายิ้มละไม...ยกมือไหว้มาทางดิฉันที่ยืนอ้าปากค้าง
"แหม! วันนี้มาเยี่ยมแม่ได้ เข้ามาก่อนซีติ๋ม..."
แม่ทักทาย เมื่อกี้คงจะรับไหว้พี่ติ๋ม! ส่วนดิฉันเข่าอ่อน ตาลายพร่า ใจหวิวๆ จะเป็นลม...คืนนั้นโทร.ไปที่ร.พ.ลำปางก็ทราบว่าพี่ติ๋มกับคนรักสิ้นลมไล่ๆ กันในตอนเย็น
พี่ติ๋มอุตส่าห์เดินมาส่งถึงบ้าน แต่แม่ดิฉันเป็นลมไปเลยเมื่อรู้ข่าวน่ะซีคะ!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2555
16 มิถุนายน 2558
หน้ากาก
"วรินทร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากหน้ากากผีสิง
เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อเก้ง อาชีพรับราชการ แต่งานอดิเรกคือสะสมของเก่าเอาไว้แทบเต็มบ้าน ทั้งปากกา ไฟแช็ก ขวดเหล้า ปฏิทิน วิทยุ โทรทัศน์ และเครื่องเล่นวิดีโอรุ่นแรกๆ
เชิงบันไดมีรูปปั้นนางเงือกกับกินรีอยู่ข้างสระบัว มีสิงโตโลหะนั่งเด่นเป็นสง่าแผงคอเป็นวงกลมคล้ายดวงอาทิตย์ เก้งบอกว่าเขาเรียก "สิงโตรมเขียว" เป็นของเทียมที่ซื้อมาจากพนมเปญเมื่อสิบกว่าปีก่อน
ถ้าไม่บอกก็ต้องนึกว่าเป็นของเก่าล้ำค่าจริงๆ
เข้าไปในบ้านก็มีบรรยากาศคล้ายย้อนเวลาหาอดีต ดูสงบเยือกเย็นชวนให้วังเวงใจ...โดยเฉพาะหน้ากากต่างๆ ที่ติดอยู่ตามเสาและข้างฝา!
มีทั้งหน้ากากธรรมดากับแบบสวมหัว แป๊ะยิ้มที่ยิ้มแป้นจนน่าขนลุก ผีตาโขนที่เขาถือกัน แต่เพื่อนไม่ถือ หน้ากากไม้เรื่องรามเกียรติ์ของชวา รูปยักษ์ทาสีแดง-ดำน่าสยอง หน้ากากอินคาและหน้ากากอินเดียนแดง หน้ากากตัวตลกกำลังหัวเราะ-ร้องไห้ อย่างที่นิยมติดกันตามหน้าโรงหนังสมัยก่อน แม้แต่หน้ากากโจรสลัดก็มี
หน้ากากผีตาโบ๋ทำด้วยกระดาษที่พวกเด็กๆ ชอบซื้อมาคาดหน้าหลอกกัน หน้ากากพัมกิ้นในคืนฮัลโลวีน หน้ากากสีขาวทาปากแดงของเวนิซ หน้ากากเลียนแบบคาบูกิ-โนะ ละครใบ้ของญี่ปุ่น ถึงจะดูสะสวยแต่เมื่อมองนานๆ ก็น่าขนลุกขนพองบอกไม่ถูก
เวลาผมไปหาเก้งคนเดียวบ้าง พาลูกเมียไปด้วยบ้าง ระหว่างนั่งคุยกันเพลินๆ ก็มักจะรู้สึกว่าหน้ากากนับสิบๆ ในห้องนั้นกำลังจ้องมองมาที่ผมเหมือนมีชีวิตวิญญาณจริงๆ
น่าแปลกอย่างที่เจ้าต้น-ลูกชายวัย 10 ขวบของผม นอกจากจะเดินไปดู แถมหยุดเงยหน้าจ้องมองหน้ากากเหล่านั้นอย่างสนอกสนใจ ผมเองด้วยซ้ำที่รู้สึกหวาดๆ ชอบกล บางครั้งก็แว่วเสียงใครถอนใจยาวด้วยความเหน็ดเหนื่อย จนต้องหันขวับไปมองแต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ
เก้งเล่าว่าภรรยาเคยพาเพื่อนผู้หญิงรุ่นน้องมาบ้าน ตอนแรกๆ เห็นเข้าถึงกับร้องวี้ดว้ายไปหลายคน หน้าซีดเผือดเหมือนโดนผีหลอกกลางวันแสกๆ
"ผมเองก็เคยเห็นนะ" เก้งยอมรับ "แต่คิดว่าคงตาฝาดหรือหูแว่วไปเอง หน้ากากเวนิซยิ้มกว้างกว่าเดิม ได้ยินเสียงคำรามเบาๆ จากหน้ากากทศกัณฐ์ของชวา แป๊ะยิ้มก็ดันหัวเราะคิกคัก หน้ากากผีตาโบ๋ก็อ้าปากจนฟันกว้างถึงกกหูแน่ะ...ของในบ้านเราแท้ๆ จะกลัวมันทำไม"
วันหนึ่งก็เกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้น เมื่อผมพาลูกเมียไปเที่ยวก่อนจะแวะหาเก้ง...ขณะที่เรานั่งซดเบียร์กันในห้องรับแขก พูดคุยกันเพลิดเพลิน ส่วนเมียเจ้าเก้งพาลูกเมียผมออกไปดูสวนดอกไม้พร้อมขนม และน้ำหวาน แต่แล้วเจ้าต้นก็แอบย่องกลับมาเอียงคอ มองหน้ากากเก่าๆ เหมือนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ผมคุยกับเพื่อน แต่แว่วเสียงลูกชายคุยกับหน้ากากต่างๆ บางทีมีเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังขึ้นมาด้วย...
คืนนั้นกลับบ้านอาบน้ำแล้วก็เข้านอนหลับสนิท จนกระทั่งถูกเขย่าตัวเบาๆ เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นภรรยานั่งหน้าซีดปากสั่น ชี้มือไปทางห้องลูกชาย...หูตาสว่างทันทีเมื่อแว่วเสียงหัวเราะชอบใจดังแว่วมากระทบหู!
เจ้าต้นคุยกับใครกัน?
เรารีบออกไปเคาะประตูเรียก ลูกเปิดรับทันที... ท่ามกลางแสงไฟนั้นภาพของหน้ากากกะโหลกผีวางพิงหมอน จมูกยุบ ตากลวง แสยะยิ้มเห็นฟันขาวเต็มปาก ทำให้ผมปากคอแห้งผากบัดดล...เมียผมปราดเข้าไปในห้อง ถามว่าทำไมถึงขโมยหน้ากากของอาเก้งมา? แต่เจ้าต้นส่ายหน้า ยืนยันว่าไม่ได้ขโมย
"พอเข้าห้องเปิดไฟ ต้นก็เห็นหน้ากากนี่วางพิงหมอนอยู่แล้วฮะ สงสัยเขาจะชอบต้นเลยตามมา แล้วคุยกับต้นด้วย...เหมือนที่เราคุยกันตอนอยู่บ้านอาเก้งเลยฮะแม่"
เรามองสบตากัน กลืนน้ำลาย ผมบอกลูกให้คุยกับหน้ากากอีก พ่ออยากฟัง! แต่เจ้าต้นตอบว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยหน้ากากไม่ยอมพูดหรอก ผมเลยบอกว่า คืนนี้คุยกันให้พอ พรุ่งนี้จะได้เอาไปคืนอาเก้ง!
นึกกังวลเรื่องมีลูกมือไวใจเร็ว ถ้ายังไม่เลิกนิสัยแบบนี้เติบโตขึ้นมีหวังได้พบกับความเดือดร้อนแน่นอน
รุ่งเช้า ผมรีบโทร.ไปหาเพื่อน ขอโทษขอโพยที่ลูกชายดอดคว้าหน้ากากผีมา เย็นนี้เลิกงานจะแวะเอาไปคืนให้ที่บ้าน แต่เก้งกลับหัวเราะชอบใจ
"หน้ากากผียังยิ้มปากฉีกแหงแก๋อยู่นี่เอง...แวะมาซดเบียร์กันได้เลย"
ผมตะลึงพรึงเพริด รีบวิ่งไปที่ห้องเจ้าต้น แต่ไม่เห็นหน้ากากนั่นแล้ว ลูกชายบอกหน้าตาเฉยว่า...เขารีบกลับไปตั้งแต่ตอนเช้ามืดแล้ว พ่อไม่ต้องกลัวหรอก! แต่ผมเข่าอ่อน...กลัวว่าหน้ากากผีจะดอดมาคุยกับเจ้าต้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้น่ะซีครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555
เพื่อนผมคนหนึ่งชื่อเก้ง อาชีพรับราชการ แต่งานอดิเรกคือสะสมของเก่าเอาไว้แทบเต็มบ้าน ทั้งปากกา ไฟแช็ก ขวดเหล้า ปฏิทิน วิทยุ โทรทัศน์ และเครื่องเล่นวิดีโอรุ่นแรกๆ
เชิงบันไดมีรูปปั้นนางเงือกกับกินรีอยู่ข้างสระบัว มีสิงโตโลหะนั่งเด่นเป็นสง่าแผงคอเป็นวงกลมคล้ายดวงอาทิตย์ เก้งบอกว่าเขาเรียก "สิงโตรมเขียว" เป็นของเทียมที่ซื้อมาจากพนมเปญเมื่อสิบกว่าปีก่อน
ถ้าไม่บอกก็ต้องนึกว่าเป็นของเก่าล้ำค่าจริงๆ
เข้าไปในบ้านก็มีบรรยากาศคล้ายย้อนเวลาหาอดีต ดูสงบเยือกเย็นชวนให้วังเวงใจ...โดยเฉพาะหน้ากากต่างๆ ที่ติดอยู่ตามเสาและข้างฝา!
มีทั้งหน้ากากธรรมดากับแบบสวมหัว แป๊ะยิ้มที่ยิ้มแป้นจนน่าขนลุก ผีตาโขนที่เขาถือกัน แต่เพื่อนไม่ถือ หน้ากากไม้เรื่องรามเกียรติ์ของชวา รูปยักษ์ทาสีแดง-ดำน่าสยอง หน้ากากอินคาและหน้ากากอินเดียนแดง หน้ากากตัวตลกกำลังหัวเราะ-ร้องไห้ อย่างที่นิยมติดกันตามหน้าโรงหนังสมัยก่อน แม้แต่หน้ากากโจรสลัดก็มี
หน้ากากผีตาโบ๋ทำด้วยกระดาษที่พวกเด็กๆ ชอบซื้อมาคาดหน้าหลอกกัน หน้ากากพัมกิ้นในคืนฮัลโลวีน หน้ากากสีขาวทาปากแดงของเวนิซ หน้ากากเลียนแบบคาบูกิ-โนะ ละครใบ้ของญี่ปุ่น ถึงจะดูสะสวยแต่เมื่อมองนานๆ ก็น่าขนลุกขนพองบอกไม่ถูก
เวลาผมไปหาเก้งคนเดียวบ้าง พาลูกเมียไปด้วยบ้าง ระหว่างนั่งคุยกันเพลินๆ ก็มักจะรู้สึกว่าหน้ากากนับสิบๆ ในห้องนั้นกำลังจ้องมองมาที่ผมเหมือนมีชีวิตวิญญาณจริงๆ
น่าแปลกอย่างที่เจ้าต้น-ลูกชายวัย 10 ขวบของผม นอกจากจะเดินไปดู แถมหยุดเงยหน้าจ้องมองหน้ากากเหล่านั้นอย่างสนอกสนใจ ผมเองด้วยซ้ำที่รู้สึกหวาดๆ ชอบกล บางครั้งก็แว่วเสียงใครถอนใจยาวด้วยความเหน็ดเหนื่อย จนต้องหันขวับไปมองแต่ก็ไม่เห็นสิ่งใดผิดปกติ
เก้งเล่าว่าภรรยาเคยพาเพื่อนผู้หญิงรุ่นน้องมาบ้าน ตอนแรกๆ เห็นเข้าถึงกับร้องวี้ดว้ายไปหลายคน หน้าซีดเผือดเหมือนโดนผีหลอกกลางวันแสกๆ
"ผมเองก็เคยเห็นนะ" เก้งยอมรับ "แต่คิดว่าคงตาฝาดหรือหูแว่วไปเอง หน้ากากเวนิซยิ้มกว้างกว่าเดิม ได้ยินเสียงคำรามเบาๆ จากหน้ากากทศกัณฐ์ของชวา แป๊ะยิ้มก็ดันหัวเราะคิกคัก หน้ากากผีตาโบ๋ก็อ้าปากจนฟันกว้างถึงกกหูแน่ะ...ของในบ้านเราแท้ๆ จะกลัวมันทำไม"
วันหนึ่งก็เกิดเรื่องแปลกประหลาดขึ้น เมื่อผมพาลูกเมียไปเที่ยวก่อนจะแวะหาเก้ง...ขณะที่เรานั่งซดเบียร์กันในห้องรับแขก พูดคุยกันเพลิดเพลิน ส่วนเมียเจ้าเก้งพาลูกเมียผมออกไปดูสวนดอกไม้พร้อมขนม และน้ำหวาน แต่แล้วเจ้าต้นก็แอบย่องกลับมาเอียงคอ มองหน้ากากเก่าๆ เหมือนเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
ผมคุยกับเพื่อน แต่แว่วเสียงลูกชายคุยกับหน้ากากต่างๆ บางทีมีเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากดังขึ้นมาด้วย...
คืนนั้นกลับบ้านอาบน้ำแล้วก็เข้านอนหลับสนิท จนกระทั่งถูกเขย่าตัวเบาๆ เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นภรรยานั่งหน้าซีดปากสั่น ชี้มือไปทางห้องลูกชาย...หูตาสว่างทันทีเมื่อแว่วเสียงหัวเราะชอบใจดังแว่วมากระทบหู!
เจ้าต้นคุยกับใครกัน?
เรารีบออกไปเคาะประตูเรียก ลูกเปิดรับทันที... ท่ามกลางแสงไฟนั้นภาพของหน้ากากกะโหลกผีวางพิงหมอน จมูกยุบ ตากลวง แสยะยิ้มเห็นฟันขาวเต็มปาก ทำให้ผมปากคอแห้งผากบัดดล...เมียผมปราดเข้าไปในห้อง ถามว่าทำไมถึงขโมยหน้ากากของอาเก้งมา? แต่เจ้าต้นส่ายหน้า ยืนยันว่าไม่ได้ขโมย
"พอเข้าห้องเปิดไฟ ต้นก็เห็นหน้ากากนี่วางพิงหมอนอยู่แล้วฮะ สงสัยเขาจะชอบต้นเลยตามมา แล้วคุยกับต้นด้วย...เหมือนที่เราคุยกันตอนอยู่บ้านอาเก้งเลยฮะแม่"
เรามองสบตากัน กลืนน้ำลาย ผมบอกลูกให้คุยกับหน้ากากอีก พ่ออยากฟัง! แต่เจ้าต้นตอบว่ามีคนอื่นอยู่ด้วยหน้ากากไม่ยอมพูดหรอก ผมเลยบอกว่า คืนนี้คุยกันให้พอ พรุ่งนี้จะได้เอาไปคืนอาเก้ง!
นึกกังวลเรื่องมีลูกมือไวใจเร็ว ถ้ายังไม่เลิกนิสัยแบบนี้เติบโตขึ้นมีหวังได้พบกับความเดือดร้อนแน่นอน
รุ่งเช้า ผมรีบโทร.ไปหาเพื่อน ขอโทษขอโพยที่ลูกชายดอดคว้าหน้ากากผีมา เย็นนี้เลิกงานจะแวะเอาไปคืนให้ที่บ้าน แต่เก้งกลับหัวเราะชอบใจ
"หน้ากากผียังยิ้มปากฉีกแหงแก๋อยู่นี่เอง...แวะมาซดเบียร์กันได้เลย"
ผมตะลึงพรึงเพริด รีบวิ่งไปที่ห้องเจ้าต้น แต่ไม่เห็นหน้ากากนั่นแล้ว ลูกชายบอกหน้าตาเฉยว่า...เขารีบกลับไปตั้งแต่ตอนเช้ามืดแล้ว พ่อไม่ต้องกลัวหรอก! แต่ผมเข่าอ่อน...กลัวว่าหน้ากากผีจะดอดมาคุยกับเจ้าต้นเมื่อไหร่ก็ไม่รู้น่ะซีครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2555
15 มิถุนายน 2558
ผีอาฆาต
"แน็ต" เล่าเรื่องขนหัวลุกเมื่อคราวน้ำท่วม
ดิฉันเป็นคนต่างจังหวัดที่มาเรียนต่ออุดมศึกษาที่มหาวิทยาลัยย่านรังสิต โดยเช่าห้องอยู่ใกล้ๆ กัน มีเพื่อนฝูงพอสมควรเพราะอยู่มาปีกว่าแล้ว แต่ที่สนิทสนมกันเป็นพิเศษก็คืออ๋อยกับเตือนเพราะอยู่ห้องติดกัน
เพื่อนคู่นี้อยู่ร่วมห้องกันมาแต่แรกแล้ว ช่วยกันแชร์ค่าเช่าและค่าน้ำค่าไฟ ส่วนดิฉันชอบอิสระจึงอยู่คนเดียว พวกเรามีนิสัยไม่ชอบเที่ยวเตร่เหมือนกัน เหล้าเบียร์กับบุหรี่ไม่แตะ ยกเว้นแต่ตอนไปเที่ยวกันนานๆ ครั้ง แต่ก็แค่จิบๆ พ่นๆ เท่านั้นค่ะ
คอยเตือนตัวเองไว้เสมอว่าพ่อแม่ส่งมาเรียน ไม่ใช่มาเที่ยว
แต่พวกเราก็ต้องประสบกับเหตุการณ์ขนหัวลุกโดยไม่นึกไม่ฝัน สาเหตุเพราะมีเพื่อนสนิทอีกคนชื่อโอ๋ เป็นชาวสีม่วงอยู่ห้องใกล้ๆ กัน!
โอ่เป็นคนลพบุรี ร่างเล็ก ผิวขาว คอยดูแลหน้าตาและผิวพรรณให้ผุดผ่องยิ่งกว่าพวกเราด้วยซ้ำ แม้จะแต่งตัวแบบผู้ชาย แต่พูดจาท่าทางมีจริตจะก้านยิ่งกว่าผู้หญิงแท้ๆ นิสัยใจคอกับเพื่อนฝูงก็ถือว่าน่าคบ มีศัพท์แสงแปลกๆ ให้พวกเรางุนงง บางครั้งได้รับรู้ความหมายก็ทำให้ขำกลิ้งไปเลย
ดิฉันยอมรับว่าเพิ่งรู้จักคำว่า "ชะนี" ของพวกกะเทยน่ะหมายถึง "ผู้หญิง" ค่ะ!
ครั้นถามถึงที่มา โอ๋ก็จีบปากจีบคออธิบายว่า
"พวกหล่อนไม่ได้สังเกตหรือยะว่าชะนีน่ะชอบร้องผัวๆๆ อยู่ตลอด ไม่ว่าตัวผู้หรือตัวเมีย เหมือนผู้หญิงอยากมีผัวไงยะ? หรือพวกหล่อนไม่อยากมีผัวจนแห้งตายไปเอง"
อ๋อยกับเตือนวี้ดว้าย ไล่ทุบโอ๋ไปรอบห้องดิฉันที่หัวเราะน้ำหูน้ำตาไหล...แต่พวกเราต้องยอมรับว่าถ้าขาดโอ๋เสียคน การพูดคุยมักจะไม่สนุกครึกครื้นเท่าที่ควร
เย็นหนึ่ง ขณะที่เรากำลังกินไก่ย่างส้มตำกันอร่อยอยู่ในห้องอ๋อย โอ๋ก็ถือวิสาสะผลักประตูเข้ามา บอกว่าไปดูห้องดิฉันแล้วเห็นว่าล็อกเลยแน่ใจว่าพวกเราต้องมาตั้งวงหม่ำและเม้าธ์กระจายกันอยู่ในห้องนี้แน่ๆ
"ของฝากย่ะ" โอ๋เปิดถุงโชว์หมูปิ้ง เนื้อแดดเดียวกับข้าวเหนียว 3-4 ถุงมาใส่จานพลางกระแทกกระทั้น "วันนี้ซวยชิบ...โดนอีกะเทยควายเดินชนจนหวิดหกคะล้มแน่ะ! แหม...จะขอโทษซักคำก็ไม่มี มันสะบัดตูดแร่ดๆ ออกไปเลย สงสัยรีบร้อนไปหาตัวผู้
อ๋อยอ้าปากค้าง "กะเทยควายเป็นไงเหรอโอ๋?"
"ประสาท! ก็ตัวใหญ่ดำปี๋ แถมอัปลักษณ์สุดๆ ไม่สวยเริ่ดอย่างโอ๋หรอกย่ะ"
"เค้าคงมาอยู่ใหม่ละมั้งถึงไม่รู้จักเธอน่ะ" เตือนเดา ทำให้โอ๋สะบัดหน้า ปัดผมค่อนข้างยาวทำท่าสะบัดสะบิ้ง
"อีกะเทยโอท็อป! ไม่อยากจะเซด..." โอ๋ทำหน้าทำตา "อย่าบอกนะว่าหล่อนไม่รู้จักกะเทยโอท็อป? กะเทยบ้านนอกไงยะ! หน้าตาอัปลักษณ์แบบนี้น่าไล่ไปอยู่กับพวกโจรใต้ ให้ทหารยิงตายโหงให้หมด...ฮึ! อีเงือก"
พวกเราเวียนหัวไปตามๆ กัน ชวนโอ๋กินซะทีก่อนจะจ้อไม่หยุดปากจนของหมดเสียก่อน แต่โอ๋ยังไม่วายค้อนลมค้อนแล้ง
"ระวังตัวเอาไว้ก่อนก็ดีนะยะ เดี๋ยวจะว่าไม่เตือน ชะนีเด็กอย่างพวกหล่อนน่ะอย่าไปไว้ใจมันเข้าเชียว เดี๋ยวมันตีสนิทให้หลงเชื่อ หลงลมเลยชวนงูเห่ามาเข้าห้องจนได้"
ต่อจากวันนั้น โอ๋ก็มักจะมีเรื่องให้เจอะเจอคู่ปรับบ่อยๆ แล้วเอามาเล่าไปด่าไปจนพวกเรามั่นใจว่า ถ้าเห็นหน้าฝ่ายนั้นเข้าต้องรู้จักทันที...แต่แล้วก็เกิดน้ำท่วมใหญ่ขึ้นมา จนต้องอพยพหนีน้ำไปตามๆ กัน
ดิฉันกลับบ้านที่ระยอง เพื่อนอีกสองคนอยู่โคราช ส่วนโอ๋หนักหน่อยเพราะอยู่ลพบุรี ต้องไปอาศัยบ้านญาติในกรุงเทพฯ แถวถนนราชวิถี
เมื่อน้ำลดพวกเราก็กลับมาเจอกันอีกครั้ง!
คืนแรกในห้องดิฉันผู้หญิงเราล้อมวงกันบนเตียงพลางคุยจ้อถึงเรื่องน้ำท่วมที่ถือเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์...จู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น เตือนอยู่ใกล้ประตูก็โดดลงไปเปิดดูว่าใครมา...ปรากฏว่าเป็นโอ๋นั่นเอง
ในแสงไฟสว่างโพลงนั้น ดิฉันเห็นโอ๋ยืนตัวแข็งทื่อ หน้าขาวซีด นัยน์ตาเบิกโพลง อ้าปากค้าง อ๋อยผงะหน้าถอยกรูด เตือนยกมือปิดปาก ดิฉันก็เกือบกรีดร้องสุดเสียงอยู่แล้ว...พอดีร่างแข็งทื่อของโอ๋ก้าวเข้ามาหาพวกเราช้าๆ
ท่ามกลางความอกสั่นขวัญแขวนนั้น โอ๋ก็ครางปนสะอื้นว่า...อีกะเทยโอท็อปขึ้นลิฟต์มากับโอ๋ด้วย พอลิฟต์เปิดมันก็หายไปดื้อๆ โอย...พ่อจ๋าแม่จ๋า นี่โอ๋ตายไปแล้วยัง?
ขาดคำก็ล้มฮวบลงสิ้นสติไป...ปรากฏว่าคู่ปรับของเพื่อนเราจมน้ำตายที่อ่างทอง แต่วิญญาณแค้นยังตามมาเล่นงานโอ๋ถึงหอพัก...นึกถึงแล้วขนหัวลุกค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2555
13 มิถุนายน 2558
หลอนสุดขีด
"แป้ง" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อไปงานศพ
ใครจะหาว่าเป็นคนหัวโบราณ มีความเชื่องมงายในเรื่องภูตผีก็ตามใจ แต่ดิฉันยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่ากลัวผีมากค่ะ ตั้งแต่ยังเด็กจนอายุขึ้นเลขสามแล้วก็ยังรู้สึกหวาดเสียวเรื่องผีๆ สางๆ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
พวกเพื่อนๆ ที่เคยกลัวผีสมัยเด็กๆ แต่พอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ส่วนมากก็หายกลัวเลิกกลัวกันแทบทุกคน ไม่เหมือน ดิฉัน..ก็มันกลัวจริงๆ นี่คะ ไม่รู้จะทำยังไง?
แม้ไม่เคยถูกผีหลอกจังๆ สักครั้ง นอกจากเห็นวอบๆ แวบๆ ก็ทำให้ใจเต้นตูมๆ เหมือนพระย่ำกลองเพลแล้วค่ะ ตอนหลังมาคิดอีกที..เอ! เราคงไม่ได้โดนผีหลอกแฮะ แต่ว่านึกคิดไปเอง เกิดจินตนาการไปเอง อย่างที่เขาพูดกันแน่ๆ เลยค่ะ
"คนเรามักจะเชื่อในสิ่งที่นัยน์ตามองเห็น!"
ไปไหนก็จะรู้สึกว่ามีผู้ร่างกายแวดล้อมอยู่รอบๆ ตัว หรือไม่ก็จ้องมองอย่างเยาะเย้ย มุ่งร้ายหมายขวัญ จนทำให้ขนอุยที่ต้นคอลุกชัน
เวลาเดินเข้าซอยบ้านตอนเย็นๆ หรือใกล้ค่ำ ทั้งๆ ที่มีคนเดินคึ่กๆ ด้วยซ้ำ แต่ก็คิดเป็นตุเป็นตะไปเองว่า คนที่ล้มตายเพราะอุบัติเหตุต่างๆ วิญญาณคงจะสิงสู่อยู่ที่นั่นแน่ๆ
คนในซอยเขาก็ลือกันว่าผีดุ เดี๋ยวคนนั้นเห็น เดี๋ยวคนนี้โดนหลอกเป็นประจำ!
ล่าสุดมี "ยายก้อย" เด็กข้างบ้านอายุราว 7 ขวบ เล่าว่าเห็นคนรู้จักที่ตายไปแล้วเดินไปเดินมาในซอย บ้างก็เดินเล่น บ้างก็เดินเข้า-ออกบ้านเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่มีผิด
หลายๆ คนหาว่ายายก้อยโกหก หรือไม่ก็ช่างคิดช่างฝันตามประสาเด็ก แต่ดิฉันไม่รู้เป็นไง...เชื่อว่าแกเห็นจริงๆ ค่ะ
เรื่องน่าขนหัวลุกมาเกิดขึ้นเมื่อตอนปลายปีที่แล้วนี่เอง!
"ตุ่ม" เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานแถวมักกะสัน รูปร่างเธอตุ้ยนุ้ยสมชื่อ แก้มขาวเป็นพวงเชียว อารมณ์ดีชอบหัวเราะพุงกระเพื่อมเป็นประจำ..ระยะหลังๆ ตุ่มดูซีดเซียวตาลอย เพื่อนแซวกันว่าสงสัยจะคิดถึงแฟน! หรือไม่ก็อกหัก? ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าตุ่มยังไม่มีแฟนเลยสักคน
ตุ่มเป็นเพื่อนสนิทของดิฉันด้วย ที่เหมือนกันมากคือเรากลัวผีจับอกจับใจเลยค่ะ
วันหนึ่งตุ่มก็จากพวกเราไปโดยไม่มีวันกลับ
เธอหัวใจวายตายในลิฟต์เพียงเดียวดาย เพิ่งจะรู้สาเหตุกันตอนนั้นเองว่าตุ่มอยากลดน้ำหนักทางลัดเลยซื้อยามากิน..และเพราะยาลดความอ้วนนั่นเองค่ะที่ทำให้เพื่อนของดิฉันสิ้นใจตายก่อนเวลาอันควร
วันรุ่งขึ้น พวกเพื่อนๆ ก็นัดกันแต่งดำไปงานสวดศพตุ่มที่วัดตะพาน บรรยากาศเศร้าโศกจนน่าสลดหดหู่มากเลยค่ะ แม่เธอที่เป็นม่ายร้องไห้เหมือนจะขาดใจตายตามลูกสาวไป
บอกตรงๆ ว่าดิฉันอึดอัด กระสับกระส่าย ไม่สบายใจเลย อยากเร่งเวลาให้ผ่านไปเร็วๆ เพราะความที่ไม่ชอบงานศพ..กลัวค่ะ! หลบได้เป็นหลบ ไม่ว่าจะเป็นวันสวดหรือวันเผา! แต่งานนี้หลบไม่ได้จริงๆ ตั้งใจว่าจะขอมาคืนเดียวเท่านั้น จะมาอีกทีก็วันเผาเลย!
ระหว่างนั้น ดิฉันพยายามไม่หันไปมองภาพถ่ายของตุ่มที่ตั้งเด่นอยู่หน้าโลงแทบจะท่วมดอกไม้..กลัวว่าเธอจะยิ้มหรือกลิ่วตาให้ดิฉันน่ะซีคะ
อ้อ! ทางโลงศพก็ไม่อยากมองตรงๆ กลัวว่าจะเห็นภาพขนหัวลุกค่ะ
โชคดีอย่างที่สมัยนี้สวดศพเร็ว ราวทุ่มเศษก็เสร็จแล้ว ดิฉันรีบลุกไปลาแม่ของตุ่ม เพื่อนเข้ามาถามว่าจะกลับละหรือ? ดิฉันพยักหน้า แต่เพื่อนจอมแสบกลับเอียงหน้ามากระซิบ
"ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ฉันบอกตุ่มไว้แล้วว่าเธอกลัวผีมากๆ ใครๆ ก็รู้..ขอให้ตุ่มช่วยไปส่งเธอที่บ้านด้วยละกัน"
แหม! ถ้าไม่เกรงใจญาติๆ ของตุ่ม ดิฉันคงจะด่าเพื่อนให้แสบ..ป.ม.ที่สุด!
แม้จะเป็นฤดูหนาวค่ำเร็ว จากวัดมาถึงซอยบ้านที่ดินแดงก็ไม่ไกลกันนัก..ตลอดทางรู้สึกเสียวสังหรณ์ยังไงไม่ทราบว่าตุ่มเกิดบ้าจี้ ตามมาส่งดิฉันจริงๆ เพราะแรงยุของเพื่อนปากปีจอ..ได้แต่นึกในใจว่าไปที่ชอบๆ เถอะตุ่มจ๋า ไม่ต้องมาส่งฉันหรอก! โธ่...
ทุ่มครึ่งกว่าๆ เดินเข้าซอยบ้าน ผู้คนเข้าออกกันหนาตา ดิฉันยังรู้สึกปากคอแห้งผากชอบกล รู้สึกเหมือนได้กลิ่นน้ำอบไทยหอมกรุ่น เสียงใครถอนใจเบาๆ อยู่ข้างหู... ดิฉันใจเต้นระทึก ใครจะว่าขี้ขลาดตาขาว กลัวไม่เข้าเรื่องเข้าราวก็ยอมละ!
จนกระทั่งใกล้จะถึงบ้านอยู่แล้วยิ่งจ้ำอ้าว..ยายก้อย... เด็กข้างบ้านที่เคยบอกว่าเคยเห็นคนตายแล้วบ่อยๆ ก็โผล่หน้าออกมาทักทาย
"น้าๆ รีบเดินไปไหนกันคะ?" แกทักทายเสียงใส "ทำไมไม่รอเพื่อนน้าด้วยล่ะ"
ดิฉันหันขวับ ถามเสียงแหบแห้งว่าเพื่อนที่ไหน? ยายก้อยก็ชี้มือไปข้างหลังดิฉันบอกว่า..นั่นไงคะ! เขายิ่งอ้วนๆ อยู่ด้วยก็เดินตามน้าไม่ทันน่ะซี
หันขวับไปมองข้างหลังก็ไม่เห็นตุ่มหรอก แต่ดิฉันกลัวจนขนหัวลุกจริงๆ ค่ะ!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555
ใครจะหาว่าเป็นคนหัวโบราณ มีความเชื่องมงายในเรื่องภูตผีก็ตามใจ แต่ดิฉันยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่ากลัวผีมากค่ะ ตั้งแต่ยังเด็กจนอายุขึ้นเลขสามแล้วก็ยังรู้สึกหวาดเสียวเรื่องผีๆ สางๆ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
พวกเพื่อนๆ ที่เคยกลัวผีสมัยเด็กๆ แต่พอเติบโตเป็นผู้ใหญ่ส่วนมากก็หายกลัวเลิกกลัวกันแทบทุกคน ไม่เหมือน ดิฉัน..ก็มันกลัวจริงๆ นี่คะ ไม่รู้จะทำยังไง?
แม้ไม่เคยถูกผีหลอกจังๆ สักครั้ง นอกจากเห็นวอบๆ แวบๆ ก็ทำให้ใจเต้นตูมๆ เหมือนพระย่ำกลองเพลแล้วค่ะ ตอนหลังมาคิดอีกที..เอ! เราคงไม่ได้โดนผีหลอกแฮะ แต่ว่านึกคิดไปเอง เกิดจินตนาการไปเอง อย่างที่เขาพูดกันแน่ๆ เลยค่ะ
"คนเรามักจะเชื่อในสิ่งที่นัยน์ตามองเห็น!"
ไปไหนก็จะรู้สึกว่ามีผู้ร่างกายแวดล้อมอยู่รอบๆ ตัว หรือไม่ก็จ้องมองอย่างเยาะเย้ย มุ่งร้ายหมายขวัญ จนทำให้ขนอุยที่ต้นคอลุกชัน
เวลาเดินเข้าซอยบ้านตอนเย็นๆ หรือใกล้ค่ำ ทั้งๆ ที่มีคนเดินคึ่กๆ ด้วยซ้ำ แต่ก็คิดเป็นตุเป็นตะไปเองว่า คนที่ล้มตายเพราะอุบัติเหตุต่างๆ วิญญาณคงจะสิงสู่อยู่ที่นั่นแน่ๆ
คนในซอยเขาก็ลือกันว่าผีดุ เดี๋ยวคนนั้นเห็น เดี๋ยวคนนี้โดนหลอกเป็นประจำ!
ล่าสุดมี "ยายก้อย" เด็กข้างบ้านอายุราว 7 ขวบ เล่าว่าเห็นคนรู้จักที่ตายไปแล้วเดินไปเดินมาในซอย บ้างก็เดินเล่น บ้างก็เดินเข้า-ออกบ้านเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่มีผิด
หลายๆ คนหาว่ายายก้อยโกหก หรือไม่ก็ช่างคิดช่างฝันตามประสาเด็ก แต่ดิฉันไม่รู้เป็นไง...เชื่อว่าแกเห็นจริงๆ ค่ะ
เรื่องน่าขนหัวลุกมาเกิดขึ้นเมื่อตอนปลายปีที่แล้วนี่เอง!
"ตุ่ม" เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานแถวมักกะสัน รูปร่างเธอตุ้ยนุ้ยสมชื่อ แก้มขาวเป็นพวงเชียว อารมณ์ดีชอบหัวเราะพุงกระเพื่อมเป็นประจำ..ระยะหลังๆ ตุ่มดูซีดเซียวตาลอย เพื่อนแซวกันว่าสงสัยจะคิดถึงแฟน! หรือไม่ก็อกหัก? ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าตุ่มยังไม่มีแฟนเลยสักคน
ตุ่มเป็นเพื่อนสนิทของดิฉันด้วย ที่เหมือนกันมากคือเรากลัวผีจับอกจับใจเลยค่ะ
วันหนึ่งตุ่มก็จากพวกเราไปโดยไม่มีวันกลับ
เธอหัวใจวายตายในลิฟต์เพียงเดียวดาย เพิ่งจะรู้สาเหตุกันตอนนั้นเองว่าตุ่มอยากลดน้ำหนักทางลัดเลยซื้อยามากิน..และเพราะยาลดความอ้วนนั่นเองค่ะที่ทำให้เพื่อนของดิฉันสิ้นใจตายก่อนเวลาอันควร
วันรุ่งขึ้น พวกเพื่อนๆ ก็นัดกันแต่งดำไปงานสวดศพตุ่มที่วัดตะพาน บรรยากาศเศร้าโศกจนน่าสลดหดหู่มากเลยค่ะ แม่เธอที่เป็นม่ายร้องไห้เหมือนจะขาดใจตายตามลูกสาวไป
บอกตรงๆ ว่าดิฉันอึดอัด กระสับกระส่าย ไม่สบายใจเลย อยากเร่งเวลาให้ผ่านไปเร็วๆ เพราะความที่ไม่ชอบงานศพ..กลัวค่ะ! หลบได้เป็นหลบ ไม่ว่าจะเป็นวันสวดหรือวันเผา! แต่งานนี้หลบไม่ได้จริงๆ ตั้งใจว่าจะขอมาคืนเดียวเท่านั้น จะมาอีกทีก็วันเผาเลย!
ระหว่างนั้น ดิฉันพยายามไม่หันไปมองภาพถ่ายของตุ่มที่ตั้งเด่นอยู่หน้าโลงแทบจะท่วมดอกไม้..กลัวว่าเธอจะยิ้มหรือกลิ่วตาให้ดิฉันน่ะซีคะ
อ้อ! ทางโลงศพก็ไม่อยากมองตรงๆ กลัวว่าจะเห็นภาพขนหัวลุกค่ะ
โชคดีอย่างที่สมัยนี้สวดศพเร็ว ราวทุ่มเศษก็เสร็จแล้ว ดิฉันรีบลุกไปลาแม่ของตุ่ม เพื่อนเข้ามาถามว่าจะกลับละหรือ? ดิฉันพยักหน้า แต่เพื่อนจอมแสบกลับเอียงหน้ามากระซิบ
"ไม่ต้องกลัวนะจ๊ะ ฉันบอกตุ่มไว้แล้วว่าเธอกลัวผีมากๆ ใครๆ ก็รู้..ขอให้ตุ่มช่วยไปส่งเธอที่บ้านด้วยละกัน"
แหม! ถ้าไม่เกรงใจญาติๆ ของตุ่ม ดิฉันคงจะด่าเพื่อนให้แสบ..ป.ม.ที่สุด!
แม้จะเป็นฤดูหนาวค่ำเร็ว จากวัดมาถึงซอยบ้านที่ดินแดงก็ไม่ไกลกันนัก..ตลอดทางรู้สึกเสียวสังหรณ์ยังไงไม่ทราบว่าตุ่มเกิดบ้าจี้ ตามมาส่งดิฉันจริงๆ เพราะแรงยุของเพื่อนปากปีจอ..ได้แต่นึกในใจว่าไปที่ชอบๆ เถอะตุ่มจ๋า ไม่ต้องมาส่งฉันหรอก! โธ่...
ทุ่มครึ่งกว่าๆ เดินเข้าซอยบ้าน ผู้คนเข้าออกกันหนาตา ดิฉันยังรู้สึกปากคอแห้งผากชอบกล รู้สึกเหมือนได้กลิ่นน้ำอบไทยหอมกรุ่น เสียงใครถอนใจเบาๆ อยู่ข้างหู... ดิฉันใจเต้นระทึก ใครจะว่าขี้ขลาดตาขาว กลัวไม่เข้าเรื่องเข้าราวก็ยอมละ!
จนกระทั่งใกล้จะถึงบ้านอยู่แล้วยิ่งจ้ำอ้าว..ยายก้อย... เด็กข้างบ้านที่เคยบอกว่าเคยเห็นคนตายแล้วบ่อยๆ ก็โผล่หน้าออกมาทักทาย
"น้าๆ รีบเดินไปไหนกันคะ?" แกทักทายเสียงใส "ทำไมไม่รอเพื่อนน้าด้วยล่ะ"
ดิฉันหันขวับ ถามเสียงแหบแห้งว่าเพื่อนที่ไหน? ยายก้อยก็ชี้มือไปข้างหลังดิฉันบอกว่า..นั่นไงคะ! เขายิ่งอ้วนๆ อยู่ด้วยก็เดินตามน้าไม่ทันน่ะซี
หันขวับไปมองข้างหลังก็ไม่เห็นตุ่มหรอก แต่ดิฉันกลัวจนขนหัวลุกจริงๆ ค่ะ!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2555
10 มิถุนายน 2558
ชายหมวกแดง
"พอลล่า" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณทางหลวง
คุณเคยขับรถไปเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงสุดๆ ไหมคะ? เช่นรถชนกันจังๆ จนบาดเจ็บปางตาย หรือขับรถไปชนคนตาย...ดิฉันกับเฟิร์นเพื่อนซี้น่ะ เราเคยมาแล้วค่ะ!
เราทำงานอยู่แถวเพลินจิต บ้านอยู่แครายใกล้ๆ กัน ฟังแล้วอาจไกลมาก แต่ทางด่วนทำให้สะดวกและไม่เปลี่ยว นอกจากจะกลับดึก ตอนลงทางด่วนแล้วบึ่งเข้าบ้านในซอย หรือไม่ก็ไปเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ตามประสาสาวโสด ขนาดไม่โสดยังมาร่วมวงด้วยเลยค่ะ
ส่วนมากวันศุกร์จะสนุกกันเต็มที่ รุ่งขึ้นได้นอนยาวกันตามสบาย ไม่มีลูกกวนตัว ไม่มีผัวกวนใจ! ถึงจะเหงาเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร...แซวกันเองสนุกๆ ว่าเนื้อคู่ยังไม่ เกิดน่ะ
กระทั่งคืนหนึ่ง เพื่อนชวนไปเที่ยวผับที่ทองหล่อ บอกว่าเป็นของญาติกันเพิ่งจะมาเปิดใหม่ ต้องแห่ไปอุดหนุนกันซะหน่อย...เลยเกิดอุบัติเหตุสุดโหดในชีวิตจริงค่ะ!
ชนแก้วกันระหว่างเพื่อนกับเพื่อน มีทั้งหญิงและชาย แต่เพื่อนก็คือเพื่อน สบตากันก็ดูออกว่าไม่มีใครอุตริคิดนอกลู่นอกทาง ยกเว้นแต่โต๊ะอื่นๆ ที่มีทั้งหนุ่มกับสาว กับหนุ่มล้วนๆ ทำเหล่มาเราก็แกล้งเหล่ไป ถือว่าธรรมดาที่สุด
คืนนั้นเฟิร์นดื่มมากหน่อย แต่คอแข็งหายห่วง ขับรถไม่เคยประมาท...หรือเราอาจจะประมาทที่คิดแบบนั้นก็ได้ เพราะเกิดเรื่องร้ายกาจตอนขากลับนั่นเอง!
เพื่อนๆ แนะนำให้ทะลุออกเพชรบุรีตัดใหม่ เข้าซอยศูนย์วิจัยออกพระราม 9 แต่แล้วเฟ?รนก็นึกได้เมื่อสายเกินไป บ่นพึมว่า...มันบ้าหรือเราบ้ากันแน่วะที่หลงเชื่อมันเฉยเลย?
ถ้าไม่เลี้ยวขวาเข้ารัชดาฯ หาทางด่วนไม่เจอ ก็ต้องตรงไปทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิโน่นเลย...ไกลลิบลับ แถมไม่คุ้นทางอีกต่างหาก...จะไปตั้งหลักที่เพลินจิตก็ช้าไปแล้ว เฟิร์นเอ๋ย
ตัดสินใจยูเทิร์นที่พระราม 9 จำได้เลาๆ ว่าเคยขึ้นทางด่วนมา 2-3 ครั้ง แต่พิษเหล้าทำให้สมองสั่งการช้า แถมเลอะเลือนด้วย ขับไปขับมาเลยเจอถนนโล่งว่าง รถราแล่นหวือหวา ทางขวาคงเป็นทางด่วนเอกมัย-ราม อินทรา...ขับๆ ไปคงจะผ่านศูนย์การค้าใหม่ไปออก ลาดพร้าวแน่ๆ
เฟิร์นเม้มปาก เหยียบคันเร่งจนรถพุ่งหวือ คงจะตัดสินใจเด็ดขาดว่า...ไปตายดาบหน้าละกัน! แต่ดิฉันหลุดปากออกมาว่า...จะไปทางไหนน่ะ?
แทบไม่ขาดคำ เฟิร์นก็หันขวับมาแค่นหัวเราะ...กลับบ้านซียะหล่อน!
ทันใดนั้นเอง ดิฉันเห็นร่างของใครคนหนึ่งยืนเก้ๆ กังๆ อยู่บนถนนเลยร้องสุดเสียงให้ระวัง...เฟิร์นรีบหันกลับ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้วค่ะ
เสียงโครม!! ร่างนั้นกระเด็นหวือลงไปนอนคว่ำหน้า ตามด้วยเสียงเบรกรถจนเสียวฟัน...เรานั่งตะลึงตัวแข็งทื่อ จ้องมองภาพในนั้นเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าเป็นความจริง
ชายเคราะห์ร้ายนอนแน่นิ่งอยู่ข้างถนน สวมหมวกแก๊ปสีแดง...ในยามดึกที่เย็นยะเยือกของเดือนธันวาคม สีแดงสดช่างเหมือนกับสีเลือดที่ไหลนองออกมาจากร่างนั้นเสียจริง!
"ไปเถอะ..." เสียงดิฉันแหบเครือเต็มที "เขาตายแล้ว..."
เสียงกระเดือกน้ำลายดังขึ้น เฟิร์นมือไม้สั่น...โชคดีที่ไม่มีรถแล่นตามหลังเรามาเลยตอนเกิดเหตุ นอกจากตอนเร่งเครื่องมีรถสองคันแซงเราไป
"โธ่! ฉันไม่ได้เมานะ ไม่ได้ตั้งใจด้วย" เฟิร์นพูดปนสะอื้น "หันมามองเธอแป๊บเดียวก็เห็นเขาพอดี...ถ้าเราหักหลบก็มีหวังรถคว่ำตาย"
ดิฉันปากคอแห้งผากไปหมด ได้แต่นึกว่าไม่น่าจะมาทางนี้เลย! ใครนะช่วยบอกหนทาง? ความจริงเราไปทางรัชดาฯก็ได้ ดึกๆ ถนนว่าง เราเองก็ไม่ได้รีบร้อนนี่นา... ถ้าเพื่อนไม่ชวนมาเที่ยวผับที่ทองหล่อก็คงไม่เจอเรื่องร้ายๆ แบบนี้...
"ไหนๆ มันก็เกิดขึ้นแล้ว" เฟิร์นโพล่ง คงจะคิดแบบเดียวกัน "ช่างมัน!"
แทบไม่ขาดคำก็ได้ยินเสียงครางแผ่วโผยคล้ายคนใกล้จะขาดใจ นัยน์ตาเหลือกลานมองกระจกหลัง ดิฉันหันขวับ ยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะเกิดเสียงกรีดร้องลั่นรถ
คุณพระคุณเจ้า! ร่างโชกเลือดของชายหมวกแดงกำลังลากขาตามเรามา
"อย่ามอง!" ดิฉันตั้งสติได้ ร้องบอกเพื่อน เฟิร์นก็ทำตามพลางตะบึงรถสุดฤทธิ์สุดเดชจนภาพน่าขนหัวลุกหายลับไป...แต่เรากลัวจนน้ำตาไหลพรากทั้งคู่เลยค่ะ
คืนนั้น เรานอนด้วยกันที่บ้านเฟิร์น ปรึกษากันว่าจะไปหาตำรวจดีไหม? รับสารภาพเลยว่าชนคนตายให้สิ้นเรื่องสิ้นราว...สงสัยแต่ว่าเขาบาดเจ็บขนาดนั้น ทำไมถึงตามเรามาได้ตั้งไกล? หรือว่าเขายังไม่ตาย...
รุ่งขึ้น ดิฉันกลับบ้านเกือบเที่ยง รอดูข่าวทีวีก็ไม่เห็น ข่าวหนังสือพิมพ์ก็ไม่มี จนแน่ใจว่าสิ่งที่เราพบไม่เคยเกิดขึ้นเลย นั่นคือภาพลวงตาหรือผีหลอกน่ะซีคะ...บรื๋อส์!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555
คุณเคยขับรถไปเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงสุดๆ ไหมคะ? เช่นรถชนกันจังๆ จนบาดเจ็บปางตาย หรือขับรถไปชนคนตาย...ดิฉันกับเฟิร์นเพื่อนซี้น่ะ เราเคยมาแล้วค่ะ!
เราทำงานอยู่แถวเพลินจิต บ้านอยู่แครายใกล้ๆ กัน ฟังแล้วอาจไกลมาก แต่ทางด่วนทำให้สะดวกและไม่เปลี่ยว นอกจากจะกลับดึก ตอนลงทางด่วนแล้วบึ่งเข้าบ้านในซอย หรือไม่ก็ไปเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ตามประสาสาวโสด ขนาดไม่โสดยังมาร่วมวงด้วยเลยค่ะ
ส่วนมากวันศุกร์จะสนุกกันเต็มที่ รุ่งขึ้นได้นอนยาวกันตามสบาย ไม่มีลูกกวนตัว ไม่มีผัวกวนใจ! ถึงจะเหงาเล็กน้อยก็ไม่เป็นไร...แซวกันเองสนุกๆ ว่าเนื้อคู่ยังไม่ เกิดน่ะ
กระทั่งคืนหนึ่ง เพื่อนชวนไปเที่ยวผับที่ทองหล่อ บอกว่าเป็นของญาติกันเพิ่งจะมาเปิดใหม่ ต้องแห่ไปอุดหนุนกันซะหน่อย...เลยเกิดอุบัติเหตุสุดโหดในชีวิตจริงค่ะ!
ชนแก้วกันระหว่างเพื่อนกับเพื่อน มีทั้งหญิงและชาย แต่เพื่อนก็คือเพื่อน สบตากันก็ดูออกว่าไม่มีใครอุตริคิดนอกลู่นอกทาง ยกเว้นแต่โต๊ะอื่นๆ ที่มีทั้งหนุ่มกับสาว กับหนุ่มล้วนๆ ทำเหล่มาเราก็แกล้งเหล่ไป ถือว่าธรรมดาที่สุด
คืนนั้นเฟิร์นดื่มมากหน่อย แต่คอแข็งหายห่วง ขับรถไม่เคยประมาท...หรือเราอาจจะประมาทที่คิดแบบนั้นก็ได้ เพราะเกิดเรื่องร้ายกาจตอนขากลับนั่นเอง!
เพื่อนๆ แนะนำให้ทะลุออกเพชรบุรีตัดใหม่ เข้าซอยศูนย์วิจัยออกพระราม 9 แต่แล้วเฟ?รนก็นึกได้เมื่อสายเกินไป บ่นพึมว่า...มันบ้าหรือเราบ้ากันแน่วะที่หลงเชื่อมันเฉยเลย?
ถ้าไม่เลี้ยวขวาเข้ารัชดาฯ หาทางด่วนไม่เจอ ก็ต้องตรงไปทางอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิโน่นเลย...ไกลลิบลับ แถมไม่คุ้นทางอีกต่างหาก...จะไปตั้งหลักที่เพลินจิตก็ช้าไปแล้ว เฟิร์นเอ๋ย
ตัดสินใจยูเทิร์นที่พระราม 9 จำได้เลาๆ ว่าเคยขึ้นทางด่วนมา 2-3 ครั้ง แต่พิษเหล้าทำให้สมองสั่งการช้า แถมเลอะเลือนด้วย ขับไปขับมาเลยเจอถนนโล่งว่าง รถราแล่นหวือหวา ทางขวาคงเป็นทางด่วนเอกมัย-ราม อินทรา...ขับๆ ไปคงจะผ่านศูนย์การค้าใหม่ไปออก ลาดพร้าวแน่ๆ
เฟิร์นเม้มปาก เหยียบคันเร่งจนรถพุ่งหวือ คงจะตัดสินใจเด็ดขาดว่า...ไปตายดาบหน้าละกัน! แต่ดิฉันหลุดปากออกมาว่า...จะไปทางไหนน่ะ?
แทบไม่ขาดคำ เฟิร์นก็หันขวับมาแค่นหัวเราะ...กลับบ้านซียะหล่อน!
ทันใดนั้นเอง ดิฉันเห็นร่างของใครคนหนึ่งยืนเก้ๆ กังๆ อยู่บนถนนเลยร้องสุดเสียงให้ระวัง...เฟิร์นรีบหันกลับ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้วค่ะ
เสียงโครม!! ร่างนั้นกระเด็นหวือลงไปนอนคว่ำหน้า ตามด้วยเสียงเบรกรถจนเสียวฟัน...เรานั่งตะลึงตัวแข็งทื่อ จ้องมองภาพในนั้นเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย แทบไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าเป็นความจริง
ชายเคราะห์ร้ายนอนแน่นิ่งอยู่ข้างถนน สวมหมวกแก๊ปสีแดง...ในยามดึกที่เย็นยะเยือกของเดือนธันวาคม สีแดงสดช่างเหมือนกับสีเลือดที่ไหลนองออกมาจากร่างนั้นเสียจริง!
"ไปเถอะ..." เสียงดิฉันแหบเครือเต็มที "เขาตายแล้ว..."
เสียงกระเดือกน้ำลายดังขึ้น เฟิร์นมือไม้สั่น...โชคดีที่ไม่มีรถแล่นตามหลังเรามาเลยตอนเกิดเหตุ นอกจากตอนเร่งเครื่องมีรถสองคันแซงเราไป
"โธ่! ฉันไม่ได้เมานะ ไม่ได้ตั้งใจด้วย" เฟิร์นพูดปนสะอื้น "หันมามองเธอแป๊บเดียวก็เห็นเขาพอดี...ถ้าเราหักหลบก็มีหวังรถคว่ำตาย"
ดิฉันปากคอแห้งผากไปหมด ได้แต่นึกว่าไม่น่าจะมาทางนี้เลย! ใครนะช่วยบอกหนทาง? ความจริงเราไปทางรัชดาฯก็ได้ ดึกๆ ถนนว่าง เราเองก็ไม่ได้รีบร้อนนี่นา... ถ้าเพื่อนไม่ชวนมาเที่ยวผับที่ทองหล่อก็คงไม่เจอเรื่องร้ายๆ แบบนี้...
"ไหนๆ มันก็เกิดขึ้นแล้ว" เฟิร์นโพล่ง คงจะคิดแบบเดียวกัน "ช่างมัน!"
แทบไม่ขาดคำก็ได้ยินเสียงครางแผ่วโผยคล้ายคนใกล้จะขาดใจ นัยน์ตาเหลือกลานมองกระจกหลัง ดิฉันหันขวับ ยกมือขึ้นปิดปากก่อนจะเกิดเสียงกรีดร้องลั่นรถ
คุณพระคุณเจ้า! ร่างโชกเลือดของชายหมวกแดงกำลังลากขาตามเรามา
"อย่ามอง!" ดิฉันตั้งสติได้ ร้องบอกเพื่อน เฟิร์นก็ทำตามพลางตะบึงรถสุดฤทธิ์สุดเดชจนภาพน่าขนหัวลุกหายลับไป...แต่เรากลัวจนน้ำตาไหลพรากทั้งคู่เลยค่ะ
คืนนั้น เรานอนด้วยกันที่บ้านเฟิร์น ปรึกษากันว่าจะไปหาตำรวจดีไหม? รับสารภาพเลยว่าชนคนตายให้สิ้นเรื่องสิ้นราว...สงสัยแต่ว่าเขาบาดเจ็บขนาดนั้น ทำไมถึงตามเรามาได้ตั้งไกล? หรือว่าเขายังไม่ตาย...
รุ่งขึ้น ดิฉันกลับบ้านเกือบเที่ยง รอดูข่าวทีวีก็ไม่เห็น ข่าวหนังสือพิมพ์ก็ไม่มี จนแน่ใจว่าสิ่งที่เราพบไม่เคยเกิดขึ้นเลย นั่นคือภาพลวงตาหรือผีหลอกน่ะซีคะ...บรื๋อส์!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2555
09 มิถุนายน 2558
คืนลองของ
ด.เด็กชุมแพ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณผีตายโหง
สมัยวัยรุ่นผมกับเพื่อนๆ ล้วนนิสัยใจร้อน ค่อนข้างห้าว มักมีเรื่องชกต่อยตีรันฟันแทงกับคู่อริบ่อยๆ ได้ฉายาว่า "แก๊งกวนเมือง" แถมชอบจีบหญิง-ซิ่งรถเป็นงานอดิเรก
เรื่องกลัวผีอย่าพูดดีกว่า โธ่! ขนาดคนเป็นๆ ยังไม่กลัวแล้วจะกลัวผีให้โง่ทำไม จนกระทั่งได้ประสบกับเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!
พี่ชายเพื่อนผมชื่อพี่ชาญ ขาโจ๋รุ่นใหญ่ ชอบซิ่งมอเตอร์ไซค์ที่แต่งไว้เริ่ดเชียว ใจถึง เอ่ยชื่อชาญ ชุมแพ แกดังทั้งอำเภอไม่พอ เขาลือว่าดังไปถึงจังหวัด (ขอนแก่น) โน่นแน่ะคุณ
วันหนึ่งดวงขาด ซิ่งรถท่าไหนไม่ทราบ พุ่งไปชนต้นไม้ข้างทางคอหักตายคาที่!
เรายกก๊วนไปช่วยงานศพพี่ชายเพื่อน ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันเผา เจ้าชัยน้องพี่ชาญกอดกับแม่ร้องไห้บนเมรุก่อนจะจุดไฟ พวกเราไม่ได้เป็นญาติยังพลอยตันคอหอย นัยน์ตาแสบร้อนชอบกล พ่อเพื่อนสวมแว่นดำน่าเห็นใจ พวกญาติก็ช่วยกันขึ้นไปประคองสองแม่ลูกลงมา
หลังจากนั้นสามวันก็ได้ข่าวว่าพี่ชาญกลับมาที่บ้านแทบทุกคืน!
เจ้าชัยเล่าว่า ตอนกลางคืนมีเสียงกุกกักในห้องนอนพี่ชาญ คล้ายกับมีคนอยู่ หรือใครกำลังรื้อค้นอะไร ตอนแรกนึกว่าขโมย แต่เมื่อเปิดไปดูก็ไม่เห็นมีใคร
ห้องนั้นปิดตายไปแล้ว มีแต่ข้าวของเสื้อผ้าของพี่ชาญเท่านั้น หน้าประตูก็มีรูปถ่ายขนาดใหญ่ที่เคยตั้งหน้าโลงศพมาก่อน เห็นแล้วขนลุกซ่าชอบกลทั้งๆ ที่ไม่กลัวผีก็เถอะน่า
เพื่อนเล่าว่าพ่อแม่ยังทำใจไม่ได้ ขอปิดห้องไว้ระยะหนึ่ง ทำบุญร้อยวันแล้วค่อยมาคิดกันว่าจะทำยังไงดี แต่พี่ชาญก็วนเวียนมาสิงสู่ห้องนอนของแกเสียก่อน!
บอกตรงๆ ว่าพวกเรายังไม่มีใครเชื่อ คิดว่าอุปาทานไปมากกว่าเพราะความรักใคร่ อาลัยอาวรณ์ ทำให้เกิดจินตนาการได้ร้อยแปด แต่ไม่อยากพูดให้เจ้าชัยสะเทือนใจ...ดูๆ แล้วมันชักจะเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ไปอีกคนแล้วซี
คราวนี้มีหลายคนมาเล่าว่าตกค่ำๆ หมาหอนในซอยบ้านนั้นเป็นประจำ เริ่มจากปากซอยก็หอนรับกันมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่หน้าบ้านเจ้าชัยนั่นแหละ คล้ายกับพวกมันเห็นภาพอะไรที่น่าเกลียดน่ากลัวสุดๆ
เจ้าอ๊อดอยู่ซอยเดียวกันก็ยอมรับว่าเคยได้ยินเสียงหมาเห่าหอนเช่นกัน ชาวบ้านร้านช่องรีบปิดประตูหน้า ต่างเข้านอนกันเป็นแถวๆ เพราะเสียงโหยหวนของพวกหมาเจ้ากรรมมันแสนจะทำให้ขนลุกขนพอง น่าสยด สยองและเยือกเย็นใจอย่างเหลือประมาณ
เท่านั้นยังไม่พอ มีเสียงมอเตอร์ไซค์บรื้นๆ มาเบรกพรืดตรงหน้าบ้านที่มีแสงไฟเหลืองรัว มองไปก็ไม่เห็นอะไรเลย พ่อแม่กับเจ้าชัยชักจะอยู่ไม่เป็นสุข สะดุ้งผวากันแทบทุกคืน
ญาติมิตรรู้ข่าวยกโขยงมาเยี่ยม ปักหลักอยู่เป็นเพื่อน พ่อเจ้าชัยซื้อเหล้ามาเลี้ยงชนิดไม่อั้น แต่เสียงมอเตอร์ ไซค์ที่จู่ๆ ก็ดังกระหึ่มเข้ามา ระคนกับเสียงหมาหอนโจ๋วทำให้สะดุ้งผวากันเป็นทิว กรอกเหล้าเข้าปากหนักหน่วง หวังจะให้ความเมาขับไล่ความกลัวไปไกลๆ
ทันใด เสียงมอเตอร์ไซค์ก็ดับเครื่องที่หน้าบ้านนั่นเอง!
ญาติมิตรที่มาช่วยกันป้องกันผีหลอก ล้วนแต่หน้าซีดเซียวเหมือนจะกลายเป็นผีไปเอง ตัวสั่นงันงก กระเถิบเข้าเบียดกันแจอยู่ที่ระเบียง เหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวงสุดๆ
ถ้าพี่ชาญโผล่ขึ้นบันไดมา มีหวังเผ่นกระเจิงเป็นหมูแตกเล้าไปตามๆ กันอย่างแน่นอน เผลอๆ ก็ตกบ้านหัวร้างข้างแตก หรือถึงกับแข้งขาหักก็เป็นได้
พวกเราปรึกษากันว่าต้องไปช่วยเพื่อนแล้ว ไหนๆ ก็ยืนยันว่าไม่กลัวผีทุกคนนี่นา กับอยากจะลองของด้วยว่าจะ "ของจริง" หรือเปล่า? เจ้าอ๊อดทำท่าบิดพลิ้วแต่เราก็ลากมันไปด้วยจนได้...ขู่ว่า ถ้ารักกันจริงห้ามแตกแถวโว้ยเพื่อน!
คืนนั้นเอง พ่อเจ้าชัยซื้อเบียร์เป็นลังๆ เหล้าอีกหลายขวด กับแกล้มเพียบ แล้วให้พวกเรานั่งล้อมวงเฮฮากันท่ามกลางแสงไฟสว่างจ้า พูดคุยเย้าแหย่กันครึกครื้น... ไม่มีใครกลัวผีซักคน
อ้อ! มีหน้าตาไม่ค่อยสบายคือเจ้าชัยกับเจ้าอ๊อดเท่านั้นเอง!
จู่ๆ หมาปากเปราะก็โก่งคอหอนโจ๋วขึ้นที่ปากซอย รับกันเป็นทอดๆ ใกล้เข้ามาเราเอาศอกกระทุ้งกัน...แหม! ล้อมวงอยู่ตั้ง 5-6 คนแน่ะ จะไปกลัวอะไรล่ะ?
เสียงบรื้นๆ ดังขึ้น...เอ๊ะ! คุ้นหูแฮะ...
ไม่ถึงอึดใจเสียงนั้นก็ดังมาหยุดที่หน้าบ้านแล้วเงียบไป พวกเราหันขวับไปจ้องมองเป็นตาเดียวกัน แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย...ยังไงกันแน่? พอดีมีเสียงบันไดลั่นเอี๊ยดๆ ไม่ช้าก็มีเสียงฝีเท้าย่ำโครมๆ ผ่ากลางวงเหล้าเข้าไปในบ้าน
ถึงจะไม่เห็นภาพอะไรเลย แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าใครย่ำผ่านไป...เสียงร้องเฮ้ยๆ ดังลั่น เผ่นอ้าวลงบันไดไม่คิดชีวิต ตามด้วยเสียงหล่นตุ๊บตั๊บ เสียงโอดโอย เผ่นขึ้นรถบ้าง ลืมรถออกวิ่งหน้าตั้งบ้าง...กลัวผีชนิดเข็ดหลาบจนวันตายทุกคนเลยครับ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555
สมัยวัยรุ่นผมกับเพื่อนๆ ล้วนนิสัยใจร้อน ค่อนข้างห้าว มักมีเรื่องชกต่อยตีรันฟันแทงกับคู่อริบ่อยๆ ได้ฉายาว่า "แก๊งกวนเมือง" แถมชอบจีบหญิง-ซิ่งรถเป็นงานอดิเรก
เรื่องกลัวผีอย่าพูดดีกว่า โธ่! ขนาดคนเป็นๆ ยังไม่กลัวแล้วจะกลัวผีให้โง่ทำไม จนกระทั่งได้ประสบกับเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!
พี่ชายเพื่อนผมชื่อพี่ชาญ ขาโจ๋รุ่นใหญ่ ชอบซิ่งมอเตอร์ไซค์ที่แต่งไว้เริ่ดเชียว ใจถึง เอ่ยชื่อชาญ ชุมแพ แกดังทั้งอำเภอไม่พอ เขาลือว่าดังไปถึงจังหวัด (ขอนแก่น) โน่นแน่ะคุณ
วันหนึ่งดวงขาด ซิ่งรถท่าไหนไม่ทราบ พุ่งไปชนต้นไม้ข้างทางคอหักตายคาที่!
เรายกก๊วนไปช่วยงานศพพี่ชายเพื่อน ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันเผา เจ้าชัยน้องพี่ชาญกอดกับแม่ร้องไห้บนเมรุก่อนจะจุดไฟ พวกเราไม่ได้เป็นญาติยังพลอยตันคอหอย นัยน์ตาแสบร้อนชอบกล พ่อเพื่อนสวมแว่นดำน่าเห็นใจ พวกญาติก็ช่วยกันขึ้นไปประคองสองแม่ลูกลงมา
หลังจากนั้นสามวันก็ได้ข่าวว่าพี่ชาญกลับมาที่บ้านแทบทุกคืน!
เจ้าชัยเล่าว่า ตอนกลางคืนมีเสียงกุกกักในห้องนอนพี่ชาญ คล้ายกับมีคนอยู่ หรือใครกำลังรื้อค้นอะไร ตอนแรกนึกว่าขโมย แต่เมื่อเปิดไปดูก็ไม่เห็นมีใคร
ห้องนั้นปิดตายไปแล้ว มีแต่ข้าวของเสื้อผ้าของพี่ชาญเท่านั้น หน้าประตูก็มีรูปถ่ายขนาดใหญ่ที่เคยตั้งหน้าโลงศพมาก่อน เห็นแล้วขนลุกซ่าชอบกลทั้งๆ ที่ไม่กลัวผีก็เถอะน่า
เพื่อนเล่าว่าพ่อแม่ยังทำใจไม่ได้ ขอปิดห้องไว้ระยะหนึ่ง ทำบุญร้อยวันแล้วค่อยมาคิดกันว่าจะทำยังไงดี แต่พี่ชาญก็วนเวียนมาสิงสู่ห้องนอนของแกเสียก่อน!
บอกตรงๆ ว่าพวกเรายังไม่มีใครเชื่อ คิดว่าอุปาทานไปมากกว่าเพราะความรักใคร่ อาลัยอาวรณ์ ทำให้เกิดจินตนาการได้ร้อยแปด แต่ไม่อยากพูดให้เจ้าชัยสะเทือนใจ...ดูๆ แล้วมันชักจะเชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ไปอีกคนแล้วซี
คราวนี้มีหลายคนมาเล่าว่าตกค่ำๆ หมาหอนในซอยบ้านนั้นเป็นประจำ เริ่มจากปากซอยก็หอนรับกันมาเรื่อยๆ จนมาหยุดอยู่หน้าบ้านเจ้าชัยนั่นแหละ คล้ายกับพวกมันเห็นภาพอะไรที่น่าเกลียดน่ากลัวสุดๆ
เจ้าอ๊อดอยู่ซอยเดียวกันก็ยอมรับว่าเคยได้ยินเสียงหมาเห่าหอนเช่นกัน ชาวบ้านร้านช่องรีบปิดประตูหน้า ต่างเข้านอนกันเป็นแถวๆ เพราะเสียงโหยหวนของพวกหมาเจ้ากรรมมันแสนจะทำให้ขนลุกขนพอง น่าสยด สยองและเยือกเย็นใจอย่างเหลือประมาณ
เท่านั้นยังไม่พอ มีเสียงมอเตอร์ไซค์บรื้นๆ มาเบรกพรืดตรงหน้าบ้านที่มีแสงไฟเหลืองรัว มองไปก็ไม่เห็นอะไรเลย พ่อแม่กับเจ้าชัยชักจะอยู่ไม่เป็นสุข สะดุ้งผวากันแทบทุกคืน
ญาติมิตรรู้ข่าวยกโขยงมาเยี่ยม ปักหลักอยู่เป็นเพื่อน พ่อเจ้าชัยซื้อเหล้ามาเลี้ยงชนิดไม่อั้น แต่เสียงมอเตอร์ ไซค์ที่จู่ๆ ก็ดังกระหึ่มเข้ามา ระคนกับเสียงหมาหอนโจ๋วทำให้สะดุ้งผวากันเป็นทิว กรอกเหล้าเข้าปากหนักหน่วง หวังจะให้ความเมาขับไล่ความกลัวไปไกลๆ
ทันใด เสียงมอเตอร์ไซค์ก็ดับเครื่องที่หน้าบ้านนั่นเอง!
ญาติมิตรที่มาช่วยกันป้องกันผีหลอก ล้วนแต่หน้าซีดเซียวเหมือนจะกลายเป็นผีไปเอง ตัวสั่นงันงก กระเถิบเข้าเบียดกันแจอยู่ที่ระเบียง เหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวงสุดๆ
ถ้าพี่ชาญโผล่ขึ้นบันไดมา มีหวังเผ่นกระเจิงเป็นหมูแตกเล้าไปตามๆ กันอย่างแน่นอน เผลอๆ ก็ตกบ้านหัวร้างข้างแตก หรือถึงกับแข้งขาหักก็เป็นได้
พวกเราปรึกษากันว่าต้องไปช่วยเพื่อนแล้ว ไหนๆ ก็ยืนยันว่าไม่กลัวผีทุกคนนี่นา กับอยากจะลองของด้วยว่าจะ "ของจริง" หรือเปล่า? เจ้าอ๊อดทำท่าบิดพลิ้วแต่เราก็ลากมันไปด้วยจนได้...ขู่ว่า ถ้ารักกันจริงห้ามแตกแถวโว้ยเพื่อน!
คืนนั้นเอง พ่อเจ้าชัยซื้อเบียร์เป็นลังๆ เหล้าอีกหลายขวด กับแกล้มเพียบ แล้วให้พวกเรานั่งล้อมวงเฮฮากันท่ามกลางแสงไฟสว่างจ้า พูดคุยเย้าแหย่กันครึกครื้น... ไม่มีใครกลัวผีซักคน
อ้อ! มีหน้าตาไม่ค่อยสบายคือเจ้าชัยกับเจ้าอ๊อดเท่านั้นเอง!
จู่ๆ หมาปากเปราะก็โก่งคอหอนโจ๋วขึ้นที่ปากซอย รับกันเป็นทอดๆ ใกล้เข้ามาเราเอาศอกกระทุ้งกัน...แหม! ล้อมวงอยู่ตั้ง 5-6 คนแน่ะ จะไปกลัวอะไรล่ะ?
เสียงบรื้นๆ ดังขึ้น...เอ๊ะ! คุ้นหูแฮะ...
ไม่ถึงอึดใจเสียงนั้นก็ดังมาหยุดที่หน้าบ้านแล้วเงียบไป พวกเราหันขวับไปจ้องมองเป็นตาเดียวกัน แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย...ยังไงกันแน่? พอดีมีเสียงบันไดลั่นเอี๊ยดๆ ไม่ช้าก็มีเสียงฝีเท้าย่ำโครมๆ ผ่ากลางวงเหล้าเข้าไปในบ้าน
ถึงจะไม่เห็นภาพอะไรเลย แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าใครย่ำผ่านไป...เสียงร้องเฮ้ยๆ ดังลั่น เผ่นอ้าวลงบันไดไม่คิดชีวิต ตามด้วยเสียงหล่นตุ๊บตั๊บ เสียงโอดโอย เผ่นขึ้นรถบ้าง ลืมรถออกวิ่งหน้าตั้งบ้าง...กลัวผีชนิดเข็ดหลาบจนวันตายทุกคนเลยครับ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2555
08 มิถุนายน 2558
หมอผีสันกำแพง
"โกสุมภ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากพิธีไล่ผี
ดิฉันเป็นคนเชียงใหม่ สมัยเด็กอยู่ในหมู่บ้าน อ.สันกำแพง มีหมอไสยศาสตร์คนหนึ่งชื่อลุงอินทูรย์ พวกเราเรียกสั้นๆ ว่าหมออิน ทางเหนือเรียกว่า "หมอไล่ผี" ค่ะ
แกอพยพมาจากลำปาง จนลูกเต้าเติบโตก็แยกย้ายกันไป เมียแกป่วยตายไปหลายปีแล้ว หมออินอยู่ตัวคนเดียวในบ้านใต้ถุนสูง มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นร่มครึ้ม บรรยา กาศน่าวังเวงใจชอบกล ชาวบ้านเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ไปหาแก ส่วนมากมักมีสาเหตุมาจากความเชื่อว่าโดนคุณไสยหรือถูกภูตผีรบกวนต่างๆ นานา
แม่เล่าว่าแกเป็นทั้งหมอไล่ผีและหมอแผนโบราณด้วยค่ะ!
วันหนึ่งมีผู้หญิงข้างบ้านชื่อป้าคำใสเกิดล้มป่วย มีอาการคุ้มดีคุ้มร้ายจนลือว่าผีเข้า พวกญาติพาแกไปหาหมออินให้ช่วยรักษา แม่บอกว่าป้าคำใสเป็นญาติจึงพาดิฉันไปดูด้วย
วันนั้นเองที่ดิฉันได้เห็นพิธีไล่ผีเต็มตา...
หมออินแต่งตัวชุดขาว สวมเสื้อยันต์สีแดง มีอุปกรณ์ต่างๆ ครบครัน ทั้งเขี้ยวหมูตัน มีดหมอลงอักขระ หวายอันเล็กๆ วางอยู่ข้างขันน้ำมนต์ มีใบธรณีสาร (มะขามป้อมดิน) ใช้ชุบน้ำมนต์เหมือนคนภาคกลางใช้กิ่งมะยมน่ะค่ะ
น่าสังเกตว่าต้นธรณีสารมีกิ่งใบคล้ายๆ มะยม แต่ต้นเล็กกว่าเพราะสูงราว 2-3 ฟุตเท่านั้น บางแห่งเรียกต้นเสนียด คงจะได้ชื่อมาเป็นเคล็ดในการจุ่มน้ำมนต์ประพรมเพื่อขับไล่เสนียดจัญไรนั่นเอง!
หมออินซักถามชื่อเสียงแต่ป้าคำใสไม่ตอบ เอาแต่ทำตาขวางมาทางชาวบ้านที่นั่งอยู่บนระเบียงกับนอกชานสิบกว่าคน จนหมอไล่ผีใช้กิ่งไม้จุ่มน้ำมนต์สะบัดใส่ป้าคำใส แกก็หวีดร้องเสียจนผงะหน้าไปตามๆ กัน หมออินถามชื่อซ้ำก็ไม่ยอมตอบ เอาแต่สะบัดหน้าไปมา
"งั้นก็กินหวายเถอะวะ" หมออินคำราม หน้าตาดุดัน หยิบหวายมาฟาดกระดาน 2-3 ครั้ง ป้าคำใสสะดุ้ง เฮือกๆ หลับตาปี๋ พลางร้องโอดโอยคล้ายเจ็บปวดแสนสาหัส
"มึงชื่อไร? มาจากไหน?" เสียงถามเหี้ยมๆ เร่งเร้า ขณะที่ป้าคำใสบิดตัวไปมาส่งเสียงร้องโหยหวนสลับกับเสียงแช่งด่าไม่ขาดปาก จนแป๋วลูกสาวแกร้องไห้ด้วยความสงสารแม่ แต่คนอื่นๆ เงียบกริบ เอาแต่จ้องมองแทบไม่กะพริบตา
"กูไม่บอก! กูไม่กลัวมึง...ไอ้หมอผีบ้า! โอ๊ย..." ป้าคำใสแผดร้องเหมือนคนบ้า แป๋วก็ร้องไห้จ้าไปพร้อมๆ กัน น่าขนลุกขนพองสิ้นดี!
ดิฉันเบียดแม่แน่น เสียงร้องนั้นเป็นเสียงผู้ชายชัดๆ พวกญาติๆ กับเพื่อนบ้านที่มุ่งดูก็คงขนลุกขนพอง ทุกคน เพราะเชื่อมั่นว่าป้าคำใสถูกผีร้ายเข้าสิงอย่างไม่มีปัญหา
ทันใดนั้นเองแป๋วที่ร้องไห้อยู่ข้างๆ ดิฉันก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืน ชี้มือไปที่แม่ของแกพลางตะโกนขึ้นว่า...มันอยู่นั่นไง!!
หมออินหัวขวับมามอง แป๋วก็ชี้มือเร่าๆ ตามเดิม
"ผู้ชายนั่นมันโผล่จากตัวแม่...มันแลบลิ้นหลอกหนูมาหลายคืนแล้ว! ช่วยด้วย..."
คราวนี้หมอไล่ผีหันไปจ้องป้าคำใส...มองสูงขึ้นไป หน้าตาตื่นตะลึงเหมือนกับแกจะมองเห็นอะไรบางอย่าง! เห็นสิ่งเดียวกับที่แป๋วเห็น...
ผู้ชายคนนั้น...ผู้ชายที่สิงสู่อยู่ในร่างแม่ของแกนั่นเอง!
ผีร้ายที่ไม่มีใครมองเห็น นอกจากเด็กหญิงวัยสิบขวบเพียงคนเดียว...ดิฉันกอดแม่ไว้แน่นด้วยความหวาดกลัวแม้จะไม่เห็นใครเลย ได้ยินเสียงคนอื่นๆ ครางฮือ ไปตามๆ กัน
ทันใดนั้นหมออินก็ทิ้งหวาย คว้ามีดหมอมาเงื้อสูงก่อนจะฟันเบาๆ ลงบนพื้นพร้อมกับคำรามกระหึ่ม
"มึงกล้าลองดีกับกูก็อย่าไปผุดไปเกิดเลยวะ!"
ป้าคำใสร้องกรี๊ดก่อนจะหงายตึงลงไปแน่นิ่ง ท่าม กลางเสียงถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เพราะนั่นดูเหมือนจะเป็นสัญญาณว่าผีร้ายได้ออกจากร่างของ แกแล้ว
พวกญาติๆ ช่วยกันแก้ไขจนป้าคำใสได้สติขึ้นมา หน้าตางุนงงคล้ายกับไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น หันไปเห็นลูกสาวก็เรียกชื่อ แป๋วโผเข้ากอดแม่ ขณะที่พวกญาติยกมือไหว้หมออิน ไม่ช้าก็ทยอยกันลงจากเรือนแก
ใครคนหนึ่งถามแป๋วว่าเห็นผีออกจากร่างแม่จริงๆ หรือ? เด็กหญิงก็พยักหน้าหันไปมองบนบ้านหมอผีแล้วบอกว่า...นั่นไง! มันตามหมออินเข้าห้องไปแล้ว...
ไม่มีใครรู้แน่ว่าผีตัวนั้นโดนคาถาอาคมเข้มขลัง จนต้องกลายเป็นบริวารหมออิน หรือแกเองนั่นแหละ ที่เป็นคนปล่อยผีออกมารังควานชาวบ้าน? แต่ทุกคนต่างเชื่อว่าแป๋วเห็นผีออกจากร่างแม่ของแกจริงๆ ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2555
ดิฉันเป็นคนเชียงใหม่ สมัยเด็กอยู่ในหมู่บ้าน อ.สันกำแพง มีหมอไสยศาสตร์คนหนึ่งชื่อลุงอินทูรย์ พวกเราเรียกสั้นๆ ว่าหมออิน ทางเหนือเรียกว่า "หมอไล่ผี" ค่ะ
แกอพยพมาจากลำปาง จนลูกเต้าเติบโตก็แยกย้ายกันไป เมียแกป่วยตายไปหลายปีแล้ว หมออินอยู่ตัวคนเดียวในบ้านใต้ถุนสูง มีต้นไม้ใหญ่ขึ้นร่มครึ้ม บรรยา กาศน่าวังเวงใจชอบกล ชาวบ้านเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ไปหาแก ส่วนมากมักมีสาเหตุมาจากความเชื่อว่าโดนคุณไสยหรือถูกภูตผีรบกวนต่างๆ นานา
แม่เล่าว่าแกเป็นทั้งหมอไล่ผีและหมอแผนโบราณด้วยค่ะ!
วันหนึ่งมีผู้หญิงข้างบ้านชื่อป้าคำใสเกิดล้มป่วย มีอาการคุ้มดีคุ้มร้ายจนลือว่าผีเข้า พวกญาติพาแกไปหาหมออินให้ช่วยรักษา แม่บอกว่าป้าคำใสเป็นญาติจึงพาดิฉันไปดูด้วย
วันนั้นเองที่ดิฉันได้เห็นพิธีไล่ผีเต็มตา...
หมออินแต่งตัวชุดขาว สวมเสื้อยันต์สีแดง มีอุปกรณ์ต่างๆ ครบครัน ทั้งเขี้ยวหมูตัน มีดหมอลงอักขระ หวายอันเล็กๆ วางอยู่ข้างขันน้ำมนต์ มีใบธรณีสาร (มะขามป้อมดิน) ใช้ชุบน้ำมนต์เหมือนคนภาคกลางใช้กิ่งมะยมน่ะค่ะ
น่าสังเกตว่าต้นธรณีสารมีกิ่งใบคล้ายๆ มะยม แต่ต้นเล็กกว่าเพราะสูงราว 2-3 ฟุตเท่านั้น บางแห่งเรียกต้นเสนียด คงจะได้ชื่อมาเป็นเคล็ดในการจุ่มน้ำมนต์ประพรมเพื่อขับไล่เสนียดจัญไรนั่นเอง!
หมออินซักถามชื่อเสียงแต่ป้าคำใสไม่ตอบ เอาแต่ทำตาขวางมาทางชาวบ้านที่นั่งอยู่บนระเบียงกับนอกชานสิบกว่าคน จนหมอไล่ผีใช้กิ่งไม้จุ่มน้ำมนต์สะบัดใส่ป้าคำใส แกก็หวีดร้องเสียจนผงะหน้าไปตามๆ กัน หมออินถามชื่อซ้ำก็ไม่ยอมตอบ เอาแต่สะบัดหน้าไปมา
"งั้นก็กินหวายเถอะวะ" หมออินคำราม หน้าตาดุดัน หยิบหวายมาฟาดกระดาน 2-3 ครั้ง ป้าคำใสสะดุ้ง เฮือกๆ หลับตาปี๋ พลางร้องโอดโอยคล้ายเจ็บปวดแสนสาหัส
"มึงชื่อไร? มาจากไหน?" เสียงถามเหี้ยมๆ เร่งเร้า ขณะที่ป้าคำใสบิดตัวไปมาส่งเสียงร้องโหยหวนสลับกับเสียงแช่งด่าไม่ขาดปาก จนแป๋วลูกสาวแกร้องไห้ด้วยความสงสารแม่ แต่คนอื่นๆ เงียบกริบ เอาแต่จ้องมองแทบไม่กะพริบตา
"กูไม่บอก! กูไม่กลัวมึง...ไอ้หมอผีบ้า! โอ๊ย..." ป้าคำใสแผดร้องเหมือนคนบ้า แป๋วก็ร้องไห้จ้าไปพร้อมๆ กัน น่าขนลุกขนพองสิ้นดี!
ดิฉันเบียดแม่แน่น เสียงร้องนั้นเป็นเสียงผู้ชายชัดๆ พวกญาติๆ กับเพื่อนบ้านที่มุ่งดูก็คงขนลุกขนพอง ทุกคน เพราะเชื่อมั่นว่าป้าคำใสถูกผีร้ายเข้าสิงอย่างไม่มีปัญหา
ทันใดนั้นเองแป๋วที่ร้องไห้อยู่ข้างๆ ดิฉันก็ลุกพรวดพราดขึ้นยืน ชี้มือไปที่แม่ของแกพลางตะโกนขึ้นว่า...มันอยู่นั่นไง!!
หมออินหัวขวับมามอง แป๋วก็ชี้มือเร่าๆ ตามเดิม
"ผู้ชายนั่นมันโผล่จากตัวแม่...มันแลบลิ้นหลอกหนูมาหลายคืนแล้ว! ช่วยด้วย..."
คราวนี้หมอไล่ผีหันไปจ้องป้าคำใส...มองสูงขึ้นไป หน้าตาตื่นตะลึงเหมือนกับแกจะมองเห็นอะไรบางอย่าง! เห็นสิ่งเดียวกับที่แป๋วเห็น...
ผู้ชายคนนั้น...ผู้ชายที่สิงสู่อยู่ในร่างแม่ของแกนั่นเอง!
ผีร้ายที่ไม่มีใครมองเห็น นอกจากเด็กหญิงวัยสิบขวบเพียงคนเดียว...ดิฉันกอดแม่ไว้แน่นด้วยความหวาดกลัวแม้จะไม่เห็นใครเลย ได้ยินเสียงคนอื่นๆ ครางฮือ ไปตามๆ กัน
ทันใดนั้นหมออินก็ทิ้งหวาย คว้ามีดหมอมาเงื้อสูงก่อนจะฟันเบาๆ ลงบนพื้นพร้อมกับคำรามกระหึ่ม
"มึงกล้าลองดีกับกูก็อย่าไปผุดไปเกิดเลยวะ!"
ป้าคำใสร้องกรี๊ดก่อนจะหงายตึงลงไปแน่นิ่ง ท่าม กลางเสียงถอนใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เพราะนั่นดูเหมือนจะเป็นสัญญาณว่าผีร้ายได้ออกจากร่างของ แกแล้ว
พวกญาติๆ ช่วยกันแก้ไขจนป้าคำใสได้สติขึ้นมา หน้าตางุนงงคล้ายกับไม่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น หันไปเห็นลูกสาวก็เรียกชื่อ แป๋วโผเข้ากอดแม่ ขณะที่พวกญาติยกมือไหว้หมออิน ไม่ช้าก็ทยอยกันลงจากเรือนแก
ใครคนหนึ่งถามแป๋วว่าเห็นผีออกจากร่างแม่จริงๆ หรือ? เด็กหญิงก็พยักหน้าหันไปมองบนบ้านหมอผีแล้วบอกว่า...นั่นไง! มันตามหมออินเข้าห้องไปแล้ว...
ไม่มีใครรู้แน่ว่าผีตัวนั้นโดนคาถาอาคมเข้มขลัง จนต้องกลายเป็นบริวารหมออิน หรือแกเองนั่นแหละ ที่เป็นคนปล่อยผีออกมารังควานชาวบ้าน? แต่ทุกคนต่างเชื่อว่าแป๋วเห็นผีออกจากร่างแม่ของแกจริงๆ ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2555
07 มิถุนายน 2558
ผีกระดุ้ย!
"คนวิเศษฯ" เล่าเรื่องขนหัวลุกของผีที่มีในอ่างทองแห่งเดียว
ผมเป็นคนอ่างทอง พูดถึงวัดวาอารามนี่ไม่น้อย หน้าใคร มาจากความเชื่อที่ว่าเศรษฐีที่พ่อแม่หรือลูกเต้าตาย ก็จะสร้างวัดทำบุญให้มาแต่สมัยโบราณแล้ว...วัดถึงได้ครึ่ดไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำน้อยไงล่ะครับ
วัดยิ่งมากเท่าไร ผีก็ยิ่งดุมากเท่านั้น!!
จริงๆ นะครับไม่ได้พูดเล่น เพราะวัดคือที่พักพิงแหล่งสุดท้ายของคนเรานี่นา...ตายแล้วก็ไปวัด ได้พักผ่อนสงบสุขไปตลอดกาล พวกญาติมิตรที่มีความคิดก็จะได้ไม่ประมาท เมื่อนึกว่าวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว...เราต้องถูกเขาหามแห่มาเผามาฝังไว้ที่วัดใดวัดหนึ่งเช่นกัน
มรณสติเอาไว้เป็นดีที่สุด ตัดโลภ โกรธ หลง ได้ดีนักเชียว!
เผลอๆ ยังได้ข้อคิดตามวัดที่เขียนเอาไว้สอนใจและปลอบใจอีกต่างหาก
"พระมีมนต์ คนมีทรัพย์ คนนับถือ"
"ไม่มีใครโชคดีตลอดไป ไม่มีใครโชคร้ายตลอดกาล"
"ยิ่งให้ ยิ่งได้"
"ยิ่งทำความดี ยิ่งเจริญรุ่งเรือง"
โอ๊ย! เยอะแยะครับ จดจำกันไม่หวาดไม่ไหว ใครชอบผมจะคัดลอกคำสอนที่ฟังดูพื้นๆ แต่ถ้าคิดและไตร่ตรองให้ดีจะพบว่ามีความหมายลึกซึ้ง มาเล่าสู่กันฟังในโอกาสหน้า ใครปฏิบัติตามรับรองว่ามีแต่จะได้ลูกเดียว ไม่มีอะไรเสียหายเด็ดขาด!
เมื่อต้นเดือนเพื่อนชื่ออ๋อจากสุพรรณบุรีมาเยี่ยม พูดคุยกันแต่เรื่องน้ำท่วมสาหัสสากรรจ์ ตอนนี้ใกล้จะหน้าแล้งก็ทำท่าว่าจะแล้งจัดจนต้องขอดน้ำตากินอีกแล้ว...ว่าไปนั่นเลย
เพื่อนแถวบ้านชื่อบินมาร่วมวงด้วย มันขัดว่าอ่างทองมิหนักกว่าหรือ? กรมชลฯ เขาทำท่าไหนไม่รู้ จะระบายน้ำมาก่อนก็เสียดาย จวนตัวเข้าก็ปล่อยน้ำลงมาเหมือนน้ำตก
...ข้ามองดูน้ำมันขึ้นที่บันไดบ้านชั่วโมงละคืบสองคืบ มืออ่อนตีนอ่อน ข้าวของขนหนีไม่ทัน น้ำเจิ่งอยู่หลายเดือน ไร่นาวอดวายหมด แต่นาน่ะปีหน้าก็ทำใหม่ได้แล้ว แต่สวนมะม่วงร้อยกว่าต้นนี่ซีเหลืออยู่แค่ 6 ต้นเพราะเป็นมะม่วงป่า มันทนน้ำเหลือใจ...นอกนั้นน่ะอีกตั้ง 4-5 ปีกว่าจะติดดอกออกช่อ! เจ้าประคุณเอ๋ย...
เจ้าอ๋อคนสองพี่น้องเอียงคอมองยิ้มๆ ถามว่า...คนวิเศษฯ แค่นี้ก็ "พูดเยื้อง" เหมือนกันหรือ?
เจ้าบินมองหน้าผมแล้วยอกย้อนเข้าให้ว่า...เอ๊ะ! คนสองพี่น้องใกล้ๆ บ้านฉันก็ "พูดชวย" หรือ?
สรุปว่า "เยื้อง" ของสุพรรณฯ กับ "ชวย" ของอ่างทอง แปลว่า "เหน่อ" เหมือนๆ กันนั่นแหละครับ...คราวนี้เลยหันมาคุยกันเรื่องภาษาถิ่นเจื้อยแจ้วติดลมบนไปเลย
เจ้าบินช่างเจรจาก็ถามว่าเคยได้ยินคำว่า "เคลน" ไหมเล่า? มาจาก "โคลน" กับ "เลน" รวมกันเรียกว่า "เคลน" สะดวกปากดี หรืออย่างเด็กๆ เล่นล้อต๊อก เสียงมันดังต๊อกๆ ต๋อยๆ มาเรียกว่า "ก๋อย"
ฝนตกปรอยๆ ฝนตกหยิมๆ คนอ่างทองรู้จักอยู่ แต่คนชัยนาทบางอำเภอเขาเรียก "ฝนตกแซะๆ" กับ "ฝนตกแพร็มๆ"
เจ้าบินเห็นหนุ่มสุพรรณฯ ฟังเพลินก็เล่าเรื่อง "ผีกระดุ้ย" ที่มีในจังหวัดอ่างทองแห่งเดียวในเมืองไทยให้เจ้าอ๋อฟัง
เมื่อ 2-3 ปีมาแล้ว มีแม่กับลูกสาวคู่หนึ่งไปนั่งรอรถที่ร้านกาแฟเพื่อจะเข้าอ่างทอง ลูกสาวเกิดหิวก็สั่งข้าวราดแกงมากิน พอรถมาถึงแม่ก็เร่งให้ลูกสาวกินข้าวเร็วๆ ขืนชักช้าจะตกรถ...
ในที่สุดก็รีบร้อนจนพลัดตกรถลงมาตายคาที่ทั้งสองคน!
วันดีคืนดีก็มีคนเห็นแม่ลูกคู่นั้นมานั่งรอรถตามเคย แต่ส่วนมากมักจำไม่ได้เพราะก้มหน้าก้มตาง่วน ลูกสาวรีบตักข้าวเข้าปาก รถเมล์แล่นฝุ่นตลบมายามบ่ายจัด แม่ก็เร่งลูกยิกๆ ไม่ขาดปาก
"รถมาแล้วอีหนู มึงรีบ "กระดุ้ยๆ" เข้าซีวะ เดี๋ยวจะตกรถ!"
คำว่า "กระดุ้ย" ก็คือเร่งร้อนให้ทำอะไรเร็วๆ นั่นเอง
คนที่ได้ยินเต็มหูรู้สึกว่าเสียงคุ้นๆ ก็ชักเอะใจ หัวขวับไปมอง เห็นแม่ฉุดมือลูกสาววิ่งไปที่รถกำลังจะเร่งเครื่องแล่นออกไป...หายวับไปกับตา! ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริด...กระดุ้ยกันกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทางในบัดดล!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2555
ผมเป็นคนอ่างทอง พูดถึงวัดวาอารามนี่ไม่น้อย หน้าใคร มาจากความเชื่อที่ว่าเศรษฐีที่พ่อแม่หรือลูกเต้าตาย ก็จะสร้างวัดทำบุญให้มาแต่สมัยโบราณแล้ว...วัดถึงได้ครึ่ดไปทั้งสองฝั่งแม่น้ำน้อยไงล่ะครับ
วัดยิ่งมากเท่าไร ผีก็ยิ่งดุมากเท่านั้น!!
จริงๆ นะครับไม่ได้พูดเล่น เพราะวัดคือที่พักพิงแหล่งสุดท้ายของคนเรานี่นา...ตายแล้วก็ไปวัด ได้พักผ่อนสงบสุขไปตลอดกาล พวกญาติมิตรที่มีความคิดก็จะได้ไม่ประมาท เมื่อนึกว่าวันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว...เราต้องถูกเขาหามแห่มาเผามาฝังไว้ที่วัดใดวัดหนึ่งเช่นกัน
มรณสติเอาไว้เป็นดีที่สุด ตัดโลภ โกรธ หลง ได้ดีนักเชียว!
เผลอๆ ยังได้ข้อคิดตามวัดที่เขียนเอาไว้สอนใจและปลอบใจอีกต่างหาก
"พระมีมนต์ คนมีทรัพย์ คนนับถือ"
"ไม่มีใครโชคดีตลอดไป ไม่มีใครโชคร้ายตลอดกาล"
"ยิ่งให้ ยิ่งได้"
"ยิ่งทำความดี ยิ่งเจริญรุ่งเรือง"
โอ๊ย! เยอะแยะครับ จดจำกันไม่หวาดไม่ไหว ใครชอบผมจะคัดลอกคำสอนที่ฟังดูพื้นๆ แต่ถ้าคิดและไตร่ตรองให้ดีจะพบว่ามีความหมายลึกซึ้ง มาเล่าสู่กันฟังในโอกาสหน้า ใครปฏิบัติตามรับรองว่ามีแต่จะได้ลูกเดียว ไม่มีอะไรเสียหายเด็ดขาด!
เมื่อต้นเดือนเพื่อนชื่ออ๋อจากสุพรรณบุรีมาเยี่ยม พูดคุยกันแต่เรื่องน้ำท่วมสาหัสสากรรจ์ ตอนนี้ใกล้จะหน้าแล้งก็ทำท่าว่าจะแล้งจัดจนต้องขอดน้ำตากินอีกแล้ว...ว่าไปนั่นเลย
เพื่อนแถวบ้านชื่อบินมาร่วมวงด้วย มันขัดว่าอ่างทองมิหนักกว่าหรือ? กรมชลฯ เขาทำท่าไหนไม่รู้ จะระบายน้ำมาก่อนก็เสียดาย จวนตัวเข้าก็ปล่อยน้ำลงมาเหมือนน้ำตก
...ข้ามองดูน้ำมันขึ้นที่บันไดบ้านชั่วโมงละคืบสองคืบ มืออ่อนตีนอ่อน ข้าวของขนหนีไม่ทัน น้ำเจิ่งอยู่หลายเดือน ไร่นาวอดวายหมด แต่นาน่ะปีหน้าก็ทำใหม่ได้แล้ว แต่สวนมะม่วงร้อยกว่าต้นนี่ซีเหลืออยู่แค่ 6 ต้นเพราะเป็นมะม่วงป่า มันทนน้ำเหลือใจ...นอกนั้นน่ะอีกตั้ง 4-5 ปีกว่าจะติดดอกออกช่อ! เจ้าประคุณเอ๋ย...
เจ้าอ๋อคนสองพี่น้องเอียงคอมองยิ้มๆ ถามว่า...คนวิเศษฯ แค่นี้ก็ "พูดเยื้อง" เหมือนกันหรือ?
เจ้าบินมองหน้าผมแล้วยอกย้อนเข้าให้ว่า...เอ๊ะ! คนสองพี่น้องใกล้ๆ บ้านฉันก็ "พูดชวย" หรือ?
สรุปว่า "เยื้อง" ของสุพรรณฯ กับ "ชวย" ของอ่างทอง แปลว่า "เหน่อ" เหมือนๆ กันนั่นแหละครับ...คราวนี้เลยหันมาคุยกันเรื่องภาษาถิ่นเจื้อยแจ้วติดลมบนไปเลย
เจ้าบินช่างเจรจาก็ถามว่าเคยได้ยินคำว่า "เคลน" ไหมเล่า? มาจาก "โคลน" กับ "เลน" รวมกันเรียกว่า "เคลน" สะดวกปากดี หรืออย่างเด็กๆ เล่นล้อต๊อก เสียงมันดังต๊อกๆ ต๋อยๆ มาเรียกว่า "ก๋อย"
ฝนตกปรอยๆ ฝนตกหยิมๆ คนอ่างทองรู้จักอยู่ แต่คนชัยนาทบางอำเภอเขาเรียก "ฝนตกแซะๆ" กับ "ฝนตกแพร็มๆ"
เจ้าบินเห็นหนุ่มสุพรรณฯ ฟังเพลินก็เล่าเรื่อง "ผีกระดุ้ย" ที่มีในจังหวัดอ่างทองแห่งเดียวในเมืองไทยให้เจ้าอ๋อฟัง
เมื่อ 2-3 ปีมาแล้ว มีแม่กับลูกสาวคู่หนึ่งไปนั่งรอรถที่ร้านกาแฟเพื่อจะเข้าอ่างทอง ลูกสาวเกิดหิวก็สั่งข้าวราดแกงมากิน พอรถมาถึงแม่ก็เร่งให้ลูกสาวกินข้าวเร็วๆ ขืนชักช้าจะตกรถ...
ในที่สุดก็รีบร้อนจนพลัดตกรถลงมาตายคาที่ทั้งสองคน!
วันดีคืนดีก็มีคนเห็นแม่ลูกคู่นั้นมานั่งรอรถตามเคย แต่ส่วนมากมักจำไม่ได้เพราะก้มหน้าก้มตาง่วน ลูกสาวรีบตักข้าวเข้าปาก รถเมล์แล่นฝุ่นตลบมายามบ่ายจัด แม่ก็เร่งลูกยิกๆ ไม่ขาดปาก
"รถมาแล้วอีหนู มึงรีบ "กระดุ้ยๆ" เข้าซีวะ เดี๋ยวจะตกรถ!"
คำว่า "กระดุ้ย" ก็คือเร่งร้อนให้ทำอะไรเร็วๆ นั่นเอง
คนที่ได้ยินเต็มหูรู้สึกว่าเสียงคุ้นๆ ก็ชักเอะใจ หัวขวับไปมอง เห็นแม่ฉุดมือลูกสาววิ่งไปที่รถกำลังจะเร่งเครื่องแล่นออกไป...หายวับไปกับตา! ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริด...กระดุ้ยกันกระเจิดกระเจิงไปคนละทิศละทางในบัดดล!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2555
06 มิถุนายน 2558
เณรปราบผี
"แพรวา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกวันไล่ผีปอบ
พ่อดิฉันเป็นข้าราชการค่ะ ครอบครัวเราต้องย้ายจังหวัดหลายแห่งในภาคอีสาน เช่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ขอนแก่น...ดิฉันย้ายโรงเรียนตามพ่อไปเรื่อยๆ ดีอย่างที่ได้เพื่อนเยอะแยะ ที่สนิทกันมากคบกันตั้งแต่เด็กจนใกล้แก่ก็มีหลายคนค่ะ
ประสบการณ์วัยเด็กมักจะฝังใจ ยิ่งเรื่องผีๆ สางๆ ด้วยแล้ว แหม...จำแม่นจัง!
วันนี้จะเล่าเรื่องเณรไล่ผีให้ฟังค่ะ ต้องบอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่เณรที่เราเห็นทั่วๆ ไป แต่เป็นผีเณรร่วมมือกับหมอผี ช่วยกันขับไล่ผีปอบที่มาทำอันตรายชาวบ้าน แปลกไหมล่ะคะ?
"ผีเซียงข้อง" คือชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันทั่วๆ ไป คนอีสานส่วนมากรู้จักกันดี แต่คนถิ่นอื่นอาจจะงงๆ ต้องอธิบายกันพอสมควร จะได้เข้าใจแจ่มแจ้งโดยทั่วกัน
"เซียง" คือเณรที่สึกแล้ว หรือ "อดีตเณร" ก็ได้ ส่วน "ข้อง" ก็คือข้องใส่ปลา "ผีเซียงข้อง" ถ้าแปลตรงตัวก็คือ "ผีเณรในข้อง"
ทำไมผีเณรจึงเข้าไปอยู่ในข้อง? ถูกหมอผีจับเหมือนเรื่องแม่นากพระโขนงถูกจับถ่วงในหม้อดินหรือไง? อ๋อ...ตรงกันข้ามเลยค่ะ หมอผีต้องอัญเชิญเซียงเข้ามาในข้องเพื่อให้ช่วยปราบผีปอบต่างหากล่ะ
พูดถึงผีปอบ แถวอีสานดังแค่ไหนก็รู้ๆ กันอยู่นะคะ!
เดี๋ยวมีข่าวผีปอบที่นั่นที่นี่ มีแก๊งมิจฉาชีพสวมรอยเป็นหมอผี อาสาขับไล่หรือปราบผีแต่เรียกเงินมากๆ ชาวบ้านกลัวโดนปอบกินตับก็ต้องช่วยกันควักกระเป๋าแพงๆ จ่ายให้ ส่วนมากไม่ได้ผล แถมยังแกล้งกล่าวหาคนดีๆ ว่าเป็นปอบมานับไม่ถ้วน
สมัยก่อนมีปอบจริงๆ ดิฉันประสบกับเรื่องน่าขนหัวลุกด้วยตัวเองมาแล้วค่ะ
จู่ๆ ก็มีชาวบ้านล้มตายโดยไม่ทราบสาเหตุติดๆ กัน 3 ราย เป็นผู้หญิงทั้งหมด คนแก่ 2 หญิงสาว 1 รายหลังอยู่ใกล้ๆ บ้านดิฉัน ตอนหัวค่ำวันหนึ่งแกร้องกรี๊ดๆ แล้วสิ้นสติไป นอนเพ้ออยู่ได้ 2-3 วันก็ขาดใจตาย
มีคนโดนผีหลอกทั้งในไร่นาและในบ้านเรือนแทบไม่เว้นแต่ละวัน!
คนลือกันใหญ่ว่ามีผีปอบมาหลบซ่อนอยู่ในละแวกนั้น แต่ไม่อาจรู้ว่าเป็นใครแน่ ต้องตาม "จ้ำ" มาทำพิธีให้ผีเซียงข้องช่วยเหลือ จัดการกับปอบให้เด็ดขาดไปเลย
"จ้ำ" คือผู้เชี่ยวชาญทางเวทมนตร์ คาถาอาคม หรือหมอผีนี่เองค่ะ
แม่พาดิฉันไปดูพร้อมกับเพื่อนบ้านหลายคน เห็นเขาเอาตะข้องใส่ปลามา 1 ใบ หอยโข่งตายแล้วราว 6-7 ตัวใส่ลงข้อง ใช้กะละมังปิดฝาแล้วขัดด้วยไมไผ่ เอาผ้าแดงผูกคอตะข้องทิ้งชายยาวเชียว แล้วเอาไม้ท่อนยาวๆ มาผูกติดทำเป็นขาหยั่งรองรับ
จ้ำนำผ้าขาวกับเหล้า ดอกไม้กับเทียนไปซ่อนไว้ แล้วให้ผู้ชายสองคนมาเงยฝาข้อง ก่อนจะยกขาหยั่งขึ้น ส่วนจ้ำจะพนมมือโอมอ่านเวทมนตร์ เชิญผีเซียงข้องมาช่วยปัดเป่าเหตุร้ายให้เหือดหายไปโดยเร็วด้วยเถิด
จากนั้นจ้ำจะถามว่าเซียงข้องมาหรือยัง? ถ้ามาแล้วให้เขย่าข้องด้วย ก่อนจะไปรับเครื่องเซ่นบูชาที่แอบซ่อนไว้...ทุกคนเงียบกริบ ล้วนจ้องมองตะข้องแทบไม่กะพริบตาเลย!
ทันใดนั้นเอง ตะข้องใหญ่บนขาหยั่งก็เขย่าโครมคราม บอกให้รู้ว่าเซียงข้องมาแล้ว จ้ำรีบเทเหล้าลงปากข้องแล้วเชิญไปหาของเซนไหว้ เมื่อพบแล้วให้กลับมาที่เดิมทันที
ขาดคำ ข้องที่มีผีเซียงข้องเข้าสถิตก็เริ่มแกว่งเร็วขึ้นๆ ลากชายทั้งสองไปยังเครื่องเซ่นที่จ้ำซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็กลับมายังที่เดิม...ชายทั้งสองหอบแรงๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเห็นได้ชัด
ดิฉันมารู้ภายหลังว่า จ้ำป้องกันวิญญาณเร่ร่อนปลอมตัวมากินสินบน ถ้าไม่ใช่ผีเซียงของตัวจริงจะไม่มีวันหาเครื่องเซ่นไหว้พบเด็ดขาด!
จากนั้นจ้ำก็เล่าเรื่องเดือดร้อนให้ฟัง ขอให้เซียงข้องช่วยเหลือชาวบ้านให้พ้นทุกข์ด้วยเถิด...แทบจะไม่ขาดเสียงด้วยซ้ำ เซียงข้องก็เขย่าเกรียวกราว ออกโลดแล่นลากชายทั้งสองออกจากบ้านแทบหัวคะมำ ผู้คนวิ่งดูเกรียวกราว ดิฉันก็อยากตามไปดูประสาเด็กน้อย แต่แม่่ไม่ยอม...ลากดิฉันกลับบ้านทันใด
เหตุการณ์ต่อมาได้รับรู้จากเขาเล่าให้ฟัง เชื่อสนิทเพราะทุกคนเล่าตรงกันหมด!
นั่นคือ เซียงข้องพาไปบ้านหญิงชราชื่อยายเบ้า แกนอนเจ็บมาหลายเดือนแล้ว เอาแต่ครางฮือๆ อยู่บนเรือนไม่ได้ลุกไปไหน แต่พอโดนเล่นงานเอาดื้อๆ แม่เฒ่ากลับเผ่นผลุงขึ้นมาต่อสู้ดุเดือดแทบบ้านช่องพัง จนเห็นจวน ตัวก็กระโดดเรือนหนีไม่คิดชีวิต
เซียงข้องไล่ตามไม่ลดละ ถึงไหนเป็นถึงกัน ข้องนั่นแหละที่ฟาดกระหน่ำจนผีปอบยายเบ้ายอมแพ้ รับปากว่าจะออกจากหมู่บ้านนั้นไปโดยดี ผีเซียงข้องจึงพาคนทั้งหลายกลับมาหาจ้ำตามเดิม
แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านมาหลายสิบปี แต่นึกถึงทีไรดิฉันต้องขนลุกทุกทีเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2555
พ่อดิฉันเป็นข้าราชการค่ะ ครอบครัวเราต้องย้ายจังหวัดหลายแห่งในภาคอีสาน เช่น ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ขอนแก่น...ดิฉันย้ายโรงเรียนตามพ่อไปเรื่อยๆ ดีอย่างที่ได้เพื่อนเยอะแยะ ที่สนิทกันมากคบกันตั้งแต่เด็กจนใกล้แก่ก็มีหลายคนค่ะ
ประสบการณ์วัยเด็กมักจะฝังใจ ยิ่งเรื่องผีๆ สางๆ ด้วยแล้ว แหม...จำแม่นจัง!
วันนี้จะเล่าเรื่องเณรไล่ผีให้ฟังค่ะ ต้องบอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่เณรที่เราเห็นทั่วๆ ไป แต่เป็นผีเณรร่วมมือกับหมอผี ช่วยกันขับไล่ผีปอบที่มาทำอันตรายชาวบ้าน แปลกไหมล่ะคะ?
"ผีเซียงข้อง" คือชื่อที่ชาวบ้านเรียกกันทั่วๆ ไป คนอีสานส่วนมากรู้จักกันดี แต่คนถิ่นอื่นอาจจะงงๆ ต้องอธิบายกันพอสมควร จะได้เข้าใจแจ่มแจ้งโดยทั่วกัน
"เซียง" คือเณรที่สึกแล้ว หรือ "อดีตเณร" ก็ได้ ส่วน "ข้อง" ก็คือข้องใส่ปลา "ผีเซียงข้อง" ถ้าแปลตรงตัวก็คือ "ผีเณรในข้อง"
ทำไมผีเณรจึงเข้าไปอยู่ในข้อง? ถูกหมอผีจับเหมือนเรื่องแม่นากพระโขนงถูกจับถ่วงในหม้อดินหรือไง? อ๋อ...ตรงกันข้ามเลยค่ะ หมอผีต้องอัญเชิญเซียงเข้ามาในข้องเพื่อให้ช่วยปราบผีปอบต่างหากล่ะ
พูดถึงผีปอบ แถวอีสานดังแค่ไหนก็รู้ๆ กันอยู่นะคะ!
เดี๋ยวมีข่าวผีปอบที่นั่นที่นี่ มีแก๊งมิจฉาชีพสวมรอยเป็นหมอผี อาสาขับไล่หรือปราบผีแต่เรียกเงินมากๆ ชาวบ้านกลัวโดนปอบกินตับก็ต้องช่วยกันควักกระเป๋าแพงๆ จ่ายให้ ส่วนมากไม่ได้ผล แถมยังแกล้งกล่าวหาคนดีๆ ว่าเป็นปอบมานับไม่ถ้วน
สมัยก่อนมีปอบจริงๆ ดิฉันประสบกับเรื่องน่าขนหัวลุกด้วยตัวเองมาแล้วค่ะ
จู่ๆ ก็มีชาวบ้านล้มตายโดยไม่ทราบสาเหตุติดๆ กัน 3 ราย เป็นผู้หญิงทั้งหมด คนแก่ 2 หญิงสาว 1 รายหลังอยู่ใกล้ๆ บ้านดิฉัน ตอนหัวค่ำวันหนึ่งแกร้องกรี๊ดๆ แล้วสิ้นสติไป นอนเพ้ออยู่ได้ 2-3 วันก็ขาดใจตาย
มีคนโดนผีหลอกทั้งในไร่นาและในบ้านเรือนแทบไม่เว้นแต่ละวัน!
คนลือกันใหญ่ว่ามีผีปอบมาหลบซ่อนอยู่ในละแวกนั้น แต่ไม่อาจรู้ว่าเป็นใครแน่ ต้องตาม "จ้ำ" มาทำพิธีให้ผีเซียงข้องช่วยเหลือ จัดการกับปอบให้เด็ดขาดไปเลย
"จ้ำ" คือผู้เชี่ยวชาญทางเวทมนตร์ คาถาอาคม หรือหมอผีนี่เองค่ะ
แม่พาดิฉันไปดูพร้อมกับเพื่อนบ้านหลายคน เห็นเขาเอาตะข้องใส่ปลามา 1 ใบ หอยโข่งตายแล้วราว 6-7 ตัวใส่ลงข้อง ใช้กะละมังปิดฝาแล้วขัดด้วยไมไผ่ เอาผ้าแดงผูกคอตะข้องทิ้งชายยาวเชียว แล้วเอาไม้ท่อนยาวๆ มาผูกติดทำเป็นขาหยั่งรองรับ
จ้ำนำผ้าขาวกับเหล้า ดอกไม้กับเทียนไปซ่อนไว้ แล้วให้ผู้ชายสองคนมาเงยฝาข้อง ก่อนจะยกขาหยั่งขึ้น ส่วนจ้ำจะพนมมือโอมอ่านเวทมนตร์ เชิญผีเซียงข้องมาช่วยปัดเป่าเหตุร้ายให้เหือดหายไปโดยเร็วด้วยเถิด
จากนั้นจ้ำจะถามว่าเซียงข้องมาหรือยัง? ถ้ามาแล้วให้เขย่าข้องด้วย ก่อนจะไปรับเครื่องเซ่นบูชาที่แอบซ่อนไว้...ทุกคนเงียบกริบ ล้วนจ้องมองตะข้องแทบไม่กะพริบตาเลย!
ทันใดนั้นเอง ตะข้องใหญ่บนขาหยั่งก็เขย่าโครมคราม บอกให้รู้ว่าเซียงข้องมาแล้ว จ้ำรีบเทเหล้าลงปากข้องแล้วเชิญไปหาของเซนไหว้ เมื่อพบแล้วให้กลับมาที่เดิมทันที
ขาดคำ ข้องที่มีผีเซียงข้องเข้าสถิตก็เริ่มแกว่งเร็วขึ้นๆ ลากชายทั้งสองไปยังเครื่องเซ่นที่จ้ำซ่อนไว้ ครั้นได้แล้วก็กลับมายังที่เดิม...ชายทั้งสองหอบแรงๆ ด้วยความเหน็ดเหนื่อยเห็นได้ชัด
ดิฉันมารู้ภายหลังว่า จ้ำป้องกันวิญญาณเร่ร่อนปลอมตัวมากินสินบน ถ้าไม่ใช่ผีเซียงของตัวจริงจะไม่มีวันหาเครื่องเซ่นไหว้พบเด็ดขาด!
จากนั้นจ้ำก็เล่าเรื่องเดือดร้อนให้ฟัง ขอให้เซียงข้องช่วยเหลือชาวบ้านให้พ้นทุกข์ด้วยเถิด...แทบจะไม่ขาดเสียงด้วยซ้ำ เซียงข้องก็เขย่าเกรียวกราว ออกโลดแล่นลากชายทั้งสองออกจากบ้านแทบหัวคะมำ ผู้คนวิ่งดูเกรียวกราว ดิฉันก็อยากตามไปดูประสาเด็กน้อย แต่แม่่ไม่ยอม...ลากดิฉันกลับบ้านทันใด
เหตุการณ์ต่อมาได้รับรู้จากเขาเล่าให้ฟัง เชื่อสนิทเพราะทุกคนเล่าตรงกันหมด!
นั่นคือ เซียงข้องพาไปบ้านหญิงชราชื่อยายเบ้า แกนอนเจ็บมาหลายเดือนแล้ว เอาแต่ครางฮือๆ อยู่บนเรือนไม่ได้ลุกไปไหน แต่พอโดนเล่นงานเอาดื้อๆ แม่เฒ่ากลับเผ่นผลุงขึ้นมาต่อสู้ดุเดือดแทบบ้านช่องพัง จนเห็นจวน ตัวก็กระโดดเรือนหนีไม่คิดชีวิต
เซียงข้องไล่ตามไม่ลดละ ถึงไหนเป็นถึงกัน ข้องนั่นแหละที่ฟาดกระหน่ำจนผีปอบยายเบ้ายอมแพ้ รับปากว่าจะออกจากหมู่บ้านนั้นไปโดยดี ผีเซียงข้องจึงพาคนทั้งหลายกลับมาหาจ้ำตามเดิม
แม้เหตุการณ์นี้จะผ่านมาหลายสิบปี แต่นึกถึงทีไรดิฉันต้องขนลุกทุกทีเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2555
03 มิถุนายน 2558
ซอยนี้...ผีดุ!
"เด็ก กศน." เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณผีตายโหง
ผมเป็นนักศึกษาภาคค่ำของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คืนนั้น หลังเลิกเรียนเพื่อนก็ชวนไปกินข้าว เราคุยกันเพลินมาก กว่าจะรู้ตัวก็ปาเข้าไปเกือบสองยามแน่ะครับ
เพื่อนขับรถไปส่ง แต่บ้านผมอยู่ในซอยแคบและลึกมาก แถมกำลังมีการขุดถนนเพื่อปรับปรุงท่อประปา ด้วยความเกรงใจจึงขอให้เพื่อนจอดรถหน้าปากซอยแล้วเดินเข้าไป...ความจริงก็กลัวเหมือนกันครับ เพราะเดือนที่แล้วมีคนถูกฆ่าตายแถวๆ นี้
สาเหตุคือที่ปากซอยมีร้านอาหารคาราโอเกะ คนเมาเกิดทะเลาะกันและยิงกันตาย ผมจำได้เพราะคืนนั้นผมก็กลับดึกแบบนี้แหละครับ
เหตุเกิดราวสองยาม...เหมือนคืนนี้เป๊ะเลย!
คืนนั้นผมกำลังจะเดินเข้าซอย ก็ได้ยินเสียงตะโกนด่ากันโหวกเหวก พอหันไปมองก็ได้ยินเสียงเหมือนกิ่งไม้หัก นั่นละ...เสียงปืน! แต่มันไม่ได้ดังเปรี้ยงๆ แบบในหนัง
ชายคนหนึ่งล้มลง แล้วคนยิงก็วิ่งหนีไป ขณะที่มีคนในร้านมากมายวิ่งออกมา เกิดวุ่นวายกันสักพักใหญ่ ผู้หญิงบางคนกรีดร้องอย่างเดียว ผู้ชายคนหนึ่งใช้มือถือเพื่อแจ้งเหตุร้าย...ผู้คนแถวนี้พากันออกมาดู ผมเดินไปมุงกับเขาบ้าง เห็นชายที่โดนยิงกำลังกระตุก มีเลือดทะลักออกมาทางปากและจมูก...
เขาโดนกระสุนเจาะลำคอ นัยน์ตาเขาดูเหลือกลาน
ภาพคนตายติดตาอยู่หลายวันจนผมเกือบลืมไปแล้ว...จนกระทั่งคืนนี้!
แต่ทำไมคืนนี้ดูแปลกจัง ผู้คนหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ปกติจะมีคนนั่งอยู่หน้าร้านคาราโอเกะ แต่คืนนี้ไม่มีเลย ห้องแถวหน้าร้านก็ปิดประตู ปิดไฟเงียบ...คงจะหลับหมดแล้วมั้ง?
สรุปว่าในนาทีนี้มีผมยืนอยู่เดียวดาย
มันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะมองตรงไปที่ผู้ชายคนนั้นล้มลงตาย!
พื้นที่ตรงนั้นว่างเปล่า แต่ภาพศพอันน่าสยดสนองของเขา กลับผุดขึ้นมาแจ่มชัดในความทรงจำของผม
แหม...อยากให้มอเตอร์ไซค์ผ่านมาซักคันหนึ่งจัง! คืนนี้เป็นอะไรนะ ไม่มีรถราซักคันเดียว! ผมถอนใจยาว...ตัดสินใจเดินเข้าซอยตามลำพัง ความรู้สึกไม่ค่อยจะมั่นคงชอบกล มันวูบๆ วาบๆ ยังไงพิลึก...ไม่อาจสลัดภาพศพถูกฆ่าออกไปจากสมองได้สำเร็จ!
ทันใดนั้น ผมสะดุดก้อนหินใหญ่จนหัวคะมำ เท้าพลิก ใจหายวาบ ขวัญผวาไปหมด หลุดปากอุทานอย่างลืมตัว! เฮ้อ...เจ็บข้อเท้าจังเลย นี่ละผลของการขุดถนน! ยังดีนะที่ผมไม่ตกลงไปในหลุมที่เขาขุดน่ะ ใจผมยังเต้นตึ้กๆๆ อยู่เลยเพราะอารามตกใจ
เมื่อตั้งสติได้ ก็รู้สึกว่ามีใครเดินมาข้างหลัง...โจรรึเปล่า?
ผมหันไปดู แต่เห็นหน้าไม่ถนัดเพราะมันมืด เขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่กว่าผม...คงจะไม่ใช่ผู้ร้ายหรอก เพราะเขาเดินดุ่มๆ นำหน้าผมเข้าไปในซอย...เดินเร็วมากเลยครับ คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันจะได้มีเพื่อน ผมเดินตามเขาไปห่างๆ และรู้สึกสบายใจขึ้นมา
ในซอยนี้บางบ้านก็เปิดไฟรั้ว ผนวกกับไฟถนนที่ห่างเป็นระยะๆ ทำให้มีแสงพอมองเห็นได้ดีกว่าตรงปากซอยที่มันดับไปดวงหนึ่ง กระนั้นบรรยากาศก็ยังค่อนข้างน่ากลัวมันดูเงียบสงัด แต่มีลมพัดอู้ๆ แล้วก็แรงขึ้นๆ ผมแหงนดูท้องฟ้า...มันมืดครึ้มคล้ายฝนจะตก!
ผมรีบเดินเร็วๆ ชายคนนั้นยังนำหน้าผม ห่างกันราวสิบก้าว ผมรักษาระยะห่างนั้นไว้ แต่ดูเหมือนเขาจะทอดจังหวะการเดินเป็นช้าลง...ช้าลง...
เอ๊ะ! หรือว่าจะหลอกให้ผมตายใจ พอเดินไปทันเขาอาจควักอาวุธมาทำร้ายผมดื้อๆ ก็เป็นได้! อันธพาลหรือโจร...
"กลัวรึ? ฮึๆๆ" เสียงพูดนั้นมาจากเขาแน่นอน ตอนนี้เขาอยู่ห่างผมราว 4-5 ก้าว...เขาไม่หันมาเลย ผมชักตกใจ ชะงักฝีเท้าเหมือนถูกตรึงโดยไม่รู้ตัว
ขณะที่ผมกำลังละล้าละลังอยู่นั้น เขาก็หันขวับมา...แสงไฟส่องเต็มหน้าพอดี!
คุณพระช่วย! ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของคนตายชัดๆ ปากและจมูกมีเลือดเอ่อ เสื้อด้านหน้าเปรอะเลือดไปหมด...ผมจ้องมองภาพนั้นเหมือนถูกสะกดจิต อยากจะร้องแต่ร้องไม่ออก แข้งขาหนักอึ้งจนขยับไม่ได้ มันเหมือนฝันร้ายจริงๆ ครับ
ผมแรงพัดมาวูบหนึ่ง...พัดเอาร่างน่าสยองของชายผู้นั้นสลายไปกับอากาศธาตุ โดยไม่มีร่องรอยว่าเคยยืนจังก้าอยู่ตรงนั้นมาก่อนเลย!
น้ำตาผมไหลพราก พยายามสะกดตัวเองไม่ให้ออกวิ่ง ทั้งแข็งใจและกลั้นใจเดินช้าๆ ผ่านไปตรงที่เขาเคยยืนอยู่ แต่อึดใจเดียวก็ไม่ไหวแล้ว...ผมเผ่นกระเจิงจนมาถึงบ้าน
เมื่อแม่ทราบเรื่องนี้จากผม แม่ก็ให้จุดธูปไหว้พระ บอกว่าตอนที่สะดุดหินน่ะใจหายวูบ และเป็นช่องทางให้ภูตผี วิญญาณแทรกเข้ามาได้...ทีหลังอย่ากลับดึกก็แล้วกัน
ตั้งแต่นั้นมาผมเข็ดหลาบ ไม่กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ อีกเลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555
ผมเป็นนักศึกษาภาคค่ำของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง คืนนั้น หลังเลิกเรียนเพื่อนก็ชวนไปกินข้าว เราคุยกันเพลินมาก กว่าจะรู้ตัวก็ปาเข้าไปเกือบสองยามแน่ะครับ
เพื่อนขับรถไปส่ง แต่บ้านผมอยู่ในซอยแคบและลึกมาก แถมกำลังมีการขุดถนนเพื่อปรับปรุงท่อประปา ด้วยความเกรงใจจึงขอให้เพื่อนจอดรถหน้าปากซอยแล้วเดินเข้าไป...ความจริงก็กลัวเหมือนกันครับ เพราะเดือนที่แล้วมีคนถูกฆ่าตายแถวๆ นี้
สาเหตุคือที่ปากซอยมีร้านอาหารคาราโอเกะ คนเมาเกิดทะเลาะกันและยิงกันตาย ผมจำได้เพราะคืนนั้นผมก็กลับดึกแบบนี้แหละครับ
เหตุเกิดราวสองยาม...เหมือนคืนนี้เป๊ะเลย!
คืนนั้นผมกำลังจะเดินเข้าซอย ก็ได้ยินเสียงตะโกนด่ากันโหวกเหวก พอหันไปมองก็ได้ยินเสียงเหมือนกิ่งไม้หัก นั่นละ...เสียงปืน! แต่มันไม่ได้ดังเปรี้ยงๆ แบบในหนัง
ชายคนหนึ่งล้มลง แล้วคนยิงก็วิ่งหนีไป ขณะที่มีคนในร้านมากมายวิ่งออกมา เกิดวุ่นวายกันสักพักใหญ่ ผู้หญิงบางคนกรีดร้องอย่างเดียว ผู้ชายคนหนึ่งใช้มือถือเพื่อแจ้งเหตุร้าย...ผู้คนแถวนี้พากันออกมาดู ผมเดินไปมุงกับเขาบ้าง เห็นชายที่โดนยิงกำลังกระตุก มีเลือดทะลักออกมาทางปากและจมูก...
เขาโดนกระสุนเจาะลำคอ นัยน์ตาเขาดูเหลือกลาน
ภาพคนตายติดตาอยู่หลายวันจนผมเกือบลืมไปแล้ว...จนกระทั่งคืนนี้!
แต่ทำไมคืนนี้ดูแปลกจัง ผู้คนหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ ปกติจะมีคนนั่งอยู่หน้าร้านคาราโอเกะ แต่คืนนี้ไม่มีเลย ห้องแถวหน้าร้านก็ปิดประตู ปิดไฟเงียบ...คงจะหลับหมดแล้วมั้ง?
สรุปว่าในนาทีนี้มีผมยืนอยู่เดียวดาย
มันอดไม่ได้จริงๆ ที่จะมองตรงไปที่ผู้ชายคนนั้นล้มลงตาย!
พื้นที่ตรงนั้นว่างเปล่า แต่ภาพศพอันน่าสยดสนองของเขา กลับผุดขึ้นมาแจ่มชัดในความทรงจำของผม
แหม...อยากให้มอเตอร์ไซค์ผ่านมาซักคันหนึ่งจัง! คืนนี้เป็นอะไรนะ ไม่มีรถราซักคันเดียว! ผมถอนใจยาว...ตัดสินใจเดินเข้าซอยตามลำพัง ความรู้สึกไม่ค่อยจะมั่นคงชอบกล มันวูบๆ วาบๆ ยังไงพิลึก...ไม่อาจสลัดภาพศพถูกฆ่าออกไปจากสมองได้สำเร็จ!
ทันใดนั้น ผมสะดุดก้อนหินใหญ่จนหัวคะมำ เท้าพลิก ใจหายวาบ ขวัญผวาไปหมด หลุดปากอุทานอย่างลืมตัว! เฮ้อ...เจ็บข้อเท้าจังเลย นี่ละผลของการขุดถนน! ยังดีนะที่ผมไม่ตกลงไปในหลุมที่เขาขุดน่ะ ใจผมยังเต้นตึ้กๆๆ อยู่เลยเพราะอารามตกใจ
เมื่อตั้งสติได้ ก็รู้สึกว่ามีใครเดินมาข้างหลัง...โจรรึเปล่า?
ผมหันไปดู แต่เห็นหน้าไม่ถนัดเพราะมันมืด เขาเป็นผู้ชายตัวใหญ่กว่าผม...คงจะไม่ใช่ผู้ร้ายหรอก เพราะเขาเดินดุ่มๆ นำหน้าผมเข้าไปในซอย...เดินเร็วมากเลยครับ คิดอีกทีก็ดีเหมือนกันจะได้มีเพื่อน ผมเดินตามเขาไปห่างๆ และรู้สึกสบายใจขึ้นมา
ในซอยนี้บางบ้านก็เปิดไฟรั้ว ผนวกกับไฟถนนที่ห่างเป็นระยะๆ ทำให้มีแสงพอมองเห็นได้ดีกว่าตรงปากซอยที่มันดับไปดวงหนึ่ง กระนั้นบรรยากาศก็ยังค่อนข้างน่ากลัวมันดูเงียบสงัด แต่มีลมพัดอู้ๆ แล้วก็แรงขึ้นๆ ผมแหงนดูท้องฟ้า...มันมืดครึ้มคล้ายฝนจะตก!
ผมรีบเดินเร็วๆ ชายคนนั้นยังนำหน้าผม ห่างกันราวสิบก้าว ผมรักษาระยะห่างนั้นไว้ แต่ดูเหมือนเขาจะทอดจังหวะการเดินเป็นช้าลง...ช้าลง...
เอ๊ะ! หรือว่าจะหลอกให้ผมตายใจ พอเดินไปทันเขาอาจควักอาวุธมาทำร้ายผมดื้อๆ ก็เป็นได้! อันธพาลหรือโจร...
"กลัวรึ? ฮึๆๆ" เสียงพูดนั้นมาจากเขาแน่นอน ตอนนี้เขาอยู่ห่างผมราว 4-5 ก้าว...เขาไม่หันมาเลย ผมชักตกใจ ชะงักฝีเท้าเหมือนถูกตรึงโดยไม่รู้ตัว
ขณะที่ผมกำลังละล้าละลังอยู่นั้น เขาก็หันขวับมา...แสงไฟส่องเต็มหน้าพอดี!
คุณพระช่วย! ใบหน้านั้นเป็นใบหน้าของคนตายชัดๆ ปากและจมูกมีเลือดเอ่อ เสื้อด้านหน้าเปรอะเลือดไปหมด...ผมจ้องมองภาพนั้นเหมือนถูกสะกดจิต อยากจะร้องแต่ร้องไม่ออก แข้งขาหนักอึ้งจนขยับไม่ได้ มันเหมือนฝันร้ายจริงๆ ครับ
ผมแรงพัดมาวูบหนึ่ง...พัดเอาร่างน่าสยองของชายผู้นั้นสลายไปกับอากาศธาตุ โดยไม่มีร่องรอยว่าเคยยืนจังก้าอยู่ตรงนั้นมาก่อนเลย!
น้ำตาผมไหลพราก พยายามสะกดตัวเองไม่ให้ออกวิ่ง ทั้งแข็งใจและกลั้นใจเดินช้าๆ ผ่านไปตรงที่เขาเคยยืนอยู่ แต่อึดใจเดียวก็ไม่ไหวแล้ว...ผมเผ่นกระเจิงจนมาถึงบ้าน
เมื่อแม่ทราบเรื่องนี้จากผม แม่ก็ให้จุดธูปไหว้พระ บอกว่าตอนที่สะดุดหินน่ะใจหายวูบ และเป็นช่องทางให้ภูตผี วิญญาณแทรกเข้ามาได้...ทีหลังอย่ากลับดึกก็แล้วกัน
ตั้งแต่นั้นมาผมเข็ดหลาบ ไม่กลับบ้านดึกๆ ดื่นๆ อีกเลยครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2555
02 มิถุนายน 2558
คืนเขย่าขวัญ
"อุษา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณพเนจร ไม่ว่าใครๆ ก็ชอบฟังเรื่องผีทั้งนั้นแหละค่ะ แต่น่าสังเกตอยู่อย่างว่า เรื่องผีมักจะเกิดในวัดหรือโรงพยาบาล ไม่งั้นก็เป็นทางเปลี่ยว หรือไปนอนค้างที่อื่น เช่น บ้านหรือโรงแรม...แต่ไม่เคยได้ยินว่ามีใครโดนผีหลอกในบ้านตัวเอง
ดิฉันอาจจะเคราะห์ร้ายสุดๆ ก็เป็นได้ เพราะจะโดนผีหลอกที่ไหนไม่โดน แต่กลับมาโดนในห้องนอนที่เคยอยู่มาสิบกว่าปี ทำให้นึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ในคืนนั้น?
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์น่าขนหัวลุกนี้จะเกิดขึ้นมานานมากแล้ว แต่ก็ยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำไม่มีวันลืมเลือน!
พ่อแม่ดิฉันปลูกบ้านอยู่ในซอยนางลิ้นจี่ แถวช่องนนทรี มีบ้านเรือนคับคั่ง ยิ่งมีทางด่วนตัดผ่านก็ยิ่งเจริญขึ้นผิดหูผิดตา ถนนหน้าซอยมีทั้งธนาคาร ร้าน อาหารดังๆ มาเปิดสาขาเรียงรายกันอยู่คึกคัก รถราที่แล่นเข้าออกในซอยก็แทบไม่ขาดสายทั้งกลางวันและกลางคืน
บ้านดิฉันยังไม่เคยมีใครล้มตายแม้แต่คนเดียว!
เมื่อดิฉันแต่งงานและมีลูกชายเล็กๆ อายุได้สองขวบก็เกิดเรื่องสยองขวัญขึ้นมา
คืนเกิดเหตุ สามีไปทำธุรกิจภาคเหนือมีกำหนดสามคืน ดิฉันนอนกับลูกในห้องด้านหน้า มีห้องน้ำคั่นระหว่างห้องนอนของพ่อแม่ที่อยู่ด้านข้าง ประตูห้องน้ำตรงกับหัวบันไดพอดี!
คืนนั้น เราดูละครทีวีเรื่องเงา เกี่ยวกับพญามัจจุราชที่แปลงตัวมาเป็นมนุษย์เพื่อลงโทษคนบาป...เราดูทั้งบ้านเลยค่ะ เมื่อละครจบก็ขึ้นนอน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของป้าแจ่มแม่บ้านเก่าแก่เป็นคนดูแลเรื่องประตูหน้าต่างและฟืนไฟ...ทุกสิ่งทุกอย่างดูเป็นปกติเหมือนกับทุกๆ คืนที่ผ่านมา
ดิฉันดับไฟพาลูกเข้านอนไล่ๆ กับพ่อแม่ จนกระทั่งเคลิ้มหลับไป...
มารู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้งกลางดึก สรรพสิ่งเงียบสงัด เสียงรถยนต์แล่นผ่านหน้าบ้านไปมานานๆ ครั้ง...ดิฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองตื่นขึ้นมาทำไม?
เสียงแอร์แบบวินโดวครางเบาๆ แสงไฟจากภายนอกถูกม่านหน้าต่างปิดกั้นจนในห้องมืดสลัว เหลือบดูลูกชายก็เห็นหลับสนิท ดิฉันขยับผ้าห่มคลุมทรวงอกให้อย่างมิดชิด...ขณะนั้นเองที่แว่วเสียงแปลกประหลาดดังมาจากหน้าประตู!
ความรู้สึกงัวเงียในตอนแรกเปลี่ยนเป็นตื่นตัวอย่างเต็มที่...
เสียงคนกำลังซักผ้าค่ะ!!
เสียงน้ำกระฉอก เสียงขยี้ผ้า ตามด้วยเสียงบ่นพึมพำ...คล้ายๆ กับป้าแจ่มยกกะละมังมาซักผ้าอยู่ที่หน้าห้องนอน ตรงหัวบันไดพอดี!
ดิฉันลุกพรวดขึ้นนั่ง เกือบจะหลุดปากออกไปแล้วว่าป้าแจ่มซักผ้าทำไมตอนดึกดื่นขนาดนี้ แถมอุตริขึ้นมาซักชั้นบนอีกต่างหาก...แต่ก็ยกมืออุดปากตัวเองไว้ได้ทัน เมื่อสมองแล่นวาบว่า...นั่นไม่ใช่ป้าแจ่มแน่นอน
เกิดอะไรขึ้น! ใครมาซักผ้าอยู่หน้าห้องนอน?
หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ หน้าร้อนผ่าวก่อนจะเย็นวูบ เลือดลดตัวจนเย็นเฉียบไปทั้งร่าง รู้สึกเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับกันไม่หยุดหย่อน อากาศในห้องยิ่งเย็นยะเยือกจนขนลุกซ่า...อยากจะร้องไห้โฮออกมาดังๆ เท่าๆ กับอยากตะโกนออกไปเหลือเกินว่า...ใคร? ต้องการอะไร?
ฉับพลันนั้นเอง เสียงน่าสยองในกลางดึกก็เงียบหายไปกะทันหัน!
เกือบจะถอนใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก เมื่อนึกว่าเราคงหูแว่วไปเอง ประสาทหลอนเพราะเพิ่งตื่นขึ้นมาหยกๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง เกือบจะกรีดร้องออกมาบัดดล เมื่อเสียงสยองดังขึ้น...ชัดเจนไม่มีอะไรน่าสงสัยแม้แต่นิดเดียว
เสียงคล้ายใครยกกะละมังสาดน้ำโครมลงไปที่บันได?
ดิฉันยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปาก กรีดร้องอยู่ในอกด้วยความหวาดกลัวสุดขีด รู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น สมองพองโตราวกับจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ น้ำตาไหลพราก ทรุดลงกอดลูกน้อยที่ยังหลับสนิทด้วยท่อนแขนสั่นเทา...ไปเถอะ! ไปเสียที...ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออะไรที่อยู่หน้าห้องนอนก็จงเป็นสุขๆ เถิด อย่ามารบกวนเราอีกเลย...
คล้ายจะมีเสียงใครทอดถอนใจยืดยาวดังแว่วมา แล้วสรรพสิ่งก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดตามเดิม ดิฉันนอนกอดลูกใจเต้นกระหน่ำ น้ำตาไหลรินแทบไม่ขาดสาย..จนกระทั่งรุ่งเช้ารีบเปิดประตูออกไปก็ไม่เห็นมีสิ่งใดผิดปกติแม้แต่น้อยนิด
พ่อแม่ไม่ได้ยินเสียงอุบาทว์นั่นเลย หน้าห้องและ บันไดทุกขั้นก็แห้งผาก...แม้ว่าเหตุการณ์น่าขน หัวลุก จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ดิฉันก็เชื่อสนิทค่ะว่า ผีมีจริง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2555
ดิฉันอาจจะเคราะห์ร้ายสุดๆ ก็เป็นได้ เพราะจะโดนผีหลอกที่ไหนไม่โดน แต่กลับมาโดนในห้องนอนที่เคยอยู่มาสิบกว่าปี ทำให้นึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นแน่ในคืนนั้น?
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์น่าขนหัวลุกนี้จะเกิดขึ้นมานานมากแล้ว แต่ก็ยังฝังแน่นอยู่ในความทรงจำไม่มีวันลืมเลือน!
พ่อแม่ดิฉันปลูกบ้านอยู่ในซอยนางลิ้นจี่ แถวช่องนนทรี มีบ้านเรือนคับคั่ง ยิ่งมีทางด่วนตัดผ่านก็ยิ่งเจริญขึ้นผิดหูผิดตา ถนนหน้าซอยมีทั้งธนาคาร ร้าน อาหารดังๆ มาเปิดสาขาเรียงรายกันอยู่คึกคัก รถราที่แล่นเข้าออกในซอยก็แทบไม่ขาดสายทั้งกลางวันและกลางคืน
บ้านดิฉันยังไม่เคยมีใครล้มตายแม้แต่คนเดียว!
เมื่อดิฉันแต่งงานและมีลูกชายเล็กๆ อายุได้สองขวบก็เกิดเรื่องสยองขวัญขึ้นมา
คืนเกิดเหตุ สามีไปทำธุรกิจภาคเหนือมีกำหนดสามคืน ดิฉันนอนกับลูกในห้องด้านหน้า มีห้องน้ำคั่นระหว่างห้องนอนของพ่อแม่ที่อยู่ด้านข้าง ประตูห้องน้ำตรงกับหัวบันไดพอดี!
คืนนั้น เราดูละครทีวีเรื่องเงา เกี่ยวกับพญามัจจุราชที่แปลงตัวมาเป็นมนุษย์เพื่อลงโทษคนบาป...เราดูทั้งบ้านเลยค่ะ เมื่อละครจบก็ขึ้นนอน ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของป้าแจ่มแม่บ้านเก่าแก่เป็นคนดูแลเรื่องประตูหน้าต่างและฟืนไฟ...ทุกสิ่งทุกอย่างดูเป็นปกติเหมือนกับทุกๆ คืนที่ผ่านมา
ดิฉันดับไฟพาลูกเข้านอนไล่ๆ กับพ่อแม่ จนกระทั่งเคลิ้มหลับไป...
มารู้สึกตัวตื่นขึ้นอีกครั้งกลางดึก สรรพสิ่งเงียบสงัด เสียงรถยนต์แล่นผ่านหน้าบ้านไปมานานๆ ครั้ง...ดิฉันอดสงสัยไม่ได้ว่าตัวเองตื่นขึ้นมาทำไม?
เสียงแอร์แบบวินโดวครางเบาๆ แสงไฟจากภายนอกถูกม่านหน้าต่างปิดกั้นจนในห้องมืดสลัว เหลือบดูลูกชายก็เห็นหลับสนิท ดิฉันขยับผ้าห่มคลุมทรวงอกให้อย่างมิดชิด...ขณะนั้นเองที่แว่วเสียงแปลกประหลาดดังมาจากหน้าประตู!
ความรู้สึกงัวเงียในตอนแรกเปลี่ยนเป็นตื่นตัวอย่างเต็มที่...
เสียงคนกำลังซักผ้าค่ะ!!
เสียงน้ำกระฉอก เสียงขยี้ผ้า ตามด้วยเสียงบ่นพึมพำ...คล้ายๆ กับป้าแจ่มยกกะละมังมาซักผ้าอยู่ที่หน้าห้องนอน ตรงหัวบันไดพอดี!
ดิฉันลุกพรวดขึ้นนั่ง เกือบจะหลุดปากออกไปแล้วว่าป้าแจ่มซักผ้าทำไมตอนดึกดื่นขนาดนี้ แถมอุตริขึ้นมาซักชั้นบนอีกต่างหาก...แต่ก็ยกมืออุดปากตัวเองไว้ได้ทัน เมื่อสมองแล่นวาบว่า...นั่นไม่ใช่ป้าแจ่มแน่นอน
เกิดอะไรขึ้น! ใครมาซักผ้าอยู่หน้าห้องนอน?
หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ หน้าร้อนผ่าวก่อนจะเย็นวูบ เลือดลดตัวจนเย็นเฉียบไปทั้งร่าง รู้สึกเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับกันไม่หยุดหย่อน อากาศในห้องยิ่งเย็นยะเยือกจนขนลุกซ่า...อยากจะร้องไห้โฮออกมาดังๆ เท่าๆ กับอยากตะโกนออกไปเหลือเกินว่า...ใคร? ต้องการอะไร?
ฉับพลันนั้นเอง เสียงน่าสยองในกลางดึกก็เงียบหายไปกะทันหัน!
เกือบจะถอนใจเฮือกใหญ่อย่างโล่งอก เมื่อนึกว่าเราคงหูแว่วไปเอง ประสาทหลอนเพราะเพิ่งตื่นขึ้นมาหยกๆ แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยง เกือบจะกรีดร้องออกมาบัดดล เมื่อเสียงสยองดังขึ้น...ชัดเจนไม่มีอะไรน่าสงสัยแม้แต่นิดเดียว
เสียงคล้ายใครยกกะละมังสาดน้ำโครมลงไปที่บันได?
ดิฉันยกมือทั้งสองข้างขึ้นปิดปาก กรีดร้องอยู่ในอกด้วยความหวาดกลัวสุดขีด รู้สึกเหมือนตกนรกทั้งเป็น สมองพองโตราวกับจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ น้ำตาไหลพราก ทรุดลงกอดลูกน้อยที่ยังหลับสนิทด้วยท่อนแขนสั่นเทา...ไปเถอะ! ไปเสียที...ไม่ว่าจะเป็นใครหรืออะไรที่อยู่หน้าห้องนอนก็จงเป็นสุขๆ เถิด อย่ามารบกวนเราอีกเลย...
คล้ายจะมีเสียงใครทอดถอนใจยืดยาวดังแว่วมา แล้วสรรพสิ่งก็ตกอยู่ในความเงียบสงัดตามเดิม ดิฉันนอนกอดลูกใจเต้นกระหน่ำ น้ำตาไหลรินแทบไม่ขาดสาย..จนกระทั่งรุ่งเช้ารีบเปิดประตูออกไปก็ไม่เห็นมีสิ่งใดผิดปกติแม้แต่น้อยนิด
พ่อแม่ไม่ได้ยินเสียงอุบาทว์นั่นเลย หน้าห้องและ บันไดทุกขั้นก็แห้งผาก...แม้ว่าเหตุการณ์น่าขน หัวลุก จะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว แต่ดิฉันก็เชื่อสนิทค่ะว่า ผีมีจริง!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2555
01 มิถุนายน 2558
ถนนอาถรรพณ์
"หม่องทิน" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากแม่สอด
สมัยเด็กผมอยู่แม่สอด เมืองตาก ตอนนั้นยังห่างไกลความเจริญมาก ถึงแม้จะมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ แต่บ้านเรือนก็ไม่ได้สร้างด้วยไม้สักเสมอไป เพราะบริษัทที่ได้สัมปทานส่งออกตัดไม้ล่องแม่น้ำเมยขึ้นเหนือ แล้วขนถ่ายที่สาละวินเพื่อขายให้พม่า
บ้านคนรวยเรียกว่า "เฮียน" เพราะเป็นเรือนไม้สัก หลังคามุงกระเบื้องแป้นเกล็ดหรือใบตองตึง อย่างหลังนี่อายุราว 4-5 ปีก็ต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว
ส่วนบ้านคนจนอย่างพวกผมเรียกว่า "ตูบ" เพราะปลูกด้วยไม้ไผ่ทั้งหลัง
ที่คล้ายกันก็คือนิยมสร้างบ้านใต้ถุนสูงแบบไทย เหนือ ใช้ไม้ไผ่รวกทำรั้วบ้านเรียกว่า "สลาบ" ไม้ที่ใช้คือ ไม้กระยาเลย ไม้แดง ไม้เต็ง ตอนที่ผมจำความได้น่ะทางการสั่งให้เลิกไปนานแล้วเนื่องจากไม้ใกล้หมดป่าเต็มที
ตอนนั้นผมเรียนอยู่ที่สรรพวิทยา ใครเรียนเก่งจะได้รับทุนไปเรียนต่อที่จังหวัด วิชาที่ดังมากคือภาษาอังกฤษ ครูเป็นชาวพม่าที่มาสอนตอนเลิกเรียน จะเรียกว่าเรียนพิเศษก็ได้
พูดถึงพม่าสมัยนั้นเป็นแหล่งเจริญ มีสินค้าต่างๆ รวมทั้งหนัง (เงียบ) พม่า ละครพม่า นำมาฉายและแสดงที่โรงหนังศรีเมืองฉอด พวกเราเรียกว่า "โรงหนังกาดมั่ว"
วันดีคืนดีก็มีข่าวว่าพบแร่ทองคำที่ตำบลแม่ตาว จู่ๆ ก็มีแร่ทองคำไหลมาตามลำห้วยมากมาย ชาวบ้านจากเถิน เมืองลำปางมาพบเข้า จึงป่าวร้องให้ชาวบ้านมาช่วยกันร่อนทองเรียกว่า "ตาวคำ" โดยตั้งถิ่นฐานอยู่ริมห้วยแม่ตาว ร่อนทองจนกระทั่งหมดสิ้นในที่สุด
ที่แม่สอดน่ะชาวบ้านนิยมเลี้ยง "หมูดำ" เอาไว้กินไว้ขายกันด้วย เรานิยมกินหมูดำมากกว่าหมูขาว เพราะมีทั้งเนื้อแดง มัน สามชั้น และเนื้อสันใน ส่วนหมูขาวน่ะมีแต่เนื้อแดงเท่านั้น
ก่อนนั้นโรงพยาบาลยังไม่มีหรอกครับ มีแต่สุขศาลา หมอกับพยาบาลจะออกไปเยี่ยมไข้ตามบ้านบ่อยๆ ชาวบ้านเรียกนางพยาบาลว่า "นางสงเคราะห์" ซึ้งซะไม่มีละครับ
สมัยก่อน ข้าราชการคนไหนถูกย้ายมาแม่สอด ก็แทบหมดอาลัยตายอยากไปเลย ได้แต่พูดปลอบกันว่า...บุญเท่าไหร่แล้วที่ได้อยู่แม่สอด ขืนโดนย้ายไปอุ้มผางมีหวังกระอักเลือด เพราะทั้งห่างไกลและทุรกันดารกว่าแม่สอดมากมายนัก
ใครจะมาแม่สอดต้องถือว่ามีความอดทนสูงจริงๆ คือต้องเริ่มต้นจากศาลากลางจังหวัดตากตอนบ่ายๆ จ้างลูกหาบช่วยยกสัมภาระ แวะค้างคืนที่ "กระแตแม่ท้อ" (สถานีตำรวจแมท้อปัจจุบัน) โดยพักนอนแถวริมห้วยเกาะทราย คืนที่สองแวะพักค้างคืนที่บ้านปลารดซึ่งมีศาลาจัดไว้ให้คนเดินทางโดยเฉพาะ
คืนต่อไปต้องพักแรมที่วัดแถวแม่ละเมา มีสัตว์ร้ายชุกชุม ต้องก่อไฟจัดเวรยามกันอย่างรอบคอบ ขืนประมาทพลาดพลั้งมีหวังโดนเจ้าป่าดอดมาขบหัวลากไปกินได้ง่ายๆ
สามวันสามคืนละครับกว่าจะถึงแม่สอด!
ต่อมามีการสร้างถนนลูกรังเชื่อมตาก-แม่สอด แต่กล่าวขวัญกันว่าผีดุเหลือหลาย เพราะเกิดอุบัติเหตุรถ ราชนกันแทบทุกวัน เนื่องจากถนนคดเคี้ยววกวนไปตามไหล่เขาสูงชัน ถ้าชนกันเฉยๆ ไม่เป็นไร แต่ถ้าเสียหลักตกเหวข้างทาง 10-20 เมตร...ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตละครับ
ทั้งล้มตายและบาดเจ็บสาหัสนับร้อย ชาวบ้านเรียกว่า "ถนนสายมรณะ" ต้องหาทางแก้ไขด้วยวิธี "ขึ้นเขาวันหนึ่ง-ลงเขาวันหนึ่ง" แต่ก็มีคนหลงๆ ลืมๆ หรือคึกคะนองจนเกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยๆ
ในที่สุด รัฐบาลออสเตรเลียก็มาช่วยพัฒนาถนนให้ดีขึ้นในปี 2513
ถนนสายตาก-แม่สอด มีอาถรรพณ์น่าขนหัวลุกครับ!
ระยะทาง 80 กิโลเมตรนี้มีศาลเจ้าพ่อพะวออยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 62-63 ตั้งอยู่บนเนินดินด้านขวา ในศาลมีรูปหล่อเจ้าพ่อพะวอ (นายขาว) ยืนถือง้าวด้วยท่วงท่างามสง่าน่าเคารพเลื่อมใส เป็นที่สักการบูชาของชาวจังหวัดตากและจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมา
มีประวัติว่าท่านเป็นนักรบชาวกะเหรี่ยง และเป็นนายด่านแม่ละเมา คอยป้องกันข้าศึกมิให้ข้ามภูเขาเข้ามาในเขตไทย
เจ้าพ่อพะวอเป็นนักรบ ท่านจึงชอบเสียงปืน ผู้ที่เดินทางผ่านหรือไปกราบไหว้จึงยิงปืน จุดประทัด หรือไม่ก็กดแตรถวาย จะเดินทางไปโดยสวัสดิภาพราบรื่นทุกคน
ส่วนพวกที่ไม่เคารพนับถือ มิหนำซ้ำยังไปล่าสัตว์บริเวณเขาพะวอ มักประสบอุบัติเหตุต่างๆ เช่นรถเสีย เจ็บป่วย หลงทาง บางคนก็โดนสัตว์ร้ายจู่โจมเข้าทำอันตรายถึงแก่ชีวิตมาหลายรายแล้ว
ท่านที่จะเดินทางไปเที่ยวแม่สอด อย่าละเลยสักการะเจ้าพ่อพะวอ อย่างน้อยกดแตรถวายท่านก็ยังดี จะได้ไม่ประสบอันตรายหรือเจอะเจอเรื่องขนหัวลุกไงครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555
สมัยเด็กผมอยู่แม่สอด เมืองตาก ตอนนั้นยังห่างไกลความเจริญมาก ถึงแม้จะมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์ แต่บ้านเรือนก็ไม่ได้สร้างด้วยไม้สักเสมอไป เพราะบริษัทที่ได้สัมปทานส่งออกตัดไม้ล่องแม่น้ำเมยขึ้นเหนือ แล้วขนถ่ายที่สาละวินเพื่อขายให้พม่า
บ้านคนรวยเรียกว่า "เฮียน" เพราะเป็นเรือนไม้สัก หลังคามุงกระเบื้องแป้นเกล็ดหรือใบตองตึง อย่างหลังนี่อายุราว 4-5 ปีก็ต้องเปลี่ยนใหม่แล้ว
ส่วนบ้านคนจนอย่างพวกผมเรียกว่า "ตูบ" เพราะปลูกด้วยไม้ไผ่ทั้งหลัง
ที่คล้ายกันก็คือนิยมสร้างบ้านใต้ถุนสูงแบบไทย เหนือ ใช้ไม้ไผ่รวกทำรั้วบ้านเรียกว่า "สลาบ" ไม้ที่ใช้คือ ไม้กระยาเลย ไม้แดง ไม้เต็ง ตอนที่ผมจำความได้น่ะทางการสั่งให้เลิกไปนานแล้วเนื่องจากไม้ใกล้หมดป่าเต็มที
ตอนนั้นผมเรียนอยู่ที่สรรพวิทยา ใครเรียนเก่งจะได้รับทุนไปเรียนต่อที่จังหวัด วิชาที่ดังมากคือภาษาอังกฤษ ครูเป็นชาวพม่าที่มาสอนตอนเลิกเรียน จะเรียกว่าเรียนพิเศษก็ได้
พูดถึงพม่าสมัยนั้นเป็นแหล่งเจริญ มีสินค้าต่างๆ รวมทั้งหนัง (เงียบ) พม่า ละครพม่า นำมาฉายและแสดงที่โรงหนังศรีเมืองฉอด พวกเราเรียกว่า "โรงหนังกาดมั่ว"
วันดีคืนดีก็มีข่าวว่าพบแร่ทองคำที่ตำบลแม่ตาว จู่ๆ ก็มีแร่ทองคำไหลมาตามลำห้วยมากมาย ชาวบ้านจากเถิน เมืองลำปางมาพบเข้า จึงป่าวร้องให้ชาวบ้านมาช่วยกันร่อนทองเรียกว่า "ตาวคำ" โดยตั้งถิ่นฐานอยู่ริมห้วยแม่ตาว ร่อนทองจนกระทั่งหมดสิ้นในที่สุด
ที่แม่สอดน่ะชาวบ้านนิยมเลี้ยง "หมูดำ" เอาไว้กินไว้ขายกันด้วย เรานิยมกินหมูดำมากกว่าหมูขาว เพราะมีทั้งเนื้อแดง มัน สามชั้น และเนื้อสันใน ส่วนหมูขาวน่ะมีแต่เนื้อแดงเท่านั้น
ก่อนนั้นโรงพยาบาลยังไม่มีหรอกครับ มีแต่สุขศาลา หมอกับพยาบาลจะออกไปเยี่ยมไข้ตามบ้านบ่อยๆ ชาวบ้านเรียกนางพยาบาลว่า "นางสงเคราะห์" ซึ้งซะไม่มีละครับ
สมัยก่อน ข้าราชการคนไหนถูกย้ายมาแม่สอด ก็แทบหมดอาลัยตายอยากไปเลย ได้แต่พูดปลอบกันว่า...บุญเท่าไหร่แล้วที่ได้อยู่แม่สอด ขืนโดนย้ายไปอุ้มผางมีหวังกระอักเลือด เพราะทั้งห่างไกลและทุรกันดารกว่าแม่สอดมากมายนัก
ใครจะมาแม่สอดต้องถือว่ามีความอดทนสูงจริงๆ คือต้องเริ่มต้นจากศาลากลางจังหวัดตากตอนบ่ายๆ จ้างลูกหาบช่วยยกสัมภาระ แวะค้างคืนที่ "กระแตแม่ท้อ" (สถานีตำรวจแมท้อปัจจุบัน) โดยพักนอนแถวริมห้วยเกาะทราย คืนที่สองแวะพักค้างคืนที่บ้านปลารดซึ่งมีศาลาจัดไว้ให้คนเดินทางโดยเฉพาะ
คืนต่อไปต้องพักแรมที่วัดแถวแม่ละเมา มีสัตว์ร้ายชุกชุม ต้องก่อไฟจัดเวรยามกันอย่างรอบคอบ ขืนประมาทพลาดพลั้งมีหวังโดนเจ้าป่าดอดมาขบหัวลากไปกินได้ง่ายๆ
สามวันสามคืนละครับกว่าจะถึงแม่สอด!
ต่อมามีการสร้างถนนลูกรังเชื่อมตาก-แม่สอด แต่กล่าวขวัญกันว่าผีดุเหลือหลาย เพราะเกิดอุบัติเหตุรถ ราชนกันแทบทุกวัน เนื่องจากถนนคดเคี้ยววกวนไปตามไหล่เขาสูงชัน ถ้าชนกันเฉยๆ ไม่เป็นไร แต่ถ้าเสียหลักตกเหวข้างทาง 10-20 เมตร...ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตละครับ
ทั้งล้มตายและบาดเจ็บสาหัสนับร้อย ชาวบ้านเรียกว่า "ถนนสายมรณะ" ต้องหาทางแก้ไขด้วยวิธี "ขึ้นเขาวันหนึ่ง-ลงเขาวันหนึ่ง" แต่ก็มีคนหลงๆ ลืมๆ หรือคึกคะนองจนเกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยๆ
ในที่สุด รัฐบาลออสเตรเลียก็มาช่วยพัฒนาถนนให้ดีขึ้นในปี 2513
ถนนสายตาก-แม่สอด มีอาถรรพณ์น่าขนหัวลุกครับ!
ระยะทาง 80 กิโลเมตรนี้มีศาลเจ้าพ่อพะวออยู่บริเวณกิโลเมตรที่ 62-63 ตั้งอยู่บนเนินดินด้านขวา ในศาลมีรูปหล่อเจ้าพ่อพะวอ (นายขาว) ยืนถือง้าวด้วยท่วงท่างามสง่าน่าเคารพเลื่อมใส เป็นที่สักการบูชาของชาวจังหวัดตากและจังหวัดใกล้เคียง รวมทั้งนักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมา
มีประวัติว่าท่านเป็นนักรบชาวกะเหรี่ยง และเป็นนายด่านแม่ละเมา คอยป้องกันข้าศึกมิให้ข้ามภูเขาเข้ามาในเขตไทย
เจ้าพ่อพะวอเป็นนักรบ ท่านจึงชอบเสียงปืน ผู้ที่เดินทางผ่านหรือไปกราบไหว้จึงยิงปืน จุดประทัด หรือไม่ก็กดแตรถวาย จะเดินทางไปโดยสวัสดิภาพราบรื่นทุกคน
ส่วนพวกที่ไม่เคารพนับถือ มิหนำซ้ำยังไปล่าสัตว์บริเวณเขาพะวอ มักประสบอุบัติเหตุต่างๆ เช่นรถเสีย เจ็บป่วย หลงทาง บางคนก็โดนสัตว์ร้ายจู่โจมเข้าทำอันตรายถึงแก่ชีวิตมาหลายรายแล้ว
ท่านที่จะเดินทางไปเที่ยวแม่สอด อย่าละเลยสักการะเจ้าพ่อพะวอ อย่างน้อยกดแตรถวายท่านก็ยังดี จะได้ไม่ประสบอันตรายหรือเจอะเจอเรื่องขนหัวลุกไงครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)