"สาวน้อย" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากผีพอกหน้า
ดิฉันไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนกับเพื่อนๆ คือโอ่งกับโอ๋ ด้วยรถของคุณพ่อพวกเธอชื่อลุงวินัย นอกนั้นยังมีแม่และน้าๆ ป้าๆ ของเพื่อน ดูเหมือนว่าเราจะเข้าสู่ดินแดนดึกดำบรรพ์ที่มีอายุมากกว่ากำแพงเพชร จังหวัดของพวกเราอีกค่ะ
ไม่ใช่บ้านป่าเมืองเถื่อนที่มีแต่ขุนเขาสูงเสียดฟ้า การเดินทางทุรกันดารเต็มที (ในสมัยก่อน) อย่างที่ส่วนมากเข้าใจกัน แต่เป็นแผ่นดินที่มีประวัติยาวนานเหลือเชื่อนับล้านปีเชียวละ ยิ่งเดี๋ยวนี้มี "ปาย" เป็นแหล่งยอดฮิตจนกลายเป็นสถานท่องเที่ยวยอดนิยมไปเลย
จากเชียงใหม่เข้าแม่ฮ่องสอนก็ผ่านออบหลวง...จนกระทั่งถึง "ภูโคลน"
ท่านผู้อ่านที่เป็นสตรีคงจะทราบดีนะคะ ว่าเป็นโคลนที่มีแร่ธาตุในการชะลอความชรา ช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง ขจัดไฝฝ้า ทำให้ใบหน้าผ่องใส อ่อนเยาว์ นิยมใช้แพร่หลายจนถึงกับบรรจุขวดส่งขายทั่วประเทศ นับวันก็ยิ่งได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นทุกที
ใช้พอกตัว พอกหน้า ดูดซับผิวหนังชั้นนอกที่หมดอายุให้เหลือแต่ความสดใสเปล่งปลั่ง ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาสตรีทั้งหลายทั่วโลกแหละค่ะ!
โคลนวิเศษที่ว่านี้มีอยู่แค่ 3 ประเทศเท่านั้น คือ โรมาเนีย, อิสราเอล (เดดซี ใกล้กับจอร์แดน) และภูโคลน แม่ฮ่องสอน ประเทศไทย...มีการพิสูจน์จนได้ข้อสรุปว่า โคลนในเมืองไทยมีคุณภาพดีที่สุดในโลก...น่าภูมิใจมากๆ จริงไหมคะ?
เราไปถึงตอนบ่ายจัด (หลังจากเที่ยวมา 2-3 แห่งแล้ว) เห็นรถทัวร์หลายสิบคันจอดรับ-ส่งนักท่องเที่ยว คุณป้า คุณน้า โอ่งกับโอ๋และดิฉันลงจากรถตู้ด้วยความตื่นเต้น เราเดินไปไม่ไกลก็ถึงศาลาเตี้ยๆ โล่งกว้างทั้ง 4 ด้าน...
อ๋อ! เขาเปิดบริการหมอนวดแผนไทยสไตล์พื้นเมือง...เอ๊ะ! ยังไง?
เสียงใสๆ (จากเทป) ประกาศแจ้วๆ ไม่ขาดระยะ เชื้อเชิญนักท่องเที่ยวให้ไปพอกตัว พอกหน้า หรือซื้อผลิตภัณฑ์ เช่น สบู่เสริมความงามไปใช้...คุณป้าคุณน้าบอกว่าที่กำแพงฯ น่ะแพงมาก กรุงเทพฯ ก็ยิ่งแพงขึ้นไปอีก
โอ่งกับโอ๋วิ่งไปทางด้านขวาที่มีสตรีหลายวัยหนาตา แต่ป้าเนื่องบ่นว่านั่งรถมาปวดเมื่อยเนื้อตัวเหลือเกิน ขอไปนอนให้เขานวดคลายเส้นดีกว่า ดิฉันก็พลอยรู้สึกปวดหลังชอบกล ขอตามไปนวดด้วยคน ป้าเนื่องดีใจที่ได้เพื่อนค่ะ
จูงกันเข้าไปแจ้งความประสงค์ขอนวด 1 ชั่วโมง บังเอิญมีหมอนวดสาวใหญ่ 2 คนว่างพอดี
คนอื่นๆ นอนหงายเหยียดยาวบนเสื่อเรียงรายกันไปทั้งสองฟาก โดยหันเท้าเข้าหากัน ช่วงกลางกว้างขวางมาก ฝั่งโน้นมีเก้าอี้สำหรับผู้ที่ต้องการให้นวดเท้าอย่างเดียวด้วย
หมอนวดถามว่าชอบหนักหรือเบา ดิฉันบอกว่าเบาๆ ก่อนก็ดีค่ะ อยากให้นวดที่หลังมากหน่อย หมอนวดบอกว่าเส้นตึงมาก สงสัยจะไม่ได้นวดมานาน ดิฉันหลับตา อมยิ้มไม่ตอบว่า...เกิดมาก็เพิ่งจะนวดครั้งแรกนี่แหละค่ะ
โอ่งกับโอ๋เข้ามายืนแซวอยู่ข้างๆ ว่า อายุแค่นี้ริอ่านชอบนวดแล้วหรือ? อีกหน่อยก็ติดหมอนวดเหมือนป้าเนื่องหรอก...ตัวเองโดนนวดไม่ได้ มีหวังจั๊กจี้ตายเลย!
แล้วทั้งสองก็บอกว่าจะไปดูเขาสาธิตการตักโคลนและนวดหน้าด้วย
ลมพัดโชยมาไม่ขาดระยะเย็นสบายจนดิฉันเคลิ้มๆ ไป...ขณะที่นอนคว่ำให้หมอนวดกดส้นมือไปตามแผ่นหลัง ก็ได้ยินเสียงโอ่งถามว่า...อยากลองมั่งมั้ยล่ะ? พอลืมตามองก็อดหัวเราะไม่ได้เมื่อเห็นใบหน้าขาวๆ ถูกโคลนพอกไว้ดำปี๋ เห็นแต่นัยน์ตาเท่านั้น
ถามว่าอุตริไปทำแบบนี้ทำไม?
โอ่งตอบว่าเห็นเขาทำก็ทำกัน! ถามว่าทำแล้วได้อะไร เนื้อหนังก็ยังตึงเต่งอยู่นี่นา โอ่งเอียงคอมอง...ทำแล้วคงสวยขึ้นกว่าเดิมมั้ง? อีก 15 นาทีก็ล้างออกแล้ว ดูซิว่าจะสวยมั้ย?
บ้า! ดิฉันหลับตาเมื่อโอ่งหันกลับออกไป พอดีหมดเวลา...
ป้าเนื่องทิปหมอนวดไปคนละ 20 บาทแล้วออกมาใส่รองเท้า ดูนาฬิกาเห็นว่าได้เวลานัดหมายออกเดินทางต่อ เลยรีบไปเข้าห้องน้ำใกล้ๆ รถตู้ คนอื่นๆ มาถึงเกือบครบแล้ว หันไปมองโอ่งกับโอ๋ที่นั่งรอ ถามว่าทำไมล้างโคลนออกจากหน้าเร็วจัง?
"ใครล้างโคลน?" สองพี่น้องถามพร้อมกัน ยืนยันว่าไปเดินดูแค่ผ่านๆ เห็นเขาพอกหน้าเดินกันให้ไขว่ แต่เด็กสาวๆ อย่างเราจะพอกหน้าไปทำไม?
"โอ่ง! เธอพอกหน้าไปหาฉันที่นอนนวด คุณป้าก็เห็น" ดิฉันร้อง แต่โอ่งกับโอ๋หน้าซีด ยืนยันว่าอยู่ด้วยกันตลอด ไม่มีใครพอกโคลนเลย แวะกินน้ำเสาวรสคนละแก้วแล้วมานั่งรถรอเกือบ 15 นาทีมาแล้ว
ถ้างั้นใครล่ะที่มาพูดคุยกับดิฉัน? ไม่มีคำตอบมาถึงทุกวันนี้...ขนหัวลุกค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 31 มกราคม 2555
31 พฤษภาคม 2558
30 พฤษภาคม 2558
เกลืออาบศพ
"หนุ่มนาเกลือ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกในคืนโลงแตก
สมัยเด็กผมอยู่สมุทรสงคราม หรือ "แม่กลอง" จังหวัดเล็กๆ แต่อุดมสมบูรณ์ที่สุด เป็นทั้งแหล่งเกษตร กรรมและมีการทำอุตสาหกรรมอาหารทะเลใหญ่ที่สุดในเมืองไทย
นอกจากสวนผลไม้แล้ว แม่กลองยังมีทั้งนาข้าวและนาเกลืออีกด้วยครับ
วันนี้จะเล่าเรื่องน่าขนหัวลุกจากผีนาเกลือให้ฟัง!
แหม! ไม่ต้องโฆษณาขายเกลือก็ยังได้ เพราะยังไงๆ เกลือละแวกนี้ไม่ว่าแม่กลองหรือมหาชัยก็คุณภาพดีเหลือหลายอยู่แล้ว ไม่ว่าเกลือเค็ม เกลือจืด ที่เอามาทำเครื่องสำอางพอกหน้าคุณผู้หญิง ขจัดสิวฝ้า หน้าตกกระได้ชะงัดนักหนา
ฮะแอ้ม! เสียอย่างเดียวที่พวกนายทุนชอบอาศัยบารมีต่างๆ นานามากดราคาเพื่อผลประโยชน์ในการขายเกลือสินเธาว์ของตัวเอง...ไม่อยากพูดให้ช้ำใจเปล่าๆ หรอก ครับ
ขอแนะนำนิดเดียว สำหรับท่านที่ขับรถผ่านไปมา ระหว่างกรุงเทพฯ ราชบุรี เพชรบุรี หัวหิน...คือถ้าจะแวะซื้อเกลือติดไม้ติดมือกลับบ้านก็จงเลือกเกลือเก่านะครับ เพราะคุณภาพจะดีกว่าเกลือใหม่...ไม่ว่าจะนำไปปรุงอาหารหรือดองผักปลา อย่าใช้เกลือใหม่เชียว
วิธีสังเกตคือดูก้นถุงว่าเปียกแฉะหรือเปล่า? ถ้าใช่ก็เป็นเกลือใหม่ อีกวิธีคือลองเอามือกำดู ถ้าไม่ติดมือคือเกลือเก่าแน่นอน...ชัวร์!
อ๋อ...ชาวนาเกลือบางคนเดือดร้อน ก็รีบเอาเกลือใหม่มาขายน่ะซี
บ้านผมทำนาเกลือมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ คิดถึงเพลงหนุ่มนาข้าว-สาวนาเกลือแล้วอดขำไม่ได้...ข้าวน่ะชอบฝน แต่นาเกลือเห็นฝนตั้งเค้ามาก็กลุ้มอกกลุ้มใจไปตามๆ กัน ถ้าฝนเกิดซัดซู่ซ่าลงมามีหวังขาดทุนย่อยยับ เลยต้องทำนาเกลือในฤดูร้อนไงครับ
ปู่ผมเล่าว่าสมัยก่อน เมื่อน้ำทะเลท่วมท้นขึ้นมาหลายๆ วัน วันจะเหลือตะกอนขาวๆ หรือผลึกเกลือ พอจับปลากระบอกมาได้เหลือกินก็เอาเกลือคลุกไว้ทำให้ปลาอยู่ได้นานวันไม่เน่าไม่เสีย ถือว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านละกัน
จากน้ำลึกมาถึงน้ำตื้น แค่ 4-5 วันก็ได้ผลึกเกลือแล้ว จึงได้ริอ่านทำนาเกลือขึ้นมา ก่อนจะถึงฤดูใหม่นาเกลือก็จะมีแผ่นดำๆ เกลื่อนกลาด ชาวบ้านเรียกว่า "ดินหนังหมา" ต้องโกยทิ้งไปก่อน ไม่งั้นจะได้ผลไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แถมได้เกลือคุณภาพต่ำอีกต่างหาก
พวกผมจะรู้จัก "เกลือตัวผู้" กับ "เกลือตัวเมีย" ตั้งแต่เด็กๆ เพราะพ่อแม่สอนว่าเกลือตัวผู้จะเม็ดเล็กๆ ยาวคล้ายข้าวสาร แต่เกลือตัวเมียออกจะป้อม สั้น เกลือตัวผู้ใช้ทำยาโดยฝนกับโกร่งหรือฝาละมีก็ได้ แก้เด็กเป็นซางมาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายายโน่นแน่ะครับ
เรื่องผีๆ สางๆ ก็มีเกลือตัวผู้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยชนิดแยกไม่ออก!
เชื่อถือกันมาแต่โบราณแล้วว่า ถ้ามีใครตายก็ให้เอาเกลือตัวผู้โรยสะดือศพไว้เป็นเคล็ด เชื่อว่าจะทำให้ศพนั้นไม่เน่า หรือส่งกลิ่นน่ารังเกียจก่อนจะถึงวันเผาราว 3 วัน 7 วัน...จนกระทั่งเกิดเรื่องน่าขนหัวลุกขึ้นมา!
ตากลึงอายุ 70 เศษล้มตายอย่างน่าอิจฉาที่สุด คือแกนนอนหลับไปดีๆ ก็เลยหลับตลอดกาล ไม่ต้องเจ็บป่วยทนทุกข์ทรมาน หรือทำให้ลูกหลานเดือดร้อน แต่ก็ทำให้ตกอกตกใจเอาการ เพราะนึกไม่ถึงว่าคนแก่ที่ยังดูแข็งแรงอย่างตากลึงจะจากไปอย่างกะทันหัน
วันสวดศพที่วัด เพื่อนบ้านก็มาช่วยงานศพกันพร้อมหน้า ผมกับพ่อไปฟังสวดทุกคืนเพราะตากลึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับปู่ผม แต่เราเรียกว่าตาเหมือนคนอื่นๆ ในละแวกนั้น
จนกระทั่งสวดศพถึงคืนที่สามก่อนจะเผาวันรุ่งขึ้น...
พระสวดเสร็จกลับกุฏิแล้ว คราวนี้ก็เหลือแต่พวกคอเหล้ากับคอหมากรุก ล้อมวงโจ้กันเป็นเพื่อนศพ...จู่ๆ ก็มีเสียงกุกกักๆ ดังมาจากโลงผีชัดหู เล่นเอาเหลียวขวับไปมองเป็นตาเดียวกัน...หรือว่าตากลึงจะฟื้นขึ้นมา?
ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยวและเยือกเย็น ลมพัดซ่าเหมือนเสียงใครถอนใจเฮือกใหญ่ หมาหอนโจ๋วบาดหัวใจ ผมเบียดพ่อแจขณะที่เสียงกุกกักเงียบไป
ทันใดนั้นเอง เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่าขนหัวลุกก็ดังขึ้นติดๆ กัน!
นรกเถอะ! ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่หันขวับไปมองด้วยความตะลึงพรึงเพริด โลงพลันแตกผาง ศพตากลึงหล่นโครมครามน่าสยดสยอง กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั้งศาลา ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายไม่ได้ศัพท์เพราะความหวาดกลัวสุดขีด
ทุกชีวิตเผ่นพรึ่บขึ้นพร้อมๆ กันด้วยความตระหนกตกใจแทบจะเป็นบ้าเป็นหลังในพริบตานั้นเอง!
กว่าจะช่วยกันจัดการให้หายอุจาดได้ก็ปั่นป่วนกันไปหมด...ชาวบ้านพูดกันว่า พวกลูกหลานแกคงจะลืมโรยเกลือตัวผู้ใส่สะดือศพ ผีตากลึงถึงได้เหม็นเน่า พองอึ้ดทึ่ดจนโลงแตกน่าสยดสยอง...ขนหัวลุกไหมล่ะครับ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 30 มกราคม 2555
สมัยเด็กผมอยู่สมุทรสงคราม หรือ "แม่กลอง" จังหวัดเล็กๆ แต่อุดมสมบูรณ์ที่สุด เป็นทั้งแหล่งเกษตร กรรมและมีการทำอุตสาหกรรมอาหารทะเลใหญ่ที่สุดในเมืองไทย
นอกจากสวนผลไม้แล้ว แม่กลองยังมีทั้งนาข้าวและนาเกลืออีกด้วยครับ
วันนี้จะเล่าเรื่องน่าขนหัวลุกจากผีนาเกลือให้ฟัง!
แหม! ไม่ต้องโฆษณาขายเกลือก็ยังได้ เพราะยังไงๆ เกลือละแวกนี้ไม่ว่าแม่กลองหรือมหาชัยก็คุณภาพดีเหลือหลายอยู่แล้ว ไม่ว่าเกลือเค็ม เกลือจืด ที่เอามาทำเครื่องสำอางพอกหน้าคุณผู้หญิง ขจัดสิวฝ้า หน้าตกกระได้ชะงัดนักหนา
ฮะแอ้ม! เสียอย่างเดียวที่พวกนายทุนชอบอาศัยบารมีต่างๆ นานามากดราคาเพื่อผลประโยชน์ในการขายเกลือสินเธาว์ของตัวเอง...ไม่อยากพูดให้ช้ำใจเปล่าๆ หรอก ครับ
ขอแนะนำนิดเดียว สำหรับท่านที่ขับรถผ่านไปมา ระหว่างกรุงเทพฯ ราชบุรี เพชรบุรี หัวหิน...คือถ้าจะแวะซื้อเกลือติดไม้ติดมือกลับบ้านก็จงเลือกเกลือเก่านะครับ เพราะคุณภาพจะดีกว่าเกลือใหม่...ไม่ว่าจะนำไปปรุงอาหารหรือดองผักปลา อย่าใช้เกลือใหม่เชียว
วิธีสังเกตคือดูก้นถุงว่าเปียกแฉะหรือเปล่า? ถ้าใช่ก็เป็นเกลือใหม่ อีกวิธีคือลองเอามือกำดู ถ้าไม่ติดมือคือเกลือเก่าแน่นอน...ชัวร์!
อ๋อ...ชาวนาเกลือบางคนเดือดร้อน ก็รีบเอาเกลือใหม่มาขายน่ะซี
บ้านผมทำนาเกลือมาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษ คิดถึงเพลงหนุ่มนาข้าว-สาวนาเกลือแล้วอดขำไม่ได้...ข้าวน่ะชอบฝน แต่นาเกลือเห็นฝนตั้งเค้ามาก็กลุ้มอกกลุ้มใจไปตามๆ กัน ถ้าฝนเกิดซัดซู่ซ่าลงมามีหวังขาดทุนย่อยยับ เลยต้องทำนาเกลือในฤดูร้อนไงครับ
ปู่ผมเล่าว่าสมัยก่อน เมื่อน้ำทะเลท่วมท้นขึ้นมาหลายๆ วัน วันจะเหลือตะกอนขาวๆ หรือผลึกเกลือ พอจับปลากระบอกมาได้เหลือกินก็เอาเกลือคลุกไว้ทำให้ปลาอยู่ได้นานวันไม่เน่าไม่เสีย ถือว่าเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านละกัน
จากน้ำลึกมาถึงน้ำตื้น แค่ 4-5 วันก็ได้ผลึกเกลือแล้ว จึงได้ริอ่านทำนาเกลือขึ้นมา ก่อนจะถึงฤดูใหม่นาเกลือก็จะมีแผ่นดำๆ เกลื่อนกลาด ชาวบ้านเรียกว่า "ดินหนังหมา" ต้องโกยทิ้งไปก่อน ไม่งั้นจะได้ผลไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย แถมได้เกลือคุณภาพต่ำอีกต่างหาก
พวกผมจะรู้จัก "เกลือตัวผู้" กับ "เกลือตัวเมีย" ตั้งแต่เด็กๆ เพราะพ่อแม่สอนว่าเกลือตัวผู้จะเม็ดเล็กๆ ยาวคล้ายข้าวสาร แต่เกลือตัวเมียออกจะป้อม สั้น เกลือตัวผู้ใช้ทำยาโดยฝนกับโกร่งหรือฝาละมีก็ได้ แก้เด็กเป็นซางมาตั้งแต่ครั้งปู่ย่าตายายโน่นแน่ะครับ
เรื่องผีๆ สางๆ ก็มีเกลือตัวผู้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยชนิดแยกไม่ออก!
เชื่อถือกันมาแต่โบราณแล้วว่า ถ้ามีใครตายก็ให้เอาเกลือตัวผู้โรยสะดือศพไว้เป็นเคล็ด เชื่อว่าจะทำให้ศพนั้นไม่เน่า หรือส่งกลิ่นน่ารังเกียจก่อนจะถึงวันเผาราว 3 วัน 7 วัน...จนกระทั่งเกิดเรื่องน่าขนหัวลุกขึ้นมา!
ตากลึงอายุ 70 เศษล้มตายอย่างน่าอิจฉาที่สุด คือแกนนอนหลับไปดีๆ ก็เลยหลับตลอดกาล ไม่ต้องเจ็บป่วยทนทุกข์ทรมาน หรือทำให้ลูกหลานเดือดร้อน แต่ก็ทำให้ตกอกตกใจเอาการ เพราะนึกไม่ถึงว่าคนแก่ที่ยังดูแข็งแรงอย่างตากลึงจะจากไปอย่างกะทันหัน
วันสวดศพที่วัด เพื่อนบ้านก็มาช่วยงานศพกันพร้อมหน้า ผมกับพ่อไปฟังสวดทุกคืนเพราะตากลึงเป็นลูกพี่ลูกน้องกับปู่ผม แต่เราเรียกว่าตาเหมือนคนอื่นๆ ในละแวกนั้น
จนกระทั่งสวดศพถึงคืนที่สามก่อนจะเผาวันรุ่งขึ้น...
พระสวดเสร็จกลับกุฏิแล้ว คราวนี้ก็เหลือแต่พวกคอเหล้ากับคอหมากรุก ล้อมวงโจ้กันเป็นเพื่อนศพ...จู่ๆ ก็มีเสียงกุกกักๆ ดังมาจากโลงผีชัดหู เล่นเอาเหลียวขวับไปมองเป็นตาเดียวกัน...หรือว่าตากลึงจะฟื้นขึ้นมา?
ท่ามกลางความเปล่าเปลี่ยวและเยือกเย็น ลมพัดซ่าเหมือนเสียงใครถอนใจเฮือกใหญ่ หมาหอนโจ๋วบาดหัวใจ ผมเบียดพ่อแจขณะที่เสียงกุกกักเงียบไป
ทันใดนั้นเอง เกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าดน่าขนหัวลุกก็ดังขึ้นติดๆ กัน!
นรกเถอะ! ท่ามกลางสายตาทุกคู่ที่หันขวับไปมองด้วยความตะลึงพรึงเพริด โลงพลันแตกผาง ศพตากลึงหล่นโครมครามน่าสยดสยอง กลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งไปทั้งศาลา ท่ามกลางเสียงเอะอะโวยวายไม่ได้ศัพท์เพราะความหวาดกลัวสุดขีด
ทุกชีวิตเผ่นพรึ่บขึ้นพร้อมๆ กันด้วยความตระหนกตกใจแทบจะเป็นบ้าเป็นหลังในพริบตานั้นเอง!
กว่าจะช่วยกันจัดการให้หายอุจาดได้ก็ปั่นป่วนกันไปหมด...ชาวบ้านพูดกันว่า พวกลูกหลานแกคงจะลืมโรยเกลือตัวผู้ใส่สะดือศพ ผีตากลึงถึงได้เหม็นเน่า พองอึ้ดทึ่ดจนโลงแตกน่าสยดสยอง...ขนหัวลุกไหมล่ะครับ?
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 30 มกราคม 2555
28 พฤษภาคม 2558
ผีขึ้นแท็กซี่
เมื่อเดือนที่แล้วผมพาน้องแก้มแฟนของผมไปดูหนังรอบดึกแถวอนุสาวรีย์ชัยฯ กว่าหนังจะเลิกก็ตีหนึ่งกว่าแล้วล่ะครับ เราต้องออกมาเรียกแท็กซี่เพื่อไปส่งแก้มถึงบ้านที่รามอินทรา
อากาศคืนนั้นเย็นสบายเพราะฝนเพิ่งหยุดตก มันชุ่มฉ่ำและโรแมนติกน่าดู เมื่อผมออกมาริมถนนก็มองเห็นแท็กซี่คันหนึ่งสีชมพูจอดอยู่ริมขอบทางเพื่อรอรับผู้โดยสาร ผมตรงดิ่งไปที่รถคันนั้นทันที แต่น้องแก้มดึงมือผมไว้ก่อน
"นั่น! มีคนขึ้นไปแล้ว รอเรียกคันอื่นเถอะ" เธอพูดเบาๆ น้ำเสียงปกติ แต่ผมซิต้องแปลกใจมากเชียว เพราะภายใต้แสงไฟสว่างจ้า ผมไม่เห็นมีใครขึ้นแท็กซี่คันนั้นเลยสักคน
"ตาฝาดรึเปล่าจ๊ะแก้ม? พี่ไม่เห็นใครเลยนะ" ผมพูดขำๆ แต่เธอไม่ขำด้วย มองหน้าผมงงๆ แล้วบอกว่าจริงๆ นะ เมื่อกี้มีผู้ชายผู้หญิงคู่หนึ่งเดินจูงมือกันอยู่ ไม่ห่างจากเราเท่าไหร่ แก้มยังเห็นว่าผู้ชายนุ่งกางเกงยีนส์ขาลีบ สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน ส่วนผู้หญิงนุ่งขาสั้น เสื้อแขนพองสีแดงลายสกอต!
เห็นละเอียดขนาดนั้นเชียวล่ะครับ!
แก้มเล่าว่าคนทั้งคู่เปิดประตูรถแท็กซี่ด้านหลังขึ้นไปนั่งแล้วปิดประตู แต่เธอเอะใจว่าทำไมแท็กซี่ยังจอดนิ่งอยู่ ไม่ออกรถไปซะที มิหนำซ้ำตัวผมเองก็ทำท่าตรงรี่จะไปขึ้นรถคันนั้น
น้องแก้มทำตาปริบๆ อย่างงงงันและบอกผมว่า เดินไปดูกันดีกว่า ว่ามีคนนั่งในแท็กซี่คันนั้นหรือไม่?
มือเธอเย็นเฉียบขณะที่ผมจูงเธอไปชะโงกดู และเห็นชัดๆ ว่าเบาะหลังว่างเปล่า...โชเฟอร์ขยับตัวพร้อมที่จะบริการเรา น้องแก้มครางแล้วบอกว่าเธอกลัวมาก ไม่กล้าขึ้นรถคันนี้ แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ แถวนี้เหลือแท็กซี่อยู่คันเดียวและมันก็ดึกมากแล้วด้วย
ผมเปิดประตูก้าวเข้าไปนั่ง น้องแก้มทำหน้ามุ่ยเหมือนอยากร้องไห้ ก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวตามผมเข้ามาอย่างระแวง
ผมบอกให้โชเฟอร์ใช้ทางด่วนเลยจะได้ถึงบ้านน้องแก้มเร็วๆ
ในรถคันนั้นนี้ทีแรกก็มีกลิ่นใบเตยหอมๆ ผมเห็นใบเตยมัดใหญ่กองสุมอยู่ด้านหลังของเบาะ แต่พอนั่งไปเรื่อยๆ ผมเกิดได้กลิ่นคล้ายโรงพยาบาล มันแปลกมากครับ น้องแก้มเองก็คงได้กลิ่นเหมือนกัน...กระตุกมือผมแล้วเบียดตัวเข้ามา ท่าทางหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
ราวครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบ้านน้องแก้มโดยปลอดภัย ผมส่งเธอเข้าบ้านแล้วใช้บริการแท็กซี่คันเดิมให้ไปส่งที่ศรีย่าน บ้านผมอยู่แถวนั้นครับ
ขณะที่นั่งรถมาตามลำพัง ผมก็ได้ทีถามโชเฟอร์ว่ารถคันนี้มีอะไรรึเปล่า? โชเฟอร์พูดว่า "ไม่มีอะไรหรอกพี่ แต่พี่ถามขึ้นมาก็ดีแล้ว ผมรู้สึกมีอะไรแปลกๆ"
มันแปลกยังไงหรือครับ?
โชเฟอร์เล่าว่า ตลอดทางที่วิ่งมา เขามองกระจกหลังและเห็นเป็นคนสี่คนนั่งอยู่ คือมีผมกับน้องแก้มซึ่งนั่งชิดกันแถวกลางเบาะ แต่มีเงาของผู้หญิงคนหนึ่งนั่งริมหน้าต่างด้านน้องแก้ม และผู้ชายอีกคนหนึ่งนั่งริมหน้าต่างด้านผม! จะว่าเป็นเพราะตาฝาดหรือเงาหลอนก็ไม่ใช่
เดี๋ยวก็เห็นชัดเจน เดี๋ยวก็เลือนหายไป...
เอาล่ะซิ! ผมชักหนาวๆ ร้อนๆ เลยพูดกับโชเฟอร์ตามตรงว่า ก่อนที่ผมจะเปิดประตูมานั่งในรถเขาน่ะ แฟนผมเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเข้ามานั่งก่อน!
"ผมบอกจริงๆ นะพี่ ว่าก่อนพี่จะมาถึงรถผมน่ะ ผมรู้สึกว่ารถผมมันยวบเหมือนมีใครขึ้นมานั่งจริงๆ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรไง...โอย! ผมจะทำไงเนี่ย?"
ขากลับนี่เราไม่ได้ขึ้นทางด่วนนะครับ แต่มาตามทางปกติ และเรื่องที่เราสอบถามกันไปมานี่น่ะ ทำเอาเราหนาวๆ ร้อนๆ ทั้งคู่
ทันใดนั้น โชเฟอร์ร้องออกมาเบาๆ "โอ๊ย! พี่...ผมไม่ไหวแล้ว"
เขาเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันข้างทางแล้วรีบลงจากรถทันที ผมก็ตาเหลือกซิครับ รีบตะกายลงจากรถตามเขาแล้วถามว่าอะไรเหรอ? เขาเห็นอะไร?
"ผมเห็นอีกแล้ว! ผู้ชายผู้หญิงคู่นั้น เขานั่งอยู่ข้างๆ พี่! ถ้าไม่ใช่ผีแล้วจะเป็นอะไรล่ะ?"
เขายืนยันว่าในรถเขาไม่เคยมีประวัติภูตผีปีศาจใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่อยู่ในรถต้องเป็นผีจากอนุสาวรีย์แน่ๆ เป็นใครมาจากไหน? ตายยังไงก็สุดรู้! ผมเดาว่าคงเป็นหนุ่มสาวจากปรโลกที่ชวนกันมาเที่ยว...
โธ่! แล้วมานั่งแท็กซี่นี่ทำไม? จะไปไหนกันหรือครับ?
โชเฟอร์มือไม้อ่อน บอกว่าขับไม่ไหวแน่ๆ ต้องจอดอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีผู้โดยสารเรียก หรือจนกว่าจะเช้า ส่วนผมต้องเรียกแท็กซี่คันอื่นกลับบ้านล่ะครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 14 พฤศจิกายน 2556
อากาศคืนนั้นเย็นสบายเพราะฝนเพิ่งหยุดตก มันชุ่มฉ่ำและโรแมนติกน่าดู เมื่อผมออกมาริมถนนก็มองเห็นแท็กซี่คันหนึ่งสีชมพูจอดอยู่ริมขอบทางเพื่อรอรับผู้โดยสาร ผมตรงดิ่งไปที่รถคันนั้นทันที แต่น้องแก้มดึงมือผมไว้ก่อน
"นั่น! มีคนขึ้นไปแล้ว รอเรียกคันอื่นเถอะ" เธอพูดเบาๆ น้ำเสียงปกติ แต่ผมซิต้องแปลกใจมากเชียว เพราะภายใต้แสงไฟสว่างจ้า ผมไม่เห็นมีใครขึ้นแท็กซี่คันนั้นเลยสักคน
"ตาฝาดรึเปล่าจ๊ะแก้ม? พี่ไม่เห็นใครเลยนะ" ผมพูดขำๆ แต่เธอไม่ขำด้วย มองหน้าผมงงๆ แล้วบอกว่าจริงๆ นะ เมื่อกี้มีผู้ชายผู้หญิงคู่หนึ่งเดินจูงมือกันอยู่ ไม่ห่างจากเราเท่าไหร่ แก้มยังเห็นว่าผู้ชายนุ่งกางเกงยีนส์ขาลีบ สวมเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน ส่วนผู้หญิงนุ่งขาสั้น เสื้อแขนพองสีแดงลายสกอต!
เห็นละเอียดขนาดนั้นเชียวล่ะครับ!
แก้มเล่าว่าคนทั้งคู่เปิดประตูรถแท็กซี่ด้านหลังขึ้นไปนั่งแล้วปิดประตู แต่เธอเอะใจว่าทำไมแท็กซี่ยังจอดนิ่งอยู่ ไม่ออกรถไปซะที มิหนำซ้ำตัวผมเองก็ทำท่าตรงรี่จะไปขึ้นรถคันนั้น
น้องแก้มทำตาปริบๆ อย่างงงงันและบอกผมว่า เดินไปดูกันดีกว่า ว่ามีคนนั่งในแท็กซี่คันนั้นหรือไม่?
มือเธอเย็นเฉียบขณะที่ผมจูงเธอไปชะโงกดู และเห็นชัดๆ ว่าเบาะหลังว่างเปล่า...โชเฟอร์ขยับตัวพร้อมที่จะบริการเรา น้องแก้มครางแล้วบอกว่าเธอกลัวมาก ไม่กล้าขึ้นรถคันนี้ แต่ช่วยไม่ได้จริงๆ ครับ แถวนี้เหลือแท็กซี่อยู่คันเดียวและมันก็ดึกมากแล้วด้วย
ผมเปิดประตูก้าวเข้าไปนั่ง น้องแก้มทำหน้ามุ่ยเหมือนอยากร้องไห้ ก่อนจะค่อยๆ หย่อนตัวตามผมเข้ามาอย่างระแวง
ผมบอกให้โชเฟอร์ใช้ทางด่วนเลยจะได้ถึงบ้านน้องแก้มเร็วๆ
ในรถคันนั้นนี้ทีแรกก็มีกลิ่นใบเตยหอมๆ ผมเห็นใบเตยมัดใหญ่กองสุมอยู่ด้านหลังของเบาะ แต่พอนั่งไปเรื่อยๆ ผมเกิดได้กลิ่นคล้ายโรงพยาบาล มันแปลกมากครับ น้องแก้มเองก็คงได้กลิ่นเหมือนกัน...กระตุกมือผมแล้วเบียดตัวเข้ามา ท่าทางหวาดกลัวอะไรบางอย่าง
ราวครึ่งชั่วโมงก็มาถึงบ้านน้องแก้มโดยปลอดภัย ผมส่งเธอเข้าบ้านแล้วใช้บริการแท็กซี่คันเดิมให้ไปส่งที่ศรีย่าน บ้านผมอยู่แถวนั้นครับ
ขณะที่นั่งรถมาตามลำพัง ผมก็ได้ทีถามโชเฟอร์ว่ารถคันนี้มีอะไรรึเปล่า? โชเฟอร์พูดว่า "ไม่มีอะไรหรอกพี่ แต่พี่ถามขึ้นมาก็ดีแล้ว ผมรู้สึกมีอะไรแปลกๆ"
มันแปลกยังไงหรือครับ?
โชเฟอร์เล่าว่า ตลอดทางที่วิ่งมา เขามองกระจกหลังและเห็นเป็นคนสี่คนนั่งอยู่ คือมีผมกับน้องแก้มซึ่งนั่งชิดกันแถวกลางเบาะ แต่มีเงาของผู้หญิงคนหนึ่งนั่งริมหน้าต่างด้านน้องแก้ม และผู้ชายอีกคนหนึ่งนั่งริมหน้าต่างด้านผม! จะว่าเป็นเพราะตาฝาดหรือเงาหลอนก็ไม่ใช่
เดี๋ยวก็เห็นชัดเจน เดี๋ยวก็เลือนหายไป...
เอาล่ะซิ! ผมชักหนาวๆ ร้อนๆ เลยพูดกับโชเฟอร์ตามตรงว่า ก่อนที่ผมจะเปิดประตูมานั่งในรถเขาน่ะ แฟนผมเห็นชายหญิงคู่หนึ่งเข้ามานั่งก่อน!
"ผมบอกจริงๆ นะพี่ ว่าก่อนพี่จะมาถึงรถผมน่ะ ผมรู้สึกว่ารถผมมันยวบเหมือนมีใครขึ้นมานั่งจริงๆ แต่ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรไง...โอย! ผมจะทำไงเนี่ย?"
ขากลับนี่เราไม่ได้ขึ้นทางด่วนนะครับ แต่มาตามทางปกติ และเรื่องที่เราสอบถามกันไปมานี่น่ะ ทำเอาเราหนาวๆ ร้อนๆ ทั้งคู่
ทันใดนั้น โชเฟอร์ร้องออกมาเบาๆ "โอ๊ย! พี่...ผมไม่ไหวแล้ว"
เขาเลี้ยวเข้าปั๊มน้ำมันข้างทางแล้วรีบลงจากรถทันที ผมก็ตาเหลือกซิครับ รีบตะกายลงจากรถตามเขาแล้วถามว่าอะไรเหรอ? เขาเห็นอะไร?
"ผมเห็นอีกแล้ว! ผู้ชายผู้หญิงคู่นั้น เขานั่งอยู่ข้างๆ พี่! ถ้าไม่ใช่ผีแล้วจะเป็นอะไรล่ะ?"
เขายืนยันว่าในรถเขาไม่เคยมีประวัติภูตผีปีศาจใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่อยู่ในรถต้องเป็นผีจากอนุสาวรีย์แน่ๆ เป็นใครมาจากไหน? ตายยังไงก็สุดรู้! ผมเดาว่าคงเป็นหนุ่มสาวจากปรโลกที่ชวนกันมาเที่ยว...
โธ่! แล้วมานั่งแท็กซี่นี่ทำไม? จะไปไหนกันหรือครับ?
โชเฟอร์มือไม้อ่อน บอกว่าขับไม่ไหวแน่ๆ ต้องจอดอยู่ที่นี่จนกว่าจะมีผู้โดยสารเรียก หรือจนกว่าจะเช้า ส่วนผมต้องเรียกแท็กซี่คันอื่นกลับบ้านล่ะครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 14 พฤศจิกายน 2556
27 พฤษภาคม 2558
อิทธิฤทธิ์เจ้าที่
"คนซอย 3" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากหมู่บ้านยาสูบ
วันนี้ผมมีเรื่องขนหัวลุกมาเล่าสู่กันฟัง อ่านจบแล้วคุณๆ ช่วยพิจารณาด้วยว่า "สิ่งนั้น" เป็นภูตผีปีศาจ ภาพลวงตา หรือว่าเป็นอะไรกันแน่?
บ้านผมอยู่ซอยวิภาวดีฯ 3 พอเข้าไปไม่ไกลก็เลี้ยวขวา เป็นหมู่บ้านยาสูบที่เก่าแก่มา 40 กว่าปีแล้ว มีทั้งหอพักและอพาร์ตเมนต์ รวมทั้งกำลังก่อสร้างใหม่ ทั้งหอพักและคอนโดฯ ใกล้ๆ โรงงานทำของเล่นเด็ก ผู้คนคึกคัก ไม่เปล่าเปลี่ยวเลยแหละ
ยิ่งมีตลาดนัดขนาดย่อมๆ ในหมู่บ้านใกล้คิวมอเตอร์ ไซค์แทบทุกวัน มีหนุ่มๆ สาวๆ มาเดินเบียดเสียดกันซื้อของกินของใช้ ยิ่งทำให้เป็นสีสันที่น่าสดชื่นจริงๆ ครับ
"พี่รมย์" เป็นแม่บ้านอยู่ใกล้ๆ กับอพาร์ตเมนต์นั่นเอง!
สาวใหญ่วัย 40 เศษ ผิวขาว ร่างท้วม หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดีเป็นประจำ รู้จักกันมาหลายปียังไม่เคยเห็นพี่รมย์หน้าบึ้งหน้างอซักครั้งเดียว แต่ในหมู่บ้านนั้นซูฮกว่าพี่รมย์เป็นเจ้าแม่ หรือเบาะๆ ก็ "ขาใหญ่" ประจำซอย
สาเหตุคืออยู่มานานเกือบ 20 ปีแล้ว รู้จักคนเยอะ ไม่ว่าบ้านนั้นบ้านนี้ คุณลุง คุณป้า เด็กเล็กรู้จักหมด คนงานทั้งชายและหญิง พ่อค้าแม่ค้าที่ผ่านไปมาเกือบตลอดวัน คนขี่มอเตอร์ไซค์วิน ลุงยามที่หอพัก รวมทั้ง คนตามขาไพ่ เดินโพยหวย...เพื่อนฝูงพี่รมย์ทั้งนั้น!
นายจ้างพี่รมย์คือคุณป้าที่รับราชการใกล้เกษียณ กับหลานชายและลูกเมียที่ไปทำงาน ไปโรงเรียนหมดทุกคน
ความที่มีเพื่อนฝูงเยอะจึงมีคนไปมาหาสู่แทบทั้งวัน ยิ่งตอนเย็นๆ ด้วยแล้วจะมีเด็กๆ แถวนั้นกลับจากโรงเรียนเข้ามาวิ่งเล่นในบ้านที่มีขนมนมเนยให้กิน มีทั้งไม้ดอกไม้ผลดกสะพรั่ง ไหนจะของเล่นต่างๆ ที่คุณป้าใจดีซื้อไว้ให้เด็กๆ เล่นอีกล่ะ
แต่ประสบการณ์น่าขนหัวลุกของพี่รมย์เกิดขึ้นตอนกลางวันแสกๆ นี่เอง!
บ้านนี้เป็นชุมทางของเพื่อนฝูง เดี๋ยวทำส้มตำ ทำลาบ นึ่งข้าวเหนียวกินกัน ยิ่งมีตลาดนัดยิ่งสะดวก คนนั้นซื้อหอยแครงลวก คนนี้ซื้อลาบกับเสือร้องไห้ คนโน้นซื้อหมูปิ้งกับปลาสร้อยทอดกรอบ บางวันก็มียำไข่มดแดง หัวหมูลวกพร้อมน้ำจิ้มใส่ถุงมาหา...ปูเสื่อล้อม วงกันที่ลานจอดรถใต้ถุนบ้านโล่งๆ เพราะคุณป้ายังไม่กลับจากทำงาน
บางวันเป็นวันเกิดคนนั้นคนนี้ บางวันมีใครถูกหวยรวยไพ่ ก็จะมีเบียร์หลายขวดมาเพิ่มความครึกครื้นให้กลุ่มสาวน้อย สนุกสนานเฮฮากันตั้งแต่บ่ายไปจนถึงเย็น
วันเกิดเหตุก็เช่นกัน!
เบียร์หมดไปหลายขวดแล้ว เสียงเม้าธ์เรื่องละครทีวีเมื่อคืนดังแซดเชียว...แต่จู่ๆ ก็มีใครเดินกระดานลั่นเอี๊ยดๆ อยู่ข้างบน ตอนแรกก็ไม่สนใจ หนักเข้าเสียงนั้นยิ่งดังมากขึ้นทุกที ต่างคนต่างมองตากัน...เสียงพูดคุยเฮฮาก็ค่อยๆ เงียบหายไป
ใครขึ้นไปเดินอยู่บนบ้าน ในเมื่อไม่มีคนอื่นอยู่สักคน ไม่ว่าชั้นล่างหรือชั้นบน?!
"โครม!" เสียงเหมือนใครหกล้มตึงตังอยู่เหนือหัว "โครมๆๆ"
คราวนี้เล่นเอาสาวน้อย 4-5 คนนั่งตัวแข็ง อ้าปากค้าง พี่อ้วนหลุดปากเสียงสั่นๆ ว่า...ใครวะ? คำตอบก็คือเสียงโครมสนั่นเหมือนฟ้าผ่ากำลังจะทะลุพื้นลงมาดื้อๆ
ไม่มีการสงสัยไต่ถามอะไรกันอีกแล้ว วงเบียร์แตกกระเจิงราวผึ้งแตกรัง เผ่นอ้าวไปทางประตูรั้ว เลี้ยวขวา ไปหอบแฮกๆ อยู่ตรงศาลพระพรหมหน้าอพาร์ตเมนต์ ...ลุงยามเพิ่งจะเข้าเวรทักว่าทำไมหน้าตาตื่นเหมือนถูกผีหลอกไปตามๆ กันล่ะ?
ไม่ช้าทุกคนก็ลืมเรื่องนี้ คิดว่าคงมีแมวขึ้นไปซุกซน วิ่งชนข้าวของดังโครมครามมากกว่า...กลางวันแสกๆ จะโดนผีหลอกได้ไง? บ้านนั้นก็ไม่เคยมีคนตายมาก่อนด้วยนี่นา
จนกระทั่งเหตุการณ์สยองขวัญอุบัติขึ้นอีกครั้ง!
สาวน้อยชุดเดิมนัดรวมพลกันในโอกาสที่พี่บี๋ถูกเลขท้ายสองตัว รับทรัพย์มาสามพันบาท ประกาศว่าขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงฉลองกันเต็มที่ เบียร์และกับแกล้มไม่อั้น
ตอนนั้นราวบ่ายสอง สนุกเฮฮากันจนถึงสี่โมงกว่า ใกล้จะแยกย้ายกันไป พอดีมีลมพัดแรง อากาศเย็นเฉียบแต่ไม่มีใครสนใจ...พี่รมย์ยกแก้วเบียร์ขึ้นซดก็มองเห็นหน้าแปลกๆ ในกลุ่มเพื่อน...หน้าตาบิดเบี้ยวเหยเกของหญิงแก่ผู้หนึ่งมานั่งจ้องเขม็งอยู่ข้างๆ พี่อ้วนนั่นเอง
"ใครวะ?" พี่รมย์ยังนึกไม่ออก เพื่อนๆ มองตามสายตานั้นไปก็แผดร้องสุดเสียง กระโดดโหยงเหมือนโดนไฟจี้ วิ่งพลางร้องพลาง...ผีหลอกโว้ย! พี่รมย์ร้องแต่ว่า "รอกูด้วย" แต่ไม่มีใครรอซักคนเดียว
เชื่อว่าเป็นผีเจ้าที่เจ้าทาง แต่ไม่ว่าจะเป็นผีอะไรก็ไม่มีใครกล้ามาตั้งวงเฮฮากันที่บ้านพี่รมย์อีกต่อไป... กลัวช็อกตายคาที่ละซีครับ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 27 มกราคม 2555
วันนี้ผมมีเรื่องขนหัวลุกมาเล่าสู่กันฟัง อ่านจบแล้วคุณๆ ช่วยพิจารณาด้วยว่า "สิ่งนั้น" เป็นภูตผีปีศาจ ภาพลวงตา หรือว่าเป็นอะไรกันแน่?
บ้านผมอยู่ซอยวิภาวดีฯ 3 พอเข้าไปไม่ไกลก็เลี้ยวขวา เป็นหมู่บ้านยาสูบที่เก่าแก่มา 40 กว่าปีแล้ว มีทั้งหอพักและอพาร์ตเมนต์ รวมทั้งกำลังก่อสร้างใหม่ ทั้งหอพักและคอนโดฯ ใกล้ๆ โรงงานทำของเล่นเด็ก ผู้คนคึกคัก ไม่เปล่าเปลี่ยวเลยแหละ
ยิ่งมีตลาดนัดขนาดย่อมๆ ในหมู่บ้านใกล้คิวมอเตอร์ ไซค์แทบทุกวัน มีหนุ่มๆ สาวๆ มาเดินเบียดเสียดกันซื้อของกินของใช้ ยิ่งทำให้เป็นสีสันที่น่าสดชื่นจริงๆ ครับ
"พี่รมย์" เป็นแม่บ้านอยู่ใกล้ๆ กับอพาร์ตเมนต์นั่นเอง!
สาวใหญ่วัย 40 เศษ ผิวขาว ร่างท้วม หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส อารมณ์ดีเป็นประจำ รู้จักกันมาหลายปียังไม่เคยเห็นพี่รมย์หน้าบึ้งหน้างอซักครั้งเดียว แต่ในหมู่บ้านนั้นซูฮกว่าพี่รมย์เป็นเจ้าแม่ หรือเบาะๆ ก็ "ขาใหญ่" ประจำซอย
สาเหตุคืออยู่มานานเกือบ 20 ปีแล้ว รู้จักคนเยอะ ไม่ว่าบ้านนั้นบ้านนี้ คุณลุง คุณป้า เด็กเล็กรู้จักหมด คนงานทั้งชายและหญิง พ่อค้าแม่ค้าที่ผ่านไปมาเกือบตลอดวัน คนขี่มอเตอร์ไซค์วิน ลุงยามที่หอพัก รวมทั้ง คนตามขาไพ่ เดินโพยหวย...เพื่อนฝูงพี่รมย์ทั้งนั้น!
นายจ้างพี่รมย์คือคุณป้าที่รับราชการใกล้เกษียณ กับหลานชายและลูกเมียที่ไปทำงาน ไปโรงเรียนหมดทุกคน
ความที่มีเพื่อนฝูงเยอะจึงมีคนไปมาหาสู่แทบทั้งวัน ยิ่งตอนเย็นๆ ด้วยแล้วจะมีเด็กๆ แถวนั้นกลับจากโรงเรียนเข้ามาวิ่งเล่นในบ้านที่มีขนมนมเนยให้กิน มีทั้งไม้ดอกไม้ผลดกสะพรั่ง ไหนจะของเล่นต่างๆ ที่คุณป้าใจดีซื้อไว้ให้เด็กๆ เล่นอีกล่ะ
แต่ประสบการณ์น่าขนหัวลุกของพี่รมย์เกิดขึ้นตอนกลางวันแสกๆ นี่เอง!
บ้านนี้เป็นชุมทางของเพื่อนฝูง เดี๋ยวทำส้มตำ ทำลาบ นึ่งข้าวเหนียวกินกัน ยิ่งมีตลาดนัดยิ่งสะดวก คนนั้นซื้อหอยแครงลวก คนนี้ซื้อลาบกับเสือร้องไห้ คนโน้นซื้อหมูปิ้งกับปลาสร้อยทอดกรอบ บางวันก็มียำไข่มดแดง หัวหมูลวกพร้อมน้ำจิ้มใส่ถุงมาหา...ปูเสื่อล้อม วงกันที่ลานจอดรถใต้ถุนบ้านโล่งๆ เพราะคุณป้ายังไม่กลับจากทำงาน
บางวันเป็นวันเกิดคนนั้นคนนี้ บางวันมีใครถูกหวยรวยไพ่ ก็จะมีเบียร์หลายขวดมาเพิ่มความครึกครื้นให้กลุ่มสาวน้อย สนุกสนานเฮฮากันตั้งแต่บ่ายไปจนถึงเย็น
วันเกิดเหตุก็เช่นกัน!
เบียร์หมดไปหลายขวดแล้ว เสียงเม้าธ์เรื่องละครทีวีเมื่อคืนดังแซดเชียว...แต่จู่ๆ ก็มีใครเดินกระดานลั่นเอี๊ยดๆ อยู่ข้างบน ตอนแรกก็ไม่สนใจ หนักเข้าเสียงนั้นยิ่งดังมากขึ้นทุกที ต่างคนต่างมองตากัน...เสียงพูดคุยเฮฮาก็ค่อยๆ เงียบหายไป
ใครขึ้นไปเดินอยู่บนบ้าน ในเมื่อไม่มีคนอื่นอยู่สักคน ไม่ว่าชั้นล่างหรือชั้นบน?!
"โครม!" เสียงเหมือนใครหกล้มตึงตังอยู่เหนือหัว "โครมๆๆ"
คราวนี้เล่นเอาสาวน้อย 4-5 คนนั่งตัวแข็ง อ้าปากค้าง พี่อ้วนหลุดปากเสียงสั่นๆ ว่า...ใครวะ? คำตอบก็คือเสียงโครมสนั่นเหมือนฟ้าผ่ากำลังจะทะลุพื้นลงมาดื้อๆ
ไม่มีการสงสัยไต่ถามอะไรกันอีกแล้ว วงเบียร์แตกกระเจิงราวผึ้งแตกรัง เผ่นอ้าวไปทางประตูรั้ว เลี้ยวขวา ไปหอบแฮกๆ อยู่ตรงศาลพระพรหมหน้าอพาร์ตเมนต์ ...ลุงยามเพิ่งจะเข้าเวรทักว่าทำไมหน้าตาตื่นเหมือนถูกผีหลอกไปตามๆ กันล่ะ?
ไม่ช้าทุกคนก็ลืมเรื่องนี้ คิดว่าคงมีแมวขึ้นไปซุกซน วิ่งชนข้าวของดังโครมครามมากกว่า...กลางวันแสกๆ จะโดนผีหลอกได้ไง? บ้านนั้นก็ไม่เคยมีคนตายมาก่อนด้วยนี่นา
จนกระทั่งเหตุการณ์สยองขวัญอุบัติขึ้นอีกครั้ง!
สาวน้อยชุดเดิมนัดรวมพลกันในโอกาสที่พี่บี๋ถูกเลขท้ายสองตัว รับทรัพย์มาสามพันบาท ประกาศว่าขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงฉลองกันเต็มที่ เบียร์และกับแกล้มไม่อั้น
ตอนนั้นราวบ่ายสอง สนุกเฮฮากันจนถึงสี่โมงกว่า ใกล้จะแยกย้ายกันไป พอดีมีลมพัดแรง อากาศเย็นเฉียบแต่ไม่มีใครสนใจ...พี่รมย์ยกแก้วเบียร์ขึ้นซดก็มองเห็นหน้าแปลกๆ ในกลุ่มเพื่อน...หน้าตาบิดเบี้ยวเหยเกของหญิงแก่ผู้หนึ่งมานั่งจ้องเขม็งอยู่ข้างๆ พี่อ้วนนั่นเอง
"ใครวะ?" พี่รมย์ยังนึกไม่ออก เพื่อนๆ มองตามสายตานั้นไปก็แผดร้องสุดเสียง กระโดดโหยงเหมือนโดนไฟจี้ วิ่งพลางร้องพลาง...ผีหลอกโว้ย! พี่รมย์ร้องแต่ว่า "รอกูด้วย" แต่ไม่มีใครรอซักคนเดียว
เชื่อว่าเป็นผีเจ้าที่เจ้าทาง แต่ไม่ว่าจะเป็นผีอะไรก็ไม่มีใครกล้ามาตั้งวงเฮฮากันที่บ้านพี่รมย์อีกต่อไป... กลัวช็อกตายคาที่ละซีครับ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 27 มกราคม 2555
26 พฤษภาคม 2558
วิญญาณหลอน
"พนัส" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากประชานิเวศน์เขาว่าคนเรากลัวความมืดใช่ไหมครับ เพราะมองอะไรไม่เห็น ถึงจะเห็นได้บ้างก็เพียงสลัวๆ เท่านั้น ทำให้ไม่รู้แน่ว่าจะมีอะไรซุ่มซ่อน และจ้องมองอย่างประสงค์ร้ายหรือเปล่า? โดยเฉพาะผี!
เรื่องนี้ก็มีความเชื่อถือคล้ายๆ กันอีกอย่าง คือกลางคืนเป็นเวลาของภูตผีปีศาจ ที่คอยจ้องจะหลอกหลอนมนุษย์ แต่คนเราไม่มีใครอยากเห็นผีหรือโดนผีหลอกกันทั้งนั้นละน่า จึงพยายามไม่ไปไหนมาไหนในตอนกลางคืนที่ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว
แต่ผมโดนผีหลอกตอนกลางวันครับ!
กลางวันแสกๆ นี่แหละที่ผมโดนผีหลอกจังๆ น่ะ มิหนำซ้ำยังไม่ใช่กลางดงกลางป่า แต่เป็นในกรุงเทพฯ เมืองสวรรค์นี่เอง แถมมีผู้คนหนาตาตั้งพะเรอแน่ะ
เหตุการณ์สยองขวัญนี่เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ตอนที่เกิดอุทกภัยใหญ่โตสุดๆ ของเมืองไทย
ไม่ต้องพูดถึงความสูญเสียสารพัดอย่างให้ช้ำใจกันเปล่าๆ ถ้าจะพูดก็เอาแง่ตลกขบขัน แปลกประ หลาดพิสดารให้อีตาริปเลย์ เจ้าตำรับ "เชื่อหรือไม่" อันโด่งดังไปทั้งโลกตะแกเกิดอาการกระบอกตาร้อนผ่าวด้วยความริษยากันดีกว่า
คิดดูซีครับ ใครจะนึกฝันว่าคนกรุงเทพฯ จะได้ลอยกระทงที่รัชโยธิน ได้พายเรือไปฟิวเจอร์ พาร์ค ได้เห็นน้ำท่วมแม้แต่สนามบินดอนเมืองที่กว้างขวางตั้ง 3 พันไร่ แถมยังมีน้ำท่วมถนนวิภาวดีรังสิตอีกด้วยเอ้า
มองในแง่นี้แล้วสุขภาพจิตจะดีขึ้นเยอะเลย เชื่อผม!
แหม...ไม่ลืมเรื่องที่โดนผีหลอกกลางวันแสกๆ หรอกครับ
บ้านผมอยู่หลังตลาดประชานิเวศน์ ริมถนนที่เชื่อมระหว่างประชาชื่นกับวิภาวดีฯ แถวๆ หลังวัดเสมียน นารีนั่นแหละ แต่ค่อนไปทาง สน.ประชาชื่นที่กลายเป็นประโยชน์ในตอนน้ำท่วมอย่างนึกไม่ถึง
ถนนสายนั้นค่อนข้างแปลกอยู่อย่าง ตรงที่เชิงสะพานข้ามคลองประปากับเชิงสะพานข้ามคลองเปรมประชากรค่อนข้างสูง เลยรอดน้ำท่วมไปได้ แต่ตรงช่วงกลางที่มีตลาดน่ะน้ำสูงเลยเข่าเลยละครับ...ถ้าน้ำท่วมคลองประปาก็เอวังน่ะซี! เฮ้อ...
คนที่จำเป็นต้องไปทำงานก็ต้องลุยน้ำ ไม่ว่าจะไปทางวัดเสมียนฯ หรือถนนเลียบคลองประปา แต่โชคดีที่ตำรวจประชาชื่นมีน้ำใจช่วยเหลือประชาชน น่ารักไม่แพ้ทหารที่ได้คะแนนเกินร้อยซะด้วยซ้ำ
ถือโอกาสขอบคุณทั้งดาบทั้งหมู่ และผู้บังคับบัญชามา ณ ที่นี้ซะเลย!
รถสิบล้อคันโตตระเวนรับผู้คนทั้งขาออกและขาเข้า ไม่ว่าจะไปรอรถที่หน้าวัดเสมียนฯ หรือประชา ชื่น ก็ไม่ต้องลุยน้ำให้เปรอะเปื้อน เสี่ยงกับโรคภัยสารพัด แต่ว่าขึ้นทางท้ายรถที่ตำรวจมีม้าปูต่างบันได ช่วยเหลือทั้งตอนขึ้นและตอนลง ไปส่งจนถึงที่แห้งๆ เรียบร้อย
รอรับคนไปส่งบ้านแล้วก็วนเวียนกลับมาส่งมารับที่จุดเดิมอีกครั้ง
ผมได้อาศัยบริการน่าซาบซึ้งของคุณตำรวจสน.ประชา ชื่นนี่แหละครับ ทั้งไปทำงานและกลับบ้าน ทุกสิ่งผ่านไปอย่างราบรื่นชื่นบานจนกระทั่งน้ำที่หน้าตลาดดูเอ่อๆ ทำท่าว่าจะเหือดหายไปในเวลาไม่ช้าไม่นาน
การยืนบนรถวันละสองเวลา แม้จะดูสั้นๆ แต่ก็ทำ ให้พวกเราเริ่มคุ้นหน้ากันขึ้น เห็นจะจริงอย่างที่เขาว่าคนกรุงเทพฯ บ้านติดกันยังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำไป!
นั่นป้านั่นลุง นั่นน้านั่นอา นั่นพี่นี่น้อง และบ้างก็อยู่ในวัยสามสิบต้นๆ ด้วยกัน
ที่สะดุดตาก็คือคุณป้าสองคนวัยเลยหกสิบด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งผอมเพรียว ส่วนอีกคนเจ้าเนื้อ ผมมักเห็นแกทั้งเช้าและเย็น ยืนเกาะรถด้านในๆ ส่วนมือข้างที่ว่างก็จับกันไว้แน่น...อายุป่านนี้แล้วยังจะไปทำงานที่ไหนก็ไม่รู้ จะไต่ถามก็ใช่ที่ ได้แต่สะท้อนถอนใจว่าคนกรุง เทพฯ ส่วนใหญ่ก็ต้องทำงานไปจนตาย หรือทำไม่ไหวนั่นแหละถึงจะได้พักผ่อนเสียที
วันเกิดเหตุ ผมลงรถเมล์ราวห้าโมงกว่าๆ เดินมาข้ามสะพานเพื่อปักหลักรอรถที่อีกไม่ช้าก็คงมา มีคนรอกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณป้าผอมสูงเดินนำหน้าคนอ้วนมายืนรอใกล้ๆ จนกระทั่งรถมา...ผมหลีกทางให้คุณป้าทั้งสองไปทางท้ายรถก่อน แต่เห็นคนผอมขึ้นรถคนเดียว
"อ้าว?" ผมร้องกับตัวเอง หันไปมองก็ไม่เห็นใครเลย...รีบโดดขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย ขณะรถตำรวจตีวงเลี้ยวกลับผมมองไปจุดเดิมก็เห็นคุณป้าอ้วนยืนแหงนหน้ามองเศร้าๆ โบกมือคล้ายจะอำลา
...และแล้วภาพนั้นก็เลือนรางไปในอากาศธาตุเหมือนภาพมายา
ผมขนลุกซ่า...ได้ยินเสียงคุณป้าบนรถบอกคนรู้จักว่าป้าอ้วนหัวใจวายเมื่อตอนค่ำวานนี้เอง...ตอนนี้ศพตั้งอยู่วัดเสมียนนารีอีก 3 คืน....ผมไม่ช็อกคาที่ก็บุญเหลือหลายแล้วครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 26 มกราคม 2555
เรื่องนี้ก็มีความเชื่อถือคล้ายๆ กันอีกอย่าง คือกลางคืนเป็นเวลาของภูตผีปีศาจ ที่คอยจ้องจะหลอกหลอนมนุษย์ แต่คนเราไม่มีใครอยากเห็นผีหรือโดนผีหลอกกันทั้งนั้นละน่า จึงพยายามไม่ไปไหนมาไหนในตอนกลางคืนที่ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว
แต่ผมโดนผีหลอกตอนกลางวันครับ!
กลางวันแสกๆ นี่แหละที่ผมโดนผีหลอกจังๆ น่ะ มิหนำซ้ำยังไม่ใช่กลางดงกลางป่า แต่เป็นในกรุงเทพฯ เมืองสวรรค์นี่เอง แถมมีผู้คนหนาตาตั้งพะเรอแน่ะ
เหตุการณ์สยองขวัญนี่เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ตอนที่เกิดอุทกภัยใหญ่โตสุดๆ ของเมืองไทย
ไม่ต้องพูดถึงความสูญเสียสารพัดอย่างให้ช้ำใจกันเปล่าๆ ถ้าจะพูดก็เอาแง่ตลกขบขัน แปลกประ หลาดพิสดารให้อีตาริปเลย์ เจ้าตำรับ "เชื่อหรือไม่" อันโด่งดังไปทั้งโลกตะแกเกิดอาการกระบอกตาร้อนผ่าวด้วยความริษยากันดีกว่า
คิดดูซีครับ ใครจะนึกฝันว่าคนกรุงเทพฯ จะได้ลอยกระทงที่รัชโยธิน ได้พายเรือไปฟิวเจอร์ พาร์ค ได้เห็นน้ำท่วมแม้แต่สนามบินดอนเมืองที่กว้างขวางตั้ง 3 พันไร่ แถมยังมีน้ำท่วมถนนวิภาวดีรังสิตอีกด้วยเอ้า
มองในแง่นี้แล้วสุขภาพจิตจะดีขึ้นเยอะเลย เชื่อผม!
แหม...ไม่ลืมเรื่องที่โดนผีหลอกกลางวันแสกๆ หรอกครับ
บ้านผมอยู่หลังตลาดประชานิเวศน์ ริมถนนที่เชื่อมระหว่างประชาชื่นกับวิภาวดีฯ แถวๆ หลังวัดเสมียน นารีนั่นแหละ แต่ค่อนไปทาง สน.ประชาชื่นที่กลายเป็นประโยชน์ในตอนน้ำท่วมอย่างนึกไม่ถึง
ถนนสายนั้นค่อนข้างแปลกอยู่อย่าง ตรงที่เชิงสะพานข้ามคลองประปากับเชิงสะพานข้ามคลองเปรมประชากรค่อนข้างสูง เลยรอดน้ำท่วมไปได้ แต่ตรงช่วงกลางที่มีตลาดน่ะน้ำสูงเลยเข่าเลยละครับ...ถ้าน้ำท่วมคลองประปาก็เอวังน่ะซี! เฮ้อ...
คนที่จำเป็นต้องไปทำงานก็ต้องลุยน้ำ ไม่ว่าจะไปทางวัดเสมียนฯ หรือถนนเลียบคลองประปา แต่โชคดีที่ตำรวจประชาชื่นมีน้ำใจช่วยเหลือประชาชน น่ารักไม่แพ้ทหารที่ได้คะแนนเกินร้อยซะด้วยซ้ำ
ถือโอกาสขอบคุณทั้งดาบทั้งหมู่ และผู้บังคับบัญชามา ณ ที่นี้ซะเลย!
รถสิบล้อคันโตตระเวนรับผู้คนทั้งขาออกและขาเข้า ไม่ว่าจะไปรอรถที่หน้าวัดเสมียนฯ หรือประชา ชื่น ก็ไม่ต้องลุยน้ำให้เปรอะเปื้อน เสี่ยงกับโรคภัยสารพัด แต่ว่าขึ้นทางท้ายรถที่ตำรวจมีม้าปูต่างบันได ช่วยเหลือทั้งตอนขึ้นและตอนลง ไปส่งจนถึงที่แห้งๆ เรียบร้อย
รอรับคนไปส่งบ้านแล้วก็วนเวียนกลับมาส่งมารับที่จุดเดิมอีกครั้ง
ผมได้อาศัยบริการน่าซาบซึ้งของคุณตำรวจสน.ประชา ชื่นนี่แหละครับ ทั้งไปทำงานและกลับบ้าน ทุกสิ่งผ่านไปอย่างราบรื่นชื่นบานจนกระทั่งน้ำที่หน้าตลาดดูเอ่อๆ ทำท่าว่าจะเหือดหายไปในเวลาไม่ช้าไม่นาน
การยืนบนรถวันละสองเวลา แม้จะดูสั้นๆ แต่ก็ทำ ให้พวกเราเริ่มคุ้นหน้ากันขึ้น เห็นจะจริงอย่างที่เขาว่าคนกรุงเทพฯ บ้านติดกันยังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำไป!
นั่นป้านั่นลุง นั่นน้านั่นอา นั่นพี่นี่น้อง และบ้างก็อยู่ในวัยสามสิบต้นๆ ด้วยกัน
ที่สะดุดตาก็คือคุณป้าสองคนวัยเลยหกสิบด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งผอมเพรียว ส่วนอีกคนเจ้าเนื้อ ผมมักเห็นแกทั้งเช้าและเย็น ยืนเกาะรถด้านในๆ ส่วนมือข้างที่ว่างก็จับกันไว้แน่น...อายุป่านนี้แล้วยังจะไปทำงานที่ไหนก็ไม่รู้ จะไต่ถามก็ใช่ที่ ได้แต่สะท้อนถอนใจว่าคนกรุง เทพฯ ส่วนใหญ่ก็ต้องทำงานไปจนตาย หรือทำไม่ไหวนั่นแหละถึงจะได้พักผ่อนเสียที
วันเกิดเหตุ ผมลงรถเมล์ราวห้าโมงกว่าๆ เดินมาข้ามสะพานเพื่อปักหลักรอรถที่อีกไม่ช้าก็คงมา มีคนรอกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณป้าผอมสูงเดินนำหน้าคนอ้วนมายืนรอใกล้ๆ จนกระทั่งรถมา...ผมหลีกทางให้คุณป้าทั้งสองไปทางท้ายรถก่อน แต่เห็นคนผอมขึ้นรถคนเดียว
"อ้าว?" ผมร้องกับตัวเอง หันไปมองก็ไม่เห็นใครเลย...รีบโดดขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย ขณะรถตำรวจตีวงเลี้ยวกลับผมมองไปจุดเดิมก็เห็นคุณป้าอ้วนยืนแหงนหน้ามองเศร้าๆ โบกมือคล้ายจะอำลา
...และแล้วภาพนั้นก็เลือนรางไปในอากาศธาตุเหมือนภาพมายา
ผมขนลุกซ่า...ได้ยินเสียงคุณป้าบนรถบอกคนรู้จักว่าป้าอ้วนหัวใจวายเมื่อตอนค่ำวานนี้เอง...ตอนนี้ศพตั้งอยู่วัดเสมียนนารีอีก 3 คืน....ผมไม่ช็อกคาที่ก็บุญเหลือหลายแล้วครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 26 มกราคม 2555
25 พฤษภาคม 2558
รีสอร์ตสยองขวัญ
"หลานอ้อ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากรีสอร์ตผีสิง
ชมพู่ มดและดิฉันเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันมาก พวกเราเป็นสาวโสดแม้จะมีเลขสามนำหน้าแล้วก็ตาม! ชมพู่น่ะทำท่าว่าจะได้แต่งงานอยู่รอมร่อ แต่แล้วเกิดเรื่องสุดช็อก...แฟนเธอโดนคาบไปกินซะงั้น! เราเลยชวนชมพู่ไปปลอบใจถึงพัทยา แต่ก็โดนผีหลอกเอาอีก
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด! พวกเรานี่สงสัยว่ากำลังดวงตกแน่ๆ เลย!
เดือนที่แล้วชมพู่กระดี๊กระด๊า บอกว่าคุณเคน-หนุ่มออฟฟิศโน้นเลียบเคียงว่าจะให้แม่มาขอ เขาพาเธอไปที่บ้านแล้วด้วย...งานนี้ชัวร์! แต่ไม่ถึงเดือนต่อมา ไอ้ที่เคยมารับมาส่งก็เปลี่ยนไป คุณเคนเกิดงานยุ่งจนไม่มีเวลามาเอาใจสาวชมพู่เหมือนเดิม
ไม่ช้าความก็แตกว่า ไอ้ที่เขาไปยุ่งๆ อยู่น่ะ คือไปแจกการ์ดแต่งงานค่ะ แต่ไม่ใช่กับชมพู่หรอก ชื่อเจ้าสาวในการ์ดคือสาวในที่ทำงานของเขาเอง!
ชมพู่ไม่ได้รับการ์ดแต่มีผู้หวังดีมาบอก ขณะที่เธอกำลังเปิดหนังสือเกี่ยวกับเจ้าสาวเพื่อดูชุดแต่งงานอยู่เพลิด เพลิน ถึงแม้จะสังหรณ์ใจแต่ชมพู่ก็แทบช็อก เธอไม่มีน้ำตาสักหยด ใบหน้าเรียบเฉย เลิกคิ้วนิดๆ อย่างฉงน "งั้นเรอะ?"
คนมาบอกเหตุหวังว่าจะได้เห็นน้ำตาเม็ดโตๆ และเสียงกรี๊ดกร๊าดแบบละครทีวี แต่เมื่อเห็นท่าทีเฉยเมยก็ต้องจ๋อยแด่วกลับไป...เสียใจด้วยค่ะ แต่ก็ขอบคุณที่บอก
มีแต่มดและดิฉันที่รู้ว่าชมพู่เจ็บลึก เพราะใบหน้าที่เรียบเฉยนั้น เธอยิ้มแบบมีแวววิกลจริตยังไงๆ อยู่...แบบนี้เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนสิคะ!
เราทำแบบ...ช่างมันฉันไม่แคร์! แล้วคว้าชุดบิกินีใส่กระเป๋าไปเที่ยวทะเลกันดีกว่า เอ...ไปไหนดี? หัวหินก็สงบสุขเกินไป...งั้นเลือกสไตล์ครึกครื้นเอามันส์ พัทยา ละกัน
ดิฉันขับรถสปอร์ตคู่ใจ มีมดนั่งข้างๆ ส่วนชมพู่สวาปามลองกองอยู่เบาะหลัง
ไปถึงพัทยาสายวันเสาร์...นั่นไง นึกแล้ว! ไม่มีที่พัก โรงแรมดีๆ เต็มหมด แต่เราอยากค้างนี่นา ไม่รู้โชคดีหรือร้าย...เฮ้อ! ไม่อยากให้เรื่องนี้มีโชคร้ายเล้ย! แต่พวกเราดันได้รีสอร์ตแห่งหนึ่งอยู่ใกล้ชายทะเลเสียด้วย แค่เดินข้ามถนนไปก็ถึง
รีสอร์ตแต่ละหลังเป็นห้องชุด เปิดประตูเข้าไปถึงห้องรับแขก มีโต๊ะรับแขกชุดเล็กๆ ถัดไปคือประตูสู่ห้องนอน ทางขวาเป็นห้องน้ำ ทางซ้ายเป็นโต๊ะเครื่องสำอางถูกๆ และตู้เสื้อผ้าแบบบิวดอิน ใช้ไม้คุณภาพต่ำ
ประตูเลื่อนทำท่าจะหลุดตกราง ปิดได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ
เตียงนอนน่ะรับได้สองคนสบายๆ แต่ถ้าสามคนก็เบียดกันหน่อย เขาตั้งโซฟาหนังเทียมสีขาวไว้ให้ด้วย เจตนาคงให้เป็นเตียงเสริม
เมื่อเก็บของเข้าห้อง เราก็ออกตะลุยพัทยากันสนุก ตกค่ำก็หาล็อบสเตอร์อบเนยหม่ำกันอย่างมีความสุข ชมพู่ไม่เคยแตะต้องเครื่องดองของเมา สั่งเบียร์เข้ามาดื่มอั๊กๆ สองขวดใหญ่ แค่สามทุ่มก็หมดสภาพต้องกลับไปนอน ส่วนมดกับดิฉันออกมานั่งริมทะเลรับลมกัน
รีสอร์ตนี้มีเก้าอี้ให้เช่า ครัวก็เปิดจนดึกดื่น เรานั่งคุยกันตามสบาย ฟังเสียงคลื่นออเซาะหาด...อย่างน้อยชมพู่ก็นอนอยู่ใกล้ๆ ในห้อง!
ราวห้าทุ่มครึ่งเราเดินเอื่อยๆ กลับที่พัก มดไขกุญแจเข้าไป ดิฉันเคาะทรายออกจากรองเท้า กำลังเคาะอยู่ดีๆ ก็เกือบหน้าคะมำเพราะมดถอยหลังมาชน
"อ้อ!" เธอไม่ได้อุทานค่ะ แต่ออกชื่อดิฉัน "ใครนั่งอยู่ในห้องก็ไม่รู้?"
ใจหายวาบ ยังไม่นึกถึงผี มือคว้าประตูเพื่อดูเลขห้องให้ถูกต้อง
"ก็ห้องของเรานี่นา ไม่ได้เข้าห้องผิดซักหน่อย"
"เออ..." มดทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ "ชมพู่ก็นอนอยู่ แต่มีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มานั่งดูชมพู่อยู่ที่โซฟาข้างเตียงน่ะ?"
"เฮ้ย!" ดิฉันรีบพรวดเข้าไปในห้องรับแขกจนถึงประตูห้องนอน...ภาพที่เห็นคือ ชมพู่นอนตะแคงหันหน้ามาหา ราววาเศษเป็นโซฟาที่มีผู้หญิงนั่งพิงพนัก วางมือทั้งสองบนตัก...อายุราวยี่สิบต้น ผมยาว สวมชุดนอนไนลอนสีเนื้อ หน้าเขียวคล้ำก้มนิดๆ กำลังตาคว่ำจ้องชมพู่
ดิฉันถอยกรูด...ดูก็รู้ว่านั่นไม่ใช่คน! มดยืนเอามืออุดปากตัวเอง หน้าย่นยู่อย่างเสียวไส้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามดกำลังคิดอะไร...ว่าแต่จะปลุกชมพู่อีท่าไหน?
นาทีต่อมาดิฉันแทบตะโกน "ไปบอกผู้จัดการ!!"
ผู้จัดการไม่อยู่ แต่คนดูแลได้รับฟังเรื่องของเราแล้วทำหน้าตื่นเอามากๆ รีบไปตามผู้หญิงมาสองคน ทำท่าขนลุกขนชัน แต่ก็ต้องมาที่ห้องเราอยู่ เราเปิดไฟแล้วรีบเก็บข้าวของมือสั่น ชมพู่ตื่นขึ้นมางงๆ เราเก็บของให้เธอจนครบแล้วขึ้นรถ...บึ่งกลับกรุงเทพฯ ทันที
ชมพู่เล่าว่าผีอำ เห็นภาพที่ดิฉันกับมดเห็นแต่ขยับไม่ได้ จนคนมาเยอะก็หายไป
ทุกวันนี้เรายังอยู่กันสามคนสบายๆ ชวนกันไปทำบุญและคิดว่าคราวเคราะห์ของเราหมดไปแล้วนะคะ ต่อไปอย่าให้เจอแบบนี้อีกแล้วกัน...ขนหัวลุกค่ะ! บรื๋ออออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 25 มกราคม 2555
ชมพู่ มดและดิฉันเป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันมาก พวกเราเป็นสาวโสดแม้จะมีเลขสามนำหน้าแล้วก็ตาม! ชมพู่น่ะทำท่าว่าจะได้แต่งงานอยู่รอมร่อ แต่แล้วเกิดเรื่องสุดช็อก...แฟนเธอโดนคาบไปกินซะงั้น! เราเลยชวนชมพู่ไปปลอบใจถึงพัทยา แต่ก็โดนผีหลอกเอาอีก
พระเจ้าช่วยกล้วยทอด! พวกเรานี่สงสัยว่ากำลังดวงตกแน่ๆ เลย!
เดือนที่แล้วชมพู่กระดี๊กระด๊า บอกว่าคุณเคน-หนุ่มออฟฟิศโน้นเลียบเคียงว่าจะให้แม่มาขอ เขาพาเธอไปที่บ้านแล้วด้วย...งานนี้ชัวร์! แต่ไม่ถึงเดือนต่อมา ไอ้ที่เคยมารับมาส่งก็เปลี่ยนไป คุณเคนเกิดงานยุ่งจนไม่มีเวลามาเอาใจสาวชมพู่เหมือนเดิม
ไม่ช้าความก็แตกว่า ไอ้ที่เขาไปยุ่งๆ อยู่น่ะ คือไปแจกการ์ดแต่งงานค่ะ แต่ไม่ใช่กับชมพู่หรอก ชื่อเจ้าสาวในการ์ดคือสาวในที่ทำงานของเขาเอง!
ชมพู่ไม่ได้รับการ์ดแต่มีผู้หวังดีมาบอก ขณะที่เธอกำลังเปิดหนังสือเกี่ยวกับเจ้าสาวเพื่อดูชุดแต่งงานอยู่เพลิด เพลิน ถึงแม้จะสังหรณ์ใจแต่ชมพู่ก็แทบช็อก เธอไม่มีน้ำตาสักหยด ใบหน้าเรียบเฉย เลิกคิ้วนิดๆ อย่างฉงน "งั้นเรอะ?"
คนมาบอกเหตุหวังว่าจะได้เห็นน้ำตาเม็ดโตๆ และเสียงกรี๊ดกร๊าดแบบละครทีวี แต่เมื่อเห็นท่าทีเฉยเมยก็ต้องจ๋อยแด่วกลับไป...เสียใจด้วยค่ะ แต่ก็ขอบคุณที่บอก
มีแต่มดและดิฉันที่รู้ว่าชมพู่เจ็บลึก เพราะใบหน้าที่เรียบเฉยนั้น เธอยิ้มแบบมีแวววิกลจริตยังไงๆ อยู่...แบบนี้เพื่อนก็ต้องช่วยเพื่อนสิคะ!
เราทำแบบ...ช่างมันฉันไม่แคร์! แล้วคว้าชุดบิกินีใส่กระเป๋าไปเที่ยวทะเลกันดีกว่า เอ...ไปไหนดี? หัวหินก็สงบสุขเกินไป...งั้นเลือกสไตล์ครึกครื้นเอามันส์ พัทยา ละกัน
ดิฉันขับรถสปอร์ตคู่ใจ มีมดนั่งข้างๆ ส่วนชมพู่สวาปามลองกองอยู่เบาะหลัง
ไปถึงพัทยาสายวันเสาร์...นั่นไง นึกแล้ว! ไม่มีที่พัก โรงแรมดีๆ เต็มหมด แต่เราอยากค้างนี่นา ไม่รู้โชคดีหรือร้าย...เฮ้อ! ไม่อยากให้เรื่องนี้มีโชคร้ายเล้ย! แต่พวกเราดันได้รีสอร์ตแห่งหนึ่งอยู่ใกล้ชายทะเลเสียด้วย แค่เดินข้ามถนนไปก็ถึง
รีสอร์ตแต่ละหลังเป็นห้องชุด เปิดประตูเข้าไปถึงห้องรับแขก มีโต๊ะรับแขกชุดเล็กๆ ถัดไปคือประตูสู่ห้องนอน ทางขวาเป็นห้องน้ำ ทางซ้ายเป็นโต๊ะเครื่องสำอางถูกๆ และตู้เสื้อผ้าแบบบิวดอิน ใช้ไม้คุณภาพต่ำ
ประตูเลื่อนทำท่าจะหลุดตกราง ปิดได้แค่ครึ่งๆ กลางๆ
เตียงนอนน่ะรับได้สองคนสบายๆ แต่ถ้าสามคนก็เบียดกันหน่อย เขาตั้งโซฟาหนังเทียมสีขาวไว้ให้ด้วย เจตนาคงให้เป็นเตียงเสริม
เมื่อเก็บของเข้าห้อง เราก็ออกตะลุยพัทยากันสนุก ตกค่ำก็หาล็อบสเตอร์อบเนยหม่ำกันอย่างมีความสุข ชมพู่ไม่เคยแตะต้องเครื่องดองของเมา สั่งเบียร์เข้ามาดื่มอั๊กๆ สองขวดใหญ่ แค่สามทุ่มก็หมดสภาพต้องกลับไปนอน ส่วนมดกับดิฉันออกมานั่งริมทะเลรับลมกัน
รีสอร์ตนี้มีเก้าอี้ให้เช่า ครัวก็เปิดจนดึกดื่น เรานั่งคุยกันตามสบาย ฟังเสียงคลื่นออเซาะหาด...อย่างน้อยชมพู่ก็นอนอยู่ใกล้ๆ ในห้อง!
ราวห้าทุ่มครึ่งเราเดินเอื่อยๆ กลับที่พัก มดไขกุญแจเข้าไป ดิฉันเคาะทรายออกจากรองเท้า กำลังเคาะอยู่ดีๆ ก็เกือบหน้าคะมำเพราะมดถอยหลังมาชน
"อ้อ!" เธอไม่ได้อุทานค่ะ แต่ออกชื่อดิฉัน "ใครนั่งอยู่ในห้องก็ไม่รู้?"
ใจหายวาบ ยังไม่นึกถึงผี มือคว้าประตูเพื่อดูเลขห้องให้ถูกต้อง
"ก็ห้องของเรานี่นา ไม่ได้เข้าห้องผิดซักหน่อย"
"เออ..." มดทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ "ชมพู่ก็นอนอยู่ แต่มีผู้หญิงที่ไหนไม่รู้มานั่งดูชมพู่อยู่ที่โซฟาข้างเตียงน่ะ?"
"เฮ้ย!" ดิฉันรีบพรวดเข้าไปในห้องรับแขกจนถึงประตูห้องนอน...ภาพที่เห็นคือ ชมพู่นอนตะแคงหันหน้ามาหา ราววาเศษเป็นโซฟาที่มีผู้หญิงนั่งพิงพนัก วางมือทั้งสองบนตัก...อายุราวยี่สิบต้น ผมยาว สวมชุดนอนไนลอนสีเนื้อ หน้าเขียวคล้ำก้มนิดๆ กำลังตาคว่ำจ้องชมพู่
ดิฉันถอยกรูด...ดูก็รู้ว่านั่นไม่ใช่คน! มดยืนเอามืออุดปากตัวเอง หน้าย่นยู่อย่างเสียวไส้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามดกำลังคิดอะไร...ว่าแต่จะปลุกชมพู่อีท่าไหน?
นาทีต่อมาดิฉันแทบตะโกน "ไปบอกผู้จัดการ!!"
ผู้จัดการไม่อยู่ แต่คนดูแลได้รับฟังเรื่องของเราแล้วทำหน้าตื่นเอามากๆ รีบไปตามผู้หญิงมาสองคน ทำท่าขนลุกขนชัน แต่ก็ต้องมาที่ห้องเราอยู่ เราเปิดไฟแล้วรีบเก็บข้าวของมือสั่น ชมพู่ตื่นขึ้นมางงๆ เราเก็บของให้เธอจนครบแล้วขึ้นรถ...บึ่งกลับกรุงเทพฯ ทันที
ชมพู่เล่าว่าผีอำ เห็นภาพที่ดิฉันกับมดเห็นแต่ขยับไม่ได้ จนคนมาเยอะก็หายไป
ทุกวันนี้เรายังอยู่กันสามคนสบายๆ ชวนกันไปทำบุญและคิดว่าคราวเคราะห์ของเราหมดไปแล้วนะคะ ต่อไปอย่าให้เจอแบบนี้อีกแล้วกัน...ขนหัวลุกค่ะ! บรื๋ออออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 25 มกราคม 2555
24 พฤษภาคม 2558
สายน้ำมฤตยู
"เลอพงศ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจาก บางพลัด
ถึงแม้อภิมหาอุทกภัยในรอบ 50 ปีจะผ่านพ้นไป ทิ้งไว้แต่ความเสียหายวายวอดทั้งไร่นา บ้านเรือน โรงงานอุตสาหกรรมน้อยใหญ่ ไหนจะสูญเสียนักท่องเที่ยวที่เป็นหนึ่งในรายได้หลักๆ ของเราอีกล่ะ
ที่ประเมินกันไว้ว่าน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่และยาวนานคราวนี้ ทำให้เมืองไทยต้องพินาศย่อยยับไปไม่น้อยกว่าสองแสนล้านบาท ราวสิบเปอร์เซ็นต์ของงบประมาณแผ่นดินทั้งปี
โดยเฉพาะชีวิตคนไทยที่ต้องล่องลอยไปกับสายน้ำก็ปาเข้าไปเกือบ 700 คน ไร้ที่อยู่อาศัยอีกหลายหมื่นคน คนยากคนจนที่ต้องขายแรงงานเลี้ยงชีวิตและครอบครัวต้องตกงานอีกไม่ต่ำกว่าสองแสนคน
นับไม่ถ้วนที่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว บ้านช่องและข้าวของถูกสายน้ำคลุ้มคลั่งโหมกระหน่ำวอดวาย เหลือแต่ผ้าพันกายกับอนาคตที่มืดมนอนธการเต็มที!
บ้านผมอยู่ถนนจรัญสนิทวงศ์แถวๆ ซอย 70 ตอนที่น้ำท่วมอยุธยาก็เครียด เป็นห่วงนิคมอุตสาหกรรมที่มีโรงงานเป็นสิบๆ แห่ง อ้าว? คันกั้นน้ำปิงที่นครสวรรค์เกิดพังขึ้นอีก...เห็นภาพมวลน้ำก้อนใหญ่จู่โจมเข้าใส่เขตเทศบาล ผู้คนวิ่งหนีไม่คิดชีวิต น่าสยดสยองไม่แพ้เมื่อครั้งคลื่นยักษ์สึนามิที่ถล่มภาคใต้แม้แต่น้อยนิด
ลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง ล้วนแต่จมน้ำ ลามเลยมาถึงปทุมธานี นนทบุรี ชาวกรุงแถวพระรามหก บางอ้อ บางกระบือที่ท่าเขียวไข่กา สามเสน บางพลัด ใครอยู่ชายน้ำก็ต้องรับเคราะห์ไปก่อนแล้ว
จู่ๆ คันกั้นน้ำที่จรัญฯ 70 ก็เกิดแตกโครมกะทันหัน!
สายน้ำทะลักล้นเข้ามาเหมือนน้ำตก คูคลองเล็กๆ ในละแวกนั้นก็โดนถล่มเสียงดังสาดซ่าเหมือนเสียงผีป่าถาโถมเข้าเมือง ระคนกับเสียงกรีดร้อง ร่ำไห้ เรียกหากัน ร่ำร้องขอความช่วยเหลือ ขณะที่ระดับน้ำก็ยิ่งสูงขึ้นทุกที
น้ำที่สูงแค่เข่า พรวดเดียวสูงขึ้นถึงบั้นเอวเข้าไปแล้ว!
เมื่อหน่วยกู้ภัยมาถึงก็พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งช่วยอพยพผู้คนบ้านใกล้ๆ ออกมาก่อน แจกถุงยังชีพฉับไว...ได้ข่าวว่าน้ำลามขึ้นไปเรื่อยจนถึงถนน แล้วข้ามฝั่งไปในวันนั้นเอง...ถนนจรัญสนิทวงศ์จมหายไปใต้สายน้ำเรียบร้อย
ต้องปิดถนนทั้งหมด ตั้งแต่ปิ่นเกล้าไปจนถึงสะพานพระราม 7 มีแต่รถยีเอ็มซีของทหารเท่านั้นที่พอจะแล่นลุยน้ำได้
เพื่อนบ้านหลายๆ คนไม่ยอมอพยพด้วยเหตุผลต่างๆ นานา!
ทั้งเป็นห่วงบ้าน หรือข้าวของมีค่าต่างๆ ทั้งยืนยันว่ามีบ้านสองชั้น พอจะหลบภัยขึ้นไปอยู่ชั้นบนได้ ทั้งมีคนแก่และลูกเล็กเด็กแดงอีกด้วย จะหอบหิ้วแบกหามกันลุยน้ำแค่อกออกไปได้ยังไง เรือที่มาช่วยก็ลำเล็กเกินไป
ครอบครัวผมอยู่ในกลุ่มหลัง...ทั้งพ่อเป็นอัมพาต แม่เป็นเบาหวาน ลูกเต้าอีกหลายคน...ไม่มีทางอพยพกันไปได้หมดแน่ๆ ขอปักหลักอยู่บ้านชั้นบนนี่แหละ มีถุงยังชีพกับอาหารที่เราตุนไว้ก่อนหน้านั้นโดยไม่แยแสกับคำครหาว่าตื่นตูมแม้แต่น้อยนิด
ครอบครัวอื่นๆ อีกเป็นแสนก็คงทำแบบเดียวกับเรา ข้าวของในร้านสะดวกซื้อ ไม่ว่าข้าวสาร นม บะหมี่สำเร็จรูป ขนมปังและไข่ แม้แต่น้ำดื่มก็หมดเกลี้ยงตั้งแต่น้ำก้อนใหญ่ยังไม่ไหลบ่ามาถึงกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ
คืนที่สองเราก็ประสบกับเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!
ราวสี่ทุ่มเราก็ดับไฟนอนกันแล้ว สรรพสิ่งเหมือนจะมีแต่เสียงยอดไม้ไหวซ่ากับสายลม และเสียงคลื่นดังครึกโครมคล้ายเสียงใครหัวเราะเย้ยหยัน...
แต่แล้วเสียงแปลกประหลาดก็ดังแว่วขึ้นมาจากชั้นล่างที่มีแต่น้ำเจิ่งนอง ...ช่วยด้วย...ช่วยฉันด้วย...
ตอนแรกผมนึกว่าหูแว่วไปเอง แต่แล้วลูกเมียก็กระซิบกระซาบเสียงสั่นเครืออยู่ข้างๆ ว่าได้ยินเสียงอะไรไหม? มีผู้หญิงมาร้องไห้ มาขอให้ช่วยอยู่ข้างล่าง...ทำยังไงกันดีล่ะ?
ยอมรับว่าปากคอผมแห้งผากไปหมด...เป็นไปไม่ได้! เราปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา แถมน้ำท่วมสูงขนาดนี้จะมีใครบุกบั่นหรือว่ายน้ำมายามดึกดื่น แล้วเข้ามาอยู่ในบ้านเราได้ยังไง นอกจากเสียงนั้นจะเป็น...เป็นผู้ไม่มีร่างกาย!
ผมขนลุกซ่า พยายามระงับความตื่นเต้น ทำใจให้สงบ ไม่ช้าเสียงนั้นก็กลายเป็นเสียงคลื่นเสียงลม...กว่าพวกเราจะหลับใหลกันได้ก็อ่อนล้าเต็มที
เวลาผ่านไปจนน้ำเริ่มลด บ้านชั้นล่างเละเทะราวกองขยะ เมื่อเปิดประตูออกไปก็เห็นเขามาแจกถุงยังชีพ ได้ข่าวว่ากำลังช่วยกันซ่อมคันกันน้ำ...เสียงใครร้องเอะอะจนน่าตกใจ
คุณพระช่วย! ศพหญิงนิรนามผู้หนึ่งนอนขัดบันไดอยู่หน้าบ้านผมนั่นเอง!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 24 มกราคม 2555
ถึงแม้อภิมหาอุทกภัยในรอบ 50 ปีจะผ่านพ้นไป ทิ้งไว้แต่ความเสียหายวายวอดทั้งไร่นา บ้านเรือน โรงงานอุตสาหกรรมน้อยใหญ่ ไหนจะสูญเสียนักท่องเที่ยวที่เป็นหนึ่งในรายได้หลักๆ ของเราอีกล่ะ
ที่ประเมินกันไว้ว่าน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่และยาวนานคราวนี้ ทำให้เมืองไทยต้องพินาศย่อยยับไปไม่น้อยกว่าสองแสนล้านบาท ราวสิบเปอร์เซ็นต์ของงบประมาณแผ่นดินทั้งปี
โดยเฉพาะชีวิตคนไทยที่ต้องล่องลอยไปกับสายน้ำก็ปาเข้าไปเกือบ 700 คน ไร้ที่อยู่อาศัยอีกหลายหมื่นคน คนยากคนจนที่ต้องขายแรงงานเลี้ยงชีวิตและครอบครัวต้องตกงานอีกไม่ต่ำกว่าสองแสนคน
นับไม่ถ้วนที่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว บ้านช่องและข้าวของถูกสายน้ำคลุ้มคลั่งโหมกระหน่ำวอดวาย เหลือแต่ผ้าพันกายกับอนาคตที่มืดมนอนธการเต็มที!
บ้านผมอยู่ถนนจรัญสนิทวงศ์แถวๆ ซอย 70 ตอนที่น้ำท่วมอยุธยาก็เครียด เป็นห่วงนิคมอุตสาหกรรมที่มีโรงงานเป็นสิบๆ แห่ง อ้าว? คันกั้นน้ำปิงที่นครสวรรค์เกิดพังขึ้นอีก...เห็นภาพมวลน้ำก้อนใหญ่จู่โจมเข้าใส่เขตเทศบาล ผู้คนวิ่งหนีไม่คิดชีวิต น่าสยดสยองไม่แพ้เมื่อครั้งคลื่นยักษ์สึนามิที่ถล่มภาคใต้แม้แต่น้อยนิด
ลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง ล้วนแต่จมน้ำ ลามเลยมาถึงปทุมธานี นนทบุรี ชาวกรุงแถวพระรามหก บางอ้อ บางกระบือที่ท่าเขียวไข่กา สามเสน บางพลัด ใครอยู่ชายน้ำก็ต้องรับเคราะห์ไปก่อนแล้ว
จู่ๆ คันกั้นน้ำที่จรัญฯ 70 ก็เกิดแตกโครมกะทันหัน!
สายน้ำทะลักล้นเข้ามาเหมือนน้ำตก คูคลองเล็กๆ ในละแวกนั้นก็โดนถล่มเสียงดังสาดซ่าเหมือนเสียงผีป่าถาโถมเข้าเมือง ระคนกับเสียงกรีดร้อง ร่ำไห้ เรียกหากัน ร่ำร้องขอความช่วยเหลือ ขณะที่ระดับน้ำก็ยิ่งสูงขึ้นทุกที
น้ำที่สูงแค่เข่า พรวดเดียวสูงขึ้นถึงบั้นเอวเข้าไปแล้ว!
เมื่อหน่วยกู้ภัยมาถึงก็พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งช่วยอพยพผู้คนบ้านใกล้ๆ ออกมาก่อน แจกถุงยังชีพฉับไว...ได้ข่าวว่าน้ำลามขึ้นไปเรื่อยจนถึงถนน แล้วข้ามฝั่งไปในวันนั้นเอง...ถนนจรัญสนิทวงศ์จมหายไปใต้สายน้ำเรียบร้อย
ต้องปิดถนนทั้งหมด ตั้งแต่ปิ่นเกล้าไปจนถึงสะพานพระราม 7 มีแต่รถยีเอ็มซีของทหารเท่านั้นที่พอจะแล่นลุยน้ำได้
เพื่อนบ้านหลายๆ คนไม่ยอมอพยพด้วยเหตุผลต่างๆ นานา!
ทั้งเป็นห่วงบ้าน หรือข้าวของมีค่าต่างๆ ทั้งยืนยันว่ามีบ้านสองชั้น พอจะหลบภัยขึ้นไปอยู่ชั้นบนได้ ทั้งมีคนแก่และลูกเล็กเด็กแดงอีกด้วย จะหอบหิ้วแบกหามกันลุยน้ำแค่อกออกไปได้ยังไง เรือที่มาช่วยก็ลำเล็กเกินไป
ครอบครัวผมอยู่ในกลุ่มหลัง...ทั้งพ่อเป็นอัมพาต แม่เป็นเบาหวาน ลูกเต้าอีกหลายคน...ไม่มีทางอพยพกันไปได้หมดแน่ๆ ขอปักหลักอยู่บ้านชั้นบนนี่แหละ มีถุงยังชีพกับอาหารที่เราตุนไว้ก่อนหน้านั้นโดยไม่แยแสกับคำครหาว่าตื่นตูมแม้แต่น้อยนิด
ครอบครัวอื่นๆ อีกเป็นแสนก็คงทำแบบเดียวกับเรา ข้าวของในร้านสะดวกซื้อ ไม่ว่าข้าวสาร นม บะหมี่สำเร็จรูป ขนมปังและไข่ แม้แต่น้ำดื่มก็หมดเกลี้ยงตั้งแต่น้ำก้อนใหญ่ยังไม่ไหลบ่ามาถึงกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ
คืนที่สองเราก็ประสบกับเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!
ราวสี่ทุ่มเราก็ดับไฟนอนกันแล้ว สรรพสิ่งเหมือนจะมีแต่เสียงยอดไม้ไหวซ่ากับสายลม และเสียงคลื่นดังครึกโครมคล้ายเสียงใครหัวเราะเย้ยหยัน...
แต่แล้วเสียงแปลกประหลาดก็ดังแว่วขึ้นมาจากชั้นล่างที่มีแต่น้ำเจิ่งนอง ...ช่วยด้วย...ช่วยฉันด้วย...
ตอนแรกผมนึกว่าหูแว่วไปเอง แต่แล้วลูกเมียก็กระซิบกระซาบเสียงสั่นเครืออยู่ข้างๆ ว่าได้ยินเสียงอะไรไหม? มีผู้หญิงมาร้องไห้ มาขอให้ช่วยอยู่ข้างล่าง...ทำยังไงกันดีล่ะ?
ยอมรับว่าปากคอผมแห้งผากไปหมด...เป็นไปไม่ได้! เราปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา แถมน้ำท่วมสูงขนาดนี้จะมีใครบุกบั่นหรือว่ายน้ำมายามดึกดื่น แล้วเข้ามาอยู่ในบ้านเราได้ยังไง นอกจากเสียงนั้นจะเป็น...เป็นผู้ไม่มีร่างกาย!
ผมขนลุกซ่า พยายามระงับความตื่นเต้น ทำใจให้สงบ ไม่ช้าเสียงนั้นก็กลายเป็นเสียงคลื่นเสียงลม...กว่าพวกเราจะหลับใหลกันได้ก็อ่อนล้าเต็มที
เวลาผ่านไปจนน้ำเริ่มลด บ้านชั้นล่างเละเทะราวกองขยะ เมื่อเปิดประตูออกไปก็เห็นเขามาแจกถุงยังชีพ ได้ข่าวว่ากำลังช่วยกันซ่อมคันกันน้ำ...เสียงใครร้องเอะอะจนน่าตกใจ
คุณพระช่วย! ศพหญิงนิรนามผู้หนึ่งนอนขัดบันไดอยู่หน้าบ้านผมนั่นเอง!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 24 มกราคม 2555
23 พฤษภาคม 2558
ไทรสยอง
พิมพา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากต้นไทร ผีสิง
ดิฉันเป็นลูกชาวสวนบางขุนนนท์โดยกำเนิด แม้ว่าต่อมาจะถูกความเจริญรุกราน แต่ต้นไม้ก็ยังร่มครึ้มอยู่นะคะ ทั้งให้ร่มเงาและช่วยกรองมลพิษจากท่อไอเสียของรถต่างๆ อีกทั้งทำให้เย็นตาเย็นใจเพราะสีเขียวๆ ที่อยู่รอบตัวอีกด้วย
เขาว่าต้นไม้ใหญ่ๆ มักจะมีผีสิงใช่ไหมคะ?
คนโบราณท่านช่างฉลาดคิดมากๆ มีจินตนาการเหลือเชื่อ โดยบอกว่าสิ่งลี้ลับที่สิงสู่อยู่ในต้นไม้นั้นไม่ใช่ภูตผีปีศาจใดๆ เลย แต่เป็นเทพารักษ์ต่างๆ หรือจะเรียกว่าเป็นเทวดารักษาต้นไม้ก็ได้
พูดถึงเรื่องผี ทำให้คิดว่าต้นโพธิ์และต้นไทรออกจะมีกิตติศัพท์โด่งดังกว่าต้นไม้ทั่วๆ ไป...นั่นคือผีดุมาก!! ไม่ว่าใครๆ ก็เชื่อถือและยำเกรงทั้งนั้นแหละค่ะ
ดิฉันเห็นต้นไม้ทั้งสองชนิดนี้มีผ้าแพรสวยๆ หลากสีสันผูกที่โคนต้นบ้าง กิ่งก้านเตี้ยๆ บ้าง นอกจากนั้นยังมีเครื่องแก้บนต่างๆ โดยเฉพาะตุ๊กตาตัวเล็กๆ ดูน่ารัก มีทั้งปั้นด้วยดินและแกะด้วยไม้ กองเกลื่อนกลาดอยู่รอบๆ โคนต้นด้านที่มีผู้คนสัญจรไปมาเป็นประจำ
สิ่งที่ขาดไม่ได้คือธูปค่ะ ทั้งที่ยังจุดควันกรุ่นกับก้านธูปเก่าๆ สีซีดจาง กระจายอยู่เต็มไปหมด ทำให้รู้สึกถึงสิ่งอาถรรพณ์ ความลึกลับ น่าอัศจรรย์ มีพลังอย่างประหลาด...บางครั้งมองเห็นก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
เวลาผ่านต้นโพธิ์ต้นไทรก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่ในต้นไม้...มีดวงตาเร้นลับที่เรามองไม่เห็น กำลังจ้องเขม็งจนทำให้เกิดความเย็นยะเยือกไปทั้งแผ่นหลัง!
ดิฉันมีเรื่องราวแปลกประหลาด น่ากลัวจนขนหัวลุกมาเล่าสู่กันฟังค่ะ เป็นเรื่องที่ไม่เคยพบเห็น หรือได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย
สมัยเด็กๆ ในหมู่บ้านเรามีไทรต้นหนึ่งขึ้นอยู่ข้างทางเดิน แต่เป็นต้นไทรที่ไม่เหมือนกับต้นอื่นๆ เพราะส่วนมากมักจะมีกิ่งใบดกหนาแทบจะมืดครึ้ม บ้างก็แผ่กระจายลงมาแทบจะคลุมดิน รวมทั้งมีรากห้อยระย้าลงมา
แต่ต้นไทรที่ว่านี้กลับพุ่งขึ้นไปเหมือนต้นสนที่สูงชะลูดดูแปลกตา!
นอกจากนั้นยังมีกิ่งใบโปร่งๆ จนมองเห็นได้ทั่วต้น กิ่งที่อยู่ต่ำสุดก็สูงจากพื้นราว 3-4 เมตร ถัดขึ้นไปก็มีกิ่งที่อยู่ห่างกันราวเมตร-ครึ่งเมตร มีรากที่ห้อยระย้าลงทั้งสั้นและยาวราว 20-30 ราก
กิ่งใบและรากก็โปร่งทั้งนั้น ดูจะไม่มีอะไรลี้ลับชวนให้หวาดกลัวแม้แต่น้อยนิด
ผู้ใหญ่บอกว่า ถ้ารากที่ห้อยยาวลงมาถึงพื้นดินเมื่อไหร่ก็จะงอกขึ้นมากลายเป็นต้นใหม่เมื่อนั้น พวกเด็กๆ ก็ไปคอยนั่งดูยืนดูกัน ว่าเมื่อไหร่รากที่ยาวกว่าเพื่อน ห่างจากดินราวเมตรเดียว จะห้อยย้อยลงมาถึงดินเสียที?
รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นผลหรอกค่ะ บางครั้งทำท่าว่าใกล้จะถึงแล้ว แต่บางคราวก็ดูจะถอยขึ้นไป...เราพูดกันว่าน่าจะดึงให้ยาวลงมาถึงดินเร็วๆ จะได้เห็นไทรต้นใหม่งอกขึ้นมา
วันหนึ่ง พวกเด็กๆ ไปเล่นที่ต้นไทรนั้น แล้วก็แหงนหน้ามองรากไทรแปลกๆ พลางเอียงซ้ายเอียงขวาตามประสาเด็ก จู่ๆ รากทุกรากก็แกว่งไกวไปมาทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัด เล่นเอาเราเอะใจ ก็พอดียอดไทรไหวซ่า...เสียงเหมือนใครหัวเราะครืนดังขึ้น
ลมไม่พัด แต่ไทรสะบัดกิ่งใบได้ยังไง...ก็ต้องวิ่งหนีกันกระจายน่ะซีคะ!
ความจริงย่านนั้นยังมีต้นโพธิ์ต้นไทรใหญ่น้อยอีกหลายต้น มีคนไปบนบานขอหวยกันมานานแล้วค่ะ ทั้งผ้าแพรและตุ๊กตาแก้บนเต็มไปหมด ยกเว้นไทร ประหลาด ต้นนี้เท่านั้นที่ไม่มีผ้าแพร ไม่มีตุ๊กตาเสียกบาล...ไม่มีแม้แต่ธูปสักดอกเดียว
ไม่มีใครสนใจน่ะซีคะ เห็นเป็นต้นไม้ธรรมดาเหมือนมะม่วงหรือชมพู่ทั่วๆ ไป
วันหนึ่งก็เกิดเหตุสยอง ร่ำลือกันไปทั้งตำบล!
"พี่หนิม" เป็นสาวสวยระดับดารา แต่พ่อแม่ดุ หวงลูกสาวมาก เพราะมีหนุ่มๆ มาติดพันหลายคน จากบางพลัด บางอ้อ ไปถึงฝั่งพระนคร มีเสียงดุด่าพี่หนิมเป็นประจำ...บางครั้งเธอก็หายหน้าไป 2-3 วัน ได้ข่าวว่าพ่อกักตัวไว้ในบ้านค่ะ
วันเกิดเหตุ ลุงเกตคนข้างบ้านดิฉันเข้าสวนแต่เช้า ร้องเอะอะโวยวายจนใครๆ พากันวิ่งออกไปดู...ร่างพี่หนิมห้อยโตงเตงอยู่ที่กิ่งไทรประหลาดต้นนั้นเอง!
ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พี่หนิมน้อยใจพ่อแม่ที่ดุด่าแทบไม่เว้นแต่ละวันเลยคิดสั้น เอาผ้าขาวม้าพ่อมาแขวนคอตายกลางดึก...
ว่าแต่กิ่งไทรนั้นสูงเลยหัวขึ้นไปเป็นวา...ไม่มีทางที่พี่หนิมจะปีนป่ายขึ้นไปได้เด็ดขาด
หรือว่ามีผี-วิญญาณร้ายที่สิงสู่อยู่ในต้นไทรมาชักชวน ฉุดพี่หนิมขึ้นไปอยู่ด้วย...เป็นปัญหาที่ยังไม่มีคำตอบมาถึงทุกวันนี้ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 23 มกราคม 2555
ดิฉันเป็นลูกชาวสวนบางขุนนนท์โดยกำเนิด แม้ว่าต่อมาจะถูกความเจริญรุกราน แต่ต้นไม้ก็ยังร่มครึ้มอยู่นะคะ ทั้งให้ร่มเงาและช่วยกรองมลพิษจากท่อไอเสียของรถต่างๆ อีกทั้งทำให้เย็นตาเย็นใจเพราะสีเขียวๆ ที่อยู่รอบตัวอีกด้วย
เขาว่าต้นไม้ใหญ่ๆ มักจะมีผีสิงใช่ไหมคะ?
คนโบราณท่านช่างฉลาดคิดมากๆ มีจินตนาการเหลือเชื่อ โดยบอกว่าสิ่งลี้ลับที่สิงสู่อยู่ในต้นไม้นั้นไม่ใช่ภูตผีปีศาจใดๆ เลย แต่เป็นเทพารักษ์ต่างๆ หรือจะเรียกว่าเป็นเทวดารักษาต้นไม้ก็ได้
พูดถึงเรื่องผี ทำให้คิดว่าต้นโพธิ์และต้นไทรออกจะมีกิตติศัพท์โด่งดังกว่าต้นไม้ทั่วๆ ไป...นั่นคือผีดุมาก!! ไม่ว่าใครๆ ก็เชื่อถือและยำเกรงทั้งนั้นแหละค่ะ
ดิฉันเห็นต้นไม้ทั้งสองชนิดนี้มีผ้าแพรสวยๆ หลากสีสันผูกที่โคนต้นบ้าง กิ่งก้านเตี้ยๆ บ้าง นอกจากนั้นยังมีเครื่องแก้บนต่างๆ โดยเฉพาะตุ๊กตาตัวเล็กๆ ดูน่ารัก มีทั้งปั้นด้วยดินและแกะด้วยไม้ กองเกลื่อนกลาดอยู่รอบๆ โคนต้นด้านที่มีผู้คนสัญจรไปมาเป็นประจำ
สิ่งที่ขาดไม่ได้คือธูปค่ะ ทั้งที่ยังจุดควันกรุ่นกับก้านธูปเก่าๆ สีซีดจาง กระจายอยู่เต็มไปหมด ทำให้รู้สึกถึงสิ่งอาถรรพณ์ ความลึกลับ น่าอัศจรรย์ มีพลังอย่างประหลาด...บางครั้งมองเห็นก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัว
เวลาผ่านต้นโพธิ์ต้นไทรก็รู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่ในต้นไม้...มีดวงตาเร้นลับที่เรามองไม่เห็น กำลังจ้องเขม็งจนทำให้เกิดความเย็นยะเยือกไปทั้งแผ่นหลัง!
ดิฉันมีเรื่องราวแปลกประหลาด น่ากลัวจนขนหัวลุกมาเล่าสู่กันฟังค่ะ เป็นเรื่องที่ไม่เคยพบเห็น หรือได้ยินเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย
สมัยเด็กๆ ในหมู่บ้านเรามีไทรต้นหนึ่งขึ้นอยู่ข้างทางเดิน แต่เป็นต้นไทรที่ไม่เหมือนกับต้นอื่นๆ เพราะส่วนมากมักจะมีกิ่งใบดกหนาแทบจะมืดครึ้ม บ้างก็แผ่กระจายลงมาแทบจะคลุมดิน รวมทั้งมีรากห้อยระย้าลงมา
แต่ต้นไทรที่ว่านี้กลับพุ่งขึ้นไปเหมือนต้นสนที่สูงชะลูดดูแปลกตา!
นอกจากนั้นยังมีกิ่งใบโปร่งๆ จนมองเห็นได้ทั่วต้น กิ่งที่อยู่ต่ำสุดก็สูงจากพื้นราว 3-4 เมตร ถัดขึ้นไปก็มีกิ่งที่อยู่ห่างกันราวเมตร-ครึ่งเมตร มีรากที่ห้อยระย้าลงทั้งสั้นและยาวราว 20-30 ราก
กิ่งใบและรากก็โปร่งทั้งนั้น ดูจะไม่มีอะไรลี้ลับชวนให้หวาดกลัวแม้แต่น้อยนิด
ผู้ใหญ่บอกว่า ถ้ารากที่ห้อยยาวลงมาถึงพื้นดินเมื่อไหร่ก็จะงอกขึ้นมากลายเป็นต้นใหม่เมื่อนั้น พวกเด็กๆ ก็ไปคอยนั่งดูยืนดูกัน ว่าเมื่อไหร่รากที่ยาวกว่าเพื่อน ห่างจากดินราวเมตรเดียว จะห้อยย้อยลงมาถึงดินเสียที?
รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นผลหรอกค่ะ บางครั้งทำท่าว่าใกล้จะถึงแล้ว แต่บางคราวก็ดูจะถอยขึ้นไป...เราพูดกันว่าน่าจะดึงให้ยาวลงมาถึงดินเร็วๆ จะได้เห็นไทรต้นใหม่งอกขึ้นมา
วันหนึ่ง พวกเด็กๆ ไปเล่นที่ต้นไทรนั้น แล้วก็แหงนหน้ามองรากไทรแปลกๆ พลางเอียงซ้ายเอียงขวาตามประสาเด็ก จู่ๆ รากทุกรากก็แกว่งไกวไปมาทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัด เล่นเอาเราเอะใจ ก็พอดียอดไทรไหวซ่า...เสียงเหมือนใครหัวเราะครืนดังขึ้น
ลมไม่พัด แต่ไทรสะบัดกิ่งใบได้ยังไง...ก็ต้องวิ่งหนีกันกระจายน่ะซีคะ!
ความจริงย่านนั้นยังมีต้นโพธิ์ต้นไทรใหญ่น้อยอีกหลายต้น มีคนไปบนบานขอหวยกันมานานแล้วค่ะ ทั้งผ้าแพรและตุ๊กตาแก้บนเต็มไปหมด ยกเว้นไทร ประหลาด ต้นนี้เท่านั้นที่ไม่มีผ้าแพร ไม่มีตุ๊กตาเสียกบาล...ไม่มีแม้แต่ธูปสักดอกเดียว
ไม่มีใครสนใจน่ะซีคะ เห็นเป็นต้นไม้ธรรมดาเหมือนมะม่วงหรือชมพู่ทั่วๆ ไป
วันหนึ่งก็เกิดเหตุสยอง ร่ำลือกันไปทั้งตำบล!
"พี่หนิม" เป็นสาวสวยระดับดารา แต่พ่อแม่ดุ หวงลูกสาวมาก เพราะมีหนุ่มๆ มาติดพันหลายคน จากบางพลัด บางอ้อ ไปถึงฝั่งพระนคร มีเสียงดุด่าพี่หนิมเป็นประจำ...บางครั้งเธอก็หายหน้าไป 2-3 วัน ได้ข่าวว่าพ่อกักตัวไว้ในบ้านค่ะ
วันเกิดเหตุ ลุงเกตคนข้างบ้านดิฉันเข้าสวนแต่เช้า ร้องเอะอะโวยวายจนใครๆ พากันวิ่งออกไปดู...ร่างพี่หนิมห้อยโตงเตงอยู่ที่กิ่งไทรประหลาดต้นนั้นเอง!
ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า พี่หนิมน้อยใจพ่อแม่ที่ดุด่าแทบไม่เว้นแต่ละวันเลยคิดสั้น เอาผ้าขาวม้าพ่อมาแขวนคอตายกลางดึก...
ว่าแต่กิ่งไทรนั้นสูงเลยหัวขึ้นไปเป็นวา...ไม่มีทางที่พี่หนิมจะปีนป่ายขึ้นไปได้เด็ดขาด
หรือว่ามีผี-วิญญาณร้ายที่สิงสู่อยู่ในต้นไทรมาชักชวน ฉุดพี่หนิมขึ้นไปอยู่ด้วย...เป็นปัญหาที่ยังไม่มีคำตอบมาถึงทุกวันนี้ค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 23 มกราคม 2555
20 พฤษภาคม 2558
สาวบนสะพาน
"สราวุธ" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากสาวชุดขาว
ผมเคยอ่านเรื่องขนหัวลุกตามมหาวิทยาลัยต่างๆ หลายแห่ง แต่ยังไม่เคยเห็นเรื่องผีๆ สางๆ ใน มข. (มหาวิทยาลัยขอนแก่น) ที่ร่ำลือกันว่าผีดุนักหนา นำมาบอกเล่าสู่กันฟังต่างๆ นานา เลยเห็นว่าน่าจะนำบางเรื่องที่แพร่หลายมากำนัลแฟนๆ ขนหัวลุกบ้าง
มหาวิทยาลัยที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุดในภาคอีสาน หรืออาจจะที่สุดในเมืองไทยก็ได้ คือ 7,000 ไร่ สร้างในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีมาราว 50 ปีแล้ว
นักศึกษาทั้งหมดไม่มากไม่น้อย แค่ 50,000 คน (ห้าหมื่นคน) เศษเท่านั้น?
ความเจริญตามยุคสมัยก็คือมีตู้เอทีเอ็มเป็นสิบ และมีร้านสะดวกซื้อเซเว่นฯ มากมายที่สุดจนนับไม่ไหวละกัน
มีหอพักนักศึกษา แต่ส่วนหนึ่งนิยมออกไปเช่าหอพักอยู่ข้างนอกมากกว่า เพราะในมข.ต้องแยกเป็นหอพักชายกับหอพักหญิงนี่ครับ...คนคิดมากน่ะไม่เห็นใจคนกลัวผีมั่งรึไง?
เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยสารพัดโรคขอให้พ่อแม่และผู้ปกครองหายห่วงไปได้เพราะมีสถานพยาบาลดูแล ไม่ว่าจะฝากครรภ์หรือผดุงครรภ์มีบริการช่วยเหลือเพียบพร้อม
สมัย 10-20 ปีก่อน ตอนเช้าๆ เย็นๆ จะมีควาญนำช้างมาหาหญ้าสดๆ กินวันละราว 200 เชือก ต่อมาก็ค่อยๆ ลดลงตามความเจริญของบ้านเมืองที่มีรถราพลุกพล่านหนาตา จนเหลือแค่วันละไม่ถึง 100 เชือกเท่านั้น
นักศึกษานิยมเรียกมข.ว่า "มอดินแดง" คำว่า "มอ" เป็นภาษาท้องถิ่น หมายถึงโคก, เนิน รวมๆ แล้วคือสูงกว่าที่อื่นๆ ทั่วไปในบริเวณนั้น
บึงสีฐานก็เป็นที่ประดิษฐานของเจ้าพ่อมเหศักดิ์ ที่นับถือกันมาเนิ่นนานแล้วว่าท่านศักดิ์สิทธิ์นักหนา ใครไปกราบไหว้บูชา อธิษฐานจิตอ้อนวอนขอให้ท่านช่วยสิ่งใดก็มักจะสัมฤทธิผลสมความปรารถนาทุกคนไป
คราวนี้จะเล่าเรื่องขนหัวลุกใน มข.ให้ฟัง!
ผมอยู่ในตัวจังหวัด แถมใกล้ๆ กับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองอีกต่างหาก ได้ฟังเรื่องผีดุในมข. ตั้งแต่สมัยหนุ่มจนเลยวัยกลางคนไปหลายปีแล้ว ตัวเองก็เคยเข้าไปดูวิวทิวทัศน์ในตอนกลางวันมานับครั้งไม่ถ้วน คือพาญาติมิตรขึ้นรถเข้าไปดูความยิ่งใหญ่ตระการตาในมหาวิทยาลัยประจำจังหวัดก็หลายครั้งหลายครา
สิ่งที่โดดเด่นมากๆ นอกจากตึกรามสวยงามของคณะต่างๆ ก็คือต้นไม้ใหญ่น้อยหลากหลายที่ร่มครึ้ม สะบัดซู่ซ่าเกรียวกราวตามสายลม ยิ่งในตอนเย็นๆ บรรยากาศยิ่งน่าวังเวงใจชอบกล จะมีที่ว่างๆ ก็คือสนามกีฬากับแปลงผักเวิ้งว้างแทบสุดลูกหูลูกตา...
โดยเฉพาะสะพานแห่งนั้น... สะพานเล็กๆ ข้ามคูที่ดูเงียบเชียบอยู่ใต้เงาไม้ร่มครึ้ม ตอนกลางวันก็ยังค่อนข้างเปลี่ยวเพราะมีทางแยกเข้าออก หรือไปคณะนั้นคณะนี้ได้หลายทาง...แต่พอตกกลางคืนเข้ายิ่งเยือกเย็นน่าใจหายใจคว่ำอย่างบอกไม่ถูก...สาเหตุก็เพราะขึ้นชื่อลือชาว่าผีดุนักหนาน่ะซีครับ!
ผีผู้หญิง...แต่จะล้มตายมาเมื่อไหร่ ด้วยสาเหตุอันใด ก็ยังไม่มีใครรู้แน่ นอกจากจะเดาสุ่มกันไปต่างๆ นานาว่าเธอเป็นนักศึกษาอกหักบ้าง ล้มเหลวในการเรียนบ้าง มีเรื่องราวคับแค้นใจจากทางบ้านบ้าง
ในที่สุดก็ตัดสินใจมาจบชีวิตตัวเองที่สะพานแห่งนี้ในชุดขาวด้วยการกระโดดน้ำตาย แล้ววิญญาณก็สิงสู่อยู่ที่นั่นตลอดมา!
ถ้ามีนักศึกษาชายขี่จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์ผ่านมา มักจะเห็นสาวสวยในชุดขาวร่างสูงโปร่ง ผมยาวกระจายเต็มบ่า หน้าตาสะสวยหันมายิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายและจับไม้จับมือชายหนุ่มที่ตอนแรกนึกว่าตัวเองโชคดี แต่มาสะดุ้งเยือกเมื่อรู้สึกว่ามือของสาวเจ้าเย็นเฉียบไม่ผิดกับน้ำแข็ง...
รอยยิ้มนั้น นัยน์ตาที่จ้องมองนั้น...
สัญชาตญาณบอกแน่ว่าสาวสวยในยามวิกาลเปล่าเปลี่ยวเยือกเย็นแบบนี้ ไม่ใช่คนปกติธรรมดาทั่วๆ ไป แต่เธอคือ...ผี!! สะบัดมือโดดขึ้นรถ เผ่นอ้าวไม่คิดชีวิตด้วยความหวาดกลัวสุดขีดแทบจะสิ้นใจ!
สาวชุดขาวที่สะพานนี้ไม่ใช่ว่าเจอะเจอมาแค่คนสองคน แต่เป็นสิบๆ คนแล้วที่ต้องขนหัวลุก แทบจะจับไข้จับหนาวไปตามๆ กัน...ยกเว้นแต่ที่มากันสองคน มีทั้งเห็นและไม่เห็น แต่เธอจะยืนกอดอกหันหลังให้
พลางเงยหน้าชมดาวเดือนเพลิดเพลินโดยไม่สนใจไยดี
อ้อ! ผู้หญิงไม่เคยโดนหลอกหลอนนะครับ เห็นก็ไม่เห็น แต่ถ้าเป็นผู้ชายแล้วแทบจะไม่มีใครรอดสันดอนไปแม้แต่คนเดียว
ตอนนี้ลูกชายผมเรียนอยู่ที่นั่นปีสุดท้ายแล้ว ได้แต่กำชับให้มันกลับบ้านเร็วๆ ก็แล้วกัน เดี๋ยวเจอะเจอสาวชุดขาวเข้ามีหวังสติแตกก่อนเรียนจบเท่านั้นเอง
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 20 มกราคม 2555
ผมเคยอ่านเรื่องขนหัวลุกตามมหาวิทยาลัยต่างๆ หลายแห่ง แต่ยังไม่เคยเห็นเรื่องผีๆ สางๆ ใน มข. (มหาวิทยาลัยขอนแก่น) ที่ร่ำลือกันว่าผีดุนักหนา นำมาบอกเล่าสู่กันฟังต่างๆ นานา เลยเห็นว่าน่าจะนำบางเรื่องที่แพร่หลายมากำนัลแฟนๆ ขนหัวลุกบ้าง
มหาวิทยาลัยที่มีพื้นที่กว้างขวางที่สุดในภาคอีสาน หรืออาจจะที่สุดในเมืองไทยก็ได้ คือ 7,000 ไร่ สร้างในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรีมาราว 50 ปีแล้ว
นักศึกษาทั้งหมดไม่มากไม่น้อย แค่ 50,000 คน (ห้าหมื่นคน) เศษเท่านั้น?
ความเจริญตามยุคสมัยก็คือมีตู้เอทีเอ็มเป็นสิบ และมีร้านสะดวกซื้อเซเว่นฯ มากมายที่สุดจนนับไม่ไหวละกัน
มีหอพักนักศึกษา แต่ส่วนหนึ่งนิยมออกไปเช่าหอพักอยู่ข้างนอกมากกว่า เพราะในมข.ต้องแยกเป็นหอพักชายกับหอพักหญิงนี่ครับ...คนคิดมากน่ะไม่เห็นใจคนกลัวผีมั่งรึไง?
เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยสารพัดโรคขอให้พ่อแม่และผู้ปกครองหายห่วงไปได้เพราะมีสถานพยาบาลดูแล ไม่ว่าจะฝากครรภ์หรือผดุงครรภ์มีบริการช่วยเหลือเพียบพร้อม
สมัย 10-20 ปีก่อน ตอนเช้าๆ เย็นๆ จะมีควาญนำช้างมาหาหญ้าสดๆ กินวันละราว 200 เชือก ต่อมาก็ค่อยๆ ลดลงตามความเจริญของบ้านเมืองที่มีรถราพลุกพล่านหนาตา จนเหลือแค่วันละไม่ถึง 100 เชือกเท่านั้น
นักศึกษานิยมเรียกมข.ว่า "มอดินแดง" คำว่า "มอ" เป็นภาษาท้องถิ่น หมายถึงโคก, เนิน รวมๆ แล้วคือสูงกว่าที่อื่นๆ ทั่วไปในบริเวณนั้น
บึงสีฐานก็เป็นที่ประดิษฐานของเจ้าพ่อมเหศักดิ์ ที่นับถือกันมาเนิ่นนานแล้วว่าท่านศักดิ์สิทธิ์นักหนา ใครไปกราบไหว้บูชา อธิษฐานจิตอ้อนวอนขอให้ท่านช่วยสิ่งใดก็มักจะสัมฤทธิผลสมความปรารถนาทุกคนไป
คราวนี้จะเล่าเรื่องขนหัวลุกใน มข.ให้ฟัง!
ผมอยู่ในตัวจังหวัด แถมใกล้ๆ กับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองอีกต่างหาก ได้ฟังเรื่องผีดุในมข. ตั้งแต่สมัยหนุ่มจนเลยวัยกลางคนไปหลายปีแล้ว ตัวเองก็เคยเข้าไปดูวิวทิวทัศน์ในตอนกลางวันมานับครั้งไม่ถ้วน คือพาญาติมิตรขึ้นรถเข้าไปดูความยิ่งใหญ่ตระการตาในมหาวิทยาลัยประจำจังหวัดก็หลายครั้งหลายครา
สิ่งที่โดดเด่นมากๆ นอกจากตึกรามสวยงามของคณะต่างๆ ก็คือต้นไม้ใหญ่น้อยหลากหลายที่ร่มครึ้ม สะบัดซู่ซ่าเกรียวกราวตามสายลม ยิ่งในตอนเย็นๆ บรรยากาศยิ่งน่าวังเวงใจชอบกล จะมีที่ว่างๆ ก็คือสนามกีฬากับแปลงผักเวิ้งว้างแทบสุดลูกหูลูกตา...
โดยเฉพาะสะพานแห่งนั้น... สะพานเล็กๆ ข้ามคูที่ดูเงียบเชียบอยู่ใต้เงาไม้ร่มครึ้ม ตอนกลางวันก็ยังค่อนข้างเปลี่ยวเพราะมีทางแยกเข้าออก หรือไปคณะนั้นคณะนี้ได้หลายทาง...แต่พอตกกลางคืนเข้ายิ่งเยือกเย็นน่าใจหายใจคว่ำอย่างบอกไม่ถูก...สาเหตุก็เพราะขึ้นชื่อลือชาว่าผีดุนักหนาน่ะซีครับ!
ผีผู้หญิง...แต่จะล้มตายมาเมื่อไหร่ ด้วยสาเหตุอันใด ก็ยังไม่มีใครรู้แน่ นอกจากจะเดาสุ่มกันไปต่างๆ นานาว่าเธอเป็นนักศึกษาอกหักบ้าง ล้มเหลวในการเรียนบ้าง มีเรื่องราวคับแค้นใจจากทางบ้านบ้าง
ในที่สุดก็ตัดสินใจมาจบชีวิตตัวเองที่สะพานแห่งนี้ในชุดขาวด้วยการกระโดดน้ำตาย แล้ววิญญาณก็สิงสู่อยู่ที่นั่นตลอดมา!
ถ้ามีนักศึกษาชายขี่จักรยานหรือมอเตอร์ไซค์ผ่านมา มักจะเห็นสาวสวยในชุดขาวร่างสูงโปร่ง ผมยาวกระจายเต็มบ่า หน้าตาสะสวยหันมายิ้มแย้มแจ่มใส ทักทายและจับไม้จับมือชายหนุ่มที่ตอนแรกนึกว่าตัวเองโชคดี แต่มาสะดุ้งเยือกเมื่อรู้สึกว่ามือของสาวเจ้าเย็นเฉียบไม่ผิดกับน้ำแข็ง...
รอยยิ้มนั้น นัยน์ตาที่จ้องมองนั้น...
สัญชาตญาณบอกแน่ว่าสาวสวยในยามวิกาลเปล่าเปลี่ยวเยือกเย็นแบบนี้ ไม่ใช่คนปกติธรรมดาทั่วๆ ไป แต่เธอคือ...ผี!! สะบัดมือโดดขึ้นรถ เผ่นอ้าวไม่คิดชีวิตด้วยความหวาดกลัวสุดขีดแทบจะสิ้นใจ!
สาวชุดขาวที่สะพานนี้ไม่ใช่ว่าเจอะเจอมาแค่คนสองคน แต่เป็นสิบๆ คนแล้วที่ต้องขนหัวลุก แทบจะจับไข้จับหนาวไปตามๆ กัน...ยกเว้นแต่ที่มากันสองคน มีทั้งเห็นและไม่เห็น แต่เธอจะยืนกอดอกหันหลังให้
พลางเงยหน้าชมดาวเดือนเพลิดเพลินโดยไม่สนใจไยดี
อ้อ! ผู้หญิงไม่เคยโดนหลอกหลอนนะครับ เห็นก็ไม่เห็น แต่ถ้าเป็นผู้ชายแล้วแทบจะไม่มีใครรอดสันดอนไปแม้แต่คนเดียว
ตอนนี้ลูกชายผมเรียนอยู่ที่นั่นปีสุดท้ายแล้ว ได้แต่กำชับให้มันกลับบ้านเร็วๆ ก็แล้วกัน เดี๋ยวเจอะเจอสาวชุดขาวเข้ามีหวังสติแตกก่อนเรียนจบเท่านั้นเอง
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 20 มกราคม 2555
19 พฤษภาคม 2558
ผีมือปืน
"กุสุดา" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณสุดเฮี้ยน
เมื่อราวสิบปีมาแล้ว ดิฉันเช่าห้องพักอยู่กับเพื่อนที่ดินแดง บ้านช่องแน่นหนา รถรากับผู้คนคึกคัก มีทั้งโรงแรม โรงนวด หลังจากคาเฟ่ซบเซาไปก็มีบาร์คาราโอเกะผุดขึ้นมาแทน
ที่นั่นมีทั้งคอนโดฯ อพาร์ตเมนต์ บ้านแบ่งห้องเช่า สารพัดละค่ะ
ตอนไปอยู่ใหม่ๆ มีคนเล่าว่าย่านนี้ผีดุมาก แต่ดิฉันเฉยๆ เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มามากแล้ว แม้แต่ในกรุงเทพฯ แท้ๆ ก็ยังลือกันว่าที่นั่นผีดุ ที่โน่นผีเฮี้ยนสุดๆ ขนาดต้นโพธิ์ต้นไทรก็ยังมีผ้าเขียวๆ แดงๆ ไปพันไว้ จุดธูปเทียนบูชากัน เชื่อว่าไปขอหวยมากกว่าค่ะ
ผ่านไปเดือนเศษ ข่าวลือว่ามีคนโดนผีหลอกก็ชักจะหนาหูขึ้นทุกที!
ใกล้ๆ ที่พักของเรามีอพาร์ตเมนต์ที่คนเช่าส่วนมากเป็นหญิงบริการ ดูแล้วน่าสงสารมากนะคะ ใครจะว่าเกียจคร้านทำมาหากิน ยอมทอดตัวบำเรอชาย แต่ดิฉันเชื่อว่าไม่มีผู้หญิงจิตใจปกติคนไหนอยากเป็นสาวบริการหรอกค่ะ ยกเว้นแต่มีความจำเป็นจริงๆ
พวกเธอส่วนมากดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หลายๆ คนก็ติดยา เชื่อว่าหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ซังกะตายอยู่ไปวันๆ มากกว่า
ผู้ชายคือตัวการสำคัญค่ะ ถ้าถือคติผัวเดียว-เมียเดียว ไม่สำส่อนทางเพศ ข่มเหงรังแกเพศหญิงที่ไม่มีทางสู้ ปัญหาน่าสลดใจนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่ๆ
ที่ดิฉันกล้าพูดเรื่องนี้ก็เพราะสาวบริการฆ่าตัวตายบ่อยๆ ทั้งกินยาตาย ผูกคอตายและกระโดดตึกตาย...การติดทั้งเหล้าและยาก็ถือว่าเป็นการฆ่าตัวตายผ่อนส่งเช่นกัน มีคนเล่าว่าเห็นผู้หญิงที่ฆ่าตัวตายมาเดินวนเวียนอยู่หน้าตึก บางคนก็ยืนเกาะราวระเบียงชะโงกหน้ามามอง เหมือนตอนที่เธอจะกระโดดลงมาจบชีวิตตัวเอง
วิญญาณน่าสงสารพวกนั้นอาจจะยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้วก็ได้ หรือไม่ก็จิตใจยังผูกพันกับที่อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต
ดิฉันประสบกับเรื่องขนหัวลุกที่ซอยใกล้ๆ ที่พักนั่นเอง!
คืนหนึ่งได้ยินเสียงปืนสนั่นหวั่นไหวราวประทัดแตกใกล้ปากซอย ดิฉันไม่กล้าไปดูหรอกค่ะ มาทราบข่าวจากเพื่อนบ้านวันรุ่งขึ้นว่า ตำรวจวิสามัญมือปืนชื่อดังตายคาซอย
สมมติว่าชื่อวินนะคะ วินเป็นมือปืนที่ถูกประกาศจับหลายแห่ง ตำรวจตามล่าก็หลบหนีไปได้หวุดหวิดทุกครั้ง กระทั่งสายสืบรู้แน่ชัดว่ามากบดานอยู่กับแฟนสาวหมอนวดที่คอนโดฯ นั่นเอง เจ้าหน้าที่ยกกำลังนับสิบนายไปดักซุ่มที่ปากทางตั้งแต่สองยามมาแล้ว
ราวตีห้า มือปืนก็เดินออกมาอย่างระวังตัว คงจะย้ายที่นอนไปตลอด แต่นึกไม่ถึงว่าตำรวจจะแกะรอยมา จนพบ...
เสียงตะโกนให้วางอาวุธ แต่วินกระชากปืนยิงใส่ตำรวจก่อนเพื่อเปิดทางหลบหนีแต่ก็ไม่พ้นกระสุนปืนตำรวจที่ระดมยิงจนวินล้มฟุบ...ตาเหลือกโพลงตายคาที่ตรงมุมตึกนั่นเอง!
รุ่งขึ้น ทีวีกับหนังสือพิมพ์ออกข่าวเกรียวกราว ตำรวจไปสอบสวนคนรักของมือปืนก็เอาแต่ร้องไห้...ไม่เคยระแคะระคายเลยว่าวินเป็นมือปืน นานๆ จะมาค้างสักครั้ง ส่วนเพื่อนบ้านเห็นศพจมกองเลือดแดงฉาน ส่งกลิ่นคาวคลุ้งก็แทบจะเป็นลมเป็นแล้งไปตามๆ กัน
เรื่องนี้ทำท่าจะซาลงไป แต่แล้ววิญญาณของวินก็ปรากฏขึ้นมา!
เฮียเซ้งขายเป็ดพะโล้เล่าว่าเดินเข้าซอยมาตอนดึก เห็นคนวิ่งออกมาจากคอนโดฯ จนใกล้เข้ามาจึงเห็นเลือดแดงฉานเต็มใบหน้าร้องลั่นๆ ว่า...ช่วยด้วยๆ ก่อนจะหาย วับไป
พี่ต่ายขายไก่ย่างกับส้มตำเดินเข้าซอยมากับลูกสาว จู่ๆ ก็เห็นคนนอนคว่ำอยู่ตรงมุมตึก เลือดไหลนองน่ากลัว ก่อนที่ร่างชายนั้นจะลุกโงนเงนขึ้นมานั่งพิงกำแพง ปากอ้า นัยน์ตาเหลือกลาน เลือดทะลักทลายออกมาตาม ใบหน้าและทรวงอกเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด
ปรากฏว่าพี่ต่ายจับไข้อยู่สามวัน ต่อมาก็ไม่กล้าเดินเข้าซอยยามค่ำคืนอีกเลย!
พวกวินมอเตอร์ไซค์ก็โดนตอนหัวค่ำ บางทีมีคนเรียกเข้าซอย แต่พอถึงจุดที่วินโดนยิงตาย ผู้โดยสารก็หายวับไปดื้อๆ เหลียวมองเดี๋ยวหนึ่งก็นึกได้ บึ่งรถหนีไม่คิดชีวิต
อีกคนขับรถเปล่าออกมา มีคนโบกมือให้ไปส่งปากซอย...พอเห็นหน้าก็จำได้ว่าเป็นมือปืนที่โดนตำรวจยิงตายเมื่อตอนต้นเดือนนี่เอง!
ดิฉันเองเคยเดินผ่านตอนกลางวันแสกๆ ว่าจะไม่มองก็เผลอจนได้...ที่มุมตึกนั่นไม่มีผีมือปืนหรอกนะคะ แต่เลือดแดงฉานเจิ่งนองราวกับเหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ส่งกลิ่นคาวจนดิฉันหน้ามืด ใจสั่นริกๆ เหมือนจะเป็นลม
วันรุ่งขึ้น รีบใส่บาตรแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ทันที
เขาว่าผีตายโหงเฮี้ยนจัดคงจะเป็นความจริงนะคะ เพราะหมอนวดแฟนของวินย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว เธอเคยเล่าว่ามองลงมาทีไรจะเห็นวินยืนเงยหน้าเลือดท่วมเป็นประจำ...ไม่รู้ว่าวิญญาณจะตามไปหาอีกหรือเปล่าค่ะ?!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 19 มกราคม 2555
เมื่อราวสิบปีมาแล้ว ดิฉันเช่าห้องพักอยู่กับเพื่อนที่ดินแดง บ้านช่องแน่นหนา รถรากับผู้คนคึกคัก มีทั้งโรงแรม โรงนวด หลังจากคาเฟ่ซบเซาไปก็มีบาร์คาราโอเกะผุดขึ้นมาแทน
ที่นั่นมีทั้งคอนโดฯ อพาร์ตเมนต์ บ้านแบ่งห้องเช่า สารพัดละค่ะ
ตอนไปอยู่ใหม่ๆ มีคนเล่าว่าย่านนี้ผีดุมาก แต่ดิฉันเฉยๆ เคยได้ยินเรื่องพวกนี้มามากแล้ว แม้แต่ในกรุงเทพฯ แท้ๆ ก็ยังลือกันว่าที่นั่นผีดุ ที่โน่นผีเฮี้ยนสุดๆ ขนาดต้นโพธิ์ต้นไทรก็ยังมีผ้าเขียวๆ แดงๆ ไปพันไว้ จุดธูปเทียนบูชากัน เชื่อว่าไปขอหวยมากกว่าค่ะ
ผ่านไปเดือนเศษ ข่าวลือว่ามีคนโดนผีหลอกก็ชักจะหนาหูขึ้นทุกที!
ใกล้ๆ ที่พักของเรามีอพาร์ตเมนต์ที่คนเช่าส่วนมากเป็นหญิงบริการ ดูแล้วน่าสงสารมากนะคะ ใครจะว่าเกียจคร้านทำมาหากิน ยอมทอดตัวบำเรอชาย แต่ดิฉันเชื่อว่าไม่มีผู้หญิงจิตใจปกติคนไหนอยากเป็นสาวบริการหรอกค่ะ ยกเว้นแต่มีความจำเป็นจริงๆ
พวกเธอส่วนมากดื่มเหล้า สูบบุหรี่ หลายๆ คนก็ติดยา เชื่อว่าหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ซังกะตายอยู่ไปวันๆ มากกว่า
ผู้ชายคือตัวการสำคัญค่ะ ถ้าถือคติผัวเดียว-เมียเดียว ไม่สำส่อนทางเพศ ข่มเหงรังแกเพศหญิงที่ไม่มีทางสู้ ปัญหาน่าสลดใจนี้คงไม่เกิดขึ้นแน่ๆ
ที่ดิฉันกล้าพูดเรื่องนี้ก็เพราะสาวบริการฆ่าตัวตายบ่อยๆ ทั้งกินยาตาย ผูกคอตายและกระโดดตึกตาย...การติดทั้งเหล้าและยาก็ถือว่าเป็นการฆ่าตัวตายผ่อนส่งเช่นกัน มีคนเล่าว่าเห็นผู้หญิงที่ฆ่าตัวตายมาเดินวนเวียนอยู่หน้าตึก บางคนก็ยืนเกาะราวระเบียงชะโงกหน้ามามอง เหมือนตอนที่เธอจะกระโดดลงมาจบชีวิตตัวเอง
วิญญาณน่าสงสารพวกนั้นอาจจะยังไม่รู้ว่าตัวเองตายไปแล้วก็ได้ หรือไม่ก็จิตใจยังผูกพันกับที่อยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิต
ดิฉันประสบกับเรื่องขนหัวลุกที่ซอยใกล้ๆ ที่พักนั่นเอง!
คืนหนึ่งได้ยินเสียงปืนสนั่นหวั่นไหวราวประทัดแตกใกล้ปากซอย ดิฉันไม่กล้าไปดูหรอกค่ะ มาทราบข่าวจากเพื่อนบ้านวันรุ่งขึ้นว่า ตำรวจวิสามัญมือปืนชื่อดังตายคาซอย
สมมติว่าชื่อวินนะคะ วินเป็นมือปืนที่ถูกประกาศจับหลายแห่ง ตำรวจตามล่าก็หลบหนีไปได้หวุดหวิดทุกครั้ง กระทั่งสายสืบรู้แน่ชัดว่ามากบดานอยู่กับแฟนสาวหมอนวดที่คอนโดฯ นั่นเอง เจ้าหน้าที่ยกกำลังนับสิบนายไปดักซุ่มที่ปากทางตั้งแต่สองยามมาแล้ว
ราวตีห้า มือปืนก็เดินออกมาอย่างระวังตัว คงจะย้ายที่นอนไปตลอด แต่นึกไม่ถึงว่าตำรวจจะแกะรอยมา จนพบ...
เสียงตะโกนให้วางอาวุธ แต่วินกระชากปืนยิงใส่ตำรวจก่อนเพื่อเปิดทางหลบหนีแต่ก็ไม่พ้นกระสุนปืนตำรวจที่ระดมยิงจนวินล้มฟุบ...ตาเหลือกโพลงตายคาที่ตรงมุมตึกนั่นเอง!
รุ่งขึ้น ทีวีกับหนังสือพิมพ์ออกข่าวเกรียวกราว ตำรวจไปสอบสวนคนรักของมือปืนก็เอาแต่ร้องไห้...ไม่เคยระแคะระคายเลยว่าวินเป็นมือปืน นานๆ จะมาค้างสักครั้ง ส่วนเพื่อนบ้านเห็นศพจมกองเลือดแดงฉาน ส่งกลิ่นคาวคลุ้งก็แทบจะเป็นลมเป็นแล้งไปตามๆ กัน
เรื่องนี้ทำท่าจะซาลงไป แต่แล้ววิญญาณของวินก็ปรากฏขึ้นมา!
เฮียเซ้งขายเป็ดพะโล้เล่าว่าเดินเข้าซอยมาตอนดึก เห็นคนวิ่งออกมาจากคอนโดฯ จนใกล้เข้ามาจึงเห็นเลือดแดงฉานเต็มใบหน้าร้องลั่นๆ ว่า...ช่วยด้วยๆ ก่อนจะหาย วับไป
พี่ต่ายขายไก่ย่างกับส้มตำเดินเข้าซอยมากับลูกสาว จู่ๆ ก็เห็นคนนอนคว่ำอยู่ตรงมุมตึก เลือดไหลนองน่ากลัว ก่อนที่ร่างชายนั้นจะลุกโงนเงนขึ้นมานั่งพิงกำแพง ปากอ้า นัยน์ตาเหลือกลาน เลือดทะลักทลายออกมาตาม ใบหน้าและทรวงอกเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด
ปรากฏว่าพี่ต่ายจับไข้อยู่สามวัน ต่อมาก็ไม่กล้าเดินเข้าซอยยามค่ำคืนอีกเลย!
พวกวินมอเตอร์ไซค์ก็โดนตอนหัวค่ำ บางทีมีคนเรียกเข้าซอย แต่พอถึงจุดที่วินโดนยิงตาย ผู้โดยสารก็หายวับไปดื้อๆ เหลียวมองเดี๋ยวหนึ่งก็นึกได้ บึ่งรถหนีไม่คิดชีวิต
อีกคนขับรถเปล่าออกมา มีคนโบกมือให้ไปส่งปากซอย...พอเห็นหน้าก็จำได้ว่าเป็นมือปืนที่โดนตำรวจยิงตายเมื่อตอนต้นเดือนนี่เอง!
ดิฉันเองเคยเดินผ่านตอนกลางวันแสกๆ ว่าจะไม่มองก็เผลอจนได้...ที่มุมตึกนั่นไม่มีผีมือปืนหรอกนะคะ แต่เลือดแดงฉานเจิ่งนองราวกับเหตุการณ์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ส่งกลิ่นคาวจนดิฉันหน้ามืด ใจสั่นริกๆ เหมือนจะเป็นลม
วันรุ่งขึ้น รีบใส่บาตรแล้วอุทิศส่วนกุศลไปให้ทันที
เขาว่าผีตายโหงเฮี้ยนจัดคงจะเป็นความจริงนะคะ เพราะหมอนวดแฟนของวินย้ายไปอยู่ที่อื่นแล้ว เธอเคยเล่าว่ามองลงมาทีไรจะเห็นวินยืนเงยหน้าเลือดท่วมเป็นประจำ...ไม่รู้ว่าวิญญาณจะตามไปหาอีกหรือเปล่าค่ะ?!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 19 มกราคม 2555
18 พฤษภาคม 2558
คัมภีร์โครงกระดูก
"คนบ้านขาม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกของคนผิดคำสาบาน
คนที่ชอบโกหกจนติดปาก พูดจาพล่อยๆ ไม่รักษาคำพูดของตัวเอง หรือชอบ "ทวนสาบาน" มักจะประสบหายนะหรือเหตุร้ายน่าสยดสยองเสมอ เรื่องนี้เป็นความจริงครับ
สมัยนั้นผมอยู่ที่บ้านขาม อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ มีวัดสระบัวงาม เจ้าอาวาสคือพระครูโสภณ เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านทั้งอำเภอ หรือทั้งจังหวัด "เมืองช้าง" ก็ว่าได้
ท่านเป็นพระกรรมฐานและเชี่ยวชาญทางคาถาอาคม เก่งกาจในทางไสยเวท อีกทั้งช่วยรักษาโรคให้ชาวบ้านทั้งหลาย ช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ด้วยจิตเมตตาและเปี่ยมกุศลของท่าน จนชื่อเสียงเลื่องลือไปไกลถึงจังหวัดใกล้เคียง
ว่ากันว่าหลวงพ่อท่านได้คัมภีร์มาจากถ้ำแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดน่าน เมื่อครั้งที่ท่านออกธุดงค์ตามป่าเขาลำเนาไพรในสมัยหนุ่ม...
เป็นคัมภีร์จากโครงกระดูกครับ!!
คืนหนึ่งขณะที่หลวงพ่อนั่งปฏิบัติกรรมฐานอยู่ในถ้ำ อำนาจพลังจิตทำให้ท่านมองเห็นโครงกระดูกมนุษย์ จึงได้แผ่เมตตาให้วิญญาณที่ล่องลอยสิงสู่อยู่ตามวิบากกรรม จงไปผุดไปเกิดในภพใหม่เสียเถิด
จู่ๆ ก็เกิดเสียงลมอื้ออึงอยู่ภายนอก ราวกับเกิดมหา วาตะรุนแรงเหลือประมาณ...แล้วเสียงเยือกเย็นก็ดังโหยหวนมากับเสียงลม ท่ามกลางความมืดมิดน่าพรั่นพรึงในยามราตรี
เสียงจากผู้ไม่มีร่างกายบอกกล่าวว่า ขอให้หลวงพ่อนำเอาคัมภีร์ที่ฝังอยู่ทางขวามือของซากโครงกระดูกนั้นไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นทุกข์ด้วย...หลวงพ่อก็รับคำ เสียงโหยหวนนั้นจึงจางหายไป
พระครูโสภณเคยเล่าให้ญาติโยมฟังว่า ในที่สุดท่านก็ขุดพบคัมภีร์นั้นสมจริงตามที่วิญญาณบอกไว้ ต่อมาท่านก็ได้ศึกษาจนแตกฉาน นำไปปฏิบัติได้ผลมาจนบัดนี้!
ลือกันว่าคำจารึกในคัมภีร์นั้นมีทั้งทางดีและทางร้าย เนื่องจากมีคาถาอาคมและไสยเวทต่างๆ เช่น การรักษาโรคร้าย การทำยาสั่งและเสน่ห์ยาแฝด เป็นต้น แต่หลวงพ่อท่านเลือกนำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไปมาใช้เท่านั้น
เช่น ใครเจ็บป่วยมาท่านก็รักษา ใครโดนยาสั่งหรือโดนเสน่ห์ฝังรูปฝังรอยมาท่านก็ช่วยแก้ไขให้...แม้แต่คนติดเหล้าที่มีอยู่ไม่น้อย ต้องการจะเลิกดื่มสุราก็มาหาท่านเช่นกัน
ผมเคยตามพ่อไปที่วัดวันหนึ่ง ได้เห็นตาเตยขี้เมาถูกเมียลากมาขอให้หลวงพ่อช่วยจัดการ "บวชเหล้า" ให้แกสัก 2 ปีเถิด จะได้เลิกเมามายมาทำมาหากินเหมือนคนอื่นเสียที
คำว่า "บวชเหล้า" หมายถึงผู้ที่ติดสุราต้องสาบานว่าตนจะหยุดดื่มเหล้า 1 ปี หรือ 2-3 ปีก็แล้วแต่จะตั้งจิตไว้
ถ้าอดเหล้าไปได้ระยะหนึ่งเห็นว่าตนทนไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องไปลาบวช หรือไปถอนคำสาบานกับหลวงพ่อเอง...แต่ถ้าใครไม่มาลาบวชแล้วทวนสาบานกลับไปดื่มเหล้าอีก ก็จะต้องมีอันเป็นไปตามคำสาบาน!
หลวงพ่อให้ตาเตยเขียนชื่อและวัน เดือน ปีเกิดไว้ให้ท่าน แล้วถามว่าจะบวชเหล้ากี่ปี? ตาเตยผอมดำ ผมขาวโพลน นุ่งโสร่งเก่าๆ ตัวเดียว มีผ้าขาวม้าห่มแบบสไบเฉียงก็หลุดปากว่า...ผมจะหยุดกินเหล้าไปจนตายเลยครับ
ลูกเมียรีบร้องห้ามว่าขอแค่ปีเดียวก็พอ ต่อจากนั้นค่อยมาว่ากันใหม่ แต่ตาเตยยืนกรานว่าจะขออดเหล้าจนวันตายจริงๆ จนเกิดโต้เถียงกับลูกเมียอื้ออึง
ในที่สุดก็สาบานว่าจะอดเหล้า 2 ปี!
พ่อพาผมกลับบ้านเสียก่อน เลยไม่ได้ยินว่าตาเตยแกสาบานไว้ว่ายังไง?
ต่อจากนั้นชาวบ้านก็คอยดูว่าตาเตยจะอดเหล้าไปได้กี่วัน ไม่ช้าคงจะวิ่งแจ้นไปหาหลวงพ่อ ขอถอนคำสาบานกับท่านเพราะทนอดเหล้าต่อไปไม่ไหว
ต่างผิดคาดไปตามๆ กันเมื่อเวลาผ่านไปเป็นเดือนๆ ก็ไม่เห็นตาเตยแตะต้องสุราเหมือนเช่นเคย หน้าตาค่อยผ่องใสขึ้น ร่างกายแข็งแรง กลายเป็นขยันทำมาหากินจนชาวบ้านแปลกใจไปตามๆ กัน
เวลาผ่านไปราว 5-6 เดือน จู่ๆ ก็เกิดเหตุขนหัวลุกขึ้นมา!
พลบค่ำ วัวควายกำลังจะเข้าคอก เสียงร้องโหยหวนก็ดังมาจากทุ่งหลังบ้าน พวกเราตกใจวิ่งออกไปก็ได้ยินถนัดหู...โว้ย! ผีหลอก...ช่วยด้วย!!
ตาเตยนั่นเอง...แกวิ่งมาล้มฟุบข้างๆ บ้าน นัยน์ตาเหลือกลาน ชี้ไม้ชี้มือไปที่ทุ่งเปลี่ยวด้านหลัง ร้องว่า...หัวกะโหลกตาโบ๋! โครงกระดูกทั้งนั้นเลย...มันจะฆ่ากู!
ขาดคำก็สำลักเลือดพรวดแดงฉาน ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ลูกเมียแกร้องไห้โฮ...ตาเตยขาดใจตายตรงนั้นเอง! บางคนบอกว่าแกเป็นวัณโรคตาย แต่คนส่วนมากไม่เชื่อหรอกครับ เพราะได้กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งจากศพตาเตยกันทุกคน!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 18 มกราคม 2555
คนที่ชอบโกหกจนติดปาก พูดจาพล่อยๆ ไม่รักษาคำพูดของตัวเอง หรือชอบ "ทวนสาบาน" มักจะประสบหายนะหรือเหตุร้ายน่าสยดสยองเสมอ เรื่องนี้เป็นความจริงครับ
สมัยนั้นผมอยู่ที่บ้านขาม อ.ชุมพลบุรี จ.สุรินทร์ มีวัดสระบัวงาม เจ้าอาวาสคือพระครูโสภณ เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านทั้งอำเภอ หรือทั้งจังหวัด "เมืองช้าง" ก็ว่าได้
ท่านเป็นพระกรรมฐานและเชี่ยวชาญทางคาถาอาคม เก่งกาจในทางไสยเวท อีกทั้งช่วยรักษาโรคให้ชาวบ้านทั้งหลาย ช่วยเหลือให้พ้นทุกข์ด้วยจิตเมตตาและเปี่ยมกุศลของท่าน จนชื่อเสียงเลื่องลือไปไกลถึงจังหวัดใกล้เคียง
ว่ากันว่าหลวงพ่อท่านได้คัมภีร์มาจากถ้ำแห่งหนึ่งในเขตจังหวัดน่าน เมื่อครั้งที่ท่านออกธุดงค์ตามป่าเขาลำเนาไพรในสมัยหนุ่ม...
เป็นคัมภีร์จากโครงกระดูกครับ!!
คืนหนึ่งขณะที่หลวงพ่อนั่งปฏิบัติกรรมฐานอยู่ในถ้ำ อำนาจพลังจิตทำให้ท่านมองเห็นโครงกระดูกมนุษย์ จึงได้แผ่เมตตาให้วิญญาณที่ล่องลอยสิงสู่อยู่ตามวิบากกรรม จงไปผุดไปเกิดในภพใหม่เสียเถิด
จู่ๆ ก็เกิดเสียงลมอื้ออึงอยู่ภายนอก ราวกับเกิดมหา วาตะรุนแรงเหลือประมาณ...แล้วเสียงเยือกเย็นก็ดังโหยหวนมากับเสียงลม ท่ามกลางความมืดมิดน่าพรั่นพรึงในยามราตรี
เสียงจากผู้ไม่มีร่างกายบอกกล่าวว่า ขอให้หลวงพ่อนำเอาคัมภีร์ที่ฝังอยู่ทางขวามือของซากโครงกระดูกนั้นไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ให้พ้นทุกข์ด้วย...หลวงพ่อก็รับคำ เสียงโหยหวนนั้นจึงจางหายไป
พระครูโสภณเคยเล่าให้ญาติโยมฟังว่า ในที่สุดท่านก็ขุดพบคัมภีร์นั้นสมจริงตามที่วิญญาณบอกไว้ ต่อมาท่านก็ได้ศึกษาจนแตกฉาน นำไปปฏิบัติได้ผลมาจนบัดนี้!
ลือกันว่าคำจารึกในคัมภีร์นั้นมีทั้งทางดีและทางร้าย เนื่องจากมีคาถาอาคมและไสยเวทต่างๆ เช่น การรักษาโรคร้าย การทำยาสั่งและเสน่ห์ยาแฝด เป็นต้น แต่หลวงพ่อท่านเลือกนำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนทั่วไปมาใช้เท่านั้น
เช่น ใครเจ็บป่วยมาท่านก็รักษา ใครโดนยาสั่งหรือโดนเสน่ห์ฝังรูปฝังรอยมาท่านก็ช่วยแก้ไขให้...แม้แต่คนติดเหล้าที่มีอยู่ไม่น้อย ต้องการจะเลิกดื่มสุราก็มาหาท่านเช่นกัน
ผมเคยตามพ่อไปที่วัดวันหนึ่ง ได้เห็นตาเตยขี้เมาถูกเมียลากมาขอให้หลวงพ่อช่วยจัดการ "บวชเหล้า" ให้แกสัก 2 ปีเถิด จะได้เลิกเมามายมาทำมาหากินเหมือนคนอื่นเสียที
คำว่า "บวชเหล้า" หมายถึงผู้ที่ติดสุราต้องสาบานว่าตนจะหยุดดื่มเหล้า 1 ปี หรือ 2-3 ปีก็แล้วแต่จะตั้งจิตไว้
ถ้าอดเหล้าไปได้ระยะหนึ่งเห็นว่าตนทนไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องไปลาบวช หรือไปถอนคำสาบานกับหลวงพ่อเอง...แต่ถ้าใครไม่มาลาบวชแล้วทวนสาบานกลับไปดื่มเหล้าอีก ก็จะต้องมีอันเป็นไปตามคำสาบาน!
หลวงพ่อให้ตาเตยเขียนชื่อและวัน เดือน ปีเกิดไว้ให้ท่าน แล้วถามว่าจะบวชเหล้ากี่ปี? ตาเตยผอมดำ ผมขาวโพลน นุ่งโสร่งเก่าๆ ตัวเดียว มีผ้าขาวม้าห่มแบบสไบเฉียงก็หลุดปากว่า...ผมจะหยุดกินเหล้าไปจนตายเลยครับ
ลูกเมียรีบร้องห้ามว่าขอแค่ปีเดียวก็พอ ต่อจากนั้นค่อยมาว่ากันใหม่ แต่ตาเตยยืนกรานว่าจะขออดเหล้าจนวันตายจริงๆ จนเกิดโต้เถียงกับลูกเมียอื้ออึง
ในที่สุดก็สาบานว่าจะอดเหล้า 2 ปี!
พ่อพาผมกลับบ้านเสียก่อน เลยไม่ได้ยินว่าตาเตยแกสาบานไว้ว่ายังไง?
ต่อจากนั้นชาวบ้านก็คอยดูว่าตาเตยจะอดเหล้าไปได้กี่วัน ไม่ช้าคงจะวิ่งแจ้นไปหาหลวงพ่อ ขอถอนคำสาบานกับท่านเพราะทนอดเหล้าต่อไปไม่ไหว
ต่างผิดคาดไปตามๆ กันเมื่อเวลาผ่านไปเป็นเดือนๆ ก็ไม่เห็นตาเตยแตะต้องสุราเหมือนเช่นเคย หน้าตาค่อยผ่องใสขึ้น ร่างกายแข็งแรง กลายเป็นขยันทำมาหากินจนชาวบ้านแปลกใจไปตามๆ กัน
เวลาผ่านไปราว 5-6 เดือน จู่ๆ ก็เกิดเหตุขนหัวลุกขึ้นมา!
พลบค่ำ วัวควายกำลังจะเข้าคอก เสียงร้องโหยหวนก็ดังมาจากทุ่งหลังบ้าน พวกเราตกใจวิ่งออกไปก็ได้ยินถนัดหู...โว้ย! ผีหลอก...ช่วยด้วย!!
ตาเตยนั่นเอง...แกวิ่งมาล้มฟุบข้างๆ บ้าน นัยน์ตาเหลือกลาน ชี้ไม้ชี้มือไปที่ทุ่งเปลี่ยวด้านหลัง ร้องว่า...หัวกะโหลกตาโบ๋! โครงกระดูกทั้งนั้นเลย...มันจะฆ่ากู!
ขาดคำก็สำลักเลือดพรวดแดงฉาน ส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้ง ลูกเมียแกร้องไห้โฮ...ตาเตยขาดใจตายตรงนั้นเอง! บางคนบอกว่าแกเป็นวัณโรคตาย แต่คนส่วนมากไม่เชื่อหรอกครับ เพราะได้กลิ่นเหล้าเหม็นหึ่งจากศพตาเตยกันทุกคน!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 18 มกราคม 2555
17 พฤษภาคม 2558
บุญข้าวประดับดิน
"กระแต" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบุญเดือนเก้า
หนูเป็นเด็กกาฬสินธุ์ที่เขาชอบเรียกกันว่า "เมืองน้ำดำ" นั่นแหละค่ะ ความจริงน่าจะเรียกว่าเมืองดินดำน้ำชุ่มมากกว่า เพราะความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินและลำน้ำปาวในบ้านหนูน่ะคิดว่าเป็นที่หนึ่งในภาคอีสานเลยละ
คำขวัญประจำจังหวัดหนูดูเหมือนจะบอกเล่าเก้าสิบเอาไว้ครบถ้วนเชียวค่ะ
"เมืองฟ้าแดดสงยาง โปงลางเลิศล้ำ วัฒนธรรมผู้ไทย ผ้าไหมแพรวา ผาเสวยภูพาน มหาธารลำปาว ไดโนเสาร์โลกล้านปี"
อยากจะเล่ารายละเอียดของจุดเด่นๆ ที่กลายเป็นคำขวัญประจำจังหวัด ก็กลัวว่าท่านผู้อ่านจะเสียเวลาหรือเบื่อหน่ายเปล่าๆ เพราะจังหวัดใครก็ต้องบอกว่าของตัวเองดีอย่างนั้นวิเศษอย่างนี้ จริงไหมคะ?
วันนี้หนูมีเรื่อง "จารีตอีสาน" ที่มากมายกว่าภาคอื่นๆ โดยเฉพาะเดือนที่ทั้งสนุก และน่ากลัวของเด็กๆ ทุกคนแหละค่ะ
แหม! เรื่องน่ากลัวจะไปมีอะไรยิ่งกว่าเรื่องผีๆ สางๆ ที่ทำให้ขนหัวลุกล่ะคะ?
เดือนที่ว่าคือบุญเดือนเกา เรียกว่า "บุญข้าวประดับดิน" ค่ะ!
พวกเราชาวอีสานทุกจังหวัดมีจารีตนี้เหมือนๆ กัน นิยมจัดขึ้นในวันคืนฟ้ามืดคือแรม 14 ค่ำ โดยเริ่มต้นตอนเช้าที่วัด ทำบุญเลี้ยงพระ รับศีลรับพรแล้วก็นำข้าวปลาอาหารรวมทั้งหมากพลู บุหรี่และสุราไปฝังดินเพื่อเป็นการระลึกถึงบุญคุณของแม่พระธรณี ที่ช่วยให้การเพาะปลูกดำเนินไปอย่างราบรื่นตลอดไป
นอกจากผีตาแฮก ผีปู่ตา ฯลฯ กับเทวาอารักษ์อีกมากมายที่เราเชื่อถือและเคารพกราบไหว้มาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษแล้ว ว่าจะช่วยปกป้องดูแลไร่นาให้เราเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย..คุ้มกับหยาดเหงื่อของพวกเราที่ต้องหันหลังสู้ฟ้า-ก้มหน้าสู้ดินมาตลอดปี
พูดถึงผีก็นึกถึงผีปู่ย่าตายายที่เราชวนกันทำบุญ "ข้าวประดับดิน" ให้ในเดือนนี้ไงล่ะคะ..ปลายฝนใกล้จะต้นหนาวพอดี
สาเหตุมาจากความเชื่อเก่าแก่ว่า คืนนี้ยมบาลจะปล่อยให้วิญญาณทั้งหลายจากยมโลกขึ้นมารับข้าวปลาอาหาร หมากพลู บุหรี่ และสุราจนอิ่มหนำสำราญปีละครั้งเดียวเท่านั้น!
ส่วนมากจะจัดอาหารใส่กระทงวางบนพื้นดินพื้นหญ้า บ้านใครบ้านมัน แล้วจุดธูปบอกกล่าววิญญาณญาติมิตร รวมทั้งสัมภเวสีผู้หิวโหยทั้งหลายแหล่ ได้มาเสพสุรากินอาหารให้อิ่มหนำสำราญใจ
บรรยากาศช่วงนั้นก็ช่างแสนเยือกเย็นวังเวงใจ เหมาะเจาะกับวัน "ข้าวประดับดิน" จริงๆ เลยค่ะ พวกเด็กๆ เราเกาะมือพ่อแม่แจกันทุกคน
เสียงหมาหอนโหยหวนชวนให้เสียวสันหลัง ต้นไม้น้อยใหญ่ก็สะบัดกิ่งใบเสียงซู่ซ่าเกรียวกราว เหมือนเสียงใครกลุ่มใหญ่กำลังหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข
พวกพี่ๆ ที่เป็นวัยรุ่นแถวบ้านหนูบอกว่าวางของกินบนพื้นดินพื้นหญ้าไม่เหมาะซะเลย ต้องเอาแขวนไว้ตามกิ่งไม้ถึงจะเท่ ขนาดบอกว่าต้อง "อัพเกรด" วิญญาณของบรรพบุรุษเราขึ้นมาตามยุคตามสมัย
ตกลงต้องหาเชือกไปคล้องอาหารไว้ตามกิ่งไม้น้อยใหญ่ ต่ำบ้างสูงบ้าง บางคนก็ตาดีหาที่ซุกกระทงไว้ตามคาคบไม้ หรือตามโคนกิ่งบ้าง ระหว่างก้านที่รองรับกระทงได้พอดีบ้าง..ทำไปหัวเราะไป สนุกสนานกันเต็มที่ พวกผู้ใหญ่มองดูยิ้มๆ บางคนก็หัวเราะ.. สงสัยว่าสมัยหนุ่มๆ สาวๆ ท่านคงจะเคยทำแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว..เมฆหนาทึบลอยต่ำลงมา แสงแดดถูกบดบังจนอากาศยิ่งเย็นเยือกขึ้นกว่าเดิม ลมพัดมาอู้ๆ แล้วเริ่มแรงขึ้นๆ ทุกที เล่นเอาพวกเราเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง ก่อนจะมองสบตากัน..
น่าแปลกที่กระทงอาหารและของอื่นๆ ไม่ได้ปลิวไปตามสายลมรุนแรงเลยค่ะ ราวกับมีอะไรบางอย่างมายึดเอาไว้แน่นหนา
ท่ามกลางลมแรงในฟ้าครึ้มราวกับพลบค่ำ หนูเห็นเงาดำๆ ก้อนใหญ่ที่คิดว่าเป็นก้อนเมฆลอยต่ำ..แต่มันต่ำเกินไปจนดูเหมือนคนกลุ่มหนึ่งพุ่งฮือเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง บางคนถึงกับวี้ดว้าย วิ่งหลบเข้าใต้ถุน บางคนขวัญอ่อนก็ถึงกับโจนบันไดขึ้นเรือนไปเลย
ชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่ดูยาวนานคล้ายจะไม่มีวันสิ้นสุด..ท้องฟ้าก็เปิดกว้างขึ้นตามเดิม เมฆหนาทึบกระจัด กระจายไป ทุกสิ่งกลับมาเป็นปกติ..หนูกับเพื่อนๆ วิ่งไปดูกระทงข้าวปลาแต่อาหารไม่มีเหลือเลย หมากพลู บุหรี่ และสุราก็หมดเกลี้ยงเช่นกัน
จะว่าลมพัดกระจายไปแล้วก็ไม่เห็นมี..ไปดูตามกิ่งไม้ที่ห้อยไว้ก็เหลือแต่กระทงเปล่าๆ พวกเรามองสบตากัน พูดอะไรไม่ออกซักคำ..แต่ขนลุกขนชันทุกคนเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 17 มกราคม 2555
หนูเป็นเด็กกาฬสินธุ์ที่เขาชอบเรียกกันว่า "เมืองน้ำดำ" นั่นแหละค่ะ ความจริงน่าจะเรียกว่าเมืองดินดำน้ำชุ่มมากกว่า เพราะความอุดมสมบูรณ์ของแผ่นดินและลำน้ำปาวในบ้านหนูน่ะคิดว่าเป็นที่หนึ่งในภาคอีสานเลยละ
คำขวัญประจำจังหวัดหนูดูเหมือนจะบอกเล่าเก้าสิบเอาไว้ครบถ้วนเชียวค่ะ
"เมืองฟ้าแดดสงยาง โปงลางเลิศล้ำ วัฒนธรรมผู้ไทย ผ้าไหมแพรวา ผาเสวยภูพาน มหาธารลำปาว ไดโนเสาร์โลกล้านปี"
อยากจะเล่ารายละเอียดของจุดเด่นๆ ที่กลายเป็นคำขวัญประจำจังหวัด ก็กลัวว่าท่านผู้อ่านจะเสียเวลาหรือเบื่อหน่ายเปล่าๆ เพราะจังหวัดใครก็ต้องบอกว่าของตัวเองดีอย่างนั้นวิเศษอย่างนี้ จริงไหมคะ?
วันนี้หนูมีเรื่อง "จารีตอีสาน" ที่มากมายกว่าภาคอื่นๆ โดยเฉพาะเดือนที่ทั้งสนุก และน่ากลัวของเด็กๆ ทุกคนแหละค่ะ
แหม! เรื่องน่ากลัวจะไปมีอะไรยิ่งกว่าเรื่องผีๆ สางๆ ที่ทำให้ขนหัวลุกล่ะคะ?
เดือนที่ว่าคือบุญเดือนเกา เรียกว่า "บุญข้าวประดับดิน" ค่ะ!
พวกเราชาวอีสานทุกจังหวัดมีจารีตนี้เหมือนๆ กัน นิยมจัดขึ้นในวันคืนฟ้ามืดคือแรม 14 ค่ำ โดยเริ่มต้นตอนเช้าที่วัด ทำบุญเลี้ยงพระ รับศีลรับพรแล้วก็นำข้าวปลาอาหารรวมทั้งหมากพลู บุหรี่และสุราไปฝังดินเพื่อเป็นการระลึกถึงบุญคุณของแม่พระธรณี ที่ช่วยให้การเพาะปลูกดำเนินไปอย่างราบรื่นตลอดไป
นอกจากผีตาแฮก ผีปู่ตา ฯลฯ กับเทวาอารักษ์อีกมากมายที่เราเชื่อถือและเคารพกราบไหว้มาตั้งแต่ครั้งบรรพบุรุษแล้ว ว่าจะช่วยปกป้องดูแลไร่นาให้เราเก็บเกี่ยวพืชพันธุ์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย..คุ้มกับหยาดเหงื่อของพวกเราที่ต้องหันหลังสู้ฟ้า-ก้มหน้าสู้ดินมาตลอดปี
พูดถึงผีก็นึกถึงผีปู่ย่าตายายที่เราชวนกันทำบุญ "ข้าวประดับดิน" ให้ในเดือนนี้ไงล่ะคะ..ปลายฝนใกล้จะต้นหนาวพอดี
สาเหตุมาจากความเชื่อเก่าแก่ว่า คืนนี้ยมบาลจะปล่อยให้วิญญาณทั้งหลายจากยมโลกขึ้นมารับข้าวปลาอาหาร หมากพลู บุหรี่ และสุราจนอิ่มหนำสำราญปีละครั้งเดียวเท่านั้น!
ส่วนมากจะจัดอาหารใส่กระทงวางบนพื้นดินพื้นหญ้า บ้านใครบ้านมัน แล้วจุดธูปบอกกล่าววิญญาณญาติมิตร รวมทั้งสัมภเวสีผู้หิวโหยทั้งหลายแหล่ ได้มาเสพสุรากินอาหารให้อิ่มหนำสำราญใจ
บรรยากาศช่วงนั้นก็ช่างแสนเยือกเย็นวังเวงใจ เหมาะเจาะกับวัน "ข้าวประดับดิน" จริงๆ เลยค่ะ พวกเด็กๆ เราเกาะมือพ่อแม่แจกันทุกคน
เสียงหมาหอนโหยหวนชวนให้เสียวสันหลัง ต้นไม้น้อยใหญ่ก็สะบัดกิ่งใบเสียงซู่ซ่าเกรียวกราว เหมือนเสียงใครกลุ่มใหญ่กำลังหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างมีความสุข
พวกพี่ๆ ที่เป็นวัยรุ่นแถวบ้านหนูบอกว่าวางของกินบนพื้นดินพื้นหญ้าไม่เหมาะซะเลย ต้องเอาแขวนไว้ตามกิ่งไม้ถึงจะเท่ ขนาดบอกว่าต้อง "อัพเกรด" วิญญาณของบรรพบุรุษเราขึ้นมาตามยุคตามสมัย
ตกลงต้องหาเชือกไปคล้องอาหารไว้ตามกิ่งไม้น้อยใหญ่ ต่ำบ้างสูงบ้าง บางคนก็ตาดีหาที่ซุกกระทงไว้ตามคาคบไม้ หรือตามโคนกิ่งบ้าง ระหว่างก้านที่รองรับกระทงได้พอดีบ้าง..ทำไปหัวเราะไป สนุกสนานกันเต็มที่ พวกผู้ใหญ่มองดูยิ้มๆ บางคนก็หัวเราะ.. สงสัยว่าสมัยหนุ่มๆ สาวๆ ท่านคงจะเคยทำแบบนี้มาก่อนเหมือนกัน
โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว..เมฆหนาทึบลอยต่ำลงมา แสงแดดถูกบดบังจนอากาศยิ่งเย็นเยือกขึ้นกว่าเดิม ลมพัดมาอู้ๆ แล้วเริ่มแรงขึ้นๆ ทุกที เล่นเอาพวกเราเหลียวซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวง ก่อนจะมองสบตากัน..
น่าแปลกที่กระทงอาหารและของอื่นๆ ไม่ได้ปลิวไปตามสายลมรุนแรงเลยค่ะ ราวกับมีอะไรบางอย่างมายึดเอาไว้แน่นหนา
ท่ามกลางลมแรงในฟ้าครึ้มราวกับพลบค่ำ หนูเห็นเงาดำๆ ก้อนใหญ่ที่คิดว่าเป็นก้อนเมฆลอยต่ำ..แต่มันต่ำเกินไปจนดูเหมือนคนกลุ่มหนึ่งพุ่งฮือเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง บางคนถึงกับวี้ดว้าย วิ่งหลบเข้าใต้ถุน บางคนขวัญอ่อนก็ถึงกับโจนบันไดขึ้นเรือนไปเลย
ชั่วระยะเวลาสั้นๆ แต่ดูยาวนานคล้ายจะไม่มีวันสิ้นสุด..ท้องฟ้าก็เปิดกว้างขึ้นตามเดิม เมฆหนาทึบกระจัด กระจายไป ทุกสิ่งกลับมาเป็นปกติ..หนูกับเพื่อนๆ วิ่งไปดูกระทงข้าวปลาแต่อาหารไม่มีเหลือเลย หมากพลู บุหรี่ และสุราก็หมดเกลี้ยงเช่นกัน
จะว่าลมพัดกระจายไปแล้วก็ไม่เห็นมี..ไปดูตามกิ่งไม้ที่ห้อยไว้ก็เหลือแต่กระทงเปล่าๆ พวกเรามองสบตากัน พูดอะไรไม่ออกซักคำ..แต่ขนลุกขนชันทุกคนเลยค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 17 มกราคม 2555
16 พฤษภาคม 2558
คืนเดียวก็เกินพอ
พระพิพัฒน์ วรญาโน เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากป่าช้าเก่า
เมื่อวันที่ 13-23 ตุลาคม พ.ศ. 2550 โรงเรียนเทคนิคจังหวัดพิจิตรได้จัดพิธีอุปสมบทหมู่ 108 รูป เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา โดยอุปสมบท 9 วัด วัดละ 12 รูป
ภิกษุใหม่ทุกรูปได้ไปปฏิบัติธรรม ณ วัดโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร
9 วันที่ปฏิบัติธรรม ทางวัดได้อบรมนวกภิกษุอย่างเข้มงวดยิ่ง
วันที่ 15 ตุลาคม พระต้นอยากทำสมาธิ จึงได้ไปกางกลดนอนบริเวณป่าช้าเก่าแต่ปรับเป็นสถานที่ร่มรื่น เหมาะสำหรับการปฏิบัติได้เป็นอย่างดี พระต้นเองก็ทราบดีว่าที่นั่นเป็นป่าช้าเก่าแต่ไม่ได้คิดอะไรมาก และมีพระบวชใหม่ด้วยกันไปปักกลดนอนที่นั่นอีก 2 รูป
คืนแรกราว 2 ทุ่ม พระต้นก็เข้ากลดสวดมนต์ ทำสมาธิจนผ่านไปชั่วโมงเศษ...
ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางความเงียบสงัด พลันมีเสียงมโหรีดังแว่วมาตามลมจากวิหารเก่า ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณนั้น...เมื่อเสียงโหยหวนเยือกเย็นจางหายไปในความเงียบเชียบ จู่ๆ ก็มีเสียงต้นไม้ใหญ่ข้างกลดดังซู่ซ่า ราวกับมีใครอุตริปีนป่ายขึ้นไปจับเขย่าอย่างรุนแรง
ต้นตะเคียน 2 ต้น!!
พระต้นกำหนดจิตให้รับรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังปรากฏขึ้นมา...
ท่ามกลางแสงดาวกระจ่างฟ้า สายลมคร่ำครวญคละเคล้ากับเสียงแมลงกรีดปีกเป็นเพื่อนรัตติกาล สตรีนางหนึ่งแต่งชุดขาวโดดเด่นเห็นได้เลือนราง ก่อนจะชัดเจนขึ้นว่าเป็นสตรีวัยกลางคนเดินออกมาจากต้นตะเคียนนั้น เบื้องหลังของนางคือชายชราผิวดำ ผมขาวโพลนนุ่งโจงกระเบนสีแดง ไม่สวมเสื้อ เดินตามมาช้าๆ
หญิงนั้นเดินมาหาพระต้น ปากเผยอนิดๆ ขณะเสียงถามเยือกเย็นดังวู่หวิวขึ้นมา
"ท่านมานอนขวางทางเดินของเราทำไม?"
พระต้นทราบแน่ว่าเป็นดวงวิญญาณที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด จึงกำหนดจิตให้เข้มแข็ง เอ่ยตอบเรียบๆ ว่า อาตมาไม่ทราบว่าเป็นที่นอนของโยม อาตมาขอโทษด้วย พรุ่งนี้จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
สตรีในชุดขาวกับชายชรามองสบตากัน พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนหันกลับแล้วออกเดินเชื่องช้า ท่ามกลางเสียงสุนัขจากวัดโพธิ์ประทับช้างโก่งคอหอนโหยหวน...และแล้วร่างทั้งสองก็พลันเลือนหายไปแถวต้นตะเคียนนั่นเอง!
พระบวชใหม่สำรวมจิตจะออกจากสมาธิ แต่ต้องเกิดอาการสะดุ้งใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วเข้ามา...เป็นเสียงหัวเราะของเด็กอายุราว 4-5 ขวบเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่ามาจากแห่งหนใดกันแน่?
ฉับพลันนั้น เด็กชายไว้จุกก็ปรากฏร่างมายืนจับกลด ชะโงกหน้าเข้ามาหาแล้วร้องว่า...พระนี่หว่า!
ขาดเสียงก็หัวเราะร่า ออกวิ่งเล่นรอบกลดด้วยอาการคึกคะนองตามประสาเด็ก แถมยังกระตุกกลดทั้งหน้าและหลังเล่นด้วยความซุกซน ท่ามกลางสายลมที่หวีดหวิวมาจากต้นตะเคียนทั้งสองต้นนั้นด้วย
พระต้นรู้สึกว่าจิตของตนบังเกิดอาการระส่ำระสายแล้ว...
ผีเด็กก็ยังวิ่งวนเวียนไปมาไม่หยุดหย่อน ทั้งวิ่งทั้งกระตุกกลดเล่น เสียงฝีเท้าคึ่กๆ กับเสียงหัวเราะแหลมเล็กบาดลึกลงไปถึงหัวใจของคนที่ได้ยินอย่างช่วยไม่ได้เลย!
พระบวชใหม่จิตใจยังไม่เข้มแข็งพอที่จะต้อนรับเหตุการณ์เขย่าขวัญ ถึงกับเหงื่อแตกซิกแต็มหน้าผาก หัวใจเต้นอึกทึกครึกโครมปานจะกระทบโพรงอก ปากคอ แห้งผากไปหมด
เสียงวิ่งกับเสียงหัวเราะแสนจะสะท้านสะเทือนใจนัก พระต้นพยายามสวดมนต์ตามแต่จะนึกออก ขอโทษขอโพยอยู่ในใจว่าไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลย พรุ่งนี้จะทำบุญกรวดน้ำไปให้...แต่ผีเด็กยังไม่ยอมไปไหน คงวิ่งรอบกลดและส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเต็มประดา...
กาลเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกิน...
เหงื่อจากหน้าผากพระต้นไหลย้อยมาท่วมคิ้ว เปลือกตาและสันแก้ม ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาว จิตใจสะทกสะท้านหวั่นไหวไม่หยุดหย่อน
เวลาผ่านไปราวชั่วโมงเศษ เสียงวิ่งและเสียงหัวเราะจึงค่อยๆ เบาบางลง จนเงียบหายไปในที่สุด...แต่คืนนั้นทั้งคืนพระต้นก็นอนไม่หลับเลย
วันรุ่งขึ้นก็ไม่กล้าไปปักกลดนอน ที่บริเวณป่าช้าเก่าอีก จนถึงวันที่ 23 ตุลาคม ก็เกิดอาพาธ ปรารภกับพระบวชใหม่ด้วยกัน ว่าสึกแล้วจะให้โยมพ่อพาไปหาหมอ... คืนเดียวก็เข็ดหลาบไปตลอดชีวิตแล้ว!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 16 มกราคม 2555
เมื่อวันที่ 13-23 ตุลาคม พ.ศ. 2550 โรงเรียนเทคนิคจังหวัดพิจิตรได้จัดพิธีอุปสมบทหมู่ 108 รูป เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา โดยอุปสมบท 9 วัด วัดละ 12 รูป
ภิกษุใหม่ทุกรูปได้ไปปฏิบัติธรรม ณ วัดโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร
9 วันที่ปฏิบัติธรรม ทางวัดได้อบรมนวกภิกษุอย่างเข้มงวดยิ่ง
วันที่ 15 ตุลาคม พระต้นอยากทำสมาธิ จึงได้ไปกางกลดนอนบริเวณป่าช้าเก่าแต่ปรับเป็นสถานที่ร่มรื่น เหมาะสำหรับการปฏิบัติได้เป็นอย่างดี พระต้นเองก็ทราบดีว่าที่นั่นเป็นป่าช้าเก่าแต่ไม่ได้คิดอะไรมาก และมีพระบวชใหม่ด้วยกันไปปักกลดนอนที่นั่นอีก 2 รูป
คืนแรกราว 2 ทุ่ม พระต้นก็เข้ากลดสวดมนต์ ทำสมาธิจนผ่านไปชั่วโมงเศษ...
ทันใดนั้นเอง ท่ามกลางความเงียบสงัด พลันมีเสียงมโหรีดังแว่วมาตามลมจากวิหารเก่า ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบริเวณนั้น...เมื่อเสียงโหยหวนเยือกเย็นจางหายไปในความเงียบเชียบ จู่ๆ ก็มีเสียงต้นไม้ใหญ่ข้างกลดดังซู่ซ่า ราวกับมีใครอุตริปีนป่ายขึ้นไปจับเขย่าอย่างรุนแรง
ต้นตะเคียน 2 ต้น!!
พระต้นกำหนดจิตให้รับรู้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังปรากฏขึ้นมา...
ท่ามกลางแสงดาวกระจ่างฟ้า สายลมคร่ำครวญคละเคล้ากับเสียงแมลงกรีดปีกเป็นเพื่อนรัตติกาล สตรีนางหนึ่งแต่งชุดขาวโดดเด่นเห็นได้เลือนราง ก่อนจะชัดเจนขึ้นว่าเป็นสตรีวัยกลางคนเดินออกมาจากต้นตะเคียนนั้น เบื้องหลังของนางคือชายชราผิวดำ ผมขาวโพลนนุ่งโจงกระเบนสีแดง ไม่สวมเสื้อ เดินตามมาช้าๆ
หญิงนั้นเดินมาหาพระต้น ปากเผยอนิดๆ ขณะเสียงถามเยือกเย็นดังวู่หวิวขึ้นมา
"ท่านมานอนขวางทางเดินของเราทำไม?"
พระต้นทราบแน่ว่าเป็นดวงวิญญาณที่ยังไม่ได้ไปผุดไปเกิด จึงกำหนดจิตให้เข้มแข็ง เอ่ยตอบเรียบๆ ว่า อาตมาไม่ทราบว่าเป็นที่นอนของโยม อาตมาขอโทษด้วย พรุ่งนี้จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้
สตรีในชุดขาวกับชายชรามองสบตากัน พยักหน้าเป็นเชิงรับรู้ ก่อนหันกลับแล้วออกเดินเชื่องช้า ท่ามกลางเสียงสุนัขจากวัดโพธิ์ประทับช้างโก่งคอหอนโหยหวน...และแล้วร่างทั้งสองก็พลันเลือนหายไปแถวต้นตะเคียนนั่นเอง!
พระบวชใหม่สำรวมจิตจะออกจากสมาธิ แต่ต้องเกิดอาการสะดุ้งใจเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วเข้ามา...เป็นเสียงหัวเราะของเด็กอายุราว 4-5 ขวบเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่ามาจากแห่งหนใดกันแน่?
ฉับพลันนั้น เด็กชายไว้จุกก็ปรากฏร่างมายืนจับกลด ชะโงกหน้าเข้ามาหาแล้วร้องว่า...พระนี่หว่า!
ขาดเสียงก็หัวเราะร่า ออกวิ่งเล่นรอบกลดด้วยอาการคึกคะนองตามประสาเด็ก แถมยังกระตุกกลดทั้งหน้าและหลังเล่นด้วยความซุกซน ท่ามกลางสายลมที่หวีดหวิวมาจากต้นตะเคียนทั้งสองต้นนั้นด้วย
พระต้นรู้สึกว่าจิตของตนบังเกิดอาการระส่ำระสายแล้ว...
ผีเด็กก็ยังวิ่งวนเวียนไปมาไม่หยุดหย่อน ทั้งวิ่งทั้งกระตุกกลดเล่น เสียงฝีเท้าคึ่กๆ กับเสียงหัวเราะแหลมเล็กบาดลึกลงไปถึงหัวใจของคนที่ได้ยินอย่างช่วยไม่ได้เลย!
พระบวชใหม่จิตใจยังไม่เข้มแข็งพอที่จะต้อนรับเหตุการณ์เขย่าขวัญ ถึงกับเหงื่อแตกซิกแต็มหน้าผาก หัวใจเต้นอึกทึกครึกโครมปานจะกระทบโพรงอก ปากคอ แห้งผากไปหมด
เสียงวิ่งกับเสียงหัวเราะแสนจะสะท้านสะเทือนใจนัก พระต้นพยายามสวดมนต์ตามแต่จะนึกออก ขอโทษขอโพยอยู่ในใจว่าไม่เคยล่วงรู้มาก่อนเลย พรุ่งนี้จะทำบุญกรวดน้ำไปให้...แต่ผีเด็กยังไม่ยอมไปไหน คงวิ่งรอบกลดและส่งเสียงหัวเราะอย่างสนุกสนานเต็มประดา...
กาลเวลาช่างผ่านไปเชื่องช้าเหลือเกิน...
เหงื่อจากหน้าผากพระต้นไหลย้อยมาท่วมคิ้ว เปลือกตาและสันแก้ม ร่างกายสั่นสะท้านด้วยความเหน็บหนาว จิตใจสะทกสะท้านหวั่นไหวไม่หยุดหย่อน
เวลาผ่านไปราวชั่วโมงเศษ เสียงวิ่งและเสียงหัวเราะจึงค่อยๆ เบาบางลง จนเงียบหายไปในที่สุด...แต่คืนนั้นทั้งคืนพระต้นก็นอนไม่หลับเลย
วันรุ่งขึ้นก็ไม่กล้าไปปักกลดนอน ที่บริเวณป่าช้าเก่าอีก จนถึงวันที่ 23 ตุลาคม ก็เกิดอาพาธ ปรารภกับพระบวชใหม่ด้วยกัน ว่าสึกแล้วจะให้โยมพ่อพาไปหาหมอ... คืนเดียวก็เข็ดหลาบไปตลอดชีวิตแล้ว!!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 16 มกราคม 2555
13 พฤษภาคม 2558
ทุ่งสนธยา
"เบิร์ด" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสุสานโบราณ
ผมได้พบกับเหตุการณ์แปลกประหลาด คือไม่ได้โดนผีหลอกซึ่งๆ หน้า แต่กลับหลุดเข้าไปในมิติเร้นลับ ซึ่งในโลกของเราเป็นเวลาสั้นๆ แต่ในมิติสยองนั้นเนิ่นนานไม่รู้จบสิ้น
สถานที่ดังกล่าวคือ คาเฟ่ย่านสนามเป้า นั่นเอง!
ผมเป็นคนแถวประตูน้ำซึ่งกำลังเจริญ พุ่งออกไปถึงวัดสะพานดินแดง ด้านซ้ายคือถนนศรีอยุธยา เขาเรียกว่า "ทุ่งมักกะสัน" ซึ่งแต่เดิมเป็นทุ่งหญ้าทุ่งนา เช่นทุ่งมหาเมฆ หรือทุ่งพญาไท เป็นต้น
ถัดไปทางสนามเป้าเป็นกรมทหารทั้งนั้น ผู้ใหญ่ท่านบอกว่าต้นทางพหลโยธินจากสนามเป้าไปถึงทุ่งนาสะพานควาย เลยวัดไผ่ตันไปจนถึงลาดพร้าว...เป็นป่าช้าเก่าครับ!
เมื่อราว 20 กว่าปีก่อน ผมกำลังเป็นหนุ่มเต็มตัวน่ะ ไม่มีวี่แววหรือร่องรอยของป่าช้าไม่ว่าเก่าหรือใหม่อีกแล้ว เพราะความเจริญทำให้ตึกรามบ้านช่องผุดสะพรั่งไปหมด รถราและผู้คนคับคั่งจนไม่มีอะไรน่ากลัวอีกต่อไป
สะพานควายกลายเป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ทางทิศเหนือ บรรยากาศคึกคักสนุกสนาน มีทั้งโรงพยาบาล โรงพักและโรงแรมชั้นหนึ่งกับม่านรูดผุดสะพรั่งเป็นดอกเห็ด
สถานบันเทิงเพียบ คาเฟ่ได้รับความนิยมมาก ผุดขึ้นแถวๆ สี่แยกเกือบ 10 แห่ง
ไหนจะขยายออกไปรอบด้าน ไม่ว่าทางสุทธิสาร, ประดิพัทธ์ ย้อนมาทางสนามเป้าก็มีทั้งสองฝั่งถนน เลยห้างเมอรี่คิงส์ไปทางวัดไผ่ตันก็มีทั้งคาเฟ่และโรงแรมม่านรูด
ผมกับเพื่อนๆ เที่ยวคาเฟ่ย่านสะพานควายหมดทุกแห่งก็ชักเบื่อ เลยลองแวะย่านสนามเป้าบ้าง มีคาเฟ่แห่งหนึ่งไปได้ไม่กี่ครั้งก็ติดใจ ทั้งเปิดใหม่ ทั้งกว้างขวางเหลือเชื่อแถมใกล้บ้าน...นักร้องเอ๊าะๆ เพียบ!
คาเฟ่ที่นั่นตั้งกลางแจ้ง เวทีหันหลังให้ถนนที่มีรั้วกั้น แขกเต็มเกือบทุกโต๊ะ ใครไม่อยากตากน้ำค้างก็เข้าไปนั่งที่โต๊ะใต้ชายคาเหยียดยาวไปตามแนวกำแพง ด้านหลังยังมีต้นไม้ใหญ่ๆ ร่มครึ้ม แสงไฟส่องสลัว แต่ก็มีแขกเดินผ่านไปมาบ่อยครั้งเพราะด้านในเป็นห้องสุขา
คืนนั้นผมไปกับเพื่อนชื่อเอนกกับชาติ ปกติจะไปนั่งโต๊ะใต้ชายคา มองนักร้องบนเวทีในมุมเฉียง ติดมาลัยน้ำใจให้คนไหน เมื่อร้องเพลงจบรอบเธอก็จะลงมาพูดคุยด้วย ถูกชะตาก็สั่งดริงก์มาให้เธอ...ส่วนมากจะสนุกกันไปจนถึงตี 2 ตี 3
แต่คืนนั้นเราไปช้าแถมตรงกับวันศุกร์ เหลือโต๊ะว่างใต้ร่มไม้เกือบหลังสุด แต่ก็ไร้ปัญหา...เสียงดนตรีดังกระหึ่ม นักร้องส่ายอกสะบัดสะโพกโชว์ขาอ่อนอาบแสงไฟ ร้องเพลงลูกทุ่งด้วยลีลา "ยั่วไอ้เข้" เสียงเฮ้วๆ เร้าใจไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางอากาศเยือกเย็นของฤดูหนาว
ดนตรีหยุดพัก ดาวตลกก็ยกวงขึ้นไปเล่นมุขจี้เส้นแขก เรียกเสียงฮาครืนๆ ดังลั่น
ราวตีหนึ่งเศษ ตลกลงจากเวที นักร้องสาวขึ้นไปแทนที่ ผมลุกจากโต๊ะเพื่อไปเข้าห้องน้ำ...ไม่รู้ว่าสะดุดอะไรหรือขาพันกัน ผมถลาลงไปบนพื้นหญ้า...เหมือนไฟดับวูบทันที!
ลืมตาขึ้นมาก็ยังได้ยินเสียงเพลงกึกก้องอยู่ในหู แต่เพิ่งเคยเห็นใครกลุ่มใหญ่มานั่งบนพื้นอยู่ใกล้ๆ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งหนุ่มสาวและคนชรา...ผู้ชายนุ่งกางเกงขาก๊วย คนแก่นุ่งโสร่งตัวเดียว ผู้หญิงนุ่งผ้าถุงสวมเสื้อแขนกระบอก บางคนมีอายุหน่อยก็ใช้ผ้าแถบคาดอก
เด็กๆ อายุราวสิบขวบก็มี ทั้งไว้จุก ไว้แกละและไว้โก๊ะ นุ่งผ้าสีดำๆ นั่งเบียดกับผู้ใหญ่...ทุกคนจ้องมองไปที่เวทีสว่างไสว วูบวาบด้วยสีสันน่าตื่นเต้น โดยไม่มีใครแยแสหรือสนใจผมเลยแม้แต่คนเดียว!
ผมมองตามสายตาคนพวกนั้นไปอีกครั้ง...
นักร้องสาวสวยในชุดแดงโชว์เนินอกขาวแอร่ม กำลังสั่นกระเพื่อมตามท่าเต้นจนแทบหลุดผลัวะออกมาทั้งสองเต้า กระโปรงสั้นเต่ออวดท่อนขาขาวอล่างในแสงไฟ สะโพกกลมกลึงผึ่งผายบิดส่ายไม่หยุดหย่อน
หันมามองผู้คนกลุ่มนั้นอย่างงุนงง...เห็นผู้ชายอ้าปากค้าง เบิกตาโพลงแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า คนชราหัวเราะชอบใจจนเหงือกแดง พวกผู้หญิงมีสีหน้าตื่นตระหนก บางคนก็กอดเด็กเอาไว้ หนุ่มๆ ชี้ไม้ชี้มือไปที่เวที ตบไหล่เพื่อนพลางพูดจาปนหัวเราะ แต่ผมไม่ยักได้ยินเสียง
"เฮ้ย! เป็นอะไรไปวะ?"
เสียงนั้นทำให้ผมหันขวับไปมอง...เจ้าเหนกนั่นเองที่ตามมาดูแล้วดึงแขนผมขึ้นมา มันว่าเห็นผมล้มพอดีเลยรีบลุกมาช่วยนี่แหละ! ผมหันไปทางคนแปลกๆ กลุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่ใกล้กันหยกๆ ปรากฏว่าที่นั่นมีแต่ความว่างเปล่า...
ไม่มีหนุ่ม คนชราและเด็กๆ ที่ชะเง้อมองไปทางเวทีด้วยความตื่นตาตื่นใจ และตื่นเต้นแตกต่างกันไป...
เมื่อกลับมานั่งโต๊ะตามเดิม ผมถึงได้แน่ใจว่าคนแปลกหน้าเหล่านั้นคงกำลังจ้องมองนักร้องคาเฟ่ด้วยความตื่นตะลึงอยู่ใกล้ๆ ผมนี่เอง...เพียงแต่พวกเขาอยู่ในดินแดนของสนธยา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 13 มกราคม 2555
ผมได้พบกับเหตุการณ์แปลกประหลาด คือไม่ได้โดนผีหลอกซึ่งๆ หน้า แต่กลับหลุดเข้าไปในมิติเร้นลับ ซึ่งในโลกของเราเป็นเวลาสั้นๆ แต่ในมิติสยองนั้นเนิ่นนานไม่รู้จบสิ้น
สถานที่ดังกล่าวคือ คาเฟ่ย่านสนามเป้า นั่นเอง!
ผมเป็นคนแถวประตูน้ำซึ่งกำลังเจริญ พุ่งออกไปถึงวัดสะพานดินแดง ด้านซ้ายคือถนนศรีอยุธยา เขาเรียกว่า "ทุ่งมักกะสัน" ซึ่งแต่เดิมเป็นทุ่งหญ้าทุ่งนา เช่นทุ่งมหาเมฆ หรือทุ่งพญาไท เป็นต้น
ถัดไปทางสนามเป้าเป็นกรมทหารทั้งนั้น ผู้ใหญ่ท่านบอกว่าต้นทางพหลโยธินจากสนามเป้าไปถึงทุ่งนาสะพานควาย เลยวัดไผ่ตันไปจนถึงลาดพร้าว...เป็นป่าช้าเก่าครับ!
เมื่อราว 20 กว่าปีก่อน ผมกำลังเป็นหนุ่มเต็มตัวน่ะ ไม่มีวี่แววหรือร่องรอยของป่าช้าไม่ว่าเก่าหรือใหม่อีกแล้ว เพราะความเจริญทำให้ตึกรามบ้านช่องผุดสะพรั่งไปหมด รถราและผู้คนคับคั่งจนไม่มีอะไรน่ากลัวอีกต่อไป
สะพานควายกลายเป็นศูนย์กลางของกรุงเทพฯ ทางทิศเหนือ บรรยากาศคึกคักสนุกสนาน มีทั้งโรงพยาบาล โรงพักและโรงแรมชั้นหนึ่งกับม่านรูดผุดสะพรั่งเป็นดอกเห็ด
สถานบันเทิงเพียบ คาเฟ่ได้รับความนิยมมาก ผุดขึ้นแถวๆ สี่แยกเกือบ 10 แห่ง
ไหนจะขยายออกไปรอบด้าน ไม่ว่าทางสุทธิสาร, ประดิพัทธ์ ย้อนมาทางสนามเป้าก็มีทั้งสองฝั่งถนน เลยห้างเมอรี่คิงส์ไปทางวัดไผ่ตันก็มีทั้งคาเฟ่และโรงแรมม่านรูด
ผมกับเพื่อนๆ เที่ยวคาเฟ่ย่านสะพานควายหมดทุกแห่งก็ชักเบื่อ เลยลองแวะย่านสนามเป้าบ้าง มีคาเฟ่แห่งหนึ่งไปได้ไม่กี่ครั้งก็ติดใจ ทั้งเปิดใหม่ ทั้งกว้างขวางเหลือเชื่อแถมใกล้บ้าน...นักร้องเอ๊าะๆ เพียบ!
คาเฟ่ที่นั่นตั้งกลางแจ้ง เวทีหันหลังให้ถนนที่มีรั้วกั้น แขกเต็มเกือบทุกโต๊ะ ใครไม่อยากตากน้ำค้างก็เข้าไปนั่งที่โต๊ะใต้ชายคาเหยียดยาวไปตามแนวกำแพง ด้านหลังยังมีต้นไม้ใหญ่ๆ ร่มครึ้ม แสงไฟส่องสลัว แต่ก็มีแขกเดินผ่านไปมาบ่อยครั้งเพราะด้านในเป็นห้องสุขา
คืนนั้นผมไปกับเพื่อนชื่อเอนกกับชาติ ปกติจะไปนั่งโต๊ะใต้ชายคา มองนักร้องบนเวทีในมุมเฉียง ติดมาลัยน้ำใจให้คนไหน เมื่อร้องเพลงจบรอบเธอก็จะลงมาพูดคุยด้วย ถูกชะตาก็สั่งดริงก์มาให้เธอ...ส่วนมากจะสนุกกันไปจนถึงตี 2 ตี 3
แต่คืนนั้นเราไปช้าแถมตรงกับวันศุกร์ เหลือโต๊ะว่างใต้ร่มไม้เกือบหลังสุด แต่ก็ไร้ปัญหา...เสียงดนตรีดังกระหึ่ม นักร้องส่ายอกสะบัดสะโพกโชว์ขาอ่อนอาบแสงไฟ ร้องเพลงลูกทุ่งด้วยลีลา "ยั่วไอ้เข้" เสียงเฮ้วๆ เร้าใจไม่หยุดหย่อน ท่ามกลางอากาศเยือกเย็นของฤดูหนาว
ดนตรีหยุดพัก ดาวตลกก็ยกวงขึ้นไปเล่นมุขจี้เส้นแขก เรียกเสียงฮาครืนๆ ดังลั่น
ราวตีหนึ่งเศษ ตลกลงจากเวที นักร้องสาวขึ้นไปแทนที่ ผมลุกจากโต๊ะเพื่อไปเข้าห้องน้ำ...ไม่รู้ว่าสะดุดอะไรหรือขาพันกัน ผมถลาลงไปบนพื้นหญ้า...เหมือนไฟดับวูบทันที!
ลืมตาขึ้นมาก็ยังได้ยินเสียงเพลงกึกก้องอยู่ในหู แต่เพิ่งเคยเห็นใครกลุ่มใหญ่มานั่งบนพื้นอยู่ใกล้ๆ มีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ทั้งหนุ่มสาวและคนชรา...ผู้ชายนุ่งกางเกงขาก๊วย คนแก่นุ่งโสร่งตัวเดียว ผู้หญิงนุ่งผ้าถุงสวมเสื้อแขนกระบอก บางคนมีอายุหน่อยก็ใช้ผ้าแถบคาดอก
เด็กๆ อายุราวสิบขวบก็มี ทั้งไว้จุก ไว้แกละและไว้โก๊ะ นุ่งผ้าสีดำๆ นั่งเบียดกับผู้ใหญ่...ทุกคนจ้องมองไปที่เวทีสว่างไสว วูบวาบด้วยสีสันน่าตื่นเต้น โดยไม่มีใครแยแสหรือสนใจผมเลยแม้แต่คนเดียว!
ผมมองตามสายตาคนพวกนั้นไปอีกครั้ง...
นักร้องสาวสวยในชุดแดงโชว์เนินอกขาวแอร่ม กำลังสั่นกระเพื่อมตามท่าเต้นจนแทบหลุดผลัวะออกมาทั้งสองเต้า กระโปรงสั้นเต่ออวดท่อนขาขาวอล่างในแสงไฟ สะโพกกลมกลึงผึ่งผายบิดส่ายไม่หยุดหย่อน
หันมามองผู้คนกลุ่มนั้นอย่างงุนงง...เห็นผู้ชายอ้าปากค้าง เบิกตาโพลงแทบจะทะลักออกมานอกเบ้า คนชราหัวเราะชอบใจจนเหงือกแดง พวกผู้หญิงมีสีหน้าตื่นตระหนก บางคนก็กอดเด็กเอาไว้ หนุ่มๆ ชี้ไม้ชี้มือไปที่เวที ตบไหล่เพื่อนพลางพูดจาปนหัวเราะ แต่ผมไม่ยักได้ยินเสียง
"เฮ้ย! เป็นอะไรไปวะ?"
เสียงนั้นทำให้ผมหันขวับไปมอง...เจ้าเหนกนั่นเองที่ตามมาดูแล้วดึงแขนผมขึ้นมา มันว่าเห็นผมล้มพอดีเลยรีบลุกมาช่วยนี่แหละ! ผมหันไปทางคนแปลกๆ กลุ่มใหญ่ที่นั่งอยู่ใกล้กันหยกๆ ปรากฏว่าที่นั่นมีแต่ความว่างเปล่า...
ไม่มีหนุ่ม คนชราและเด็กๆ ที่ชะเง้อมองไปทางเวทีด้วยความตื่นตาตื่นใจ และตื่นเต้นแตกต่างกันไป...
เมื่อกลับมานั่งโต๊ะตามเดิม ผมถึงได้แน่ใจว่าคนแปลกหน้าเหล่านั้นคงกำลังจ้องมองนักร้องคาเฟ่ด้วยความตื่นตะลึงอยู่ใกล้ๆ ผมนี่เอง...เพียงแต่พวกเขาอยู่ในดินแดนของสนธยา!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 13 มกราคม 2555
12 พฤษภาคม 2558
บ้านเก่า
"สาธิกา" เล่าเรื่องขนหัวลุกเมื่อนึกถึงบ้านเก่าของมนุษย์ทุกคน
เชื่อกันว่า คนเรากลัวความตายเพราะไม่รู้แน่ว่าตายแล้วจะไปไหน? จะได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกกันแน่? แถมยังไม่แน่ใจอีกว่า นรกและสวรรค์จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับในรูปวาดหรือเปล่า?
คนเรารักชีวิต กลัวความตายก็เพราะความไม่รู้แน่ชัดนี่เอง!
หลายๆ คนที่รู้แน่ว่าตนเหลือเวลาอยู่น้อยเต็มที ใกล้จะถึงลมหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่แล้ว ก็มักนึกถึงบาปบุญคุณโทษที่เคยกระทำไว้ มากบ้างน้อยบ้างตามนิสัยของตน เข้าตำรา "บุญก็ทำ-กรรมก็สร้าง" ทำให้มองเห็นโลกหน้าอันเคยเร้นลับมาช้านานเริ่มแจ่มแจ้งขึ้นทุกที
บ้างมองเห็นสวรรค์ บ้างก็เห็นแต่นรกอเวจี และบ้างก็เห็นแต่ความดำมืดน่าพรั่นสยอง...บ้านเก่าที่ทุกๆ คนจากมา ในที่สุดก็ต้องกลับไปที่บ้านเก่ากันทุกคน!
ป้าแสงดาว ญาติห่างๆ ของดิฉันก็มีประสบการณ์เมื่อใกล้กลับบ้านเก่าเช่นกัน...เพียงแต่บ้านเก่าของป้าแสงดาวค่อนข้างแปลกประหลาดกว่าคนอื่นๆ แถมยังน่า ขนหัวลุกอีกด้วยค่ะ
ป้าแสงดาวเป็นข้าราชการบำนาญมาเกือบสิบปีแล้ว มีร่องรอยว่าเมื่อสาวๆ เป็นคนสวย ร่างบอบบาง ผิวขาว ใบหน้าติดยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี แต่นัยน์ตามักจะเลื่อน ลอยแบบคนช่างคิดช่างฝัน เชื่อในเรื่องเร้นลับเหนือธรรมชาติ พวกลูกๆ หลานๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้...แต่ป้าแสงดาวก็มีดิฉันคอยรับฟังอย่างใจจดใจจ่อ อยู่แล้ว
อาจจะเป็นเพราะเรามีนิสัยคล้ายๆ กันก็ได้นะคะ
"คนเราน่ะเกิดมาหลายภพหลายชาติเต็มที แต่ถูกลบความทรงจำในชาติก่อนๆ ทั้งหมด ไม่งั้นจะเกิดปัญหายุ่งเหยิงในชาตินี้...เพียงแต่เราสาวไปไม่ถึงเท่านั้นแหละว่าในชาติแรกๆ ของเราเป็นใคร? มาจากไหน? พระเจ้าหรือธรรมชาติกันแน่ที่สร้างพวกเราขึ้นมา?"
ป้าแสงดาวเคยคุยกับดิฉันใต้ร่มแสงจันทร์หน้าบ้าน นัยน์ตาเลื่อนลอยไปไกลแสนไกลจนไม่มีใครติดตามไปถึง มือบอบบางลูบไล้ท่อนแขนตัวเองในอาการครุ่นคิด
"ในที่สุดคนเราก็ต้องกลับไปบ้านเก่ากันทุกคน! ว่าแต่บ้านนั้นอยู่ที่ไหน?"
ไม่มีใครตอบได้หรอกค่ะ...กระทั่งป้าแสงดาวได้พบคำตอบ นำมาเล่าให้ดิฉันฟัง
"เมื่อคืนป้าฝันว่าไปอยู่ในป่าคนเดียว...ป่าเปลี่ยว ร่มครึ้ม ต้นไม้ใหญ่ๆ ดกหนาไม่คุ้นเคยนัยน์ตามาก่อน เสียงสิงสาราสัตว์ขู่คำราม กู่ร้องน่ากลัว...ป้าปีนหนีขึ้นต้นไม้ได้ทัน มองเห็นพวกเสือช้างเพ่นพ่านเต็มป่า...เออ! หรือว่านั่นเป็นบ้านเก่าของป้านะ?"
ดิฉันอดยิ้มไม่ได้...โลกหน้าของคนอื่นมีแต่นรก-สวรรค์ บ้างก็เป็นป่าโปร่งร่มรื่น หรือไม่ก็เป็นอุโมงค์ดำมืดที่จะต้องผ่านเข้าไป จนกว่าจะพบทางออก...
วันต่อมาป้าแสงดาวก็เล่าว่าบ้านเก่าของเธอเปลี่ยน แปลงไป!
"ป้าอยู่ในป่าเปลี่ยวตามเดิม สัตว์ร้ายชุกชุมน่ากลัว แต่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ๆ อีกแล้ว นอกจากปากถ้ำใต้ชะง่อนผา...ป้าวิ่งหนีกระเซอะกระเซิง อกสั่นขวัญหายเพราะกลัวเสือ กลัวงูตัวโตๆ ต้องล้มลุกคลุกคลานเข้าไปในถ้ำมืดสลัว...ครู่หนึ่ง แสงไฟก็ลุกวอมแวมขึ้น ทั้งอบอุ่นและทำให้สัตว์ร้ายต่างๆ หวาดกลัวจนล่าถอยไปหมด...ภาพนั้นยังติดหูติดตาป้ามาจนถึงป่านนี้"
ป้าแสงดาวถอนใจก่อนจะพึมพำ...หรือว่านั่นเป็นบ้านเก่าของป้าจริงๆ กองไฟอบอุ่นในถ้ำมืดๆ บ้านเก่าของเรา...
ดิฉันเบือนหน้าไปซ่อนยิ้ม...ถ้าความตายคือการกลับไปสู่บ้านเก่าจริงๆ ก็นับว่าป้าแสงดาวมีบ้านเก่าแปลกประหลาดที่สุด เท่าที่เคยรู้เห็นและได้ยินได้ฟังมา!
ในที่สุด ก็ถึงคืนสุดท้ายที่ป้าแสงดาวฝันถึงบ้านเก่าของเธอ และนำมาเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น แววตาแจ่มใสราวกับได้พบเห็นใครหรืออะไรบางอย่างที่เฝ้ารอมานานแสนนาน
สุ้มเสียงของป้าก็คล้ายสายลมที่พัดลู่มาจากสุมทุม พุ่มไม้อันไกลโพ้น...
"บนต้นไม้หรือในถ้ำน่ะไม่ใช่บ้านเก่าจริงๆ ของป้าหรอก ป้ารู้เมื่อเดินออกจากปากถ้ำไปตามเสียงคลื่นเสียงลม ป่าทั้งป่าอยู่เบื้องหลัง ข้างหน้าคือหาดทรายสีขาว ทะเลสีทอง ใต้แสงแดดและปุยเมฆที่ลอยฟ่องอยู่บนฟ้าสีคราม เสียงคลื่นซัดหาดครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนจะไชโยโห่ร้องต้อนรับป้ากลับบ้าน! บ้านเก่าที่เราจากไปนานแสนนาน..."
เป็นครั้งแรกที่ดิฉันยิ้มไม่ออก ได้แต่จ้องมองดูใบหน้าเยือกเย็น ยิ้มละไม...ขนลุกซ่าไปทั้งตัวเมื่อนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร!
วันรุ่งขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่ได้ข่าวว่าป้าแสงดาวนอนหลับไปตลอดกาลอย่างสงบ...นึกถึงคำพูดสุดท้ายของป้าก่อนที่จะจากกัน ทำให้ขนหัวลุกอย่างช่วยไม่ได้เลย
"ป้าลาก่อนละนะ ได้เวลากลับบ้านเก่าแล้ว...ป้าจะ รออยู่ที่นั่น เมื่อถึงเวลาที่เธอจะต้องกลับบ้านเก่าเหมือนกัน!"
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 12 มกราคม 2555
เชื่อกันว่า คนเรากลัวความตายเพราะไม่รู้แน่ว่าตายแล้วจะไปไหน? จะได้ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกกันแน่? แถมยังไม่แน่ใจอีกว่า นรกและสวรรค์จะมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับในรูปวาดหรือเปล่า?
คนเรารักชีวิต กลัวความตายก็เพราะความไม่รู้แน่ชัดนี่เอง!
หลายๆ คนที่รู้แน่ว่าตนเหลือเวลาอยู่น้อยเต็มที ใกล้จะถึงลมหายใจเฮือกสุดท้ายอยู่แล้ว ก็มักนึกถึงบาปบุญคุณโทษที่เคยกระทำไว้ มากบ้างน้อยบ้างตามนิสัยของตน เข้าตำรา "บุญก็ทำ-กรรมก็สร้าง" ทำให้มองเห็นโลกหน้าอันเคยเร้นลับมาช้านานเริ่มแจ่มแจ้งขึ้นทุกที
บ้างมองเห็นสวรรค์ บ้างก็เห็นแต่นรกอเวจี และบ้างก็เห็นแต่ความดำมืดน่าพรั่นสยอง...บ้านเก่าที่ทุกๆ คนจากมา ในที่สุดก็ต้องกลับไปที่บ้านเก่ากันทุกคน!
ป้าแสงดาว ญาติห่างๆ ของดิฉันก็มีประสบการณ์เมื่อใกล้กลับบ้านเก่าเช่นกัน...เพียงแต่บ้านเก่าของป้าแสงดาวค่อนข้างแปลกประหลาดกว่าคนอื่นๆ แถมยังน่า ขนหัวลุกอีกด้วยค่ะ
ป้าแสงดาวเป็นข้าราชการบำนาญมาเกือบสิบปีแล้ว มีร่องรอยว่าเมื่อสาวๆ เป็นคนสวย ร่างบอบบาง ผิวขาว ใบหน้าติดยิ้มอย่างคนอารมณ์ดี แต่นัยน์ตามักจะเลื่อน ลอยแบบคนช่างคิดช่างฝัน เชื่อในเรื่องเร้นลับเหนือธรรมชาติ พวกลูกๆ หลานๆ ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้...แต่ป้าแสงดาวก็มีดิฉันคอยรับฟังอย่างใจจดใจจ่อ อยู่แล้ว
อาจจะเป็นเพราะเรามีนิสัยคล้ายๆ กันก็ได้นะคะ
"คนเราน่ะเกิดมาหลายภพหลายชาติเต็มที แต่ถูกลบความทรงจำในชาติก่อนๆ ทั้งหมด ไม่งั้นจะเกิดปัญหายุ่งเหยิงในชาตินี้...เพียงแต่เราสาวไปไม่ถึงเท่านั้นแหละว่าในชาติแรกๆ ของเราเป็นใคร? มาจากไหน? พระเจ้าหรือธรรมชาติกันแน่ที่สร้างพวกเราขึ้นมา?"
ป้าแสงดาวเคยคุยกับดิฉันใต้ร่มแสงจันทร์หน้าบ้าน นัยน์ตาเลื่อนลอยไปไกลแสนไกลจนไม่มีใครติดตามไปถึง มือบอบบางลูบไล้ท่อนแขนตัวเองในอาการครุ่นคิด
"ในที่สุดคนเราก็ต้องกลับไปบ้านเก่ากันทุกคน! ว่าแต่บ้านนั้นอยู่ที่ไหน?"
ไม่มีใครตอบได้หรอกค่ะ...กระทั่งป้าแสงดาวได้พบคำตอบ นำมาเล่าให้ดิฉันฟัง
"เมื่อคืนป้าฝันว่าไปอยู่ในป่าคนเดียว...ป่าเปลี่ยว ร่มครึ้ม ต้นไม้ใหญ่ๆ ดกหนาไม่คุ้นเคยนัยน์ตามาก่อน เสียงสิงสาราสัตว์ขู่คำราม กู่ร้องน่ากลัว...ป้าปีนหนีขึ้นต้นไม้ได้ทัน มองเห็นพวกเสือช้างเพ่นพ่านเต็มป่า...เออ! หรือว่านั่นเป็นบ้านเก่าของป้านะ?"
ดิฉันอดยิ้มไม่ได้...โลกหน้าของคนอื่นมีแต่นรก-สวรรค์ บ้างก็เป็นป่าโปร่งร่มรื่น หรือไม่ก็เป็นอุโมงค์ดำมืดที่จะต้องผ่านเข้าไป จนกว่าจะพบทางออก...
วันต่อมาป้าแสงดาวก็เล่าว่าบ้านเก่าของเธอเปลี่ยน แปลงไป!
"ป้าอยู่ในป่าเปลี่ยวตามเดิม สัตว์ร้ายชุกชุมน่ากลัว แต่ไม่มีต้นไม้ใหญ่ๆ อีกแล้ว นอกจากปากถ้ำใต้ชะง่อนผา...ป้าวิ่งหนีกระเซอะกระเซิง อกสั่นขวัญหายเพราะกลัวเสือ กลัวงูตัวโตๆ ต้องล้มลุกคลุกคลานเข้าไปในถ้ำมืดสลัว...ครู่หนึ่ง แสงไฟก็ลุกวอมแวมขึ้น ทั้งอบอุ่นและทำให้สัตว์ร้ายต่างๆ หวาดกลัวจนล่าถอยไปหมด...ภาพนั้นยังติดหูติดตาป้ามาจนถึงป่านนี้"
ป้าแสงดาวถอนใจก่อนจะพึมพำ...หรือว่านั่นเป็นบ้านเก่าของป้าจริงๆ กองไฟอบอุ่นในถ้ำมืดๆ บ้านเก่าของเรา...
ดิฉันเบือนหน้าไปซ่อนยิ้ม...ถ้าความตายคือการกลับไปสู่บ้านเก่าจริงๆ ก็นับว่าป้าแสงดาวมีบ้านเก่าแปลกประหลาดที่สุด เท่าที่เคยรู้เห็นและได้ยินได้ฟังมา!
ในที่สุด ก็ถึงคืนสุดท้ายที่ป้าแสงดาวฝันถึงบ้านเก่าของเธอ และนำมาเล่าให้ฟังด้วยสีหน้าสงบเยือกเย็น แววตาแจ่มใสราวกับได้พบเห็นใครหรืออะไรบางอย่างที่เฝ้ารอมานานแสนนาน
สุ้มเสียงของป้าก็คล้ายสายลมที่พัดลู่มาจากสุมทุม พุ่มไม้อันไกลโพ้น...
"บนต้นไม้หรือในถ้ำน่ะไม่ใช่บ้านเก่าจริงๆ ของป้าหรอก ป้ารู้เมื่อเดินออกจากปากถ้ำไปตามเสียงคลื่นเสียงลม ป่าทั้งป่าอยู่เบื้องหลัง ข้างหน้าคือหาดทรายสีขาว ทะเลสีทอง ใต้แสงแดดและปุยเมฆที่ลอยฟ่องอยู่บนฟ้าสีคราม เสียงคลื่นซัดหาดครั้งแล้วครั้งเล่าเหมือนจะไชโยโห่ร้องต้อนรับป้ากลับบ้าน! บ้านเก่าที่เราจากไปนานแสนนาน..."
เป็นครั้งแรกที่ดิฉันยิ้มไม่ออก ได้แต่จ้องมองดูใบหน้าเยือกเย็น ยิ้มละไม...ขนลุกซ่าไปทั้งตัวเมื่อนึกได้ว่าอะไรเป็นอะไร!
วันรุ่งขึ้น ไม่แปลกใจเลยที่ได้ข่าวว่าป้าแสงดาวนอนหลับไปตลอดกาลอย่างสงบ...นึกถึงคำพูดสุดท้ายของป้าก่อนที่จะจากกัน ทำให้ขนหัวลุกอย่างช่วยไม่ได้เลย
"ป้าลาก่อนละนะ ได้เวลากลับบ้านเก่าแล้ว...ป้าจะ รออยู่ที่นั่น เมื่อถึงเวลาที่เธอจะต้องกลับบ้านเก่าเหมือนกัน!"
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 12 มกราคม 2555
11 พฤษภาคม 2558
โรงแรมผี
"คุณเดียร์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรม
หลายๆ คนเชื่อว่าสถานที่ที่ผีดุนั้นไม่ใช่วัด ไม่ใช่โรงพยาบาล แต่ว่าเป็นโรงแรม! เพราะโรงแรมเป็นแหล่งเหมาะเจาะแห่งหนึ่งที่คนเลือกมาใช้เป็นที่ฆ่ากัน หรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย
ไม่มีใครรู้หรอกว่าห้องไหนเกิดเหตุสยองอะไรขึ้น มามั่ง?
ผมต้องไปประชุมสัมมนาวิชาการที่กาญจนบุรี และต้องพักโรงแรมด้วยครับ คณะของเราไปกัน 5 คน ผมเป็นผู้ชายคนเดียว สาวๆ เลยจับคู่กันนอน 2 ห้อง ห้องละ 2 คน ส่วนผมน่ะเป็นเศษเกินครับ คิดอีกทีก็สบายไปอย่าง
โรงแรมที่เราพักอยู่ริมแม่น้ำ อีกด้านหนึ่งยังเป็นป่าเขาลำเนาไพร อากาศดีมาก ยิ่งเป็นฤดูหนาวด้วยแล้วยิ่งเย็นเยือกกว่าในกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ แถมมีเครื่องปรับอากาศ อีกด้วย
ที่จริงนอนคนเดียวก็เหงาเหมือนกัน นึกอยากไปท่องราตรีดูแต่มาคิดถึงการงานพรุ่งนี้แล้วตัดใจได้ ผมกลับเข้าห้องหลังอาหารค่ำราวสองทุ่มเศษ จัดการอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนของโรงแรม...แหม! เป็นชุดลายทางผ้าคอตตอนอย่างดี สวมใส่สบายตัวจริงๆ
ผมขึ้นไปครึ่งนั่งครึ่งนอนบนเตียง เอาหมอนเป็นที่พิงหลังแล้วก็เปิดดูทีวี เออ...เพลิดเพลินกับหนังสไตล์บู๊ แอ๊กชั่นของฮอลลีวู้ด มีดารานำคือบรู๊ซ วิลลิส พระเอกคนโปรดซะด้วยซี...เดี๋ยวหนังจบราวห้าทุ่มได้เวลานอนพอดี
พรุ่งนี้กะตื่นราว 7 โมงเช้า เพราะมีตารางว่าต้องกินอาหารบุฟเฟต์ในโรงแรมตอน 8 โมง...ปกติผมตื่นเช้า อยู่แล้ว แต่เพื่อความชัวร์เลยโทร.ไปสั่งโอปะเรเตอร์ให้ "มอร์นิ่งคอลล์" เผื่อจะหลับเพลินเกินไป
หนังกำลังมันส์ๆ เพราะใกล้จะถึงตอนจบอยู่แล้ว ตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตู
ผมต้องจำใจลุกไปดูซิว่าใครมาหา ดึกดื่นป่านนี้แล้ว?
พอถึงประตูก็ก้มมองที่ตาแมว ปรากฏว่าเป็นผู้หญิงผมยาวยืนหันหลังให้...ไม่ใช่พวกสาวๆ ที่มากับผมแน่ เอ...ใครนะ? สงสัยจะเข้าห้องผิด! ผมรีบเปิดประตูออกไปเพื่อจะบอกเธอว่าเคาะผิดห้อง แต่ไม่ได้ปลดโซ่ที่คล้องไว้ ก่อนจะเอียงหน้ามอง...คุณครับ!
อ้าว? หน้าประตูมีแต่ความว่างเปล่า ผมรีบปลดโซ่แล้วเปิดประตูกว้างขึ้นเพื่อชะโงกออกไปมองซ้ายขวา แต่ ไม่เห็นมีใครซักคน เอ๊ะ! แปลก...ผมคิดแค่นั้นโดยไม่ได้นึกถึงผีเผออะไรเลย ใจพะวงอยู่แต่หนังมันส์ๆ ก็เลยปิดประตู ล็อก แล้วคล้องโซ่ไว้ตามเดิม
จากนั้นก็ขึ้นเตียงดูหนังที่พระเอกพะบู๊กับผู้ร้ายเป็นโขยง...แต่ในพริบตานั้นเองก็มีเสียง...ก๊อกๆๆ อะไรกันวะ เพิ่งจะผละมาหยกๆ นี่แหละมาเคาะประตูอีกแล้ว! ผมหัวเสียจริงๆ เฮ้อ...ตะกี้ไปหลบอยู่ซะที่ไหนล่ะ สงสัยอยากจะเล่นจ๊ะเอ๋กับแฟนแล้วมาเคาะผิดห้อง
จะทำไงได้ล่ะครับ ก็ต้องลุกไปเปิดอยู่ดีแหละ!
ผมมองที่ตาแมวก่อน...ผู้หญิงคนเดิมยืนหันหลังให้ เห็นแต่ผมยาวเหยียดตรง และชุดแส็กสีเขียวๆ มีลายดอกไม้สีชมพูกระจายไปทั่วๆ ผมปลดทั้งล็อกและโซ่ เปิดประตูผาง...ลมเย็นๆ พัดสวนเข้ามาวูบหนึ่ง สงสัยผมจะเปิดประตูแรงไปหน่อยละมั้ง?
เหมือนเดิม! หน้าประตูว่างเปล่า เธอคงอยู่ห้องข้างๆ นี่เอง แล้วฉวยโอกาสไม่กี่วินาทีขณะผมปลดโซ่ แอบผลุบเข้าประตูไป!
เออ...ถ้างั้นก็ไม่น่าจะเคาะห้องผิดนี่นา
นี่เธอจะเล่นอะไรกันนะเนี่ย? หาเรื่องรบกวนคนอื่นเพื่อเอาสนุกคนเดียวเรอะไง?
ผมบ่นอุบอิบ...หนังจบเรื่องกำลังสต๊อปแอ๊กชั่นพอดี เสียอารมณ์ชะมัดเลยครับ!
ฉับพลัน ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนน้ำหยด แปะ...แปะ... มาจากเตียงข้างๆ อันว่างเปล่า ทำให้ผมหันขวับไปมองโดยสัญชาตญาณ
ทั้งห้องมีแต่แสงจากจอทีวีเท่านั้น เตียงที่ว่านั้นค่อนข้าง มืดสลัว แต่ก็ยังมองเห็นผู้หญิงผมยาวนั่งห้อยขาที่ขอบเตียง แต่งชุดแส็กออกสีเขียวๆ มีลายดอกไม้สีชมพูประไปทั่ว... ผมเธอปรกหน้าตาเพราะนั่งก้มหน้า สองแขนวางพาด ที่หน้าตัก ผมมองไปที่ข้อมือทั้งสองข้างมันเป็นแผล เหวอะหวะ เลือดไหลปรี่เหมือนก๊อกน้ำที่ปิดไม่สนิท
เลือดที่หยดนี่เองมันดังแปะ...แปะ...ผมลุกพรวดขึ้นยืน จ้องมองหญิงผู้นั้นชนิดตื่นตะลึง แทบไม่อยากเชื่อสายตา ตัวเอง...เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับผมได้ยังไงกัน?
จังหวะนั้นเองเธอเงยหน้าช้าๆ ขึ้นสบตาผม นรก เป็นพยาน! เธอไม่มีนัยน์ตา!
ตรงที่ควรเป็นนัยน์ตามันลึกกลวงเข้าไป เหมือนกับเราจ้องมองดูหุบเหวล้ำลึกไม่มีวันสิ้นสุด...ผมจะอยู่ทำไมล่ะครับนอกจากจะเผ่นอ้าวไปที่ประตูไม่คิดชีวิต...จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าปลดล็อกปลดโซ่ออกมาได้ยังไง
ในที่สุดผมก็วิ่งเตลิดเปิดเปิงลงมาถึงล็อบบี้เปล่าเปลี่ยวจนได้...พวกพนักงานที่หลังเคาน์เตอร์ดูจะไม่ตื่นเต้น หรือ แม้แต่แสดงความแปลกใจด้วยซ้ำไป
ผมอยู่จนเช้าแล้วให้คนเข้าไปช่วยเก็บของ ไม่ประชุมอะไรแล้วละครับ ขอกลับบ้านเลยทันที ใครถามอะไรก็บอกแต่ว่าปวดหัวหนักจนต้อง ไปหาแพทย์...เอาไว้ไปเล่าเรื่องขนหัวลุกที่กรุงเทพฯ แล้วกัน! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 11 มกราคม 2555
หลายๆ คนเชื่อว่าสถานที่ที่ผีดุนั้นไม่ใช่วัด ไม่ใช่โรงพยาบาล แต่ว่าเป็นโรงแรม! เพราะโรงแรมเป็นแหล่งเหมาะเจาะแห่งหนึ่งที่คนเลือกมาใช้เป็นที่ฆ่ากัน หรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย
ไม่มีใครรู้หรอกว่าห้องไหนเกิดเหตุสยองอะไรขึ้น มามั่ง?
ผมต้องไปประชุมสัมมนาวิชาการที่กาญจนบุรี และต้องพักโรงแรมด้วยครับ คณะของเราไปกัน 5 คน ผมเป็นผู้ชายคนเดียว สาวๆ เลยจับคู่กันนอน 2 ห้อง ห้องละ 2 คน ส่วนผมน่ะเป็นเศษเกินครับ คิดอีกทีก็สบายไปอย่าง
โรงแรมที่เราพักอยู่ริมแม่น้ำ อีกด้านหนึ่งยังเป็นป่าเขาลำเนาไพร อากาศดีมาก ยิ่งเป็นฤดูหนาวด้วยแล้วยิ่งเย็นเยือกกว่าในกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ แถมมีเครื่องปรับอากาศ อีกด้วย
ที่จริงนอนคนเดียวก็เหงาเหมือนกัน นึกอยากไปท่องราตรีดูแต่มาคิดถึงการงานพรุ่งนี้แล้วตัดใจได้ ผมกลับเข้าห้องหลังอาหารค่ำราวสองทุ่มเศษ จัดการอาบน้ำเปลี่ยนชุดนอนของโรงแรม...แหม! เป็นชุดลายทางผ้าคอตตอนอย่างดี สวมใส่สบายตัวจริงๆ
ผมขึ้นไปครึ่งนั่งครึ่งนอนบนเตียง เอาหมอนเป็นที่พิงหลังแล้วก็เปิดดูทีวี เออ...เพลิดเพลินกับหนังสไตล์บู๊ แอ๊กชั่นของฮอลลีวู้ด มีดารานำคือบรู๊ซ วิลลิส พระเอกคนโปรดซะด้วยซี...เดี๋ยวหนังจบราวห้าทุ่มได้เวลานอนพอดี
พรุ่งนี้กะตื่นราว 7 โมงเช้า เพราะมีตารางว่าต้องกินอาหารบุฟเฟต์ในโรงแรมตอน 8 โมง...ปกติผมตื่นเช้า อยู่แล้ว แต่เพื่อความชัวร์เลยโทร.ไปสั่งโอปะเรเตอร์ให้ "มอร์นิ่งคอลล์" เผื่อจะหลับเพลินเกินไป
หนังกำลังมันส์ๆ เพราะใกล้จะถึงตอนจบอยู่แล้ว ตอนที่ได้ยินเสียงเคาะประตู
ผมต้องจำใจลุกไปดูซิว่าใครมาหา ดึกดื่นป่านนี้แล้ว?
พอถึงประตูก็ก้มมองที่ตาแมว ปรากฏว่าเป็นผู้หญิงผมยาวยืนหันหลังให้...ไม่ใช่พวกสาวๆ ที่มากับผมแน่ เอ...ใครนะ? สงสัยจะเข้าห้องผิด! ผมรีบเปิดประตูออกไปเพื่อจะบอกเธอว่าเคาะผิดห้อง แต่ไม่ได้ปลดโซ่ที่คล้องไว้ ก่อนจะเอียงหน้ามอง...คุณครับ!
อ้าว? หน้าประตูมีแต่ความว่างเปล่า ผมรีบปลดโซ่แล้วเปิดประตูกว้างขึ้นเพื่อชะโงกออกไปมองซ้ายขวา แต่ ไม่เห็นมีใครซักคน เอ๊ะ! แปลก...ผมคิดแค่นั้นโดยไม่ได้นึกถึงผีเผออะไรเลย ใจพะวงอยู่แต่หนังมันส์ๆ ก็เลยปิดประตู ล็อก แล้วคล้องโซ่ไว้ตามเดิม
จากนั้นก็ขึ้นเตียงดูหนังที่พระเอกพะบู๊กับผู้ร้ายเป็นโขยง...แต่ในพริบตานั้นเองก็มีเสียง...ก๊อกๆๆ อะไรกันวะ เพิ่งจะผละมาหยกๆ นี่แหละมาเคาะประตูอีกแล้ว! ผมหัวเสียจริงๆ เฮ้อ...ตะกี้ไปหลบอยู่ซะที่ไหนล่ะ สงสัยอยากจะเล่นจ๊ะเอ๋กับแฟนแล้วมาเคาะผิดห้อง
จะทำไงได้ล่ะครับ ก็ต้องลุกไปเปิดอยู่ดีแหละ!
ผมมองที่ตาแมวก่อน...ผู้หญิงคนเดิมยืนหันหลังให้ เห็นแต่ผมยาวเหยียดตรง และชุดแส็กสีเขียวๆ มีลายดอกไม้สีชมพูกระจายไปทั่วๆ ผมปลดทั้งล็อกและโซ่ เปิดประตูผาง...ลมเย็นๆ พัดสวนเข้ามาวูบหนึ่ง สงสัยผมจะเปิดประตูแรงไปหน่อยละมั้ง?
เหมือนเดิม! หน้าประตูว่างเปล่า เธอคงอยู่ห้องข้างๆ นี่เอง แล้วฉวยโอกาสไม่กี่วินาทีขณะผมปลดโซ่ แอบผลุบเข้าประตูไป!
เออ...ถ้างั้นก็ไม่น่าจะเคาะห้องผิดนี่นา
นี่เธอจะเล่นอะไรกันนะเนี่ย? หาเรื่องรบกวนคนอื่นเพื่อเอาสนุกคนเดียวเรอะไง?
ผมบ่นอุบอิบ...หนังจบเรื่องกำลังสต๊อปแอ๊กชั่นพอดี เสียอารมณ์ชะมัดเลยครับ!
ฉับพลัน ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนน้ำหยด แปะ...แปะ... มาจากเตียงข้างๆ อันว่างเปล่า ทำให้ผมหันขวับไปมองโดยสัญชาตญาณ
ทั้งห้องมีแต่แสงจากจอทีวีเท่านั้น เตียงที่ว่านั้นค่อนข้าง มืดสลัว แต่ก็ยังมองเห็นผู้หญิงผมยาวนั่งห้อยขาที่ขอบเตียง แต่งชุดแส็กออกสีเขียวๆ มีลายดอกไม้สีชมพูประไปทั่ว... ผมเธอปรกหน้าตาเพราะนั่งก้มหน้า สองแขนวางพาด ที่หน้าตัก ผมมองไปที่ข้อมือทั้งสองข้างมันเป็นแผล เหวอะหวะ เลือดไหลปรี่เหมือนก๊อกน้ำที่ปิดไม่สนิท
เลือดที่หยดนี่เองมันดังแปะ...แปะ...ผมลุกพรวดขึ้นยืน จ้องมองหญิงผู้นั้นชนิดตื่นตะลึง แทบไม่อยากเชื่อสายตา ตัวเอง...เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นกับผมได้ยังไงกัน?
จังหวะนั้นเองเธอเงยหน้าช้าๆ ขึ้นสบตาผม นรก เป็นพยาน! เธอไม่มีนัยน์ตา!
ตรงที่ควรเป็นนัยน์ตามันลึกกลวงเข้าไป เหมือนกับเราจ้องมองดูหุบเหวล้ำลึกไม่มีวันสิ้นสุด...ผมจะอยู่ทำไมล่ะครับนอกจากจะเผ่นอ้าวไปที่ประตูไม่คิดชีวิต...จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าปลดล็อกปลดโซ่ออกมาได้ยังไง
ในที่สุดผมก็วิ่งเตลิดเปิดเปิงลงมาถึงล็อบบี้เปล่าเปลี่ยวจนได้...พวกพนักงานที่หลังเคาน์เตอร์ดูจะไม่ตื่นเต้น หรือ แม้แต่แสดงความแปลกใจด้วยซ้ำไป
ผมอยู่จนเช้าแล้วให้คนเข้าไปช่วยเก็บของ ไม่ประชุมอะไรแล้วละครับ ขอกลับบ้านเลยทันที ใครถามอะไรก็บอกแต่ว่าปวดหัวหนักจนต้อง ไปหาแพทย์...เอาไว้ไปเล่าเรื่องขนหัวลุกที่กรุงเทพฯ แล้วกัน! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 11 มกราคม 2555
10 พฤษภาคม 2558
ผีเฝ้าถนน
"ชงโค" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากมหาสารคาม
"ขับเร็ว-ตายเร็ว!!"
บรรดาคำ (เขย่า) ขวัญที่ติดป้ายแพรวพราวริมถนนทั่วประเทศ ดิฉันมาสะดุดตาและสะดุดใจที่ขอนแก่น แหม...ต้องยอมรับว่าชอบอกชอบใจคำขวัญสั้นๆ ชิ้นนี้มากที่สุดเลยค่ะ
คำสั้นๆ จำง่าย สื่อสารตรงไปตรงมา เห็นครั้งเดียวจำได้ทันที
น่าเศร้าที่บรรดาตีนผีตีนปีศาจไม่สนใจแยแส คิดท่าเดียวว่าข้าแน่ ข้าเก่ง รอดตายมานับครั้งไม่ถ้วน จนสถิติคนบาดเจ็บล้มตายเพราะอุบัติเหตุปีใหม่ปีนี้พอฟัดพอเหวี่ยงกับปีกลายปีก่อนๆ เพราะความประมาทนี่เอง
ที่น่าสลดใจก็คือไม่ใช่แค่ตัวเองกับผู้คนในรถไม่ว่ารถใหญ่หรือรถเล็ก โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ที่ครองแชมป์อุบัติเหตุ ทำให้คนเจ็บคนตาย หรือกลายเป็นคนพิกลพิการมากที่สุด แต่ยังทำให้คนอื่นๆ ที่ตามหลังกับสวนทางมา ต้องประสบกับชะตากรรมน่าสลดใจไปด้วยโดยไม่มีความผิดนี่ซีคะ
ไหนจะชนคนตาย ไหนจะต้องสยดสยองไปกับภาพแหลกเหลวเละเทะ ของทั้งรถยนต์และร่างกายของเพื่อนมนุษย์ที่แทบจะเหลือแต่ซาก
คอขาด แขนขาด แข้งขาไปอีกทาง เลือดแดงฉานไหลนองตามท้องถนนราวกับลำธารโลหิตยังไงยังงั้น!
เทศกาลปีใหม่ผ่านไปครั้งใด ดิฉันต้องหวนนึกไปถึงประสบการณ์ขนหัวลุกของตัวเอง แม้ว่าจะผ่านไปหลายปีแล้วตั้งแต่ยังไม่รณรงค์เรื่องนี้จริงๆ จังๆ ราว กับมันเพิ่งเกิดขึ้นหยกๆ ไม่กี่วันนี่เอง
ปีนั้นครอบครัวเราขับรถไปฉลองปีใหม่ที่บ้านเกิดสามี จังหวัดมหาสารคาม หรือนครตักศิลาเพราะมีสถานศึกษามากมายที่สุดในภาคอีสาน
เราเจอะเจอกับเหตุการณ์น่าสยดสยองที่สุดในชีวิตช่วงเดินทางขาไปนั่นเอง!
สามีขับรถนั่งคู่กับลูกชายวัย 8 ขวบ ส่วนดิฉันนั่งหลังกับลูกสาวคนเล็กวัย 5 ขวบ ตอนออกจากกรุงเทพฯ ช่วงบ่ายก็ยังคุยกันสนุกสนานดีหรอกค่ะ แต่เมื่อไปทานอาหารเย็นที่สีมาธานี และออกเดินทางต่อได้ไม่นานก็เริ่มโพล้เพล้แล้ว ทราบแต่สามีบอกว่าจะใช้ทางลัดเพื่อหลีกเลี่ยงรถติด
เสียงพูดคุยเงียบหาย เราแม่ลูกทั้งสามคนเข้าตำราหนังท้องตึง-หนังตาหย่อน เพราะหมี่ผัดโคราชอร่อยมาก แถมตบท้ายด้วยไอศกรีมคนละถ้วยอีกค่ะ
คลับคล้ายคลับคลาว่ารถแล่นเร็วแม้จะเป็นเลนเดียว สองข้างทางมืดสลัว ลมพัดแรงดังเข้ามา...ดิฉันคงจะกอดลูกเคลิ้มหลับไปนาน มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็เพราะรถเบรกอย่างแรงแทบหัวคะมำ ลืมตาโพลงก็พบว่าลูกสาวหลับอยู่กับตัก ส่วนลูกชายเพิ่งจะงัวเงียขึ้นมา
"เกิดอุบัติเหตุข้างหน้า"
เสียงสามีทำให้ประสาทตื่นตัวเต็มที่ ตอนนั้นรถเราชะลอจนใกล้จะหยุดอยู่แล้ว ครั้นชะเง้อมองไปตามแสงไฟหน้ารถก็เสียววาบไปตามไขสันหลัง ขนลุกซ่า หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นชั่วขณะ
รถบรรทุกหลุดลงไปตะแคงเค้เก้อยู่ริมทาง ใกล้ๆ กันมีรถกระบะพังยับเยินจนดูเหมือนจะเหลือแต่ซาก ศพเกลื่อนกลาดตามข้างถนน ทั้งหญิงและชายล้วนแต่หน้าตาเนื้อตัวเละเทะ แขนขาขาดน่าสยอง...แว่บเดียว ที่เห็นก็รู้แน่ว่าผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดเสียชีวิตแล้ว
เลือดแดงฉานไหลนองเต็มถนนไปหมด เหมือนใครเอาน้ำสีแดงๆ ที่ทั้งข้นและเหนียวมาสาดไว้กระนั้น!
ดิฉันใจหวิวๆ เหมือนจะเป็นลม บอกสามีเสียงสั่นเครือว่าให้รีบขับผ่านไปเถอะ เพราะเราช่วยเหลืออะไรพวกเขาไม่ได้แล้ว นอกจากจะรอเจ้าหน้าที่ตำรวจกับมูลนิธิมาช่วย...แต่สามีกลืนน้ำลาย ออกรถช้าๆ ตอบด้วยเสียงแหบแห้งว่า
"ดูเหมือนจะเกิดเหตุตั้งนานแล้ว ทำไมไม่มีใครมา..."
เสียงนั้นขาดหายเมื่อมีเสียงยอดไม้สะบัดกิ่งใบเกรียวกราว ราวกับเป็นเสียงใครกำลังหัวเราะอย่างครื้นเครง...ดิฉันปากคอแห้งผาก หันขวับไปมองข้างหลังด้วยแรงสังหรณ์อะไรบางอย่าง...แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย
อีกราวครึ่งชั่วโมงก็ถึงบ้านสามี...มองดูล้อรถทั้งสี่ไม่มีเปื้อนเลือดแม้หยดเดียว!
หลังจากกราบไหว้ทักถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว ดิฉันก็เล่าเรื่องสยองขวัญที่เพิ่งประสบมาหยกๆ เล่นเอาพ่อแม่หันมองหน้ากัน...หน้าตาซีดเซียวทั้งคู่ เล่าว่ารถกระบะโผล่ออกจากซอยเล็กขึ้นถนนกะทันหัน โดนชนโครมตายหมดทั้งคันรวม 7 คน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อตอนสายๆ นี่เอง...ภาพที่ดิฉันกับสามีและลูกชายเห็นเต็มตามาไม่นานคืออะไรล่ะคะ? นึกแล้วขนหัวลุกค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 10 มกราคม 2555
"ขับเร็ว-ตายเร็ว!!"
บรรดาคำ (เขย่า) ขวัญที่ติดป้ายแพรวพราวริมถนนทั่วประเทศ ดิฉันมาสะดุดตาและสะดุดใจที่ขอนแก่น แหม...ต้องยอมรับว่าชอบอกชอบใจคำขวัญสั้นๆ ชิ้นนี้มากที่สุดเลยค่ะ
คำสั้นๆ จำง่าย สื่อสารตรงไปตรงมา เห็นครั้งเดียวจำได้ทันที
น่าเศร้าที่บรรดาตีนผีตีนปีศาจไม่สนใจแยแส คิดท่าเดียวว่าข้าแน่ ข้าเก่ง รอดตายมานับครั้งไม่ถ้วน จนสถิติคนบาดเจ็บล้มตายเพราะอุบัติเหตุปีใหม่ปีนี้พอฟัดพอเหวี่ยงกับปีกลายปีก่อนๆ เพราะความประมาทนี่เอง
ที่น่าสลดใจก็คือไม่ใช่แค่ตัวเองกับผู้คนในรถไม่ว่ารถใหญ่หรือรถเล็ก โดยเฉพาะมอเตอร์ไซค์ที่ครองแชมป์อุบัติเหตุ ทำให้คนเจ็บคนตาย หรือกลายเป็นคนพิกลพิการมากที่สุด แต่ยังทำให้คนอื่นๆ ที่ตามหลังกับสวนทางมา ต้องประสบกับชะตากรรมน่าสลดใจไปด้วยโดยไม่มีความผิดนี่ซีคะ
ไหนจะชนคนตาย ไหนจะต้องสยดสยองไปกับภาพแหลกเหลวเละเทะ ของทั้งรถยนต์และร่างกายของเพื่อนมนุษย์ที่แทบจะเหลือแต่ซาก
คอขาด แขนขาด แข้งขาไปอีกทาง เลือดแดงฉานไหลนองตามท้องถนนราวกับลำธารโลหิตยังไงยังงั้น!
เทศกาลปีใหม่ผ่านไปครั้งใด ดิฉันต้องหวนนึกไปถึงประสบการณ์ขนหัวลุกของตัวเอง แม้ว่าจะผ่านไปหลายปีแล้วตั้งแต่ยังไม่รณรงค์เรื่องนี้จริงๆ จังๆ ราว กับมันเพิ่งเกิดขึ้นหยกๆ ไม่กี่วันนี่เอง
ปีนั้นครอบครัวเราขับรถไปฉลองปีใหม่ที่บ้านเกิดสามี จังหวัดมหาสารคาม หรือนครตักศิลาเพราะมีสถานศึกษามากมายที่สุดในภาคอีสาน
เราเจอะเจอกับเหตุการณ์น่าสยดสยองที่สุดในชีวิตช่วงเดินทางขาไปนั่นเอง!
สามีขับรถนั่งคู่กับลูกชายวัย 8 ขวบ ส่วนดิฉันนั่งหลังกับลูกสาวคนเล็กวัย 5 ขวบ ตอนออกจากกรุงเทพฯ ช่วงบ่ายก็ยังคุยกันสนุกสนานดีหรอกค่ะ แต่เมื่อไปทานอาหารเย็นที่สีมาธานี และออกเดินทางต่อได้ไม่นานก็เริ่มโพล้เพล้แล้ว ทราบแต่สามีบอกว่าจะใช้ทางลัดเพื่อหลีกเลี่ยงรถติด
เสียงพูดคุยเงียบหาย เราแม่ลูกทั้งสามคนเข้าตำราหนังท้องตึง-หนังตาหย่อน เพราะหมี่ผัดโคราชอร่อยมาก แถมตบท้ายด้วยไอศกรีมคนละถ้วยอีกค่ะ
คลับคล้ายคลับคลาว่ารถแล่นเร็วแม้จะเป็นเลนเดียว สองข้างทางมืดสลัว ลมพัดแรงดังเข้ามา...ดิฉันคงจะกอดลูกเคลิ้มหลับไปนาน มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็เพราะรถเบรกอย่างแรงแทบหัวคะมำ ลืมตาโพลงก็พบว่าลูกสาวหลับอยู่กับตัก ส่วนลูกชายเพิ่งจะงัวเงียขึ้นมา
"เกิดอุบัติเหตุข้างหน้า"
เสียงสามีทำให้ประสาทตื่นตัวเต็มที่ ตอนนั้นรถเราชะลอจนใกล้จะหยุดอยู่แล้ว ครั้นชะเง้อมองไปตามแสงไฟหน้ารถก็เสียววาบไปตามไขสันหลัง ขนลุกซ่า หัวใจคล้ายจะหยุดเต้นชั่วขณะ
รถบรรทุกหลุดลงไปตะแคงเค้เก้อยู่ริมทาง ใกล้ๆ กันมีรถกระบะพังยับเยินจนดูเหมือนจะเหลือแต่ซาก ศพเกลื่อนกลาดตามข้างถนน ทั้งหญิงและชายล้วนแต่หน้าตาเนื้อตัวเละเทะ แขนขาขาดน่าสยอง...แว่บเดียว ที่เห็นก็รู้แน่ว่าผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดเสียชีวิตแล้ว
เลือดแดงฉานไหลนองเต็มถนนไปหมด เหมือนใครเอาน้ำสีแดงๆ ที่ทั้งข้นและเหนียวมาสาดไว้กระนั้น!
ดิฉันใจหวิวๆ เหมือนจะเป็นลม บอกสามีเสียงสั่นเครือว่าให้รีบขับผ่านไปเถอะ เพราะเราช่วยเหลืออะไรพวกเขาไม่ได้แล้ว นอกจากจะรอเจ้าหน้าที่ตำรวจกับมูลนิธิมาช่วย...แต่สามีกลืนน้ำลาย ออกรถช้าๆ ตอบด้วยเสียงแหบแห้งว่า
"ดูเหมือนจะเกิดเหตุตั้งนานแล้ว ทำไมไม่มีใครมา..."
เสียงนั้นขาดหายเมื่อมีเสียงยอดไม้สะบัดกิ่งใบเกรียวกราว ราวกับเป็นเสียงใครกำลังหัวเราะอย่างครื้นเครง...ดิฉันปากคอแห้งผาก หันขวับไปมองข้างหลังด้วยแรงสังหรณ์อะไรบางอย่าง...แต่ก็ไม่เห็นอะไรเลย
อีกราวครึ่งชั่วโมงก็ถึงบ้านสามี...มองดูล้อรถทั้งสี่ไม่มีเปื้อนเลือดแม้หยดเดียว!
หลังจากกราบไหว้ทักถามสารทุกข์สุกดิบกันแล้ว ดิฉันก็เล่าเรื่องสยองขวัญที่เพิ่งประสบมาหยกๆ เล่นเอาพ่อแม่หันมองหน้ากัน...หน้าตาซีดเซียวทั้งคู่ เล่าว่ารถกระบะโผล่ออกจากซอยเล็กขึ้นถนนกะทันหัน โดนชนโครมตายหมดทั้งคันรวม 7 คน
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อตอนสายๆ นี่เอง...ภาพที่ดิฉันกับสามีและลูกชายเห็นเต็มตามาไม่นานคืออะไรล่ะคะ? นึกแล้วขนหัวลุกค่ะ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 10 มกราคม 2555
08 พฤษภาคม 2558
ทางเปลี่ยว
ภาพนั้นดูไกลและเลือน แต่แล้วก็ค่อยๆ ชัดเจนพร้อมกับใกล้เข้ามา...ใกล้เข้ามาทุกที จนกระทั่งมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ชัดแจ้ง
จำได้ว่าตอนนั้นฉันไม่ได้สนใจเลย ว่าภาพที่เห็นจะปรากฏขึ้นในความฝัน หรือความเป็นจริงกันแน่? รู้แต่ว่ามีพลังดึงดูดเร้นลับที่ทำให้ต้องจ้องมองอย่างใจจอใจจ่อ จนกระทั่งไม่แยแสสิ่งอื่นๆ อีกต่อไป
นั่นคือภาพของเด็กๆ ทั้งชายและหญิงกลุ่มหนึ่ง อายุราว 5-6 ขวบ อยู่ในชุดนักเรียนน่ารัก กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่กับเครื่องเล่นมากมายกลางสนาม รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น และบ้างก็กำลังผลิดอกทั้งเหลืองและม่วงบานสะพรั่งอยู่เต็มต้น
เสียงหัวเราะเริงร่าด้วยความผาสุกดังแว่วมากระทบหู!
ชิงช้า ม้าหมุน กระดานเลื่อนและกระดานหก...แต่เมื่อจ้องมองให้ถี่ถ้วนอีกครั้งก็ต้องใจหาย เมื่อเห็นเด็กๆ กลุ่มหนึ่งที่แต่งกายขะมุกขะมอม ผอมโซ หน้าตาอมทุกข์จำนวนพอๆ กันก็ยืนจ้องมองมาจากขอบสนาม
ไม่ช้า ภาพต่างๆ ก็พร่าเลือนไป...
เมื่อชัดเจนขึ้นอีกครั้งก็ไม่มีเด็กๆ กลุ่มนั้นแล้ว มีแต่หนุ่มสาวเดินคลอเคลียกัน หัวเราะต่อกระซิกกันเป็นคู่ๆ บ้างก็มากันเป็นกลุ่ม และบ้างก็โดดเดี่ยวเดียวดาย แต่แววตาทอประกายของความหวัง ความใฝ่ฝันถึงอนาคตสดใสที่กำลังจะมาถึง และพวกเขาก็ยินดีที่จะเดินเข้าไปหามัน!
หนุ่มสาวอีกกลุ่มหนึ่งก็เดินผ่านมา...แต่คราวนี้แตกต่างกับกลุ่มแรกราวกลางวันอันแจ่มใส กับรัตติกาลอันมืดมนหม่นหมองเต็มประดา
พอดูออกว่าพวกเขามีทั้งคนกระเสือกกระสนหางานทำ หน้าดำคร่ำเครียด เหงื่อไหลไคลย้อย บ้างก็มีสารรูปผอมโซ ผิวพรรณแห้งแล้ง นัยน์ตาปราศจากชีวิตจิตใจ ดูสิ้นหวังหดหู่ บางครั้งก็ขุ่นขวางเหมือนคนติดยาเสพติด หรือไม่ก็เป็นคนจรจัดไร้ที่ซุกหัวนอน!
ภาพเหล่านั้นดูเต้นระริก พร่าเลือนราวกับเกิดจากพยับแดด...ก่อนจะชัดเจนขึ้นเป็นหญิงชายวัยกลางคน มีภาระกับครอบครัว รบรากับลูกเต้าวัยรุ่น การทะเลาะเบาะแว้งและตะเบ็งเสียงเข้าใส่กันโดยไม่ลดละ
พวกผู้ชายในวงเหล้า พวกผู้หญิงในวงไพ่ มีความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าสิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้ความทุกข์และคับแค้นใจต่างๆ นานาให้บรรเทาลง
น้อยรายเต็มทีที่จะยิ้มแย้ม หัวเราะกับใครๆ ด้วยเสียงเริงร่า โดยซุกซ่อนน้ำตาเอาไว้ในอกตัวเอง
...และแล้ว ภาพที่น่าเกลียดน่ากลัวก็เหลื่อมซ้อนเข้ามาแทนที่บัดดล!
นั่นคือภาพชัดเจนของคนแก่เฒ่าทั้งหญิงและชาย กินยาเป็นกำมือราวกินอาหาร ผมหงอกขาว บ้างหลังงอคุ้ม บ้างก็พยุงกายด้วยไม้เท้า บ้างนั่งนิ่งเหมือนหุ่นยนต์อยู่บนรถเข็น มีทั้งคนพิการ ตาบอด หูหนวก มีรอยยิ้มไม่ผิดอะไรกับคนปัญญาอ่อน
บ้างก็ต้องมีคนคอยป้อนข้าวป้อนน้ำ เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ หนักกว่านั้นก็นอนแซ่วอยู่บนเตียง อุปกรณ์ช่วยชีวิตระโยงระยางทั้งใบหน้าและลำตัว
นัยน์ตาสีน้ำข้าวเบิกโพลง จ้องมองไร้จุดหมาย ว้าเหว่และสิ้นหวังใดๆ อีกต่อไป!
ไม่ช้าไม่นาน ฉันก็เห็นร่างอ่อนปวกเปียก นัยน์ตาปิดสนิทจมอยู่ในเบ้าลึกโหล มีสำลีจุกที่รูจมูกทั้งสองข้าง ถูกจับหย่อนใส่โลงแคบๆ ก่อนจะนำไปทำพิธีอะไรที่มีพวกคนหนุ่มสาวจัดการให้ แล้วนำเข้าสู่เตาไฟร้อนแรง หรือไม่ก็ถูกฝังกลบเรียบร้อย ท่าม กลางเสียงสะอึกสะอื้นพอเป็นพิธี...
คุณพระช่วย! ร่างนั้นดิ้นรนอยู่ในกองเพลิงที่กำลังแผดเผาเนื้อหนังมังสา แม้ว่าจะแผดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเพียงใดก็ไม่มีใครได้ยินแม้แต่คนเดียว!
ร่างที่ลืมตาโพลงอยู่ใต้ดินเล่า? ต่างกระเสือกกระสนด้วยความหวาดกลัว ขณะที่สัตว์เลื้อยคลาน น้อยใหญ่คืบคลานเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะกลุ้มรุมกันกัดแทะกินด้วยความหิวโหยเต็มประดาจนกว่าจะเหลือแต่กระดูกขาวโพลน
หนทางไกลและเลือน...
ร่างดำเกรียม ขะมุกขะมอม เหลียวซ้ายแลขวาละล้าละลังไม่ผิดกับคนหลงทาง...เซซังไปตามทางเปลี่ยวอันน่าสยดสยอง ท่ามกลางความมืดสลัว อ้างว้างวังเวงและเย็นยะเยือกจนทำให้ใจหาย แต่ไม่มีทางที่จะหลบหนีไปทางไหนได้สำเร็จ
เดินไป...และเดินไปสู่จุดหมายปลายทางอันเร้นลับ ไม่มีใครรู้เห็น...ไม่มีใครจะหลบหลีจากเส้นทางนี้ได้เลยแม้แต่คนเดียว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 6 มกราคม 2555
จำได้ว่าตอนนั้นฉันไม่ได้สนใจเลย ว่าภาพที่เห็นจะปรากฏขึ้นในความฝัน หรือความเป็นจริงกันแน่? รู้แต่ว่ามีพลังดึงดูดเร้นลับที่ทำให้ต้องจ้องมองอย่างใจจอใจจ่อ จนกระทั่งไม่แยแสสิ่งอื่นๆ อีกต่อไป
นั่นคือภาพของเด็กๆ ทั้งชายและหญิงกลุ่มหนึ่ง อายุราว 5-6 ขวบ อยู่ในชุดนักเรียนน่ารัก กำลังกระโดดโลดเต้นอยู่กับเครื่องเล่นมากมายกลางสนาม รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น และบ้างก็กำลังผลิดอกทั้งเหลืองและม่วงบานสะพรั่งอยู่เต็มต้น
เสียงหัวเราะเริงร่าด้วยความผาสุกดังแว่วมากระทบหู!
ชิงช้า ม้าหมุน กระดานเลื่อนและกระดานหก...แต่เมื่อจ้องมองให้ถี่ถ้วนอีกครั้งก็ต้องใจหาย เมื่อเห็นเด็กๆ กลุ่มหนึ่งที่แต่งกายขะมุกขะมอม ผอมโซ หน้าตาอมทุกข์จำนวนพอๆ กันก็ยืนจ้องมองมาจากขอบสนาม
ไม่ช้า ภาพต่างๆ ก็พร่าเลือนไป...
เมื่อชัดเจนขึ้นอีกครั้งก็ไม่มีเด็กๆ กลุ่มนั้นแล้ว มีแต่หนุ่มสาวเดินคลอเคลียกัน หัวเราะต่อกระซิกกันเป็นคู่ๆ บ้างก็มากันเป็นกลุ่ม และบ้างก็โดดเดี่ยวเดียวดาย แต่แววตาทอประกายของความหวัง ความใฝ่ฝันถึงอนาคตสดใสที่กำลังจะมาถึง และพวกเขาก็ยินดีที่จะเดินเข้าไปหามัน!
หนุ่มสาวอีกกลุ่มหนึ่งก็เดินผ่านมา...แต่คราวนี้แตกต่างกับกลุ่มแรกราวกลางวันอันแจ่มใส กับรัตติกาลอันมืดมนหม่นหมองเต็มประดา
พอดูออกว่าพวกเขามีทั้งคนกระเสือกกระสนหางานทำ หน้าดำคร่ำเครียด เหงื่อไหลไคลย้อย บ้างก็มีสารรูปผอมโซ ผิวพรรณแห้งแล้ง นัยน์ตาปราศจากชีวิตจิตใจ ดูสิ้นหวังหดหู่ บางครั้งก็ขุ่นขวางเหมือนคนติดยาเสพติด หรือไม่ก็เป็นคนจรจัดไร้ที่ซุกหัวนอน!
ภาพเหล่านั้นดูเต้นระริก พร่าเลือนราวกับเกิดจากพยับแดด...ก่อนจะชัดเจนขึ้นเป็นหญิงชายวัยกลางคน มีภาระกับครอบครัว รบรากับลูกเต้าวัยรุ่น การทะเลาะเบาะแว้งและตะเบ็งเสียงเข้าใส่กันโดยไม่ลดละ
พวกผู้ชายในวงเหล้า พวกผู้หญิงในวงไพ่ มีความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าสิ่งเหล่านั้นจะช่วยให้ความทุกข์และคับแค้นใจต่างๆ นานาให้บรรเทาลง
น้อยรายเต็มทีที่จะยิ้มแย้ม หัวเราะกับใครๆ ด้วยเสียงเริงร่า โดยซุกซ่อนน้ำตาเอาไว้ในอกตัวเอง
...และแล้ว ภาพที่น่าเกลียดน่ากลัวก็เหลื่อมซ้อนเข้ามาแทนที่บัดดล!
นั่นคือภาพชัดเจนของคนแก่เฒ่าทั้งหญิงและชาย กินยาเป็นกำมือราวกินอาหาร ผมหงอกขาว บ้างหลังงอคุ้ม บ้างก็พยุงกายด้วยไม้เท้า บ้างนั่งนิ่งเหมือนหุ่นยนต์อยู่บนรถเข็น มีทั้งคนพิการ ตาบอด หูหนวก มีรอยยิ้มไม่ผิดอะไรกับคนปัญญาอ่อน
บ้างก็ต้องมีคนคอยป้อนข้าวป้อนน้ำ เช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ หนักกว่านั้นก็นอนแซ่วอยู่บนเตียง อุปกรณ์ช่วยชีวิตระโยงระยางทั้งใบหน้าและลำตัว
นัยน์ตาสีน้ำข้าวเบิกโพลง จ้องมองไร้จุดหมาย ว้าเหว่และสิ้นหวังใดๆ อีกต่อไป!
ไม่ช้าไม่นาน ฉันก็เห็นร่างอ่อนปวกเปียก นัยน์ตาปิดสนิทจมอยู่ในเบ้าลึกโหล มีสำลีจุกที่รูจมูกทั้งสองข้าง ถูกจับหย่อนใส่โลงแคบๆ ก่อนจะนำไปทำพิธีอะไรที่มีพวกคนหนุ่มสาวจัดการให้ แล้วนำเข้าสู่เตาไฟร้อนแรง หรือไม่ก็ถูกฝังกลบเรียบร้อย ท่าม กลางเสียงสะอึกสะอื้นพอเป็นพิธี...
คุณพระช่วย! ร่างนั้นดิ้นรนอยู่ในกองเพลิงที่กำลังแผดเผาเนื้อหนังมังสา แม้ว่าจะแผดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดเพียงใดก็ไม่มีใครได้ยินแม้แต่คนเดียว!
ร่างที่ลืมตาโพลงอยู่ใต้ดินเล่า? ต่างกระเสือกกระสนด้วยความหวาดกลัว ขณะที่สัตว์เลื้อยคลาน น้อยใหญ่คืบคลานเข้ามาหาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะกลุ้มรุมกันกัดแทะกินด้วยความหิวโหยเต็มประดาจนกว่าจะเหลือแต่กระดูกขาวโพลน
หนทางไกลและเลือน...
ร่างดำเกรียม ขะมุกขะมอม เหลียวซ้ายแลขวาละล้าละลังไม่ผิดกับคนหลงทาง...เซซังไปตามทางเปลี่ยวอันน่าสยดสยอง ท่ามกลางความมืดสลัว อ้างว้างวังเวงและเย็นยะเยือกจนทำให้ใจหาย แต่ไม่มีทางที่จะหลบหนีไปทางไหนได้สำเร็จ
เดินไป...และเดินไปสู่จุดหมายปลายทางอันเร้นลับ ไม่มีใครรู้เห็น...ไม่มีใครจะหลบหลีจากเส้นทางนี้ได้เลยแม้แต่คนเดียว!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 6 มกราคม 2555
07 พฤษภาคม 2558
เดชผีพราย
"สิงห์น้อย" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากวังขุนบาล ชลบุรี
เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจะเคยได้ยินชื่อผีชนิดหนึ่งคือ "ผีพราย" หรือ "ผีน้ำ" มาแล้ว มันชอบสิงสู่อยู่ทั้งในแม่น้ำ ห้วย หนอง คลองบึง รวมทั้ง "วัง" ที่อยู่ใต้น้ำเช่น วังจระเข้ เป็นต้น
เหตุการณ์น่าขนลุกขนพองเรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ไกลจากบ้านผม คือชลบุรีนี่เอง!
เมื่อหลายสิบปีก่อนบริเวณนั้นถือว่าค่อนข้างไกลจากตัวเมือง แต่มีแหล่งน้ำต่างๆ มากมาย ทั้งในเขตที่เป็นป่าไม้บ้าง และทั้งในเขตที่ลุ่มสำหรับทำไร่ทำนาบ้าง มีแหล่งน้ำที่ชาวบ้านเรียกว่าวังบ้าง เนื่องจากมีน้ำขังอยู่โดยยากนักที่จะแห้งแล้งง่ายๆ
วังนี้หมายถึง วังบัวบาน, วังน้ำวน, วังพญานาค ฯลฯ วังที่เกิดเหตุน่าขนหัวลุกแถวบ้านผมคือ "วังขุนบาล" ครับ
วังนี้ล้อมรอบด้วยป่ากล้วย นาข้าว ต้นไม้ใหญ่น้อยที่ขึ้นปกคลุมรอบวัง มีทั้งต้นยางนา ต้นข่อย ต้นทองหลางและสะเดาป่า เถาวัลย์ก็ขึ้นระโยงระยางเต็มไปหมด มีตลิ่งและร่องน้ำเซาะลงไปสู่วังสูงราวหนึ่งเมตร
ที่ข้างตลิ่งนั้นมีท่าสำหรับวัวควายลงไปกินน้ำในวัง ทั้งยังเป็นที่เล่นน้ำของพวกเด็กเลี้ยงควายอีกด้วย!
สมัยเด็กอายุสิบกว่าขวบแล้ว ผมยังเคยแก้ผ้าโดดน้ำตูมๆ เล่นในวังกับเพื่อนๆ เลยครับ สนุกดี
ถัดจากบริเวณนั้นมีต้นไม้หนาทึบปกคลุมร่มครึ้ม ใบไม้กิ่งไม้โน้มลงมาติดผิวน้ำ ไม่มีใครกล้าเข้าไปเล่นที่นั่นเพราะผู้ใหญ่ขู่ว่าเป็นที่สิงสถิตของผีพราย เคยมีเด็กซุกซนจมหายไปแล้วหลายคน ก่อนจะกลายเป็น ศพลอยอืดขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น
เมื่อยามโพล้เพล้ มีคนเคยเห็นดวงไฟเขียวๆ ลอยไปมาอยู่เหนือบริเวณน้ำลึกที่ว่านั้น ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นวิญญาณที่สิงสู่อยู่ในน้ำ หรือผีพรายที่รอคอยโอกาสพาเพื่อนใหม่ไปอยู่ด้วย...เมื่อดวงไฟลอยไปมาสักพักก็จะพุ่งวูบลงน้ำ เสียงดังโผงผางเหมือนปลาฮุบเหยื่อไม่มีผิด!
ใกล้วังนั้นมีทางเดินเล็กๆ สำหรับชาวบ้านที่เดินไปไร่ไปนา สองข้างทางรกชัฏด้วยพงหญ้าขึ้นสูงท่วมหัว ส่วนมากมักจะเกิดความเคยชินมากกว่าความหวาดกลัว
วันเกิดเหตุเย็นมากแล้ว...
สวย-เด็กหญิงวัยใกล้รุ่น พ่อแม่เป็นชาวนา หลังจากเลิกเรียนในตอนเย็นแทนที่จะมีโอกาสได้ไปวิ่งเล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆ สวยต้องรับหน้าที่พาควายไปกินหญ้า...ส่วนมากมักจะเป็นแถวใกล้ๆ วังขุนบาลที่มีหญ้าขึ้นงอกงามกว่าที่อื่น
เลยค่ำไปแล้ว แต่สวยยังไม่พาควายกลับบ้านเสียที!
พ่อของเธออดรนทนรออีกไม่ไหว ต้องออกไปตามหาลูกสาวด้วยความห่วงใย จนกระทั่งเข้าเขตวังขุนบาล หรือที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า "วังผีพราย" แต่บริเวณนั้นก็เงียบเชียบเยือกเย็น บรรยากาศวิเวกวังเวงน่าขนลุก...ไม่มีวี่แววของสวยเลยแม้แต่นิดเดียว
ทันใดนั้นเอง เสียงตูมสนั่นก็ขึ้นใกล้ๆ หู จนพ่อผู้ตามหาลูกสาวถึงกับสะดุ้งโหยง หันขวับไปเห็นเจ้าทุยที่ลูกสาวนำไปเลี้ยง ว่ายอยู่ในน้ำจนกระเพื่อมเป็นวงกว้างอยู่ในแสงจันทร์ข้างขึ้น มันกำลังว่ายน้ำหนีอะไรสักอย่างมุ่งหน้าขึ้นตลิ่งที่เด็กๆ ชอบมาเล่นน้ำกัน...แต่ไร้ร่องรอยของลูกสาวโดยสิ้นเชิง!
อากาศยิ่งเย็นยะเยือกลงทุกที แมลงกลางคืนเงียบฉี่ ความวังเวงปกคลุมไปทั่ว พ่อของสวยจำใจต้อนเจ้าทุยกลับบ้าน กลัดกลุ้มใจจะขาดเพราะห่วงใยลูกสาว...ไม่รู้ว่าสวยหายไปไหนกันแน่? จนข่มตาแทบไม่ลงไปตลอดคืน
รุ่งเช้า มีเด็กๆ ที่เลี้ยงควายด้วยกันมาเล่าเรื่องว่า สวยไล่ตามควายอีกตัวเข้าไปแถววังผีพราย โดยเกาะหลัง ควายที่เธอเลี้ยงเข้าไป...เห็นผู้หญิงที่ไม่มีหน้า มีแต่ผมยาวสยายกระจายอยู่ในน้ำลากตัวสวยจมดิ่งลงไปด้วยกัน ควายก็ตื่นตกใจวิ่งขึ้นฝั่งไป
พ่อของสวยได้ฟังก็เข่าอ่อน ซบหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสองข้าง ร้องไห้โฮทันใด ตัดสินใจไปนิมนต์พระมาเรียกวิญญาณลูกสาว ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ของชาวบ้านที่มามุงดูด้วยความตื่นเต้นสนใจ
"โพล่ง!!" เสียงนั้นทำให้แทบทุกคนผงะหน้า เบิกตาโพลงเมื่อเห็นร่างซีดเซียวของสวยผุดโผล่ขึ้นมา ร่างเขียวคล้ำ นัยน์ตาเหลือกลานด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัวสุดขีดก่อนสิ้นลมหายใจ...ลำคอเธอมีผมเส้นยาวๆ ราวกำมือรัดเอาไว้แน่น
ตั้งแต่นั้นมา ชาวบ้านในย่านนั้นจะได้ยินเสียงร้องของเด็กในตอนใกล้ค่ำ และดวงไฟเขียวๆ วนเวียนอยู่เสมอ ไม่มีใครกล้ามาเล่นน้ำที่นั่นอีกต่อไปเพราะหวาดกลัวผีพรายที่ดุร้ายเหลือกำลัง...ปัจจุบัน นี้กลายเป็นบ้านจัดสรรไปแล้วครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 5 มกราคม 2555
เชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจะเคยได้ยินชื่อผีชนิดหนึ่งคือ "ผีพราย" หรือ "ผีน้ำ" มาแล้ว มันชอบสิงสู่อยู่ทั้งในแม่น้ำ ห้วย หนอง คลองบึง รวมทั้ง "วัง" ที่อยู่ใต้น้ำเช่น วังจระเข้ เป็นต้น
เหตุการณ์น่าขนลุกขนพองเรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ไกลจากบ้านผม คือชลบุรีนี่เอง!
เมื่อหลายสิบปีก่อนบริเวณนั้นถือว่าค่อนข้างไกลจากตัวเมือง แต่มีแหล่งน้ำต่างๆ มากมาย ทั้งในเขตที่เป็นป่าไม้บ้าง และทั้งในเขตที่ลุ่มสำหรับทำไร่ทำนาบ้าง มีแหล่งน้ำที่ชาวบ้านเรียกว่าวังบ้าง เนื่องจากมีน้ำขังอยู่โดยยากนักที่จะแห้งแล้งง่ายๆ
วังนี้หมายถึง วังบัวบาน, วังน้ำวน, วังพญานาค ฯลฯ วังที่เกิดเหตุน่าขนหัวลุกแถวบ้านผมคือ "วังขุนบาล" ครับ
วังนี้ล้อมรอบด้วยป่ากล้วย นาข้าว ต้นไม้ใหญ่น้อยที่ขึ้นปกคลุมรอบวัง มีทั้งต้นยางนา ต้นข่อย ต้นทองหลางและสะเดาป่า เถาวัลย์ก็ขึ้นระโยงระยางเต็มไปหมด มีตลิ่งและร่องน้ำเซาะลงไปสู่วังสูงราวหนึ่งเมตร
ที่ข้างตลิ่งนั้นมีท่าสำหรับวัวควายลงไปกินน้ำในวัง ทั้งยังเป็นที่เล่นน้ำของพวกเด็กเลี้ยงควายอีกด้วย!
สมัยเด็กอายุสิบกว่าขวบแล้ว ผมยังเคยแก้ผ้าโดดน้ำตูมๆ เล่นในวังกับเพื่อนๆ เลยครับ สนุกดี
ถัดจากบริเวณนั้นมีต้นไม้หนาทึบปกคลุมร่มครึ้ม ใบไม้กิ่งไม้โน้มลงมาติดผิวน้ำ ไม่มีใครกล้าเข้าไปเล่นที่นั่นเพราะผู้ใหญ่ขู่ว่าเป็นที่สิงสถิตของผีพราย เคยมีเด็กซุกซนจมหายไปแล้วหลายคน ก่อนจะกลายเป็น ศพลอยอืดขึ้นมาในวันรุ่งขึ้น
เมื่อยามโพล้เพล้ มีคนเคยเห็นดวงไฟเขียวๆ ลอยไปมาอยู่เหนือบริเวณน้ำลึกที่ว่านั้น ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นวิญญาณที่สิงสู่อยู่ในน้ำ หรือผีพรายที่รอคอยโอกาสพาเพื่อนใหม่ไปอยู่ด้วย...เมื่อดวงไฟลอยไปมาสักพักก็จะพุ่งวูบลงน้ำ เสียงดังโผงผางเหมือนปลาฮุบเหยื่อไม่มีผิด!
ใกล้วังนั้นมีทางเดินเล็กๆ สำหรับชาวบ้านที่เดินไปไร่ไปนา สองข้างทางรกชัฏด้วยพงหญ้าขึ้นสูงท่วมหัว ส่วนมากมักจะเกิดความเคยชินมากกว่าความหวาดกลัว
วันเกิดเหตุเย็นมากแล้ว...
สวย-เด็กหญิงวัยใกล้รุ่น พ่อแม่เป็นชาวนา หลังจากเลิกเรียนในตอนเย็นแทนที่จะมีโอกาสได้ไปวิ่งเล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆ สวยต้องรับหน้าที่พาควายไปกินหญ้า...ส่วนมากมักจะเป็นแถวใกล้ๆ วังขุนบาลที่มีหญ้าขึ้นงอกงามกว่าที่อื่น
เลยค่ำไปแล้ว แต่สวยยังไม่พาควายกลับบ้านเสียที!
พ่อของเธออดรนทนรออีกไม่ไหว ต้องออกไปตามหาลูกสาวด้วยความห่วงใย จนกระทั่งเข้าเขตวังขุนบาล หรือที่ชาวบ้านเรียกขานกันว่า "วังผีพราย" แต่บริเวณนั้นก็เงียบเชียบเยือกเย็น บรรยากาศวิเวกวังเวงน่าขนลุก...ไม่มีวี่แววของสวยเลยแม้แต่นิดเดียว
ทันใดนั้นเอง เสียงตูมสนั่นก็ขึ้นใกล้ๆ หู จนพ่อผู้ตามหาลูกสาวถึงกับสะดุ้งโหยง หันขวับไปเห็นเจ้าทุยที่ลูกสาวนำไปเลี้ยง ว่ายอยู่ในน้ำจนกระเพื่อมเป็นวงกว้างอยู่ในแสงจันทร์ข้างขึ้น มันกำลังว่ายน้ำหนีอะไรสักอย่างมุ่งหน้าขึ้นตลิ่งที่เด็กๆ ชอบมาเล่นน้ำกัน...แต่ไร้ร่องรอยของลูกสาวโดยสิ้นเชิง!
อากาศยิ่งเย็นยะเยือกลงทุกที แมลงกลางคืนเงียบฉี่ ความวังเวงปกคลุมไปทั่ว พ่อของสวยจำใจต้อนเจ้าทุยกลับบ้าน กลัดกลุ้มใจจะขาดเพราะห่วงใยลูกสาว...ไม่รู้ว่าสวยหายไปไหนกันแน่? จนข่มตาแทบไม่ลงไปตลอดคืน
รุ่งเช้า มีเด็กๆ ที่เลี้ยงควายด้วยกันมาเล่าเรื่องว่า สวยไล่ตามควายอีกตัวเข้าไปแถววังผีพราย โดยเกาะหลัง ควายที่เธอเลี้ยงเข้าไป...เห็นผู้หญิงที่ไม่มีหน้า มีแต่ผมยาวสยายกระจายอยู่ในน้ำลากตัวสวยจมดิ่งลงไปด้วยกัน ควายก็ตื่นตกใจวิ่งขึ้นฝั่งไป
พ่อของสวยได้ฟังก็เข่าอ่อน ซบหน้าลงบนฝ่ามือทั้งสองข้าง ร้องไห้โฮทันใด ตัดสินใจไปนิมนต์พระมาเรียกวิญญาณลูกสาว ท่ามกลางสายตาหลายสิบคู่ของชาวบ้านที่มามุงดูด้วยความตื่นเต้นสนใจ
"โพล่ง!!" เสียงนั้นทำให้แทบทุกคนผงะหน้า เบิกตาโพลงเมื่อเห็นร่างซีดเซียวของสวยผุดโผล่ขึ้นมา ร่างเขียวคล้ำ นัยน์ตาเหลือกลานด้วยความเจ็บปวดและหวาดกลัวสุดขีดก่อนสิ้นลมหายใจ...ลำคอเธอมีผมเส้นยาวๆ ราวกำมือรัดเอาไว้แน่น
ตั้งแต่นั้นมา ชาวบ้านในย่านนั้นจะได้ยินเสียงร้องของเด็กในตอนใกล้ค่ำ และดวงไฟเขียวๆ วนเวียนอยู่เสมอ ไม่มีใครกล้ามาเล่นน้ำที่นั่นอีกต่อไปเพราะหวาดกลัวผีพรายที่ดุร้ายเหลือกำลัง...ปัจจุบัน นี้กลายเป็นบ้านจัดสรรไปแล้วครับ!
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 5 มกราคม 2555
06 พฤษภาคม 2558
เมียผี
'ดำรงรักษ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องเช่ากลางกรุง
สมัยหนุ่มผมเช่าห้องอยู่กับเพื่อนที่หลังวัดแคนางเลิ้ง เป็นบ้านไม้สองชั้นกั้นเป็นห้องๆ ไม่มีตู้เตียงอะไรเลย ผู้เช่าต้องหาซื้อเอาเอง...นี่ไงครับที่เขาเรียกว่า เสื่อผืนหมอนใบ!
ตอนแรกเราต้องนอนบนพื้นกระดานลุ่นๆ อาศัยเสื้อผ้าแทนหมอน ใช้ผ้าขาวม้าต่างผ้าห่ม มีมุ้งกันยุงได้ก็ดีถมไป ต่อมาถึงได้ซื้อเสื่อจันทบูรกับผ้าห่มสีขี้ม้าของทหารจากตลาดนัดท้องสนามหลวงผืนละ 20 บาทมาห่มนอน
ผมมีเพื่อนชื่อลอนหน้าตาหล่อเหลา สูงใหญ่กำยำ ทำงานด้วยกันอยู่ในโรงงานน้ำอัดลมที่หลานหลวง อาศัยว่าเรายังหนุ่มแน่นก็ใช้แรงแลกเงินไปก่อน...มีข้าวกินกับที่ซุกหัวนอนก็ถือว่าดีแล้วสำหรับคนไร้การศึกษา หรือเด็กที่บ้านนอกอย่างพวกเรา
หลังจากมาเช่าห้องอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน ลอนก็รู้จักกับเด็กสาวๆ บ้านใกล้ห้องพักถึงสองคน เขาเอามาเล่าอย่างภูมิใจว่าเอื้องกับม่วยเป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ สองสาวเคยถามแปลกๆ ว่า...นอนห้องริมหน้าบ้านใช่ไหม? ไม่กลัวผีหลอกหรือ?!
ลอนตอบว่าใช่! เขาไม่ใช่คนกลัวผี เกิดมายังไม่เคยโดนผีหลอกซักครั้งเดียว
"ถ้ามีผีสวยๆ อย่างเธอสองคนก็อยากถูกหลอกเหมือนกัน ดูซิว่าผีสาวสวยจะหลอกยังไง? ขอให้มาจริงๆ เลยจะเกี้ยวผีให้ดู"
ลอนเป็นคนเจ้าชู้ปากไวอยู่แล้ว เขาเล่าว่าสองสาวยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก ม่วยหน้าแดง แต่ไม่วายต่อปากต่อคำว่า...ขอให้เก่งเหมือนปากเถอะ ไม่ช้าก็ต้องเจอดีแน่ๆ
เรายืนคุยกันที่หน้าต่าง มองไปเห็นบ้านเล็กเรือนน้อยเรียงรายและสุมทุมพุ่มไม้เขียวขจี หน้าบ้านมีต้นจำปีและมะพร้าวอยู่ใกล้รั้วไม้ระแนง ถัดเข้ามาเป็นโต๊ะสนามทำด้วยไม้แผ่นยาว ตอกติดกับม้านั่งทั้งสองฟาก
มีเสียงใครมาถอนใจแรงๆ อยู่ข้างหลัง ผมหันขวับแต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ นอกจากหลอดไฟที่ห้อยอยู่ข้างฝาหัวเตียงจะแกว่งไกวช้าๆ ก่อนจะหยุดนิ่งตามเดิม
เหตุการณ์สยองเกิดขึ้นในคืนนั้นเอง!
ผมกำลังนอนหลับสนิท จมดิ่งอยู่ในห้วงลึก แต่ความรู้สึกเหมือนกำลังตื่นตัวเต็มที่...อาจจะตกอยู่ในความฝันก็ได้ ที่ทำให้ผมมองเห็นผ้ามุ้งไหวนิดๆ ตามสายลมที่พัดโชยเข้ามาทางหน้าต่าง...มีเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นที่หน้าห้อง คงจะเป็นเพราะความเงียบเชียบของยามดึก จึงทำให้ได้ยินเสียงกระดานลั่นเอี๊ยดๆ ตามจังหวะเดิน
ใครคนหนึ่งอาจหยุดอยู่ตรงหน้าห้อง ครู่เดียวเสียงประตูก็เปิดแอ๊ดดด...ขณะที่ผมนอนตัวแข็งทื่อ จ้องมองแทบไม่กะพริบตา!
ประตูเปิดออกช้าๆ ผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏโดดเด่น และเธอก็ก้าวไปที่มุ้งลอนคล้ายกับผ่านเข้าไปเงียบเชียบ ก่อนจะทรุดลงเอนร่างเคียงข้างกับชายหนุ่มผู้หลับสนิท
เสียงทอดถอนใจดังแว่วมา...ภาพต่างๆ เลือนหายไปในราตรีมืดมิดโดยสิ้นเชิง
รุ่งขึ้นเป็นวันหยุดงาน ผมตื่นสายกว่าทุกวัน แต่ยังเห็นลอนนอนสลบไสลราวเกียจคร้านเต็มประดา จนกระทั่งลงไปล้างหน้าสีฟันที่ห้องน้ำชั้นล่างแล้ว ลอนเพิ่งจะงัวเงียตื่น ท่าทางงุนงง หน้าตาร่วงโรยซีดเซียวเหมือนกับอดหลับอดนอนมาตลอดคืน
ผมถามว่าเกิดอะไรขึ้น? ลอนก็ถอนใจยาว นัยน์ตาเลื่อนลอยไป...
เขาเล่าว่าขณะที่กำลังนอนหลับสนิทก็ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อเห็นผู้หญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในมุ้ง เอนร่างลงนอนเบียดเคล้า กลิ่นแป้งน้ำหอมกรุ่นและกลิ่นเนื้อสาวที่ทำให้เลือดหนุ่มแตกตื่น พลุ่งพล่านจนเกินจะระงับใจ!
สาวสวยผมยาว นัยน์ตากลมโตสุกใส กำลังเผยอยิ้มยั่วเย้า ก้มหน้าลงมาหาช้าๆ อกอวบโตคู่นั้นบดเบียดกับอกเขา ลอนป่ายแขนไปโอบรัดแผ่นหลังกลมกลึง คลึงเคล้าและลูบไล้ไปตามสะโพกผึ่งผายงอนงาม ใบหน้าขาวๆ ก็แนบกับใบหน้าเขา ลมหายใจเร่าร้อนไม่ผิดกับเปลวไฟที่กำลังลุกวู่วามและคึกคะนอง...
"เกิดมาข้าไม่เคยมีความสุขอย่างนี้มาก่อนเลย" ลอนยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองแล้วถอนใจยืดยาว "ไม่ว่าจะเป็นภูตผีที่ไหนก็มาเถอะ ข้าไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว..."
แทบจะไม่ขาดคำเสียงถอนใจยาวก็ดังขึ้นในห้องนั้น เล่นเอาผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว แม้จะกลัวแสนกลัวก็ไม่รู้จะหลบหนีไปอยู่ที่ไหน ตกค่ำเป็นต้องเข้ามุ้ง สวดมนต์ก่อนนอน...มองดูร่างผีสาวเปิดมุ้งเจ้าลอน หลับนอนแบบผัวเมียทุกๆ คืน
ไม่ถึงสองอาทิตย์ด้วยซ้ำ เพื่อนผมที่เคยกำยำล่ำสันก็ผอมโกรกจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก นัยน์ตาลึกกลวง หมดแรงไปทำงาน...เด็กสาวสองคนคือเอื้องกับม่วยถามถึง ผมก็บอกไปตามตรงว่าลอนได้เมียผีจนเกือบจะกลายเป็นผีอยู่รอมร่อ! เล่นเอาหน้าซีดขาวทั้งคู่
เย็นหนึ่ง เมื่อกลับถึงห้องพักก็เห็นคนมุงดูอยู่หน้าห้อง บางคนก็หันออกมาเป็นลมเป็นแล้งไป...ลอนกลายเป็นซากศพเน่าเฟะ ส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลเหมือนกับตายมาแล้วเกือบสิบวัน!
ผมต้องไปอาศัยนอนกับเพื่อนที่ตรอกขี้เถ้า ไม่อยากมีเมียผีน่ะซีครับ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 4 มกราคม 2555
สมัยหนุ่มผมเช่าห้องอยู่กับเพื่อนที่หลังวัดแคนางเลิ้ง เป็นบ้านไม้สองชั้นกั้นเป็นห้องๆ ไม่มีตู้เตียงอะไรเลย ผู้เช่าต้องหาซื้อเอาเอง...นี่ไงครับที่เขาเรียกว่า เสื่อผืนหมอนใบ!
ตอนแรกเราต้องนอนบนพื้นกระดานลุ่นๆ อาศัยเสื้อผ้าแทนหมอน ใช้ผ้าขาวม้าต่างผ้าห่ม มีมุ้งกันยุงได้ก็ดีถมไป ต่อมาถึงได้ซื้อเสื่อจันทบูรกับผ้าห่มสีขี้ม้าของทหารจากตลาดนัดท้องสนามหลวงผืนละ 20 บาทมาห่มนอน
ผมมีเพื่อนชื่อลอนหน้าตาหล่อเหลา สูงใหญ่กำยำ ทำงานด้วยกันอยู่ในโรงงานน้ำอัดลมที่หลานหลวง อาศัยว่าเรายังหนุ่มแน่นก็ใช้แรงแลกเงินไปก่อน...มีข้าวกินกับที่ซุกหัวนอนก็ถือว่าดีแล้วสำหรับคนไร้การศึกษา หรือเด็กที่บ้านนอกอย่างพวกเรา
หลังจากมาเช่าห้องอยู่ที่นั่นได้ไม่นาน ลอนก็รู้จักกับเด็กสาวๆ บ้านใกล้ห้องพักถึงสองคน เขาเอามาเล่าอย่างภูมิใจว่าเอื้องกับม่วยเป็นเพื่อนกันด้วยซ้ำ สองสาวเคยถามแปลกๆ ว่า...นอนห้องริมหน้าบ้านใช่ไหม? ไม่กลัวผีหลอกหรือ?!
ลอนตอบว่าใช่! เขาไม่ใช่คนกลัวผี เกิดมายังไม่เคยโดนผีหลอกซักครั้งเดียว
"ถ้ามีผีสวยๆ อย่างเธอสองคนก็อยากถูกหลอกเหมือนกัน ดูซิว่าผีสาวสวยจะหลอกยังไง? ขอให้มาจริงๆ เลยจะเกี้ยวผีให้ดู"
ลอนเป็นคนเจ้าชู้ปากไวอยู่แล้ว เขาเล่าว่าสองสาวยกมือปิดปากหัวเราะคิกคัก ม่วยหน้าแดง แต่ไม่วายต่อปากต่อคำว่า...ขอให้เก่งเหมือนปากเถอะ ไม่ช้าก็ต้องเจอดีแน่ๆ
เรายืนคุยกันที่หน้าต่าง มองไปเห็นบ้านเล็กเรือนน้อยเรียงรายและสุมทุมพุ่มไม้เขียวขจี หน้าบ้านมีต้นจำปีและมะพร้าวอยู่ใกล้รั้วไม้ระแนง ถัดเข้ามาเป็นโต๊ะสนามทำด้วยไม้แผ่นยาว ตอกติดกับม้านั่งทั้งสองฟาก
มีเสียงใครมาถอนใจแรงๆ อยู่ข้างหลัง ผมหันขวับแต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ นอกจากหลอดไฟที่ห้อยอยู่ข้างฝาหัวเตียงจะแกว่งไกวช้าๆ ก่อนจะหยุดนิ่งตามเดิม
เหตุการณ์สยองเกิดขึ้นในคืนนั้นเอง!
ผมกำลังนอนหลับสนิท จมดิ่งอยู่ในห้วงลึก แต่ความรู้สึกเหมือนกำลังตื่นตัวเต็มที่...อาจจะตกอยู่ในความฝันก็ได้ ที่ทำให้ผมมองเห็นผ้ามุ้งไหวนิดๆ ตามสายลมที่พัดโชยเข้ามาทางหน้าต่าง...มีเสียงฝีเท้าเบาๆ ดังขึ้นที่หน้าห้อง คงจะเป็นเพราะความเงียบเชียบของยามดึก จึงทำให้ได้ยินเสียงกระดานลั่นเอี๊ยดๆ ตามจังหวะเดิน
ใครคนหนึ่งอาจหยุดอยู่ตรงหน้าห้อง ครู่เดียวเสียงประตูก็เปิดแอ๊ดดด...ขณะที่ผมนอนตัวแข็งทื่อ จ้องมองแทบไม่กะพริบตา!
ประตูเปิดออกช้าๆ ผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏโดดเด่น และเธอก็ก้าวไปที่มุ้งลอนคล้ายกับผ่านเข้าไปเงียบเชียบ ก่อนจะทรุดลงเอนร่างเคียงข้างกับชายหนุ่มผู้หลับสนิท
เสียงทอดถอนใจดังแว่วมา...ภาพต่างๆ เลือนหายไปในราตรีมืดมิดโดยสิ้นเชิง
รุ่งขึ้นเป็นวันหยุดงาน ผมตื่นสายกว่าทุกวัน แต่ยังเห็นลอนนอนสลบไสลราวเกียจคร้านเต็มประดา จนกระทั่งลงไปล้างหน้าสีฟันที่ห้องน้ำชั้นล่างแล้ว ลอนเพิ่งจะงัวเงียตื่น ท่าทางงุนงง หน้าตาร่วงโรยซีดเซียวเหมือนกับอดหลับอดนอนมาตลอดคืน
ผมถามว่าเกิดอะไรขึ้น? ลอนก็ถอนใจยาว นัยน์ตาเลื่อนลอยไป...
เขาเล่าว่าขณะที่กำลังนอนหลับสนิทก็ต้องสะดุ้งตื่น เมื่อเห็นผู้หญิงสาวคนหนึ่งเข้ามาอยู่ในมุ้ง เอนร่างลงนอนเบียดเคล้า กลิ่นแป้งน้ำหอมกรุ่นและกลิ่นเนื้อสาวที่ทำให้เลือดหนุ่มแตกตื่น พลุ่งพล่านจนเกินจะระงับใจ!
สาวสวยผมยาว นัยน์ตากลมโตสุกใส กำลังเผยอยิ้มยั่วเย้า ก้มหน้าลงมาหาช้าๆ อกอวบโตคู่นั้นบดเบียดกับอกเขา ลอนป่ายแขนไปโอบรัดแผ่นหลังกลมกลึง คลึงเคล้าและลูบไล้ไปตามสะโพกผึ่งผายงอนงาม ใบหน้าขาวๆ ก็แนบกับใบหน้าเขา ลมหายใจเร่าร้อนไม่ผิดกับเปลวไฟที่กำลังลุกวู่วามและคึกคะนอง...
"เกิดมาข้าไม่เคยมีความสุขอย่างนี้มาก่อนเลย" ลอนยกมือขึ้นลูบแก้มตัวเองแล้วถอนใจยืดยาว "ไม่ว่าจะเป็นภูตผีที่ไหนก็มาเถอะ ข้าไม่กลัวอีกต่อไปแล้ว..."
แทบจะไม่ขาดคำเสียงถอนใจยาวก็ดังขึ้นในห้องนั้น เล่นเอาผมขนลุกซ่าไปทั้งตัว แม้จะกลัวแสนกลัวก็ไม่รู้จะหลบหนีไปอยู่ที่ไหน ตกค่ำเป็นต้องเข้ามุ้ง สวดมนต์ก่อนนอน...มองดูร่างผีสาวเปิดมุ้งเจ้าลอน หลับนอนแบบผัวเมียทุกๆ คืน
ไม่ถึงสองอาทิตย์ด้วยซ้ำ เพื่อนผมที่เคยกำยำล่ำสันก็ผอมโกรกจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก นัยน์ตาลึกกลวง หมดแรงไปทำงาน...เด็กสาวสองคนคือเอื้องกับม่วยถามถึง ผมก็บอกไปตามตรงว่าลอนได้เมียผีจนเกือบจะกลายเป็นผีอยู่รอมร่อ! เล่นเอาหน้าซีดขาวทั้งคู่
เย็นหนึ่ง เมื่อกลับถึงห้องพักก็เห็นคนมุงดูอยู่หน้าห้อง บางคนก็หันออกมาเป็นลมเป็นแล้งไป...ลอนกลายเป็นซากศพเน่าเฟะ ส่งกลิ่นเหม็นตลบอบอวลเหมือนกับตายมาแล้วเกือบสิบวัน!
ผมต้องไปอาศัยนอนกับเพื่อนที่ตรอกขี้เถ้า ไม่อยากมีเมียผีน่ะซีครับ! บรื๋อออ...
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 30 - ฉบับวันที่ 4 มกราคม 2555
05 พฤษภาคม 2558
รองเท้ามือสอง
เคยซื้อของมือสองมาใช้กันบ้างไหมครับ แล้วเคยเจอเรื่องแปลกๆ ติดมากับของที่ซื้อหรือเปล่า เรื่องที่ผมจะเล่าเป็นเรื่องของผมเอง
ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ยังหางานทำไม่ได้ เป็นช่วงพิษเศรษฐกิจตกต่ำทั่วประเทศตอนปี 2541-2542 พอดีเห็นเพื่อนออกเร่ขายของตามตลาดนัดและวางแบกะดินตามริมบาทวิถี พอดีผมเป็นคนชอบใส่รองเท้า มีรองเท้าสะสมอยู่หลายคู่ จึงเกิดความคิดขายรองเท้าเก่าหรือรองเท้ามือสอง
แหล่งรองเท้าเก่าที่หาได้ ก็ไม่ใช่ที่ไหน ผมซื้อยกกระสอบจากตลาดโรงเกลือ อรัญประเทศ ช่วงเวลานั้นเขายังขายส่งยกกระสอบโดยคิดเป็นราคาตามน้ำหนักกระสอบ กระสอบหนึ่งจะกี่กิโลกรัมก็ว่ากันไป
ผมไปเหมามาได้ครั้งแรก 2 กระสอบ จำได้ว่าประมาณ 200 คู่ มีทั้งรองเท้าแฟชั่น รองเท้ากีฬา รองเท้าคัตชู รองเท้าเด็กฯ คละไซซ์คละลายปนเปกัน ผมปูผ้ายางวางขายกับพื้นถนนละแวกบ้าน งวดแรกขายดีมากไม่กี่วันก็หมด ผมได้ใจไปเหมามาอีกสองสามครั้ง ขายดีเหมือนเททิ้ง เรื่องมาเกิดเอาก็ตอนหนที่ห้าที่ผมใช้รถกระบะของพี่ชายไปขนมา!
หนนี้ผมซื้อมาสี่กระสอบ เปิดออกมาส่วนใหญ่หนักไปทางรองเท้ากีฬาและรองเท้าคัตชูมากกว่า แต่ทำไงได้ก็ต้องขาย คราวนี้ไม่ได้ขายคล่องเหมือนช่วงแรก แต่ก็พอได้
วันแรกที่ขายผมรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีคนมายืนค้ำหัวตั้งแต่แรกที่เทกระสอบออกเลือก พี่ชายผมถามว่าเอารถไปทำอะไร ถึงได้มีกลิ่นแปลกๆ สาบๆ สางๆ พิกล ผมตอบว่าก็เอาไปขนกระสอบรองเท้าอย่างเดียวนี่แหละ ไม่ได้ไปทำอะไร
"ทำไมเหม็นนักวะ" พี่ชายผมบ่นอยู่ตลอด ขณะเอารถไปล้างหน้าบ้าน
เหมือนผมจะได้กลิ่นอยู่เช่นกัน แต่นึกไปว่าเป็นกลิ่นรองเท้าเก่า เจ้าของเก่าเคยใช้มาแล้วอาจจะเป็นคนเท้าเหม็นหรืออะไรทำนองนี้ ไม่ก็กลิ่นกระสอบที่สกปรกเปื้อนสารพัดมาจากตลาดโรงเกลือมากกว่า ไม่ได้นึกมากไปกว่านั้น
ดึกคืนแรกหลังจัดรองเท้าเตรียมออกขายวันรุ่งขึ้น ได้กลิ่นสาบๆ ได้ยินเสียงกุกกักอยู่รอบตัว ไม่เว้นแม้แต่ตอนนอนอยู่บนเตียง ตอนนั้นบ้านผมเป็นตึกแถวสามชั้น เราอยู่กันมาได้เกิน 25 ปีแล้ว ไม่เคยมีเรื่องราวอะไรร้ายแรง จนกระทั่งคืนนั้น!
พี่ชายผมเป็นคนแรกที่หงุดหงิดกับเสียงคนเดินไปมาหน้าห้อง แรกๆ คิดว่าเป็นเพื่อนบ้านหลังติดกันที่พื้นชั้นสองของเขาปูด้วยไม้ เวลาเดินลงส้นหนักๆ จะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด แต่คืนนั้นเสียงดังตลอดเหมือนมีคนเดินวนไปวนมาไม่หยุด
พี่ชายผมถึงกับตะโกนกึ่งตะคอกเพื่อนบ้านให้หยุดเดิน บางทีก็ตบผนังดังๆ หลายครั้ง ความเกรงใจน่ะมีบ้าง แต่ความที่มันดังอึกทึกตลอดแบบนี้เกินไปจริงๆ แต่เสียงพวกนั้นก็ยังไม่หยุด ยังดังรบกวนไปตลอดคืน
ผมเองก็พอได้ยิน แต่ความง่วงหนักหัว ทำให้หลับไปได้ พี่ชายผมคงเบื่อและอาจไม่อยากมีเรื่องมีราวมากไปกว่านั้น เลยหาดินน้ำมันมาอุดหู แล้วเข้านอนตามผมเอาตอนกลางดึก
เช้ามืดผมได้ยินเสียงไขประตูเหล็กบ้านข้างๆ เลยสะกิดเรียกพี่ชาย พี่ชายงัวเงียลุกขึ้นไปด้วยความหงุดหงิดเต็มที่ อยากจะไปถามให้รู้เรื่อง
แต่พอพี่ชายผมต่อว่าเพื่อนบ้าน กลับได้คำตอบว่า "เมื่อคืนไม่มีใครอยู่บ้านสักคน ไปธุระต่างจังหวัด เพิ่งกลับกันมาเดี๋ยวนี้เองนะ"
แถมเพื่อนบ้านตรงข้ามที่กำลังจะออกไปทำงานสองคนก็ร้องทัก และพูดเหมือนกันว่า ที่บ้านเมื่อคืนฉลองอะไร เห็นคนเดินเข้าออกบ้านตลอด ตามหน้าต่างก็เห็นเงาเหมือนมีคนเดินไปเดินมา ผมตอบไปว่า ไม่มีงานอะไรทั้งนั้น เขาก็ยังยืนยันว่าได้ยินเสียงคนพูดกันแว่วมาตลอด
ผมกับพี่ชายได้แต่สบตากัน เริ่มรู้สึกหลอนๆ เอ หรือว่ามันมีอะไรแปลกๆ ที่บ้านเราจริงๆ นะ
พี่ชายผมคงใจคอไม่ค่อยดี เลยเสนอให้ทำบุญใส่บาตรกันดีไหม เผื่ออะไรจะดีขึ้น ผมก็พยักหน้า แต่ว่าตอนนั้นมันเตรียมอะไรไม่ทันแล้ว ถ้าจะใส่บาตรก็คงต้องรอพรุ่งนี้แหละ หรือไม่ก็ต้องไปทำบุญที่วัด
พูดถึงพระท่านก็มา พอดีมีหลวงพี่ขาประจำเดินบิณฑบาตผ่านมา เห็นเรายืนหน้าตาตื่นกันอยู่หน้าบ้านก็ถามเราว่า ที่บ้านมีงานอะไรหรือ คนเต็มดาดฟ้า
เราสองคนมองหน้ากันทั้งงงๆ เหมือนจะถามกันว่า เอาอย่างไรดี พ่อกับแม่ที่ไปงานแต่งญาติที่ขอนแก่นก็ขับรถกลับมาจอดหน้าบ้านพอดี
ผมกับพี่ชายใจชื้นขึ้น กำลังคิดว่าจะเริ่มต้นเล่าเรื่องประหลาดๆ นี้ให้พ่อแม่ฟังยังไงดี ก็พอดีพ่อเดินเข้ามาหาเราอย่างหัวเสีย
"นี่พ่อไม่อยู่ไม่กี่วัน แกถึงกับพาเพื่อนมาจัดงานเต็มบ้านอย่างนี้หรือ" ดูท่าพ่อจะโกรธเอาจริงๆ
"เพื่อนที่ไหนกัน ผมงานยุ่ง น้องมันก็วุ่นกับขายรองเท้า ไม่มีเวลาคิดเรื่องเฮฮาหรอก" พี่ชายผมตอบด้วยอารมณ์หงุดหงิดไม่แพ้กัน
แต่แล้วผมกับพี่ก็ต้องขนลุกซู่เย็นไปทั้งตัวเมื่อพ่อชี้ให้ดูรองเท้าที่ตอนนี้มากองกันหน้าประตูบ้านนับร้อยๆ คู่ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนผมจัดแยกลงกระสอบตามชนิดอย่างเรียบร้อย!.
ที่มา : คอลัมน์ หลอน โดย นทธี ศศิวิมล - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 5 มกราคม 2558
ตอนนั้นเพิ่งเรียนจบมหาวิทยาลัย ยังหางานทำไม่ได้ เป็นช่วงพิษเศรษฐกิจตกต่ำทั่วประเทศตอนปี 2541-2542 พอดีเห็นเพื่อนออกเร่ขายของตามตลาดนัดและวางแบกะดินตามริมบาทวิถี พอดีผมเป็นคนชอบใส่รองเท้า มีรองเท้าสะสมอยู่หลายคู่ จึงเกิดความคิดขายรองเท้าเก่าหรือรองเท้ามือสอง
แหล่งรองเท้าเก่าที่หาได้ ก็ไม่ใช่ที่ไหน ผมซื้อยกกระสอบจากตลาดโรงเกลือ อรัญประเทศ ช่วงเวลานั้นเขายังขายส่งยกกระสอบโดยคิดเป็นราคาตามน้ำหนักกระสอบ กระสอบหนึ่งจะกี่กิโลกรัมก็ว่ากันไป
ผมไปเหมามาได้ครั้งแรก 2 กระสอบ จำได้ว่าประมาณ 200 คู่ มีทั้งรองเท้าแฟชั่น รองเท้ากีฬา รองเท้าคัตชู รองเท้าเด็กฯ คละไซซ์คละลายปนเปกัน ผมปูผ้ายางวางขายกับพื้นถนนละแวกบ้าน งวดแรกขายดีมากไม่กี่วันก็หมด ผมได้ใจไปเหมามาอีกสองสามครั้ง ขายดีเหมือนเททิ้ง เรื่องมาเกิดเอาก็ตอนหนที่ห้าที่ผมใช้รถกระบะของพี่ชายไปขนมา!
หนนี้ผมซื้อมาสี่กระสอบ เปิดออกมาส่วนใหญ่หนักไปทางรองเท้ากีฬาและรองเท้าคัตชูมากกว่า แต่ทำไงได้ก็ต้องขาย คราวนี้ไม่ได้ขายคล่องเหมือนช่วงแรก แต่ก็พอได้
วันแรกที่ขายผมรู้สึกแปลกๆ เหมือนมีคนมายืนค้ำหัวตั้งแต่แรกที่เทกระสอบออกเลือก พี่ชายผมถามว่าเอารถไปทำอะไร ถึงได้มีกลิ่นแปลกๆ สาบๆ สางๆ พิกล ผมตอบว่าก็เอาไปขนกระสอบรองเท้าอย่างเดียวนี่แหละ ไม่ได้ไปทำอะไร
"ทำไมเหม็นนักวะ" พี่ชายผมบ่นอยู่ตลอด ขณะเอารถไปล้างหน้าบ้าน
เหมือนผมจะได้กลิ่นอยู่เช่นกัน แต่นึกไปว่าเป็นกลิ่นรองเท้าเก่า เจ้าของเก่าเคยใช้มาแล้วอาจจะเป็นคนเท้าเหม็นหรืออะไรทำนองนี้ ไม่ก็กลิ่นกระสอบที่สกปรกเปื้อนสารพัดมาจากตลาดโรงเกลือมากกว่า ไม่ได้นึกมากไปกว่านั้น
ดึกคืนแรกหลังจัดรองเท้าเตรียมออกขายวันรุ่งขึ้น ได้กลิ่นสาบๆ ได้ยินเสียงกุกกักอยู่รอบตัว ไม่เว้นแม้แต่ตอนนอนอยู่บนเตียง ตอนนั้นบ้านผมเป็นตึกแถวสามชั้น เราอยู่กันมาได้เกิน 25 ปีแล้ว ไม่เคยมีเรื่องราวอะไรร้ายแรง จนกระทั่งคืนนั้น!
พี่ชายผมเป็นคนแรกที่หงุดหงิดกับเสียงคนเดินไปมาหน้าห้อง แรกๆ คิดว่าเป็นเพื่อนบ้านหลังติดกันที่พื้นชั้นสองของเขาปูด้วยไม้ เวลาเดินลงส้นหนักๆ จะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด แต่คืนนั้นเสียงดังตลอดเหมือนมีคนเดินวนไปวนมาไม่หยุด
พี่ชายผมถึงกับตะโกนกึ่งตะคอกเพื่อนบ้านให้หยุดเดิน บางทีก็ตบผนังดังๆ หลายครั้ง ความเกรงใจน่ะมีบ้าง แต่ความที่มันดังอึกทึกตลอดแบบนี้เกินไปจริงๆ แต่เสียงพวกนั้นก็ยังไม่หยุด ยังดังรบกวนไปตลอดคืน
ผมเองก็พอได้ยิน แต่ความง่วงหนักหัว ทำให้หลับไปได้ พี่ชายผมคงเบื่อและอาจไม่อยากมีเรื่องมีราวมากไปกว่านั้น เลยหาดินน้ำมันมาอุดหู แล้วเข้านอนตามผมเอาตอนกลางดึก
เช้ามืดผมได้ยินเสียงไขประตูเหล็กบ้านข้างๆ เลยสะกิดเรียกพี่ชาย พี่ชายงัวเงียลุกขึ้นไปด้วยความหงุดหงิดเต็มที่ อยากจะไปถามให้รู้เรื่อง
แต่พอพี่ชายผมต่อว่าเพื่อนบ้าน กลับได้คำตอบว่า "เมื่อคืนไม่มีใครอยู่บ้านสักคน ไปธุระต่างจังหวัด เพิ่งกลับกันมาเดี๋ยวนี้เองนะ"
แถมเพื่อนบ้านตรงข้ามที่กำลังจะออกไปทำงานสองคนก็ร้องทัก และพูดเหมือนกันว่า ที่บ้านเมื่อคืนฉลองอะไร เห็นคนเดินเข้าออกบ้านตลอด ตามหน้าต่างก็เห็นเงาเหมือนมีคนเดินไปเดินมา ผมตอบไปว่า ไม่มีงานอะไรทั้งนั้น เขาก็ยังยืนยันว่าได้ยินเสียงคนพูดกันแว่วมาตลอด
ผมกับพี่ชายได้แต่สบตากัน เริ่มรู้สึกหลอนๆ เอ หรือว่ามันมีอะไรแปลกๆ ที่บ้านเราจริงๆ นะ
พี่ชายผมคงใจคอไม่ค่อยดี เลยเสนอให้ทำบุญใส่บาตรกันดีไหม เผื่ออะไรจะดีขึ้น ผมก็พยักหน้า แต่ว่าตอนนั้นมันเตรียมอะไรไม่ทันแล้ว ถ้าจะใส่บาตรก็คงต้องรอพรุ่งนี้แหละ หรือไม่ก็ต้องไปทำบุญที่วัด
พูดถึงพระท่านก็มา พอดีมีหลวงพี่ขาประจำเดินบิณฑบาตผ่านมา เห็นเรายืนหน้าตาตื่นกันอยู่หน้าบ้านก็ถามเราว่า ที่บ้านมีงานอะไรหรือ คนเต็มดาดฟ้า
เราสองคนมองหน้ากันทั้งงงๆ เหมือนจะถามกันว่า เอาอย่างไรดี พ่อกับแม่ที่ไปงานแต่งญาติที่ขอนแก่นก็ขับรถกลับมาจอดหน้าบ้านพอดี
ผมกับพี่ชายใจชื้นขึ้น กำลังคิดว่าจะเริ่มต้นเล่าเรื่องประหลาดๆ นี้ให้พ่อแม่ฟังยังไงดี ก็พอดีพ่อเดินเข้ามาหาเราอย่างหัวเสีย
"นี่พ่อไม่อยู่ไม่กี่วัน แกถึงกับพาเพื่อนมาจัดงานเต็มบ้านอย่างนี้หรือ" ดูท่าพ่อจะโกรธเอาจริงๆ
"เพื่อนที่ไหนกัน ผมงานยุ่ง น้องมันก็วุ่นกับขายรองเท้า ไม่มีเวลาคิดเรื่องเฮฮาหรอก" พี่ชายผมตอบด้วยอารมณ์หงุดหงิดไม่แพ้กัน
แต่แล้วผมกับพี่ก็ต้องขนลุกซู่เย็นไปทั้งตัวเมื่อพ่อชี้ให้ดูรองเท้าที่ตอนนี้มากองกันหน้าประตูบ้านนับร้อยๆ คู่ ทั้งๆ ที่เมื่อคืนผมจัดแยกลงกระสอบตามชนิดอย่างเรียบร้อย!.
ที่มา : คอลัมน์ หลอน โดย นทธี ศศิวิมล - ข่าวสด หน้า 26 - ฉบับวันที่ 5 มกราคม 2558
03 พฤษภาคม 2558
แพผีดุ
"คนบางซื่อ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกที่แพซุงหน้าโรงเลื่อย
สมัยหนุ่มๆ ผมเคยอยู่ในตรอกโอ่ง เชิงสะพานพิบูลสงคราม มีบ้านเรือนคับคั่ง แต่ด้านหลังเป็นสวนเปลี่ยว เจ้าของสวนมักปลูกบ้านอยู่ริมคลองบางซื่อ ตรงข้ามกับกรม ปตอ. คดเคี้ยวไปถึงตลาดสะพานสูงโน่น
ผมกับเพื่อนๆ ชอบข้ามถนนไปเที่ยวฝั่งตรงข้าม ตอนนั้นเรียกว่าตรอกบันไดหิน เพราะสูงชันจนรถเข้าไม่ได้ ต้องลงบันไดหินราว 3-4 ขั้นลงไปถึงทางเดินแคบๆ มีบ้านช่องเรียงรายทั้งสองฟาก พอถึงกลางซอยก็เป็นต้นโพธิ์ใหญ่ ด้านซ้ายมีบ้านใหญ่ๆ หลายหลัง ด้านขวาเป็นสวนรกร้างน่าวังเวงใจแม้แต่ในตอนกลางวัน
สุดซอยเป็นเขตของโรงเลื่อยซุง กับเลี้ยวขวาขึ้นสะพานโค้งไปฝั่งวัดแก้วฟ้า ตรอกนี้ได้ตั้งชื่อเป็นทางการว่า "ซอยศรีบางซื่อ" ในเวลาต่อมาจนถึงบัดนี้
เพื่อนที่ปากคลองมีหลายคน แต่สนิทกันมากคือเจ้าอ๊อด ผิวดำ ร่างเตี้ยเป็นมะขามข้อเดียว อารมณ์ดี นิสัยขี้เล่น ชอบยิ้มฟันขาวอยู่เป็นประจำ เพิ่งได้งานทำเป็นลูกจ้างที่กรมชลประทาน ใกล้ๆ กับศรีย่าน
พวกเราส่วนมากยังไม่มีงานทำ ก็ได้อาศัยเพื่อนฝูงอย่างเจ้าพันนี่แหละช่วยเลี้ยงเหล้าเลี้ยงกาแฟ สนุกสนานเฮฮากันไปวันๆ ตามประสาหนุ่มโสด ยังไม่มีภาระที่ต้องรับผิดชอบ
บางวันก็ออกมานั่งร้านริมถนนตรงข้ามวัดประดู่ ดูสาวๆ เดินผ่านพอเป็นอาหารตา บางวันก็ไปกินที่ร้านปากคลองฝั่งวัดแก้วฟ้า แต่บางวันนึกครึ้มก็ซื้อเหล้าซื้อกับไปกินที่ริมแพซุงยาวเหยียดติดแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนแรกทางโรงเลื่อยก็ทำรั้วไม้ระแนงกั้นไว้ แต่ไม่รู้มีใครดอดไปดึงไม้ออกให้คนลอดเข้าออกได้สบาย
นอกจากกองไม้ท่อนใหญ่ๆ บนฝั่ง ก็กระโดดลงแพซุงได้ทันที ตอนเย็นๆ ลมพัดเย็นฉ่ำ หนุ่มสาวเข้าไปเดินเล่นก็มี นั่งพลอดรักกันที่แพซุงก็มี ดูๆ แล้วก็น่าอิจฉาครับ
เจ้าอ๊อดเล่าว่ามีคนจมน้ำตายบ่อยๆ โดยเฉพาะในหน้าน้ำ ทั้งโดดแพแล้วถูกน้ำพัดลิ่ว ผลุบๆ โผล่ๆ จนจมหายไปก็มี พลัดหล่นลงไประหว่างท่อนซุง ขึ้นไม่ได้จนขาดใจตายอยู่ใต้แพก็มี
เจ้าพัน คนตรอกเดียวกับผมบอกว่า พวกเราสบายมากเพราะไม่ได้อุตริไปซดเหล้าบนแพ นั่งดูวิวเพลินๆ กับรับลมเย็นๆ เท่านั้นเอง
ข้อสำคัญคือได้ดูหนุ่มสาวเขาจู๋จี๋กันด้วย
เย็นนั้น เราดอดเข้าไปตั้งวงกันริมแม่น้ำ ใกล้ๆ กับแพซุง เห็นเด็กๆ เข้ามาวิ่งเล่นกันบ้าง หนุ่มพาสาวเข้ามาเดินรับลม บางคนยังถือโอกาสเด็ดดอกกระดังงาที่ซุ้มประตูหลังโรงเลื่อยให้สาวซะด้วยซ้ำ
พวกวัยรุ่นที่คุ้นๆ หน้ากันลงไปวิ่งเล่นกันบนแพซุง ดูแล้วน่าเสียวไส้เอาการเพราะมันกระเพื่อมตามแรงคลื่นตลอดเวลา แต่พวกนั้นก็วิ่งไล่จับกันพลางหัวเราะสนุกครึกครื้น
เมื่ออาทิตย์ลับทิวไม้ฝั่งตรงข้ามไม่นาน ความมืดสลัวเข้ามาแทนที่ ผู้คนก็ค่อยๆ หายไป เหลือแต่หนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งอยู่บนแพซุงทางเหนือ ค่อนข้างไกลจากพวกเรา
จู่ๆ เจ้าอ๊อดก็โพล่งว่า..ที่นี่ผีดุบรรลัย ตอนกลางคืนไม่มีใครกล้าเข้ามาอยู่คนเดียวแน่นอน!
พวกเราหัวเราะครืน ฤทธิ์เหล้าทำให้ไม่หวาดกลัวอะไรอยู่แล้ว เจ้าพันยังถามอีกว่า..ผีหลอกยังไง? ข้าอยากรู้นัก เพราะฟังเรื่องผีสนุกดีว่ะ เจ้าอ๊อดว่าทำปากดีไปเถอะ ถ้าเจอกับตัวเองรับรองว่าไม่สนุกแน่ แล้วเล่าว่า...
มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังพลอดรักกันอยู่บนแพตอนกลางคืน ได้ยินเสียงผิดปกติกว่าเสียงลมเสียงคลื่น พอเพ่งมองก็เห็นเด็กผมจุกกำลังว่ายน้ำมาหา โผขึ้นมานั่งใกล้ๆ ร่างผอมกงโก้ กอดอกหนาวสั่น ฟันกระทบกันกึกๆ เล่าว่าจมน้ำอยู่ใต้แพมาหลายคืนแล้วหนาวเหลือเกิน...
ขาดเสียง เจ้าจุกก็พุ่งพรวดลงน้ำ..จมหายไปต่อหน้าต่อตา หนุ่มสาวคู่นั้นกระโดดตัวลอย วิ่งผวาขึ้นฝั่งพลางร้องโหวกโหวยเหมือนคนบ้าจนชาวบ้านแตกตื่น...โชคดีที่ไม่พลัดตกแพจมน้ำตาย
เดือนก่อนก็มีผู้หญิงมากระโดดน้ำตายตอนหัวค่ำ คนเห็นก็ช่วยไม่ทันแล้ว รุ่งขึ้นถึงได้พบศพไปโผล่ที่ท่าน้ำบางโพ..ต่อมาก็มีคนเห็นผู้หญิงมานั่งร้องไห้อยู่ที่แพซุงบ่อยๆ พอจ้องมองก็ไม่เห็นเสียแล้ว คนแถวนี้ถึงไม่ค่อยอยู่ถึงกลางค่ำกลางคืน
เจ้าพันหัวเราะ ถามว่าแล้วหนุ่มสาวคู่นั้นล่ะ? พลางชี้มือไปที่ริมแพไกลๆ
ลมเย็นพัดวูบ คลื่นสาดซ่าดังสะท้านใจ เมื่อพวกเราหันไปมองก็ไม่เห็นหนุ่มสาวนั่นเสียแล้ว แต่กลับมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินตัดแพมาหาเราอย่างรวดเร็ว
"ช่วยด้วย..ฉันหนาวเหลือเกิน.." เสียงเยือกเย็นจนขนลุกซ่า พวกเราลุกพรวดขึ้นพร้อมๆ กัน เห็นผู้หญิงผมยาวตัวเปียกโชกยืนกางแขนอยู่บนแพใกล้ฝั่ง ตาดำโตจ้องมองเขม็ง
เสียงร้องเฮ้ย! ฮ้าย..ดังระงม ดูเหมือนเราจะโผเข้ากอดกันแต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากอากาศ หัวใจราวจะขาดด้วยความกลัวสาหัส จนกระทั่งภาพปีศาจค่อยๆ จางหายไป ถึงได้เผ่นผวากันกระเจิดกระเจิง
ตั้งแต่นั้นมา พวกเราไม่ยอมไปตั้งวงเหล้าใกล้ๆ กับแพผีดุอีกเลยครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 25 - ฉบับวันที่ 29 มิถุนายน 2547
สมัยหนุ่มๆ ผมเคยอยู่ในตรอกโอ่ง เชิงสะพานพิบูลสงคราม มีบ้านเรือนคับคั่ง แต่ด้านหลังเป็นสวนเปลี่ยว เจ้าของสวนมักปลูกบ้านอยู่ริมคลองบางซื่อ ตรงข้ามกับกรม ปตอ. คดเคี้ยวไปถึงตลาดสะพานสูงโน่น
ผมกับเพื่อนๆ ชอบข้ามถนนไปเที่ยวฝั่งตรงข้าม ตอนนั้นเรียกว่าตรอกบันไดหิน เพราะสูงชันจนรถเข้าไม่ได้ ต้องลงบันไดหินราว 3-4 ขั้นลงไปถึงทางเดินแคบๆ มีบ้านช่องเรียงรายทั้งสองฟาก พอถึงกลางซอยก็เป็นต้นโพธิ์ใหญ่ ด้านซ้ายมีบ้านใหญ่ๆ หลายหลัง ด้านขวาเป็นสวนรกร้างน่าวังเวงใจแม้แต่ในตอนกลางวัน
สุดซอยเป็นเขตของโรงเลื่อยซุง กับเลี้ยวขวาขึ้นสะพานโค้งไปฝั่งวัดแก้วฟ้า ตรอกนี้ได้ตั้งชื่อเป็นทางการว่า "ซอยศรีบางซื่อ" ในเวลาต่อมาจนถึงบัดนี้
เพื่อนที่ปากคลองมีหลายคน แต่สนิทกันมากคือเจ้าอ๊อด ผิวดำ ร่างเตี้ยเป็นมะขามข้อเดียว อารมณ์ดี นิสัยขี้เล่น ชอบยิ้มฟันขาวอยู่เป็นประจำ เพิ่งได้งานทำเป็นลูกจ้างที่กรมชลประทาน ใกล้ๆ กับศรีย่าน
พวกเราส่วนมากยังไม่มีงานทำ ก็ได้อาศัยเพื่อนฝูงอย่างเจ้าพันนี่แหละช่วยเลี้ยงเหล้าเลี้ยงกาแฟ สนุกสนานเฮฮากันไปวันๆ ตามประสาหนุ่มโสด ยังไม่มีภาระที่ต้องรับผิดชอบ
บางวันก็ออกมานั่งร้านริมถนนตรงข้ามวัดประดู่ ดูสาวๆ เดินผ่านพอเป็นอาหารตา บางวันก็ไปกินที่ร้านปากคลองฝั่งวัดแก้วฟ้า แต่บางวันนึกครึ้มก็ซื้อเหล้าซื้อกับไปกินที่ริมแพซุงยาวเหยียดติดแม่น้ำเจ้าพระยา ตอนแรกทางโรงเลื่อยก็ทำรั้วไม้ระแนงกั้นไว้ แต่ไม่รู้มีใครดอดไปดึงไม้ออกให้คนลอดเข้าออกได้สบาย
นอกจากกองไม้ท่อนใหญ่ๆ บนฝั่ง ก็กระโดดลงแพซุงได้ทันที ตอนเย็นๆ ลมพัดเย็นฉ่ำ หนุ่มสาวเข้าไปเดินเล่นก็มี นั่งพลอดรักกันที่แพซุงก็มี ดูๆ แล้วก็น่าอิจฉาครับ
เจ้าอ๊อดเล่าว่ามีคนจมน้ำตายบ่อยๆ โดยเฉพาะในหน้าน้ำ ทั้งโดดแพแล้วถูกน้ำพัดลิ่ว ผลุบๆ โผล่ๆ จนจมหายไปก็มี พลัดหล่นลงไประหว่างท่อนซุง ขึ้นไม่ได้จนขาดใจตายอยู่ใต้แพก็มี
เจ้าพัน คนตรอกเดียวกับผมบอกว่า พวกเราสบายมากเพราะไม่ได้อุตริไปซดเหล้าบนแพ นั่งดูวิวเพลินๆ กับรับลมเย็นๆ เท่านั้นเอง
ข้อสำคัญคือได้ดูหนุ่มสาวเขาจู๋จี๋กันด้วย
เย็นนั้น เราดอดเข้าไปตั้งวงกันริมแม่น้ำ ใกล้ๆ กับแพซุง เห็นเด็กๆ เข้ามาวิ่งเล่นกันบ้าง หนุ่มพาสาวเข้ามาเดินรับลม บางคนยังถือโอกาสเด็ดดอกกระดังงาที่ซุ้มประตูหลังโรงเลื่อยให้สาวซะด้วยซ้ำ
พวกวัยรุ่นที่คุ้นๆ หน้ากันลงไปวิ่งเล่นกันบนแพซุง ดูแล้วน่าเสียวไส้เอาการเพราะมันกระเพื่อมตามแรงคลื่นตลอดเวลา แต่พวกนั้นก็วิ่งไล่จับกันพลางหัวเราะสนุกครึกครื้น
เมื่ออาทิตย์ลับทิวไม้ฝั่งตรงข้ามไม่นาน ความมืดสลัวเข้ามาแทนที่ ผู้คนก็ค่อยๆ หายไป เหลือแต่หนุ่มสาวคู่หนึ่งนั่งอยู่บนแพซุงทางเหนือ ค่อนข้างไกลจากพวกเรา
จู่ๆ เจ้าอ๊อดก็โพล่งว่า..ที่นี่ผีดุบรรลัย ตอนกลางคืนไม่มีใครกล้าเข้ามาอยู่คนเดียวแน่นอน!
พวกเราหัวเราะครืน ฤทธิ์เหล้าทำให้ไม่หวาดกลัวอะไรอยู่แล้ว เจ้าพันยังถามอีกว่า..ผีหลอกยังไง? ข้าอยากรู้นัก เพราะฟังเรื่องผีสนุกดีว่ะ เจ้าอ๊อดว่าทำปากดีไปเถอะ ถ้าเจอกับตัวเองรับรองว่าไม่สนุกแน่ แล้วเล่าว่า...
มีหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังพลอดรักกันอยู่บนแพตอนกลางคืน ได้ยินเสียงผิดปกติกว่าเสียงลมเสียงคลื่น พอเพ่งมองก็เห็นเด็กผมจุกกำลังว่ายน้ำมาหา โผขึ้นมานั่งใกล้ๆ ร่างผอมกงโก้ กอดอกหนาวสั่น ฟันกระทบกันกึกๆ เล่าว่าจมน้ำอยู่ใต้แพมาหลายคืนแล้วหนาวเหลือเกิน...
ขาดเสียง เจ้าจุกก็พุ่งพรวดลงน้ำ..จมหายไปต่อหน้าต่อตา หนุ่มสาวคู่นั้นกระโดดตัวลอย วิ่งผวาขึ้นฝั่งพลางร้องโหวกโหวยเหมือนคนบ้าจนชาวบ้านแตกตื่น...โชคดีที่ไม่พลัดตกแพจมน้ำตาย
เดือนก่อนก็มีผู้หญิงมากระโดดน้ำตายตอนหัวค่ำ คนเห็นก็ช่วยไม่ทันแล้ว รุ่งขึ้นถึงได้พบศพไปโผล่ที่ท่าน้ำบางโพ..ต่อมาก็มีคนเห็นผู้หญิงมานั่งร้องไห้อยู่ที่แพซุงบ่อยๆ พอจ้องมองก็ไม่เห็นเสียแล้ว คนแถวนี้ถึงไม่ค่อยอยู่ถึงกลางค่ำกลางคืน
เจ้าพันหัวเราะ ถามว่าแล้วหนุ่มสาวคู่นั้นล่ะ? พลางชี้มือไปที่ริมแพไกลๆ
ลมเย็นพัดวูบ คลื่นสาดซ่าดังสะท้านใจ เมื่อพวกเราหันไปมองก็ไม่เห็นหนุ่มสาวนั่นเสียแล้ว แต่กลับมีผู้หญิงคนหนึ่งเดินตัดแพมาหาเราอย่างรวดเร็ว
"ช่วยด้วย..ฉันหนาวเหลือเกิน.." เสียงเยือกเย็นจนขนลุกซ่า พวกเราลุกพรวดขึ้นพร้อมๆ กัน เห็นผู้หญิงผมยาวตัวเปียกโชกยืนกางแขนอยู่บนแพใกล้ฝั่ง ตาดำโตจ้องมองเขม็ง
เสียงร้องเฮ้ย! ฮ้าย..ดังระงม ดูเหมือนเราจะโผเข้ากอดกันแต่ก็ไม่พบอะไรนอกจากอากาศ หัวใจราวจะขาดด้วยความกลัวสาหัส จนกระทั่งภาพปีศาจค่อยๆ จางหายไป ถึงได้เผ่นผวากันกระเจิดกระเจิง
ตั้งแต่นั้นมา พวกเราไม่ยอมไปตั้งวงเหล้าใกล้ๆ กับแพผีดุอีกเลยครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 25 - ฉบับวันที่ 29 มิถุนายน 2547
02 พฤษภาคม 2558
ป้ายนี้ .. ผีดุ
"เรืองเดช" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกที่ป้ายรถเมล์ย่านดินแดง
ผมได้พบกับเรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น? ที่แน่ๆ คือไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่ได้ตาฝาดไปเอง หรือผมอาจจะพลัดหลงเข้าไปในมิติที่ 4 ชั่วขณะหนึ่งก็ได้ แต่นึกแล้วขนหัวลุกครับ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมนี่เอง จำได้แม่นว่ายังไม่ถึงวันเปิดเทอม
ค่ำนั้น ผมออกจากบ้านในซอยบุญชูศรี ใกล้ๆ กับสามเหลี่ยมดินแดงมาที่ป้ายรถเมล์ปากซอย เพราะนัดเพื่อนจากประตูน้ำไว้ว่าจะไปเที่ยวผับแห่งหนึ่งแถวสุทธิสาร มีเพื่อนๆ เจ้าถิ่นกลุ่มหนึ่งรออยู่ กะว่าจะพบกันราวสองทุ่ม
วันนั้นเป็นวันเสาร์ ฝนครึ้มมาแต่เย็น ที่ป้ายรถเมล์คนน้อยทำให้ผมได้ที่นั่ง มีคนรอรถเมล์อยู่ราวสิบคน นั่งกันราว 4-5 คน นอกนั้นยืนมองรถโดยสารที่ตัวรอคอย มีทั้งคนลงคนขึ้น ไม่ถึงกับคับคั่งเหมือนวันจันทร์ถึงวันศุกร์ แถมโรงเรียนก็ยังปิดดเทอมดังกล่าว
ไม่ช้าก็มีฝนพรำลงมา คนที่ยืนก็รีบหลบเข้ามานั่งจนเต็ม ที่เหลือก็ไปอาศัยหลบฝนใต้ร่มกระดังงาใกล้ๆ ที่มีกิ่งก้านเลื้อยขึ้นมาบนหลังคา
แสงไฟหน้ารถส่องเห็นสายฝนโปรยปราย พอรถมาจอดก็รีบลงแล้วจ้ำอ้าว คนที่รออยู่ก็รีบผลุนผลันแทบจะแย่งกันขึ้น เพราะใครๆ ก็ไม่อยากเปียกฝนทั้งนั้น แม้ว่าจะตกไม่หนักก็ตาม
เพื่อนผมยังไม่มา ผมอาจจะออกมาเร็วไปหน่อย หรือไม่เขาอาจจะติดฝนก็ได้...ฝนตก-รถติดก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว
คนที่รอรถเมล์ทยอยกันออกไป มีคนใหม่เข้ามานั่งแทน บางคนก็คุยกันว่าโชคดีที่ฝนตกไม่หนัก ไม่งั้นมีหวังโดนฝนสาดเข้ามาแน่ๆ ไหนจะตอนวิ่งไปขึ้นรถเมล์อีกล่ะ แต่เพื่อนเขาค้านว่าฝนตกพรำๆ แบบนี้แหละทำให้เป็นหวัดเป็นไข้ได้ง่าย ถึงบ้านต้องรีบอาบน้ำสระผม หรือกินยาแก้ไขป้องกันไว้ก่อน เพราะฝนนำมลพิษในอากาศมาให้เรา
ขณะนั้นเอง ผมก็เหลือบเห็นสาวสวยผู้นั้นพอดี!
อายุราว 20 เศษ ผิวขาว มัดผมแบบหางลาง่ายๆ นุ่งยีนสวมเสื้อยืดแดงนั่งเก้าอี้ริมสุดด้านซ้ายใกล้กับต้นกระดังงา ท่าทางสบายๆ ไม่ได้วิตกกังวลกับสายฝนโปรยปราย ชักจะหนาเม็ดขึ้นนิดหน่อย
เธอหันมาทางผม...คงจะมองดูรถเมล์ที่เธอรอ แต่ผมรีบเมินไปทางอื่นเพื่อรักษามรรยาท สักพักผมก็ค่อยๆ หันหน้าไปทางเธอ ทำเป็นว่ามองดูรถราที่แล่นผ่านไปมาแต่ชายตามองก็เห็นมีชายหนุ่มคนหนึ่ง แต่งตัวสุภาพ กำลังนั่งอยู่ข้างๆ เธอและหันไปพูดคุยอะไรที่ผมไม่ได้ยิน
สาวเสื้อแดงยิ้มนิดๆ พยักหน้าเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่เห็นเธอพูดจาโต้ตอบอะไรด้วย ผมแน่ใจว่าเมื่อครู่ก่อนเธอยังนั่งคนเดียวแท้ๆ แต่ชายหนุ่มผู้นั้นคงจะฉวยโอกาสเข้ามานั่งข้างๆ เธอตอนที่ผมเมินไปทางอื่นนั่นเอง
ผู้หญิงคนนี้มีอะไรบางอย่างน่าสนใจ และดึงดูดสายตาผมอย่างไม่รู้เหตุผล
พูดจริงๆ ก็ไม่ถึงกับสะสวย นอกจากหน้าตาดี หรืออาจจะเป็นท่าทาที่ดูสบายๆ เหมือนนั่งเล่นอยู่ในบ้านก็เป็นได้ เธอมองนั่นมองนี่พลางยิ้มนิดๆ โดยไม่สนใจชายหนุ่มที่กำลังพูดคุยอยู่คนเดียว
หรือว่าเขาจะเป็นคู่รักกัน และนัดกันไว้ที่ป้ายรถเมล์แบบเดียวกับที่ผมนัดเพื่อนก็เป็นได้...แต่เพื่อนผมก็ยังไม่มาซักที
คนที่นั่งรอรถเมล์ทยอยกันขึ้นรถไปจนหมด ขณะนั้นยังไม่มีใครวิ่งฝ่าสายฝนมาที่ป้ายนั้นอีก...เท่ากับมีคนนั่งรถอยู่ที่นั่นเพียงสามคนเท่านั้นเอง
จนกระทั่งหญิงสาวลุกขึ้นยืน ร่างระหงค่อนข้างสูงคล้ายนางแบบ รถเมล์แล่นเข้ามาจอด คนลงมาสามคน รีบวิ่งเข้าหลบฝนใต้หลังคา สาวเสื้อเหลืองก้าวขึ้นไปเป็นคนแรก ชายหนุ่มที่นั่งประกบเธอก้าวตามหลังขึ้นไป ประตูปิดสนิทขณะที่รถเคลื่อนออก
ผมมองตามไปจนเห็นว่าตรงไปทางดินแดง...รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
ผู้โดยสารชายสามคนที่ลงมาก็นั่งรถต่อรถ คงจะไปทางถนนวิภาวดีแบบเดียวกับผมแน่ๆ ตอนนี้มานั่งทางขวาผมสองคน อีกคนนั่งด้านซ้าย...ผมหันไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นเขานั่งคู่กับผู้หญิงเสื้อแดงคนเดิม ที่หันมามองผมยิ้มๆ พอดี
เมินหน้าไปทางอื่นตามความเคยชิน...ก่อนจะแข็งทื่อ ขนลุกซ่าเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอขึ้นรถเมล์ไปแล้วอย่างแน่นอน!
หันขวับไปมองเหมือนถูกจับกระชาก ก็เห็นชายวัยกลางคนนั่งอยู่ผู้เดียว...ไม่มีผู้หญิงเสื้อแดง มัดผมหางลาคนนั้นอีกต่อไป
ลุกพรวดพราดขึ้นยืนแข้งขาสั่น เย็นหลังวาบๆ รอยยิ้มนิดๆ ดูโดดเด่นอยู่ในวงหน้าสีขาวยังปรากฏอยู่ในความทรงจำ...ผมเข่าอ่อนจนต้องนั่งแปะลงตามเดิม บอกตัวเองว่าภาพเมื่อสักครู่คงเป็นเพราะผมตาฝาดไปเองกระมัง
แต่ถ้าไม่ได้ตาฝาด และนึกได้ตอนที่มองเห็นว่าเธอขึ้นรถเมล์ไปแล้ว ผมอาจจะช็อกตายคาที่ไปเลยก็ได้นะครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 25 - ฉบับวันที่ 3 มิถุนายน 2547
ผมได้พบกับเรื่องแปลกประหลาดที่สุดในชีวิต ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น? ที่แน่ๆ คือไม่ได้ดื่มเหล้า ไม่ได้ตาฝาดไปเอง หรือผมอาจจะพลัดหลงเข้าไปในมิติที่ 4 ชั่วขณะหนึ่งก็ได้ แต่นึกแล้วขนหัวลุกครับ
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมนี่เอง จำได้แม่นว่ายังไม่ถึงวันเปิดเทอม
ค่ำนั้น ผมออกจากบ้านในซอยบุญชูศรี ใกล้ๆ กับสามเหลี่ยมดินแดงมาที่ป้ายรถเมล์ปากซอย เพราะนัดเพื่อนจากประตูน้ำไว้ว่าจะไปเที่ยวผับแห่งหนึ่งแถวสุทธิสาร มีเพื่อนๆ เจ้าถิ่นกลุ่มหนึ่งรออยู่ กะว่าจะพบกันราวสองทุ่ม
วันนั้นเป็นวันเสาร์ ฝนครึ้มมาแต่เย็น ที่ป้ายรถเมล์คนน้อยทำให้ผมได้ที่นั่ง มีคนรอรถเมล์อยู่ราวสิบคน นั่งกันราว 4-5 คน นอกนั้นยืนมองรถโดยสารที่ตัวรอคอย มีทั้งคนลงคนขึ้น ไม่ถึงกับคับคั่งเหมือนวันจันทร์ถึงวันศุกร์ แถมโรงเรียนก็ยังปิดดเทอมดังกล่าว
ไม่ช้าก็มีฝนพรำลงมา คนที่ยืนก็รีบหลบเข้ามานั่งจนเต็ม ที่เหลือก็ไปอาศัยหลบฝนใต้ร่มกระดังงาใกล้ๆ ที่มีกิ่งก้านเลื้อยขึ้นมาบนหลังคา
แสงไฟหน้ารถส่องเห็นสายฝนโปรยปราย พอรถมาจอดก็รีบลงแล้วจ้ำอ้าว คนที่รออยู่ก็รีบผลุนผลันแทบจะแย่งกันขึ้น เพราะใครๆ ก็ไม่อยากเปียกฝนทั้งนั้น แม้ว่าจะตกไม่หนักก็ตาม
เพื่อนผมยังไม่มา ผมอาจจะออกมาเร็วไปหน่อย หรือไม่เขาอาจจะติดฝนก็ได้...ฝนตก-รถติดก็รู้ๆ กันอยู่แล้ว
คนที่รอรถเมล์ทยอยกันออกไป มีคนใหม่เข้ามานั่งแทน บางคนก็คุยกันว่าโชคดีที่ฝนตกไม่หนัก ไม่งั้นมีหวังโดนฝนสาดเข้ามาแน่ๆ ไหนจะตอนวิ่งไปขึ้นรถเมล์อีกล่ะ แต่เพื่อนเขาค้านว่าฝนตกพรำๆ แบบนี้แหละทำให้เป็นหวัดเป็นไข้ได้ง่าย ถึงบ้านต้องรีบอาบน้ำสระผม หรือกินยาแก้ไขป้องกันไว้ก่อน เพราะฝนนำมลพิษในอากาศมาให้เรา
ขณะนั้นเอง ผมก็เหลือบเห็นสาวสวยผู้นั้นพอดี!
อายุราว 20 เศษ ผิวขาว มัดผมแบบหางลาง่ายๆ นุ่งยีนสวมเสื้อยืดแดงนั่งเก้าอี้ริมสุดด้านซ้ายใกล้กับต้นกระดังงา ท่าทางสบายๆ ไม่ได้วิตกกังวลกับสายฝนโปรยปราย ชักจะหนาเม็ดขึ้นนิดหน่อย
เธอหันมาทางผม...คงจะมองดูรถเมล์ที่เธอรอ แต่ผมรีบเมินไปทางอื่นเพื่อรักษามรรยาท สักพักผมก็ค่อยๆ หันหน้าไปทางเธอ ทำเป็นว่ามองดูรถราที่แล่นผ่านไปมาแต่ชายตามองก็เห็นมีชายหนุ่มคนหนึ่ง แต่งตัวสุภาพ กำลังนั่งอยู่ข้างๆ เธอและหันไปพูดคุยอะไรที่ผมไม่ได้ยิน
สาวเสื้อแดงยิ้มนิดๆ พยักหน้าเป็นบางครั้ง แต่ก็ไม่เห็นเธอพูดจาโต้ตอบอะไรด้วย ผมแน่ใจว่าเมื่อครู่ก่อนเธอยังนั่งคนเดียวแท้ๆ แต่ชายหนุ่มผู้นั้นคงจะฉวยโอกาสเข้ามานั่งข้างๆ เธอตอนที่ผมเมินไปทางอื่นนั่นเอง
ผู้หญิงคนนี้มีอะไรบางอย่างน่าสนใจ และดึงดูดสายตาผมอย่างไม่รู้เหตุผล
พูดจริงๆ ก็ไม่ถึงกับสะสวย นอกจากหน้าตาดี หรืออาจจะเป็นท่าทาที่ดูสบายๆ เหมือนนั่งเล่นอยู่ในบ้านก็เป็นได้ เธอมองนั่นมองนี่พลางยิ้มนิดๆ โดยไม่สนใจชายหนุ่มที่กำลังพูดคุยอยู่คนเดียว
หรือว่าเขาจะเป็นคู่รักกัน และนัดกันไว้ที่ป้ายรถเมล์แบบเดียวกับที่ผมนัดเพื่อนก็เป็นได้...แต่เพื่อนผมก็ยังไม่มาซักที
คนที่นั่งรอรถเมล์ทยอยกันขึ้นรถไปจนหมด ขณะนั้นยังไม่มีใครวิ่งฝ่าสายฝนมาที่ป้ายนั้นอีก...เท่ากับมีคนนั่งรถอยู่ที่นั่นเพียงสามคนเท่านั้นเอง
จนกระทั่งหญิงสาวลุกขึ้นยืน ร่างระหงค่อนข้างสูงคล้ายนางแบบ รถเมล์แล่นเข้ามาจอด คนลงมาสามคน รีบวิ่งเข้าหลบฝนใต้หลังคา สาวเสื้อเหลืองก้าวขึ้นไปเป็นคนแรก ชายหนุ่มที่นั่งประกบเธอก้าวตามหลังขึ้นไป ประตูปิดสนิทขณะที่รถเคลื่อนออก
ผมมองตามไปจนเห็นว่าตรงไปทางดินแดง...รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก
ผู้โดยสารชายสามคนที่ลงมาก็นั่งรถต่อรถ คงจะไปทางถนนวิภาวดีแบบเดียวกับผมแน่ๆ ตอนนี้มานั่งทางขวาผมสองคน อีกคนนั่งด้านซ้าย...ผมหันไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็เห็นเขานั่งคู่กับผู้หญิงเสื้อแดงคนเดิม ที่หันมามองผมยิ้มๆ พอดี
เมินหน้าไปทางอื่นตามความเคยชิน...ก่อนจะแข็งทื่อ ขนลุกซ่าเมื่อนึกขึ้นได้ว่าเธอขึ้นรถเมล์ไปแล้วอย่างแน่นอน!
หันขวับไปมองเหมือนถูกจับกระชาก ก็เห็นชายวัยกลางคนนั่งอยู่ผู้เดียว...ไม่มีผู้หญิงเสื้อแดง มัดผมหางลาคนนั้นอีกต่อไป
ลุกพรวดพราดขึ้นยืนแข้งขาสั่น เย็นหลังวาบๆ รอยยิ้มนิดๆ ดูโดดเด่นอยู่ในวงหน้าสีขาวยังปรากฏอยู่ในความทรงจำ...ผมเข่าอ่อนจนต้องนั่งแปะลงตามเดิม บอกตัวเองว่าภาพเมื่อสักครู่คงเป็นเพราะผมตาฝาดไปเองกระมัง
แต่ถ้าไม่ได้ตาฝาด และนึกได้ตอนที่มองเห็นว่าเธอขึ้นรถเมล์ไปแล้ว ผมอาจจะช็อกตายคาที่ไปเลยก็ได้นะครับ
ที่มา : คอลัมน์ ขนหัวลุก โดย ใบหนาด - ข่าวสด หน้า 25 - ฉบับวันที่ 3 มิถุนายน 2547
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)